ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ไปเหยียบอะไรมาหรือเปล่า ถ้าเป็นกลิ่นที่แมวชอบ บอกเท่าไรมันก็ไม่ไปหรอก แมวมันจะต้อง "แทะเท้า" rabbit_eating เพื่อพิสูจน์ดูก่อน อะนะ หุหุ

    +++ ภาษา "คน" แมวมันไม่สนหรอก มันจะรู้เรื่องได้ก็ต่อเมื่อ "ส่งเจตนา" (เจโต) ให้มันเท่านั้น

    +++ ให้มัน "แทะเท้า" rabbit_eating ไปพลาง ๆ ก่อนจนกว่าจะ "ส่งเจตนา" ได้สำเร็จนะ อิอิ
     
  2. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    +++ ส่วนคำศัพท์ที่ว่า "สังเกตุดีๆจะมีพลังงานไอสีขาวพุ่งออกไป" นั้น ให้สังเกตุดี ๆ ว่า "มันเป็น สีขาว แบบไอน้ำพวยพุ่ง" หรือเป็นแบบ "ใส แต่มีสภาพ พวยพุ่ง" ตรงนี้ต้องใช้ "ภาษาให้ตรงกับอาการ" เพราะ อาการ 2 อย่างนี้ สามารถใช้เป็น "มาตรวัด" ว่าในขณะนั้น ๆ "ฐานเวทนา หรือ ฐานจิต" เป็นลักษณะเด่น รวมถึงการบ่งชี้ ความละเอียดของ "สติ + สัมปชัญญะ" ได้ว่า อยู่ในฐานไหน

    @@@@@ อาจารย์คะสังเกตุดูแล้วยิ่งเห็นชัดเมื่อวานนอนแป๊บนึงตอนเย็นตื่นมาไปเข้าห้องน้ำแบบมืดๆหน่อยมันพวยพุ่งออกมาเห็นชัดเจนน่าจะเป็นแบบไอน้ำน่ะค่ะ ช่วงนี้สังเกตุได้จะเป็นตลอดช่วงสติดีๆจะเห็น

    เมื่อคืนตอนนอนกำหนดไปรู้สึกเหมือนตัวกำลังจะหาย แต่มันไม่หายอีกนิดเดียว รู้สึกว่าร่างเรามันเป็นพลังงานเหมือนมันจะลอยเหมือนลูกโป่งมันขยายๆตัวด้วย ความรู้สึกในร่างกายมีนิดหน่อย พักนึงจิตมันก็ถอนออกมาเอง รู้สึกตัวมากขึ้น แล้วมีเสียงกระทบที่ฝาผนังนิดเดียว แล้วมีพลังงานผ่านตัวเราไปเหมือนตอนที่อาจารย์ให้กำหนดคลื่นตกกระทบของเสียงประทัดน่ะค่ะ แต่อันนี้รู้สึกชัดเจนมาก ความรู้สึกเมื่อมันผ่านตัวเราไป ตัวของเรามันเป็นโล่งๆ มันว่างๆ เหมือนตัวเราไม่มีอยู่เลยค่ะ.
    ...... เมื่อคืนโดนดึงอีกแล้วค่ะ ก่อนดึงเหมือนเค้ามาเคาะเท้าขวาเราด้วย ดึงคนละข้างซ้ายขวา เราก็ปล่อยเค้าดึงไปเรื่อยๆ 55555 สบายดี รู้สึกลอยออกทางเท้าไปเรื่อยๆแบบนุ่มนวลเหมือนจะออกไปทั้งตัวแต่แปลกไม่ได้ยินเสียงโลกทิพย์ สงสัยออกไม่หมดก็ไม่ทราบได้แต่รู้สึกว่าเราลอยอยู่ คิดว่ายังออกไม่สมบูรณ์มั้ง เลยหลับต่อค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 กุมภาพันธ์ 2015
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ "ชัดเจนน่าจะเป็นแบบไอน้ำ" ตรงนี้ยังอยู่ในฐานของ "กายเวทนา" ในขณะที่ยังอยู่ในฐานนี้ หากต้องการฝึกทางด้าน "การเดินธาตุ" ก็ให้บังคับตรง ๆ ไปที่กายเวทนา ว่าจะให้มีลักษณะเช่นไร เช่น หนักแน่น (ดิน ตรงนี้น่าจะได้กันทุกคน กาย 100) ไหลสะพัด (น้ำ) โบกสบัด (ลม) พลังงานความร้อน (ไฟ) ว่างแบบอากาศ (กาย 0) เป็นต้น

    +++ ให้ใช้ "จิตเคลื่อนร่าง" แล้วบังคับ "กระแสของการเคลื่อน" ให้เป็นแบบ "ลม หรือ น้ำ" ก็ได้ สำหรับ ลม จะดีที่สุดก็ตอน "เดินจงกรม" จะสามารถสังเกตุการเคลื่อนตัวของ "ร่าง" ได้ดีที่สุด

    +++ ให้ทำตรงนี้ในขณะที่ "เดินจงกรม" ไปด้วย ในขณะที่ "ตัวกำลังจะหาย รู้สึกว่าร่างเรามันเป็นพลังงาน เหมือนมันจะลอยเหมือนลูกโป่ง มันขยายๆตัวด้วย" ให้สังเกตุ "เปรียบเทียบ อาการตรงนี้ กับ กาย 0 ไปด้วย" การเดินจิตสลับไปมา ระหว่าง "กาย 0 กับ อากาศธาตุ" ให้สังเกตุ "ความเหมือน และ ความต่าง" รวมทั้งผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมาในทุกขณะ

    +++ ในยามใดก็ตามที่ "สิ่ง หรือ พลังงาน ที่ตกกระทบเข้ามา" สามารถ "พุ่งทะลุผ่านตัวเราไปได้เลย ประดุจ วิ่งผ่านไปมาใน ความว่าง" ในยามนั้นแหละ สิ่งที่เรียกว่า "อัตตา ตัวตน" ไม่ปรากฏ หรือสามารถเรียกได้ว่า "ไม่มีอัตตา" ในขณะนั้น ๆ ซึ่งปกติแล้ว "สภาวะนี้ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้กับ พุทธภูมิ" เพราะ "พุทธภูมิ จะไม่มีขีดความสามารถที่จะ ละอัตตา ลงได้เลย"

    +++ อย่างหนึ่งที่สามารถสังเกตุ และ แยกแยะได้ในตอนนี้คือ สภาวะของ "พุทธภูมิ กับ พุทธเกษตร" น่าจะเป็นคนละสภาวะ และมีความแตกต่างกัน อย่างแน่นอน เพราะ "บัลลังค์แห่งพุทธเกษตร" ได้ปรากฏกับคุณ jsso แต่คุณ jsso สามารถอยู่ในสภาวะที่ "ไร้อัตตา" ได้

    +++ แต่ตรงนี้คุณ jsso ต้องสังเกตุให้ดี ๆ นะว่า "ความเป็นตน" แม้ว่าจะ "รู้สึกหรือไม่ก็ตาม" ยังมีอยู่หรือไม่ ให้ทำ "สภาวะรู้" ครอบคลุม "สภาวะทางจิต รวมถึง การทำงานทางจิตทั้งหมด" แล้วให้ "สภาวะรู้ครอบคลุม" อยู่อย่างนั้น แล้ว "หาสภาวะที่เรียกว่า ตน" โดย "รู้คลุม ตัวที่กำลังหา ไว้ตลอดเวลา" เป้าหมายคือ "ตัวที่กำลังหา" นั้น "ใช่ตนหรือไม่"

    +++ เมื่อรู้ชัดแล้ว ให้ทดสอบ "สภาวะ ตนว่าง" อีกครั้งว่า "สภาวะแห่งความเป็น ตน" ในขณะนั้น "ยังมีอยู่หรือไม่" หรือมันเป็นแค่เพียง "การหดตน ไปเหลือเพียงแค่ ตัวดู เท่านั้น" แล้ว "ละ" สภาวะอื่นออกไป จนคล้าย "ความว่าง" คล้ายสภาวะ "ไร้อัตตาตัวตน" โดยที่ "ความเป็นตัวตน มันหดตัวหลบ ไปเหลืออยู่แค่เพียงตัวดู" ตรงนี้ "เป็นจุด หลง ขนาดใหญ๋ของนักปฏิบัติ" เพราะจะ "เห็น" ความว่าง แต่ไม่ได้ "เป็น" ความว่างด้วยตนเอง

    +++ คราวหน้า หากเกิดมีการ "ดึงเท้า" อีก ก็ให้ "เปลี่ยนมาเป็น การนวด" แล้ว "ปล่อยให้เขานวด" อยู่อย่างนั้น ส่วนตัวเราเอง "ให้สังเกตุให้ดีว่า" เวลาที่เขานวดนั้น "เขานวดที่กายไหนของเรา" หากสังเกตุออกก็จะรู้ได้ชัดเจนว่า "เขานวดตรง ๆ มาที่ กายเวทนา ของเรา" นั่นเอง ส่วนเรื่อง "การถอดกาย" นั้น แรก ๆ ให้อยู่ที่ กาย 50 จะสดวกที่สุด เมื่อชำนาญแล้ว จึงค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ นะครับ
     
  4. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    อาจารย์คะ การเดินธาตุมีประโยชน์อย่างไรเหรอคะ ความรู้สึกส่วนตัวตอนนี้ถ้าบอกว่าไม่เป็นพุทธภูมิหรือเป็นแต่ลาได้จะดีใจมากๆ ลิงโลดเลยค่ะ เคยกลัวผีไม่กล้าถอดกายเวทนา แต่ตอนนี้อยากถอดมากๆเพื่อไปหาเหตุว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ "การเดินธาตุ" คือ "การเดินจิต" ในส่วนของ "เวทนากายกับเวทนาจิต" ที่เรียกว่า "กายเวทนา กับ กายธรรมารมณ์" นั่นเอง

    +++ ประโยชน์จะมีในส่วนของการ "อยู่-ย้าย" ไปมารวมถึง "การแทรกแซงขันธ์" และเป็นการฝึกของ "วสี 5" อยู่ในตัว

    +++ ทั้งหมด ถ้าจะเรียกตามภาษาของ ภพภูมิ ก็จะเป็นการ "ปรับภพแปลงภูมิ" ก็ได้ เช่น หากเราตกอยู่ในธรรมารมณ์ที่เป็นทุกข์ ณ ขณะนั้นเป็น "อบายภูมิ" เราก็สามารถแทรกแซงธรรมารมณ์ของเรา ให้แปรเปลี่ยนเป็น "สุคติภูมิ" ได้ทันที เช่น "ทดสอบกาย 0 ในสภาวะทุกข์" หรืออื่น ๆ เป็นต้น

