ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    จริงค่ะ มันรู้สึกดีจริงๆ ณ ตอนล่องหนเนี่ย ไม่มีทุกข์ ไม่มีร่าง เหมือนไม่มีอะไร แต่ก็รู้ก็เห็น รู้สึกได้ :cool::cool::cool:
     
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ จะเรียกว่า "ไม่มีทุกข์" ก็ยังไม่ถูกต้อง 100% เพราะมันเป็น "ฌาน" ซึ่งเป็นทุกข์ละเอียด จนกว่าจะฝึกถึงสติระดับที่ 7 "อยู่กับรู้ หรือ อยู่กับตน" จึงจะพอรู้ได้ว่า "ตนนั่นแหละคือ ตัวฌาน" ซึ่งภาษาในกระทู้นี้คือ "ตัวดู คือ ตัวฌาน"

    +++ อธิบายได้สั้น ๆ คือ

    1. ภพภูมิ ที่มนุษย์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่นี้ "เป็น" กามาวจรภูมิ
    2. ทุกครั้งที่ "จิตส่งออก" ไปเสพอารมณ์ ภายนอกตน ก็คือ "จิตส่งออกไป เสพกามารมณ์" จิงป่ะ
    3. และทุกครั้งที่เกิด "ความขัดแย้งกับจิตอื่น ภายใต้ กามารมณ์" นี้ จัดว่าเป็น "การประพฤติผิดในกาม" จิงป่ะ

    +++ ดังนั้น "กาเม + สุ + มิจฉา + จารา" จึงเท่ากับ "กามารมณ์ + ดี + ชั่ว + ท่องเที่ยวไป" จึงเป็นตรงนี้ ใช่ป่ะ
    +++ และตรงนี้ก็คือ "จิตส่งออก คือ สมุทัย" ของหลวงปู่ดุลย์ นั่นเอง
    +++ ดังนั้น ศีลของฆราวาส คือ "ให้สังวร จิตส่งออก" นั่นแหละ

    +++ จากศีลฆราวาส เมื่อทำให้ "จิตไม่ส่งออกได้แล้ว" ก็จะกลายมาเป็น "จิตอยู่กับตน" ซึ่งก็คือ "สติระดับ 5" ในกระทู้นี้ ซึ่งจะเป็นอาการของ "ผู้ทรงฌาน"

    +++ ผู้ทรงฌาน ใน "สติระดับ 5" จะมีอาการ อยู่ใน ฌาน 1-4 ตลอดเวลา และจะมีคุณสมบัติทางจิต ดังนี้

    1. เมื่อกำลังอยู้ใน ฌาน1 จิตจะมีการ scan สภาวะต่าง ๆ ภายใน "ตน" ภาษาสมัยก่อนเรียกว่า "พิจารณา" แต่ภาษาในยุคนี้เรียกว่า "สังเกตุ" ภาษาที่โบราณมากกว่านี้เรียกว่า "ธรรมะวิจัยยยะ"
    2. เมื่อกำลังอยู้ใน ฌาน2-3 จิตจะมี ความสุขและพอใจ (ภายในตน) และจะตรงกับ เมตตากรุณา (ภายนอกตน) หากมีจิตอื่นมาติดต่อ
    3. เมื่อกำลังอยู้ใน ฌาน4 จิตจะเสพ ความเป็นตน (อุเบกขา) หรือ อารมณ์หนึ่งอารมณ์เดียว (เอกัคตา) เท่านั้น
    4. ไม่ว่าจะอยู่ใน ฌาน ตรงไหนก็ตาม จิต จะ "ไม่มีความเป็นเพศ" ในขณะนั้น ๆ (สังเกตุให้ดี ก็จะรู้ได้เอง)

    +++ ตรงนี้คือ "จรรยาบรรณ ของ พรหม" พรหมทั้งหมด จะมีคุณสมบัติทางจิตตามข้างบนนี้
    +++ ดังนั้น ศีล ของนักบวชคือ "ไม่ประพฤติให้ หลุด ออกไปจาก จรรยาบรรณของพรหม" และเรียกว่า "ประพฤติพรหมจรรย์" หรือ "อยู่พรหมจรรย์" ก็ได้

    +++ ดังนั้น "จิตไม่ส่งออก เป็นเหตุ ทำให้ จิตอยู่กับตน เป็นผล" หรือ ศีล กาเมสุมิจฉาจารา เป็นเหตุ และ อพรหมจริยา เป็นผล (ศีลที่ ป้องกันและปิด อบาย ตัวจริงคือตรงนี้ เท่านั้น จิตที่ "ไม่ส่งออก" จึงเป็นจิตที่ "ไม่ใช่สมุทัย")

