ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    พอไปย้อนอ่านเรื่องจิตมาร เลยเอามาแชร์ให้อ่านนะครับ

    และยังมีแถมวิธีทำให้ตัวพูดมากมันอธิบาย/ดูตัวพูดมาก ใน จิตมาร ภาค 5 ด้วยนะครับ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2014
  2. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    จิตมาร โดย คุณ ธรรม-ชาติ (เพื่อความง่ายต่อการอ่าน ผมเอา quote ออก)


    "จิตมาร" ภาคที่ 1: ทำความรู้จักกับ "จิตมาร"

    มารตัวนี้เป็นมารภายใน ที่มีอยู่ในจิตทุกดวงเหมือน ๆ กัน อาการหลัก ๆ ที่สามารถสังเกตุได้ชัดเจนของ "จิตมาร" นี้คือ "การปรามาส" ไม่มีการละเว้นแม้กระทั่งครูบาอาจารย์ที่อัฏฐิ "เป็นพระธาตุ" รวมถึงพระพุทธรูปต่าง ๆ ด้วย "จิตมาร" ตัวนี้จะปรากฏให้เห็นเด่นชัดในยามที่อยู่ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ สิ่งที่ควรเคารพบูชาทั้งที่เป็น ปูชนียวัตถุ หรือ ปูชนียบุคคล ก็ตาม มันจะทำการปรามาสแบบไม่เลือกหน้า แต่ตรงนี้เป็นอาการที่หยาบ ๆ เท่านั้น

    การสังเกตุ "จิตมาร" ในระดับกลาง ๆ สามารถสังเกตุได้จาก ในขณะที่อ่านหนังสือธรรมะต่าง ๆ "จิตมาร" ตัวนี้มันจะอ่านถ้อยคำบางคำให้ออกมาเป็นเรื่องตรงกันข้าม และมีการลบหลู่ประกอบไปด้วยเสมอ เช่น "การปฏิบัติธรรมเป็นการทำความดี" แต่การอ่านของ "จิตมาร" จะแปลงคำพูดในการอ่านเพียงบางคำเท่านั้น แล้วจะกลายออกมาเป็น "การปฏิบัติกรรมเป็นการทำดี" ตรงนี้ต้องใช้ความละเอียดของ สติ ให้มากกว่าปกติจึงจะจับมันออกได้ ตัวอย่างอีกอันหนึ่งคือ "หลวงพ่อท่านไปวัด" จิตมาร จะอ่านออกมาเป็น "หลวงพ่อมันไปวัด" จิตมาร ตัวนี้ จะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมาก มันแค่เปลี่ยนถ้อยคำเพียงคำเดียวแค่นั้น ก็สามารถเปลี่ยนความหมายของทั้งประโยคออกมาเป็นอื่นได้ ดังนั้น หากผู้ใดก็ตามที่สามารถรู้จัก "ตัวพูดมาก" ได้ เวลาอ่านหนังสือธรรมะต่าง ๆ ก็ให้ใช้เจ้า "ตัวพูดมาก" นี้เป็นผู้อ่าน ส่วนเราก็คอยฟังการอ่านออกมาจาก "ตัวพูดมาก" นี้อีกที ก็จะสังเกตุเงื่อนงำของ "จิตมาร" ได้

    ในระดับละเอียด "จิตมาร" จะเป็นผู้แปลการฟัง ให้ออกมาเป็นการฟังแบบผิด ๆ และในเวลาที่จะดูอะไรก็ตาม มันจะมีลักษณะคล้าย ๆ ภาพลวงตาขึ้นมาเคลือบ ๆ สภาวะความเป็นจริงแบบเบา ๆ บาง ๆ นิด ๆ ทำให้การรับรู้เบี่ยงเบนออกไปได้ทีละนิด หรืออาจเปลี่ยนระดับความเข้าใจไปในทางตรงกันข้ามได้เลยก็มี ซึ่งภาษาของนักปฏิบัติจะเรียกอาการนี้ว่า "ปรุง" จนกลายเป็นตรงกันข้ามกับความเป็นจริง หรือเรียกได้ว่ามันคือ "จิตปรุงแต่ง" หรือ "จิตส่งออก" นั่นเอง

    ในระดับ สมถะสมาธิ จิตจะเสพอารมณ์ที่ละเอียดกว่าปกติ ดังนั้น อารมณ์ในสมถะสมาธิจะทำให้การทำงานของ "จิตมาร" นี้สงบตัวลงชั่วคราว แต่ในยามที่ถอนออกมาสู่จิตปกติ "จิตมาร" มันก็จะตื่นขึ้นมาทำงานต่อของมันตามเดิม

    ส่วน วิปัสสนาสมาธิ นั้น สภาวะของ สติ ที่ละเอียดจะสามารถนำพาให้เห็นระบบการทำงานของจิตละเอียด ในระดับวาระจิตได้ เมื่อเฝ้าดูเฝ้าสังเกตุอย่างต่อเนื่อง ก็จะเห็น การเกิดดับ ของจิตในแต่ละวาระ ซึ่งสามารถตรวจจับโดย สติ ได้ว่า ทุกวาระจะมีการกระพริบหรือกระเพื่อมนิด ๆ ประกอบอยู่ด้วยทุกครั้ง ซึ่งในแต่ละวาระของการทำงานใน 1 ขณะจิต จะให้ความหมายและความเข้าใจที่แตกต่างกันไป ดังนั้น สติ ที่ละเอียดในระดับ เจโตปริยญาณ นี้จะสามารถแยกแยะระหว่าง "จิตมาร" กับ "จิตพระ" ออกจากกันได้ เรื่องของ เจโตปริยญาณ นั้นขอให้กลับไปอ่านในรายละเอียดในโพสท์เก่าของผม ที่อยู่ก่อนหน้านี้

    ส่วนตัวอย่างของ "จิตมาร" ที่อยู่ในกระทู้ของเวปพลังจิตอยู่ที่นี่

    http://palungjit.org/threads/ใครมี-มโนกรรม-แบบผมบ้าง.290348/
    http://palungjit.org/threads/ใครมีวิธีแก้กรรมด่าพระด่าเจ้าบ้าง.164257/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2014
  3. mobilelizard

    mobilelizard เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    558
    ค่าพลัง:
    +4,678
    "จิตมาร" ภาคที่ 2: การเกิดของจิต โดยใช้ภาษาตามอาการของจิต

    การเกิดของจิตเริ่มจาก

    1. ความไม่รู้การเกิดขึ้นแห่ง ปรากฏการณ์ ของ อารมณ์ (ธรรมารมณ์ ในมหาสติปัฏฐาน 4)(แดนเกิดของ ตัวดู)(อวิชชา)
    2. ธรรมารมณ์ จึงเริ่มเกิดการรวมตัว (การเริ่มต้นของสังขาร)(พลังจิตเริ่มก่อตัว)
    3. การรวมตัว กลายมาเป็น ตัวดู (การอุบัติของ วิญญาณขันธ์ที่ 5 อายตนะตัวที่ 6)(อัตตาจิต)(ตัวกู)(ผู้รู้)

    หมายเหตุ 1 ตัวดู เมื่อเกิดการจางคลาย มันจะกลายเป็น ธรรมารมณ์ ขนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องการรวมตัวและการกระจายพลังงาน อันมีผลกระทบต่อความรู้สึกที่เรียกว่าเวทนา ตรงนี้คุณ จิตวิญญาณ เคยมีประสพการณ์มาแล้ว

    4. ตัวดู ดูได้ทั้ง นามและรูป (เช่น ดูวัตถุ ดูจิต ดูความรู้สึก เป็นต้น)(จิตกระพริบทุกครั้งที่ตัวดูทำงาน เรียกว่า กิริยาจิต ภายใน)
    5. นามรูป สามารถจำแนกการรับรู้ออกมาได้ 6 ช่องทาง (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
    6. การรับรู้ทั้ง 6 ช่องทาง จะเกิดการกระทบ (อาการ วูป หรือ แว็ป ที่รับมาจาก ภายนอก)
    7. การกระทบ วูปแว็ป จากภายนอก ก่อให้เกิดความรู้สึก (รู้ เข้าใจ เกลียด กลัว สุข ทุกข์ สื่อสาร เจโตปริยะญาณ)