    +++ ในขณะที่ร่างกายเป็นทุกข์ (เจ็บป่วยบางประการ) เราก็ใช้ การเดินจิตแบบ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ว่าง ต่าง ๆ แล้วดูว่า "อาการไหนดีที่สุดกับเรา" เราก็ "อยู่" กับอาการนั้น (คุณ อินทรบุตร เคยใช้ในตอนไปต่างประเทศ เพื่อรักษาอาการของตนเองมาแล้ว)

    +++ จากอาการ "พุทธเกษตร" ที่เกิดขึ้นกับคุณ jsso นั้น เป็นอาการที่ "หายากอย่างยิ่ง" จากการที่ผมฝึกบุคคลมานานมากกว่า 20 ปีนี้ คุณ jsso เป็น "รายแรก (สงสัยเรียกว่า รุ่น 1 เนื้อผง แหง ๆ ;)) ที่ปรากฏเป็น พุทธเกษตร ชัดเจน"

    +++ จากสภาวะทางจิตของคุณ jsso นั้น มีความแตกต่างไปจาก "เหล่าพุทธภูมิ" ที่สามารถเห็นกันได้โดยทั่วไป ดังนั้น "ตรงนี้" จึงทำให้ผม "แยก" พุทธเกษตร ออกจาก พุทธภูมิ เพราะทั้ง "รูปแบบและเนื้อหา" ที่ปรากฏออกมา "มีความแตกต่าง" กันแบบ เหนือ-ใต้ ไปกันคนละทาง

    +++ สำหรับ "ตำนาน" ของทาง มหายาน เกี่ยวกับ พุทธเกษตร นั้น "ต้องฟังหูไว้หู" เพราะผมไม่มั่นใจว่า ผู้ที่เขียนนั้น "เป็น" พุทธเกษตร ด้วยตัวของตัวเอง หรือไม่

    +++ อีกประการหนึ่ง "โดยส่วนตัวของคุณ jsso เอง" หากสามารถฝึกจน "เป็นสภาวะรู้ได้" เมื่อไร ก็จะเป็นการ "ฉีกตำราแห่งความเชื่อ" ออกไปได้เลย และ จะสามารถ "พิสูจน์" ได้ด้วยตัวของตัวเองว่า "พุทธเกษตร" ที่แท้จริง คือ อะไรกันแน่ ดังนั้น "ให้เดินหน้าต่อไป" ด้วยการฝึกที่ "อยู่" กับความเป็นจริงโดยสถานเดียวเท่านั้นที่จะ "เฉลย" ตรงนี้ออกมาได้

    +++ การ "ถอดกายเวทนา" นั้นต้อง "อยู่ จน เป็น" กายเวทนาแล้วเท่านั้น จึงจะถอดออกมาได้ และ "ก่อนจะถอด" จะต้องตั้งใจไว้ก่อนว่า "เมื่อถอดออกมาแล้ว จะทำอะไร" เพราะ "การถอด จะเป็น อัปปนาสมาธิ เสมอ" ซึ่ง ความคิดเรื่อยเปื่อยแบบมนุษย์ จะ "เกิดขึ้นไม่ได้" ในขณะที่ถอด นะครับ
     
  6. ้เดินธรรม

    ้เดินธรรม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอสวัสดีครับ อาจารย์ธรรม-ชาติ และพี่่ๆกัลยาณมิตรทุกท่าน
    ผมจะขอเล่ารายละเอียดเลยนะครับ
    เมื่อปีก่อน(2557) ผมได้ทำการฝึกตามในหน้าแรก
    ของกระทู้่้ฝึกกรรม-ฐานด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายของอาจารย์
    ์แต่ผมฝึกผิดวิธี (เพิ่งรู้ว่าผิด ไม่นานมานี้เอง)
    ผมเริ่มฝึก โดยการหายใจเข้าท้อง (หายใจเข้าท้องพอง)
    แบบเต๋า ไทเก๊ก (ผมฝึก 2 อย่างนี้มาก่อน
    โดยอ่านเอา จากอินเตอร์เน็ต แล้วลองฝึกดู)
    โดยไม่เจตนา และมุ่งฝึกต่อไป
    แต่ผลที่ได้ มีอาการเต้นตุบๆ บริเวณศีรษะ
    ไม่แน่ใจว่า ใช่ความรู้สึกตัวหรือเปล่า
    ต่อจากนั้น ผมก็ใช้การดูใบยังหูซ้าย
    สักพักก็เต้น ทำซำ้กับหูขวา บน ลงล่าง ได้ส่วนหัว
    (ไม่ได้ทำได้ในครั้งเดียว) แล้วทำการแช่อยู่กับอาการนี้
    (โดยส่วนมาก ผมมักจะฝึกในท่านอนเป็นหลัก) แล้วก็ทำแบบเดิม ครั้งต่อมาก็ขยายจุดดู
    ลงมาที่คอ ไหล่ แขน มือ ทีละข้าง ทั้งสองข้าง
    ต่อมาก็ หน้าอก เอว สะโพก ขาทั้งสองข้าง
    ไปทั่วทั้งตัว (ทั้งตัวทำได้ไม่กี่ครั้ง)
    แล้วนอนแช่หลับทั้งอย่างนั้น ไม่มีการอาการฝัน
    เหมือนกับยังรู้สึกอยู่ มีอาการซ่าน เหมือนเป็นตะคริวในบางครั้ง รู้สึกเหมือนเจ็บ ก็ขยับตัว
    สักพักอาการก็หายไป ในบางครั้งเกิดอาการเต้นตุบๆเอง
    บริเวณนิ้วมือ หากอยู่เฉยๆ แล้วดูตรงนั้น
    มันก็ชัดขึ้น แรงขึ้น พอเลิกสนใจ หรือขยับไปมา เดี๋ยวก็หายไป การปฏิบัติเกือบทั้งหมด ผมฝึกตอนก่อนนอน
    แล้วอยู่อย่างนั้นเป็นคืนๆ ช่วงไหนเร่งฝึก
    มักเกิดอาการร้อนๆ ไหลตามเนิ้อตัว หัว
    เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยมา จนต่อมามีผู้ฝึกใหม่
    ่มาโพสลงในกระทู ้มีอาการคลายคลึงกันกับผม
    ซึ่งอาจารย์แนะว่าใ"แช่นานไป" (ให้ฝึกเพิ่มความรู้สึกแทน)
    แต่ผมตอนนี้สามารถหลับตา แล้วรู้สึกถึง
    อาการเต้นตุบๆได้ โดยไม่ต้องใช้ลมหายใจ
    (ประมาณว่าดูสัก 1-2 อึดใจก็มาแล้ว) ประกอบกับมีความร้อนอยู่ภายในร่างกาย
    (ผมเช็คโดยถามคนอื่น ที่อยู่บริเวณเดียวกันว่าร้อนไหม
    กับอยู่ในที่ที่อุณหภูมิปกติ กับที่ที่เย็นนิดๆ ก็ยังร้อนจากภายใน) เป็นพักๆ
    ผมสมควรจะทำอย่างไรต่อไปครับ
    วิธีที่ผมใช้ฝึกสามารถใช้ได้ ไหมครับ
    หากไม่ ผมต้องเริ่มใหม่หรือเปล่าครับ
    ขออาจารย์ชี้ทางให้ด้วยครับ
    และผมจะขอเข้าร่วมการฝึกต่อหน้ากับอาจารย์ ทันมั้ยครับ

    *หมายเหตุ หากว่ามีอักษรใดตกหล่น เว้นวรรคไม่ดี บรรทัดขาดเกิน หรือสระลอย ก็ต้องขออภัยไว้นะที่นี้ด้วยนะครับ เนื่องด้วยผมใช้โมบาย ไม่สามารถจัดตัวอักษรได้ดั่งใจนึก ซึ่งผมก็พยายามแล้วครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กุมภาพันธ์ 2015
  7. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ การ "เริ่มต้นฝึกอย่างถูกต้อง" จะอยู่ใน โพสท์ที่ 7 ของหน้าแรก "กระทู้นี้จะเริ่มต้นที่ ความรู้สึกตัว" ให้เริ่มจากตรงนี้ก่อน นะครับ

    +++ ตรงนี้ "ยังไม่นับ" เพราะจะไม่สามารถ "เข้ากายเวทนา" ได้

    +++ ตรง "อาการซ่าน" นั้น คือ อาการที่ต้องการ และ "ตรงนี้ ถูกต้อง" แล้ว

    +++ การ "แช่" นานไปจะทำให้ "ขาด" การฝึกใน "วสี 5" ซึ่งถ้าเกิดนานเกินไป จะทำให้ "ติดในสมาธิ" และจะไม่สามารถเข้าสู่ "วิปัสสนาญาณทัศนะ" ได้เลย

    +++ หากนับกับแบบ "สมาธิ" ธรรมดาแล้ว ก็สามารถนับได้ว่า คุณ ้เดินธรรม ได้สมาธิอยู่บ้าง

    +++ แต่ถ้าหาก "ต้องการ" ให้ได้ผลลัพธ์ ที่เหมือนกับ ผู้ฝึกอื่น ๆ ที่เข้ามาฝึกฝนแล้ว ได้ "กายเวทนา" ตรงนี้คุณ ้เดินธรรม ควรจะต้อง "ฝึกใหม่" เพราะมิฉะนั้นแล้ว "อาการ หรือ สภาวะธรรม" ที่ควรได้ตามแบบฉบับการฝึกนี้ "จะไม่มี" รวมทั้ง วสี 5 และการ "อยู่-ย้าย" ต่าง ๆ จะยากมาก หรือ อาจจะทำไม่ได้เลยก็เป็นได้ เพราะ "ขาดฐานที่มั่นคง" ตรงนี้เป็น "หัวใจ" ของการฝึก

    +++ หากคุณ ้เดินธรรม สามารถ "ทำ" ความรู้สึก "ได้ทั้งตัว" แล้ว ก็สามารถ เข้าร่วมฝึกได้ ให้ "ทำ" ตามโพสท์ที่ 7 ของหน้าแรก "กระทู้นี้จะเริ่มต้นที่ ความรู้สึกตัว" ให้ได้ก่อน เพราะหลังจากตรงนี้แล้ว การปฏิบัติจะ รุดหน้าเร็วมาก ความแตกต่างระหว่าง "วันต่อวัน" จะเห็นได้ชัดเจน