    +++ ยามใดที่ฝึกมาจนถึงสติระดับที่ 7 ก็จะรู้ได้เองว่า "ยามใดที่ ความเป็นตนปรากฏ ทุกข์ก็ปรากฏมาพร้อมกัน" และ "ยามใดที่ไม่มีตน ยามนั้นก็ไม่มีทุกข์เช่นกัน" ก็จะรู้ได้ว่า "พรหมก็ยังไม่พ้นทุกข์" เหมือนกัน และ ในยามที่ไม่มีร่าง "ก็ยังมีทุกข์ได้" เหมือนกัน

    +++ ให้อ่าน ทบทวนไปมา สัก 2-3 รอบก็จะรู้ทาง "ปิดอบาย" ได้ไม่ยาก นะครับ
     
  3. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    ล่องหนแล้วไปใหนคะ เล่าให้ฟังบ้างได้ไหม คุณ mobilelizard ด้วยค่ะ ชอบฟัง. พี่ธรรมชาติคะที่หนูไม่ถอดกายเวทนานี่จะไม่สามารถถอดได้เลยรึเปล่า แต่จะไปถอดกายธรรมารมณ์แทน หรือจะสลับกันถอดได้คะ (เป็นคนขี้สงสัยต้องหาเหตุผล แต่หลวงพ่อบอกอยากรู้อยากเห็นอะไรให้ปฏิบัติเอาทำเอา อิอิ)
     
  4. karon1

    karon1 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2014
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +1
    อยากได้ป่วนป่าวครับ
     
  5. karon1

    karon1 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2014
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +1
    เราไม่ได้ตามหาสิ่งที่ไม่รู้ เราเรียนรู้จากสิ่งที่มี
     
  6. karon1

    karon1 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2014
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +1
    แนะนำให้ไปออกกำลังกายครับ
     
  7. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    คุณน้องอย่าได้มาป่วนที่นี่เลย จะเป็นโทษแก่ตัวคุณน้องเองน่ะ
    ผลกรรมอันนี้จะส่งผลให้ชีวิตคุณน้องเองมีแต่ปัญหา มีสิ่งมาขวาง ลาภที่จะได้กลับไม่ได้ ขอเตือน เจ้าที่กระทู้นี้ท่านแรง
     
  8. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023


    (จิตส่งนอก เสพกาม รูป รส กลิ่น เสียง) ในเมื่อมีร่างกายก็ยังต้องเสพอยู่ สักแต่ว่าเสพไม่ติดใจใน รูป รส กลิ่น เสียง นั้น ฆารวาสสังวรจิต บังคับกายไม่ให้ผิดศีลข้อกาเมนี้ ถึงจิตจะคิดไป แต่กายไม่ปฎิบัติตาม แปลว่ายังไม่ผิดศีล การระงับสำรวมกรรมบท 10 เท่านั้นที่น่าจะตัดอบายได้ใช่ไหมค่ะท่าน
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ การถอดกายใด ก็ต้อง "อยู่" กับกายนั้น ๆ ก่อน จนกว่าจะ "เป็น" กายนั้นในขณะนั้น ๆ

    +++ ในขณะที่นั่งสมาธิ หากยามใดที่รู้ว่า "มันหายใจ" แต่ "เราไม่เกี่ยว" เพียงแต่ "ระบบการหายใจทั้งหมด ถูกรู้" ก็ให้รู้ว่า ในขณะนั้น "เราไม่ใช่กายเนื้อแล้ว"

    +++ ในขณะนั้น หากเรา "รู้สึกทั้งตัว" เราก็ย่อมเป็น กายเวทนา
    +++ ในขณะนั้น หากเรา "รู้ตัวเฉย ๆ" ก็มักจะเป็น กายจิต
    +++ ในขณะนั้น หากเรา "รู้สึกว่า ดูอยู่" เราก็ย่อมเป็น กายธรรมารมณ์ (ตัวดู)

    +++ ให้สังเกตุ อาการทั้ง 3 ให้ดี แล้ว "อยู่" ในสภาวะนั้นไปเรื่อย ๆ ก็จะเข้าสู่ "การเป็นสภาวะนั้น" ไปเอง
    +++ ปล่อยทุกอย่างให้ เป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง เมื่อได้จังหวะที่ ถูกต้อง มันก็จะแยกออกจากกันได้เอง ตามหลักของ สัมปยุตาธรรมา วิปยุตาธรรมา

    +++ ถูกแล้ว มัวแต่สงสัย ก็ย่อม "ปรุงแต่ง คิดเอาเอง เออเอาเอง" ร่ำไป ลงมือทำได้ถูกต้องเมื่อไร "มันก็ปรากฏขึ้นมาเอง" ตามธรรมชาติของมันนั่นแหละ
     
