ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. apichart ww2

    apichart ww2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    337
    ค่าพลัง:
    +439
    วิวาทะ "ยุค ศรีอาริยะ-เกษียร เตชะพีระ" อเมริกาใช้ "คอร์แนล" ครอบงำความคิดปัญญาชนไทยจริงหรือ?

    จากกรณีที่นายเทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ เจ้าของนามปากกา "ยุค ศรีอาริยะ" ได้แสดงทัศนะผ่านรายการ "คนเคาะข่าว" ทางสถานีโทรทัศน์ ASTV เมื่อวันที่ 3 ก.พ. เวลา 20.30 น. โดยมีเนื้อหาว่า "สหรัฐอเมริกา" อยู่เบื้องหลังเหตุป่วนทั้งหมดในไทย ตั้งแต่ความรุนแรงภาคใต้ - รัฐประหาร - เผาบ้านเผาเมือง ฯลฯ เพราะหวังจะส่งทหารอเมริกันเข้ามาตั้งฐานทัพ เพื่อใช้ในการสกัดอำนาจของจีน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่ามหาวิทยาลัย "คอร์แนล" เป็นอีกยุทธศาสตร์ขยายอำนาจของสหรัฐ ด้วยการครอบงำความคิดนักศึกษาต่างชาติ ซึ่งนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็เป็นหนึ่งในผลผลิตนั้น

    โดยในประเด็นมหาวิทยาลัยคอร์แนลมีรายละเอียดที่เผยแพร่ในเว็บไซต์เมเนเจอร์ออนไลน์ว่า

    "ส่วนกรณีที่ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ บอกว่ามาตรา 112 เป็นสิ่งที่ล้าหลัง ตนอยากฝากให้คิดกัน ว่าอเมริกามันมีศูนย์ใหญ่ เวลานักศึกษาต่างชาติเก่งๆ ไปเรียน มักส่งไปเรียนที่มหาวิทยาลัยคอร์แนล ที่นั่นเป็นศูนย์รวมนักศึกษาต่างประเทศ และเป็นศูนย์รวมประวัติศาสตร์ประเทศต่างๆ


    "อเมริกาแผ่อำนาจไม่ใช่แค่ทางเดียว สำคัญที่สุดคือการครอบงำทางปัญญา คือการให้นักศึกษามีแนวคิดไปตามที่เขาต้องการ โดยใช้ทฤษฎีชาร์ลส์ ดาร์วิน เป็นทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่ สิ่งเก่าเป็นเรื่องล้าหลัง และอำนาจนิยม


    "ลองกลับไปดูงานของนักวิชาการคอร์แนล ไม่ว่าประวัติศาสตร์ พม่า ลาว เวียดนาม ที่ผลิตโดยนักวิชาการกลุ่มนี้ ก็คือเรื่องสงครามเท่านั้น เรื่องกษัตริย์รบกับคนโน้นคนนี้ ให้ดูเป็นอำนาจนิยม ป่าเถื่อน คนเหล่านี้ชอบอ่านงานของฝ่ายซ้าย ชื่อว่า ′โฉมหน้าศักดินาไทย′ ของ จิตร ภูมิศักดิ์ จิตรเป็นคนเก่ง แต่เขาเอาแต่ภาพที่เลวร้ายของสถาบันกษัตริย์มาแสดงออก เป็นคนที่มองอดีตแบบภาพลบสุดๆ


    "คำถามที่ว่าสถาบันกษัตริย์ล้าหลังและอำนาจนิยมหรือเปล่า ถ้าตอบแบบคอร์แนล แบบจิตร ภูมิศักดิ์ ก็คือใช่ ด้วยพื้นฐานทฤษฎีว่าด้วยวิวัฒนาการ"

    ขณะที่นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งจบการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ได้แสดงความเห็นต่อบทวิเคราะห์ของนายเทียนชัยผ่านเฟซบุ๊กว่า

    "เลอะเทอะกันไปใหญ่แล้วล่ะครับ ดร.เทียนชัยหรือพี่ยุค ศรีอาริยะอาจจะคิดถึงมหาวิทยาลัยในเกาหลีเหนือหรือจีนสมัยเหมาซึ่งควบคุมความคิดคณาจารย์นักศึกษาเป็นพิมพ์เดียวกัน ขณะที่มหาวิทยาลัยทุนนิยมอย่างในอเมริกา มันทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าทำได้ พี่ยุคคงไม่จบมาจาก... Binghamton University อเมริกาและทำวิทยานิพนธ์ฝ่ายซ้ายด้วยทฤษฎีของเจมส์ เปตราส นักทฤษฎีการต่อสู้ทางชนชั้นชื่อดังโดยเฉพาะในลาตินอเมริกา พี่คงโดนอเมริกันครอบหมดแล้ว หรือพี่ยุคจะบอกว่าเอาเข้าจริงวิทยานิพนธ์ของพี่ก็เป็นแผนด้านกลับของอเมริกาที่จะครอบงำไทยผ่านภาษาฝ่ายซ้ายอย่างแนบเนียนเหมือนกัน ซึ่งก็น่าคิดนะครับว่าเป็นไปได้หรือเปล่าเอ่ย? 555 แม้ว่าผมไม่อยากเชื่อเลยก็ตาม

    "ผมเชื่อว่าพี่คงอยากแทรกแซงต่อวิวาทะทางการเมืองปัจจุบันตามบทบาทที่พึงทำให้เอเอสทีวี แต่การที่พี่ปล่อยให้ข้อคิดวิเคราะห์ด้วยทฤษฎีสังคมศาสตร์มาร์กซิสต์สกุลเปตราสของพี่พลิกกลับตาลปัตรเป็นทฤษฎีสมคบคิดตื้น ๆ แบบในหนังอเมริกันจำนวนมาก (ง่า... หรือพี่จะถูกอเมริกาครอบงำผ่านหนังสมคบคิดแบบนั้นหว่า) มันออกจะตลกไปหน่อยนะครับ

    "นักวิชาการไทยที่จบคอร์แนลคิดไปคนละทาง ต่างไปคนละทิศ ไม่ได้เป็นพิมพ์เดียวกันหรอกนะครับ ผมจะลองเอ่ยชื่อและพี่ตามไปอ่านงานของเขาดู เพราะผมสงสัยว่าพี่ไม่ได้อ่าน หรอกครับ พี่ไม่ว่างพอ อาจเพราะมัวตระเวนเดินชมพระเครื่องตามแผงแบกะดินแถวท่าพระจันทร์และธรรมศาสตร์อยู่ เช่น คุณสุพจน์ แจ้งเร็ว นักประวัติศาสตร์มือฉมัง (จิตรน้อย) แห่งค่ายมติชน ก็ต่างจาก อ.สุเนตร ชุตินธรานนท์ อาจารย์ใหญ่พม่าศึกษาแห่งจุฬาฯ ในการมองสงครามไทยพม่า (อ.สุเนตรคือที่ปรึกษาวิชาการที่ไปช่วยหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ทำหนังมหากาพย์พระนเรศวรหลายตอนนั่นแหละครับ หรือพี่ยุคจะเสนอว่าสุเนตร ศิษย์คอร์แนลและโปรเฟสเซอร์เดวิด วัยอาจ หัวอนุรักษ์นิยมและไทยนิยม ก็ถูกครอบงำจากอเมริกาให้มาบ่อนทำลายไทยผ่านการทำหนังนเรศวรด้วย อืมม....ก็น่าพิลึกไปอีกแบบ ผมจะลองไปคิดดูถึงทฤษฎีสมคบคิดนี้) หรืออย่าง อ.ชาญวิทย์ กับ อ.ทักษ์ เฉลิมเตียรณ ก็ตีความระบอบสฤษดิ์ต่างกัน อ.ทักษ์ระบุว่าเป็นระบอบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ ขณะที่อ.ชาญวิทย์เอาเข้าจริงเคยบอกว่าแกคิดต่าง แกคิดว่าเป็นระบอบ "นักเลง" มากกว่า ง่า...แล้วระหว่างสองคนนี้ทำไมรับแผนครอบงำของอเมริกาจากคอร์แนลมาไม่ตรงกันล่ะครับ? ยังไม่ต้องพูดถึงเสกสรรค์ ประเสริฐกุล พี่ยุคจะว่าพี่เสกฯเป็นยังงั้นด้วยหรือ? ผมมิขอกล่าวถึงบุคคลอื่นๆ ที่จบคอร์แนลนะครับ

    "ผมว่าพี่ยุคคิดไตร่ตรองอีกรอบแล้วกัน อย่ามาเสียคนตอนปลายเลยครับ ถ้าจะวิจารณ์ก็ให้อะไรที่ประเทืองปัญญากว่านี้ ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าพี่ลงแรงขยันอ่านทำการวิเคราะห์สักหน่อย ไม่เอาแต่กินบุญเก่า พี่สามารถทำได้ครับ พี่จะข้ามพ้นข้อกล่าวหาตื้นเขินแบบนี้ได้แน่นอน"

    ส่วนนายชาญวิทย์ที่ถูก "ยุค ศรีอาริยะ" กล่าวพาดพิงถึง ได้เขียนข้อความลงในเฟซบุ๊กว่า

    ครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว

    คอร์แนล ยุคนั้น

    ในยุค 1960s และ 1970s

    ในสมัย อุษาคเนย์ศึกษา รุ่งเรือง ไปทั่วโลกนั้น

    ที่ มหาวิทยาลัย บ้านนอกคอกนา (มีวัว) คอร์แนล

    มี นร. ไทย ไปเรียนกันมากหน้าหลายตา

    ทั้งหนุ่มทั้งสาว (ซึ่งก็เฒ่าไปหมดแล้ว บ้างก็หาชีวิตไม่ได้แล้ว)

    กลุ่มนั้น มีบุญสนอง บุณโยทยาน (จำได้ไหม สิ้นไปแล้ว)

    วารินทร์-วัชรี วงศ์หาญเชาว์ (สิ้นไปแล้ว)

    มานี จันทวิมล (สิ้นไปแล้ว)

    คมคาย จงเจริญสุข (สิ้นไปแล้ว)

    ม.ร.ว. อคิน รพีพัฒน์

    บัณฑร อ่อนดำ

    ฉลาดชาย รมิตานนท์

    วิระดา สมสวัสดิ์

    ทักษ์ เฉลิมเตียรณ

    ปรานี เจียรดิษย์อาภรณ์ (มีบอดี้การ์ดตามไปด้วย สุจิตต์ วงษ์เทศ)

    ปราโมทย์-สุมณฑา นาครทรรพ

    ปราโมทย์ ประสาทกุล

    อานันท์ กาญจนพันธุ์ ฯลฯ

    ครั้งนั้น เป็นสมัยของ บุปผาชน กัญชา

    ต่อต้านสงครามเวียดนาม

    ครั้งนั้น คือ กาลเวลา ที่มหากวีกล่าวไว้ว่า

    Nothing can bring back

    The hours

    Of splendor in the grass,

    of glory in the flower

    We will grieve not, rather find

    Strength in what remains behind;
     
  2. Alphaneomatrix

    Alphaneomatrix Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +77

    ต้องเตรียมเงินปรัมาณเท่าไหร่ครับ ทั้งที่ดินและค่าสร้างบ้านต่างๆ
     
  3. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    “อาจอง” ชี้ น้ำจะมากขึ้นทุกปี แนะ ย้ายเมืองหลวงไปภาคอีสาน

    <HR style="WIDTH: 100%">วันเสาร์ ที่ 04 ก.พ. 2555
    <!-- AddThis Button BEGIN --> <!-- AddThis Button END -->

    องค์การสหประชาชาติ ถ.ราชดำเนิน 4 ก.พ.- “อาจอง” อดีตนักวิทยาศาสตร์นาซา ระบุแนวโน้มน้ำมากขึ้นทุกปี รวมทั้งปีนี้ ชี้ปี ค.ศ.2012 ยังไม่สิ้นโลก แต่ครบรอบ 11 ปี ที่ดวงอาทิตย์จะมีปฏิกิริยากับโลก เผย กทม.จะรับระดับน้ำที่มากขึ้นๆ ทุกปีได้อีกเพียง 7-8 ปี จึงควรย้ายเมืองหลวงไปพื้นที่ภาคอีสาน 16 จังหวัดเหมาะสม

    นายอาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา อดีตนักวิทยาศาสตร์องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือองค์การนาซา กล่าวในงานสมัชชาแห่งชาติ เรื่อง ภัยพิบัติกับอนาคตประเทศไทย ว่า จากการทำนาย ปี ค.ศ.2012 จะถึงวันสิ้นโลกตามปฏิทินชาวมายา ตามหลักวิทยาศาสตร์ โลกเรามีอายุมาครึ่งหนึ่งหรือ 4,500 ล้านปี ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่งหรือ 4,500 ล้านปีโลกถึงจะดับ จึงน่าจะเป็นที่ดวงอาทิตย์จะมีปฏิกิริยากับโลกมากกว่า เพราะดวงอาทิตย์มีส่วนประกอบของก๊าซไฮโดรเยน และฮีเลียม ที่สะสมมากขึ้นจนกลายเป็นความร้อนจัดในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลกระทบกับโลกเราในทุก 11 ปี และปี ค.ศ.2012 เป็นการครบรอบ 11 ปี ซึ่งเมื่อ 11 ปีที่แล้ว เกิดไฟดับในเมืองใหญ่ทั่วโลก ซึ่งรอบนี้ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้

    สำหรับปรากฏการณ์พายุสุริยะ หรือออโรล่า ที่มีสีสันสวยงามในซีกโลกเหนือ ก็เป็นหนึ่งในผลกระทบจากดวงอาทิตย์กับโลก ปฏิกิริยาที่จะเกิดกับมนุษย์ คือระบบการสื่อสารในชั้นบรรยากาศอาจล่ม เช่น วิทยุการบิน และจะรุนแรงมากขึ้นในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ต่อถึงต้นปี ค.ศ.2013 และจึงค่อยลดลง ขณะเดียวกันกับนักวิทยาศาสตร์นาซา คาดการณ์ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งในประเทศไทย แนวรอยเลื่อนแผ่นดินไหวของไทย จะอยู่ที่ทิศเหนือ ทิศตะวันออก ใต้ และฝั่งอันดามัน ซึ่งโอกาสเกิดสึนามิอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงนี้เช่นกัน โดยเฉพาะแนวเดิมที่เคยเกิดสึนามิ

    นายอาจอง กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในปีนี้ว่า ของไทยก็เช่นเดียวกับของโลก คือความชื้นของโลกจะเพิ่มขึ้นทุกปี น้ำก็จะมากขึ้นทุกปีเช่นกัน ข้อมูลสถิติเมื่อปี พ.ศ.2553 ปริมาณน้ำฝนและน้ำเขื่อน เกินมาตรฐานเป็น 126 เปอร์เซ็นต์ ปี พ.ศ. 2554 เพิ่มเป็น 137 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น แนวโน้มปี พ.ศ.2555 ก็จะเพิ่มขึ้นอีก ผู้บริหารประเทศจึงต้องเรียนรู้การบริหารน้ำให้ปริมาณน้ำที่เกินไหลลงสู่ทะเลโดยเร็วที่สุด ถ้าจำเป็นต้องเวียนคืนเพื่อใช้พื้นที่แก้ไขก็ต้องทำเพื่อส่วนรวม ขณะที่ภาวะแล้งจะเกิดขึ้นด้วย จึงต้องมีพื้นที่กักเก็บน้ำเช่นกัน ซึ่งมนุษย์พัฒนาไปมากเกิน ใช้พลังงานมาก ส่งผลร้ายต่อทรัพยากรธรรมชาติ ถ้าลดการใช้พลังงานลงให้พอเพียงจะกระทบน้อยลง เมื่อน้ำมากขึ้น กทม.ซึ่งเป็นที่ต่ำลงทุกปี ผู้บริหารประเทศควรมองการณ์ไกลถึงการย้ายเมืองหลวงไปอยู่ในพื้นที่สูง ซึ่งคิดว่า 16 จังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) เป็นพื้นที่ราบสูง มีความเหมาะสม ซึ่งการย้ายเมืองหลวงเป็นเรื่องใหญ่ ต้องใช้เวลาถึง 20 ปี และควรสร้างเป็นเมืองใหม่ ไม่ใช้เมืองเก่ามาปรับสร้าง ส่วนกรุงเทพฯ มีแนวโน้มจะต้านทานระดับน้ำที่มากขึ้นๆทุกปี ได้อีกเพียง 7-8 ปี.-สำนักข่าวไทย


    www.mcot.net/cfcustom/cache_page/326845.html
     
  4. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    <TABLE border=0 width=670 bgColor=#ffffff><TBODY><TR bgColor=#ffcae3><TD> ภาคเหนือและอิสานอากาศเย็นมีหมอกตอนเช้า-กทม.มีฝน20%ของพื้นที่ </TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์ประจำวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2555 ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.

    คลื่นกระแสลมตะวันตกที่เคลื่อนผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศหนาวเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า สำหรับลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดนำความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมบริเวณประเทศไทย ทำให้บริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ในระยะ 1-2 วันนี้

    พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

    ภาคเหนือ อุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศาเซลเซียส ทางตอนบนของภาค อากาศหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 15-16 องศาเซลเซียส ส่วนทางตอนล่างของภาค อากาศเย็นกับมีฝนบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 17-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส
    สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-9 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณตอนล่างของภาค
    อุณหภูมิต่ำสุด 19-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภู อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-14 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

    ภาคกลาง อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณสระบุรี พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 21-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 15-16 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
    ภาคตะวันออก มีเมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขา อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 15-16 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร
    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆบางส่วน กับฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-32 องศาเซลเซียส จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมา ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
    ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป ลมตะวันออก ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 2-3 เมตร

    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆบางส่วน กับฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร
    กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีหมอกบางในตอนเช้า กับมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.




