สมเด็จลพ.ถมยา ท่าแก้ว เหรียญหล่อลพ.มหาอาคม ดาวนิมิตร ลพ.พริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,293
    ค่าพลัง:
    +21,398
    f.-31.jpg

    สมเด็จเกี่ยวเป็นพระทองคำ ไม่เกิดอีกแล้ว (พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ)ที่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ยกย่องคุณธรรมของท่านเป็นอย่างยิ่งและได้แนะนำให้ลูกศิษย์ไปกราบทำบุญกับท่านหลายๆครั้ง
    ประวัติ
    สมเด็จพระพุฒาจารย์
    (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ. ๙)

    เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นหนึ่งในพระมหาเถระผู้มุ่งมั่นที่จะเห็นพระพุทธศาสนามีความมั่นคงอยู่บนผืนแผ่นดินไทย และแผ่ไพศาลไปเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลก
    เมื่อเกือบ ๗๐ ปีที่แล้ว เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ตั้งใจที่จะบวชเป็นสามเณรเพียง ๗ วัน แต่กลับดำรงตนอยู่ในสมณะเพศตลอดมาตราบเข้าสู่วัยชรา ได้สร้างคุณูปการให้แก่พระพุทธศาสนาอย่างมากมายมหาศาล เหมือนมีชีวิตเกิดมาเพื่อต่อลมหายใจให้กับพระพุทธศาสนา
    จริยาวัตรและปฏิปทาที่งดงาม ภายใต้ใบหน้าอ่อนโยน มีรอยยิ้มฉายอยู่บนหน้าตลอดเวลา บ่งบอกถึงพลังแห่งเมตตาธรรม เป็นภาพที่ติดตาและตรึงใจแก่ผู้พบเห็นอยู่ตลอด อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการฝึกฝนในพระกรรมฐานอย่างหนัก
    เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้เรียนพระกรรมฐาน ในเบื้องต้น จากหลวงพ่อพริ้ง ซึ่งเป็นพระวิปัสสนาจารย์องค์สำคัญของเกาะสมุย โดยหลวงพ่อพริ้งได้นำเจริญพระกรรมฐานบนหลุมฝังศพขณะมีอายุ ๑๒ ปี เท่านั้น ต่อมา ได้เรียนพระกรรมฐานจากเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถร) ซึ่งเป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่า พระองค์ท่านมีความชำนาญด้านกสิณ และเจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังได้ให้ความสนใจวิธีการเจริญพระกรรมฐานตามแนวต่างๆ จนมีความชำนาญ
    สามารถสวดพระปาฏิโมกข์ได้ในพรรษาแรกแห่งการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และยังสามารถเรียนสำเร็จเปรียญธรรม ๙ ประโยค อันเป็นการศึกษาพระปริยัติธรรมชั้นสูงสุดของคณะสงฆ์
    สำนึกที่มีต่อความรับผิดชอบพระพุทธศาสนาเช่นนี้ ก่อตัวขึ้นท่ามกลางการฝึกฝนอย่างหนักของเจ้าพระสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถร) ผู้เป็นพระอาจารย์ ผู้ได้เล็งเห็นอุปนิสัยแล้วว่า ศิษย์ผู้นี้ คือ ผู้ที่จะนำพาพระพุทธศาสนาผ่านห้วงแห่งความยากลำบากในอนาคต
    จากวันที่สำเร็จการศึกษาเปรียญธรรม ๙ ประโยค เพราะความรักที่มีต่อพระพุทธศาสนาอย่างเปี่ยมล้น เมื่อก้าวขึ้นสู่การบริหารคณะสงฆ์ และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะผู้ปกครอง แม้พระเถระผู้ใหญ่ในสมัยนั้น ต้องการให้เป็นเจ้าคณะผู้ปกครองในภาคกลาง แต่เจ้าประคุณสมเด็จฯ กลับเลือกที่จะไปเป็นผู้ปกครองทางภาคที่กันดารและเดินทางไปยากที่สุด คือ ภาคอีสาน เนื่องจากเจ้าประคุณสมเด็จฯได้เล็งเห็นว่า หากจะพัฒนาประเทศชาติและพระศาสนา จะต้องพัฒนาจากภาคที่มีประชากรมากที่สุดก่อน โดยเน้นที่การให้การศึกษา
    จากวันนั้น เจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการที่จะพบปะผู้คน ทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจ เพื่องานพระศาสนาอย่างต่อเนื่อง ออกไปเยี่ยมพระสงฆ์ในทุกวัดที่อยู่ในการปกครอง ศึกษาทั้งประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์และสภาพการเป็นอยู่ของถิ่นนั้นๆ เพื่อแนะนำการจัดระบบการศึกษา
    ภายหลังเมื่อลูกศิษย์รูปหนึ่งออกไปปฏิบัติศาสนกิจในจังหวัดที่ห่างไกล เกิดอาพาธไม่มีโรงพยาบาลรักษาจนถึงแก่มรณภาพลง กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการสร้างตึกสงฆ์อาพาธในจังหวัดชายแดนตามมาอย่างเงียบๆ ภายใต้ชื่อ “ตึกผู้มีพระคุณ” โดยไม่มีการเรี่ยไร ไม่มีการบอกบุญ และไม่ได้ประกาศให้ใครรับรู้ ทุนในการสร้างทั้งหมดได้มาจากการรวบรวมปัจจัยจากผู้มีจิตศรัทธาที่ทำบุญในโอกาสต่างๆ เมื่อครบจำนวนก็ลงมือสร้างตามแบบที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด
    จากวันนั้นเป็นต้นมา ตึกสงฆ์อาพาธภายใต้ชื่อ “ตึกผู้มีพระคุณ” จึงเกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนตึกแล้วตึกเล่า
    เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นผู้นำพระพุทธศาสนาก้าวเข้าสู่โลกยุคใหม่ได้ริเริ่มวางรากฐานแนวคิดงานพระศาสนาเชิงรุกที่สำคัญในด้านต่างๆ เช่น ก่อตั้งโรงพิมพ์กรมการศาสนา จัดพิมพ์แถลงการณ์คณะสงฆ์ รวบรวมกิจการต่างๆ เกี่ยวกับการบริหารงานคณะสงฆ์ ตลอดทั้งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ กฎกระทรวง กฎมหาเถรสมาคม ระเบียบ คำสั่งมหาเถรสมาคม เกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์และการพระศาสนาออกเป็นรายเดือนทุกวันที่ ๒๕ ของเดือน และหนังสือธรรมะอื่นๆ ริเริ่มให้มีศูนย์การคณะสงฆ์ประจำภาค ริเริ่มให้มีสำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อรองรับงานคณะสงฆ์ ริเริ่มให้มีพุทธมณฑลประจำจังหวัด ริเริ่มให้จัดตั้งสำนักเรียนบาลีประจำจังหวัด ริเริ่มให้จัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด ริเริ่มให้ยกร่างหลักสูตรการเรียนการสอนภาคภาษาอังกฤษในมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ยกร่างหลักสูตรโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ ริเริ่มจัดตั้งโรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ริเริ่มให้มหาวิทยาลัยสงฆ์เปิดหลักสูตรผู้บริหารสำหรับพระสังฆาธิการ เพื่อยกระดับการศึกษาของพระสังฆาธิการในสังฆมณฑล ริเริ่มจัดตั้งสถานีวิทยุและโทรทัศน์พระพุทธศาสนา ริเริ่มให้พระสงฆ์นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้กับงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ริเริ่มให้จัดตั้งกลุ่มโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา จัดการเรียนการสอนตามแนวโรงเรียนวิถีพุทธ และให้เรียกเยาชนที่เรียนในโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา ว่า “ลูกพระพุทธเจ้า” ริเริ่มให้ปรับการเจริญพระพุทธชัยมงคลคาถาในวันขึ้นปีใหม่ เป็นการสวดมนต์ข้ามปี เพื่ออนุวัติให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ริเริ่มการจัดกิจกรรมงานวัด และกิจกรรมวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา อนุวัติให้สอดคล้องกับโลกสมัยใหม่ ริเริ่มจัดตั้งพระธรรมทูตอาสา ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ริเริ่มให้พระสังฆาธิการเกษียรอายุในวัย ๘๐ ปี เพื่อยกขึ้นเป็นปูชนียบุคคลของสังฆมณฑล
    ในส่วนงานพระพุทธศาสนาในต่างประเทศ เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นคณะกรรมการจัดตั้งสภาสงฆ์แห่งโลก เป็นผู้ริเริ่มสานศาสนสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เป็นผู้ริเริ่มจัดงานวิสาขบูชาโลก เป็นผู้ริเริ่มเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ ริเริ่มการสร้างวัดไทยในต่างประเทศ และริเริ่มให้มีการฝึกอบรมพระธรรมทูตไปประจำ ณ วัดไทยในต่างประเทศ ได้ออกเดินทางไปต่างประเทศทั่วทุกมุมโลก สร้างศาสนาสัมพันธ์อันดีกับผู้นำต่างศาสนา เพื่อหาแนวทางที่จะให้มีวัดเกิดขึ้นในประเทศนั้นๆ อันมีแรงบันดาลใจมาจากเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถร) ผู้เป็นพระอาจารย์
    ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ได้ออกเดินทางไปร่วมประชุมสังคายนาพระไตรปิฎกฉัฏฐสังคีติ ณ ประเทศพม่า และในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ก็ได้เดินทางไปประชุมอรรถกถาสังคายนา เพื่อฉลองกึ่งพุทธศตวรรษ ณ ประเทศพม่า อีกครั้ง ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ภายหลังดำรงตำแหน่งผู้ช่วยอธิการบดี และเป็นหัวหน้าแผนกธรรมวิจัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ได้เดินทางไปสังเกตการณ์พระศาสนาในประเทศใกล้เคียง ได้แก่ ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย และศรีลังกา เป็นต้น
    ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นหัวหน้าคณะเดินทางไปสังเกตการณ์พระศาสนาและเชื่อมศาสนสัมพันธ์ ที่ประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง และจีน ฯลฯ ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนอย่างสำคัญแห่งหน้าประวัติศาสตร์ศาสนา ในการเชื่อมพระพุทธศาสนาเถรวาทกับมหายานเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น จนถึงปัจจุบัน พระพุทธศาสนามหายานในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน และจีน ได้ขอรับการอุปสมบทตามแบบอย่างพระสงฆ์เถรวาท เกิดประเพณีการบวชตามแบบอย่างพระสงฆ์เถรวาทก่อนบวชตามแบบอย่างพระสงฆ์มหายาน ขึ้นในประเทศญี่ปุ่น จีน และไต้หวัน และได้สร้างภูเขาทองจำลองไว้เป็นอนุสรณ์แห่งสายสัมพันธ์ทางศาสนา ในเวลาต่อมา
    ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ภายหลังได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้ออกเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจไกลถึงภาคพื้นยุโรป เกิดวัดไทยแห่ง
    แรกขึ้นในเนเธอร์แลนด์ ชื่อว่า “วัดพุทธาราม” ต่อมา เมื่อคณะสงฆ์เกิดกองงานพระธรรมทูตสายต่างประเทศ ทำให้วัดไทยเริ่มขยายออกไปตามประเทศต่างๆ ในยุโรปและออสเตรเลีย ทั้งเยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี เป็นต้น
    ในการเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจนอกอาณาเขตพระพุทธศาสนาไกลออกไปถึงยุโรป เจ้าประคุณสมเด็จฯ มีโอกาสได้พบกับท่านปรีดี พนมยงค์ และชาวไทยผู้ลี้ภัยทางการเมือง ที่พำนักอยู่ในยุโรปเป็นจำนวนมาก จึงได้ทราบถึงสภาพความเป็นอยู่และความต้องการของชาวไทยในต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจะต้องต่อสู้กับสภาพภูมิอากาศที่หนาวเหน็บตลอดทั้งปีแล้ว ยังจะต้องปรับตัวให้เข้าวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ ด้วย สิ่งที่ชาวไทยต้องการในขณะนั้น คือ ต้องการให้มีวัด และพระสงฆ์ไปอยู่ประจำ
    สำหรับทางยุโรป โดยเฉพาะประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย เป็นดินแดนที่ไม่น่าจะมีพระสงฆ์สามารถไปสร้างวัดไทยได้ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศค่อนข้างเหน็บหนาว ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะเกือบตลอดทั้งปี
    เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ยึดเอาประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นจุดเริ่มต้นในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแถบสแกนดิเนเวีย โดยมีความเชื่อมั่นว่า แม้สภาพภูมิอากาศประเทศในแถบสแกนดิเนเวียจะหนาวเกือบตลอดทั้งปี แต่สภาพจิตใจของคนในแถบนี้กลับอ่อนโยน จึงเกิดความเชื่อมั่นว่า พระพุทธศาสนาน่าจะเจริญได้ในสแกนดิเนเวีย จึงชักธงธรรมจักรขึ้นเหนือหน้าต่างที่พัก เป็นสัญลักษณ์ว่า พระพุทธศาสนาเริ่มหยั่งรากฝังลึกลงบนดินแดนแห่งนี้แล้ว ทำให้วัดไทยเกิดขึ้นอีกมากมายในเวลาต่อมา เช่น วัดพุทธาราม เนเธอร์แลนด์ วัดพุทธาราม กรุงสต๊อกโฮล์ม วัดพุทธาราม เฟรดิก้า วัดสยามินทร์มังคลาราม ประเทศสวีเดน วัดไทยนอร์เวย์ ประเทศนอร์เวย์ วัดไทยเดนมาร์ค กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ค วัดไทยฟินแลนด์ กรุงเฮลซิงกิ วัดไทยเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน วัดไทยไอซแลนด์ และวัดไทยเบลเยียม ซึ่งขยายวัดออกไปอีกถึง ๓ วัดในลักซัมเบิร์ก ในเวลาต่อมา
    วัดพุทธาราม เนเธอร์แลนด์ นับได้ว่า เป็นวัดไทยแห่งแรกในยุโรป และเป็นศูนย์ฝึกพระธรรมทูตให้รู้จักวิธีการดำรงชีวิตในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย จากนั้น พระธรรมทูตก็จะถูกส่งออกไปปฏิบัติศาสนกิจในประเทศต่างๆ ในแถบนี้
    พระพุทธศาสนาในประเทศสวีเดน เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างดียิ่ง และเป็นประเทศแรกในโลกตะวันตก ที่ทั้งภาครัฐและเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างวัด โดยดำริจะให้มีวัดไทยเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้พระพุทธศาสนาในประเทศของตน และได้จัดสรรพื้นที่ให้กว่า ๒๗๐ ไร่ เพื่อดำเนินการสร้างวัดไทย การที่ภาครัฐและเอกชนของประเทศสวีเดน ได้เข้ามาดูแลการสร้างวัดไทยเช่นนี้ จึงเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจสำหรับชาวไทยที่นับถือพระพุทธศาสนา หากเอาเงินไทยไปสร้างวัดให้ฝรั่ง จะต้องนำเงินไทยออกจากประเทศจำนวนมหาศาลจึงจะสร้างวัดได้สักวัดหนึ่ง
    การสร้างวัดไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะทางด้านยุโรป พระสงฆ์ได้ใช้เงินไทยน้อย โดยใช้เงินประเทศนั้นเพื่อสร้างวัดประเทศนั้น ซึ่งเป็นการให้ฝรั่งสร้างวัดพระพุทธศาสนาให้ฝรั่งเอง เพราะเจ้าของผู้สร้างจะได้เกิดความรักความผูกพันในสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา จะทำให้วัดไทยมีความมั่นคง ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี
    เจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงวางเป็นแนวทางการสร้างวัดสำหรับพระธรรมทูตไว้ว่า
    “พระสงฆ์ไปปฏิบัติงานประเทศใดต้องใช้เงินของประเทศนั้นสร้างวัด เพราะถ้าจะเอาเงินไทยไปสร้างวัดในต่างประเทศ เราจะต้องเอาเงินบาทออกนอกประเทศเท่าไรจึงจะสร้างวัดได้วัดหนึ่ง ค่าเงินบาทกับเงินต่างประเทศแตกต่างกันมาก พระสงฆ์ที่ไปอยู่ต่างประเทศจึงต้องเก่งและมีความอดทนสูง”
    ในปี ๒๕๐๘ เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถระ) มีบัญชาให้เป็นผู้แทนพระองค์ท่านเดินทางไปร่วมพิธีฉลองอัฐิธาตุ ๑,๐๐๐ ปี พระอติษ ทีปังกร ศรีชญาณเถระ ตามคำนิมนต์ของรัฐบาลจีน และในโอกาสเดียวกันได้เดินทางตามเส้นทางสายไหมต่อไปยังปากีสถานและอัฟกานิสถาน โดยความอุปถัมภ์ของพุทธสมาคมจีน เพื่อศึกษาเส้นทางประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา สำหรับพระอติษ ทีปังกร ศรีชญาณเถระ เป็นพระเถระชาวปากีสถานมีชีวิตอยู่เมื่อ ๑,๐๐๐ ปี ที่แล้ว ได้เดินทางไปเผยแผ่พระศาสนาในจีนและธิเบต จนเป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชนชาวจีนและชาวธิเบต โดยมีความเชื่อว่า ท่านเป็นพระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิด เพื่อขนมวลสรรพสัตว์ข้ามสังสารวัฏ
    ต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ได้เดินทางไปสังเกตการณ์พระพุทธศาสนาตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา ตามคำนิมนต์ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยคณะผู้ร่วมเดินทาง ประกอบด้วย เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นหัวหน้าคณะ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญโญ) และ พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จและเหรียญ สมเด็จพุฒาจารย์เกี่ยววัดสระเกศ ๒ องค์