  10. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    นั่นนะซิครับ เขาคุยธรรมะกัน ดันจะมาป่วน คิดดีๆ นะครับ น้อง
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ กระทู้นี้ "เป็นกระทู้ฝึก" เป็นกระทู้ที่ "ไม่เหมาะสมกับพวกที่ชอบ การก่อกวน หรือ การทะเลาะวิวาทใด ๆ"
    +++ กระทู้นี้ มีแต่ "นักเรียน" ไม่มี "อันธพาล" อาศัยหมกตัวอยู่ในนี้
    +++ หากเห็นว่ามี "อันธพาล" ในกระทู้นี้ ก็ให้แจ้ง "คสช" ได้ที่อีเมลล์ rfm@mod.go.th ตรงนี้ นะครับ
    +++ อีเมลล์ตัวนี้ รับรองว่า "ถึง คสช" แน่นอน เพราะเคยส่งไปแล้ว และได้รับ อีเมลล์ตอบกลับมา "ยืนยัน" เป็นที่เรียบร้อย

    +++ หากต้องการหาคู่มือจริง ๆ ให้ลองไปดูที่เวที "วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ"
    +++ หรือถ้าต้องการเป็น "ยอดนักป่วน" ตัวจริง ๆ ก็ลองลงไปใน "หลุมดำ" ดู ในนั้นน่าจะหา "คู่มือ" ได้ไม่ยาก
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ "เรียนรู้จากสิ่งที่มี" หาได้เท่าไร ก็ได้ไปเท่านั้น ถูกต้องแล้วครับ
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ หากตั้งใจเข้ามาก่อ "อกุศลกรรม" ขอแนะนำให้ไปที่อื่น นะครับ
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ หลักปฏิบัติของ "ศีล 5-8" จริง ๆ นั้นคือ มีสติ "อยู่" กับตน โดยไม่ต้องไปบังคับอะไร
    +++ ยามใดที่ "สติ" สามารถทรงตัวเป็น "สมาธิ" ได้แล้ว "ศีล 5-8" จะเป็นผลลัพธ์ที่ตามมาเอง รวมทั้ง "มรรค 8" ย่อมสมบูรณ์มาเองด้วย

    +++ ดังนั้น การปฏิบัติจริง ๆ ย่อมขึ้นที่ "สติ" จนตัวสติตั้งมั่นได้ จึงเป็น "สมาธิ" และ "สติที่เป็นสมาธิ" นี้จะทำให้เกิด "ปัญญา" ที่เรียกว่า "ญาณทัศนะ" ที่มีอาการของ "รู้ ที่กลายเป็น เห็น" ที่พระป่าสายการปฏิบัติของหลวงปู่มั่น ท่านเรียกว่า "ตาสติ ตาปัญญา" นั่นเอง

    +++ การที่จิตคิดไปนั้น "เป็นจิตส่งออก" ไปเรียบร้อยแล้ว การตัดอบายที่ตรงทางที่สุดคือ "มีสติอยู่กับ ตน" นั่นเอง ส่วน กุศล-อกุศล กรรมบททั้งหลาย จะมีกี่ข้อก็ตาม หากไม่มี "สติ" รักษา "จิต" แบบตรง ๆ นั้น จะ "ปิดอบาย" ไม่ได้เลย

    +++ "สติ สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุติ" ทั้งหมดเป็น "ตัวเดียวกัน"
    +++ คำพูดข้างบนนี้ เป็นของพระอุปัชฌาย์ของผมเอง อัฐิของท่าน เป็นพระธาตุไปเรียบร้อยแล้ว นะครับ
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ผมจะต้องเดินทาง 2-3 วัน "สำหรับผู้ที่ฝึก" อยู่ในกระทู้นี้ ใครติดขัดตรงไหน ก็ถามมาก่อนได้ หากตอบไม่ทันก็คงต้องเป็น วันอาทิตย์หรือวันจันทร์หน้า นะครับ
     
  16. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    +++ ปกติแล้ว ตัวพูดมาก จะใช้ภาษาที่ตรงกับอาการเสมอ แต่ไม่ค่อยจะตรงกับที่ทางสังคมปัจจุบันใช้ หลายครั้งที่ต้องจับมัน "ให้กลับไปพากษ์อาการเก่า" ซ้ำ ๆ กันหลายที ให้สังเกตุ ถ้อยคำใน (วงเล็บ) ของ "จิตมารภาค 2" ที่คุณ mobilelizard นำเอาโพสท์เก่าของผมกลับมาไว้ในกระทู้นี้

    +++ ให้สังเกตุให้ดี เช่น
    +++ "3. การรวมตัว กลายมาเป็น ตัวดู (การอุบัติของ วิญญาณขันธ์ที่ 5 อายตนะตัวที่ 6)(อัตตาจิต)(ตัวกู)(ผู้รู้)"
    +++ ตรงนี้ map จิตลงไปแต่ละครั้ง ตัวพูดมาก ก็พากษ์ออกมาในภาษาต่างหมวดกัน แต่ทั้งหมดเป็นอาการเดียวกัน คือการ "รวมตัวแล้วเกิด" หากจะใช้ภาษาที่ ละเอียดแต่ยืดยาด ก็จะออกมาในรูปแบบนี้