    หมายเหตุ 2 ยามใดที่ การกระทบวูปแว็ปจากภายนอก หากไม่ละเอียดเพียงพอ หรือ ถูกตัวดูตรึงเอาไว้ ก็จะปรากฏเป็น ภาพหรือเสียง ซึ่งเป็นการสื่อสารด้วยการเห็นและได้ยิน ซึ่งหยาบกว่าการสื่อสารด้วยความเข้าใจ

    8. ความรู้สึก ก่อให้เกิด ความชอบไม่ชอบ (ตัณหา)
    9. ความชอบไม่ชอบ ก่อให้เกิด อาการติดใจ รวมถึงความตั้งใจ เรียกว่า อุปาทาน (นิสัยเริ่มต้นที่นี่)(การกำหนดภูมิ เริ่มต้นที่นี่)
    10. ติดใจที่ไหน ย่อมระลึก รวมทั้ง อฐิษฐาน ถึงที่นั่น เรียกว่า ภพ (เริ่มต้นที่นี่)(ความจำ คำอฐิษฐาน ระลึกชาติ วาสนาบารมี)
    11. ระลึกถึงที่ไหน ตัวดูย่อมไปที่นั่น ไปจุติที่นั่น (ชาติ ต่อไป)

    หลังจาก เกิด แล้วย่อมมี แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ สุข ต่าง ๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของปัจจุบันขณะ ซึ่งต้องใช้ กายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน เพื่อการเรียนรู้สภาพหลังการเกิด ส่วนการเรียนรู้ สภาพก่อนการเกิด ดังที่กล่าวมาแล้วข้างบนนั้น จากข้อ 8-11 มักจะอยู่ในขั้นตอนของการฝึก เวทนานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ส่วน 4-7 มักจะอยู่ในขั้นตอนของการฝึก จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน และจากข้อ 1-3 จะอยู่ในการฝึกของ ธรรมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน

    หมายเหตุ 3 ตาทิพย์ หูทิพย์ ที่เห็นอดีตอนาคต ล้วนเกิดจาก วาสนาบารมีเก่าที่จะต้องไปรับ รวมทั้งคำอฐิษฐานเก่า หรือ กรรมเก่าที่จะต้องไปชดใช้ ทั้งสิ้น ทั้งของตนเองและผู้อื่น ดังนั้นจะงดไว้เพราะมันยืดเยื้อเกินไป และเป็นเรื่องของวงจรอันเป็นสัมพันธภาพของ จิตรวมหมู่ (อิทับปัจจัยยตา ในระดับกลุ่มจิต) นะครับ



    "จิตมาร" ภาคที่ 3: จิตนั้นเป็น "อนิจจัง" มโนกรรมก่อกำเหนิด "นิสัย"

    ทั้งหมดเป็นเรื่องของ "ตัวดู" และการรับรู้อันเกิดมาจากภายนอก (ข้อ 6-7 ของภาคที่แล้ว) ซึ่งอยู่เหนือการควบคุมของตัวดู เพราะการรับรู้จากภายนอกทั้งหมด "ไม่ใช่ตัวของตัวดูเอง" ดังนั้นการรับรู้ทั้งหมดจึงอยู่ในสภาพหลายหลาก เพียงแต่ตัวดู "เลือกที่จะดู" ได้เท่านั้น อาการ "เลือกที่จะดู" ของตัวดูนั้นเป็น "กิริยาจิต" ที่สังเกตุได้จากการกระพริบนิด ๆ ของมัน (ข้อ 4 ของภาคที่แล้ว) ก่อนที่มันจะส่งออกไป ต่อติด กับสภาพหลากหลาย แล้วจึงกลายมาเป็นการรับรู้นั้น ๆ

    จากตรงนี้ ก็คงจะทราบกันแล้วว่า การ "เลือกที่จะดู" และ "คัดเลือกสภาพหลากหลาย" ของ "ตัวดู" นั้นอยู่ในระดับความละเอียดกว่าวาระจิต และ สภาพหลากหลายนั้นเป็น "อนิจจัง" การที่จะรู้และ "เห็น" สภาวะนี้ได้ "สติ" ต้องละเอียดกว่า การรู้วาระจิต (เจโตปริยะญาณ) ซึ่งยังอยู่ใน ข้อ 7 ส่วนตรงนี้อยู่ในข้อที่ 4 เป็น "กิริยาจิต" ซึ่งละเอียดกว่ามาก แต่ยังจัดได้ว่าอยู่ในหมวดเดียวกัน

    การที่ตัวดูเลือกที่จะต่อติดกับสภาพต่าง ๆ แล้วกลายมาเป็นการรับรู้นั้น ใช้เพียงแค่ "กิริยาจิต" เดียว ที่เข้าไปต่อติดกับ "วาระจิต" ที่ "ผุดขึ้นมา" และสามารถเก็บเป็น "ความจำ" ได้และ "ความจำ" ที่คล้าย ๆ กันหรือเป็นประเภทเดียวกันนั้น ก่อให้เกิดความคุ้นเคยเรียกว่า "อุปนิสัย" และ "อุปนิสัย" นี้มักจะเรียก "ความจำที่ซ้ำซ้อนอยู่ในหมวดเดียวกัน" นั้นออกมาเป็นชุด ๆ และร้อยเรียงกันออกมาเป็น "ความคิด" โดยที่ต้นกำเหนิดทั้งหมดมาจาก "อนิจจัง" ที่เป็นเพียงขณะจิตเดียว นิสัยตรงนี้เป็นความเคยชิน ยังเป็นแค่ "อุปนิสัย"

    ความจำที่ผุดขึ้นในแต่ละขณะจิต จะมีความรู้สึก เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยเสมอ โดย ความจำ นับเป็นฝ่าย รูป ส่วนความรู้สึก นับเป็นฝ่าย นาม และความรู้สึกนี้จะมี ความชอบไม่ชอบหรือเฉย ๆ ปรากฏอยู่ด้วย และทั้งหมดอยู่ในขณะจิตเดียว และตรงนี้เป็นบ่อเกิดของอาการ "ติดใจ" และเริ่มปรากฏเป็น "นิสัย" ซึ่งอยู่ในข้อที่ 9 ของภาคที่แล้ว

    "นิสัย" เกิดจากการ "ติดใจ" ส่วนการติดใจมาจากความ "ชอบ ไม่ชอบ" หากจิตที่ไม่มี "สติ" ควบคุม การเบียดเบียนซึ่งกันและกัน รวมทั้ง วงจรกรรมทั้งหลาย ย่อมเริ่มต้นมาจากความ "ชอบ ไม่ชอบ" ตรงนี้ ดังนั้นศีลข้อ "กาเมสุมิจฉาจาร" นั้นจึงครอบคลุมไปถึง การไม่เบียดเบียนรวมทั้งการเพ่งโทษกันใน กามคุณ 5 ซึ่งเป็น "กามาวจร ภพและภูมิ" ทั้งหมด หากผู้ใดค้นคว้าเรื่องของทางพระพุทธศาสนา ก็จะพบได้ว่า หลายครั้งการบัญญัติพระวินัยมีการเกี่ยวข้องกับ ภพภูมิในกามาวจร ด้วยเช่นกัน ให้อ่านประกอบจาก ความสัมพันธ์ในข้อ 8-11 ในภาคที่ 2 ประกอบไปด้วย (หลวงปู่ดูลย์ท่านใช้คำพูดเพียงประโยคเดียวเท่านั้น ก็สามารถครอบคลุมและระงับการก่อกรรมทำเวรกันใน กามาวจร ภพและภูมิ ได้ ประโยคนั้นคือ "จิตส่งออก เป็นสมุทัย")