    +++ ส่วนการทวนอาการย้อนหลัง จะมีก็เพียง 2-3 ยกเท่านั้น ไม่เกินกว่านี้ และแต่ละยกก็กินเวลาไม่เกิน 10-15 นาที จากนั้นก็ทำการ "ต่อยอด" ออกไปเลยตรง ๆ

    +++ ลอง pm ถามคุณ jsso คุณ jadeprawit ดูก็ได้ว่า "ความรุดหน้า" ในการฝึกเพียง "ไม่กี่วันนั้น" ระดับ "วันต่อวัน" ต่างกันขนาดไหน และถ้าหากยังทำ "กายเวทนา" ไม่ได้ โอกาสที่จะเข้าสู่ "สภาวะธรรมต่าง ๆ" จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย

    +++ ดังนั้้นให้ "ทำตรง ๆ" ตามโพสท์ที่ 7 ของหน้าแรก "กระทู้นี้จะเริ่มต้นที่ ความรู้สึกตัว" และถ้าหาก "ตั้งใจลงมือจริง ๆ แล้ว" ก็ไม่น่าจะเกิน 2 วัน ก็น่าจะได้และก็ "น่าจะทัน" ในการฝึกในรอบนี้ นะครับ

    +++ ไม่เป็นไร และ เร่งเครื่องหน่อย นะครับ
     
  8. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    "+++ หากต้องการรู้เรื่อง สรรพเสียง สรรพภาษา สรรพสื่อสาร ก็ต้อง "ปล่อย" ให้มันแยกตัวออกจากเราอยู่เสมอ แล้วมันจะ "ผลิตรายการแสดง" ออกมาเอง
    +++ ในขณะที่มัน "แสดงรายการต่าง ๆ" หากทำได้ดี เราจะอยู่ใน "ปิติ" ตลอดเวลา และเรียนรู้ในขณะที่ "สติครองฐานปิติ" โดยที่มันไปแสดงตัวอยู่ "ข้างนอก" ตลอดเวลา"

    ***อันนี้ลองทำละ อาการตามที่พี่บอกเลย มันสามารถผลิตได้ทั้งภาพและเสียงพากย์ไปพร้อม ๆ กันได้ เวลาที่มันพูดอยู่นอกตัวเรา เสียงจะดังมาจากข้าง ๆ ตัวไม่ได้มาจากในหัว เมิลจะยิ้มน้อย ๆ ตลอดเวลามันพาย์ไปเรื่อย ๆ

    *** ทุกครั้งก่อนที่พี่จะสอน พี่จะถามทวนก่อนว่าทำแบบนี้ได้แล้วใช่ไหม อาการเป็นแบบนี้ใช่หรือเปล่า เวลาที่พี่ถามเราก็จะทวนอาการของเราเดินจิตทบทวนไปด้วย

    เมื่อคืนมีฝัน แล้วรู้ว่าฝัน จึงย้ายออกจากฝัน กลับเข้ามาที่กาย อาการตอนที่ย้ายออกมาจากฝัน จะเป็นอาการวูบกลับเข้ามาที่กายสีดำ ๆ ที่อยู่ใต้ผิวหนัง เป็นอยู่ 3 รอบได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2015
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ หากถึงที่สุด มันจะ "วนไปมารอบ ๆ ตัวเรา" แต่ไม่สามารถที่จะ "เข้ามาเป็นเราได้" ตรงนี้หากจะใช้ภาษา "ที่ตรง เป๊ะ ตามอาการ" ก็จะเรียกได้ว่า "จิตไม่สามารถที่จะ กลับเข้าร่างได้เลย" สาเหตุเพราะ "จิต มันโดนอานุภาพของ สติ จนกลับเข้ามาไม่ได้ ตลอดเวลาที่ยังอยู่ในอาการนี้" และภาษาตรงนี้แหละที่ "สวนทางกับทางโลกแบบ 100%"

    +++ ถูกแล้ว แต่เป็นการ "ทวนสั้น ๆ เท่านั้น"

    +++ ความฝัน หากมีอาการ "เป็นทั้งตัวในฝัน" ตรงนี้คือ "กายจิต" แต่ถ้าหากเป็นอาการเพียงแค่ "เห็น" โน่นนี่เฉย ๆ ตรงนี้ "เป็นมโน เป็น ความปรุงแต่ง" ที่หาสาระไม่ได้

    +++ ยามใดที่ "ฝันแล้วรู้ว่าฝัน" ยามนั้นจะ "ไปทั้งตัว" และ "เป็นกายจิต" ตรงนี้คือ "การถอดกาย" หรือสามารถเรียกได้ว่าเป็น "มโนมยิทธิ" ที่ตรงกับในพระไตรปิฏก

    +++ อาการที่เกิดขึ้นกับ เมิล คือ อาการที่ "กายจิต วูปกลับมาเข้า กายเวทนา ที่อยู่ข้างใน กายเนื้ออีกที"

    +++ จากอาการที่เป็น 3 รอบนี้ แสดงว่ามีอาการ "อยู่-ย้าย" รวมทั้ง teleport ชำแรกกำแพง "มิติ" ไปมาตลอดเวลา ถ้า เมิล จับตรง "บริเวณรอยต่อของเหตุการณ์" ได้ ก็จะ "รู้" ว่าในขณะที่ กายจิต ชำแรกผ่าน มิติ นั้น เป็นอย่างไร นะครับ
     
  10. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่คะ ช่วงนี้เขานิยมใส่หินสีกัน เมิลลองไปแตะดูแล้วก็เป็นหินธรรมดา จำได้ว่าพี่มีวิธีปลุกเสกหินให้มีอานุภาพอยู่ ^O^ อยู่
    ทำยังไงคะ จะลองเอามาปลุกเสกบ้างคะ
    แต่ละอานุภาพ เช่น เมตตามหานิยม ป้องกันภัย วิธีทำต่างกันไหมคะ
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เรื่องการบรรจุ "อานุภาพ" ลงไปใน "วัตถุ" ที่เคยทำนั้น

    +++ มีวิธีทำแบบ สั้น ๆ ง่าย ๆ ไม่มีพิธีรีตอง ไม่มีการสวดอะไร ทั้งหมดใช้ "จิต + พลังจิต" แบบตรง ๆ เท่านั้น วิธีที่ทำในตอนโน้นก็คือ 1. เอาหินมาล้างให้สะอาด 2. แล้วใส่ลงไปในน้ำสะอาด 3. เข้า "จิตเปล่งรังสี" (จิตเดิมแท้เปล่งประภัสสร หรือ อาภัสสระพรหม) 4. เสร็จแล้วได้ "หินพลัง + น้ำมนต์"

    +++ ส่วนอานุภาพ คือ "สารพัดนึก" เพราะในขณะที่ "แผ่พลัง" ลงไปนั้นเป็นการแผ่แบบ "ไร้เจตนา" (ในอัปปนาสมาบัติ หรือ ชั้นพรหม จิตจะไม่ปรุง) ทั้งหมดเป็นเพียงการ "ประจุพลัง" เฉย ๆ เหมือนกับ ชาร์ตแบตให้เต็ม ส่วนจะเอา แบต ไปเสียบกับอะไรนั้น ก็แล้วแต่ผู้ใช้ (อฐิษฐาน) และอีกประการหนึ่ง "พลังของจิตเปล่งรังสี" นั้นเป็นพลังของ "ชั้นพรหม" การอธิษฐานในบางเรื่องที่เป็น "กามาวจร" มากจนเกินไปอาจจะ incompatible และไม่ work เลยก็ได้ ชั้นพรหมคือ "เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา" ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับในชั้นของ กามาวจร คือ "ราคะ โลภะ โทสะ"

    +++ การที่เมิลจะทำเองนั้น ก็ควรจะประเมินเอาไว้ก่อนคร่าว ๆ ว่า จะทำอานุภาพในชั้นไหน เช่น "ทำในชั้นพรหม ก็เข้า จิตเปล่งรังสี" หรือ ทำในชั้นกามาวจร เรียกว่า "ทำในชั้นเทพ ก็เข้า จิตคำราม" ให้อ่านใน โพสท์ที่ 938 หน้า 47 ประกอบกันไปด้วย

    +++ หากจะทำแบบครบชุดก็ ให้ทำในชั้น "จิตคำราม" ก่อน แล้วจึงเข้า "จิตเปล่งรังสี" ห่อหุ้มเอาไว้ แล้วให้ "สภาวะรู้" ห่อหุ้มเคลือบไว้ชั้น "นอกสุด" อีกที (ของคุณ อินทรบุตร เป็นการทำในครั้งแรก ผมยังไม่ได้ทำสภาวะรู้คลุมให้ คงต่องค่อยทำให้ทีหลังอีกที)

    +++ ถ้าเมิลจะทำเล่น ๆ ก็ทำได้เลย แต่ถ้าจะทำแบบ "จำนวนมาก" ก็ต้องคอยดู นักศึกษา ในการฝึกรอบนี้ก่อน หากทุกอย่างพร้อม ก็จะได้สอนให้ทั้งหมดทุกคน พร้อม ๆ กันไปเลย

    +++ ให้สังเกตุโดยหลัก ๆ คือ 1. กายเวทนาเต็มตัว (อัปปนาในกามาวจร) ไม่มีการปรุง 2. จิตเปล่งรังสี (อัปปนาในพรหมวิหาร) ไม่มีการปรุง 3. สภาวะรู้ (อสังคตธาตุ) ไม่มีการปรุง

    +++ ทั้งหมด "ไม่มีการปรุง" ดังนั้นทั้งหมดจึงขี้นอยู่กับ "คำอฐิษฐาน" ของผู้ใช้ เท่านั้นเอง นะครับ
     
  12. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    จะลองเล่นดูก่อนคะ ถ้ามีโอกาสจะฝากหินสีไปบรรจุอานุภาพนะคะ ^_^
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    "จิต คือ พุทธะ" ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

    +++ ให้ผู้ที่ฝึกในกระทู้นี้ เทียบเคียง การใช้ภาษาของหลวงปู่ดูลย์ กับ การปฏิบัติในกระทู้นี้เฉย ๆ เท่านั้น