    +++ การรวมตัว กลายมาเป็น ตัวดู
    +++ การรวมตัว กลายมาเป็น การอุบัติของ วิญญาณขันธ์ที่ 5
    +++ การรวมตัว กลายมาเป็น การอุบัติของ อายตนะตัวที่ 6
    +++ การรวมตัว กลายมาเป็น อัตตาจิต
    +++ การรวมตัว กลายมาเป็น ตัวกู
    +++ การรวมตัว กลายมาเป็น ผู้รู้

    +++ ถ้าลองอ่านจากพระไตรปิฏก "ลักษณะการใช้ภาษา ที่ยืดยาด" นั้นแท้จริงมาจากอะไร ให้ลองสังเกตุจากตัวอย่างข้างบนดูก็พอจะแกะรอยออกมาได้ว่า "เกิดจากการ เอาตัวพูดมาก เข้าไป map กับอาการ แล้้วให้มัน บรรยายธรรม ออกมา" นั่นเอง

    # ใช่ค่ะใช่ ตรงเป๊ะเลยค่ะ


    +++ พลังแฝงที่อยู่ในร่างกาย นั้น "ไม่เกี่ยวข้องกับ ตัวพูดมาก (รูปธรรม ในชั้น เสียง)" แต่เกี่ยวโดยตรงกับ "ตัวดู" (นามธรรม ในชั้น พลัง)

    +++ (การแมปจิตย้อนหลัง แล้วถอนจิตออกมาอยู่กับ ”สภาวะรู้” เลย กลายเป็นว่า รู้อาการ แต่ไม่รู้จะพูดจะคุยจะเล่าอะไร) นั้น แสดงว่า "หลาย ๆ ครั้งได้ทำการ ฝึกดับตัวพูดมาก มาก่อน" แต่ไม่ค่อยจะได้ "ฝึกปล่อยตัวพูดมาก ให้มันทำงาน" ดังนั้น เมื่อถอนออกมาจาก อาการใดก็ตาม ตัวพูดมากมันก็เลย "ไม่ยอมทำงานให้" ตรงนี้เป็นจุดหนึ่ง ที่ในอดีตชาติมีอาการผสมผสานกันของ ความเบื่อหน่ายสังคม จนไม่ต้องการที่จะเกี่ยวข้องด้วย จนเคยเป็นลักษณะ ตัดสังคมออกไปจากหนทางการเดินจิต ที่เรียกว่า กลายเป็น ปัจเจกชน ในบางชาติ ดังนั้น บางทีมันก็แสดงตนออกมาได้เหมือนกัน แต่ทั้งหมด ขึ้นกับความพยายามของเรา เพราะไม่ได้เป็น "พุทธภูมิ" อีกต่อไป ดังนั้น จึงไร้ข้อผูกมัดและขีดจำกัดใด ๆ ทั้งสิ้น

    # นี่ก็ใช่อีกค่ะ ตัวพูดมากมันไม่ยอมทำงานให้ จริงค่ะ


    +++ วันโกน วันพระหน้า ให้ทำ "ปัฏฐาน" โดยเอา

    1. "สภาวะรู้ เป็นใส้เทียนของ กายเวทนา"
    2. ปล่อยให้ ตัวพูดมาก มัน Satellite Orbitting ไปรอบ ๆ กายเวทนาด้านนอก (ตัวพูดมาก คือ กายจิต ในชั้นของเสียง เป็นตัวดูฝ่ายรูป ในยามทำงานร่วมกับตัวดู)

    +++ ให้คอยสังเกตุอาการว่า "มันมาจาก ในตน หรือ นอกตน" หากอาการนั้น ๆ มาจากในตน ตรงนี้เป็นเรื่องของ "โรคภัยไข้เจ็บส่วนบุคคล" แต่ถ้าหาก มาจากนอกตน

    +++ ส่วนหนึ่งของ กายเวทนา จะแปลงสภาพเป็น ตัวดู และ ตัวพูดมากจะแปลงสภาพเป็น ตาจิต (ตัวดูฝ่ายรูป)(ตาทิพย์) โดยธรรมชาติของมัน แล้วแตะเข้าไปยังอาการที่ปรากฏมานั้น ก็จะรู้ว่า มันมาได้อย่างไร

    +++ หากจะทำ "ย้ายเข้าไปอยู่" แล้ว "เดินกายเวทนา 100 ข้างในขันธ์ตัวนั้นก็ได้" หรือ "จะใช้การรู้ว่า มันมาจากไหน แล้ว teleport ต้วดูในขณะที่ อยู่ในขันธ์นั้น ๆ ส่งกลับไปหาเจ้าของ ก็ได้" ถือว่า ก็แค่ส่งคืนเจ้าของไป เท่านั้นเอง นี่สอนวิธีป้องกันตนเองให้เฉย ๆ เท่านั้นนะ ไม่ได้บอกให้ไป เปิดศึกแม่มดกับใคร เข้าใจได้ไม่ยากนะ