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250623_185151.jpg IMG_20250623_185336.jpg IMG_20250623_185404.jpg IMG_20250623_185220.jpg IMG_20250623_185242.jpg IMG_20250623_185303.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,293
    ค่าพลัง:
    +21,398
    [​IMG]

    พระวัดโบสถ์ลพบุรี
    (หลวงพ่อพริ้ง)มีดีทางแคล้วคลาด กำบังภัยอย่างยอดเยี่ยม
    หลวงพ่อกวยพบอภินิหารพระคณาจารย์ร่วมพิธี
    มหา พิธีพุทธาภิเษก วัตถุมงคลจตุรพิธพรชัย ที่วัดรัตนชัย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ นั้น หลวงพ่อกวยท่านพบอภินิหารของพระคณาจารย์ผู้ร่วมพิธีปลุกเสกหลายรูปด้วยกัน เมื่อท่านเดินทางกลับมาถึงวัดโฆสิตารามได้เล่าให้คณะศิษย์ฟังว่า
    พระวัดโบสถ์ ลพบุรี
    (หลวงพ่อพริ้ง) มีดีทางแคล้วคลาด กำบังภัยอย่างยอดเยี่ยมเมื่อ คณะศิษย์ทางวัดโฆสิตาราม ทราบจากคำบอกเล่าของหลวงพ่อกวยเช่นนั้น จึงรีบเดินทางมากราบคารวะเพื่อขอเรียนวิชา กับพระคุณเจ้าทั้ง ๓ รูป หลวงพ่อนอ, หลวงพ่อออด และหลวงพ่อพริ้ง ท่านพูดว่า “กลับไปหาท่านพระครูชัยนาทเขาเถิดท่านรุ่งเรืองวิทยาคุณต่างๆอยู่แล้ว
    ประวัติของ หลวงพ่อพริ้ง มณีธาโน” วัดโบสถ์โก่งธนู จังหวัด ลพบุรี
    ประวัติของ หลวงพ่อพริ้ง มณีธาโน” วัดโบสถ์โก่งธนู จังหวัด ลพบุรี
    สำหรับพระครูประสาทวรคุณหรือที่ใครหลายคนรู้จักท่านในนามหลวงพ่อพริ้ง มณีธาโน นั้นเดิมที่ท่านมีชื่อว่า พริ้ง เพ็งเพชร์ ท่านเกิดในช่วงปีพ.ศ 2443 ตรงกับวันศุกร์ที่ 2 เดือนพฤศจิกายนเป็นปีชวด ซึ่งเป็นวันขึ้น 11 ค่ำเดือน 12 ท่านเป็นชาวจังหวัดลพบุรีโดยกำเนิดเกิดที่บ้านคุ้งนามอญ ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลโก่งธนู เป็นบุตรชายของคุณพ่อดึก และคุณแม่แสง เพ็งเพชร์ หลวงพ่อพริ้งท่านมีพี่น้องร่วมสายเลือด ทั้งหมด 6 คน ซึ่งหลวงพ่อท่านเป็นพี่ชายคนโต มีน้องสาวชื่อว่านางผลบ ไข่หงส์ มีน้องชายชื่อว่านายกรู่เพลงรอด,นายโหน่งเพลงรอด, นายบ่าย เพ็งรอด และน้องสาวคนสุดท้องของท่านชื่อว่านางสาวสาคร เพ็งรอด ซึ่งต่อมาภายหลังหลวงพ่อพริ้งท่านก็ได้เปลี่ยนนามสกุลตามน้องชายของท่าน ที่ชื่อนายกรู่ซึ่งเป็นผู้ต้นคิดในการเปลี่ยนนามสกุลมาเป็น “เพ็งรอด” และใช้นามสกุลนี้มาโดยตลอด
    สำหรับพระครูประสาทวรคุณหรือที่ใครหลายคนรู้จักท่านในนามหลวงพ่อพริ้ง มณีธาโน นั้นเดิมที่ท่านมีชื่อว่า พริ้ง เพ็งเพชร์ ท่านเกิดในช่วงปีพ.ศ 2443 ตรงกับวันศุกร์ที่ 2 เดือนพฤศจิกายนเป็นปีชวด ซึ่งเป็นวันขึ้น 11 ค่ำเดือน 12 ท่านเป็นชาวจังหวัดลพบุรีโดยกำเนิดเกิดที่บ้านคุ้งนามอญ ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลโก่งธนู เป็นบุตรชายของคุณพ่อดึก และคุณแม่แสง เพ็งเพชร์ หลวงพ่อพริ้งท่านมีพี่น้องร่วมสายเลือด ทั้งหมด 6 คน ซึ่งหลวงพ่อท่านเป็นพี่ชายคนโต มีน้องสาวชื่อว่านางผลบ ไข่หงส์ มีน้องชายชื่อว่านายกรู่เพลงรอด,นายโหน่งเพลงรอด, นายบ่าย เพ็งรอด และน้องสาวคนสุดท้องของท่านชื่อว่านางสาวสาคร เพ็งรอด ซึ่งต่อมาภายหลังหลวงพ่อพริ้งท่านก็ได้เปลี่ยนนามสกุลตามน้องชายของท่าน ที่ชื่อนายกรู่ซึ่งเป็นผู้ต้นคิดในการเปลี่ยนนามสกุลมาเป็น “เพ็งรอด” และใช้นามสกุลนี้มาโดยตลอด

    ในสมัยที่หลวงพ่อท่านยังเป็นเด็กอยู่นั้น คุณพ่อของท่านก็ได้นำท่านไปฝากไว้ที่สำนักของพระอาจารย์จาด ณ วัดไก่เตี้ย ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอบ้านแพรกของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อให้ได้เรียนหนังสือ ซึ่งวิชาที่ท่านได้เรียนในขณะนั้นก็คือวิชาอักษรภาษาไทยและภาษาขอมซึ่งเป็นวิชาที่ผู้คนจะต้องเรียนในยุคนั้นโดยเริ่มต้น หลวงพ่อพริ้งนั้นท่านเป็นผู้มีความจำเป็นเลิศอีกทั้งยังหัวไวเรียนรู้ได้เร็วกว่าศิษย์คนอื่นๆที่เรียนในรุ่นเดียวกันจึงทำให้ท่านสำเร็จวิชาได้เร็ว
    แต่สมัยเด็กๆหลวงพ่อพริ้งท่านมักจะไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงทำให้คุณพ่อและคุณแม่ของท่านคิดว่าหากให้ท่านมาช่วยประกอบอาชีพทำไร่ทำนาก็คงจะไม่น่าไหว นั่นเป็นเหตุผลที่หลวงพ่อท่านจึงได้บวชเป็นสามเณรตั้งแต่อายุได้ 13 ปี ท่านบทที่สำนักของพระอาจารย์จาด หลังจากที่ได้บวชแล้วก็ศึกษาเล่าเรียนทางด้านเวทมนต์ เป็นพระอาจารย์คนแรกของท่านก็คือพระอาจารย์จาดซึ่งในยุคนั้น พระอาจารย์จาดท่านค่อนข้างมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องนี้
    และเมื่อหลวงปู่ท่านอายุได้20 ปีบริบูรณ์ท่านก็เข้าพิธีอุปสมบทบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ซึ่งตรงกับช่วงปีพ.ศ 2463 ในวันที่ 2 เดือนเมษายน ท่านบวชอยู่ที่วัดญาณเสน ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดลพบุรีที่ตำบลโก่งธนู อำเภอเมือง ซึ่งพระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ให้กับท่านก็คือหลวงพ่อหลำ ซึ่งในขณะนั้นท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดญาณเสนอยู่ พระผู้เป็นพระกรรมวาจาจารย์ให้กับท่านก็คือหลวงพ่อแสนแห่งวัดญาณเสน และพระผู้เป็นพระอนุสาวนาจารย์ให้กับท่านก็คือหลวงพ่อฝอยแห่งวัดญาณเสน และฉายาททางธรรมของหลวงพ่อพริ้งก็คือ “มณีธาโน”
    การศึกษาทางด้านพุทธาคมของหลวงพ่อพริ้ง
    การศึกษาทางด้านพุทธาคมของหลวงพ่อพริ้ง
    เมื่อได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์อย่างเต็มตัวแล้ว หลวงพ่อท่านก็มีความเคร่งครัดต่อการปฏิบัติ รวมถึงจริยวัตรอันงดงามเป็นคนพูดน้อย และมักจะปฏิบัติอยู่ตลอด ซึ่งในขณะที่หลวงพ่อท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดญาณเสน ท่านก็ได้มีโอกาสออกเดินธุดงค์ติดตามพระอุปัชฌาย์ของท่านร่วมกับพระภิกษุองค์อื่นๆอีก 7 รูป
    โดยอุปนิสัยส่วนตัวของหลวงพ่อพริ้งนั้นท่านเป็นคนพูดน้อย และรักความสงบอีกทั้งยังมีความมุมานะและตั้งใจในการแสวงหาทางสงบเป็นเดิมอยู่แล้ว จึงทำให้ท่านยิ่งปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและเป็นเช่นนี้มาเสมอ ซึ่งหลวงพ่อพริ้งท่านจะยึดนำกิจธุดงค์มาปฏิบัติ ซึ่งหลวงพ่อท่านมีความตั้งใจและได้เปิดเผยถึงเรื่องราวเหล่านี้ให้กับพระอาจารย์ของท่านทั้งพระอาจารย์จาดและพระอาจารย์หลำทราบ ตั้งแต่สมัยยังเป็นสามเณร และเมื่อได้มีโอกาสออกเดินธุดงค์ท่านก็ปฏิบัติอย่างตั้งใจ
    ซึ่งการเดินธุดงค์นั้นพระอาจารย์จาดได้เคยให้เหตุผลกับหลวงพ่อพริ้งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านว่า ผู้ที่จะออกธุดงควัตรเพื่อปฏิบัตินั้น กว่าจะได้มาซึ่งความสำเร็จมานั้นมิใช่เรื่องง่าย เนื่องจากจะต้องออกเดินธุดงค์ไปยังป่าลึกซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายไม่ว่าจะภัยจากสัตว์ป่าอันร้าย รวมถึงสิ่งที่เรามองไม่เห็น และดวงจิตต่างๆและดวงจิตต่างๆ ที่ยังไม่ได้หลุดพ้นจากวิบากกรรม อีกทั้งจะเรื่องของอาถรรพ์ต่างๆตามป่าดงพงไพรที่มีมากนัก และหนทางที่จะผ่านพ้นสิ่งเหล่านี้ได้ก็คือภาวะทางจิตอันแกร่งกล้า
    ซึ่งดวงจิตอันแกร่งกล้านั้นจะได้มาก็ต่อเมื่อการฝึก ดังนั้นการหมั่นปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จึงเป็นสิ่งที่เพิ่มสมาธิให้เรามีปัญญาและมีพลังจิตที่แกร่งกล้าได้ ในเมื่อดวงจิตของเรามีความแกร่งกล้าสิ่งนั้นแหละจึงจะเป็นเกราะป้องกันตัวเรารวมถึงป้องกันภัยจากกิเลสต่างๆในใจทั้งหลายได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระอาจารย์ทั้งสองของท่านได้อบรมสั่งสอนท่านอย่างเสมอมา
    เมื่อผ่านในเรื่องของการทดสอบจิตใจจากพระอาจารย์ซึ่งก็คือหลวงพ่อหลำ จนเป็นผู้นำในการเดินธุดงค์แล้ว เป้าหมายแรกที่จะมุ่งไปก็คือภาคเหนือ น่าจะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเส้นทางในการไปถึงของยุคนั้นค่อนข้างเป็นไปด้วยความยากลำบากไม่ได้สบายเหมือนในปัจจุบัน รถลาในสมัยก่อนก็ไม่มี ดังนั้นจึงไม่ได้ใช้เวลาน้อยๆในการเดินทางเลย ทั้งต้องเดินทางผ่านห้วยน้องคลองบึง ซึ่งระหว่างทางนั้นก็ย่อมเผชิญกับสัตว์นานาชนิดในป่า อีกทั้งยังจะต้องเข้าป่าดงพงไพรไปพบกับสิ่งต่างๆ ที่อาจมองไม่เห็นรวมถึงดวงวิญญาณที่ยังไม่ผ่านการหลุดพ้นในระหว่างการเดินทาง เมื่อค่ำที่ไหนก็ต้องนอนที่นั่น และต้องเจริญจิตภาวนาในทุกๆที่
    รวมถึงการแผ่เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ยามเช้าก็ต้องเก็บเครื่องอัฐบริขาร เจริญภาวนาและออกเดินทางต่อ อยู่เช่นนี้จนกว่าจะไปถึงกับจุดหมายซึ่งก็คือภาคเหนือ ในปัจจุบันเราขับรถยนต์จากจังหวัดลพบุรีไปยังจังหวัดที่อยู่ภาคเหนือกี่กิโลเมตร ซึ่งแน่นอนว่าในยุคที่หลวงพ่อพริ้งท่านเดินธุดงค์นั้นท่านเดินทางเท้า และถึงแม้ว่าจะพบกับอุปสรรคต่างๆในระหว่างการเดินทางมาอย่างมากมายแต่หลวงพ่อท่านก็ผ่านมาได้ทุกครั้ง
    รวมถึงได้พบกับพระอาจารย์ผู้มีวิชาอีกหลายท่าน ที่เมืองปากน้ำโพ และได้แลกเปลี่ยนทัศนะความรู้ด้านทางธรรมต่อกัน จนทำให้ท่านนำมาต่อยอดวิชาอาคมรวมถึงทางด้านพลังจิตให้ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งหลวงพ่อพริ้งท่านได้วิชา ตัดสายรุ้งละลายเมฆ วิชาบังไพร มาจากหลวงพ่อพวงแห่งวัดหนองกระโดน ซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่าวิชาบังไพรนี้หลวงพ่อพริ้งท่านได้นำมาใช้ในขณะที่มีโขลงช้างเข้ามาใกล้กับบริเวณที่ท่านปักกลดในขณะกำลังออกเดินธุดงค์
    ซึ่งนับได้ว่าท่านเป็นอีกหนึ่งพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงพุทธาคม และเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวจังหวัดลพบุรีในยุคก่อนอย่างมาก เรียกได้ว่าแทบทั้งชีวิตของท่านนั้นอุทิศให้กับพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง หลวงพ่อพริ้งท่านมรณภาพในปีพ.ศ 2527 รวมสิริอายุได้ 84 ปี 64 พรรษา