    "จิตมาร" ภาคที่ 4: ความจริงของ "จิตมาร" กับการ ปรามาส

    ปูชา จะ ปูชะนียา นัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง การบูชาสิ่งที่ควรบูชา เป็นมงคล

    ยามใดก็ตามที่ ตัวดู เลือกที่จะดูสิ่งที่ควรบูชานั้น แรก ๆ "อุปนิสัย" จะยังไม่ทำงาน (ตรงนี้เรียกว่า สังเกตุ) แต่พอดู ๆ ไปแล้วเจออะไรสักอย่างที่คุ้น ๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่จุด ๆ เดียวก็ตาม ตัว "อุปนิสัย" ก็จะเริ่มเรียก "ความจำ" และ "ความคิด" ออกมาทำงานในขณะที่ยังดูสิ่งที่ควรบูชานั้นอยู่ ดังนั้น จึงเกิดการสลับกันระหว่างการดู 2 ประเภทในเวลานั้น นั่นคือ ดูความจริง กับ ดูความจำ ผลลัพธ์ที่ออกมาเรียกว่า "ความลังเล" และความลังเลทำให้เกิดการแปรปรวนและการขัดกันในระดับ วาระจิต ซึ่งทำให้เกิดการขัดกันของอารมณ์ที่เรียกว่า "ความประหม่า" อยู่ในตัว หากอารมณ์หยาบลงไปกว่านี้เรียกเป็น "ความอึดอัด"

    เวลาดูพระพุทธรูปด้วยความเคารพ จะมี สติ เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยเสมอ ดังนั้น ผู้ที่ไม่รู้จักความเร็วและความละเอียดในระดับ วาระจิต จึงมักจะมีอาการ "ระวังทางจิต" ประกอบอยู่ด้วย อาการระวังทางจิตนี้คือ อาการที่ตัวดูทำการ ตรึงวาระจิต ให้หยาบลงมา จนอยู่ในระดับที่เป็น เสียง จนกลายมาเป็นการทำงานของ "ตัวพูดมาก" นั่นเอง (ให้ดูในภาคที่ 2 หมายเหตุที่ 2 ระหว่างข้อ 7-8 ประกอบไปด้วย)

    ในขณะที่ ตัวดู ดูพระพุทธรูปหรือสิ่งที่ควรบูชาอยู่นั้น ตัวดู กลับอยู่ภายใต้อิทธิพลของ "ความประหม่า" ทั้ง ๆ ที่มีอาการ "ระวังทางจิต" ประกอบอยู่ด้วย ดังนั้น "ตัวพูดมาก" จึงเริ่มกลายมาเป็น "ตัวพูดมั่ว" เพราะมันต้องแปลทั้ง ความประหม่า และ พระพุทธรูป ออกมาในเวลาเดียวกันกับที่ "การระวังทางจิต" กำลังทำงานอยู่ ดังนั้น "เสียงของการพูดมั่ว" จึงคมชัดใสแจ๋ว

    ตัวดู ดูพระพุทธรูปหรือสิ่งที่ควรบูชา
    ตัวดู เสพปรากฏการณ์ทางอารมณ์ (ธรรมารมณ์) ของ "ความประหม่า"
    ตัวดูทำการ ตรึงวาระจิต ให้กลายมาเป็น "ตัวพูดมาก"
    ตัวพูดมาก เอา ความประหม่า มาแปลใส่ใน พระพุทธรูป กลายเป็น "การปรามาส"

    ความเคารพประกอบไปด้วย สติ จึงทำให้เกิดความระวังทางจิต
    ความระวังทางจิต ทำให้ได้ยิน "เสียงของการปรามาส" คมชัดใสแจ๋ว

    เจตนาเต็มไปด้วย ความเคารพที่บริสุทธิ์ ยังเป็นมงคลอยู่
    ส่วน "การปรามาส" เกิดจากเหตุปัจจัยดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ไร้เจตนา



    "จิตมาร" ภาคที่ 5: "ตัวพูดมาก ตัวพูดมั่ว" กับนิโรธสมาบัติ (สรรพสิ่ง หลุดออก แยกออก ไม่ผสม ส่วนใครส่วนมัน)

    สิ่งที่ผมเคยเน้นไว้ในโพสท์ที่ผ่าน ๆ มาแล้วนั้นว่า ควรจะฝึกให้ผ่านเจ้า "ตัวพูดมาก" นี้ ให้ได้นั้น เพราะตัวนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้ภาษาทั้งหมด เพราะมันเป็น "ตัวควบคุมการใช้ภาษา ในการสื่อสารของมนุษย์" หากผู้ใดฝึกผ่านเจ้าตัวนี้ได้แล้ว ก็สามารถที่จะวางรากฐานที่มั่นคงมาก ๆ 4 ประการคือ อรรถะ ธรรมะ นิรุกติ ปฏิภาณ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นย่อมขึ้นกับ ระดับความละเอียดของสติที่ยิ่งละเอียดมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งแตกฉานมากขึ้นเท่านั้นนะครับ

    การดู "ตัวพูดมาก" นั้นให้เริ่มตามขั้นตอนดังนี้

    1. ทำความรู้สึกตัวให้ได้ทั้งตัว เมื่อได้แล้ว
    2. ให้ "อยู่" กับความรู้สึกตัว สักพักหนึ่ง เมื่อได้แล้ว
    3. ให้ค่อย ๆ "สังเกตุ" อาการ "รำพึงรำพัน" ในใจ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว
    4. ให้คอย "สังเกตุ" อาการกระพริบกระเพื่อม นิด ๆ ในขณะที่มัน "กำลังพูด"
    5. ให้ดูไปที่ "การกระพริบ" ห้ามดูที่ "ตัวคำพูด" ปล่อยให้มันพูดตามสบาย
    6. เมื่อ "เห็นการกระพริบ" ที่ชัดเจนแล้ว
    7. ให้ค่อย ๆ ทำความ "รู้ตัว" ช้า ๆ
    8. "ตัวพูดมาก" จะเริ่ม "อธิบาย" การทำความรู้ตัวของผู้ฝึกเอง
    9. เมื่อเริ่มรู้ตัวนิด ๆ ในขณะที่ "การกระพริบ" ยังคงอยู่
    10. ไม่ว่าเสียงอะไรก็ตามที่แทรกเข้ามาในขณะนั้น จะถูกแยกออกไปเป็นส่วน ๆ
    11. สัมผัสทุกชนิด แม้กระทั่งลมพัดผ่านร่าง ก็จะถูกแยกออกไปด้วย
    12. ความรู้สึกทุกชนิด รวมทั้ง สรรพสิ่ง จะ หลุดออก แยกออก ไปจากตนเป็น ส่วนใครส่วนมัน

    ความรู้สึก ความคิดของตัวพูดมาก ผัสสะทั้งหมด สิ่งที่อยู่ในจิตทั้งหมด ล้วนมีอยู่ทั้งหมดในปัจจุบันขณะ แต่แยกกันอยู่ทั้งหมด รวมทั้งตัวผู้ฝึกด้วย ทั้งหมดเป็นส่วนของใครของมัน ไม่มีการเจือปนกันแม้แต่เพียงอณูเดียว

    หลังจากที่ "ผ่าน" ตรงนี้ได้แล้ว "ตัวพูดมาก" จะเริ่มทำหน้าที่ "รับผิดชอบ" ในเรื่องของ "ภาษาของการสื่อสารทั้งหมด" ให้เป็นไปตามสัจจธรรม การเลือกใช้ภาษาให้เหมาะสมไปตามจิตของผู้ฟัง ใช้ภาษาได้ถูกต้องตรงตามอาการของจิต และใช้ภาษาได้เหมาะสมต่อสถานการณ์ในปัจจุบันขณะ

    http://palungjit.org/threads/เกิดอา...มหายใจขณะนั่งสมาธิเป็นเพราะอะไร.345077/page-5
     