    "จิต คือ พุทธะ" ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

    จิต คือ พุทธะ พระพุทธเจ้าทั้งปวงและสัตว์โลกทั้งสิ้นไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากเป็นเพียง ‘จิตหนึ่ง’ นอกจากจิตหนึ่งแล้วไม่ได้มีอะไรตั้งอยู่เลย จิตหนึ่งซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งซึ่งไม่ได้เกิดขึ้น และไม่อาจจะถูกทำลายได้เลย

    +++ คำศัพท์ว่า จิต ของหลวงปู่ดูลย์ = คำศัพท์ว่า สภาวะรู้ ในกระทู้นี้

    ไม่มีทั้งรูป ไม่มีทั้งการปรากฏ มันไม่ถูกนับรวมอยู่ในบรรดาสิ่งต่าง ๆ ที่มีการตั้งอยู่ หรือไม่มีการตั้งอยู่ ไม่อาจจะลงความเห็นว่าเป็นของใหม่หรือของเก่า เพราะมันอยู่เหนือขอบเขต เหนือการวัด เหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้ หรือแม้การเปรียบเทียบทั้งหมดทั้งสิ้น

    +++ อาการของสภาวะรู้

    จิตหนึ่งนี้เป็นสิ่งซึ่งเราเห็นว่าตำตาเราอยู่แท้ ๆ แต่จงลองไปใช้เหตุผล (ว่ามันเป็นอะไร เป็นต้น) กับมันเข้าดูซิ เราจักหล่นลงไปสู่ความผิดพลาดทันที สิ่งนี้มันเป็นเหมือนกับของว่าง อันปราศจากขอบทุก ๆ ด้าน ซึ่งไม่อาจหยั่งหรือวัดได้

    +++ สภาพของ สภาวะรู้

    จิตเป็นเหมือนกับความว่าง ซึ่งภายในนั้นย่อมไม่มีความสับสนและความไม่ดีต่าง ๆ ดังจะเห็นได้ในเมื่อดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างนั้น ย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก เพราะว่าเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ย่อมให้ความสว่างทั่วทั้งพื้นโลก ความว่างที่แท้จริงนั้น มันก็ไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อพระอาทิตย์ตก ความว่างก็ไม่ได้มืดลง ปรากฏการณ์ของความสว่าง และความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน แต่ธรรมชาติของความว่างนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง จิตของพุทธะและของสัตว์โลกทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น

    +++ ตรงนี้ "จิต = สภาวะรู้" และ "ดวงอาทิตย์ = ตัวดู"

    ถ้าเรามองดูพุทธะ ว่าเป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฏของสิ่งที่บริสุทธิ์ ผ่องใส และรู้แจ้งก็ดี หรือมองดูสัตว์โลกทั้งหลายว่า เป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฏของสิ่งที่โง่เง่า มืดมน และมีอาการสลบไสลก็ดี ความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้ อันเป็นผลเกิดมาจากความคิดยึดมั่นต่อรูปธรรมนั้น จะกันเราไว้เสียจากความรู้อันสูงสุด ถึงแม้ว่าเราจะได้ปฏิบัติมาตลอดกี่กัปนับไม่ถ้วน ประดุจเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาแล้วก็ตาม มีแต่จิตหนึ่งนี้เท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดแม้แต่อนุภาคเดียวที่จะอิงอาศัยได้ เพราะจิตนั้นเอง คือ พุทธะ

    +++ อณู

    เมื่อพวกเราเป็นเพียงนักศึกษาเรื่อง ‘ทาง’ ทางโน้น ยังไม่ลืมตาต่อสิ่งซึ่งเป็นสาระ กล่าวคือ ‘จิต’ นี้ พวกเราจะปิดบังจิตนั้นเสีย ด้วยความคิดปรุงแต่งของเราเอง พวกเราจะแสวงหาพุทธะนอกตัวเราเอง พวกเราจะยังคงยึดมั่นถือมั่นต่อรูปธรรมทั้งหลาย ต่อการปฏิบัติเมาบุญต่าง ๆ และสิ่งอื่น ๆ ทำนองนั้น ทั้งหมดนี้เป็นอันตราย ไม่ใช่หนทางอันนำไปสู่ความรู้อันสูงสุดนั้นแต่อย่างใดเลย

    +++ ความคิด ปิดบัง ความจริง

    เนื้อแท้แห่งสิ่งสูงสุดสิ่งนี้ โดยภายในแล้วย่อมเหมือนกับท่อนไม้หรือก้อนหิน คือภายในนั้นปราศจากการเคลื่อนไหว และโดยภายนอกแล้วย่อมเหมือนกับความว่าง กล่าวคือ ปราศจากขอบเขตหรือสิ่งกีดขวางใด ๆ สิ่งนี้มันไม่ใช่เป็นฝ่ายนามธรรมหรือฝ่ายรูปธรรม มันไม่มีที่ตั้งเฉพาะ ไม่มีรูปร่าง และไม่อาจจะหายไปได้เลย

    จิตนี้ไม่ใช่จิตซึ่งเป็นความคิดปรุงแต่ง มันเป็นสิ่งซึ่งอยู่ต่างหาก ปราศจากการเกี่ยวข้องกับรูปธรรมโดยสิ้นเชิง ฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายและสัตว์โลกทั้งปวงก็เป็นเช่นนั้น ถ้าพวกเราเพียงแต่สามารถปลดเปลื้องตนเองออกเสียจากความคิดปรุงแต่งเท่านั้น พวกเราจะประสบความสำเร็จทุกอย่าง

    +++ จิต = สภาวะรู้

    หลักธรรมที่แท้จริงก็คือ ‘จิต’ นั่นเอง ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้ว มันก็ไม่มีหลักธรรมใด ๆ เลย จิตนั่นแหละคือหลักธรรม ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้วก็ไม่ใช่จิต แต่จิตนั้น โดยตัวมันเองก็ไม่ใช่จิต แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ใช่ มิใช่จิต การที่จะกล่าวว่าจิตนั้นไม่ใช่จิต ดังนี้นั่นแหละ ย่อมหมายความถึงสิ่งบางสิ่งซึ่งมีอยู่จริง สิ่งนี้มันอยู่เหนือคำพูด ขอจงเลิกละการคิดและการอธิบายเสียให้หมดสิ้น เมื่อนั้น เราอาจกล่าวได้ว่า คลองแห่งคำพูดก็ได้ถูกตัดขาดไปแล้ว ‘พฤติของจิต’ ก็ถูกเพิกถอนขึ้นสิ้นเชิงแล้ว

    จิตนี้คือพุทธโยนิอันบริสุทธิ์ ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน สัตว์ซึ่งมีความรู้สึกนึกคิด กระดุกกระดิกได้ทั้งหมดก็ดี พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ดี ล้วนแต่เป็นของแห่งธรรมชาติอันหนึ่งนี้เท่านั้น ไม่มีแตกต่างกันเลย ความแตกต่างทั้งหลายเกิดขึ้นจากเราคิดผิด ๆ เท่านั้น ย่อมนำเราไปสู่การก่อสร้างกรรมทั้งหลายทั้งปวงทุกชนิดไม่มีหยุด

    ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะดั้งเดิมของเรานั้น โดยความจริงอันสูงสุดแล้ว เป็นสิ่งซึ่งไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้แต่สักปรมาณูเดียว สิ่งนั้นก็คือ ‘ความว่าง’ เป็นสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่ทุกแห่ง สงบเงียบ และไม่มีอะไรเจือปน มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง

    จงเข้าไปสู่สิ่ง ๆ นี้ได้ลึกซึ้ง โดยการลืมตาต่อสิ่งนี้ด้วยตัวเราเอง สิ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าเรานี้แหละ คือสิ่ง ๆ นั้น ในอัตราที่เต็มที่ทั้งหมดทั้งสิ้น และสมบูรณ์ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรนอกไปจากนี้อีกแล้ว

    จิตก็คือพุทธะ (สิ่งสูงสุด) มันย่อมรวมสิ่งทุกสิ่งเข้าไว้ในตัวมันทั้งหมด นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วทั้งหลายเป็นที่สุดในเบื้องสูง ลงไปจนกระทั่งถึงสัตว์ประเภทที่ต่ำต้อยที่สุด ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานอยู่ด้วยอกและแมลงต่าง ๆ เป็นที่สุดในเบื้องต่ำ สิ่งเหล่านี้ทุกสิ่งนั้นย่อมมีส่วนแห่งความเป็นพุทธะเท่ากันหมด และทุก ๆ สิ่งมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันกับจิตหนึ่งนั้น ดังนั้น สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงได้เป็นสิ่งที่มีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันกับพุทธะอยู่แล้วตลอดเวลา

    ถ้าพวกเราเพียงแต่สามารถทำความเข้าใจในจิตของเราเองนี้ให้สำเร็จ แล้วค้นพบธรรมชาติอันแท้จริงของเราเองได้ ด้วยความเข้าใจอันนั้นเท่านั้น มันก็จะเป็นที่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรที่พวกเราจำเป็นจะต้องแสวงหาแม้แต่อย่างใดเลย

    จิตของเรานั้น ถ้าเราทำความสงบอยู่จริง ๆ เว้นขาดจากการคิดนึกซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของจิตแม้แต่น้อยที่สุดเสียให้ได้จริง ๆ ตัวแท้ของมันก็จะปรากฏออกมาเป็นความว่าง แล้วเราก็จะได้พบว่ามันเป็นสิ่งที่ปราศจากรูป มันไม่ได้กินเนื้อที่อะไร ๆ ที่ไหน ๆ แม้แต่จุดเดียว มันไม่ได้ตกลงสู่การบัญญัติว่าเป็นพวกที่มีความเป็นอยู่ หรือว่าไม่มีความเป็นอยู่แม้แต่ประการใดเลย เพราะเหตุที่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ เพราะจิตซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้ของคนเรานั้น มันเป็นครรภ์หรือเป็นกำเนิด ซึ่งไม่ได้มีใครทำให้เกิดขึ้น และไม่อาจจะถูกทำลายได้เลย