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงพิมพ์เล็บมือ หลวงพ่อพริ้งวัดโบสถ์โก่งธนู ปี๒๕๒๑

    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งถึง 30 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,293
    ค่าพลัง:
    +21,398
    เมื่อวานแล้ววันนี้จัดส่ง
    1750688506046.jpg 1750688507988.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  4. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    3,011
    ค่าพลัง:
    +5,712
    จองครับ
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,293
    ค่าพลัง:
    +21,398
    1750699553605.jpg

    ศิษย์ของหลวงพ่อกวย อีกองค์หนึ่ง
    หลวงพ่อถมยา วิมโล วัดท่าแก้ว อ.หันคา จ.ชัยนาท
    คำนำ
    มาจะกล่าวบทไป ถึงวัดท่าแก้ว ในครั้งก่อน คนเก่าเล่าไว้ไม่แน่นอน จะตัดตอนเสริมต่อ พอเข้าใจ...
    วัดท่าแก้ว ตั้งอยู่ ต.ห้วยงู อ.หันคา จ.ชัยนาท คนเก่าเล่าไว้ว่า วัดนี้มีความผูกพันกับงูใหญ่ คือ งูจงอาง, วัดอยู่ติดแม่น้ำท่าจีน คนเก่าเล่าว่า เดิมมีงูจงอางใหญ่มากตัวหนึ่ง ชาวบ้านเกรงกลัวมาก ได้จ้างหมองูมาปราบ งูใหญ่นี้ได้คาบลูกแก้วมาด้วย (อาจเป็นไข) งูใหญ่ได้หนีหมองูมา และได้คายลูกแก้ว ทิ้งบริเวณก่อตั้งวัดนี้ (วัดท่าแก้ว) หมองูได้ฆ่างูใหญ่ ได้ชำแหละเอาหนังออกบริเวณคลอง ปัจจุบันชื่อ “คลองชำแหละ” บริเวณห้วยหนองที่งูใหญ่อาศัยอยู่ ชื่อ “ห้วยงู” เมื่อนำไปขายได้เงินสองสลึง ขายบริเวณคลองชื่อ “คลองสองสลึง” ผู้ที่ให้ข้อมูล เรียบเรียงโดย คุณวชิรภัทร กลัดทรัพย์ ได้เรียบเรียงเรื่องของ หลวงพ่อถมยา วิมโล เพราะหลวงพ่อถมยา เป็นศิษย์ องค์หนึ่งของหลวงพ่อกวย มีอาคมดี พอ ๆ กับ พระครูพิมพ์ วัดสนามชัย แต่ท่านถมยา มีปฏิปทาเรียบร้อย, ใจเย็น, ใจดี, สุภาพ, นิสัยตรงข้ามกับพระครูพิมพ์ คือ ใจร้อน, ดุ, ไม่เกรงกลัวใคร, อีกอย่างหนึ่ง ท่านอาจารย์ถมยา ได้สร้างพระสมเด็จว่านยา ตามตำราของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ทำฝากไว้ในศาสนา ฝากไว้ในแผ่นดิน สมควรบันทึกเอาไว้
    ชาติกำเนิด (ประวัติ)
    หลวงพ่อถมยา วิมโล ชื่อ ถมยา ใจแสน เกิดวัดพุธที่ 2 พฤษภาคม 2563 ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 7 ปีวอก เกิดที่บ้านหนองจงอาง ต.หนองแซง อ.หันคา (บางคนบอกว่า ท่านเกิดที่บ้านสมอบด ปัจจุบันเป็นโบราณสถานใกล้ ๆ บ้านหนองจงอาง) มีพี่น้อง 6 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 2 ของคุณพ่อริด คุณแม่จำปา ใจแสน ในสมัยเด็ก ๆ สุขภาพท่านไม่ค่อยดี เป็นหอบหืด ไม่ได้เรียนหนังสือ เนื่องจากสุขภาพไม่ดี และทางบ้านก็ยากจน ท่านจึงเดินทางท่องเที่ยวไป ไปหาหมอเพื่อรักษาสุขภาพของท่าน อายุไม่ถึง 10 ขวบ ได้เดินทางมารักษาตัว และเรียนวิชา กับหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค ได้บวชเณรและบวชพระ เมื่ออายุครบ 20 ปี โดยไม่มีครอบครัว เมื่อบวชแล้ว จึงเรียนหนังสือสอบเทียบชั้น ประถม 4
    อุปสมบท
    หลวงพ่อถมยา อุปสมบท เมื่ออายุ 20 ปี ที่วัดคลองจันทร์ ต.ห้วยงู บวชเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2583 {(ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (1 ปี)} โดยมีพระครูสรภาณพิสุทธิ เจ้าอาวาสวัดท่ากฤษณา อ.หันคา เป็นอุปัชฌาย์ สมุห์ทองสุข วัดคลองคต เป็นพระกรรมวาจารย์ พระอาจารย์ยุพิน วัดท่ากฤษณา เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา วิมโล
    เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้จำพรรษาที่วัดท่าแก้วตลอดมา อุปสมบทได้ 5 พรรษา ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส (2588)
    ผลงานสำคัญ ตำแหน่งหน้าที่และปฏิปทา
    หลวงพ่อถมยา เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญ ในการก่อสร้าง ทั้งงานไม้ งานปูน คือ ลงมือนำทำเอง ร่วมกับพระและชาวบ้าน ได้นำก่อสร้าง กุฏิ, วิหาร, หอสวดมนต์, ศาลาการเปรียญ, หอระฆัง, โรงครัว, เมรุ, และอุโบสถ โดยทำร่วมกับช่าง, ชาวบ้านและพระ สำหรับชาวบ้าน มีการตั้งโรงครัวหุงหาอาหารเลี้ยง และมอบวัตถุมงคลให้เป็นน้ำใจ เมื่อชาวบ้านเจ็บป่วย ก็จะรักษาให้ฟรี ด้วยยาสมุนไพร ตำราของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อเรียนสอบเทียบได้ชั้นประถม 4 ทางธรรมสอบได้นักธรรมโท เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี นามว่า “พระครูวิมลชัยคุณ” ในปี พ.ศ. 2514 และชั้นโท ในปี 2519 ภายหลังทางคณะสงฆ์จะแต่งตั้งให้ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านปฏิเสธ คือ ท่านว่าสุขภาพของท่านไม่ค่อยดี ท่านอาจารย์ถมยา เป็นพระที่พูดน้อย พูดสุภาพ ท่านมีเชื้อสายอีสาน คือ พูดไทยปนอีสาน ใจดี ใจเย็น ใครคุยด้วยกับท่าน จะไม่ลุกหนีเลย มีอาคมดี มีคนมาให้ท่านรดน้ำมนต์ มามาก, รักษาโรคและขอวัตถุมงคล
    พระคู่บุญ หลวงพ่อสายรุ้ง
    หลวงพ่อถมยา เป็นพระที่ได้ฌานสมาบัติขั้นสูง ท่านได้นั่งสมาธิเห็นนิมิตและได้ไปขุดพระที่พบในนิมิต เป็นพระพุทธรูปหินแกะสมัยลพบุรี ปางนาคปรก หน้าตักประมาณ 12 นิ้ว มีความศักดิ์มาก ถ้าวันใดปรากฏแสงสีรุ้ง บริเวณที่ตั้งหลวงพ่อสายรุ้ง จะเกิดฝนตก จึงเรียกท่านว่า หลวงพ่อสายรุ้ง ศักดิ์สิทธิ์มาก เวลาหลวงพ่อถมยา ปลุกเสกวัตถุมงคล ท่านจะมาเสกต่อหน้าหลวงพ่อสายรุ้งทุกครั้ง ภายหลังหลวงพ่อถมยา ได้สร้างพระพิมพ์สมเด็จรูปหลวงพ่อสายรุ้ง สร้างทั้งผงผสมดินและดินผสมผง (สร้างครั้งเดียว พร้อมพระสมเด็จหมอยา)
    อาจารย์ของหลวงพ่อถมยา
    1. หลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค หลวงพ่อถมยาได้เดินไปกราบตั้งแต่อายุไม่ถึง 10 ขวบไปเพื่อรักษาโรค และได้บวชเณรและได้เรียนวิชา หลวงพ่อปาน มรณภาพ พ.ศ. 2481 หลวงพ่อถมยา อายุ 18 ปี เป็นเณร คาถาที่หลวงพ่อให้กับศิษย์คือ คาถาปัจเจกพุทธเจ้า เขาว่าภาวนาอยู่ที่ใดไม่อดยาก (วิระทะโย วิระโคนายัง...)
    อีกบทหนึ่งที่ท่านบอกศิษย์ คือ คาถากันไฟ, กันฟ้า, เล่ากันว่า เดิมเป็นของหลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสกันต์ อยุธยา คาถาว่า (พระโส นามะยักโข...)
    2. หลวงพ่อปลื้ม วัดปากคอลงมะขามเฒ่า (น้องชาย หลวงพ่อปากคลองมะขามเฒ่า และเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ 2 ของวัดปากคลอง) วัดอยู่ อ.วัดสิงห์
    3. หลวงพ่ออุ่น วัดวิจิตรรังสรรค์ (บ้านควาย อ.สรรคบุรี) หลวงพ่ออุ่นองค์นี้ อายุพรรษา รุ่นหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่, ท่านเป็นหลานของหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก
    4. หลวงพ่อมุ่ย พุทธรักขิโต วัดดอนไร่ ต.หนองสะเดา อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี ได้ถ่ายวิชาให้ หลวงพ่อถมยา 7 วัน 7 คืน
    5. พระสมุห์กลับ แสงเขียว วัดดอนตาล อ.วัดสิงห์ และหลวงพ่อบุญยัง วัดหนองน้อย 2 องค์นี้เป็นศิษย์ซ้าย - ขวา ของหลวงพ่อปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อเดินทางไปเรียนวิชา หลายปี