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ "บุณคุณต้องทดแทน" "มีแค้นต้องชดใช้" แบบหนังจีนกำลังภายในหรือเปล่า แฮ่ๆ

    +++ ถูกต้อง ดังนั้นการ map จิต "ต้องอยู่ใน ปัฏฐาน ลูกเดียว" เพราะ "ปัฏฐาน คือ ชุดป้องกัน อัคคีภัย ของนักผจญเพลิง เท่านั้น" (พระมาลัย ท่องนรกแต่ไม่ได้รับภยันตรายใด ๆ ทั้งหมด มีที่มาที่ไป ตรงนี้แหละ)

    +++ สภาวะรู้เป็นใส้เทียน = stable ยามใดที่เจอ dimension anormally (มิติแปรปรวน) ก็ให้ "ดับสรรพสิ่ง เป็น รู้ อย่างเดียว" ตรงนี้เป็น shortcuts หรือจะเรียกว่า "เผ่นโลด" ก็ได้ ตามสะดวก แฮ่ ๆ

    +++ ตรงนี้ "ต้องรอบคอบให้มาก"
    +++ เสียงดัง คือ "การฝ่า มิติ (ภพภูมิ) ของตัวดู" แล้วไปอยู่ใน "ภูมิแห่งแสงสว่าง"
    +++ เรา (ตัวดู) ยังอยู่เป็นจุดหนึ่ง (ยังเป็นสภาพของ ตัวดู) แล้ว "นิ่งอยู่กับสภาวะรู้ ที่ไม่มาไม่ไป ไม่เข้าไม่ออก ไม่มีอะไรเป็นอะไร" แต่ยังเหลือแต่ "เรา" อยู่ ตรงนี้เป็น "อกนิฏฐคามี" กูเกิ้ลเอานะ (เห็นอณู แต่ยังอยู่ ในอณู ตรงนี้ไม่มีในกูเกิ้ลนะ)

    +++ "เป็นสภาวะรู้" เท่านั้น อย่างอื่น "แม้แต่เรา" ก็ไม่ต้องเป็น นะ (ยกเว้นแต่จะ ใช้ภาษาสมมติ เท่านั้น)
     
  5. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เรื่องของ "จิตมาร" รวมทั้งโพสท์เก่า ๆ ที่ผมเคยโพสท์ไว้ในกระทู้อื่น ๆ ที่คุณ mobilelizard นำมาเสริมไว้ในกระทู้นี้ จะเป็น ประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ที่ยังฝึกอยู่ในระดับ 3-5 ดังนั้น "ให้ทบทวนกันให้คล่อง" นะครับ
     
  6. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    +++ "บุณคุณต้องทดแทน" "มีแค้นต้องชดใช้" แบบหนังจีนกำลังภายในหรือเปล่า แฮ่ๆ


    บุณคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องดื่มน้ำค่ะ อิอิ

    พูดถึง “ บุญคุณต้องทดแทน” ขอนอกเรื่องแป๊บค่ะ จริงๆแล้ว ที่เข้ามารายงานการฝึกบ่อยๆเนี่ย สาเหตุเนื่องจากจิตใจสำนึกในบุญคุณครูบาอาจารย์ที่สอนเรา แม้ท่านจะเป็นฝ่ายให้โดยไม่รับ แต่เราซึ่งเป็นฝ่ายรับควรต้องสำนึกบุญคุณ อย่างน้อย การรายงานการฝึก อาจจะเป็นประโยชน์และเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ฝึกใหม่ได้

    ส่วน “มีแค้นต้องชดใช้” พักนี้จิตใจร่มเย็นน่ะค่ะ “แค้น”มันเลยตกงาน เพราะไม่เคยใช้บริการ”แค้น”เลย แบบว่า ความรู้สึก ความคิด ไม่มี เหลือแต่ไอ้ตัวพูดมากนี่แหล่ะที่มันยังไปๆมาๆอยู่ อยู่กับมันก็ทำให้ติ๊งต๊องได้นะคะ วันก่อนอ่านข่าวเรื่องเศร้าอะไรนี่แหล่ะ อ่านจบเราก็เงียบ ไม่ได้อะไรนะ แต่ไอ้ตัวพูดมากสิมันพูด “ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม “ ได้ยินมันว่าอย่างนี้ เราก็หัวเราะกรั๊กๆเลย เฮ้อ พักนี้ซักจะเพี้ยนบ่อย


    +++ ถูกต้อง ดังนั้นการ map จิต "ต้องอยู่ใน ปัฏฐาน ลูกเดียว" เพราะ "ปัฏฐาน คือ ชุดป้องกัน อัคคีภัย ของนักผจญเพลิง เท่านั้น" (พระมาลัย ท่องนรกแต่ไม่ได้รับภยันตรายใด ๆ ทั้งหมด มีที่มาที่ไป ตรงนี้แหละ)

    ยังมีอีกเยอะที่ไม่ได้นำมาเล่าสู่กันฟังในที่สาธารณะแห่งนี้น่ะค่ะ เพราะเรื่องบางเรื่อง มันเกินกว่าใครจะเข้าใจ ถ้าเล่าๆแล้วเกิดใครไม่เข้าใจ เดี๋ยวเขาจะคิดว่าเราบ้า ไม่เต็มบาท แฮ่ๆ แต่ยังไงบางทีอาจจะเข้ามาเล่าเรื่องพลังแฝงให้ฟังเล่นๆ พลังแฝง อากาศธาตุ สามารถเรียกว่าอณู ได้ไหมคะ?


    +++ สภาวะรู้เป็นใส้เทียน = stable ยามใดที่เจอ dimension anormally (มิติแปรปรวน) ก็ให้ "ดับสรรพสิ่ง เป็น รู้ อย่างเดียว" ตรงนี้เป็น shortcuts หรือจะเรียกว่า "เผ่นโลด" ก็ได้ ตามสะดวก แฮ่ ๆ

    บางครั้งก็ใช้ระบบนี้แหล่ะค่ะ ดับสรรพสิ่ง เป็น รู้ อย่างเดียว และก็ได้ผลเกินคาด เงียบกรี๊บ อิอิ


    +++ ตรงนี้ "ต้องรอบคอบให้มาก"
    +++ เสียงดัง คือ "การฝ่า มิติ (ภพภูมิ) ของตัวดู" แล้วไปอยู่ใน "ภูมิแห่งแสงสว่าง"
    +++ เรา (ตัวดู) ยังอยู่เป็นจุดหนึ่ง (ยังเป็นสภาพของ ตัวดู) แล้ว "นิ่งอยู่กับสภาวะรู้ ที่ไม่มาไม่ไป ไม่เข้าไม่ออก ไม่มีอะไรเป็นอะไร" แต่ยังเหลือแต่ "เรา" อยู่ ตรงนี้เป็น "อกนิฏฐคามี" กูเกิ้ลเอานะ (เห็นอณู แต่ยังอยู่ ในอณู ตรงนี้ไม่มีในกูเกิ้ลนะ)

    +++ "เป็นสภาวะรู้" เท่านั้น อย่างอื่น "แม้แต่เรา" ก็ไม่ต้องเป็น นะ (ยกเว้นแต่จะ ใช้ภาษาสมมติ เท่านั้น)

    ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ ลองแมปทบทวนหลายรอบแล้ว ตอนหลับตา แล้วได้ยินเสียงดัง มันเห็นอะไรเล็กๆขาวๆขยายกลายเป็นแสงสว่างจ้า จากนั้น ทุกสรรพสิ่งก็ดับหมด คือ ทุกสิ่งทุกอย่างดับหมดเหลือแต่ เป็นสภาวะรู้ น่ะค่ะ จากนั้นเลยรีบลืมตา คือ มันเป็นอะไรที่เกิดขึ้นไวมาก ก็ยังเอ่ะใจอยู่ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ในเมื่อเราไม่เคยนั่งสมาธิเลย เรื่องแสงจ้าอะไรนี่ไม่ติดใจนะคะ แต่มันจำตอนที่ เป็นสภาวะรู้ ขณะนั้นได้น่ะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2014
  7. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679

    อ่ะแฮ่ม อะแฮ่ม คุณเมิล อย่าลืมนำมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะ อิอิ
     
  8. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    แอร๊ยยยย โดนพาดพิง ขอบคุณพี่จิตวิญญาณมากคะที่ให้ลอกการบ้าน
    กายอาภัสสระพรหมไม่มีอะไรมากคะ ตอนนั้นฝึกครั้งที่ 2 กับพี่เขา พี่เขาให้เข้าฐานแล้วเดินจิต อันนี้พี่เขาเคยโพสต์ไว้ในหน้า 7 #126
    "+++ หลัก ๆ คือไปถึง เฉย ก่อน แล้วเดินจิตเข้า รู้ - ว่าง - โล่ง แล้วกลับมา รู้ ใหม่อีกที แล้วมาที่ เฉย ตรงเฉยรอบที่ 2 นี้จึงเข้า ตื่น - พลังงาน - เปล่งรังสี - ประภัสสร ที่พวยพุ่งออกจากความเป็นเรา หากจะถอนจิตเอง ก็ให้กลับมาอยู่ที่ พลังงาน - ตื่น - เฉย - รู้สึกตัว หากไม่ไล่กลับมาที่ พลังงานก่อน ก็จะกลับไม่ได้เพราะในขณะนั้น ๆ มันไม่มีร่างกาย มันจะมีก็แต่สภาพ ธรรมารมณ์ที่กำลังเปล่งรังสีอยู่ เท่านั้น หรือจะให้จิตมันถอนตัวมันเองตามธรรมชาติก็ได้"
    Keyword คือ เป็นพลังงาน ทำให้รู้ว่าเราเป็นขันธ์เดี่ยวได้ เราไม่จำเป็นต้องมีร่างกายก็อยู่ได้

    อาการ mapจิตอัตโนมัติ เมิลก็เป็นเหมือนกันคะ ตอนนั้นเป็นสภาวะรู้อยู่ แล้วรู้สึกเหมือนโดนดูดเข้าไป แล้วก็ไป map จิตเขาโดยอัตโนมัติ
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ตัวพูดมาก ในยามที่มันไม่ได้ "เป็น" เรา และเราไม่ได้ใช้มันให้ทำอะไร มันก็เป็น "ตัวติ๊งต๊อง" ตัวหนึ่ง ทำหน้าที่เป็น "ตลกหลวง" ให้เราได้เพลิดเพลินได้เหมือนกัน แต่ในยามที่เรา ฝึกมันและใช้มัน ได้ดีแล้ว ตัวมันนี่แหละจะเป็นตัว ปฏิสัมภิทาญาณ 4 ตรงตามพระไตรปิฏกเลยทีเดียว

    +++ พลังแฝงเป็นสภาพของพลังงาน อากาศธาตุเป็นสัมผัสรู้ของตัวดูฝ่ายรูป อวกาศธาตุเป็นสัมผัสรู้ของตัวดูฝ่ายนาม ส่วน อณูนั้นมีสภาพเป็น เม็ด ๆ ตัว ๆ ดังนั้น "ใช้ภาษาแทนกันไม่ได้"
    +++ ควร "ฝึกใช้ตัวพูดมาก" ให้เข้ามาทำหน้าที่ "เป็นล่าม" แปลสภาวะต่าง ๆ เหล่านี้ให้ชำนาญ ก็จะเป็นการฝึก "จตุปฏิสัมภิทาญาณ" ไปในตัว
    +++ ส่วน "เรื่องเล่าสู่กันฟังในที่สาธารณะแห่งนี้" นั้น "เล่าได้" แต่ก็ควร "ระบุระดับของผู้ฟังไว้ด้วย" เช่นระดับ 3-4 หรือตั้งแต่ 5-7 หรือระดับ 9 เท่านั้น เป็นต้น เพราะเรื่อง อุตริมนุษย์ธรรม นั้น ย่อมขึ้นกับระดับ สติ ของมนุษย์ผู้นั้นด้วย ถ้าสติไม่ถึงก็เป็นอุตริ ถ้าถึงก็เป็นเสริมความรู้ ดังนั้น ประโยชน์-ไร้ประโยชน์ ล้วนขึ้นกับระดับของผู้ฟังทั้งสิ้น ส่วนของเรานั้น มันเป็น อภิญญา XP ซึ่งเราผ่านมาโดยตรง ดังนั้น "เล่าได้" แบบตรง ๆ ในกระทู้นี้

    +++ ตรงนี้เป็น Teleport ของตัวดู เข้าสู่มิติของ "อวกาศดั้งเดิม" ตรง "เสียงดัง" นั้นคือ "Teleport ผ่านมิติของ ทิพย์โสต" โดยไม่ต้อง แวะเติมน้ำมัน คือ "ผ่านโลดไปเลย"

    +++ นี่คือ "อณู"

    +++ ตัวดู ยังไม่จอดสนิท ยังเป็นลักษณะ "Warp drive" พุ่งเข้าหา "อณู" จึงดูเหมือน "อณูขยายตัว"

    +++ นั้นคือ ตัวดู "Warp drive เข้าสู่มิติของ แสง" โดยตรง

    +++ ตัวดู "ดับเครื่อง" นี่คือ "ดับตัวดู" ในอวกาศดั้งเดิม (สภาวะรู้)

    +++ เป็นปรากฏการณ์แบบเดียวกันกับ "การเดินจิตครั้งสุดท้าย (ตามรอยพระพุทธบาท)" เพียงแต่ "Teleport เข้้าไปดับเครื่องใน สภาวะรู้ โดยตรง" นั่นเอง

    +++ นั่นแหละ ดีมากที่สามารถทำได้โดย "ไม่ต้องพึ่งกายเนื้อ" อีกเลย
     
  10. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ แฮ่ ๆ เขาให้ใช้ภาษาของตนเอง ไม่ใช่ลอกการบ้านมาส่ง แฮ่ ๆ :boo::boo:

    +++ ตรงนี้ เมื่อ "ชำนาญ" ไปจนถึงจุดหนึ่งแล้ว ก็จะเข้าใจได้ชัดเจนในคำพูดของผมที่ว่า "ขันธ์เป็นของสาธารณะ" ได้ไม่ยาก นะครับ
     
  11. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    อะแฮ่ม มารายงานตัว
     
  12. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    อุต๊ะ ก็มันไม่มีอะไรมาก เป็นก้อนพลังงาน เปล่งแสงได้ด้วยตัวเอง เท่านั้นเอง ก็เลยไม่รู้จะเขียนอะไรคะ :'(
     
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ แทวตง ... ลาเบียบพัก ...
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ให้เดินจิต map กลับเข้าไปก่อน แล้วถอนออกมา แล้วปล่อยให้ ตัวพูดมาก มันเลือกใช้ภาษาเอาเอง

    เป็นก้อนพลังงาน

    +++ แน่ใจหรือเปล่าว่า "เป็นก้อน"

    เปล่งแสงได้ด้วยตัวเอง

    +++ แน่ใจหรือเปล่าว่า "เปล่งแสง" มันใช่ "แสง" เหรอ

    +++ สงสัยว่าจะไม่มีวาสนาทาง "ปฏิสัมภิทาญาณ" ซะละมั้ง

    +++ ไม่เป็นไร ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ก็แล้วกัน วิธีการใช้ตัวพูดมาาก ก็บอกไว้หมดแล้ว ถ้าจะเอาก็ค่อย ๆ ฝึกเอาก็แล้วกันนะ(tm-love)
     