    +++ เมื่อ "ตัวดู" ดับและสูญสลายไปแล้ว อาการที่กล่าวมาข้างบนนี้ จึงเกิดขึ้นได้

    ในการทำปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ นั้น มันเปลี่ยนรูปของมันเองออกมาเป็นปรากฏการณ์ต่าง ๆ เพื่อสะดวกในการพูด เราพูดถึงจิตในฐานะที่เป็นตัวสติปัญญา แต่ในขณะที่มันไม่ได้ทำการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม คือไม่ได้เป็นตัวสติปัญญาที่คิดนึก หรือสร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมานั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกกล่าวถึงในการที่จะบัญญัติว่ามันเป็นความมีอยู่ หรือไม่ใช่ความมีอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นอีก แม้ในขณะที่มันทำหน้าที่สร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา ในฐานะที่ตอบสนองต่อกฎแห่งความเป็นเหตุและผลของกันและกันนั้น มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมโนทวาร อยู่นั่นเอง ถ้าเราทราบความเป็นจริงข้อนี้ เราทำความสงบเงียบสนิทอยู่ในภาวะแห่งความไม่มีอะไรในขณะนั้น พวกเรากำลังเดินอยู่แล้วในทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยแท้จริง ดังนั้น เราควรเจริญจิตให้หยุดอยู่บนความไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น

    +++ มหาปัฏฐานสูตร (เหตุปัจจโย) ขันธ์ประธาน ขันธ์บริวาร ต่าง ๆ รวมทั้ง "เห็นขันธ์ ฝึกขันธ์ ใช้ขันธ์"

    มูลธาตุทั้ง ๕ ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นวิญญาณนั้น มันเป็นของว่างเปล่า แต่ละมูลธาตุทั้ง ๔ ของรูปกายนั้นไม่ใช่เป็นสิ่งซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นตัวของเรา จิตจริงแท้นั้น ไม่มีรูปร่าง และไม่มีอาการมา ไม่มีอาการไป ธรรมชาติเดิมแท้ของเรานั้นเป็นสิ่ง ๆ หนึ่ง ซึ่งไม่มีการตั้งต้นขึ้นที่การเกิด และไม่มีการสิ้นสุดลงที่การตาย แต่เป็นของสิ่งเดียวรวด และปราศจากการเคลื่อนไหวใด ๆ ในส่วนลึกจริง ๆ ของมันทั้งหมด

    +++ สภาวะรู้

    จิตของเรากับสิ่งต่าง ๆ ซึ่งแวดล้อมเราอยู่นั้นเป็นสิ่ง ๆ เดียวกัน ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้ตามนี้จริง ๆ เราจะได้ลุถึงความรู้แจ้งเห็นแจ้งได้โดยแวบเดียวในขณะนั้น และเราเป็นผู้ที่ไม่ต้องข้องเกี่ยวในโลกทั้งสามอีกต่อไป เราจะเป็นผู้อยู่เหนือโลก จะไม่มีการโน้มเอียงไปสู่การเกิดใหม่อีกแม้แต่นิดเดียว เราจะเป็นแต่ตัวของเราเองเท่านั้น ปราศจากความคิดปรุงแต่งโดยสิ้นเชิง และเป็นสิ่ง
    ๆ เดียวกับสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น และเราจะได้ลุถึงภาวะแห่งความที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป ฉะนั้น นี้แหละคือหลักธรรมะที่เป็นหลักมูลฐานอยู่ในที่นี้

    +++ "เป็นสภาวะรู้"

    ‘สัมมาสัมโพธิ’ เป็นชื่อของการเห็นแจ้งชัดว่าไม่มีธรรมใดเลยที่ไม่เป็นโมฆะ ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้แล้ว ของหลอกลวงทั้งหลายจะมีประโยชน์อะไรแก่เรา ปรัชญาก็คือความรู้แจ้ง ความรู้แจ้งคือจิตต้นกำเนิดดั้งเดิมซึ่งปราศจากรูป ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้ ผู้กระทำและสิ่งที่ถูกกระทำคือจิตและวัตถุ เป็นของสิ่งเดียวกันนั่นแหละ จะนำเราไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้ง และลึกลับเหนือคำพูด และโดยความเข้าใจอันนี้เอง พวกเราจะได้ลืมตาต่อสัจธรรมที่แท้จริงด้วยตัวเราเอง

    สัจธรรมที่แท้จริงของเรานั้น มันไม่ได้หายไปจากเรา แม้ในขณะที่เรากำลังหลงผิดอยู่ด้วยอวิชชา และไม่ได้รับกลับมาในขณะที่เรามีการตรัสรู้ มันเป็นธรรมชาติแห่งภูตตถตา ในธรรมชาตินี้ไม่มีทั้งอวิชชา ไม่มีทั้งสัมมาทิฏฐิ มันเต็มอยู่ในความว่าง และเป็นเนื้อหาอันแท้จริงของจิตหนึ่งนั้น เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว อารมณ์ต่าง ๆ ที่จิตของเราได้สร้างขึ้น ทั้งฝ่ายนามธรรมและฝ่ายรูปธรรม จะเป็นสิ่งซึ่งอยู่ภายนอกของความว่างนั้นได้อย่างไร

    +++ สภาวะรู้ กับ กำเนิดขันธ์

    โดยหลักมูลฐานแล้ว ความว่างนั้นเป็นสิ่งซึ่งปราศจากมิติต่าง ๆ แห่งการกินเนื้อที่ คือปราศจากกิเลส ปราศจากกรรม ปราศจากอวิชชา และปราศจากสัมมาทิฏฐิ พวกเราต้องทำความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่า โดยแท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรเลย ไม่มีมนุษย์สามัญ ไม่มีพุทธะทั้งหลาย เพราะว่าในความว่างนี้ ไม่มีอะไรบรรจุอยู่แม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่สุด อันจะเป็นสิ่งซึ่งจะมองเห็นได้โดยทางมิติ หรือกฎแห่งการกินเนื้อที่เลย มันไม่ต้องอาศัยอะไร และไม่ติดเนื่องอยู่กับสิ่งใด มันเป็นความงามที่ไร้ตำหนิ เป็นสิ่งซึ่งมีอยู่ได้โดยตัวมันเอง และเป็นสิ่งสูงสุดที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่าทั้งปวงเสียจริง ๆ เราต้องแยกรูปถอดด้วยวิชชามรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละใช้ หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด

    +++ "เป็นสภาวะรู้"

    สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาล มีนับไม่ถ้วนรวมแล้วมีรูปกับนาม สองอย่างเท่านั้น นามเดิมก็คือความว่างของจักรวาลเข้าคู่กัน เป็นเหตุเกิดตัวอวิชชา เกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูปที่นั้นต้องมีนาม ที่ใดมีนามที่นั้นต้องมีรูป รูปนามรวมกันเป็นเหตุเกิดปฏิกิริยา ให้เปลี่ยนแปลงตลอดกาล และเกิดกาลเวลาขึ้น คือรูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหว และหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้ ต้องมีนาม ความว่างคั่นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้

    +++ ตาพายุ หรือ ตาน้ำวน

    เมื่อสภาวธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุสสารมีชีวิตและไม่มีชีวิต จึงต้องเปลี่ยนแปลงเป็นไตรลักษณ์ เกิด ดับสืบต่อทุกขณะจิต ไม่มีวันหยุดนิ่งให้คงทนเป็นปัจจุบันทุกยามได้

    จิตวิญญาณก็เกิดมาจากรูปนามของจักรวาล เพราะเป็นมายาหลอกลวงแล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลง จากรูปนามไม่มีชีวิต เปลี่ยนมาเป็นรูปนามมีชีวิต จากรูปนามมีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกันไป คงเหลือแต่นามว่างที่ปราศจากรูป นี้เป็นจุดสุดยอดของการหลอกลวงของรูปนาม

    ต้นเหตุเกิดรูปนามของจักรวาล เป็นเหตุเกิดรูปนามพิภพต่าง ๆ ตลอดดวงดาวอันนับไม่ถ้วน เพราะไม่มีที่สิ้นสุด รูปนามพิภพต่าง ๆ เป็นเหตุให้เกิดรูปนามพืช รูปนามพืชเป็นเหตุให้เกิดรูปนามสัตว์เคลื่อนไหวได้ จึงเรียกกันว่าเป็นสิ่งมีชีวิต

    ความจริงรูปนามจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตมันก็เคลื่อนไหวได้ เพราะมีรูปกับนามเป็นเหตุเป็นผลให้เกิดปฏิกิริยาอยู่ในตัว ให้เคลื่อนไหวตลอดกาลและเปลี่ยนแปลง เพราะมองด้วยตาเนื้อไม่เห็น จึงเรียกกันว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิต

    เมื่อรูปนามของพืชเปลี่ยนมาเป็นรูปนามของสัตว์ เป็นจุดตั้งต้นชีวิตของสัตว์ และเป็นเหตุให้เกิดจิตวิญญาณ การแสดงเคลื่อนไหวเป็นเหตุให้เกิดกรรม

    สัตว์ชาติแรกมีแต่สร้างกรรมชั่ว สัตว์กินสัตว์ และความโกรธ โลภ หลง ตามเหตุปัจจัยภายนอกภายในที่มากระทบ กรรมที่สัตว์แสดงมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ อย่าง ไปกระทบกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ๕ อย่าง แล้วก็เข้ามาประทับ บรรจุ บันทึก ถ่ายภาพ ติดอยู่กับรูปปรมาณู ซึ่งเป็นสุขุมรูป แฝงอยู่ในความว่าง เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาได้ ที่แฝงอยู่ในความว่างคั่นระหว่างตา หู จมูก ลิ้น กายนั้นไว้ได้หมดสิ้น เมื่อสัตว์ชาติแรกเกิดนี้ได้ตายลง มีกรรมชั่วอย่างเดียวเป็นเหตุให้สัตว์ต้องเกิดอีก เพื่อให้สัตว์ต้องใช้หนี้เกิด กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ แต่สัตว์เกิดขึ้นมาแล้วหายอมใช้หนี้เกิดกันไม่ มันกลับเพิ่มหนี้ให้เป็นเหตุเกิดทวีคูณจนปัจจุบันชาตินี้