    6. หลวงพ่อเคน วัดคงเศรษฐี ต.หมกแกว อ.หนองขาหย่าง จ.อุทัยธานี หลวงพ่อเคนเป็นพระมีเชื้อสายอีสาน เก่งทางแพทย์แผนโบราณ ต่อกระดูก หลวงพ่อเคน เป็นอาจารย์องค์หนึ่งของหลวงพ่อกวย แถมยังเมตตารับอาจารย์ถมยาเป็นศิษย์
    7. หลวงพ่อดัด วัดท่าโบสถ์ หลวงพ่อดัด เป็นทั้งศิษย์พี่และอาจารย์ ท่านอยู่ อ.หันคา จ.ชัยนาท หลวงพ่อดัด เวลาทำงานกับพระและโยม จะใช้ผ้าคลุมศีรษะ แต่ไม่ใส่อังสะ (สไบ) ท่านพูดว่าสมัยพุทธกาลไม่มีสไบ
    8. หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆสิตาราม หลวงพ่อกวย ได้เมตตาอาจารย์ถมยามาก เมื่ออาจารย์ถมยาจะทำพระเนื้อว่านยา กันผี กันคุณ เป็นยา ป้องกัน ไข้ป่า กันปอบ กระสือ กันภัยฯ มาปรึกษาหลวงพ่อกวย หลวงพ่อกวยได้เมตตามอบว่านให้ เป็นจำนวนมาก จนครบจึงสร้างพระเนื้อว่านยาได้ โดยมีผงปถมัง, ผงนะหน้าทองผสมทำ หลวงพ่อให้ไปทั้งผงและว่าน เพื่อป้องกันภัยทางอากาศ คือ คุณผี, คุณไสย์, มนต์ดำ, ปอบ, กระสือ ฯ พระผงพิมพ์สมเด็จเนื้อผงล้วน ๆ เป็นพระพิมพ์คะแน (ขนาดเท่ากัน) อีกพิมพ์หนึ่งเป็นพิมพ์นาคปรก (หลวงพ่อสายรุ้ง) เป็นเนื้อผงพระแตกหักชำรุด ผสมผงของหลวงพ่อกวย และผงของท่านอาจารย์ถมยาเอง หลวงพ่อได้ประสิทธิวิธีทำผงให้ โดยสมมุติตนเป็นพระนารายณ์ และให้คาถามมนต์พระกาฬไป (คือวิชาทำผงอิทธิเจ, มหาราช, ผงตรีนิสิงเหฯ ต้องสมมุติตัวเป็นพระนารายณ์และต้องว่าคาถามนต์พระกาฬขณะทำผง อาจารย์ถมยาถึงมีปาก ดุจพระร่วง ใครทำไม่ดีต่อท่านต่อศิษย์ของท่านจะเป็นไปแบบทันตาเห็น) อาจารย์ถมยานี้เคยนำก้อนผงกรุ ดินที่เหลือจากการทำพระกรุสรรคบุรี (เสกแล้ว) นำมาถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อได้นำไปผสมทำพระแหวกม่านอกใหญ่ และแหวกม่านข้างเม็ด
    พระสมเด็จหมอยา หรือ พระไกสัชยคุรุพุทธเจ้า
    หลวงพ่อถมยา ได้รวบรวมว่านยา ตำราหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เพื่อนำมาสร้างพระสมเด็จหมอยา แต่ว่านยามีมาก หาเท่าไรก็ได้มีครบ จึงได้มาปรึกษากับหลวงพ่อปลื้ม วัดปากคลองมะขามเฒ่า (น้องชายหลวงปู่ศุข) และปรึกษากับ พระอาจารย์บุญยัง วัดหนองน้อย และพระอาจารย์กลับ แสงเขียว วัดดอนตาล ได้วิชาทำพระเนื้อว่านมา แต่ไม่ได้ว่านครบ ที่จะสร้างตามตำราของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค มาได้ว่านและผงครบ ที่หลวงพ่อกวย จึงได้สร้างขึ้น ก่อนสร้างยังได้ถามและศึกษาเพิ่มเติมกับหลวงพ่อเคน วัดคงเศรษฐี หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ เริ่มสร้าง พ.ศ. 2513 เป็นพระสมเด็จหลังเรียบ ไม่โตนัก คล้าย ๆ พิมพ์ตัวหนอน สร้างด้วยว่านยา และผงล้วน ๆ (อิทธิเจ เป็นพระคะแนน) โดยตำผงเองกับพระ (ผงล้วนและผงว่าน) กดพิมพ์เอง และสร้างด้วยผงเก่าผสมผงหลวงพ่อกวย และผงของท่านด้วยพิมพ์นาคปรก (หลวงพ่อสายรุ้ง) (ชนิดดินก็มีบรรจุกรุ, บรรจุไว้ใต้เพดานโบสถ์, ใต้ฐานพระประธานฯ หลวงพ่อถมยาเสกแทบทุกวันทุกคืน และเสกโดยปลุกเสก โดยพระที่รู้คาถา ไภสัชยคุรุ ทุกองค์มีดังนี้ (คาถาหมอยา)
    1. หลวงพ่ออุตตะมะ วัดวังวิเวกการาม หลวงพ่ออุตตะมะ เมตตาหลวงพ่อถมยา มาเสกให้ถึงวัด เสกอยู่เป็นวันเป็นคืนเดี่ยว ๆ องค์เดียว
    2. หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ มาเสกให้เป็นวันเป็นคืน หลวงพ่อมุ่ย เป็นอาจารย์องค์หนึ่ง ของหลวงพ่อถมยา เสกเดี่ยว ๆ ให้
    3. หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม เดิมทางไปเสกให้ เพราะท่านต้องไปรับผิดชอบว่านยา และผงของท่าน เสกให้เป็นวัน เป็นคืน เดี่ยว ๆ
    เป็นที่น่าเสียดาย ที่คาถาพระไภสัชยคุรุ ไม่มีใครได้รับการถ่ายทอดไว้เลย ควรที่บันทึกเอาไว้ มีแต่คาถากัน คุณผี คุณไสย์ และคาถาแก้พระสมเด็จหมอยานี้ เมื่อบูชาอยู่ให้เลี่ยมเปิดหน้าหลัง ใช้กันคุณผี, คุณคน, กันปอบ, กระสือ, ไข้หัวลม, ไข้ป่า) ใช้ทำน้ำมนต์ถอนคุณผี, คุณคน, คุณไสย์, มนต์ดำได้ ถ้าแก้โรคกรรมให้ปล่อยนก, ปล่อยปลา, เต่า ฯ ด้วย รวมทั้งทำบุญตักบาตรให้เจ้ากรรมนายเวรด้วย
    วัตถุมงคลของหลวงพ่อถมยา
    หลวงพ่อสร้างวัตถุมงคลไว้ นอกจากพระสมเด็จ, พระสมเด็จนาคปรก (หลวงพ่อสายรุ้ง) แล้วท่านก็สร้างเหรียญรุ่นแรกไว้ 1 รุ่น, รูปหล่อ 1 รุ่น นิยมกันในท้องถิ่น นอกนั้นก็สร้างอย่างอื่นไว้ด้วย แต่สร้างน้อยหาได้ยาก เช่น
    1. พระเนื้อดิน พิมพ์สรรค์นั่ง, สรรค์ยืน, พิมพ์ป่าเลไลยก์ สร้างก่อน พ.ศ. 2500 เสกโดยหลวงพ่อถมยา, หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่, หลวงพ่อเคน วัดดวงเศรษฐี, หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม, หลวงพ่ออุ่น วัดวิจิตรรังสรรค์ (บ้านควาย) นอกจากสรรค์นั่งและยืน แล้วยังสร้างพิมพ์แบบของกำแพง และพระคง
    2. สมเด็จเนื้องิ้วดำ, สมเด็จเนื้องาช้าง
    3. สมเด็จว่านยา, สมเด็จผงอินทธเจ, สมเด็จหลวงพ่อสายรุ้งเนื้อผง และดิน สร้าง พ.ศ. 2513
    4. รูปหล่อคล้องคอ นั่งพับเพียบ, เหรียญรุ่น 1 นั่งพับเพียบ เหรียญรุ่น 2, 3 (ฝังลูกนิมิต 2529 มรณภาพปีนี้) ล็อกเก็ตจีวรแดง พ.ศ. 2529, เหรียญจิ๋ว (แจกแม่ครัว) พ.ศ. 2529 เสก 1 ปี เข้าพิธีหลวงพ่ออุตตะมะ วัดวังวิเวกการาม อ.สังขละ (เป็นอาจารย์อีกองค์หนึ่ง) รูปหล่อสร้าง พ.ศ. 2528 - 29 เหรียญรุ่น 1 สร้าง พ.ศ. 2520 แหนบและเข็มกลัดถมยา พ.ศ. 2510, และ พ.ศ. 2529 ภาพหลังตะกรุด, ภาพบูชาหลวงพ่อสายรุ้ง พ.ศ. 2514, ภาพถ่ายของท่าน พ.ศ. 2514, ผ้ายันต์แดง ตำราหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค (พระปัจเจโปรดสัตว์) นอกจากนั้นได้รับการนิมนต์เสกวัตถุมงคลของหลวงพ่อดัด วัดท่าโบสถ์ มีปิดตา 6 เหลี่ยม, สมเด็จเล็กใหญ่, เหรียญหลวงพ่อดัดเสก พ.ศ. 2513 มีหลวงพ่อเชื้อ ห้วยกรด, หลวงพ่อฉาบ วัดคลองจันทร์, หลวงพ่อนะ วัดหนองบัว, หลวงพ่อถมยา, เสก 9 องค์) วัตถุมงคล ยังมีอีกดังนี้ ผ้ายันต์มหาลาภ เป็นธงสามชาย, ผ้ายันต์คลุมลูกนิมิต (ผ้ายันต์อรหันต์ 8 ทิศ) พ.ศ. 2529, รูปนามบัตร พ.ศ. 2492, ลูกอมเทียนเสก, ตะกรุดโทน, ตะกรุด 3 ดอก, ตะกรุด 9 ดอก, หวายพิรอด, สิงห์งาแกะ, ประคำผงพุทธคุณ (สืบวิชาจาหลวงพ่ออุตตะมะ) นกสาลิกาหรือนกแขกเต้าคล้องคอ, นางกวักงาแกะ, แหวนนางกวัก (คล้ายของหลวงพ่อกวย), สีผึ้ง, แป้งเสกฯ ขอยุติภาควัตถุมงคลแต่เท่านี้ ที่พบและพอหาได้ คือ สมเด็จผงยา (ว่านยา) อย่างอื่นหาได้ยากมากคนท้องถิ่น เขาใช้อยู่ ส่วนพระสมเด็จหมอยานี้ ผสมผงอิทธิเจ และผงนะหน้าทอง ขนาด คุณประเจียด คงศาสตรา ได้เขียนเรื่องตระกูลพระสมเด็จ ได้กล่าวถึงไว้คือ รุ่น พ.ศ. 2513 นี้ ทั้งสมเด็จหมอยา และพิมพ์นาคปรก (หลวงพ่อสายรุ้ง) คือดังพอสมควร ใช้แล้วมีประสิทธิภาพ
    ต่อไปจะขอกล่าวถึงอภินิหารของวัตถุมงคล น้ำมนต์ และวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อไว้
    เรื่องที่ 4 กรรมตามทัน ก่อนงานฝังลูกนิมิตไม่นาน หลวงพ่อถมยาล้มป่วย และมรณภาพก่อนงาน ก่อนนั้นมีคนมาทำบุญกับท่านกันมาก มาขอของดีก็มา เมื่อได้ปัจจัยมา หลวงพ่อถมยาก็จะให้กรรมการวัดที่เชื่อใจเก็บ รองเจ้าอาวาสอยากเก็บเอง จะเอาเอง ได้แช่งหลวงพ่อถมยาว่า เมื่อไรจะตาย ๆ ไปซะที หลวงพ่อถมยาโดนแช่งประจำ แต่ท่านก็เฉย (หลวงพ่อถม
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสงฆ์ครับ อ.เฒ่าสุพรรณ