  15. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679
    +++ พลังแฝงเป็นสภาพของพลังงาน อากาศธาตุเป็นสัมผัสรู้ของตัวดูฝ่ายรูป อวกาศธาตุเป็นสัมผัสรู้ของตัวดูฝ่ายนาม ส่วน อณูนั้นมีสภาพเป็น เม็ด ๆ ตัว ๆ ดังนั้น "ใช้ภาษาแทนกันไม่ได้"
    +++ ควร "ฝึกใช้ตัวพูดมาก" ให้เข้ามาทำหน้าที่ "เป็นล่าม" แปลสภาวะต่าง ๆ เหล่านี้ให้ชำนาญ ก็จะเป็นการฝึก "จตุปฏิสัมภิทาญาณ" ไปในตัว


    ค่ะ จะพยายามฝึกค่ะ ที่จริงก็ฝึกมาบ้างแล้วค่ะ แต่ยังไม่ค่อยเชื่อและไม่มั่นใจ เคยสังเกตุอยู่ครั้งหนึ่ง ภาษาบางครั้งมันไม่ค่อยตรงกับอาการน่ะค่ะ ก็เลยเกรงว่าจะเป็นอุปทาน ช่วงหลังๆรู้สึกว่ามีพลังแฝงอยู่ในร่างกาย ( หลังจากที่จิ้งจกร้องทักต่อเนื่องกันหลายวันน่ะค่ะ) เป็นพลังไม่ดีน่ะค่ะ พลังมาจากพวกมิจฉาทิฐิ มิจฉาสมาธิ มันเลยเป็นอุปสรรคต่อการใช้ตัวพูดมาก ถ้ามีอาการเกิดสภาวะอะไรขึ้น แล้วเราแมปจิตย้อนหลัง พอถอนจิตออกมาแล้ว ก็จะอยู่กับ”สภาวะรู้” เลย มันก็เลยกลายเป็นว่า รู้อาการ แต่ไม่รู้จะพูดจะคุยจะเล่าอะไร

    พูดถึงพลังแฝงนี่ จะอยู่บริเวณท้องน้อย รู้สึกได้ จะสั่นสะเทือนเหมือนหย่อมความกรดอากาศน่ะค่ะ ถ้าเราเอามือแตะเล่นๆ มันจะวิ่งกระจายขึ้นลงบริเวณขาทั้งสองข้าง แล้วขาทั้งสองข้างจะมีอาการเพลีย หมดแรงน่ะค่ะ ถ้ากระจายขึ้นข้างบน มันจะมีอาการเหมือนคนเป็นกรดไหลย้อนเลยน่ะค่ะ ถ้ามันอยู่บริเวณหลัง จะมีอาการหลังแข็ง ไม่มีแรง ก้มตัวไม่ได้ บางทีรู้สึกได้ว่าเหมือนมีอะไรแทะที่ข้อมือ คันยุบยิบ และมือนิ้วนั้นจะไม่มีแรงน่ะค่ะ ส่วนแผลเป็นที่เข่า ก็รู้สึกคันยุบยิบ

    ทั้งหมดที่เล่ามามันไม่มีผลทางจิตใจเราหรอกค่ะ แต่มันมีผลทางกายเนื้อเฉยๆ ที่บริเวณไหล่ก็เหมือนกัน มันเหมือนมีใครกำลังเอาอะไรมาจิ้มแทงน่ะค่ะ มันรู้สึกได้ตรงผิวหนังข้างนอกน่ะค่ะ มันเข้าไปข้างในไม่ได้ อาการทั้งหมดที่เล่าจะเป็นเฉพาะ วันโกน วันพระ ถ้าเราดับจิตแล้วอยู่นิ่งๆ อยู่กับสภาวะรู้ อาการนี้จะหายไปน่ะค่ะ



    +++ ตรงนี้เป็น Teleport ของตัวดู เข้าสู่มิติของ "อวกาศดั้งเดิม" ตรง "เสียงดัง" นั้นคือ "Teleport ผ่านมิติของ ทิพย์โสต" โดยไม่ต้อง แวะเติมน้ำมัน คือ "ผ่านโลดไปเลย"

    เข้าไปค้นในกูเกิ้ล ทิพย์โสต หมายถึงอะไร เพิ่งเข้าใจความหมายค่ะ

    เล่าสู่กันฟังเล่นๆ จำได้ว่าเมื่อครั้งที่ก๋งนอนอยู่ รพ. มีอยู่ครั้งหนึ่งบ่นในใจว่าลูกไม่ส่งข่าว และช่วงที่อยู่เงียบๆ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงคนคุยกัน ประมาณ 3-4 คนนี่แหล่ะค่ะ ทีแรกก็ไม่ค่อยเชื่อ ฟังไปฟังมา เขาคุยกันเรื่องก๋ง แต่พอสักพักเสียงคุยกันก็เงียบ เราก็ อ่อ สงสัยพากันนอน



    +++ นี่คือ "อณู"

    นั่นอะไร นั่นอะไร เอ๊ะ นั่นอะไร

    ที่แท้ เม็ดเล็กๆ มันคือ “อณู” นี่เอง หลายๆครั้งมากเกิดขึ้นช่วงเวลาเข้านอน พอหัวถึงหมอน หลับตาแล้วเห็นเม็ดเล็กๆเคลื่อนที่ไปมา ก็ได้แต่ดูเล่นๆ ดูมันเคลื่อนที่ แต่ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร ดูไปงั้นแหล่ะ บางครั้งก็เห็นเม็ดเดียว(หัวเดียวมาโด่เด่) บางครั้งก็เห็นหลายเม็ด เวลาดูมันเคลื่อนที่ สังเกตุบางครั้งเหมือนเราจะเคลื่อนไปตามตูดมันด้วยน่ะค่ะ เมื่อก่อนอ่านโพสท์ 524 หน้า 27 อ่านแล้วไม่เข้าใจ ออกไปยืนอยู่หน้าบ้าน แหงนมองท้องฟ้า มองหาดู อณู มันเป็นยังไงหว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่ามันคือ อณู ฮ่าๆๆ ตอนนี้เข้าใจแจ้งจางปางแล้วค่ะ