    # ค่ะๆ เข้าใจค่ะ เป็นวิธีป้องกันตัวเฉยๆ จริงๆก็รู้ว่ามันมาจากไหน มาได้อย่างไร ต้องการอะไร โดยนิสัยปกติจะไม่ตอบโต้ใครค่ะ ป้องกันตัวก็ไม่เป็น แต่เชื่อว่า ใครทำอะไรเดี๋ยวก็ได้รับเอง แต่เคยได้ยินตัวพูดมากมันพูดนอกตัวเราว่า ลองของ .. ฮ่าๆ

    +++ ขณะที่เคลื่อน ตามตูด มันไปตรงนี้แหละ ที่หลวงตามหาบัวท่านใช้คำพูดว่า "มันจะ จ่อ ไม่จ่อ" นี่แหละ แต่จริง ๆ แล้ว มันเริ่ม "ตกเข้าสู่กระแส การดึงดูด ของอณูตัวนั้น" (วัตถุเคลื่อนที่ หรือ อสังขตะธรรม ย่อมมีแรงดึงดูด และ momentum ในขณะที่มันเคลื่อนตัวผ่าน) เพียงแต่ว่า "รู้ทันมัน" ก็เลยไม่ต้องกลายมาเป็น "ตัวดู" นั่นเอง แต่ควรสังเกตุด้วยว่า ในขณะที่มีการ "ตามตูด" นั้น สภาวะของ "หย่อมความกด" มีการกำเนิดขึ้นแล้ว (อวิชชา) เพียงแต่ ไม่เกิดการรวมตัว (สังขารา) ที่กลายมาเป็น ตัวดู (วิญญานัง) เหตุเพราะ "รู้ทัน" นั่นเอง

    +++ อณู เคลื่อนที่ผ่านมาก่อน จากนั้น กระแส "จลศาสตร์ Dynamic" จาก อณู ทำให้เกิด "หย่อมความกดในสภาวะรู้" (space anormaly) หากรู้ทันตรงนี้ อวิชชา ก็หายไป
    +++ หากไม่ทัน กระแส Dynamic จาก อณู ก็จะทำให้ หย่อมความกด เกิดการรวมตัว เป็น "พลังงาน" อาการรวมตัวผสมผสานเข้ามานี้ คือ อาการของ "สังขารจิต"
    +++ จากนั้น พลังการรวมตัวนี้ จะพุ่งเข้าสู่จุด ศูนย์กลางของอณูนั้น กลายมาเป็น "วิญญาณขันธ์" หากรู้ทันตรงนี้ ก็จะเกิด "การถอนสภาพ หรือ ดับ วิญญาณขันธ์ได้"

    +++ ตรงที่ Touchdown แล้วเกิดวิญญาณขันธ์นั้น จะมี 1 เจตนาเกิดขึ้น ตรงนี้แหละ คือ "ตัวจะ" เพียงแต่เราทัน "ตัวจะ" วิญญาณขันธ์ จึงเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็น "ตัวจะ" เกิดก่อน "ตัวจิต" นั่นเอง ให้อ่านทวนใหม่อีกรอบ คราวนี้ จะชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม นะครับ

    # ค่ะ อ่าน เข้าใจชัดเจนแล้วค่ะ

    ช่วงนี้อาจจะไม่เข้ามารายงานสักพักนะคะ จะพยายามฝึกใช้ ตัวพูดมาก ให้ได้น่ะค่ะ ยังไงเรื่องรายงานการฝึก ต่อไปขอให้เป็นหน้าที่ของผู้ฝึกใหม่นะ ขอให้ทุกคนเร่งความเพียร ฝึกให้ผ่านด่านเร็วๆเด้อ
     
  17. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679

    เดี๋ยวนะ เดี๋ยวจะเล่าผลรับจากการป่วนให้ฟัง เรื่องที่เล่าไม่เกี่ยวกับการฝึกในกระทู้นี้นะ แต่เล่าเพื่อเตือนสติ เพื่อให้ไม่ประมาทในกรรม เรื่องอาจจะเกิดขึ้นต่างวาระต่างกรรม แต่มันก็คือผลกรรมของการป่วน