    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    คำบัญชาจากพระอินทร์ราชา

    [​IMG]
    ซุนหงอคง รับบัญชาจากพระอินทร์ราชา

    โอวาทธรรม ''คัมภีร์กัปป์สุดท้าย"

    องค์พระศรีอาริยเมตไตรย และพระมหาโพธิสัตว์กวนอิม ทรงน้อมสดับฟังพระวจนะแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงเรื่องการประคับประคองช่วยเหลือเหล่าเวไนยสัตว์ที่ต้องผจญกับสิ่งชั่วร้าย ในช่วงวาระกัปสุดท้ายว่า..

    " ฟ้าเบื้องบน...จะทรงบัญชาให้เทพยดาผู้คุมเกณฑ์กำหนด... ตารางสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์... เพื่อสำรวจดูคัมภีร์กัปป์สุดท้ายนี้... หากพบว่า...มีเหล่าสาธุชนเผยแพร่ออกไป... ด้วยความเคารพศรัทธา... พวกเขาทั้งหลายย่อมสามารถรอดพ้นจากเกณฑ์วาระแห่งมหันตภัยได้... และทุกชีวิตในครอบครัวจะไร้ทุกข์โศก..."

    ผู้ที่ละเว้นกรรมชั่ว... ถือศีลกินเจ... ประกอบแต่คุณงามความดี... จะไม่ต้องเศร้าสลดวิตกกังวลประสบพบเจอภัยพิบัติทั้ง ๑๐ ประการ อันได้แก่...

    ๑. ถูกเพลิงไหม้เผาผลาญ ถูกน้ำไหลบ่าท่วมท้น
    ๒. ถูกเมฆหมอก ควันพิษ ทำลายล้าง
    ๓. มึนซึม หลับใหลหมดสติตาย
    ๔. ถูกสัตว์ร้าย งูพิษ ขบกัด
    ๕. ถูกประหัดประหารเข่นฆ่า ตายด้วยภัยสงคราม
    ๖. สามีภรรยา ต้องพลัดพรากหย่าร้าง
    ๗. ต้องเร่ร่อน อพยพหลบหนี ไม่มีที่อยู่อาศัย
    ๘. ต้องเผชิญกับอากาศที่ผันแปร ทั้งหนาวเหน็บ ทั้งร้อนและแห้งแล้ง
    ๙. ต้องเศร้าโศก ต่อภาพของซากศพที่กองเกลื่อนกลาดทั่วแผ่นดิน
    ๑๐.ไม่ได้พบเห็นความสงบสุขและสันติ

    หากมนุษย์ในโลก จิตใจชั่วร้ายต่ำทรามลบหลู่หลักธรรมคัมภีร์สิ้นศรัทธาในคุณความดี ถึงเกณฑ์ ปีวอก ปีระกา ปีจอ และปีกุน เมื่อใด... เมื่อนั้น มีข้าวก็ไร้คนกิน... มีเสื้อก็ไร้คนใส่... มีถนนก็ไร้คนเดิน... มีบ้านก็ไร้คนอยู่... มีที่นาก็ไร้คนทำ จวบจนถึงวาระเดือนห้า... เดือนหก สัตว์ร้ายงูพิษจะออกเพ่นพ่านไปทั่ว เข้าเดือนแปดเดือนเก้า เหล่าคนชั่วร้ายจะตายสิ้น จนซากศพเกลื่อนกลาดเต็มพื้น!...

    บนท้องถนนคน ล้มตายนับไม่ถ้วน... มหันตภัยมาถึง หนึ่งหมื่นคนตายเก้าพัน! พืชพันธุ์ธัญญาหารเก็บเกี่ยวได้ผลน้อย เกิดลมพายุฝนฟ้าคะนองเหล่าพญานาคดุร้ายเกะกะระรานไปทั่ว

    ถึงกาล เวไนย์สัตว์มีภัย องค์เง็กเซียนฮ่องเต้(พระอินทร์)ผู้เป็นใหญ่ จึงมีพระบัญชาส่งสองขุนพลจอมเทพผู้พิทักษ์ด่านประตูสวรรค์ลงสู่แดนมนุษย์ เหนือบรรยากาศโลก เทพยดาที่สัญจรอยู่เหนือโลกมนุษย์จะบัญชาการส่งหมู่ดาว "อ่านชิง" ลงเก็บกวาดคนชั่วร้ายทั้งหมด จะเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพง... องค์พระศรีอาริยเมตไตรยจะปรากฏ...

    สองขุนพลจอมทัพผู้พิทักษ์ด่านประตูสวรรค์ลงสู่แดนมนุษย์นับจากปีจอ...เริ่มต้นด้วยโรคระบาด...จนถึงปีกุนประชาราษฎร์... ในเก้าคนรอดตายเพียงหนึ่ง!...

    จะเกิดมหันตภัยใหญ่ ครอบคลุมไปทั่ว อันได้แก่

    ๑. ภัยจากแรงลมมหาศาล
    ๒. ภัยจากไฟโหมลุกไหม้
    ๓. ภัยจากน้ำท่วมใหญ่
    ๔. ภัยจากการทำศึกสงคราม
    ๕. ภัยจากโรคร้ายที่ไม่เคยมีมาก่อน
    ๖. ภัยจากสัตว์ร้ายมีพิษขบกัด
    ๗. ภัยจากกระแสไฟฟ้า ฟ้าผ่า
    ๘. ภัยจากอาหารขาดแคลน อดอยาก
    ๙. ภัยจากการคลอดบุตร ทารกร่างกายผิดปกติ
    ๑๐. ภัยจากการสูญสิ้นของมวลมนุษยชาติ

    องค์สมเด็จพระศากยมุนีพระพุทธเจ้าทรงครองธรรมกาล ๓,๐๐๐ ปี...ลุถึงปัจจุบันครบบริบูรณ์พระศรีอาริยเมตไตรยทรงสืบทอดครองธรรมกาลต่อ...

    เริ่มเข้าเกณฑ์ ปีวอก... จนถึงปีชวด พืชพันธุ์ธัญญาหารจะไม่สมบูรณ์ ผู้คนจะอดอยากตาย มีภัยสงครามยากจะหลีกหนี!...

    หากมีคนนำคัมภีร์นี้เผยแพร่ไปถึงพัน...ถึงหมื่น... จะรอดพ้นจากภัยพิบัติ...เข้าถึงยุคบรรพกษัตริย์ เหยาและซุ่น(กษัตริย์จีนยุคโบราณ) อันเป็นยุคที่บ้านเมืองเจริญรุ่งโรจน์สังคมมีความยุติธรรม ผู้คนได้ประสบสุขเกษมสันต์อยู่ร่วมกันในโลกดอกบัวแห่งมหาสันติเบ่งบาน...

    คนพาลสันดาลหยาบ... แม้ล่วงรู้คัมภีร์กลับลบหลู่ปกปิดทำลายย่อมประสบกับเภทภัยทั้งสิบประการตายแล้วก็ยาก... จะได้กลับมาเกิดอีก...

    สาธุชน คนดี... ประกอบด้วยเมตตาจิต...ตั้งใจเผยแพร่คัมภีร์ออกไป... เขาเหล่านั้นย่อมประสบแต่ความเป็นสิริมงคล ทุกคนในครอบครัวจะร่มเย็นเป็นสุข สามารถรอดพ้นจากมหันตภัยทั้งหลายได้..

    พระโพธิสัตว์กวนอิมอวโลกิเตศวร...ได้เข้าเฝ้าพระองค์ธรรมมผู้เป็นเจ้าเบื้องบนสูงสุด...เพื่อกราบบังคมทูลรายงานถึงความดี ความชั่ว ที่มนุษย์ได้กระทำ... ครั้งนั้นองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ทรงทราบข่าวสภาพความเลวร้ายบนโลกมนุษย์... ก็ทรงพิโรธยิ่งนักและตรัสบริภาษต่อว่าเหล่าเทพยดาทั้งหลายว่า...

    เสียแรงเปล่าที่ชาวโลกพากัน จุดธูปเทียนบูชากราบไหว้ แต่กลับไม่ยอมอบรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น มาจนบัดนี้... ในโลกมนุษย์จึงเนืองแน่นไปด้วยคนใจบาปหยาบช้า ผู้คนไม่มีมโนธรรมสำนึกหลงเหลืออยู่เลย ดังนั้นจึงต้องมีราชโองการลงโทษทัณฑ์ ให้เกิดภัยพิบัติต่อเนื่องกันหลายปี เพื่อกำหราบคนชั่วช้าสามานย์และเปลี่ยนแปลงจิตใจชาวโลกเสียใหม่!"

    ในเวลานั้น...บรรดาเหล่าทวยเทพทั้งหลายได้กราบทูลวิงวอน...แม้องค์พระโพธิสัตว์กวนอิมแห่งทะเลทักษิณถึงกับพระ วรกายทรุดหมอบลงกับพื้นพระบรมวิมาน... ทรงพร่ำทูลขอให้โปรดกรุณาแก่ชาวโลกซ้ำเป็นหลายครั้งว่า...

    " ผู้ชั่วร้ายสมควรดับ... ผู้ดีงามควรคัดออก ๆๆ "...

    องค์เง็กเซียนฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชาชี้ขาดว่า...

    " ดีชั่ว สองฝ่ายแยกกัน !...

    ให้สงครามเจาะจงเลือกที่เกิด !...

    ให้โรคระบาดเจาะจงเลือกคนเป็น !...

    และให้จอมเทพพิทักษ์ธรรม จงรับราชโองการกวาดล้างมนุษย์ที่กระทำความชั่วร้าย ดังต่อไปนี้...

    ๑. พวกที่กล่าวโทษ ด่าว่าฟ้าดิน
    ๒. พวกที่ดำเนินชีวิตปฏิบัติตนผิดหลักฟ้า ฝืนหลักธรรม
    ๓. พวกที่ไม่กตัญญูต่อพ่อแม่
    ๔. พวกที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ฆ่าเป็นอาชีพ ฆ่าเป็นกีฬา
    ๕. พวกที่ลักขโมย ปล้นชิง หยิบฉวยทรัพย์สมบัติ สิ่งของของผู้อื่น
    ๖. พวกที่โกหกมดเท็จ พูดจาหลอกลวงให้คนหลงเชื่อ
    ๗. พวกที่ประพฤติผิดในกาม มักมากในตัณหาราคะ
    ๘. พวกที่ชอบดื่มสุรา ยาเมา สูบบุหรี่ หลงใหลสิ่งเสพติดของมอมเมาสติ
    ๙. พวกที่ไม่ยึดถือศีลธรรม จิตใจขาดหิริโอตตัปปะ ไม่สำนึกละอายใจในการทำชั่ว ไม่เกรงกลัวบาปกรรม
    ๑๐. พวกที่ทำลายพระศาสนา บิดเบือนหลักธรรม หลอกลวงเทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ๑๑. พวกที่เหยียบย่ำทำลายคัมภีร์หลักธรรม อักษรหนังสือ
    ๑๒. พวกที่ใจเหี้ยมโหด เข่นฆ่าเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น เพื่อผลประโยชน์ของตน
    ๑๓. พวกที่ทำลายผู้อื่น เพื่อมุ่งผลกำไรและความสุขส่วนตน
    ๑๔. พวกที่ค้าขายใช้เล่ห์เหลี่ยม ขูดรีด คดโกงตาชั่ง
    ๑๕. พวกที่ค้าขายสินค้าปลอม ยาปลอม หลอกลวงชาวบ้าน
    ๑๖. พวกที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายค้าขายเอาเปรียบคนอื่น
    ๑๗. พวกที่หาประโยชน์จากผู้อื่นด้วยการหลอกลวง ต้มตุ๋น
    ๑๘. พวกที่พูดจาหยาบคาย ชอบทุบตี ด่าว่าบุพพการี ปู่ย่า ตายาย
    ๑๙. พวกที่ชอบพูดจาให้ร้ายป้ายสีผู้อื่น
    ๒๐. พวกที่อารมณ์ร้าย โมโหโกรธา ด่าว่าคนอื่นไปทั่ว
    ๒๑. พวกที่ชอบว่ากล่าว ตำหนิโทษผู้อื่น ด้วยใจอคติไม่เที่ยงธรรม
    ๒๒. พวกผู้ชายที่ไม่จริงใจต่อภรรยา พวกผู้หญิงที่ไม่เคารพซื่อสัตย์ต่อสามี
    ๒๓. พวกที่ชอบยุแหย่ทำลายชีวิตครอบครัวผู้อื่นให้แตกแยกล่มสลาย
    ๒๔. พวกพี่น้องที่ไม่รักใคร่ปรองดองกัน คอยแต่แย่งชิงดี ชิงเด่นฟ้องร้องแย่งชิงทรัพย์มรดก
    ๒๕. พวกวงศ์ตระกูลเดียวกัน แต่กลับทะเลาะเบาะแว้งไม่สามัคคีกลมเกลียว
    ๒๖. พวกที่ชอบยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่น ฟ้องร้องคดีความ
    ๒๗. พวกที่ไม่มีความจริงใจ เป็นคนลวงโลก สวมหน้ากากเข้าหากัน
    ๒๘. พวกหน้าเนื้อใจเสือ ภายนอกแต่งกายให้ดูดี แต่ภายในสกปรกโสมม
    ๒๙. พวกที่อาศัยอำนาจหน้าที่ ใช้อิทธิพลในทางที่ผิด
    ๓๐. พวกที่กดขี่ราษฏร ฉ้อราษฎร์บังหลวง โกงกินบ้านเมือง
    ๓๑. พวกที่ชักศึกเข้าบ้าน ล้างผลาญประเทศชาติ เพื่อประโยชน์ของตน
    ๓๒. พวกผู้ปกครองที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี กลับใช้อุบายวางแผนแก่งแย่งชิงกันเป็นใหญ่
    ๓๓. พวกที่ชอบประจบสอพลอ พะเน้าพะนอยกย่องเชิดชูรับใช้คนเลว
    ๓๔. พวกที่คอยมุ่งร้าย รังแกคนทำงานที่ซื่อสัตว์สุจริต
    ๓๕. พวกคนพาลสันดานหยาบ ที่คอยก่อกวนให้ผู้คนเดือนร้อน อยู่ไม่เป็นสุข
    ๓๖. พวกคนร่ำรวย แต่ใจร้ายข่มเหงคนยากไร้
    ๓๗. พวกที่ชอบยกย่องคนรวย เหยียบย่ำคนจน
    ๓๘. พวกที่เห็นคนตกทุกข์ได้ยาก ไม่อยากช่วยเหลือ
    ๓๙. พวกที่พบเห็นคนอยู่ในฐานะลำบาก กลับเมินเฉยแล้งน้ำใจ
    ๔๐. พวกที่เห็นผู้อื่นร่ำรวย ก็เกิดความอิจฉาริษยา
    ๔๑. พวกที่เห็นผู้อื่นฐานะสูงส่งด้วยชื่อเสียงเกียรติยศ ก็เกิดความโกรธแค้นชิงชัง
    ๔๒. พวกที่มีจิตใจอาฆาตมาดร้าย ใช้ไสยศาสตร์มนต์ดำสาปแช่งผู้อื่น
    ๔๓. พวกที่ร่ำเรียนคาถาอาคมทำร้ายผู้อื่น ทำเสน่ห์ยาแฝดฝังรูป ฝังรอย
    ๔๔. พวกที่ชอบฝึกวิชามาร ทำพิธีใช้ภูตผีกลั่นแกล้งทำลายล้างผู้อื่น
    ๔๕. พวกที่ชอบเผาป่า ทำลายสุสาน บุกรุกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
    ๔๖. พวกที่กินทั้งกินขว้าง ไม่รู้จักพระคุณข้าว น้ำ อาหาร
    ๔๗. พวกที่ทุบตีเด็กเล็กไร้เดียงสาด้วยโทสะข่มเหง รังแกเด็กๆ ผู้ที่ไม่สามารถจะช่วยเหลือตนเองได้
    ๔๘. พวกที่อกตัญญู ไม่รู้คุณคน
    ๔๙. พวกที่ประพฤติตน คิดแบบอย่างชี้นำ สอนให้เด็กอนุชนรุ่นหลังกระทำตามจนต้องกลายเป็นคนเลว ชีวิตไร้แก่นสาร
    ๕๐. พวกที่ถือตัวว่าอาวุโส สูงอายุ ใครว่ากล่าวไม่ได้ ทำผิดไม่ยอมรับ ตักเตือนไม่ยอมแก้ไข
    ๕๑. พวกอนุชนรุ่นหลัง ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ ไม่ยึดหลักคุณสัมพันธ์
    ๕๒. พวกที่ไม่พิจารณาสำรวจดูกรรมดี กรรมชั่วของตนเอง
    ๕๓. พวกที่เคยตักเตือนให้ทำความดี กลับทุ่มเถียงดื้อด้านไม่ยอมฟัง
    ๕๔. พวกที่คอยเสาะแสวงหาแต่ช่องทางกระทำชั่วอยู่ไม่ว่างเว้น

    " นี่คือ ๕๔ ข้อ กรรมชั่ว...ที่ผู้ใดประพฤติ ผู้นั้นจะต้องถูกตรวจตราควบคุมเก็บกวาดให้เรียบ... ไม่ให้เหลือไว้ในโลก !...

    เมื่อตายไปก็ต้องถูกเหวี่ยงเข้าสู่หนทางเปรต... สัตว์นรก... อสุรกาย... ยามยังมีชีวิตอยู่ให้พวกเขาเหล่านั้นมีอันเป็นไป... พินาศทั้งตระกูล... ให้บ้านแตกสาแหรกขาด... ให้นองเลือดท่วมแผ่นดิน... ให้กระดูกทับถมในพงพี... บ้านเรือนของพวกเขาให้ถูกผู้อื่นอยู่อาศัย ที่นาของพวกเขาให้ไร้คนจะเพาะปลูกทำกินได้ !...

    หากมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตน... ให้ละเว้นความชั่ว สร้างสมคุณความดี... ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยก็จะหาย อายุจะยั่งยืน "

    ครั้นครบกำหนดเวลา ๓ ปี...ที่ให้มนุษย์รีบเร่งปฏิบัติแต่ความดีงาม... เมื่อกระแสความคิดจิตใจและการกระทำของเหล่าเวไนยสัตว์ ถูกนำขึ้นกราบทูลรายงานเบื้องบน... ทันทีที่องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ทรงทราบ... พระองค์ทรงมีพระราชโองการดังนี้...

    "ข้าฯ... จะลงมาตระเวนตรวจตราดูทุกแห่งอย่างละเอียดถี่ถ้วน ข้าฯ จะดำเนินการพิพากษาตัดสิน ให้เกิดภัยสงครามอีกระลอกหนึ่ง ภายในเวลาไม่กี่เดือนให้เกิดโรคระบาดขึ้นอีกบางส่วน ทุกหน ทุกแห่งจะถูกกวาดให้หมดสิ้น! ต่อให้วิงวอนถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์... สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มิตอบสนอง ต่อให้กินยารักษาโรค ยาก็ไม่ได้ผล ถึงแม้ตำราเสินหนงยังอยู่ยาวิเศษแค่ไหนดีชั่วมีผลต่างกัน... คนดีมีคุณธรรมกินยารักษาโรค ก็จะสัมฤทธิ์ผล คนชั่วช้าสามานย์ กินยาแล้วก็ไม่อาจรอด

    บัดนี้... ข้าฯ เห็นสภาพการณ์ว่า น่าเวทนา... ไม่มีวิธีการใดสามารถช่วยเวไนยสัตว์ได้ทัน ต่อให้จุดธูปบูชาข้าฯ ก็เสียแรงเปล่า ที่เห็นข้าฯ เป็นเทพยดาน่ากราบไหว้สักการะแต่ปัจจุบันมีทุกข์ไม่ยอมช่วย ใช่ว่าข้าฯ จะบิดเบือนต่อเบื้องบน ต่อเบื้องบนข้าฯ ก็ได้กราบบังคมทูลวิงวอนด้วยความรีบเร่งร้อนรนยิ่ง และต่อชาวโลกเบื้องล่าง... ข้าฯ ก็ให้ป่าวประกาศเผยแพร่สัจธรรม ชี้นำย้ำเตือนให้ผู้คนได้รับรู้

    บัดนี้ . . . ถึงวาระเข้าสุ่ปลายกัปป์. . . เกณฑ์มหันตภัยยุคสุดท้าย ปุถุชนธรรมดาให้เก้าคนตายเหลือไว้เพียงหนึ่ง ให้เกิดสงครามอาวุธ หอก ดาบ มีขึ้นรอบด้าน โรคระบาดจู่โจมบุกรุกทุกแห่งหน อสุนีบาต สายฟ้าฟาดผ่าดังสนั่นสะเทือนเลื่อนลั่น อุทกภัยใหญ่ น้ำไหลหลากท่วมท้นบ้านเรือน วาตภัยลมพายุผกผัน กวาดไปทุกหนแห่ง ธรรมชาติแห้งแล้ง ชีวิตทั้งหลายยากจะอยู่รอด พญามารมาเคาะประตูบ้านในยามค่ำคืน โรคระบาดเข้าประชิดตัวในเวลากลางวัน เสือร้ายจากป่าเขาออกอาละวาด จะหลบหนีกันอย่างไร อสรพิษเลื้อยเต็มถนนหนทางจนยากจะเดิน!

    มหันตภัยทั้งสิบนี้ยากจะหลีก หนีพ้น! หากสามารถผ่านพ้นไปได้จึงจะนับว่าเป็นยอดคน นี่แหละ คือ สิบมหันตภัยอันใหญ่หลวง ข้าฯ มีเพียงคำเตือนให้มนุษย์ทั้งหลายปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจิตใจ ยังพอมีโอกาสจงรีบแก้ไขสำนึกในความผิดบาป

    เมื่อได้ยิน ได้รู้ข่าวนี้ ให้เร่งกลับตัวกลับใจโดยทันที! อย่ามัวรีรอจนกระทั่งภัยพิบัติมาประชิดตัว ถึงตอนนั้น จะวิงวอนร่ำร้องไห้ ช่วยเหลืออย่างไรก็ไร้ผล จงสร้างบุญ ทำกุศล สะสมคุณความดีกันเสียแต่เนิ่นๆ เพื่อหลบหลีกและเป็นเกราะกำบังวิบัติภัย

    เหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายเอย... จง รีบเร่งตั้งจิตศรัทธาเคารพกตัญญูต่อฟ้าดิน บิดามารดา จังรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง ประชาราษฎรคนยากจนให้รู้จักเจียมตน ตั้งมั่นอยู่ในความมัธยัสถ์ ผู้มากมั่งมีมั่งคั่งจงรีบเร่งช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้ยากไร้ ผู้ปราดเปรื่องเรืองปัญญา จงพยายามตักเตือนชี้แนะผู้ต่ำต้อยด้อยความรู้ ให้ได้ผ่านพ้นโลกโลกีย์ไปด้วยกัน บุคคลใด ไร้บุญบารมีจะตกจมลงสู่ทะเลทุกข์ แต่ผู้มีบุญสัมพันธ์สะสมมาดี ย่อมจะได้พบกับความสงบสุขและสันติในที่สุด

    บัดนี้ข้าฯ แฝงญาณ... ยืมปากกาท่านไหว้วานบรรดาผู้รู้จักตัวอักษรหนังสือ... คัดเขียนถ่ายทอดให้ข้า

    แม้หนึ่งเล่มจะปกป้องรักษา... ให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง...ถ่ายทอดให้ข้าฯ สิบเล่ม... ทั้งครอบครัวจะพ้นเคราะห์ภัยอันตราย...เผยแพร่ออกไปให้ข้าฯ ร้อยเล่ม...จะปกปักรักษาให้อายุยืน... อีกทั้งโชคลาภวาสนาเพิ่มพูนทวี... รีบแจกจ่ายธรรมทานคัมภรีนี้โดยทันทีทันใด จะปกป้องรักษาให้เกียรติศักดิ์รุ่งโรจน์มียศถา...

    หากพบผู้ใดไม่รู้หนังสือ... จงใช้วาจาเมตตาบอกต่อให้เขาได้ฟังได้เข้าใจ... ถ้าแม้นมีคนโฉดเขลาชั่วร้าย... ไม่ศรัทธา ...เคราะห์ภัยจะมาถึงตัว จะประสบวิบัติภัย... ให้ปวดเศียรเวียนหัว... หน้ามือตาลาย... เจ็ดทวารเลือดไหล ...ถึงที่ต้องไปเมืองผีด้วยสิบเหตุเภทภัยร้ายนั้น...

    ข้าฯ ไม่อาจกล่าวให้ละเอียดมากความไปกว่านี้... คิดอยากจะเผยความลับสวรรค์ ก็เกรงด้วยเบื้องบนจะลงทัณฑ์...หากคนทั้งหลายไม่เชื่อ... ไม่ศรัทธา ดูหมิ่น ดูแคลนว่าไม่จริง...ไม่นาน มหัตภัยที่กล่าวไว้จักมาถึงตัว...

    "ผู้มีใจศรัทธา น้อมจิตเชื่อฟังตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรม ความดี ถือศีลกินเจเบื้องบนย่อมทรงโปรดเมตตา ปกป้องคุ้มครองให้แคล้วคลาด...มิให้เภทภัยใดๆ เข้าใกล้ถึงตัวได้เลย"...

    ที่มา ธรรมะกับภัยพิบัติ

    หมายเหตุ
    ปีวอก ระกา จอ กุน ในคำเตือนนี้น่าจะหมายถึงปี พ.ศ.2559-2562 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เกิดภัยพิบัติระยะที่สาม ของ 12 ปีแห่งมหันตภัยล้างโลก ตามที่ผมได้เคยโพสต์เอาไว้ให้ได้อ่านกันแล้ว ซึ่งภัยพิบัติที่จะเกิดในปี พ.ศ.2555-2556 นี้ ก็เป็นเพียงภัยพิบัติระยะที่สองเท่านั้นเอง ยังจะมีภัยพิบัติที่ร้ายแรงขั้นสูงสุดรออยู่ในปี พ.ศ.2559-2562 (โลกมนุษย์มืดมิด 7 วัน 7 คืน) จึงจะเป็นการสิ้นสุดของภัยพิบัติล้างโลก แล้วจะเข้าสู่ยุคของพระเจ้าจักรพรรดิราช ตามที่มีการทำนายกันเอาไว้ครับ -เกษม-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 036.jpg
      036.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93 KB
      เปิดดู:
      1,923
    • tham-8.jpg
      tham-8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.5 KB
      เปิดดู:
      104
    • bg-main1.jpg
      bg-main1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79.8 KB
      เปิดดู:
      110
    • tham-1.jpg
      tham-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      73.4 KB
      เปิดดู:
      112
    • tham-2.jpg
      tham-2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.7 KB
      เปิดดู:
      109
    • tham-3.jpg
      tham-3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      72.9 KB
      เปิดดู:
      111
    • tham-4.jpg
      tham-4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.1 KB
      เปิดดู:
      104
    • tham-5.jpg
      tham-5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.9 KB
      เปิดดู:
      105
    • tham-6.jpg
      tham-6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      77.9 KB
      เปิดดู:
      105
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2012
  6. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    <TABLE border=0 width=670 bgColor=#ffffff><TBODY><TR bgColor=#ffcae3><TD>กลาง ตอ. กทม. ฝนฟ้าคะนองตก 10%ของพื้นที่ - เหนือ อีสาน อากาศเย็นมีหมอกตอนเช้า </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์ลักษณะอากาศประจำวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2555 เมื่อเวลา 04:00 น.

    ลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดนำความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก กรุงเทพมหานครและปริมณฑลทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งในระยะนี้

    พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.


    ภาคเหนือ ทางตอนบนของภาค อากาศหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 13-15 องศาเซลเซียส ส่วนทางตอนล่างของภาคอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 17-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-9 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 17-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภู อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-14 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
    ภาคกลาง อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 15-16 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
    ภาคตะวันออก มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขา อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 15-16 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร
    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมา ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป ลมตะวันออก ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 2-3 เมตร
    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร
    กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีหมอกบางในตอนเช้า กับมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.




    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 width=670 bgColor=#ffffff><TBODY><TR bgColor=#ffcae3><TD>แห่ชม"ฝูงหมูป่า"คึกคัก "ปากน้ำ" ปิ๊งไอเดียทำแหล่งท่องเที่ยว </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    จัดเวรยามดูแลฝูงหมูป่า ปิ๊งจัดส่งเสริมการท่องเที่ยว ขณะที่ปศุสัตว์ เตือนอย่าจับไปกินอาจมีอันตรายถึงชีวิต

    จากกรณีชาวบ้านย่าน อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ สุดทนฝูงหมูป่านับร้อยตัวก่อความเดือดร้อนรำคาญ บริเวณตลาดสดสามแยกเจดีย์ ถนนสุขสวัสดิ์ หมู่ 3 ต.ปากคลองบางปลากด ทำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนมีอุบัติเหตุเป็นจำนวนมากนั้น
    ต่อมาวันนี้ ( 5 ก.พ.) นายณรงค์ ศรีพระราม อปพร.อำเภอพระสมุทรเจดีย์ เปิดเผยว่า ตนได้รับคำสั่งจากนายกิตติ แสงประดิษฐ์ นายอำเภอพระสมุทรเจดีย์ ให้มาเข้าเวรยามเฝ้าระวังไม่ให้ชาวบ้านมาล่าฝูงหมูป่าไปกิน เพราะต้องการอนุรักษ์ไว้และให้เป็นไปตามนโยบายของท่านผู้ว่าฯ สมุทรปราการ เพื่อทำโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว อีกทั้งหมูป่าฝูงนี้ยังไม่มีการฉีดยาเชื้อโรคที่มากับหมูป่า จึงเกรงว่าเมื่อชาวบ้านลักลอบฆ่านำไปกิน อาจจะต้องติดเชื้อโรคจากหมูป่าได้
    ด้านนางรุ่งนภา ศรีสวัสดิ์ อายุ 52 ปี กล่าวว่า ตนนำเศษอาหารมาให้ฝูงหมูป่าเหล่านี้นานเกือบปีแล้ว ปกติเมื่อนำเศษอาหารมาให้กินฝูงหมูป่าจะออกมามากกว่า 100 ตัว อยู่ไปอยู่มาจำนวนลดลงเรื่อย ๆ บางวันตนเคยเห็นคนงานชาวพม่า วิ่งไล่จับหมูและใช้ไม่ทุบจนตายก่อนจะช่วยกันแบกกลับที่พักไปปรุงเป็นอาหาร นอกจากนี้ยังเคยเห็นรถกระบะที่มีกันชนเหล็กขนาดใหญ่ ขับรถพุ่งเข้าชนฝูงหมูป่าและจับขึ้นรถไปก็มี

    นายอนุชา ศานติวิจัย ปศุสัตว์จังหวัดสมุทรปราการ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ให้ปศุสัตว์อำเภอพระสมุทรเจดีย์ ไปตรวจสอบที่มาของหมูป่าฝูงดังกล่าว เบื้องต้นทราบว่าเคยมีเจ้าของและได้ปล่อยทิ้ง จนมีการขยายพันธุ์จำนวนมาก หากไม่มีใครรับเป็นเจ้าของทางปศุสัตว์จังหวัดจะเข้าไปดำเนินการส่งไปยัง สคป.(สำนักงานควบคุมป้องกันบำบัดโรคสัตว์) และผู้ที่ล่าหมูป่าฝูงนี้นำไปปรุงเป็นอาหารนั้น ตนขอเตือนว่าจะเสี่ยงกับการเกิดเชื้อโรคพยาธิ เมื่อกินเข้าไปแล้วจะทำให้พยาธิไปเติบโตในร่างกาย และอาจเป็นโรคต่าง ๆ ตามมาได้ อย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงดีกว่า เพราะหมูป่าฝูงนี้ทราบว่ายังไม่มีใครได้เข้าไปควบคุมดูแลสุขลักษณะ เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคค่อนข้างสูง

    นายหนึ่งสกล ธเนศตระกูล นายกองค์การบริหารส่วนตำบลในคลองบางปลากด เจ้าของพื้นที่ฝูงหมูป่าอาศัยอยู่กล่าวว่า ทางจังหวัดอยากให้จัดเป็นสวนสัตว์เฉพาะหมูป่า เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้พาลูกหลานเข้าชม โดยมีวิทยากรคอยแนะนำที่มาและที่ไปขอหมูป่า โดยจะทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และจะนำหมูป่าฝูงนี้โปรโมตการท่องเที่ยวไปในตัว พร้อมกับนำเรื่องนี้เข้าประชุมสภาสมัยวิสามัญเป็นเรื่องเร่งด่วนในวันที่ 13 ก.พ.นี้.
    อย่างไรก็ดี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังข่าวฝูงหมูป่าแพร่ออกไป ปรากฏว่ามีผู้ปกครองจูงลูกพาหลานไปชมความน่ารักของพวกมันกันคึกคัก เรียกว่าแทบจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวขนาดย่อมๆ ไปเลยทีเดียว




    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
    [​IMG]</CENTER>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 width=670 bgColor=#ffffff><TBODY><TR bgColor=#ffcae3><TD>ระทึก!รถแก๊สแหกโค้ง "แอลพีจีรั่ว" สั่งปิดถนนกันชาวบ้านออก หวั่นบึ้ม </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ระทึก!รถแก๊สแหกโค้ง แอลพีจีรั่ว ตำรวจสั่งปิดการะจราจรกันชาวบ้านออกนอกพื้นที่ หวั่นเกิดอันตรายหรือเกิดระเบิดขึ้นได้

    เมื่อเวลา 07.30น. วันนี้ ( 5 ก.พ.) เกิดเหตุระทึกขวัญ เมื่อรถบรรทุกแก๊สแอลพีจี แหกโค้งเสียหลักพลิกตะแคงอยู่กลางถนนลำลูกกา ขาออก แยกตัดวงแหวนตะวันออก บริเวณหน้าร้านโมเด็กซ์ เฟอร์นิเจอร์ ส่งผลให้แก๊สรั่วไหล พวยพุ่งออกมาจำนวนมาก โดยรถพลิกตะแคงคว่ำมุ่ง เจ้าหน้าที่ปิดการจราจรชั่วคราวทั้ง 2 ฝั่ง เป็นระยะทาง 500 เมตร เนื่องจากเกรงจะเกิดอันตรายกับผู้สัญจรผ่านไป-มา ส่งผลให้การจราจรติดขัดเป็นระยะทางยาวเกือบ 10 กิโลเมตร

    โดยตำรวจจราจร สภ.ลำลูกกา เดินทามาอำนวยความสะดวกและปิดการจราจร แนะให้ผู้ใช้รถไปกลับรถบริเวณ หน้าบิ๊กซี ลำลูกกาแล้ว ขณะที่ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเตรียมพร้อมไว้ใกล้กับจุดเกิดเหตุ แต่ยังไม่สามารถเข้าไปยังพื้นที่เกิดเหตุได้ เพราะแก๊สยังคงรั่วไหลรุนแรงออกมาตลอดเวลา บรรยากาศเป็นไปด้วยความระทึก ต่อมาเจ้าหน้าที่ต้องสั่งปิดพื้นที่โดยรอบและกันประชาชนออกนอกจุดเกิดเหตุห่างอย่างน้อย 200 เมตร เนื่องจากชาวบ้านแถวนั้นออกมามุ่งดูกันจำนวนมาก เจ้าหน้าที่เกรงจะเกิดประกายไฟและเกิดอันตรายลุกลามบานปลายได้