    กราบขอบพระคุณมากค่ะที่ให้ความกระจ่าง


    ปล. โพสท์ 524 หน้า 27

    +++ "ตัวจะ" เกิดก่อน "ตัวจิต" หากไม่มี "ตัวจะ" "ตัวจิต" จะเกิดไม่ได้เลย
    +++ และเมื่อไม่มี "ตัวจิต" กรรม-ฐาน ทั้งหมดไม่ว่าจะ 40 กอง หรือ 108-1009 กอง ก็จะเกิดไม่ได้ เพราะ "ตัวจิต" คือ "ตัวกรรม" ดังนั้นจึงเหลือแต่ "ฐาน" เฉย ๆ นี่แหละคือ "กรรม-ฐาน"
    +++ "ตัวจะ" ที่เจอนี้ แม้ว่าจะละเอียดอย่างไรก็ตาม แต่พอคุ้นเคยมากเข้า ก็จะรู้ว่า มันยังมี "ตัวจะ" ที่ละเอียดกว่านี้ เรียกได้ว่ามี "หยาบ กลาง ละเอียด" และเมื่อ ละเอียดถึงที่สุดเท่านั้น จึงรู้ได้ว่า มันคือ "อณู" (อนุภาคเคลื่อนที่) ที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึง
    +++ เมื่อถึงสภาวะแห่ง "อณู" และไม่มีการ สำรวจต่อติด เมื่อไร ก็จะพบได้ว่ามัน เคลื่อนที่ไปมา ดังนั้นจึงเรียกมันได้ว่า "อนุภาคเคลื่อนที่" นั่นเอง และเมื่อคุ้นเคยมากเข้า จึงรู้ได้ว่า ในขณะที่มันเคลื่อนที่ไปนั้น มันทิ้งร่องรอยของการเคลื่อนที่ไปประดุจ "หัวเรือที่แหวกชำแรกน้ำไป" ดังนั้น ตรงนี้จึงเรียกว่า "สังคตะธรรม" ที่มีอยู่แล้ว มีอยู่จริง เป็นอยู่จริง เป็นมาเอง ตามธรรมชาติของมัน
    +++ ส่วนการขำแรกไปของมันนั้น เป็นการ "ชำแรกไปในสภาวะ ว่างแห่งรู้" ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า สภาวะว่างแห่งรู้นี้เป็น "นิพพานธาตุ" เหตุที่เรียกว่าเป็นธาตุเพราะ "นำอาการไปเปรียบเทียบกับ ธาตุน้ำ ที่หัวเรือชำแรกไป" นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2014
  16. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    ไปไกลกันจัง ยังต้วมเตี้ยม ตุ๊ต่ะอยู่เลย
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ปกติแล้ว ตัวพูดมาก จะใช้ภาษาที่ตรงกับอาการเสมอ แต่ไม่ค่อยจะตรงกับที่ทางสังคมปัจจุบันใช้ หลายครั้งที่ต้องจับมัน "ให้กลับไปพากษ์อาการเก่า" ซ้ำ ๆ กันหลายที ให้สังเกตุ ถ้อยคำใน (วงเล็บ) ของ "จิตมารภาค 2" ที่คุณ mobilelizard นำเอาโพสท์เก่าของผมกลับมาไว้ในกระทู้นี้

    +++ ให้สังเกตุให้ดี เช่น
    +++ "3. การรวมตัว กลายมาเป็น ตัวดู (การอุบัติของ วิญญาณขันธ์ที่ 5 อายตนะตัวที่ 6)(อัตตาจิต)(ตัวกู)(ผู้รู้)"
    +++ ตรงนี้ map จิตลงไปแต่ละครั้ง ตัวพูดมาก ก็พากษ์ออกมาในภาษาต่างหมวดกัน แต่ทั้งหมดเป็นอาการเดียวกัน คือการ "รวมตัวแล้วเกิด" หากจะใช้ภาษาที่ ละเอียดแต่ยืดยาด ก็จะออกมาในรูปแบบนี้

    +++ การรวมตัว กลายมาเป็น ตัวดู
    +++ การรวมตัว กลายมาเป็น การอุบัติของ วิญญาณขันธ์ที่ 5
    +++ การรวมตัว กลายมาเป็น การอุบัติของ อายตนะตัวที่ 6
    +++ การรวมตัว กลายมาเป็น อัตตาจิต
    +++ การรวมตัว กลายมาเป็น ตัวกู
    +++ การรวมตัว กลายมาเป็น ผู้รู้

    +++ ถ้าลองอ่านจากพระไตรปิฏก "ลักษณะการใช้ภาษา ที่ยืดยาด" นั้นแท้จริงมาจากอะไร ให้ลองสังเกตุจากตัวอย่างข้างบนดูก็พอจะแกะรอยออกมาได้ว่า "เกิดจากการ เอาตัวพูดมาก เข้าไป map กับอาการ แล้้วให้มัน บรรยายธรรม ออกมา" นั่นเอง

    +++ พลังแฝงที่อยู่ในร่างกาย นั้น "ไม่เกี่ยวข้องกับ ตัวพูดมาก (รูปธรรม ในชั้น เสียง)" แต่เกี่ยวโดยตรงกับ "ตัวดู" (นามธรรม ในชั้น พลัง)

    +++ (การแมปจิตย้อนหลัง แล้วถอนจิตออกมาอยู่กับ ”สภาวะรู้” เลย กลายเป็นว่า รู้อาการ แต่ไม่รู้จะพูดจะคุยจะเล่าอะไร) นั้น แสดงว่า "หลาย ๆ ครั้งได้ทำการ ฝึกดับตัวพูดมาก มาก่อน" แต่ไม่ค่อยจะได้ "ฝึกปล่อยตัวพูดมาก ให้มันทำงาน" ดังนั้น เมื่อถอนออกมาจาก อาการใดก็ตาม ตัวพูดมากมันก็เลย "ไม่ยอมทำงานให้" ตรงนี้เป็นจุดหนึ่ง ที่ในอดีตชาติมีอาการผสมผสานกันของ ความเบื่อหน่ายสังคม จนไม่ต้องการที่จะเกี่ยวข้องด้วย จนเคยเป็นลักษณะ ตัดสังคมออกไปจากหนทางการเดินจิต ที่เรียกว่า กลายเป็น ปัจเจกชน ในบางชาติ ดังนั้น บางทีมันก็แสดงตนออกมาได้เหมือนกัน แต่ทั้งหมด ขึ้นกับความพยายามของเรา เพราะไม่ได้เป็น "พุทธภูมิ" อีกต่อไป ดังนั้น จึงไร้ข้อผูกมัดและขีดจำกัดใด ๆ ทั้งสิ้น

    +++ วันโกน วันพระหน้า ให้ทำ "ปัฏฐาน" โดยเอา

    1. "สภาวะรู้ เป็นใส้เทียนของ กายเวทนา"
    2. ปล่อยให้ ตัวพูดมาก มัน Satellite Orbitting ไปรอบ ๆ กายเวทนาด้านนอก (ตัวพูดมาก คือ กายจิต ในชั้นของเสียง เป็นตัวดูฝ่ายรูป ในยามทำงานร่วมกับตัวดู)

    +++ ให้คอยสังเกตุอาการว่า "มันมาจาก ในตน หรือ นอกตน" หากอาการนั้น ๆ มาจากในตน ตรงนี้เป็นเรื่องของ "โรคภัยไข้เจ็บส่วนบุคคล" แต่ถ้าหาก มาจากนอกตน

    +++ ส่วนหนึ่งของ กายเวทนา จะแปลงสภาพเป็น ตัวดู และ ตัวพูดมากจะแปลงสภาพเป็น ตาจิต (ตัวดูฝ่ายรูป)(ตาทิพย์) โดยธรรมชาติของมัน แล้วแตะเข้าไปยังอาการที่ปรากฏมานั้น ก็จะรู้ว่า มันมาได้อย่างไร

    +++ หากจะทำ "ย้ายเข้าไปอยู่" แล้ว "เดินกายเวทนา 100 ข้างในขันธ์ตัวนั้นก็ได้" หรือ "จะใช้การรู้ว่า มันมาจากไหน แล้ว teleport ต้วดูในขณะที่ อยู่ในขันธ์นั้น ๆ ส่งกลับไปหาเจ้าของ ก็ได้" ถือว่า ก็แค่ส่งคืนเจ้าของไป เท่านั้นเอง นี่สอนวิธีป้องกันตนเองให้เฉย ๆ เท่านั้นนะ ไม่ได้บอกให้ไป เปิดศึกแม่มดกับใคร เข้าใจได้ไม่ยากนะ

    +++ ขณะที่เคลื่อน ตามตูด มันไปตรงนี้แหละ ที่หลวงตามหาบัวท่านใช้คำพูดว่า "มันจะ จ่อ ไม่จ่อ" นี่แหละ แต่จริง ๆ แล้ว มันเริ่ม "ตกเข้าสู่กระแส การดึงดูด ของอณูตัวนั้น" (วัตถุเคลื่อนที่ หรือ อสังขตะธรรม ย่อมมีแรงดึงดูด และ momentum ในขณะที่มันเคลื่อนตัวผ่าน) เพียงแต่ว่า "รู้ทันมัน" ก็เลยไม่ต้องกลายมาเป็น "ตัวดู" นั่นเอง แต่ควรสังเกตุด้วยว่า ในขณะที่มีการ "ตามตูด" นั้น สภาวะของ "หย่อมความกด" มีการกำเนิดขึ้นแล้ว (อวิชชา) เพียงแต่ ไม่เกิดการรวมตัว (สังขารา) ที่กลายมาเป็น ตัวดู (วิญญานัง) เหตุเพราะ "รู้ทัน" นั่นเอง