    พระสมเด็จเนื้อผงรุ่นแรกหลวงพ่อถมยา

    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250624_002022.jpg IMG_20250624_002048.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,293
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1750700445153.jpg

    หลวงพ่อมหาอาคม
    พระครูอนุรักษ์วาปีพิสัย หลวงพ่อมหาอาคม อินฺทสโร
    วัดดาวนิมิต บึงสามพัน เพชรบูรณ์
    ชาติภูมิ
    ชื่อเดิม : ชื่อ อาคม ตระกูล ประทุมทอง
    บ้านเกิด : วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2467 ณ บ้านโนนแดง หมู่ที่ 20 ต.ลำชี อ.กมลาพิไสย จ.กาฬสินธุ์
    ท่านเป็นบุตรโทนของนายเคน และนางแดง(เสียชีวิตแล้วทั้งสองท่าน)
    อุปสมบท : ปี พ.ศ.2487 ณ วัดบ้านโนนแดง(วัดบ้านเกิด)โดย พระสารคามมุณี เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายา “อินทสโร”
    #สมณศักดิ์
    พ.ศ.2494 เป็นเจ้าอาวาสวัดบุ้งน้ำเต้า และเจ้าคณะตำบลบุ้งน้ำเต้า อ.หล่มสัก
    พ.ศ.2519 เป็นเจ้าอาวาสวัดราหุล อ.บึงสามพัน และได้รับตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์
    พ.ศ.2525 เป็นพระครูสัญญาบัตรพัดยศ ชั้นโท ที่ “พระครูอนุรักษ์วาปีพิสัย” และ เจ้าคณะอำเภอบึงสามพัน พร้อมทั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดดาวนิมิต
    พ.ศ.2530 เป็นเจ้าคณะอำเภอชั้นเอก ในราชทินนามเดิม
    เรื่องราวของ “หลวงพ่อมหาอาคม อินทสโร” พระผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “อาคมขลังเมืองมะขามหวาน” หากจะว่ากันให้ละเอียดแล้ว 2 ฉบับ ก็ไม่หมดเนื้อหา ดังนั้นต้องกราบขออภัยที่ต้องย่อเรื่องให้กระชับ แต่อย่างไรก็ตามผมจะพยายามให้รายละเอียดต่าง ๆ คงเดิม ตามที่ “ครูแดง” ให้ข้อมูลมาครับ
    กล่าวได้อย่างเต็มที่ว่า หลวงพ่อเป็นผู้ฝักใฝ่ในการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง จะเห็นได้ว่าเมื่อเข้าเรียนขั้นมูลหรือชั้นประถมต้น เมื่อายุ 10 ขวบ พ.ศ. 2477 ณ โรงเรียนวัดโนนแดง ต.หนองแปง อ.กมลาไสย จ.มหาสารคาม ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ใกล้บ้าน หลวงพ่อใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้นก็จบชั้นประถมปีที่ 4 ใน พ.ศ. 2480 และในปีรุ่ง พ.ศ.2481 ท่านก็ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดบ้านตูมชัย ต.หนองแปง ในแถบบ้านเกิดของท่าน ขณะนั้นท่านอายุเพียง 14 ปี
    และดังที่ได้เรียนไว้เบื้องต้น หลวงพ่อเป็นผู้ใฝ่การศึกษา ดังนั้นในการศึกษาพระปริยัติธรรม ท่านจึงพ้นอย่างสะดวกสบาย โดยในขณะอายุ 19 ปี ท่านก็สอบนักธรรมชั้นเอกเป็นที่เรียบร้อย นอกจากนั้น ท่านยังได้เรียนบาลีไวยากรควบคู่ไปอีกจนแตกฉานกว่าสามเณรในวัยเดียวกัน และเพราะความที่ชอบในการศึกษา หลังช่วงว่างจากการศึกษาบาลีไวยากรแล้ว หลวงพ่อก็เริ่มศึกษาวิชาอาคมกับพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเขตจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งแต่ละเถรคณาจารย์จะเก่งทางด้านคงกระพันชาตรีและการขับภูติผีปีศาจ แก้คุณไสยต่าง ๆ อาทิ หลวงปู่ป้อ แห่งวัดบ้านเอียด ต.เขว้า อ.เมือง จ.มหาสารคาม และตั้งแต่เป็นสามเณรหลวงพ่อก็ได้วิชาต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะ วิชาขับผี ไล่ปอบ ซึ่งหลวงพ่อก็ได้วิชานี้จนโด่งดัง สมัยเป็นสามเณรแล้ว
    หลังจากอุปสมบทอย่างต่อเนื่องเมื่ออายุครบ 20 ปี แล้วหลวงพ่อก็ได้เดินทางไปศึกษาบาลีธรรมบท ในกรุงเทพมหานคร โดยพักจำพรรษาที่วัดสระเกศ 3 พรรษาด้วยกัน และได้เปลี่ยนสำนักเรียนอีก 2-3 แห่งคือวัดสุทัศน์ และวัดมหาธาตุ แต่แล้วในปี พ.ศ. 2490 ได้เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาขึ้น ประเทศไทยได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง เกิดวิกฤติ ข้าวยากหมากแพง จากกรุงเทพมหานคร หลวงพ่อก็ได้โยกย้ายกลับขึ้นไปทางภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ หลบภัยอดอยากจากสงครามโดยจำพรรษาอยู่ที่วัดพระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 2 พรรษา
    ก้าวแรกสู่แดนมะขามหวาน นครพ่อขุนผาเมือง”
    ปี พ.ศ. 2494 หลวงพ่อได้ออกธุดงค์จากจังหวัดเชียงใหม่ล่องใต้ตามไม้หมอนรถไฟ และข้ามน้ำข้ามห้วยปีนเขามาถึงอำเภอหล่มสักจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยจำพรรษาครั้งแรกที่วัดไพรสณฑ์วรารามและได้รับมอบหมายจากเจ้าอาวาสให้เป็นครูสอนบาลีธรรมเพราะในขณะนั้น หลวงพ่อได้เปรียญธรรม 4 ประโยค และในปี พ.ศ.เดียวกันนี้ หลวงพ่อก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลลุ้งน้ำเต้า อ.หล่มสัก และจุดนี้คือจุดหักเหให้ชีวิตในสมณเพศของหลวงพ่อ เป็นไปในการเผยแผ่พระศาสนา อบรมปฏิบัติธรรม จริยธรรม แก่พระภิกษุสามเณรในเขตการปกครอง ตลอดจนการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยการเทศน์สั่งสอน อุบาสก อุบาสิกา และประชาชนทั่วไป จนทำให้ชื่อเสียงในการเป็นพระธรรมถึกของหลวงพ่อโด่งดังไปทั่วอำเภอและใกล้เคียง
    ในปีรุ่งขึ้น พ.ศ.2495 หลวงพ่อก็ได้รับความไว้วางใจ จากคณะสงฆ์จังหวัดเพชรบูรณ์แต่งตั้งให้เป็นพระธรรมฑูต ของจังหวัดเพชรบูรณ์ มีหน้าที่ออกเผยแผ่ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป ตลอดจนพระภิกษุและสามเณรในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์และใกล้เคียง และเพื่อสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ หลวงพ่อจึงต้องจำพรรษาในจังหวัดซึ่งเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่ ณ วัดมหาธาตุ พระอารามหลวงประจำจังหวัด ซึ่งเป็นวัดที่หลวงพ่ออยู่จำพรรษามากที่สุด ก่อนที่จะไปดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอบึงสามพัน
    ช่วงที่อยู่จำพรรษาที่วัดมหาธาตุ เพชรบูรณ์ หลวงพ่อได้ศึกษาวิชาทางโลกเพิ่มเติมจนได้รับสิทธิให้เข้าสอบวิชาครู และสอบได้ในประกาศนียบัตรจากกระทรวงศึกษาธิการ หลักสูตร “ครูมลพิเศษ” และนับเป็นรูปแรกของพระภิกษุในจังหวัดเพชรบูรณ์ และเพราะวิสัยชอบศึกษาความรู้ในทุก ๆ แขนง เท่าที่โอกาสจะอำนวยให้จนเป็นผู้คงแก่เรียน รู้จริง ปฏิบัติจริง ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อจึงได้รับโปรดประทานจากสมเด็จพระสังฆราชาฯ ให้ดำรงตำแหน่ง “พระวินัยทรในเขตภาคเหนือ” มีหน้าที่ดูแลความเป็นระเบียบของพระภิกษุสามเณรให้อยู่ในระเบียบวินัยและกฎของมหาเถรสมาคม เขตรับผิดชอบ 8 จังหวัดทางภาคเหนือตอนล่าง อาทิ พิจิตร, นครสวรรค์, กำแพงเพชร, สุโขทัย, อุตรดิตถ์, พิษณุโลก, ตากและเพชรบูรณ์
    หลวงพ่อมหาอาคมอยู่ในตำแหน่ง “พระวินัยทร” ตั้งแต่เริ่มแรก จนถึงเมื่อยกเลิกระบบการปกครองของสงฆ์ในปี พ.ศ. 2507 นับเป็นพระวินัยทรรูปสุดท้ายของจังหวัดเพชรบูรณ์
    นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2505-2517 หลวงพ่อตั้งปณิธานที่จะออกธุดงควัตร บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมและศึกษาด้านเวทมนต์คาถาจากพระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ เพิ่มเติม โดยเริ่มต้นจากภาคเหนือ นับแต่ พิจิตร, พิษณุโลก, สุโขทัย ข้ามภูพระวอที่ตาก ไปแม่สอดและข้ามแม่น้ำเมยเข้าไปพม่า จากนั้นจึงวกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือทางจังหวัดเลย มุ่งอีสานข้ามแม่น้ำโขงไปฝั่งลาว แขวงจำปาศักดิ์ แล้วลงภาคใต้ที่ประจวบฯ ลุยขึ้นเขาสามร้อยยอดต่อไปอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปักกลดแถบเขาโตนงาช้างของนครศรีธรรมราช, ยะลาและข้ามไปปาดังเบซาร์แดนมาลายู
    หลวงพ่อใช้เวลาการเดินทางธุดงค์ศึกษาศาสตร์ต่าง ๆพร้อมทั้งบำเพ็ญเพียรกรรมฐาน และสมาธิจิตกลางป่าดงดิบนานถึง 12 ปีเต็ม ๆ ได้วิชาความรู้ด้านเวทมนต์คาถา จากพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคมหลายรูป ทั้งฝากตัวเป็นศิษย์ และทั้งแลกเปลี่ยนวิชาอักขระยันต์ต่าง ๆ ตามแต่โอกาสจะอำนวยให้ เช่น ปี พ.ศ. 2508 ขณะธุดงค์ไปจังหวัดตาก ข้ามภูพระวอไปอำเภอแม่สอด ได้ไปขอศึกษาวิชาคงกระพันชาตรี เพิ่มเติมกับ “ครูบากัญชัย” หรือ พระครูศิริรัตนาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดมาตานุสสรณ์ บ้านแม่กึ๊ดหลวง ฉายา เทพเจ้าลุ่มแม่น้ำเมย
    และในปีเดียวกันนี้ หลวงพ่อก็ได้ตัว “นะ” สำคัญยิ่งมาหนึ่งตัว นะตัวนี้หลวงพ่อเคยนำมาสักให้กับลูกศิษย์คนหนึ่งปรากฏว่าเมื่อเด็กคนนี้โตขึ้นมา ถ่ายรูปทำบัตรประชาชนไม่ติด ต้องมาสักแก้จึงถ่ายรูปทำบัตรประชาชนได้ นะตัวดังกล่าวคือ “นะลือชา” หลวงปู่แพง วัดสิงห์หารบ้านสะพือ อุบลราชธานี ศิษย์เอกเทพเจ้าภูเขาควายที่ลือลั่น “สมเด็จรุน” หลวงพ่อได้ร่ำเรียนวิชา ฝังตะกรุดทองคำใต้ท้องแขน และฝังแก้วมณี 4 ดวง (แก้วมณี โชติ-แก้วไพฑูรย์-แก้วปัทมราช-แก้ววิเชียร) คาถาเหล่านี้เป็นคาถาสารพัดนึก ใช้ได้ อยู่ยงคงกระพันมหาอุด แคล้วคลาด เมตตามหานิยม แก้คุณไสยทุกประเภท
    หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ นครสวรรค์ สุดยอดพระเกจิในอดีต ได้มอบยันต์และคาถากำกับโดยผ่านศิษย์เอกของท่านรูปหนึ่ง ซึ่งปักกลด อยู่ตรงรอยต่อของอำเภอท่าตะโก นครสวรรค์และเพชรบูรณ์ และหลวงพ่อมหาอาคมได้ไปพบเข้าพอดี นะของหลวงพ่อเดิมที่หลวงพ่อได้รับมา คือ “นะ ซ้อนหัว” ซึ่งหลวงพ่อมหาอาคมได้นำลงในตะกรุดทุกดอกของท่านที่มีการจัดสร้าง
    หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู ลพบุรี คือ พระเกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่งที่หลวงพ่อได้ไปขอศึกษาวิชาอาคมโดยถวายตัวเป็นศิษย์ ซึ่งหลวงพ่อพริ้ง ได้เมตตามอบคาถา “ประสานกระดูก” ให้หลวงพ่อทำน้ำมันวิเศษ 108 รักษาประชาชนได้สารพัดโรค
    หลวงพ่อใช้ จังหวัดอุตรดิตถ์ ศิษย์เอกหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง ภูเก็ต ได้มอบตำราและคาถาการสร้างยันต์ตะกรุดโทน “คู่ชีวิต” ให้เมื่อครั้งหลวงพ่อธุดงค์ผ่านจังหวัดอุตรดิตถ์
    และเมื่อต้นปี 2513 เมื่อหลวงพ่อข้ามเขารังไปยังอำเภอชนแดน เพื่อกราบนมัสการเยี่ยมหลวงพ่อทบ ที่วัดพระพุทธบาทชนแดน เพราะทราบข่าวว่ามีคนร้ายบุกขึ้นไปปล้นทรัพย์หลวงพ่อทบบนกุฏิและคนร้ายได้ยิงหลวงพ่อทบถึง 4 นัด แต่ลูกปืนไม่ออก หลวงพ่อได้กราบเรียนหลวงพ่อทบว่า ขณะที่คนร้ายยิงหลวงพ่อทบได้ใช้คาถาอะไร ปืนคนร้ายจึงยิงไม่ออก หลวงพ่อทบท่านมีความเมตตา และชอบพอนิสัยหลวงพ่อมหาอาคมอยู่ก่อนแล้ว จึงได้ท่องคาถาให้หลวงพ่อมหาอาคมฟัง 1 เที่ยว แล้วลองให้หลวงพ่อท่องให้ฟัง ปรากฏว่าหลวงพ่อมหาอาคมท่องได้ถูกหมดและแม่นยำ หลวงพ่อทบจึงได้บอกว่าเอาไปใช้ดูเป็นคาถาดับไฟดับปืนให้เป็นน้ำ ซึ่งก่อนหน้านี้หลวงพ่อมหาอาคมก็เคยได้คาถา “เมตตาค้าขายดี” ของหลวงพ่อทบมาก่อนแล้ว โดยผ่านโยมผู้หญิงกลางคนหนึ่งที่เป็นศิษย์หลวงพ่อทบ ซึ่งโยมผู้นั้นมีอาชีพค้าขาย ต้องการค้าขายดี ร่ำรวย จึงได้พาลูกและครอบครัวไปกราบขอพึ่งบารมีหลวงพ่อทบ ซึ่งท่านได้เมตตาเขียนเป็นตัวหนังสือขอมลงในกระดาษแทนผ้ายันต์ เพื่อให้ไปบูชา เมื่อได้คาถามาแล้วโยมผู้นั้นอ่านไม่ออก ก็นำคาถาบทนั้นมาให้หลวงพ่อมหาอาคมอ่านและแปลให้ฟัง หลวงพ่ออ่านและแปลจนเข้าใจและท่องจำได้ขึ้นใจ เมื่อมีโอกาสพบหลวงพ่อทบจึงท่องให้ฟัง ซึ่งหลวงพ่อทบบอกว่าใช่ ความจำมหาดีมาก ฉันยกให้ลองเอาไปใช้ดูนะแม้จะได้วิชาอาคมจากพระเกจิชื่อดังแห่งยุคหลาย ๆ รูป แต่ดูเหมือนจะไม่อิ่มในการใฝ่เรียนรู้ของหลวงพ่อมหาอาคมเพราะแม้แต่คฤหัสคนใดที่เก่งจริงรู้จริง หรือจะเป็นเทพเป็นร่างทรง ท่านเป็นขอศึกษาเล่าเรียนทันที เช่น “หลวงปู่ทองคำ” ซึ่งอยู่ในร่างทรงของผู้ประพฤติดี ปฏิบัติดี ท่านหนึ่ง (หลวงปู่ทองคำ เป็นพระภิกษุที่มรณภาพกว่า 400 ปีแล้ว) หลวงพ่อมหาอาคมก็เคยฝากตัวเป็นศิษย์ และได้คาถาดี ๆ จากองค์ที่นับถือเป็นครูอาจารย์
    12 ปี แห่งการแสวงหาและบำเพ็ญเพียรของหลวงพ่อมหาอาคม ได้ทำให้วัตถุมงคลของท่านมีพุทธาคมเข้มขลัง มีพลังแห่งอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์สูงส่ง
    และเป็นที่มาแห่งฉายา“อาคมขลัง เมืองมะขามหวาน”
    และนับแต่ปี พ.ศ. 2520 หยุดการธุดงค์แล้ว 15 ปี หลวงพ่อก็เริ่มจำพรรษาที่วัดบ้านราหุล ต.โคกตะยอ อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ ตามคำนิมนต์ ของบรรดาศิษย์และได้ค้นหาภูเขาเล็ก ๆ ที่เคยเดินธุดงค์มาพบ เพราะเหมาะแก่การสร้างวัด เมื่อค้นพบแล้วจึงชวนชาวบ้านและคณะศิษย์ย้ายจากวัดราหุล เริ่มก่อสร้างวัดขึ้นใหม่ ในทำเลนี้ ซึ่งก็คือ วัดดาวนิมิต ในปัจจุบัน
    มรณกาล
    หลวงพ่อมหาอาคมถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชราในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ นับเป็นการสูญเสียพระเถระผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบไปอีกรูปหนึ่ง สุดท้ายนี้จะได้นำเอาคำสั่งสอนของหลวงพ่อมาลงไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ดังนี้
    "มนุษย์และสัตว์ในโลกนี้ เขาเหล่านั้นมาเกิด
    เขาไม่รู้ว่าชาติความเกิดเป็นทุกข์ ชราความแก่เป็นทุกข์
    พยาธิความป่วยไข้เป็นทุกข์ มรณะ ความตายก็เป็นทุกข์
    เกิดมาแล้วโตขึ้นมาจึงเห็นความทุกข์ จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
    ถ้าเขารู้คงไม่มาเกิดและไม่มีใครอยากเกิดด้วย
    เกิด แก่ เจ็บ ตาย สี่อย่างนี้มาพร้อมกันตั้งแต่เกิด
    ถ้าไม่เกิด ก็ไม่แก่ ถ้าไม่แก่ก็ไม่เจ็บ ถ้าไม่เจ็บก็ไม่ตาย
    เขาเรียกกันว่าธรรมชาติ เป็นธรรมดาของโลกต้องเป็นไปอย่างนั้น
    ขันธ์ทั้ง ๕ (ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ)
    ไม่มีเจ้าของ ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีผู้เสวย ไม่มีผู้ตั้งมั่น ไม่มีผู้ดำเนิน
    (ดังนั้นจึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ว่าเป็นตัวเรา
    และไม่ควรยึดมั่นสิ่งทั้งหลายว่าเป็นของเรา)"
    เปิดบันทึกตำนานหลวงพ่อมหาอาคม-