    เมื่อหลายปีก่อน ช่วงที่กำลังเริ่มทำรั้วรอบบ้าน มีครอบครัวหนึ่งที่อยู่หลังบ้านเรา ชอบมาป่วนคนงาน เพราะไม่ต้องการให้ทำรั้ว บ่นว่าบังวิว ทั้งๆที่บ้านเขาอยู่สูงกว่า 10 เมตร บ่นว่าทำให้ถนนแคบ ทั้งๆที่ถนนกว้าง 6 เมตร พอป่วนไม่ได้ผล ก็ไปแจ้งร้องเรียน อบต. ว่าเราทำรั้วล้ำถนน ทำให้ถนนเข้าบ้านเขาแคบลง พอ อบต.ได้รับเรื่องร้องเรียน จึงมาขอพบเรา 3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายได้พบ สงสัยจะมากันทั้งสำนักงาน นายกอบต.ก็มา เห็นเต็มทางเข้าบ้านเลย เอารังวัดมาด้วย กะว่าจะเอาความผิดเราเต็มที่ แต่สุดท้าย ทำอะไรเราไม่ได้ เพราะจำนนต่อหลักฐาน

    พอคนงานเริ่มก่อรั้ว หลังบ้านมาอีกแระ มายืนด่า ยืนป่วน จนคนงานบ่น เจ้ ไม่ไหวแล้วนะ เราก็ เออ ทนเอาหน่อยนะ อย่าไปถือสาเขา ดูๆแล้วน่าสงสารมากกว่า เดี๋ยวเราซื้อนี่ซื้อนั่นแล้วเอาให้เขานะ เผื่อเขาจะได้หยุดป่วนเรา คนงานขับรถทับต้นยางต้นเล็กๆที่อยู่ริมถนน จ่ายไปห้าร้อย วันดีคืนดี หักกิ่งยางมาบอกว่าคนงานทำหัก จะให้จ่ายอีกห้าร้อย นานพอสมควรที่เป็นอยู่แบบนี้ เราก็ไม่รู้จะทำยังไง นั่งคิดหาวิธีให้เขาเลิกป่วนเลิกด่าคนงาน แต่หาวิธีไม่ได้ แม้แต่เจ้าของที่ดินที่เราซื้อจากเขามาก็ช่วยไม่ได้ คนพวกนี้เขาไม่ฟังใคร ไม่รู้จักบาปกรรม ถ้าไม่เห็นอะไรคงไม่สำนึก

    แล้วมีอยู่วันหนึ่ง เรากำลังยืนคุยเรื่องงานอยู่ เห็นไฟลุกไหม้อะไรใกล้ๆบ้านเขา ทุกคนพากันเข้าใจว่าคนบ้านนั้นเผาขยะ เพราะเขาเผาขยะประจำ และช่วงขณะนั้น บังเอิญมีลมพัดมาแรงมาก พัดเปลวไฟ ตี-ตลบขึ้นภูเขา ไฟลุกท่วมไหม้ขยายวงกว้าง ทุกคนได้ยินเสียงคนร้อง ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน

    จนเราบอกคนงานให้ปีนรั้วขึ้นไปดูซิ ผลปรากฏว่า คนงานเห็นลูกสาวบ้านนั้น อายุยังไม่ถึง20เลย ติดอยู่ในกองไฟ คนงานพยายามคว้าแขนเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้วลากออกมาจากกองไฟ ซึ่งร่างกายท่อนล่างถูกไฟไหม้ไปครึ่งตัวแล้ว หนังเท้าที่ถูกไฟไหม้ เปิดเห็นกระดูก คนงานหามขึ้นรถส่ง รพ. ระยะทางจากที่เกิดเหตุถึง รพ ประมาณ 30 กม. เธอร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมานไปตลอดทาง รักษาตัวอยู่ รพ. 1 เดือนก็เสียชีวิต

    หลังจากเด็กคนนั้นเสียชีวิต อยู่ๆ ครอบครัวเธอก็มาขอขมาขอโทษเรา เราก็ งง นะ ครอบครัวเธอพูดว่า ที่แล้วๆมาอะไรที่ทางครอบครัวเธอทำไม่ดีต่อเรา ก็ขอให้อภัยด้วย เราก็บอกไปตามตรงว่า เราไม่ได้ถือสาและไม่เคยติดใจอะไรเลย

    แต่รู้มั้ยว่า แม้ผู้ถูกกระทำจะไม่ถือสาและไม่ติดใจเอาความใดๆ แต่กรรมก็คือกรรม ชะตากรรมของคนทั้งบ้านนั้น สองปีที่ผ่านมา กรรมยังส่งผลไม่หยุด ลูกสาวคนโตเลิกกับลูกเขยไปมีแฟนใหม่ ลูกเขยได้น้องสาวเมียจนมีลูก คลอดลูกแล้วหนีไปกับผู้ชายใหม่ แฟนใหม่ของลูกสาวคนโตข่มขืนแม่ยาย ติดคุก พ่อหลับนอนกับลูกสาวอีกคน แม่หนีไปมีสามีใหม่ บ้านแตกสาแหรกขาด