    +++ อณู เคลื่อนที่ผ่านมาก่อน จากนั้น กระแส "จลศาสตร์ Dynamic" จาก อณู ทำให้เกิด "หย่อมความกดในสภาวะรู้" (space anormaly) หากรู้ทันตรงนี้ อวิชชา ก็หายไป
    +++ หากไม่ทัน กระแส Dynamic จาก อณู ก็จะทำให้ หย่อมความกด เกิดการรวมตัว เป็น "พลังงาน" อาการรวมตัวผสมผสานเข้ามานี้ คือ อาการของ "สังขารจิต"
    +++ จากนั้น พลังการรวมตัวนี้ จะพุ่งเข้าสู่จุด ศูนย์กลางของอณูนั้น กลายมาเป็น "วิญญาณขันธ์" หากรู้ทันตรงนี้ ก็จะเกิด "การถอนสภาพ หรือ ดับ วิญญาณขันธ์ได้"

    +++ ตรงที่ Touchdown แล้วเกิดวิญญาณขันธ์นั้น จะมี 1 เจตนาเกิดขึ้น ตรงนี้แหละ คือ "ตัวจะ" เพียงแต่เราทัน "ตัวจะ" วิญญาณขันธ์ จึงเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็น "ตัวจะ" เกิดก่อน "ตัวจิต" นั่นเอง ให้อ่านทวนใหม่อีกรอบ คราวนี้ จะชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม นะครับ
     
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ คนอื่นเขาฝึกล่วงหน้ามาก่อนเป็นปีแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่เขาไปไกลกว่า เพียงแต่ตัวเรา ต้องเร่งความเพียรเพิ่มขึ้น แบบเอาให้ทันในชาตินี้้ก็พอ นะครับ
     
  19. ธรรมอยู่

    ธรรมอยู่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +55
    5555 เหมือนกันค่ะยังต้วมเตี้ยมอยู่ พี่ธรรมชาติคะ มีวันนึงนั่งสมาธิเสร็จแล้วไปนอน กลางดึกสะดุ้งตื่นรู้สึกว่าไม่หายใจ เลยกำหนดดูมันไม่ต้องหายใจก็อยู่ไดั มันทิ้งร่างกาย ไม่มีความรู้สึก รู้เด่นอารมณ์เดียวมันมีแสงสว่าง นานเหมือนกัน แสดงว่าร่างกายมันติดมาจากที่ตอนจะนอนเรานั่งสมาธิใช่ไหมคะ ถ้าเลยจากนี้เราจะถอดกายใช่ไหมคะ มันกังวลด้วยค่ะว่าเราจะง่วงไปทำงาน เลยไม่ได้กำหนดต่อพยายามจะหลับ
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    5555 เหมือนกันค่ะยังต้วมเตี้ยมอยู่ พี่ธรรมชาติคะ มีวันนึงนั่งสมาธิเสร็จแล้วไปนอน กลางดึกสะดุ้งตื่นรู้สึกว่าไม่หายใจ

    +++ จริง ๆ แล้ว ตรงนี้ไม่ใช่ลักษณะที่เป็นการ "สะดุ้ง" แต่มันเป็นการ "พลิกจิต" ของตัวดู ที่ "พลิกตัวออกมาจาก ความง่วงซึม" ที่เรียกว่า "ถีนมิทธะ" ได้ด้วยตัวของมันเอง เป็นการ "พลิกจากหลับ มาเป็นตื่น" ซึ่ง "พ้นนิวรณ์ 5 ประการ" ออกมาเป็น "อัปปนาสมาธิ" ด้วยตัวมันเอง

    เลยกำหนดดูมันไม่ต้องหายใจก็อยู่ไดั มันทิ้งร่างกาย ไม่มีความรู้สึก รู้เด่นอารมณ์เดียวมันมีแสงสว่าง นานเหมือนกัน

    +++ ตรงนี้เป็นอาการที่ มันพลิกกลับมาแล้ว "อยู่ในฌาน 4" เป็นเอกัคตารมณ์ คือเป็น "อารมณ์เด่น อารมณ์เดียว" ณ ขณะนั้น ๆ เป็น "ขันธ์เดี่ยว ขันธ์เดียว เท่านั้น" และ มันไม่จำเป็นที่จะต้องมี "กายเนื้อ" เป็นที่อาศัย มันคงอยู่ได้ด้วยย "สภาพของตัวมันเอง" ดังนั้น "ไม่มีลมหายใจ ก็อยู่ได้"

    +++ หากเป็นการฝึกแบบ "อาณาปานสติ" ก็จะตรงกับอาการที่เรียกว่า "ทิ้งคำภาวนา ทิ้งลมหายใจ" เหลืออยู่แต่ "สติรู้เด่นอยู่ประการเดียว" ซึ่งเป็นอาการของ "อัปปนาสมาธิ (ฌาน)" นั่นเอง

    +++ ตรงนี้จะมี "สติรู้สภาวะแห่งตน ชัดเจน ไม่มีอะไรปิดบัง" ตรงนี้เป็นสภาวะของ "สติระดับที่ 5 อยู่กับตน" หากทำตรงนี้ได้จนเป็นนิสัย ก็จะรู้จักสภาาวะที่เรียกว่า "ผู้ทรงฌาน" ได้เลย

    แสดงว่าร่างกายมันติดมาจากที่ตอนจะนอนเรานั่งสมาธิใช่ไหมคะ

    +++ มันเป็นไปได้ เพราะ "การอยู่ใน กายเวทนา มีอยู่อย่างต่อเนื่อง" เพียงแต่เรา "เปลี่ยนอิริยาบทจาก ท่านั่ง ไปเป็น ท่านอน เฉย ๆ" โดยที่ยังอยู่ใน กายเวทนา ตลอด

    ถ้าเลยจากนี้เราจะถอดกายใช่ไหมคะ

    +++ ตรงนี้ "เลยการถอดกายเวทนา" ไปแล้ว เพราะสภาวะของมัน "ไม่ใช่กายเวทนา" แต่เป็น "สภาวะของตัวดู (กายธรรมารมณ์)" ซึ่งหากมัน "ออกไปนอกร่าง" เมื่อไรมันจะกลายเป็น Teleport ออกไปเลย ที่เรียกกันว่า "ล่องหน" นั่นแหละ

    +++ กายเวทนานั้น ยังอยู่ในกายเนื้อ แต่ "ไม่ได้เป็น กายเนื้อ" ตรงนี้จึงเป็นการ "ถอดกายเวทนา" แต่ถ้าหาก "ไม่มีกาย" แล้วเหลือแต่ สภาวะเฉย ๆ ตรงนี้เป็น "ตัวดู ที่เป็น อรูปฌาน" นั่นเอง

    +++ ประสพการณ์ตรงนี้ สามารถยืนยันได้อย่างหนึ่งว่า "ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นมนุษย์ สภาวะแห่งความเป็นเรา ก็ยังมีอยู่ได้" จริงมั้ย

    มันกังวลด้วยค่ะว่าเราจะง่วงไปทำงาน เลยไม่ได้กำหนดต่อพยายามจะหลับ

    +++ จริง ๆ แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องไปห่วงว่าจะง่วง ตอนนี้ก็คงรู้แล้วนะว่า "ขณะที่ทำงานวันนี้" มีความ "ง่วง" ปรากฏขึ้นมาเป็น อุปสรรค หรือไม่

    +++ สำหรับ ผู้ฝึก ที่ยังอยู่ในระดับต้น ๆ ระดับ 3-5 หากสงสัยอะไร ก็โพสท์ถามมาได้ นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...