    ล่าสุดแก๊สยังคงพวยพุ่งออกมาจากตัวแคปซูล และเจ้าหน้าที่ยังคงไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้ พร้อมกันนี้ ตำรวจ สภ.ลำลูกกา ยังคงปิดการจราจรโดยรอบพื้นที่ และกันประชาชนไม่ให้เข้าใกล้พื้นที่อย่างน้อย 200 เมตร ซึ่งขณะนี้ ยังมีประชาชน ในฝั่งตรงข้ามที่เกิดเหตุ ออกมามุงดูเหตุการณ์กันจำนวนมาก เจ้าหน้าที่หวั่นเกิดประกายไฟและเกิดการระเบิดได้ จึงสั่งการให้ชาวบ้านในรัศมีที่แก๊สรั่วห้ามเปิดไฟฟ้า หรือจุดไฟ เพราะหวั่นเกิดอันตราย ขณะนี้ทำได้แค่ให้แก๊สเจือจางไปกับอากาศ และรอเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญมาปิดวาลว์หรือแก้ปัญหาเรื่องแก๊สรั่ว




    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
    [​IMG]</CENTER>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 width=670 bgColor=#ffffff><TBODY><TR bgColor=#ffcae3><TD>สนามบินฮีทโธรว์ของอังกฤษประกาศเลิก400เที่ยวบิน </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ผู้บริหารของสนามบินฮีทโธรว์แถลงขอโทษผู้ใช้บริการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการยกเลิกเที่ยวบินราว 400 เที่ยว

    โดยชี้แจงว่าจำเป็นต้องลดตารางการบินเพื่อที่จะขนส่งผู้โดยสารให้มากที่สุดและรื้อฟื้นการบริการให้กลับเป็นปกติโดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกันคาดว่าจะสามารถขนส่งผู้โดยสารได้กว่าร้อยละ 70 ด้วยการโอนผู้โดยสารระหว่างเที่ยวบิน

    มาตรการนี้มีขึ้นหลังคาดว่าจะมีหิมะตกหนาราว 4 นิ้วซึ่งหากไม่ลดตารางการบินก็อาจทำให้เกิดภาวะแออัดครั้งใหญ่ยังสนามบินฮีทโธรว์อันเป็นสนามบินพาณิชย์คับคั่งที่สุดในโลก สภาพอากาศหนาวเย็นที่ปกคลุมเกือบทั่วอังกฤษยังส่งผลกระทบต่อการบริการของสนามบินอื่นรวมถึงสนามบินลูตันที่กรุงลอนดอนและสนามบินเบอร์มิงแฮมอันเป็นสนามบินหลักทางภาคกลาง โดยเจ้าหน้าที่คาดว่าหลายเที่ยวบินอาจล่าช้า ยกเลิก หรือต้องเปลี่ยนเส้นทาง




    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2012
  7. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    [​IMG]
    สำนักข่าวต่างประเทศ ได้เผยภาพสถานการณ์อากาศอันหนาวจัดที่ปกคลุมหลายประเทศ ของทวีปยุโรปอยู่ในขณะนี้ ซึ่งจากเหตุดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 250ราย โดยที่ยูเครนมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดถึง 122 คน
    ขณะเดียวกันอุณหภูมิ ก็ยังคงลดลดต่ำลงต่อเนื่อง โดยขณะนี้อยู่ที่ระดับลบ 38.1องศาเซลเซียสแล้ว ทั้งนี้จากเหตุดังกล่าวทำให้หลายประเทศต้องสั่งระงับการเดินทางทั้งเครื่องบิน และรถไฟ รวมถนนหลวงหลายสาย เนื่องจากวิสัยทัศน์ไม่อำนวยถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ และแม่น้ำหลายแห่งในหลายประเทศกลายเป็นน้ำแข็งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    Photo/dailymail
    Mthai News
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    แจ้งเพื่อโปรดทราบโดยทั่วกัน..
    .

    ขอบพระคุณมากครับ ที่กรุณาแจ้งให้ทราบ เป็นความรู้ใหม่จริงๆ ขออนุญาตนำไปลงในกระทู้ด้วยนะครับ คนจะได้ไม่ปรามาสคุณเคอิสรา ว่าไปทำการแทนพระอินทร์อีกต่อไปครับ

    เกษม
     
  9. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    [​IMG]
    กรณีที่ นายสมิทธ ธรรมสโรช ประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ในฐานะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) กล่าวเตือนให้ระวังรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ ซึ่งอยู่ใต้เขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี ว่าหากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงถึง 7 ริกเตอร์ อาจทำให้เขื่อนแตกจนอาจทำให้จังหวัดกาญจนบุรีเสี่ยงจะจมอยู่ใต้บาดาลสูง 22 เมตร นั้น
    ล่าสุดวานนี้(5 ก.พ.) นายวีรชัย ไชยสระแก้ว ผอ.ฝ่ายบำรุงรักษาโยธา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดยืนยันว่า เขื่อนในความดูแลของ กฟผ. มีการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงอยู่เป็นประจำและต่อเนื่องมาตลอด
    ในส่วนของเขื่อนศรีนครินทร์ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี มีการตรวจสอบครบรอบ 4 ปี เนื่องจากเขื่อนศรีนครินทร์มีการใช้งานเป็นปีที่ 30 เมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด ทั้งนี้ทางคณะกรรมการได้ดำเนินการตรวจสอบในส่วนต่างๆของเขื่อน ทั้ง ไหล่เขื่อน ที่ลาดเขื่อน ตีนเขื่อน อุโมงค์ตรวจสอบ อาคารระบายน้ำ อาคารท้ายน้ำ อ่างเก็บน้ำ และสภาพทางธรณีวิทยา รวมทั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าและเครื่องกล พบว่าทุกส่วนสามารถดำเนินงานได้ตามปกติ
    ส่วนเขื่อนวชิราลงกรณ์ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี จะมีการดูแลรักษาตามแนวปฏิบัติ 24 ชั่วโมงเช่นกัน จึงขอยืนยัน ทั้งเขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ์มีความแข็งแรงตามมาตรฐานสากลอย่างแน่นอน
    ด้าน นายบุญอินทร์ ชื่นชวลิต ผู้อำนวยการเขื่อนศรีนครินทร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ( กฟผ.) เปิดเผยย้ำเรื่องนี้ว่า เขื่อนฯมีการดูแลสภาพความแข็งแรง-ปลอดภัยของเขื่อนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังได้รับการยืนยันด้านเสถียรภาพของเขื่อนจากนักวิชาการระดับโลก และเพื่อเป็นการพิสูจน์ความแข็งแรงของเขื่อนศรีนครินทร์ ผู้อำนวยการเขื่อน จึงได้เชิญชวนนักท่องเที่ยวมาสนุกในกิจกรรมเทศกาลความรัก ณ สันเขื่อนศรีนครินทร์ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2555 นี้ด้วย
    Mthai News


    [​IMG]
    จากกรณีที่มีมือมืดตัดธนบัตรใบละพัน ก่อนจะนำไปทิ้งถังขยะหน้าร้านทรัพย์มงคล จำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้า อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี รวมมูลค่ากว่า 1.3 ล้านบาทตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้นั้น
    ล่าสุดเจ้าของเงินดังกล่าวได้เข้าให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร จ.ชลบุรีแล้ว หลังผู้เป็นพ่อพาเข้ามอบตัว ทราบชื่อต่อมาคือ นายวรพันธ์ โรจนสัตตรัตน์ อายุ 30 ปี
    ซึ่งนายวรพันธ์ เผยว่า ตนเป็นลูกเจ้าของร้านทองแห่งหนึ่งที่ตลาดหัวกุญแจในเมืองพัทยา ส่วนสาเหตุที่ได้ตัดธนบัตรทิ้งนั้นเพราะเกิดอาการน้อยใจพ่อที่แบ่งมรดกให้น้อยกว่าพี่ชาย
    จึงได้ทำการขโมยเงินออกมาสะสมทุกๆ วัน จำนวนละ 20,000 – 30,000 บาท เป็นเวลา 2 ปี ก่อนจะใช้กรรไกรตัดเงิน และเผาทำลายเงินไปบางส่วน และใส่ถุงกระดาษนำไปทิ้งถังขยะดังกล่าว
    ขณะที่ผู้เป็นพ่อ เผยว่า ตนไม่เคยรู้สึกโกรธเกลียดลูก เหตุการณ์ครั้งนี้จึงถือเป็นความผิดของตัวเอง ทำให้ลูกเกิดอาการน้อยใจและกระทำการเช่นนี้.
    Mthai News


    [​IMG]
    MThai News : ศูนย์อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของจีน ประกาศเตือนภัยหนาวผิดปกติระดับต่ำสุด โดยคาดว่าตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์จนถึงเช้าวันอังคาร พื้นที่ตอนกลางและตะวันออกของประเทศอุณหภูมิจะลดลง 6-8 องศาเซลเซียส ลมเหนือจะมีความเร็วลม 5.5-13.8 เมตรต่อวินาที
    ส่วนพื้นที่เขตมองโกเลียในและตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิอาจลดลงถึง 14 องศาเซลเซียส และด้านทะเลโป๋ไห่ ทะเลเหลืองและทะเลจีนตะวันออกลมเหนือจะมีความเร็วลม 13.9-20.7 เมตรต่อวินาที
    นอกจากนี้ คลื่นความเย็นระลอกใหม่จากขั้วโลกจะเข้ามาอีกภายใน 7-10 วัน และจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคเหนือซึ่งมีอุณหภูมิลดต่ำลงตั้งแต่วันที่ 23 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยทำสถิติติลบถึง 40 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นสถิติต่ำสุดในรอบหลายสิบปี ในเขตฮูหลุนเป้ยเอ่อร์ ของมองโกเลีย ทั้งยังรวมถึงภาคตะวันออก และตอนล่างของลุ่มแม่น้ำแยงซีด้วย
    Mthai News


    [​IMG]
    การรถไฟอินโดนีเซียคิดแผนใหม่ล่าสุดมาแก้ปัญหาผู้โดยสารนั่งบนหลังคารถไฟ ด้วยการใช้วิธีแขวนไม้กวาดอาบของเน่าเหม็น แต่ไม่ได้เปิดเผยว่าของเสียที่ใช้คืออะไร
    นายอาห์หมัด ซูจาดี้ เจ้าหน้าที่การรถไฟ กล่าวว่า อุปกรณ์ใหม่ล่าสุดจะได้รับการติดตั้งตามเส้นทางรถไฟบางจุดตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากใครฝ่าฝืนขึ้นไปนั่งบนหลังคารถไฟก็เสี่ยงที่จะถูกไม้กวาดที่แขวนเหนือทางรถไฟฟาดอย่างแรง ที่ผ่านมาทางการอินโดนีเซียใช้วิธีการหลายอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้โดยสารขึ้นไปนั่งบนหลังคารถไฟ รวมถึงใช้ลูกตุ้มขนาดเท่าส้มโอแขวนไว้เหนือรางรถไฟเมื่อเดือนก่อน เจ้าหน้าที่รถไฟอินโดนีเซียเผยไม่สนใจเสียงวิจารณ์ที่ใช้มาตรการรุนแรงเกินไป โดยให้เหตุผลว่าการปล่อยให้ผู้คนนั่งบนหลังคารถไฟถือว่าไร้มนุษยธรรมกว่า
    ก่อนหน้านี้ผู้โดยสารหลายร้อยคนมักนั่งบนหลังคารถไฟเพราะต้องการหนีความแออัดในตู้โดยสารและไม่มีเงินซื้อตั๋ว แต่บางคนก็เห็นว่าเป็นเรื่องสนุกสนาน ที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายสิบคนทุกปีในอินโดนีเซียเนื่องจากตกรถไฟหรือถูกไฟดูด
    สำนักข่าวไทย
    [​IMG] อินโดฯ เข้มแขวนลูกหินตลอดทาง กำราบคนมักง่ายขึ้นรถไฟฟรี
     
  10. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    <TABLE border=0 width=670 bgColor=#ffffff><TBODY><TR bgColor=#ffcae3><TD>หิมะถล่มยุโรปยอดตายทะลุ 300 ศพ </TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    สลดพิษภัยหนาวโจมตีถล่มยุโรปส่งผลมียอดผู้เสียชีวิตทะลุ 300 ศพแล้ว

    วันนี้ ( 6 ก.พ.) สภาพอากาศหนาวเย็นจัดที่กระหน่ำยุโรปมาเป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์ จนส่งผลกระทบต่อระบบขนส่งมวลชน และยังทำให้ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นกว่า 300 ศพแล้ว โดยประชาชนที่เร่ร่อนไร้บ้านอยู่อาศัยตกเป็นเหยื่อความหนาวเย็นจัดมากที่สุด
    ขณะที่ทางการฝรั่งเศสเผยว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาพบศพชายจรจัดคนหนึ่งที่นอนแข็งตาย ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากภัยหนาวเพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 306 ศพ โดยอุณหภูมิช่วงตอนกลางคืนต่ำสุดติดลบ 40 องศาเซลเซียสในฟินแลนด์ นอกจากนี้ อิตาลี โปแลนด์ และยูเครน ก็มีคนตายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่ยูเครน ประกาศคนตายเพิ่มอีก 9 ศพ ทำให้ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากภัยหนาวจัดอยู่ที่ 131 ราย ส่วนใหญ่เป็นพวกเร่ร่อนที่แข็งตายอยู่ข้างถนน นับตั้งแต่สภาพอากาศหนาวจัดเริ่มกระหน่ำยูเครนเมื่อ 9 วันก่อน
    ขณะเดียวกัน กระทรวงภาวะฉุกเฉินของยูเครนแจ้งว่า ตอนนี้มีคนป่วยจากอากาศหนาวจัดถูกส่งโรงพยาบาลราว 1,800 คน และอีก 75,000 คนต้องการความอบอุ่นและอาหารตามสถานที่พักพิงชั่วคราว 3,000 แห่งทั่วประเทศ สำหรับตัวเลขผู้เสียชีวิตในอิตาลีเพิ่มเป็น 17 ศพ หลังจากพบศพคนจรจัดอีก 3 ราย

    ส่วนสนามบินฮีทโธรว์ในกรุงลอนดอนของอังกฤษ ต้องยกเลิกเที่ยวบินถึงครึ่งหนึ่งของเที่ยวบินทั้งหมด 1,300 เที่ยวเมื่อวันอาทิตย์ ภายหลังหิมะปกคลุมหนา 6 เซนติเมตร อีกทั้งหิมะตกหนักในหลายพื้นที่ของอังกฤษ ส่งผลให้คนขับรถต่างๆ ต้องติดค้างอยู่บนถนนตลอดทั้งคืน



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 width=670 bgColor=#ffffff><TBODY><TR bgColor=#ffcae3><TD> แผ่นดินไหว6.8ริกเตอร์ทางภาคกลางฟิลิปปินส์ </TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    เกิดแผ่นดินไหววัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.8 ริคเตอร์ ทางภาคกลางของฟิลิปปินส์ในวันนี้ แต่ไม่อันตรายจนถึงขั้นต้องประกาศเตือนภัยสึนามิ สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐ ระบุว่า

    แผ่นดินไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อเวลา 11.49 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือราว 10.49 น. ตามเวลาในไทย โดยมีศูนย์กลางอยู่ลึกลงไปในทะเล 46 กิโลเมตรและอยู่ห่างไปทางเหนือของเมืองดูมาเกเต้ บนเกาะเนกรอส แต่สถาบันภูเขาไฟและแผ่นดินไหวของฟิลิปปินส์ รายงานว่า วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.9ริคเตอร์ และมีศูนย์กลางการเกิดอยู่ลึกลงไปทะเล นอกชายฝั่งเมืองลา คาร์โลต้า 10 กิโลเมตร

    ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวของฟิลิปปินส์และประชาชนในท้องถิ่น ระบุว่า ผู้คนพากันตื่นตระหนกแต่ไม่มีรายงานความเสียหายหรือผู้บาดเจ็บ ด้านศูนย์เตือนภัยสึนามิ ที่มีสำนักงานอยู่ที่ฮาวาย ระบุว่า ไม่มีสัญญาณอันตรายว่าจะเกิดสึนามิแต่อย่างใด

    ฟิลิปปินส์ตั้งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า วงแหวนแห่งไฟ ที่โอบล้อมมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งมักจะมีการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกเทคโทนิค ที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดบ่อยครั้ง


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. จอมพล GAY

    จอมพล GAY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +219
    ถ้าเกิดแบบนี้ที่เมืองไทย สุนัขจรจัดคงตายเรียบ :boo:
     
  12. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ไม่ต้องห่วงครับ สุนัขจรจัดเหลือน้อยแล้ว
    เพราะมันไปอยู่บนจานในเหลาต่างๆ
    เป็นเมนูแก้หนาวยอดฮิต แถบประเทศ
    ขอบอ่าวตังเกี๋ย
     
  13. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    อาหารที่กินแก้หนาวที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ก็อย่างเช่น น้ำขิงร้อนๆ เต้าฮวย ซุปงาดำ บัวลอยน้ำขิง ข้าวเหนียว ข้าวหลาม ข้าวจี่

    [​IMG]

    [​IMG]

    กับข้าวเผ็ดร้อนอีกสัก 2 จานก็ผัดกะเพราเห็ดหอม กับลาบเห็ดหอม

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2012
  14. จอมพล GAY

    จอมพล GAY เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +219
    ^
    ^
    ^
    อ๊าาาา หิววววว (k)
     
  15. ANAN JANG

    ANAN JANG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +175
    เตรียมอาหารพลังงานสูงไว้ 5555+
     
  16. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    <TABLE border=0 width=670 bgColor=#ffffff><TBODY><TR bgColor=#ffcae3><TD>ตอนบนประเทศหนาวอุณหภูมิลด 1-2 องศา - เกือบทั่วทุกภาครวมกทม.มีฝนตก </TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์ลักษณะอากาศประจำวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2555 เมื่อเวลา 04:00 น. ลมตะวันตกพัดปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศหนาวเย็นและ
    อุณหภูมิจะลดลงอีก 1-2 องศา ประกอบกับมีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคกลาง ภาคตะวันออก กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนบางแห่งในระยะนี้
    อนึ่ง ในช่วงวันที่ 8-12 ก.พ. ความกดอากาศสูงกำลังปานกลางระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่เข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองในระยะแรกหลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส โดยเริ่มจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ส่วนภาคอื่นๆจะได้รับผลกระทบในระยะต่อไป


    พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

    ภาคเหนือ ทางตอนบนของภาค อากาศหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 13-16 องศาเซลเซียส ส่วนทางตอนล่างของภาคอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 17-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-12 องศาเซลเซียส ลมตะวันตก ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 17-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-35 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภู อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 12-16 องศาเซลเซียส ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


    ภาคกลาง มีเมฆบางส่วนกับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-35 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 15-16 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.