    ทั้งหมดที่เล่าคือประสบการณ์จริงโดยตรง นี่แหล่ะคือผลของกรรม เพราะฉะนั้นจึงขอให้อย่าประมาทในกรรม ส่วนใครไม่เชื่อเรื่องบาปกรรม ก็แล้วแต่เด้อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2014
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ การ "ฝึกใช้ตัวพูดมาก" นี้ "ไม่ใช่เรื่องง่าย" ผมเองยังต้องใช้เวลา "เป็นปี" กว่าจะเริ่มครอบคลุม "วิถีการทำงานของมันได้" แต่ต่อเมื่อ "ใช้มันทำงานได้แล้ว" จึงค่อยมารู้เอาทีหลังว่า "ตัวพูดมากนี่แหละ และ เป็นตัวเดียวเท่านั้น ที่เป็น ตัวจตุปฏิสัมภิทาญาณ โดยตรงตามพระไตรปิฏก" นั่นเอง

    "จตุปฏิสัมภิทาญาณ" ตามพระไตรปิฏก คือ

    1. ธัมมปฏิสัมภิทาญาณ คือ สามารถกำหนดหัวข้อธรรม หรือหลักธรรม หรือ รู้เหตุและปัจจัย ของผู้ถามได้อย่าง ตรงประเด็น (ตั้งหัวข้อธรรม)
    2. อัตถปฏิสัมภิทาญาณ คือ กำหนดเนื้อความ หรือลักษณะอธิบายคำพูด ให้เกิดประโยชน์ ตรงกับความ จำเป็น ของผู้ถาม (อธิบาย ตรงประเด็น ไม่ แถไป แถมา ไม่ขาด ไม่เกิน)
    3. นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ คือ กำหนดใช้ภาษา ได้ถูกต้องตรงกับอาการของจิต โดยใช้ภาษาให้เหมาะสมกับ กาละ เทศะ ปุคคละ (ใช้ภาษาใด้ ตรงตามอาการ)
    4. ปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ คือ แตกฉานในการกล่าวถึงสภาวะธรรม สามารถ สรุป หรือ ขยาย เพื่อให้ผู้ฟัง เข้าใจได้ตรงประเด็น (ตัวอย่างคือ หลวงปู่ดูลย์ "สรุป" หลวงพ่อพุทธทาส "ขยาย")(ไม่ใช่เรื่องของ การเถียงเก่ง)

    +++ ให้สังเกตุให้ดี ๆ ว่า จตุปฏิสัมภิทาญาณ นั้นเป็นเรื่องของ "การใช้ภาษา ในระดับ เจโตปริยะญาณ" หรือพูดง่าย ๆ ได้ว่า "เป็นการใช้ ตัวพูดมาก ให้ออกมาแปล สภาวะธรรมต่าง ๆ ที่มีความละเอียดในระดับ วาระจิต รวมถึง การล่วงรู้ถึง วาระของจิตอื่นด้วย"

    +++ และตรงนี้ คือ ต้นเหตุของ "อนุสาสนีปาฏิหาริย์" ที่เรียกว่า "สามารถแสดงธรรม แล้ว ธรรมปรากฏขึ้น จนเห็นได้ในขณะนั้น ๆ" และตรงนี้เป็น "ปาฏิหาริย์" เดียวที่ พระพุทธเจ้า ทรงสรรเสริญ ส่วนปาฏิหาริย์อื่นนั้น ศาสนาหรือลัทธิอื่นก็ทำได้ ยกเว้นแต่ "อนุสาสนีปาฏิหาริย์" นี้เท่านั้น ที่ไม่มีในศาสนาอื่น

    +++ การฝึกตรงนี้เป็นการฝึกที่ ผมพยายามให้ผู้้ที่ฝีกใน สติระดับ 9 ให้ได้ทุกคน แต่ทั้งหมดก็ต้องขึ้นกับ "วาสนา และ ความพยายาม" ของผู้ที่ฝึกเป็นรายบุคคล (ปัจจัตตัง) นะครับ
     
  19. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    อันนี้ใช่เลย ตัวพูดมากไม่ทำงาน เพราะเคยชินกับการไม่ให้มันทำงาน

    ขนาดพี่ยังใช้เวลาเป็นปี ส่วนเมิลได้แค่ไหนก็แค่นั้นก็ได้คะ แต่ยังไงก็จะตั้งใจฝึกคะ

    อาการที่เป็นบ่อยช่วงนี้ มักจะเกิดเวลาที่ดูหนังจะรู้สึก เมิลจะรู้สึกถึงหย่อมความกด ในอากาศที่อยู่ข้าง ๆ ถัดออกไปจากตัว อยู่ในบริเวณใกล้ ๆ กัน มันเป็นความรู้สึกถึงสิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในอากาศ เริ่มแปรปรวน ก่อตัว รวมตัวกัน หมุนเป็นกระแส พอรู้ตัวว่ารู้ถึงกระแสการรวมตัวก็หยุด
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ 1. แรก ๆ จะเป็นอย่างนั้น "ไปเอง ด้วยตัวคนเดียว" และ "ไร้ความปรารถนา ที่จะ เป็นภาระกับมัน"