    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหล่อรุ่น๑หลวงพ่อมหาอาคม

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250624_004141.jpg IMG_20250624_004210.jpg IMG_20250624_004113.jpg
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,293
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1750699753882.jpg FB_IMG_1750699821949.jpg

    สมเด็จตรัสรู้ วัดทุ่งเสรี ปี๒๕๑๙
    หลวงปู่โต๊ะ , อ.ชุม ไชยคีรี และพระเกจิรวมปลุกเสก
    พระผงพิมพ์โพธิ์ พุทธคยา วัดมหาธาตุ ปีพ.ศ. 2519 พิธีใหญ่ หลวงปู่แหวน หลวงปู่โต๊ะ พร้อมกล่องเดิม
    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง พระผงใบโพธิ์พุทธคยา จัดสร้างปี พ.ศ. 2519 โดยวัดทุ่งเสรี กรุงเทพ มีขนาดเล็ก สูง 2.3 x 1.5 ซ.ม. พิธียิ่งพุทธาภิเษกยิ่งใหญ่ มีการปลุกเสก 3 วาระด้วยกันดังนี้
    วาระที่ 1 เกจิคณาจารย์ดังจากทั่วประเทศปลุกเสกเดี่ยว 99 รูป
    วาระที่ 2 ประกอบพิธีปลุกเสก ณ สถานที่ตรัสรู้ ภายในบริเวณมหาวิหารพุทธคยา ประเทศอินเดีย
    วาระที่ 3 ประกอบพิธีพุทธาภิเษกที่วัดทุ่งเสรี กรุงเทพ วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2519 โดยมีพระเกจิคณาจารย์ชื่อดังจากทั่วประเทศมาร่วมพิธีมากมาย อาทิ
    หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
    หลวงพ่อสงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย
    หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง
    - หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง
    - หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม
    - หลวงปู่เส่ง วัดกัลยาณ์
    - หลวงพ่อผล วัดมหาธาตุ
    - หลวงพ่อผ่อง วัดสามปลื้ม
    - พระมงคลราชมุนี วัดสุทัศน์
    - พระอาจารย์สมพวง วัดเวฬุราชิน เป็นต้น
    พระอาจารย์ ชุม ไชยคีรี เป็นต้น นอกจากนี้ หลวงปู่แหวน ได้ปลุกเสกเดี่ยวเพิ่มอีก ณ. วัดมหาธาตุ จ.กรุงเทพฯ
    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง พระผงใบโพธิ์พุทธคยา เสก 3 วาระ พร้อมกล่องเดิม พ.ศ.๒๕๑๙

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งเดือน 30 บาทครับ

    IMG_20250624_001922.jpg IMG_20250624_001947.jpg IMG_20250624_001855.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...