    ภาคตะวันออก มีเมฆบางส่วนกับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขา อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 15-16 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร


    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมา ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร


    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 20-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33 องศาเซลเซียส ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร


    กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆบางส่วนกับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 width=670 bgColor=#ffffff><TBODY><TR bgColor=#ffcae3><TD>แม่ค้าเสียท่าโจรสูญ2หมื่นในแบงก์ดัง </TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=668><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>วันนี้ (6 ก.พ.) พ.ต.ท.วิเชียร เหมือนสุวรรณ พนักงานสอบสวน สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

    ได้รับแจ้งจาก นส.เอ๋ย บุญรุ่ง อายุ 28 ปี ว่าถูกคนร้ายขโมยเงินสดกว่า 2 หมื่นบาทไป ขณะที่จะนำเงินไปฝากในตู้ฝากเงินอัตโนมัติ ภายในธนาคารกสิกรไทย สาขาตลาดไท ต.คลองหนึ่ง จึงไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน
    ที่เกิดเหตุพบ น.ส.เอ๋ย ยืนรอเจ้าหน้าที่อยู่ภายในธนาคารด้วยอารมณ์เซ็งสุดขีด พร้อมให้การว่า มีอาชีพเป็นแม่ค้าขายสตอเบอร์รี่ ภายในตลาดไท ก่อนเกิดเหตุได้นำเงินสดจำนวน 5.5 หมื่นบาท มาที่ธนาคารเพื่อฝากเข้าบัญชี โดยขณะที่นำเงินไปฝากที่เครื่องฝากเงินอัตโนมัติ โดยนำเงินทั้งหมดใส่ลงไปในช่องฝากเงิน แต่เครื่องกลับคืนเงินมาให้ประมาณกว่า 2 หมื่นบาท เป็นจังหวะเดียวกับที่มีชายแต่งกายคล้ายพนักงานธนาคาร อายุประมาณ 50 ปี เดินเข้ามาหยิบเงินที่มือ แล้วนับเงินสับไปสับมาก่อนนำเงินใส่เข้าในช่องฝากเงินอีกครั้ง ซึ่งขณะนั้นตนคิดว่าเป็นพนักงานธนาคารมาช่วยอำนวยความสะดวกให้ จึงไม่ได้เอะใจอะไร


    น.ส.เอ๋ย กล่าวต่อว่า จากนั้นเครื่องฝากเงินได้เริ่มนับเงิน จู่ๆ ชายคนดังกล่าวเดินออกจากธนาคารไปทันที

    เมื่อเครื่องนับเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วมียอดเงินปรากฎบนหน้าจอจำนวน 31,500 บาท ตอนแรกคิดว่าเงินค้างอยู่ในเครื่องฝาก จึงกดปุ่มยกเลิกการฝากเงินทั้งหมด แต่เมื่อนับเงินทั้งหมดแล้วถึงกับแทบช็อกเมื่อพบว่าเงินหายไป 23,500 บาท คิดว่าต้องถูกชายคนดังกล่าวนำเงินไปอย่างแน่นอน


    ด้าน พ.ต.ท.จีรวัฒน์ แนวจำปา รรท.รอง.ผกก.สภ.คลองหลวง เปิดเผยว่า

    จากการตรวจสอบพบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคนร้ายแต่งกายคล้ายพนักงานธนาคาร อาศัยช่วงที่มีคนเข้ามาใช้บริการธนาคารจำนวนมาก เมื่อสบโอกาสเห็นเหยื่อที่นำเงินมาฝากกับเครื่องฝากเงินอัตโนมัติ แล้วมีปัญหาธนบัตรฝากเงินไม่เข้าเครื่อง จะทำทีเข้าไปช่วยเหลือ ทำเป็นหย่อนมือเข้าไปในช่องฝาก แต่ไม่ยอมปล่อยเงิน จากนั้นจะกดให้เครื่องนับเงินตามปกติ ซึ่งเครื่องจะนับเงิน 2 ครั้ง ถึงจะระบุยอดฝากที่หน้าจอ ระหว่างนั้นคนร้ายจะอาศัยจังหวะนี้หลบหนีออกไป ทั้งนี้ ขอฝากเตือนประชาชน ให้มีความระมัดระวังมิจฉาชีพที่มักมีวิธีการแปลกใหม่มาก่อเหตุอยู่เสมอ แนะนำว่าควรฝากเงินกับพนักงานประจำเคาน์เตอร์จะปลอดภัยกว่า อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้หลักฐานคนร้ายจากกล้องวงจรปิดของธนาคาร ซึ่งจะได้เร่งติดตามตัวภัยสังคมรายนี้มาดำเนินคดีต่อไป.


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. Rasbora

    Rasbora เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    359
    ค่าพลัง:
    +779
    น่าจะเป็นพันธุ์เดียวกับ จั๊กจั่นทะเล ที่ภูเก็ตเอามาคั่วเกลือหรือเปล่าครับ
     
  18. พลอยรุ้ง

    พลอยรุ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,088

    น่ากินมั่กๆค่ะ โดยเฉพาะกระเพราเห็ดหอม
     
  19. พลอยรุ้ง

    พลอยรุ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,088
    อากาศที่สารคาม ไม่หนาวมาสองวันแล้ว ร้อนเลย ก่อนหน้าเวลาอาบน้ำยังรู้สึกว่าน้ำค่อนข้างเย็น ยะเยือกเล็กๆ แต่ตอนนี้อาบเน้ำอุณหภูมิปกติสบาย เย็นดีค่ะ เป็นอันว่าหน้าหนาวคงสิ้นสุด(จริงๆ)ซักที หลังจากอุณหภูมิขึ้นๆลงๆอยู่หลายรอบ
    เรื่องน้ำ กลัวเหมือนกันว่าน้ำจะมากกว่าปีกลาย ปลายเดือนมกราที่มีฝนตก ตกอยู่หลายวัน (ที่เขาว่าภาคอีสานมีฝนตก 40% บ้าง 60%บ้าง รู้สึกจะตกที่นี่เป็นส่วนใหญ่) จนรู้สึกกลัว ว่าน้ำจะมาก เพราะตกแต่ต้นปีเหลือเกิน ทุกทีจะตกนิดๆหน่อยๆ นี่ตกเป็นจริงเป็นจัง
    ไม่ได้เข้าซะนาน เข้ามา update ค่ะ
     
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ** ยุคภัยธรรมชาติที่รุนแรง **
    [​IMG]
    พระอาจารย์ทูล ขิปปปญโญ


    ....โลกที่เราอยู่มีภัยนานาประการอันเป็นผลกระทบต่อชีวิต ทำให้ได้รับความทุกข์จากภัยธรรมชาติ เป็นอย่างมากทีเดียว หลายชาติในอดีตได้เจอกับภัยธรรมชาติมาแล้วเมื่อเกิดมาในชาตินี้ ขณะที่ภัยธรรมชาติยังไม่มาถึงตัวเราก็ไม่มีความรู้สึกเป็นทุกข์ แต่อีกไม่นานนักเมื่อเราได้มาเกิดในโลกนี้อยู่บ่อยๆ ชีวิตก็ต้องเจอกับภัยธรรมชาตินี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีขึ้น ในโลกมนุษย์มากขึ้น และมีความรุนแรงมากขึ้นในยุคต่อไป จะมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก จะไม่มีใครในโลกนี้เอาชนะภัยธรรมชาตินี้ได้แต่อย่างใด​

    ....ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นในตัวมันเอง เป็นภัยธรรมชาติที่มีอยู่ประจำโลกมาแต่กาลไหนๆ เมื่อโลกนี้ได้เกิดขึ้นมานานหลายล้านๆปี ถึงกาลสมัยเปลือกโลกเสื่อมหมดคุณภาพลง เกิดขึ้นในสถานที่มีมนุษย์อยู่อาศัย จะเกิดขึ้นน้อยหรือเกิดขึ้นอย่างรุนแรงขึ้นอยู่ตามกฎเกณฑ์ของโลก

    ....ภัยธรรมชาติที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่ อายุขัยของมนุษย์ต่ำกว่า ๑๐๐ ปีเป็นต้นไป จะทำให้มนูษย์ทั้งหลายได้ตายเป็นจำนวนมาก หากมนุษย์มีอยู่ในโลกประมาณ ๒ หมื่นล้านคน จะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้น มนุษย์จะล้มตายจากภัยธรรมชาตินี้ จะหาที่หลีกหนีไม่ได้ จะมีชีวิตอยู่รอดได้ประมาณ ๓๐ เปอร์เซนต์ ของประชากรโลก แล้วเริ่มตันชีวิตใหม่ โดยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายเหมือนยุคปัจจุบัน​

    ....ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดต่อเนื่องต่อกันยาวนาน จะหลบจากภัยธรรมชาติในจุดหนึ่งได้แล้ว ก็ไปเจอกับภัยธรรมชาติอย่างอื่นอีก ภัยธรรมชาตินี้มีอยู่เป็นจุดใหญ่ ๘ จุดด้วยกัน คือ

    ๑. วาตภัย จะเกิดลมพายุใหญ่ทั้งบนบกและในทะเล
    ๒. อุทกภัย จะเกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรง
    ๓. ธรณีภัย จะเกิดแผ่นดินถล่มและแผ่นดินไหว
    ๔. อัคคีภัย จะเกิดความแห้งแล้ง ไฟไหม้ป่า
    ....ส่วนภัยธรรมชาติอย่างอื่นก็จะเกิดตามมา เช่น
    ๕. มลพิษภัย จะเกิดมลภาวะที่ร้ายแรง มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสัตว์เป็นอย่างมาก
    ๖. โรคภัย จะเกิดโรคระบาดนานาชนิด
    ๗. อาหารภัย จะเกิดการอดอยากในอาหาร
    ๘. โจรภัย ภัยจากกลุ่มคนพาลปล้นจี้ลักขโมย

    ....ภัยธรรมชาติทั้งหลายนี้จะทำให้มนุษย์ในยุคนั้น อยู่กันด้วยความเดือดร้อนเป็นทุกข์อย่างมากทีเดียว ทั่วทุกมุมโลกจะมีภัยธรรมชาตินี้เกิดขึ้นเหมือนกัน ทุกประเทศเขตแดนจะไม่มีใครช่วยเหลือกันได้เลย ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี้อย่างทั่วถึงกัน

    ....ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีทุกฤดูกาล ฤดูแล้ง ฤดูฝน ฤดูหนาว จะเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ เกิดขึ้นในที่ไหนจะทำให้เกิดความเสียหายในที่นั้นๆ เป็นอย่างมากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วาตภัย เป็นภัยที่มาอันดับหนึ่ง ถ้าไม่มีฝนตกลงมา ลมก็จะพัดเอาน้ำมหาสมุทรเป็นคลื่นขนาดใหญ่ ทำให้เรือน้อยใหญ่ไม่สามารถวิ่งฝ่าคลื่นน้ำขนาดใหญ่ไปได้ เรือพวกพ่อค้าวาณิชที่เคยส่งน้ำมันส่งอาหาร จากประเทศนั้นไปสู่ประเทศนี้ก็จะจอดนิ่งทันที ถ้ามีบ้านเรือนที่ปลูกชิดกันกับชายฝั่งก็จะมีผลกระทบ อย่างแน่นอน ประชาชนจะมีความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก

    ....นี้เป็นส่วนหนึ่งที่วาตภัยทำให้น้ำในทะเลเกิดความแปรปรวน จะเป็นอยู่อย่างนี้ติดต่อกันยาวนาน ต่อเนื่องกันทั้งกลางคืนและกลางวัน ลมที่อุ้มเอาน้ำทะเลให้เป็นคลื่นขนาดใหญ่พัดไปมา ประชาชนที่อยู่ใกล้ฝั่งทะเลจะมีความเดือดร้อน ซึ่งเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ ประชาชนได้รับผลกระทบ จากลมที่พัดเอาน้ำทะเลทำให้เกิดความเสียหายมาแล้ว ในช่วงต่อไปไม่นานนักมนุษย์ที่อยู่ริมฝั่งทะเล ก็จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน จะทำให้ทรัพย์สินเสียหายและมนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมากทีเดียว นี้คือน้ำท่วมอันเนื่องจากลมเป็นต้นเหตุ

    ....วาตภัยที่เกิดขึ้นในตัวของมันเอง ไม่มีน้ำทะเลไม่มีฝนตกลงมา ลมนี้จะพัดพาไปในทิศทางต่างๆของตัวลมเอง ไม่มีสิ่งใดๆจะไปขัดขวางห้ามได้ ถ้าพัดเข้าไปในป่าจะทำให้ต้นไม้ใหญ่น้อยหักโค่น ทำลายทรัพยากรป่าไม้เป็นอย่างมาก ถ้าลมได้พัดเข้าที่ชุมชนอยู่อาศัย จะทำให้บ้านเรือนพังพินาศไป คนจะขาดที่อยู่อาศัยหรือล้มตายเพราะอาคารบ้านช่องพังทับถม

    ....ลมที่ว่านี้จะมีชื่อตามที่มนุษย์ตั้งให้ ชื่ออะไรไม่สำคัญ ข้อสำคัญคือ ความรุนแรงของลมแต่ละอย่าง จะทำให้เกิดความเสียหายเหมือนกัน วาตภัยจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งทั่วทุกหนแห่งของมุมโลก มนุษย์จะมีความทุกข์เดือดร้อนเพราะลมไม่น้อย เงินของรัฐบาลจะสร้างบ้านที่พักอาศัยให้ทุกครอบครัวจึงทำได้ยาก เพราะบ้านได้พังเสียหายเนื่องจากลมที่มีความรุนแรง จึงยากที่จะได้รับความสงเคราะห์ให้ทั่วถึงกันได้ ในเหตุการณ์อย่างนี้จะมีผลกระทบจากลมอย่างรุนแรงในภายภาคหน้าโน้น

    ....วาตภัยเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ถ้ามีฝนตกลงมา จะเป็นพลังบวกกับลมอย่างรุนแรง ถ้าฝนตกลงมาแรง ลมก็เกิดขึ้นอย่างรุนแรง จะทำให้เกิดน้ำท่วมในที่ต่างๆอย่างกว้างขวาง ถ้าบ้านปลูกในที่ต่ำ น้ำก็จะท่วมอย่างหลีกหนีไม่ได้ ทั้งลมก็พัดทำให้บ้านเรือนเกิดความเสียหาย ทั้งน้ำก็ท่วมบ้าน ทรัพย์สินทั้งหลายเกิดความเสียหาย เรียกว่าสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆพอจะนำเอาติดตัวมาได้เลย คนก็จะล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงยากที่จะพึ่งใครๆได้ หน่วยราชการและหน่วยงานอื่นๆที่รับผิดชอบก็ถูกภัยธรรมชาตินี้ทำลายเช่นกัน ข้าวปลาอาหาร น้ำดื่ม จะพากันอดอยากเป็นอย่างมาก เครื่องอุปโภค เสื้อผ้า ยารักษาโรค จึงยากที่ทางรัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือได้

    ....ความทุกข์เพราะสิ่งเหล่านี้ก็แสนสาหัสอยู่แล้ว หากคนในครอบครัวมีการพลัดพรากจากกันหรือได้ตายไปเพราะภัยพิบัตินี้อีก คนทั้งหลายก็จะเพิ่มทวีความทุกข์เดือดร้อนยิ่งขึ้น ในช่วงนั้นจะเรียกร้องให้ใครๆมาช่วยเหลือเราจึงเป็นไปได้ยาก เพราะทุกคนก็ได้เจอกับภัยธรรมชาตินี้เช่นกัน ในเหตุการณ์อย่างนี้นับแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ในประเทศไทยหรือต่างประเทศ ก็เริ่มเกิดภัยธรรมชาตินี้ให้เห็นกันอยู่แล้ว ซึ่งจะมีความรุนแรงมากขึ้นและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังที่เห็นกันอยู่ในขณะนี้

    ....ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีความรุนแรงในภายภาคหน้า ในอดีตหลายล้านปีที่ผ่านมา ก็ได้มีภัยธรรมชาตินี้มาแล้วหลายครั้ง จะเกิดขึ้นในช่วงมนุษย์มีอายุขัยขาลง มีอายุขัยต่ำกว่า ๑๐๐ ปีเป็นต้นไป

    ภัยธรรมชาติก็จะเริ่มก่อตัวเกิดขึ้นเรื่อยๆ เกิดขึ้นน้อยบ้างมากบ้างและเกิดขึ้นอย่างรุนแรงบ้าง จะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ทั้งลมทั้งฝนที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ทั้งอากาศก็แปรปรวนในที่ทั่วไป ทำให้เกิดเป็นภัยธรรมชาติเป็นวงกว้างทุกมุมโลก ทั่วถึงกันทุกประเทศเขตแดน เครื่องบินที่เคยเหาะเหินเดินอากาศ ก็ไม่สามารถที่จะเดินทางไปไหนได้ เครื่องบินเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกของชีวิต ในการเดินทางไปต่างประเทศนั้นประเทศนี้ก็จะสิ้นสุดลงไปตามยุคสมัย รถเรือที่เคยให้ความสะดวกในการไปมา ก็จะพากันจอดอย่างสนิท จะวิ่งไปมาไม่ได้เลย มนุษย์จะอยู่กันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ ใครอยู่กันที่ไหนก็อยู่กันไปในที่นั้น จะส่งข่าวสารติดต่อกันด้วยวิธีใดก็จะติดต่อกันไม่ได้เลย

    ..... วาตภัย อุทกภัย ธรณีภัย .....