    +++ 2. แต่ ยังดำรงค์ชีพ "อยู่ในโลก ไปเรื่อย ๆ" (ยังไม่ตาย) จึง "เห็น" พวกพ้องญาติมิตรรวมทั้ง "สัพเพสัตตา" ทั้งหลาย รวมทั้ง "บุคคลอันสมควร ฉุด ให้พ้น" ยิ่งมาก็ยิ่งเยอะ

    +++ 3. พอจะ "ลงมือฉุด ก็ทำไม่ได้เสียแล้ว" เพราะ "ไม่รู้ว่าจะ สื่อสาร อย่างไร" พยายามเรียบเรียงคำพูด มันก็กลายเป็นเรื่อง "กำปั้นทุบดิน ไปหมด" คือ "ไม่ว่าพูดอย่างไร มันก็ถูกทั้งนั้น" แต่ว่า "ไม่มีใคร ทำได้เลย" และทุกคำ ที่พยายามพูด ครูบาอาจารย์ท่านก็พูดกันมาหมดแล้ว ในยุคนี้ "กอปปี้ เอามาจาก กูเกิ้ล เมื่อไรก็ได้" แต่ไม่ยักกะมี ใครทำได้สักคน

    +++ 4. พอถึงเวลาจวนตัว ที่จะต้อง "ฉุดผู้มีพระคุณ ให้พ้น" ก็ทำไม่ได้ ท้ายสุดก็ต้องมา "นั่งปลง และ ปลอบใจตนเองว่า แล้วแต่กรรมของเขา" แต่จริง ๆ แล้ว "เรานั่นเอง ที่ไร้ความสามารถ" เพราะ "เราไม่พยายามฝึกฝนให้ชัดเจนลงไปว่า มันเป็นเรื่องเกินความสามารถ จริงหรือเท็จ"

    +++ เมิล ไม่เคยมี "วาสนาและวิบากที่เกี่ยวข้อง ในทางเดินของ พระปัจเจก มาก่อน" ดังนั้น "ไม่นานก็จะรู้ได้เอง" ในยามที่ต้อง เจอกับ 4 ข้อข้างบน ที่ผมกล่าวมานี้ และเมื่อถึงเวลา "จะมานั่งปลงอย่างเดียว มันไม่คุ้มหรอก" สำหรับคนอื่น ที่ไม่ได้ฝึกในกระทู้นี้ จะละวางปล่อยวางยังไง มันก็เรื่องของเขา เราไม่ก้าวก่าย

    +++ แน่นอน "เคยเจอ ใครที่สอนแบบนี้ มาก่อนหรือเปล่า" จะได้ไม่ต้องถึงปี "ก็ลองหาดูซิ ว่าจะเจอหรือเปล่า" โดยเฉพาะ "ที่ยังดำรงค์ชีพอยู่ในปัจจุบันนี้" ถ้าการสอนแบบนี้้ มีอยู่เยอะ ก็ไม่เป็นไร จะฝึกเมื่อไรก็ฝึกได้ "เพราะมีอยู่ เต็มตลาด จะช้อปปิ้งเมื่อไรก็ได้ ตามสดวก"

    +++ หากผมเสร็จภาระกิจเมื่อไร คิดหรือว่า "จะมีโอกาสฝึกแบบนี้อีก ตลอดชีวิตนี้" หากผมกลับไปบวชอีกเมื่อไร "โอกาสที่ผมจะ ธุดงค์หาย มีมากกว่า 90%" เพราะสิ่งที่ผมปรารถนาจะทำในโลก รวมทั้งบนอินเทอร์เนท "เรียกได้ว่า สมบูรณ์แล้ว" (มีใครฝึก จนรู้ว่า เมื่อถึงเวลาตาย จะต้อง ตายอย่างไร จากอินเทอร์เนท) ดังนั้น ผมไม่มีอะไรจะต้องห่วงอีก ภาระกิจในการช่วยยกพระพุทธศาสนา ก็ทำได้สำเร็จแล้ว ไม่ได้เป็น หนี้ อะไรกับใครอีก

    +++ หาก "อยู่ในปัฏฐาน" ก็สามารถ "ปล่อยให้มัน วิวัฒนาการ ไปจนถึงสิ้นสุดได้" และ "ปล่อยให้ หย่อมใครหย่อมมัน วิวัฒนาการไปเอง" ตรงนี้เป็นการ "ปัฏฐานทีเดียว รู้ จิตรวมหมู่ ทั้งหมด" รวมทั้งเป็น "รากฐานของ อิทัปปัจจัยยตา ของจิตทั้งหมู่ได้" จะมีประโยชน์ในระดับ "สังคมเมือง หากชำนาญ ก็ถึงในระดับชาติ" (รู้ทางเดินของ ชาติ ว่าจะไปทางไหน) ได้เช่นกัน นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...