    ดังนั้น ด้วยอำนาจกรรมชั่วที่พวกสัตว์ติดอยู่ในสุขุมรูป ๕ กอง ตลอดเพศผู้เมีย เป็นสุขุมรูปที่ติดอยู่ใน ๕ กองนั้น ก็เกิดหมุนรวมกันเข้าเป็นรูปปรมาณูกลม คงรูปอยู่ได้ด้วยการหมุนรอบตัวเอง มิหยุดนิ่ง เป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ในข้างใน เรียกว่า ‘รูปวิญญาณ’ หรือจะเรียกว่า ‘รูปถอด’ ก็ได้ เพราะถอดมาจากนามว่าง ภาวะคั่นรูปหยาบนั่นเอง ซึ่งเป็นสุขุมรูปแฝงอยู่ในความว่าง รูปวิญญาณจึงมีชีวิตอยู่ คงทนอยู่ยืนนานกว่ารูปหยาบ มีกรรมชั่วคอยรักษาให้หมุนคงรูปอยู่ ๑ ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดฆ่าให้ตายได้ นอกจากนิพพานเท่านั้น รูปวิญญาณจึงจะสลาย ๑ เรื่องการแสดงกรรมของสัตว์ที่ประทับติดอยู่ในสุขุมรูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ กองนั้น รวมกันเข้าเรียกว่า ‘จิต’ จึงมี ‘สำนักงานของจิต’ ติดอยู่ในวิญญาณ ๕ กอง รวมเป็นที่ทำงานของจิตกลาง และก็ติดต่อกับ ตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอก ซึ่งเป็นสื่อติดต่อของจิต ดังนั้น ‘จิต’ กับ ‘วิญญาณ’ จึงไม่เหมือนกัน จิตเป็นตัวรู้นึกคิด ส่วนวิญญาณเป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ และเป็นยานพาหนะพาจิตไปเกิด หรือจะไปไหน ๆ ก็ได้ เป็นชีวิต...รูปสุขุม๒ รูปที่ถอดมาจากรูปหยาบ มีรูปเพศผู้เมีย รูปตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่ในวิญญาณไว้ ได้เป็นเหตุเกิดสืบต่อภพชาติต่อไป เมื่อสัตว์ตาย ชีวิตร่างกายหยาบของภพชาตินั้น ๆ ก็หมดไปตามอายุขัยชีวิตร่างกายหยาบของภพภูมิชาตินั้น ๆ ส่วนชีวิตแท้ รูปปรมาณู วิญญาณ จะไม่ตายสลายตาม จะต้องไปเกิดตามภพภูมิต่าง ๆ ตามเหตุปัจจัย มันเป็นวัฏฏะ หมุนเวียนเปลี่ยนไป โดยชีวิตแท้รูปถอดหรือวิญญาณหมุนรอบตัวเองนี้เอง เป็นเหตุให้จิตเกิดดับสืบต่อคอยรับเหตุการณ์ภายนอกภายในที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วจิตก็เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยที่มากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเข้าไว้เป็นทุนเหตุเกิด เหตุดับ หรือปรุงแต่งต่อไป จนกว่ากรรมชั่วเหตุเกิดจะหมดไป ชีวิตรูปถอดหรือวิญญาณก็จะหยุดการหมุน รูปสุขุมรูปวิญญาณซึ่งเกิดมาจากกรรมชั่ว สืบต่อมาแต่ชาติแรกเกิด ก็จะสลายแยกออกจากกันไป คงรูปอยู่ไม่ได้ มันก็กระจายไป ส่วนกิจกรรมดี ธรรมะที่ติดอยู่กับวิญญาณ มันก็กระจายไปกับรูปปรมาณู คงเหลือแต่ความว่างที่คั่นช่องว่างของรูปปรมาณูทุก ๆ ช่อง ฉะนั้น โดยปราศจากรูปปรมาณู ความว่างนั้นจึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่ง เรียกว่านิพพาน

    เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ พระองค์สร้างชีวิตพระพุทธศาสนา ให้ก่อเกิดเป็นชีวิตอย่างบริบูรณ์ดังพระประสงค์แล้ว พระพุทธองค์จึงได้ละวิภวตัณหานั้น เสด็จสู่อนุปาทิเสสนิพพาน คือเป็นผู้หมดสิ้นทุกตัณหา เป็นผู้ดับรอบ โดยลักษณาการแห่งอนุปาทิเสสนิพพานของพระพุทธองค์ก็คือ ลำดับแรก ก็ทรงเจริญฌานดิ่งสนิทเข้าไปจนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ หมายความว่า เข้าไปดับลึกสุดอยู่เหนืออรูปฌาน ในวาระแรกนั้น พระองค์ยังไม่ได้ดับขันธ์ต่าง ๆ ให้สิ้นสนิทเป็นเด็ดขาดแต่อย่างใด ยังเพียงเข้าไปเพื่อทรงกระบวนการแห่งการสู่นิพพาน หรือนิโรธ เป็นครั้งสุดท้ายแห่งชีวิต พูดง่าย ๆ ก็คือสู่สิ่งที่พระองค์ได้สร้าง ได้พากเพียรก่อเป็นทาง เป็นแบบอย่างไว้ เป็นครั้งสุดท้ายเสียหน่อย ซึ่งเรียกได้ว่าสิ่งอันเกิดมาจากที่พระองค์ได้ยอมอยู่กับธุลีทุกข์ อันเป็นธุลีทุกข์ที่มนุษย์ธรรมดาผู้มีจิตหยาบเกินกว่าจะสัมผัสมันว่าเป็นทุกข์ และกระบวนการกระทำจิตตนให้ถึงซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธนี้นั้น เป็นกระบวนการที่พระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้เป็นยอดแห่งศาสดาในโลกเท่านั้นที่ทรงค้นพบ ทรงนำมาตีแผ่เผยแจ้งออกสู่สัตว์โลกให้พึงปฏิบัติตาม เมื่อทรงสิ่งซึ่งสุดท้ายนี้แล้ว จึงได้ถอยกลับมาสู่ภาวะต้นคือปฐมฌาน แล้วจึงได้ตัดสินพระทัยสุดท้ายเสด็จดับขันธ์ต่าง ๆ ไปทีละขันธ์ วิญญาณขันธ์ในชีวิตและร่างกายนั้นได้ดับไปเสียตั้งแต่ก่อนจะเข้าสู่ปฐมฌานนานแล้ว เพราะต้องดับสังขารขันธ์และสังขารธรรมชั้นแรกเสียก่อน วิญญาณขันธ์จึงได้ดับ ดังนั้น จึงไม่มีเชื้อใดเหลืออยู่แห่งวิญญาณขันธ์ที่หยาบนั้น

    พระองค์เริ่มดับสังขารขันธ์หรือสังขารธรรมชั้นใน อันจะส่งผลให้ก่อเกิดวิภวตัณหาได้แล้วชั้นหนึ่งเสียก่อน จึงได้เลื่อนขึ้นสู่ทุติยฌาน แล้วจึงดับสัญญาขันธ์เลื่อนขึ้นสู่ตติยฌาน เมื่อพระองค์ดับสังขารขันธ์หรือสังขารธรรมชั้นในสุดอีกที ก็เป็นอันเลื่อนขึ้นสู่จตุตถฌาน คงมีแต่เวทนาขันธ์สุดท้ายแห่งชีวิต นั่นคือลักษณาการแห่งชั้นสุดท้ายของการจะดับสิ้นไม่เหลือ เมื่อพระองค์ดับสังขารขันธ์หรือสังขารธรรมใหญ่สุดท้ายที่มีอยู่ทั้งสิ้นแล้ว ก็มาดับเวทนาขันธ์ อันเป็นจิตขันธ์ หรือนามขันธ์ที่มีจิตส่วนใน คือภวังคจิตเสียก่อน แล้วจึงได้ออกจากจตุตถฌาน พร้อมกับมาดับจิตขันธ์หรือนามขันธ์สุดท้ายจริง ๆ ของพระองค์เสียลงเพียงนั้น นี่ พระองค์เข้าสู่นิพพานอยู่ตรงนี้ นั่นคือพระองค์ดับเวทนาขันธ์ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตอันเป็นปรกติของมนุษย์ ครบพร้อมทั้งสติและสัมปชัญญะ ไม่ได้ถูกภาวะอื่นใดครอบงำ เป็นภาวะจงใจ ไม่ถูกภาวะใดครอบคลุมอำพรางให้หลงใหลใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างบริบูรณ์ เมื่อเวทนาขันธ์สุดท้ายแท้ ๆ จริง ๆ ได้ถูกทำลายลงอย่างสนิท จึงเป็นผู้บริสุทธิ์ หมดสิ้นแล้วซึ่งสังขารธรรม และหมดเชื้อจิตขันธ์หรือนามขันธ์ทั้งปวงใด ๆ ในพระองค์ท่าน ไม่มีเหลือ คงทิ้งแต่รูปขันธ์อันจะมีชีวิตนั้นไม่ได้แน่ เพราะรูปไม่ใช่ชีวิต หากสิ้นนามเสียแล้วก็คือแท่ง ก็คือก้อนวัตถุหนึ่งนั้นเท่านั้นเอง นั่นแล คือ ลำดับฌาน ที่พระอนุรุทธเถระเจ้าได้นำฌานจิตเข้าไปดู เป็นวิธีการดับโดยแท้ ดับโดยตรง โดยพระองค์เป็นผู้ดับเองเสียด้วย คำสอนของพุทธะทั้งหมดในวัฏฏ์นี้ ก็คือการเพาะให้พุทธจิตนั้นผลิออกมาให้เราปรากฏเห็นเท่านั้นเอง เพียงแต่เราทำให้มันว่างจากความคิดปรุงแต่งต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่นำไปสู่การเกิดและการดับอยู่ตลอดกาล และนำไปสู่ความทุกข์เดือดร้อนใจของสัตว์โลก และโลกอื่นไปจริง ๆ เท่านั้น เราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีวิธิปฏิบัติเพื่อการตรัสรู้และหาทางออกทั้งหลายทั้งสิ้นเลย

    +++ "การเดินจิตครั้งสุดท้าย" http://palungjit.org/9349562-post836.html

    คำสอนของพุทธะทั้งหมดมีวัตถุประสงค์ข้อนี้เพียงข้อเดียว คือพาพวกเราข้ามขึ้นให้พ้นเสียจากภูมิแห่งความคิด บัดนี้ถ้ารีดความคิด หรือหยุดความคิดของเราได้สำเร็จแล้ว ประโยชน์อะไรด้วยธรรมทั้งหลายที่พุทธะได้สอนไว้ มันหมายถึงสามารถปฏิบัติจนหยุดคิดของความคิดปรุงแต่งต่าง ๆ เสียได้ ไม่มีอะไรสามารถปรุงให้จิตคิดไปตามอำนาจกิเลสตัณหาได้อีกต่อไป เป็นจิตที่ว่างจากสิ่งปรุงแต่งและความคิดทั้งปวง นั่นแหละเป็นตัวธรรม หรือพุทธะ หรือธรรมชาติเดิมแท้อยู่ในความเป็นเช่นนั้น เพราะเรานั้น ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว คำพูดของมนุษย์ไม่สามารถหว่านล้อม หรือเปิดเผยมันได้ ความตรัสรู้คือความไม่มีอะไรให้ระลึกถึง ผู้ถึงได้ก็ไม่พูดแล้ว ไม่พูดว่าเขารู้อะไร เพราะสิ่งนี้มันอยู่เหนือคำพูด