    ....วาตภัย จะทำให้เกิดเป็นลมขึ้น ๒ จุดด้วยกัน คือ

    ๑. วาตภัยที่เกิดขึ้นจากความกดดันในชั้นบรรยากา
    ศของโลกที่แปรปรวน ทำให้ลมเกาะกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ จะเกิดเป็นช่องว่างให้ลมเกิดการหมุนตัว หลายคนเคยนั่งเครื่องบิน ได้ชนกับกลุ่มลมที่หมุนตัวอยู่ จะทำให้เครื่องบินตกหลุมอากาศเหมือนกับเครื่องบินได้วูบตัวลง หรือในบางครั้งเครื่องบินได้ชนกับกลุ่มลมที่หมุนตัวอยู่ จะทำให้เครื่องบินสั่นสะเทือนเพราะอากาศไม่ปกติ มีความแปรปรวน

    ....ถ้าเครื่องบินเล็กเดินทางผ่าน ก็จะเกิดอันตราย บังคับไม่ได้ ทำให้เสียหลักในการทรงตัวแล้วหมุนไปตามกระแสลม หรือตกลงพื้นดิน ทำให้เสียชีวิตดังได้ดูข่าวในปัจจุบัน

    ....ถ้าเครื่องบินลำใหญ่ ลมกลุ่มเล็กก็พอจะบินผ่านไปได้ ถ้าลมกลุ่มใหญ่ มีกระแสพัดอย่างรุนแรง ถึงเครื่องบินจะใหญ่ก็ไม่สามารถบินผ่านไปได้ เครื่องบินจะขึ้นจากสนามและลงสู่สนามก็เป็นอันตรายเช่นกัน ทุกสนามบิน เมื่อมีลมเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ห้ามเครื่องบินทุกชนิดขึ้นลง จะทำให้เป็นไปตามกระแสจนกว่าจะหมดกำลังลง เมื่อลมกลุ่มนี้หมดไป ลมกลุ่มใหม่เกิดขึ้นทั่วถึงกันในโลกนี้ ทุกสายการบินในโลกนี้ก็ต้องหยุดในการเดินทาง ถ้าลมเกิดขึ้นยาวนานเครื่องบินก็จอดสนิทยาวนานเช่นกัน

    ....ดาวเทียมเป็นสัญญาณสื่อที่สำคัญในยุคปัจจุบัน เครื่องคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเครื่องรับ สัญญาณจากดาวเทียมอื่นๆ มีจำนวนมากที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการทำงานได้อย่างรวดเร็ว เครื่องที่ใช้งานรับสัญญาณจากดาวเทียมเหล่านี้ ถ้าไม่มีสัญญาณของดาวเทียมในการสื่อสารจะทำงานไม่ได้

    ....ให้ฝึกทำใจไว้เลยว่า อนาคตต่อไปภายภาคหน้า เมื่อดาวเทียมมีปัญหาขัดข้องไม่สามารถส่งสัญญาณได้ จะไม่มีใครๆขึ้นไปแก้ไขให้ทำงานเป็นปกติได้ เพราะวาตภัยในห้วงอากาศกำลังหมุนตัวอย่างรุนแรง ท้องฟ้ากำลังแปรปรวนอย่างหนัก เครื่องบินอวกาศทุกชนิดไม่สามารถขึ้นไปสู่บนท้องฟ้าได้ ดาวเทียมก็จะมีปัญหาขัดข้องส่งสัญญาณข้อมูลอะไรไม่ได้ เครื่องอีเล็คทรอนิคส์ อินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์หรือเครื่องรับสัญญาณจากดาวเทียมอื่นๆก็ทำงานไม่ได้ เพราะสัญญาณของดาวเทียมเป็นต้นเหตุ ถึงมนุษย์จะมีความรู้ดี ได้สร้างดาวเทียม คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน ก็จะสิ้นสุดลงในยุคสมัย นี้คือจุดจบของมนุษย์ที่จะต้องรับในยุคต่อไป

    ....กรมอุตุนิยมวิทยามีความชำนาญในการติดตั้งเครื่องเตือนภัยทั้งหลาย ที่ได้ติดตั้งเพื่อรับข่าวสาร จากภัยธรรมชาติต่างๆก็จะหยุดตัวลง ทำงานไม่ได้ ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นในลักษณะใดก็ไม่สามารถรู้ได้ ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นอย่างไรไม่มีใครๆรู้ล่วงหน้า เมื่อภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้น มนุษย์ก็จะได้รับผลกระทบในทันที ทั้งวาตภัย อุทกภัยที่ได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงติดต่อกันเป็นเวลานาน มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ จะอยู่กินหลับนอนกันไปด้วยความลำบาก

    ....ในยุคต่อไปเปลือกโลกจะเสื่อมอย่างรุนแรง จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติขึ้นในตัวของมันเอง เมื่อครบวงจรของเปลือกโลกเสื่อมก็จะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น จะหาวิธีป้องกันหยุดภัยธรรมชาตินี้ไม่ได้ มนุษย์ที่เกิดมาอาศัยโลกอยู่ เมื่อภัยธรรมชาติเกิดขึ้น ทุกคนต้องได้รับผลกระทบต่อภัยธรรมชาตินี้ ในขณะนี้หลายพื้นที่หลายประเทศได้เห็นภัยธรรมชาตินี้อยู่แล้ว หลายประเทศได้รับผลกระทบ มีความทุกข์เดือดร้อนไปตามๆกัน ฉะนั้น ทุกคนอย่าประมาท ตั้งสติให้ดี ในโลกนี้อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เมื่อแก้ไขไม่ได้ก็ต้องทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น

    ....๒. วาตภัยอีกจุดหนึ่งที่มนุษย์ต้องได้รับ นั้นคือลมใต้พื้นพิภพ จะมีความกดดันอย่างรุนแรง เปลือกโลกจุดไหนที่เสื่อมคุณภาพก็จะเกิดความกดดัน แผ่นดินจะเกิดแตกแยกจากกัน เรียกว่าลมประทุให้หินในพื้นพิภพได้แตกและกระจายอย่างกว้างไกล ถ้าเกิดบนบกก็เรียกว่า แผ่นดินไหว จะไหวมากไหวน้อยขึ้นอยู่กับความกดดันของลม มนุษย์จึงคิดคำนวณความรุนแรงออกมาเป็นริคเตอร์เท่านั้นเท่านี้ ถ้าเกิดแผ่นดินไหวในที่ชุมชนอย่างรุนแรง ก็จะทำให้บ้านอาคารมีความเสียหายเป็นอย่างมาก อาคารต่างๆก็จะพังทับถม หมู่มนุษย์ได้ล้มตายกันไปไม่มีใครๆช่วยกันได้

    ....การเกิดแผ่นดินไหวในลักษณะนี้ มีวาตภัยและธรณีภัยเกิดขึ้นพร้อมกัน และจะเกิดขึ้นบ่อยต่อเนื่อง อย่างน้อย ๘ ริคเตอร์ขึ้นไป ถ้าเกิดขึ้น ๑๐ ริคเตอร์ หรือ ๑๒ ริคเตอร์ขึ้นไป ในเหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า อาคารบ้านช่องจะพังทลาย มนุษย์จะล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงยากที่จะแก้ไขป้องกันได้ ความเป็นไปในลักษณะนี้ก็เพราะโลกธาตุได้เกิดขึ้นมายาวนาน ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยในตัวมันเอง ธาตุเดิม คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ ทั้งบนอากาศหรือพื้นพิภพต้องเป็นอย่างนี้

    ....ภัยธรรมชาติอีกจุดหนึ่งที่จะเกิดขึ้นพร้อมกัน มีวาตภัย อุทกภัย ธรณีภัย ถ้าพื้นพิภพเสื่อมอยู่ในท่าม กลางมหาสมุทร ลมก็จะเกิดความกดดันให้เปลือกโลกส่วนที่เสื่อมแยกออกจากกัน ที่เรียกว่าแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอย่างรุนแรง เมื่อแรงกดดันของลมปะทะกับชั้นหินที่มีความแข็ง ก็จะเกิดระเบิดอย่างกว้างขวาง หลายๆประเทศจะได้รับผลกระทบ ตายเป็นจำนวนมาก เมื่อชั้นหินได้แยกออกจากกันเป็นช่องใหญ่หลายจุดพร้อมกัน น้ำทะเลก็จะไหลลงสู่โพรงใต้พื้นพิภพเป็นจำนวนมาก น้ำทะเลก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว เมื่อน้ำทะเลไหลลงสู่สู่โพรงดินขนาดใหญ่เต็มแล้ว วาตภัยในพื้นภิภพก็จะกดดันน้ำทะเลในส่วนนั้นกลับคืน น้ำทะเลก็จะถูกลมกดดันไหลขึ้นท่วมสถานที่ต่างๆ อาคารบ้านช่องก็จะพังเสียหายเป็นจำนวนมาก มนุษย์และสัตว์ก็จะล้มตายไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน ที่เรียกว่า สึนามิ นั้นเอง

    ....ในลักษณะอย่างนี้เป็นเพียงวาตภัย อุทกภัย ธรณีภัยในพื้นพิภพเท่านั้น ถ้าหากเกิดวาตภัยขึ้น ในช่องอากาศที่มนุษย์อาศัยอยู่ ความรุนแรงของภัยธรรมชาติก็จะเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว หรือหากมีอุทกภัยฝนได้กระหน่ำซ้ำเติมลงมาอีก ทั้งลมและฝนบนพื้นโลกไปบวกกับวาตภัยในพื้นพิภพ น้ำทะเล
    เดิมก็มีความปั่นป่วนอยู่แล้ว เมื่อลมและฝนซ้ำเข้าอีก มนุษย์จะอยู่กันอย่างไร เครื่องเตือนภัยสื่อสารกับสัญญาณดาวเทียมใช้ไม่ได้ ใครจะบอกว่าให้มนุษย์พากันหลบภัยในที่ไหน ในหมู่มนุษย์ก็จะเกิดความกลัวตายต่อภัยธรรมชาติเป็นอย่างมาก และยังเห็นเพื่อนมนุษย์ได้ตายให้เห็นต่อหน้าต่อตา จะเกิดความโกลาหลวุ่นวาย จะหลบตัวไปที่ไหนก็ไม่มีความปลอดภัย และภัยต่างๆก็จะเกิดตามมา เช่น โรคภัย มลพิษภัย อาหารภัย ความอดอยากหิวโหย โรคภัยต่างๆที่เกิดจากมลพิษภัย จะไม่มีหมอรักษา จะไม่มียาให้กิน เรียกว่าสิ้นเนื้อประดาตัว ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่ต้องประสบเหตุการณ์นี้ ลองคิดดูว่าเราจะเป็นอย่างไร

    ***** อัคคีภัย มลพิษภัย โรคภัย อาหารภัย โจรภัย *****

    .... อัคคีภัย หมายถึง ความร้อนจะเกิดขึ้นในโลกนี้
    อย่างรุนแรง ความแห้งแล้ง เพราะฟ้าฝนไม่ตกตามฤดูกาล ที่ผ่านมาเกิดภัยธรรมชาติขึ้นดังที่ได้อธิบายมาแล้ว มีวาตภัย อุทกภัย ธรณีภัย และ ภัย เช่น โรคภัย อาหารภัย โจรภัย มลพิษภัย เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน ทำให้มนุษย์ทั้งหลายอยู่ด้วยความลำบาก เป็นทุกข์เดือดร้อนเป็นจำนวนมาก หากมีอัคคีภัยเกิดขึ้นซ้ำเติม ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์จะเต็มไปด้วยความทุกข์ยากแร้นแค้นแสนเข็ญ จึงเป็นเหตุให้มนุษย์อยู่ด้วยความอดอยากดิ้นรน ฝนจะตกลงมาน้อยไม่พอที่จะทำไร่ทำนา ดินฟ้าอากาศก็จะเกิดความแปรปรวนไปทั่วหนแห่งทุกมุมโลก

    ....ในบางพื้นที่จะไม่มีฝนตกลงมาเลย ความร้อนจากแสงอาทิตย์แผดเผา ทำไร่ทำนาไม่ได้ผลแต่อย่างใด ในเหตุการณ์อย่างนี้จะมีความแห้งแล้งทั่วถึงกันในทุกมุมโลก อาหารการกินจะขาดแคลนขัดสน คนจะล้มตายเป็นจำนวนมากเพราะความอดอยากหิวโหย จะเกิดโจรภัย ลักปล้นจี้ให้ได้มาซึ่งอาหารเพื่อให้ชีวิตอยู่ได้ ในหมู่สัตว์เดรัจฉานไม่มีอาหารที่จะกินก็จะล้มตายกันไปเช่นกัน

    ....อัคคีภัยที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าโน้น คนที่เกิดมาในยุคนั้นจะได้เผชิญต่อภัยธรรมชาตินี้ อย่างแน่นอน จะหลบหลีกหนีไปอยู่ในมุมโลกซีกไหนก็ไม่พ้นจากภัยธรรมชาติเหล่านี้ได้
    ในยุคสมัยที่ประชากรโลกมีจำนวนประมาณ ๒ หมื่นล้านคน ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดขึ้นเต็มรูปแบบทั่วทุกมุมโลก มนุษย์จะได้รับผลกระทบล้มตายไปเพราะอัคคีภัยเป็นจำนวนมาก ความร้อนจากแสงแดดจะเผาเพิ่มความร้อนขึ้นหลายเท่า การจะรักษาชีวิตอยู่รอดได้นั้นยากมาก นับจากวันนี้ไปความร้อนจะทวีความรุนแรงหลายเท่าตัว จะเกิดความร้อนไปทั่วทุกมุมโลก ความร้อนที่เกิดขึ้น จากดวงอาทิตย์บนโลกและความร้อนที่จะเกิดขึ้นในแผ่นดิน จะทำให้เกิดความร้อนระอุขึ้นทุกหนแห่ง มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจะล้มตายเป็นจำนวนมาก จะหาสถานที่หลบภัยในที่ต่างๆหาได้ยาก

    ....ถ้าหากเราเป็นคนหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์อย่างนี้
    ก็จะได้รับความเดือดร้อนเหมือนคนทั่วไป ก่อให้เกิด อาหารภัย คือ ข้าวปลาอาหารเครื่องอุปโภคบริโภค จะขาดแคลนอดอยาก ตามมาด้วย โรคภัย คือภัยจากโรคต่างๆก็จะเกิดตามมา ในปัจจุบันมีโรคระบาดหลายชนิดที่เกิดขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ และยังหาวิธีรักษาไม่ได้ ซึ่งเกิดขึ้นทั้งมนุษย์และสัตว์ เช่น โรคเอดส์ โรคไข้หวัดนก โรคไข้หวัดใหญ่ โรคซาร์ เมื่อเกิดโรคภัยอย่างรุนแรง จะหาหมอหายามารักษา จะหาได้ยาก

    ....เมื่อประสบปัญหาอาหารภัย โรคภัย ก็จะ
    เกิดโจรภัยการจี้ปล้นเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร มนุษย์จะเบียดเบียนกันเอง เกิดความกลัวความหวาดระแวงในทรัพย์สิน ชีวิตของมนุษย์จะมีความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส แต่ละครอบครัวจะสูญเสียบุคคลที่เรารัก และพลัดพรากจากกันไป พ่อแม่ลูกหลาน ญาติมิตร เหมือนได้ติดอยู่ในความมืด ไม่รู้ข่าวสารซึ่งกันและกัน เพราะได้หนีตายไปคนละทิศละทาง การไปมาในที่ไหน จะไม่มีความสะดวกสบายเหมือนในยุคปัจจุบัน ไฟฟ้าจะใช้ในเวลาค่ำคืนก็ไม่มี ฟืนที่จะหามาก่อไฟเพื่อบรรเทาความหนาวเย็นก็หาได้ยาก เสื้อผ้าที่จะนำมานุ่งห่มก็ขาดแคลน เรียกว่าสิ้นเนื้อประดาตัว

    ....เหตุการณ์อย่างนี้จะมีเกิดขึ้นในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ภัยธรรมชาติเหล่านี้ เมื่อไม่เกิดขึ้นกับตัวเองก็รู้สึกว่าเฉยๆ เหมือนในยุคนี้ แม้มีภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้นอยู่บ้างเราก็ไม่มีความเดือดร้อน ดังคำว่า ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เพราะถือว่าไม่ได้เป็นเรื่องของเราและไม่ใช่ญาติของเรา จึงไม่มีความรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด เพราะเข้าใจว่าเป็นเรื่องของคึนอื่น ถ้าเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อไร จึงจะได้เกิดความรู้สึกตัว

    ....อัคคีภัยความร้อนในยุคปัจจุบันก็เริ่มมีผลกระทบ
    อยู่แล้ว ต่อไปจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น มนุษย์จะอยู่ด้วยความลำบากเป็นอย่างมากทีเดียว ความร้อนที่เกิดขึ้นจะหาวิธีป้องกันได้ยาก เพราะเป็นภัยธรรมชาติเกิดขึ้นในตัวของมันเอง หมู่มนุษย์แม้จะมีส่วนทำให้ความร้อนของโลกนี้เพิ่มพูนขึ้นอยู่บ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว โลกร้อนขึ้นเพราะเปลือกโลกเสื่อมนั่นเอง

    ....อัคคีภัยความร้อนในพื้นพิภพจะเป็นเหตุให้ภูเขาไฟเกิ
    ดการปะทุมากขึ้น ภูเขาไฟจะบวกกับวาตภัยลมก็จะกดดันให้ภูเขาไฟระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ลาวาเถ้าถ่านก็จะฟุ้งกระจายขึ้นไปสู่อากาศและตกลงมา มนุษย์ก็จะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จะเกิดเป็นมลพิษนานัปการ