    +++ โพสท์นี้ ให้ผู้ที่ฝึกในกระทู้นี้ "เดินจิต" เพื่อเทียบเคียงกับ "อาการ" ต่าง ๆ ที่หลวงปู่ดูลย์ ได้เขียนไว้ในการ "ใช้ภาษาของท่าน" จะมีหมายเหตุแบบ "ย่อ ๆ สั้น ๆ" เอาไว้เทียบเคียงเฉย ๆ นะครับ
     
  14. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    อาจารย์คะ ออกมายืนหน้าบ้านตอนดึก รอรถตู้รู้สึกว่าเมื่อรถตู้วิ่งเข้ามามันมีแรงสั่นสะเทือนมารอบๆบ้านหลายหลัง พอมองไปที่แนวรั้วมันสั่นสะเทือนจนเห็นได้ชัดเลยค่ะ เป็นทั้งแนวรั้วบ้านสามสี่หลังค่ะ
    ตอนนอนกำหนดไปร่างกายมีความอบอุ่นมาคลุมตัวพอกำลังจะหลับมันหดกลับเย็นเข้ามาแทนที่ เป็นอยู่หลายรอบรู้สึกชัดเจนมากเลยค่ะ
    ส่วนตอนนอนในฝัน รู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่เพิ่งเป็นคืนที่มีคนมาดึงกายเวทนาค่ะ ในฝันบอกว่าให้กำหนดไปด้วยแต่ยังกำหนดเข้าฐานไม่ได้แค่เหาะเฉยๆค่ะ
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ หากในขณะนั้นใช้ "การมองระดับ 3" ซึ่ง "สภาวะของ สติ เปิดกว้างกว่าธรรมดา" ผลลัพธ์ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนว่า "การเห็นของ สติ ก็ย่อมล่วงความเป็นธรรมดา" ตามธรรมชาติของการเดินจิตนั่นเอง

    +++ แรงสั่นสะเทือน ก็คือ "คลื่นของความสั่นสะเทือน" มีแต่ "มหาสติ (ในกรณีนี้ หมายถึง สติที่กว้างกว่า)" เท่านั้นที่จะ "เห็น" สภาวะที่มาเป็น "ระลอกคลื่น" ได้

    +++ ทุกคนรู้อยู่ว่า "คลื่นความสั่นสะเทือน มีอยู่จริง" แต่จะมีสักกี่คนที่จะมีขีดความสามารถในการ "เห็น" คลื่นนี้ได้ แบบเดียวกันกับ "โลกเคลื่อนตัว" แต่จะมีสักกี่คนที่ "เห็นด้วยตาเปล่า" ได้

    +++ คำว่า "อภิญญา" ก็คือ "ขีดความสามารถในการใช้ขันธ์" ซึ่งก็เป็น "ขันธ์ของตน" เท่านั้นเอง

    +++ ทั้งหมดขึ้นกับ "การปรับสภาวะแห่งตน" ให้เข้ากับสภาวะของ "สถานการณ์" ที่เรียกว่า "การจูนคลื่น" ให้สัมพันธ์ภาพปรากฏ นอกนั้นก็ไม่มีอะไร

    +++ ทั้งหมดเป็นแค่ "รู้สึกตน ปรับตน เห็นสภาวะตามความเป็นจริง" เมื่อใดที่ทำได้สมบูรณ์ ก็จะเห็นทั้ง "สภาวะทางโลก และ สภาวะทางธรรม" ตามความเป็นจริง ได้เอง

    +++ ตอนที่ยัง "กำหนด" ตอนนั้น "อยู่" กับความอบอุ่น ตรงนี้เป็นการแสดงออกของ "การกำหนด และ ผลลัพธ์ของการกำหนด" หากละเอียดขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็จะสามารถรู้ "กฏแห่งกรรม" ได้ เพราะมันก็เป็นเรื่องของ "การกำหนด และ ผลลัพธ์ของการกำหนด" เช่นกัน เพียงแต่ว่า มันละเอียดกว่ากันมาก เท่านั้น

    +++ ในตอนที่กำลังจะหลับ ตอนนั้นจึงเกิด "อาการถอนการกำหนด" แบบเดียวกับการ "เข้า-ออก" นั่นแหละ แต่เป็น "วงจรที่ใหญ่กว่า และ กินเวลามากกว่า" แต่ต่อไปก็จะ เข้าใจในประโยคนี้ได้เอง และจะเริ่มพัฒนาไปสู่ "วงจรที่ใหญ่กว่าไปเรื่อย ๆ"

    +++ จากวงจรแบบ "ขณะจิต" สู่วงจร "ขณะกำหนด" สู่ "หลับ-ตื่น" สู่ "การกำหนดกรรม" สู่ "กฏแห่งกรรม ส่วนตน" สู่ "กฏแห่งกรรม สังคมรวมหมู่" ซึ่งจะละเอียดไปเรื่อย ๆ จนถึง "ภูมิมนุษย์" และ อื่น ๆ ตามลำดับของความละเอียดและประสพการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทั้งหมดมันก็เป็นลักษณะของ "วงจร" เหมือนกันทั้งหมด ต่างกันแค่ "ขนาดและเวลา" ของมันเท่านั้น

    +++ โดยปกติ เมื่อการฝึกจนสภาวะทางจิต "เหมาะสม" ในการ "ถอด" ก็มักจะมี "ผู้ช่วย" จากภูมิอื่น เข้ามาช่วยเหลือ หรือ "เป็นกองเชียร์" ให้ถอดได้เสมอ "ให้อ่านย้อนหลัง" ที่หน้า 45 โพสท์ที่ 888 จะมีรายละเอียดอยู่ในนั้น นะครับ
     
  16. ้เดินธรรม

    ้เดินธรรม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    สวัสดีครับ อาจารย์ธรรม-ชาติ และพี่ๆ กัลยาณธรรมทุกท่าน
    ผมจะขอรายงานผลการปฏิบัตินะครับ

    วันแรก
    ผมเริ่มจาก การฝึกการหายใจก่อน โดยการหายใจให้เข้าปอด ทำเป็นพักๆ แต่ไม่ประสบผล
    สิ่งที่ได้ ก็มีแต่อาการเดิม เต้นตุบๆ
    ผมเลิกฝึก สักพักกลับมาทำใหม่
    วนอยู่อย่างนี้ทั้งวัน แต่ก็พอจับเค้าได้ลางๆๆ

    วันที่ 2
    ต่อจากเมื่ิอวาน ผมสังเกตุได้นิดๆ ว่า ผมให้ความสนใจกับอาการ ท้องพอง-ยุบมากไป
    เลยทำให้ติดอยู่ตรงนี้ ผมเลยเริ่มโดยการกำหนด
    ว่าให้หายใจเข้าปอดเท่านั้น โดยไม่สนแล้วว่าจะพองจะยุบ
    ช่างมันไปก่อน แรกเริ่มหายใจเข้าปอดให้มากที่สุด
    (เหมือนที่หน้าแรก) กลั้นไว้เล็กน้อย มาอีกแล้วอาการตุบๆๆ
    ผมปล่อยผ่านไป(เพราะอาการเหมือนก่อนหน้านี้)
    ทีนี้ผมไปจับเอาอาการซ่านบางเบา แล้วหายใจออก
    ขณะนี้จับความรู้สึกเมื่อกี้ไว้ กลั้นนิดนึงหายใจเข้าอีกที
    อาการซ่านนี้รู้สึกได้ชัดขึ้น หายใจออก แล้ววนเหมือนแบบหลังนี้อีกเรื่อยๆ 4-5 รอบ
    อาการซ่านแผ่ขยาย ลุกพรึบ กระจายไปทั้งตัว
    ้เหมือนว่ามันเคยมีอยู่แล้ว กลับมารวมกัน
    ผมก็อยู่กับอาการนี้ สักพักก็หายไป เป็นเต้นตุบๆๆ
    แต่ลักษณะการเต้นไม่เหมือนกัน เบากว่า แผ่คลุมตัว
    มีจุดเด่นๆ จุดหนึ่ง เหมือนอยู่กึ่งกลาง
    แต่ทั้งตัวยังรู้สึกได้ถึงอาการซ่าน
    จากนั้นไปจับจุดตุบๆ ตรงกึ่งกลาง
    มันก็เด่นขึ้นมา จังหวะนั้นผมก็ทำความรู้สึกไปที่
    บริเวณหัวไหล่ พักนึงก็เต้นตุบๆ ตามมา
    ผมก็ทำแบบเดียวกับอีกข้างนึง ทีนี้เกิด
    อาการโยกหน้า โยกหลัง จังหวะต่อมาความคิด เกิดขึ้น
    อาการโยก เลยหายไป (ตอนแรกนึกว่ามโนไปเอง)
    พยายามทำให้ออกมาแบบเดิมอีก แต่วนไปมาหลายรอบมาก
    สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ทำได้ครั้งเดียว และตลอดเวลาที่ฝึกอยู่
    มีความร้อนไหลวนอยู่แถวๆ หลัง และจุดอื่น