    ....มนุษย์จะเกิดการเจ็บป่วยล้มตาย ที่อยู่อาศัยก็จะ
    ถูกฝุ่นเถ้าจากภูเขาไฟทับถม สถานที่อาศัยที่ได้ถูกภัยธรรมชาติอย่างอื่นทำลายมาก่อนแล้ว ยังได้รับผลกระทบจากภูเขาไฟเพิ่มเติมซ้ำอีก มนุษย์จะอยู่ก็ด้วยความลำบาก ความทุกข์ยากก็จะเกิดตามมา จะหาสถานที่หลบภัยที่ไหนก็แทบไม่มี เพราะในช่วงนี้จะมีอากาศแปรปรวนไปทั่วทุกมุมโลก ความร้อนจากอัคคีภัยจะทำให้ภูเขาไฟ เกิดปะทุขึ้นหลายๆจุดต่อเนื่องกัน แต่ละวันมนุษย์จะหาที่หลบภัยจากกลิ่นไออันเป็นพิษอยู่ตลอดเวลา จะหาหน่วยงานใดเข้าไปช่วยเหลือนั้นเป็นของยาก มีความลำบากในการกินอยู่หลับนอน เนื่องจากภัยธรรมชาติหลายอย่างที่เกิดขึ้น ประเทศใดหรือสถานที่แห่งใดไม่มีภูเขาไฟระเบิดก็ยังได้รับภัยธรรมชาติอย่างอื่นอยู่นั่นเอง

    ....อัคคีภัยความร้อนจะมีผลกระทบต่อคลังแสง ห
    มายถึงอาวุธที่เป็นพิษภัยที่มนุษย์ได้สร้างเอาไว้มาก เช่น ระเบิดปรมาณู นิวเคลียร์ที่เป็นพิษอย่างรุนแรง หลายๆประเทศที่เก็บอาวุธเหล่านี้เอาไว้ในสถานที่ต่างๆ อาวุธทั้งหลายเหล่านี้เมื่อถูกความร้อนมากขึ้นก็จะเกิดการระเบิด สารพิษก็จะกระจายขึ้นสู่อากาศ ลมก็จะพัดไปทั่วทุกมุมโลก มนุษย์ที่รับสารพิษเหล่านี้เกิดเป็นโรคภัยก็จะพากันล้มตายเป็นจำนวนมาก ผู้ที่คิดทำอาวุธร้ายแรงนี้ขึ้น ไม่ได้คิดถึงผลกระทบที่จะเกิดตามมา เรื่องอัคคีภัยอันเป็นภัยธรรมชาตินั้นอาจจคิดไม่ถึง จึงได้สร้างอาวุธที่ร้ายแรงขึ้น

    ....ปัญหาโลกร้อนในขณะนี้ มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก
    มนุษย์ทำให้อากาศของโลกมีความร้อน แต่ส่วนใหญ่ความร้อนเกืดจากอัคคีภัยอันเป็นความร้อนจากภัยธรรมชาติเอง ดังความร้อนที่มนุษย์ได้รับกันอยู่ในขณะนี้ ทุกๆปีความร้อนมีแต่จะเพิ่มขึ้น ดินฟ้าอากาศก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์จะอยู่ด้วยความลำบาก ภัยธรรมชาตินี้ จะไม่มีวิธีป้องกันได้เลย ถ้าหวนคิดย้อนหลังสัก ๕๐ ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จะรู้ได้ชัดว่าความร้อนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และจะมีความร้อนเพิ่มขึ้นทุกๆปี นี้คือมนุษย์ในยุคต่อไปจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างยิ่ง

    ....มลพิษภัยที่เกิดขึ้นตามมา คือ มลพิษทางน้ำ
    น้ำใช้ที่เกิดการปนเปื้อนสารพิษ สารเคมี และสิ่งสกปรก จนเน่าเสีย ซึ่งมาจากการปนเปื้อนสารเคมีของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน มลพิษทางอากาศ อากาศมีฝุ่นควันที่เป็นพิษปนเปื้อน เมื่อคนหายใจเข้าไป ก่อให้เกิดโรคภัยและล้มตายเป็นจำนวนมาก และมลพิษจากขยะและสิ่งปฏิกูลที่มนุษย์เป็นผู้สร้าง ก็จะถูกน้ำพัดออกมาทำให้เน่า เกิดโรคระบาดติดเชื้อมากมาย

    ....มลพิษเหล่านี้ จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่
    มนุษย์อาศัยอยู่เป็นอย่างมาก จะมีผลกระทบต่อร่างกาย ทำให้เกิดเจ็บไข้เป็นโรคร้ายต่างๆตามมานานัปการ ที่ผ่านมามนุษย์ได้คิดค้นทางวิทยาศาสตร์ทางเคมีที่จะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่หารู้ไม่ว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดเป็นโทษในภายหลัง ทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ ยังได้รับผลกระทบดังที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ แม้มนุษย์ก็ได้รับผลกระทบอยู่ แต่ยังไม่รู้ตัว ที่เรียกว่า ตายผ่อนส่ง

    ....มลพิษภัยเหล่านี้มีผลกระทบต่อร่างกาย และมีผลกระทบถึงทางใจ ทำให้เกิดอารมณ์ที่หงุดหงิด เพราะว่าได้รับผลจากมลพิษภัยธรรมชาตินั้นเอง เมื่อสังคมของมนุษย์ได้รับมลพิษ จากภัยธรรมชาติมากขึ้น อารมณ์ที่แสดงต่อกัน ล้วนแล้วแต่มีอารมณ์ที่เป็นพิษด้วยกัน นี้เรียกว่าถึงยุคสมัยในการเปลี่ยนแปลงไปของโลก

    ....คำว่า "โลก" มีคำจำกัดความอยู่ ๓ อย่าง คือ

    ....๑. สิ่งที่มีจิตครองร่าง

    ....๒. สิ่งที่ไม่มีจิตครองร่าง

    ....๓. อากาศ

    ทั้ง ๓ อย่างนี้รวมกันจึงเรียกว่า
    "โลก" จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ภัยธรรมชาติทั้งหลายที่จะเกิดขึ้น ก็เพราะธรรมชาติมีความเสื่อมไปตามอายุขัยในตัวมันเองที่เรียกว่าเปลือกโลกเสื่อม จึงได้เกิดภัยธรรมชาติขึ้นดังที่รู้เห็นกันในปัจจุบัน และจะเกิดขึ้นต่อไปในภายหน้า ผู้ที่เกิดมาในยุคนั้นจะได้ประสบต่อภัยธรรมชาตินี้ต่อไป

    *จุดจบของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี*

    ....ในยุคสมัยที่พวกเราอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ จะมี
    ปัญญาชนที่มีความรู้ดีในหลักวิทยาศาสตร์ มีความฉลาดในอินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี มีความสามารถทำดาวเทียมขึ้นโคจรในอวกาศ เพื่อเป็นสื่อถ่ายทอดข่าวสารลงมาสู่เทคโนโลยีและสื่อสารในอินเตอร์เน็ตอย่างคล่องตัวฉับไวในการทำงาน ได้นำมาใช้เป็นประโยชน์ในสังคมยุคนี้ได้เป็นอย่างดี เรียกว่าเป็นยุคของปัญญาชนมีความโดดเด่นที่สุดเช่นกัน เหตุผลที่ว่านี้ในกลุ่มปัญญาชนทั้งหลายเหล่านี้ยังศึกษาไม่ถึง จึงได้มองโลกไปในทางที่ดีไปเสียทั้งหมด ส่วนความไม่ดีที่เลวร้ายไม่ได้คิดวางแผนรองรับไว้เลยนั้นคือภัยธรรมชาติที่จะเกิดในยุคต่อไป

    ....หลังจากภัยธรรมชาติได้ผ่านไปแล้ว แทนที่ชี
    วิตความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์จะมีความสุขสบายก็ตรงกันข้าม ชีวิตความเป็นอยู่ยิ่งย่ำแย่เลวร้ายลง จะได้รับมลพิษจากภัยธรรมชาติที่ตกค้างอยู่เป็นอย่างมาก ดินฟ้าอากาศจะมีการเปลี่ยนแปลงไป จะมีมลพิษภัยนานาประการได้เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มนุษย์ทั้งหลายจะอยู่กันด้วยความเป็นทุกข์ มีความลำบากอย่างแสนสาหัส ทุกคนต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตอยู่รอด ไม่มีใครๆช่วยเหลือกันได้

    ....ทางฝ่ายบริหารการปกครอง บ้านเมืองเหมือ
    นได้ถูกยุบตัวลงโดยปริยาย หน่วยงานราชการทุกกระทรวงทบวงกรม ก็ได้รับผลกระทบต่อภัยธรรมชาตินี้เช่นกัน เอกสารข้อมูลในการทำงานต่างๆ เกิดความเสียหาย ข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องรับสัญญาณจากดาวเทียมสื่อสารต่อกันไม่ได้ เพราะดาวเทียมเองก็เกิดมีปัญหาขัดข้องในการส่งสัญญาณ ไม่ทำงานสื่อสารลงมาสู่คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต หรือเครื่องรับสัญญาณอื่นใดได้เลย ผู้มีความรู้ในทางคอมพิวเตอร์ในแผนกใดก็ตาม เมื่อสัญญาณจากดาวเทียมส่งเข้าไม่ได้ คอมพิวเตอร์ก็ทำงานไม่ได้ ความรู้ที่มีอยู่ก็เอาไปทำงานอะไรไม่ได้ นี้คือการทำงานสื่อสารในทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีต่างๆ ก็จะสิ้นสุดจบลงตรงนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ก็จะต้องเริ่มตันใหม่ตามธรรมชาติเอง

    ....มนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ ยอมรับว่ามีปัญญ
    า ค้นคิดเอาสิ่งต่างๆมาเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกได้ดี คิดประดิษฐ์สื่ออุปกรณ์ในการทำงานช่วยความจำแทนสมองเก็บความรู้เอาไว้ แต่ก็น่าเป็นห่วงที่มนุษย์อ้างตัวว่าเป็นผู้มีความฉลาด แล้วเอาความรู้ความสามารถไปฝากไว้กับคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต เมื่อสัญญาณจากดาวเทียมยังทำงานได้อยู่ก็ทำงานให้สำเร็จได้ เมื่อสัญญาณดาวเทียมมีปัญหาขัดข้องคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ตก็เกิดความขัดข้องเช่นกัน จะทำงานให้สำเร็จเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย วิธีการไม่ตรงต่อเป้าหมาย จะนำมาใช้กับปัญญาความรู้ความสามารถของตัวเองไม่ได้ในหลักการข้อมูลต่างๆทางหลักปฏิบัติ การเอาปัญญาความรู้ความสามารถไปฝากไว้กับคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ตก็มีปัญหาไปด้วย จึงไม่สามารถดึงข้อมูลข่าวสารออกมาใช้งานได้เลย ถ้าเป็นอย่างนี้ความรู้ความฉลาดก็จะกลายเป็นความโง่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

    ....ความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือศา
    ตร์อื่นก็เอามาใช้งานไม่ได้ แม้แต่คณิตศาสตร์ บวก ลบ คูณ หาร ด้วยกระดาษ ปากกาด้วยปัญญาความรู้ของตัวเองก็ทำไม่ได้ ต้องอาศัยเครื่องคิดเลข หรือหรือเทคโนโลยีอย่างอื่นช่วยให้ทำงานได้ แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ก็บันทึกเก็บเข้าในเครื่องไว้ทั้งหมด เมื่อสัญญาณของดาวเทียมมีปัญหา โทรศัพท์ก็มีปัญหาไปด้วย หรือสถานที่ทำงานของราชการ และเอกชนจะต้องอาศัยเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต กระแสไฟฟ้า และอาศัยสัญญาณของดาวเทียมช่วยให้ทำงานได้ ถ้าสิ่งเหล่านี้ถูกทำลายจากภัยธรรมชาติจนหมดสภาพไปแล้ว หลักการวิธีการแผนงานที่เป็นโครงสร้างพัฒนาก็มีปัญหาตามมาเช่นกัน เมื่อในยุคนี้มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ความเป็นอยู่ของมนุษย์จะอยู่กันอย่างไร การพัฒนาหรือธุรกิจต่างๆเหมือนกับว่า ได้ปิดตัวลงแบบถาวร จากนั้นไปจะไม่มีเทคโนโลยีทุกประเภทมาประกอบสื่อในการทำงานอะไรได้เลย คำว่า"ตนแลเป็นที่พึ่งของตน" ก็จะพลอยหมดความหมายทำอะไรไม่ได้ ความรู้ความสามารถความฉลาดจะหดหายไปจากตัวเองโดยไม่รู้ตัว จะเป็นผลกระทบในการทำงาน การปกครองอย่างใหญ่หลวง

    ....ในยุคนี้สมัยนี้เราได้สร้างความเจริญไว้ในโลกมี
    มากมายหลายอาชีพ ได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ตัวเองและส่วนรวมเอาไว้ จะทำงานในแผนกใดจะทำได้อย่างรวดเร็วทันใจ ทำได้ทั้งดาวเทียมการใช้สัญญาณสื่อสาร ทำเครื่องบิน รถ เรือ เพื่อเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทาง จะไปไหนมาไหนได้รวดเร็วทันใจตามที่ต้องการ เมื่อภัยธรรมชาติยังไม่เกิดความรุนแรง ก็พออาศัยขับขี่ไปมาได้ ในวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อเกิดภัยธรรมชาติขึ้นรุนแรง สิ่งอำนวยความสะดวกในการไปมา ก็จะหมดยุคหมดสมัยไป มิใช่ว่ามนุษย์มีความรู้ดีมีปัญญาที่ฉลาดมีความสามารถจะรักษาไว้ได้ ตัวภัยธรรมชาตินั้นเองจะเป็นตัวตัดสินชี้ขาดแทนมนุษย์อยู่แล้ว เพราะเทคโนโลยีที่มนุษย์คิดขึ้นมาใช้งาน จะเป็นเพียงบางยุคบางสมัยเท่านั้น ถ้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของโลกว่ามีความเป็นอยู่และเป็นมาอย่างไร ก็ไม่ปรากฏว่ามีเทคโนโลยีที่ก้าวไกลเหมือนในยุคปัจจุบัน ฉะนั้น มนุษย์ไม่ควรลืมตัวว่า สิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นใช่ว่าจะอยู่ถาวรตลอดไป เพราะในทุกอย่างที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หรือเกิดขึ้นจากความสามารถของมนุษย์สร้างขึ้นมาก็ตาม ทุกอย่างจะต้องตกอยู่ในความเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยนั้นๆ

    ....เมื่อวาตภัย อุทกภัย อัคคีภัย และภัยต่างๆ ได้ทำล
    ายในสิ่งอำนวยความสะดวกที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นให้หมดไปแล้ว หมู่มนุษย์ในยุคนั้นก็จะเหลืออยู่น้อยและอยู่กันเหมือนเศษมนุษย์เดนตาย จะพากันอยู่สถานที่ใดก็หาเลี้ยงชีพพอให้มีชีวิตอยู่ได้ไปวันต่อวัน ไม่มีความคิดในการเสริมสร้างพัฒนา ความเจริญในทางโลก ไม่มีความเจริญในทางพัฒนาแต่อย่างใด การไปมาหาสู่ซึ่งกันและกันต่างสถานที่ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางเหมือนในยุคปัจจุบัน จะส่งข่าวสารต่อกันด้วยวิธีใด ก็จะทำไม่ได้ว่าใครพากันอยู่ที่เมืองอะไรอยู่ที่ไหนจะไม่รู้กัน จึงเป็นต่างกลุ่มต่างอยู่ ไม่รู้กันว่าใครเป็นญาติของใคร พี่น้องอยู่ที่ไหนจะไม่รู้กัน

    ....แม้แต่การศึกษาหาความรู้ในหลักวิธีการต่างๆ ก็ไม่
    มีครูผู้ให้คำแนะนำสั่งสอน จะอ่านหนังสือไม่ได้ เขียนหนังสือไม่ได้ ต่างคนต่างกลุ่มทำมาหากินเท่านั้น ถ้าจะดูประวัติศาสตร์ประกอบเพื่อเป็นพยานหลักฐาน ก็ให้ดูประวัติแต่ละประเทศว่ามีความเป็นมาอย่างไร ทำไมตัวหนังสือไม่เหมือนกัน ทั้งภาษาสื่อต่อกันแต่ละประเทศก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ก็เพราะครั้งก่อนได้ประสบภัยธรรมชาติ ที่เดนตายก็เกาะกัยเป็นกลุ่ม นานๆเข้าเป็นกลุ่มใหญ่ กลายเป็นประเทศจึงแตกต่างกันทางภาษา

    ....ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายเรื่องภัยธรรมชาติให้
    ท่านรู้ ก็เพราะมีหลักฐานในประวัติศาสตร์ที่มีความ แตกต่างกัน เรื่องภาษา ตัวหนังสือ วัฒนธรรม ประเพณี ที่เหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง นับจากถูกภัยธรรมชาติในยุคนั้นผ่านมาอีกยาวนานจนกว่าจะเกาะกลุ่มกันได้ จึงได้ตั้งสื่อภาษาเป็นของตัวเองขึ้น เพื่อสื่อสารต่อกัน จนกลายเป็นประเทศในปัจจุบัน มีประเทศใหญ่บ้างประเทศเล็กบ้างตามประชากรของแต่ละประเทศนั้นๆ แต่ละประเทศจะมีภาษากลางของแต่ละประเทศในการสื่อสารกัน แต่ละประเทศก็มีชนเผ่าหลายกลุ่มผนวกไว้ด้วยกัน แต่ละเผ่าก็มีภาษาเป็นของตัวเอง พูดเฉพาะในกลุ่มของตัวเอง แต่ก็ต้องศึกษาภาษากลางของประเทศตัวเองเพื่อสื่อสารกันเอาไว้ หลายๆชนเผ่าที่เล็กๆ ก็หลงลืมในภาษาเผ่าของตัวเอง เพราะเคยชินต่อภาษาของประเทศจนลืมตัว ภาษากลางแต่ละประเทศจะพูดไม่เหมือนกัน ถึงความหมายจะเหมือนกันแต่สื่อในการพูดจะไม่เหมือนกัน ส่วนภาษากลางของโลกใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักจะสื่อสารกันได้ทั่วโลก

    ...........***** บทสรุป *****..........