    วันนี้
    ผมเริ่มจากการหายใจเข้าปอด แล้วกลั้น จับอาการซ่าน
    แล้วหายใจออก แล้วอยู่กับอาการนี้ แล้วทำซำ้แบบเดิม
    อีก 2-3 รอบ เกิดอาการซ่านแผ่ไปทั้งตัว
    สักพักเกิดอาการ ความร้อนที่อยู่บริเวณส่วนหลัง
    ไหลมารวมกับอาการซ่าน กลายเป็น "ซ่านและร้อน"
    แผ่ออกไปทั้งร่าง รู้สึกถึงร่างกายทุกส่วน อาการซ่านร้อนผสมกันกลมกลืน ให้ความเบา สบาย
    สงบ นิ่งอยู่ในที(ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน)
    ความรู้สึกเหมือนกับหลังอาบนำ้อุ่นในหน้าหนาว
    อาการทั้งหมดนี้ ใช้เวลาไม่นาน จากนั้น ผมก็อยู่กับอาการซ่านร้อน
    สักพักมีอาการเต้นตุบๆๆ มาอีกแล้ว ทีนี้ผมจับความรู้สึกข้างนึง
    เต้นมาแล้ว ตามด้วยอีกข้างนึง สักพักเกิดอาการตัวโยก
    แต่เนื่องด้วยสถานที่ไม่อำนวย คนไปๆ มาๆ
    เลยทำได้ไม่นาน ประกอบกับไม่แน่ใจว่ามาถูกทางมั้ย
    ความคิดตามมา อาการก็โยกหายไป ผมเลยทวนอย่างนี้
    สองสามรอบ เพื่อความมั่นใจว่า "ไม่ได้มโนไปเอง"
    แล้วผมก็กลับมา อยู่กับอาการซ่านร้อนทั้งตัว
    แบบทั้งวันวันนี้เลยครับ อาการนี้จะมีอยู่ตลอดเวลา
    แต่ถ้าเข้าไปจับปั้บ จะเด่นขึ้นมาเลย แต่ไม่แน่ใจ
    ณ ตอนที่เขียนโพสนี้ก็ยังมีอยู่
    เลยมารายงานก่อนครับ

    ถูกผิดอาจารย์โปรดชี้แนะผมด้วย ว่าควรทำอย่างไรต่อไปครับ
    ผมขอขอบพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าครับ

    ปล. ข้อความอาจไม่สมบูรณ์
    ขออภัยต่ออาจารย์ และกัลยาณธรรมทุกท่านด้วยครับ
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เมื่อวานต้องซ่อมเครื่องของเพื่อนที่โดน virus จากนั้นต้องใช้เนทอัพเดทตลอดเวลา เลยไม่ได้เข้ามา

    +++ อาการ "แผ่ซ่าน" นี้ มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ในร่างกายมนุษย์ทุกคนที่ยังหายใจอยู่ เพียงแต่ไม่ค่อยจะมีใครสนใจและ "อยู่" กับมัน

    +++ อาการนี้คือ "พลังงาน" ที่แฝงอยู่กับร่างกายมนุษย์ หากอยู่กับมันได้ดี มันก็จะกลายมาเป็น "กายพลังงาน" ของเรา และตรงนี้ผมเรียกมันว่า "กายเวทนา" นั่นเอง

    +++ กายนี้สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ ในช่วงนี้ก็ได้มีนักศึกษาในกระทู้นี้ "ทดสอบกายเวทนา กับผู้ป่วยโรคมะเร็งไทรอยอยู่รายหนึ่ง" ซึ่งก่อนที่จะใช้ "กายเวทนา" เข้าทำการรักษานั้น การสแกนร่างกาย พบมีเชื้อมะเร็งขึ้นใหม่ 8 จุด หลังจากตรวจพบ หมอนัดประมาณ 4-5 วัน ให้เข้ารับการรักษา ช่วงระหว่าง 4-5 วันที่รอ Admit นักศึกษาผู้นี้ก็กำหนดเข้ากายเวทนาเต็ม 100 แล้วกำหนดไปที่คนป่วยตลอดเวลา จนเหมือนกายเวทนา แผ่เต็ม 100 แล้วกำหนดไปอยู่ที่กายเนื้อของผู้ป่วย พอถึงวัน Admit หมอก็ให้กลืนเม็ดรังสีไอโอดีน หลังจากนั้น 1 วัน ก็นัดสแกนร่างกาย สแกนเสร็จ หมออนุญาตให้กลับบ้านได้เลย

    +++ ปกติแล้ว หมอจะแจ้งผลสแกนให้ผู้ป่วยทราบ มีจุดไหนบ้างที่รังสีไปจับเพื่อฆ่าเชื้อมะเร็ง แต่วันนั้นหมอไม่ได้แจ้งรายละเอียดอะไร มีแต่นัดว่าอีก 6 เดือน ให้กลับมาตรวจอีกครั้ง พอผู้ป่วยกลับมาถึงบ้าน หลังจากนั้น 3-4 วัน ก็เลยโทรขอดูภาพสแกน ปรากฏว่า ในภาพสแกน รังสีมันไม่กระจายไปจับเชื้อมะเร็งทั้ง 8 จุดที่ตรวจเจอวันแรก ซึ่งก็แปลว่า ไม่มีเชื้อมะเร็งให้รังสีเข้าไปจับ (คือ เชื้อมะเร็งที่ขึ้นใหม่ 8 จุด ที่ตรวจเจอวันแรก มันหายไป) พอเห็นภาพสแกนแล้ว ผู้ป่วยก็ทำหน้า งงๆ เอ๊ย เป็นไปได้ไง

    +++ เรื่องของ "กายเวทนา VS มะเร็ง" นี้ผมเคยฝึกให้กับหลายคนมาแล้ว และทุกคนก็เห็นตรงกันว่า "น่าจะทดลอง" ใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรง เช่น "มะเร็ง หรือ เอดส์" เป็นต้น

    +++ ก็ต้องรออีกสัก 5-6 เดือน ว่า "หมอจะตรวจเจออะไรอีกหรือไม่" ถ้าไม่เจออะไรอีก ก็แสดงว่า "หายขาด" ได้แน่นอน ตอนนี้ "เวลา" เท่านั้นที่จะเป็น "เครื่องพิสูจน์"

    +++ "อาการซ่าน" คือ อาการที่ต้อง "อยู่" กับมัน "กายเวทนา" จึงปรากฏขึ้นมาได้

    +++ ทั้งหมด "มาได้ถูกทางแล้ว" ไม่ว่าจะเป็นอาการ "ซ่าน โยก (ปิติใน ฌาน 2) ร้อน เบา สบาย (สุขในฌาน 3) สงบ จนถึง นิ่งทั้งกายและจิต (เอกัคตาในฌาน 4)"

    +++ เมื่อ "อยู่ได้ทั้งกาย" เมื่อไร "ฌานสมาบัติ" จะวิวัฒนาการไปได้อย่าง "รวดเร็ว" และในขณะที่ "วิวัฒนาการ" กำลังเกิดขึ้นนี้ "ความคิด หรือ มโน" จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย จนกว่าจะ "ออก หรือ ถอน" จิตจากอาการ เท่านั้น

    +++ ถูกทั้งหมดครับ และคุณก็ "พร้อมแล้ว" สำหรับการฝึกในรอบนี้ ให้ pm ไปหาคุณ อินทรบุตร ได้เลยครับ
     
  18. ้เดินธรรม

    ้เดินธรรม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2015
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอสวัสดีครับ อาจารย์ธรรมชาติ และพี่ๆ กัลยาณธรรมทุกๆท่าน
    ก่อนอื่นใด ผมต้องขอขอบคุณอาจารย์มากนะครับ
    ที่ได้ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา ทำให้ผมได้พบหนทางที่แท้จริง
    และขอขอพระคุณ อย่างสูงที่อาจารย์อนุญาต
    ให้ผมเข้าร่วมการฝึกครับ ซึ่งผมจะรีบ pm
    ถึงคุณ อินทรบุตร นะครับ
    ในตอนนี้ผมอยากจะสอบถามอาจารย์ครับว่า
    ในระหว่างก่อนที่จะถึงเวลาฝึกต่อหน้าอาจารย์
    ผมควรอยู่กับอาการซ่านร้อน หรืออาการโยก
    หรือทำตามหน้าแรก เข้า ออก เพิ่ม ลด
    หรือทวนการเดินจิต หรือว่าควรทำอย่างไรระหว่างนี้
    รบกวนอาจารย์ด้วยนะครับ
    ขอขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงครับ
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ในช่วงนี้ควรหมั่นฝึกซ้อมการ "เข้า ออก เร่ง ลด ตรึง แช่ อยู่" กับ "ความรู้สึกทั้งตัว (ซ่านจนหยุดซ่าน และ คงสภาพอยู่เช่นนั้น)" ให้คล่อง จนเหมือนกับว่า "อยากจะเข้าเมื่อไร ลึก-ตื้น ระดับใด อยู่นานเท่าไร จะปรับให้อยู่ในระดับใด" ก็สามารถ "ทำ" ได้ดั่งใจปรารถนา ทั้้ง 0-100 % แบบอย่างไรก็ได้

    +++ ตรงนี้เท่านั้น ที่เป็น "พื้นฐานทั้งหมด" ของการเดินจิตในสภาวะธรรมต่าง ๆ ทั้งรูปและนาม ซึ่งจะมี รายละเอียดอีกมากในการฝึกต่อหน้า รอบนี้คงเป็น "ฤกษ์ตรุษจีน" พอดี ๆ นะครับ
     
  20. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    อาจารย์คะ การกำหนดตนให้ว่างยังทำไม่ได้คงเพราะไม่ได้อยู่เงียบๆคนเดียว ไปเที่ยวเกาหลีมาค่ะ ช่วงที่นั่งนิ่งจะกำหนดไปด้วยเหมือนกับว่าช่วงที่นั่งเรือ เราได้ยินเสียงคนคุยกันแยกกันอยู่แต่ได้ยินไปพร้อมๆกันที่ชัดเจนเพราะสองเสียงนั้นเป็นคนละภาษาค่ะกับอีกเสียงเรือค่ะ กับเมื่อคืนกำหนดไปรู้สึกว่ามีตัวเราอีกตัวอยู่ข้างหน้าเหมือนอาการของพี่นันเลยค่ะอาจารย์อธิบายหน่อยค่ะว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
    @@@ สภาพตนว่างให้กำหนดเข้าไปแบบเดิมหรือคะคือเหมือนของหนูสภาพมันไหลเองไปตามธรรมชาติ แหะๆคือสิปึกคัก เหมือนพี่จิตวิญญาณเคยพูดไว้
    แล้วตัวดูหดกับสภาพไร้อัตตาต้องสังเกตุว่ามันต่างกันยังไงคะ

    @@@ อีกอย่างค่ะช่วงนี้เป็นบ่อยๆคือปากมันพูดไปเฉยๆแต่เราไม่ได้บังคับกล้ามเนื้อเลยยังมีส่วนอื่นๆอีกที่มันพลิ้วไปเรื่อยๆเช่นเท้าเราค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 กุมภาพันธ์ 2015

แชร์หน้านี้

Loading...