    ....ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายประวัติศาสตร์ในพุทธวงศ์
    คือวงศ์ของพระพุทธเจ้า และประวัติอายุขัยของมนุษย์ มีขาขึ้นขาลงดังที่อธิบายไว้แล้ว และเรื่องภัยธรรมชาติ ก็ได้อธิบายไว้แล้วเช่นกัน ท่านผู้อ่านทั้งหลายที่มีการศึกษามากและมีการศึกษาน้อย หรือผู้ไม่เคยศึกษาในประวัติศาสตร์เหล่านี้หลายๆท่าน ต้องคิดกันหนักพอสมควร ว่าเรื่องเหล่านี้จะพอเชื่อถือได้แค่ไหน หรือไม่เชื่อเลยก็เป็นได้

    ....เฉพาะเรื่องภัยธรรมชาติ บางคนไม่เชื่อ
    เลยว่าจะเกิดขึ้น บางคนอาจจะเชื่ออยู่บ้างแต่คิดว่ากว่าจะเกิดขึ้นอีกนาน หากตายไปก่อนแล้วจะไม่ได้เจอไม่มีผลกระทบกับตัวเอง ให้ท่านคิดต่อไปอีกว่าเชื่อในผลของกรรมหรือไม่ และเชื่อในภพชาติการเกิดใหม่หรือไม่ เมื่อจิตยังมีกิเลสตัณหา เป็นเชื้อพาให้มาเกิด จิตก็ต้องกลับมาเกิดเป็นชาติใหม่ได้ เมื่อได้มาเกิดในชาติใหม่ก็จะได้เจอต่อภัยธรรมชาตินี้อีกมิใช่หรือ เรื่องความไม่เชื่อต่อผลกรรมดีกรรมชั่ว เรื่องไม่เชื่อในภพชาติในการเกิดใหม่ ความไม่เชื่อในเรื่องอย่างนี้นั้น เป็นความเห็นเฉพาะตัวเท่านั้น ในหลักสัจธรรมความจริงจะเป็นสิ่งตายตัว ไม่เป็นไปตามความเห็นตามที่เรามีความเข้าใจอยู่นั่นเอง

    ....ความเห็นของหมู่มนุษย์ในอดีตมีความแ
    ตกต่างกันอยู่แล้ว ในยุคปัจจุบันหรืออนาคตภายภาคหน้า ความเห็นของมนุษย์ก็จะมีความแตกต่างกันตลอดไป ใครจะมีความเห็นผิดใครจะมีความเห็นถูกเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ เช่นนับถือศาสนาต่างกัน นับถือพระเจ้าคนละองค์ ความเห็นก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ขึ้นอยู่กับนำสื่อคำสอนของพระเจ้ามาตีความเพื่อให้เกิดความเชื่อ ใครเชื่อในคำสอนของพระเจ้าอย่างไรก็ปฏิบัติกันไป หรือนับถือศาสนาอะไรก็ได้ เรื่องบาปบุญคุณโทษ ตายไปจะเกิดใหม่หรือไม่เกิด ก็จะไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้

    ....ถึงจะไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ก็ไม่เป็นไร ข้อสำคัญ
    ให้เราทำดีเอาไว้ในชีวิตนี้ก็แล้วกัน เพราะการทำดีการพูดดีและมีความเห็นที่เป็นธัมมาธิปไตยนี้ต่างหากที่จะเป็นเส้นทางให้จิตจะต้องได้รับผลในทางที่ดี ถ้ามีความเห็นเป็นอัตตาธิปไตย ในทุกเรื่องจะเข้าข้างตัวเอง จะเป็นเหตุให้เกิดปัญหาแก่ตัวเองและสังคมส่วนรวม ที่เรียกร้องความสมานฉันท์ความรักสามัคคีให้เกิดขึ้น แต่ไม่หยุดความก้าวร้าว กล่าวคำนินทาว่าร้ายซึ่งกันและกัน จะให้ความสมานฉันท์เกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า นี้คือเอาอัตตาธิปไตยมาเป็นหลักยืนโดยไม่รู้ตัว ความสมานฉันท์ในกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่จึงเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย

    ....การศึกษาไม่ควรผูกขาดในใบประกาศนียบัตร ว่
    าจบในระดับนั้นระดับนี้มาจึงจะเชื่อถือได้ ที่จริงใบประกาศนียบัตรเป็นเพียงหลักฐานยืนยันในวุฒิการศึกษาเท่านั้น หรือจำกัดว่าผู้มีความรู้มากมีความรู้น้อยในสาขาอาชีพนั้นๆ สำหรับความผิดถูกชั่วดี จะเอาวุฒิการศึกษามาเป็นตัวตัดสินไม่ได้ เพราะความผิดถูกชั่วดีเป็นผลที่เกิดจากความเห็น

    ....ถ้ามีความเห็นผิด จะจบการศึกษาในระดับไหนมาก็ลบล้างความเห็นผิดไม่ได้ หนำซ้ำความรู้ยังเป็นตัวหนุนให้เกิดความเห็นผิดเพิ่มขึ้นไปอีก ถ้ามีความเห็นถูก ถึงจะมีความรู้น้อยความรู้มาก ก็เป็นประโยชน์มีคุณค่าให้แก่ตัวเองและสังคมส่วนรวมได้ หรือผู้ไม่มีความรู้ทางหลักวิชาการในภาคการศึกษามา แต่ใจมีความรักความสงสารในหมู่คณะ เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัว มีความเห็นใจและเข้าใจคนอื่น เพียงเท่านี้ความสมานฉันท์ก็เริ่มตั้งหลักได้แล้ว เมื่อตั้งหลักของเหตุปัจจัยในคำว่าสมานฉันท์ไม่ถูกต้องและเข้าข้างตัวเอง ความรักสามัคคีความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะไปเอาความรู้เอาวุฒิในการศึกษามาประกอบอัตตาของตัวเอง แล้วไปเรียกร้องเอาความถูกต้องชอบธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ในใจตัวเองยังมีอคติ สมานฉันท์จึงเกิดขึ้นไม่ได้

    ....คำสอนของพระพุทธเจ้าหลายหมวดหมู่มีเหตุผลเชื่
    อถือได้ ข้าพเจ้าได้นำประวัติพุทธวงศ์ ประวัติของอายุขัยของมนุษย์ และภัยธรรมชาติ ทั้ง ๓ หมวดนี้ นำมาอธิบายโดยย่อพอให้เข้าใจอยู่บ้าง เฉพาะเรื่องภัยธรรมชาติให้เราสังเกตติดตามดูให้ดี ว่าภัยธรรมชาติทั้ง ๘ จุดนั้นเป็นอย่างไร ในอดีตจนถึงปัจจุบันภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างไร นับแต่ปัจจุบันไปสู่อนาคต ต่อไปจะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง

    ....ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ก็ให้รับฟังจา
    กกรมอุตุนิยมวิทยาเตือนภัยไว้บ้าง เฉพาะต่างประเทศ หลายๆประเทศที่ได้ประสบภัยธรรมชาตินับแต่จะมีความรุนแรงมากขึ้น มนุษย์จะได้รบผลกระทบอย่างมาก

    ....มนุษย์มีส่วนทำให้ภัยธรรมชาติเกิดอยู่บ้าง เช่น อ
    าหารภัย ภัยที่ใช้สารเคมีมาเป็นปุ๋ยในพืชผล และปรุงอาหารชัดเจนอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยในตัวของมันเอง จะมีผลกระทบต่อร่างกายและมีผลกระทบเข้าหาใจได้ ถ้าร่างกายเกิดวิบัติจากสิ่งต่างๆ มีความเจ็บไข้อย่างไร ใจก็จะได้รับความทุกข์ไปด้วย เป็นอันว่ามนุษย์ทั้งหลายมาเกิดท่ามกลางภัยธรรมชาติอยู่แล้ว ดังคำว่า เกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ได้ชั่วขณะ แล้วแตกสลายตายไป เรียกว่าเวียนเกิดเวียนตายในภพทั้งสาม

    ....การเกิดมาในโลกนี้ ผู้ที่ไม่ทำกรรมไม่มีในโลก แต่ใครจะทำกรรมดีกรรมชั่วมากกว่ากันเท่านั้น โลกมนุษย์นี้เป็นศูนย์กลาง เป็นสถานที่สร้างกรรม เมื่อตายแล้วกรรมจะเป็นตัวนำพาให้ไปเกิดในภพอื่น หมุนเวียนไปมาเป็นวัฏจักรไม่มีที่จบสิ้น เมื่อผลกรรมหมดลง ก็จะได้มาเกิดในโลกมนุษย์ เพื่อสร้างกรรมอีกต่อไป และได้เจอต่อภัยธรรมชาติของโลกนี้อีก จะเป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยไป

    ....เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้ต้องตั้งสติให้ดี
    ใช้ปัญญารอบรู้เท่าทันในความเป็นอยู่ของโลกนี้ให้ได้ในยุคต่อไป ในช่วง ๖ พันกว่าปีข้างหน้า จะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ทางที่ดีเราควรหาวิธีเว้นวรรคในการเกิดชั่วขณะหนึ่ง เมื่อหมดยุคที่มนุษย์มีอายุขัย ๑๐ ปีไปแล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมยุคใหม่ ภัยธรรมชาติจะสิ้นสุดลงในยุคนั้น สภาพความเป็นอยู่จะมีความสมบูรณ์ มนูษย์จะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นดังที่ได้อธิบายมาแล้ว เราจะเกิดมาเกิดใหม่ในยุคนั้น สมควรที่จะมาเกิดได้ เพราะในยุคนั้นเป็นยุคของผู้มีบุญจะลงมาเกิดร่วมกัน ชีวิตความเป็นอยู่จะมีความสุข ฝนฟ้าจะตกต้องตามฤดูกาล

    ....ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างไร ถือว่าเป็
    นกรรมของสัตว์โลก ช่วยเหลือไม่ได้ ข้าพเจ้าได้ศึกษามาและได้สังเกตภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในอดีต และมีแนวโน้มที่จะเกิดเป็นภัยธรรมชาติในอนาคตนั้นมีสูง จึงได้บอกเตือนเอาไว้ว่าจะหาวิธีป้องกันตัวเองได้อย่างไร มิใช่ว่าเมื่อภัยธรรมชาติเกิดขึ้นถึงตัวแล้วจึงตื่นตัว จะตั้งหลักก็ไม่ทัน ปัญหาต่างๆก็เกิดตามมา จะหาที่หลบซ่อนตัวก็ไม่ทันต่อเหตุการณ์ อย่าไปคิดว่าภัยธรรมชาตินี้เป็นเรื่องไกลตัว หลายๆประเทศ ภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อมนุษย์มากทีเดียว เราคนหนึ่งจะต้องได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี้ในยุคต่อไป วาตภัย อุทกภัย อัคคีภัย ธรณีภัย มลพิษภัย โรคภัย อาหารภัย โจรภัย ภัยทั้ง ๘ นี้จะมีอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง เราจะต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะหาวิธีป้องกันอย่างไรที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบา เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด พวกเราทั้งหลายจงอย่าประมาท ให้มีความกลัวต่อธรรมชาตินี้เอาไว้

    ....ในเหตุการณ์หนึ่ง ที่คนทั่วโลกเริ่มตระหนักและพู
    ดถึงกันอยู่มาก นั่นคือ "โลกร้อน" ก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือจะละลาย ทำให้เพิ่มปริมาณของน้ำทะเลมากขึ้น น้ำทะเลก็จะท่วมในสถานที่ต่างๆ ตามชายฝั่ง อาคารบ้านเรือนจะเกิดความเสียหาย มนุษย์จะล้มตายเป็นจำนวนมาก นี้เป็นส่วนหนึ่ง ให้เราพากันรับฟังข่าวสารของโลกเอาไว้

    ....ข้าพเจ้าได้รับฟังข่าวเรื่องโลกร้อนและก้อนน้ำแข็ง
    ที่ขั้วโลกเหนือละลายเช่นกัน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ข้าพเจ้าได้ไปประเทศสหรัฐอเมริกา มีเวลาได้ไปดูก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือในเขตอล้าสก้า นั่งเรือไปหลายชั่วโมงกว่าจะถึงก้อนน้ำแข็งนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ข้อคิดว่า อันน้ำแข็งนี้จะละลายจริงหรือไม่ ก้อนหิมะขนาดใหญ่เท่าภูเขาหลายลูกขาวโพลนอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร เรียกว่า ภูเขาหิมะ ที่สะสมกันมาหลายพันปี มีอากาศหนาวเย็น จึงมีหิมะตกลงมาเป็นกลุ่มก้อน เมื่อความร้อนของโลกเพิ่มขึ้นจึงทำให้ก้อนภูเขาหิมะเกิดพังทลายเสียงดังสนั่นท่ามกลางมหาสมุทร ก้อนน้ำแข็งลอยพันเป็นแพขาวโพลนในสถานที่แห่งนั้น

    ....ข้าพเจ้าได้สังเกตดูว่า ที่ว่าก้อนน้ำแข็งจะกร
    ะทบความร้อนแล้วละลายทำให้น้ำทะเลเอ่อท่วมโลกนั้น เมื่อสังเกตดูเหตุการณ์แล้ว คงไม่ถึงขั้นที่จะเกิดน้ำท่วมโลกแต่อย่างใด ถึงจะมีอยู่บ้างก็จะท่วมเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น เพราะก้อนน้ำแข็งนั้นจะถูกความร้อนแผดเผา ไอของน้ำแข็งก็จะแห้งหายไปตามความร้อนนั้น มีส่วนหนึ่งก็จะทำให้น้ำทะเลเพิ่มขึ้น แต่จะไม่ทำให้น้ำท่วมโลกตามที่ฝรั่งได้คำนวนเอาไว้ ข้าพเจ้าได้ไปดูด้วยตาตัวเอง จึงได้นำมาบอกกล่าวให้ท่านรับรู้เอาไว้เท่านั้น

    ....ในเหตุการณ์อย่างนี้ ถ้าเกิดมีว
    าตภัยเกิดลมแปรปรวนอย่างรุนแรง อุทกภัยมีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทั้งลมทั้งฝนได้เกิดขึ้นพร้อมกันอย่างรุนแรง ก้อนน้ำแข็งที่ถูกความร้อนแผดเผาจะละลายกลายเป็นน้ำมากขึ้น ก็จะเกิดเป็นภัยธรรมชาติ ถ้าลมได้เกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้าง มีฝนตกในหลายพื้นที่ ก็จะมีผลกระทบอย่างรุนแรง

    ....อล้าสก้าเดิมเป็นพื้นแผ่นดินของรัสเซีย
    มีพื้นที่อันกว้างใหญ่ ส่วนมากเป็นภูเขา มีชนเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ชื่อว่า เผ่าเอสกิโม มีอาชีพชาวประมง เป็นเกาะขนาดใหญ่มีต้นไม้ภูเขาที่อุดมสมบูรณ์ มีภูเขาที่เป็นหยกเขียว หยกสีชมพู หยกแดงมากมาย และมีแร่ทองคำ มีน้ำมัน และมีแร่ธาตุอย่างอื่นอีก เรียกว่าเป็นพื้นที่มีทรัพยากรที่มีความอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของโลก มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าประเทศไทย ๓ เท่า อากาศจะมีร้อนกับหนาว จะมีร้อนอยู่ ๔ เดือน มีหนาวอยู่ ๘ เดือน จะปลูกพืชผักไม่ได้เพราะมีอากาศหนาวติดต่อกันนาน อาหารจึงมีราคาสูง เพราะมาจากหสหรัฐอเมริกา แคนาดา มีหลายประเทศที่ส่งเข้ามาขาย ระยะเวลานั่งเครื่องบินจากเมืองซีแอตเติ้ลไปอล้าสก้า ใช้เวลาบิน ๓ ชั่วโมง เครื่องบินจะมีรูปคนเผ่าเอสกิโมในหางเครื่องบินทุกลำเพื่อเป็นอนุสรณ์ของชนเผ่า

    ....อล้าสก้าเป็นพื้นที่ของรัสเซียมาก่อน ทางรัสเซี
    ยมีปัญหาทางบริหารในการพัฒนา ในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ ๒ ของรัสเซีย ได้ขายที่ดินนี้ให้ประเทศสหรัฐอเมริกาในสมัยประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน (Andrew Johnson) ค.ศ. ๑๘๖๗ โดยนายวิลเลี่ยม เอช ซูเวิร์ด(William H. Seward) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในสัญญาซื้อดินแดนอล้าสก้า ราคาซื้อขายกันในสมัยนั้น ๗.๒ ล้านเหรียญสหรัฐ อล้าสก้าถึงเวลาหน้าหนาวจะมีความหนาวเย็นมาก เมื่อถึงฤดูร้อนก็มีความร้อนมากเช่นกัน ตะวันขึ้นลงที่อลาสก้าจะขึ้นและตกมีความแตกตื่นในที่อื่นๆ ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม จะมีความสว่างอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาค่ำมืดเปิดไฟฟ้าแต่อย่างใดในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ก็จะมีความมืดเปิดไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน

    จะดูเวลากลางวันกลางคืนก็ต้องดูนาฬิกา AM - PM เท่านั้น จึงจะรู้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืนได้ ในคืนหนึ่งมีคณะญาติโยมพาข้าพเจ้าไปชมภูเขาสูง ขณะนั้นเวลา ตี ๒ ความสว่างเท่ากับก้อนเมฆปิดบังตะวันวิ่งรถไม่ต้องเปิดไฟ สถานที่แห่งนั้นเป็นภูเขาสูง นั่งรถไป ๒ ชั่วโมง ตะวันตกที่เรียกว่าแสงออร่า เป็นแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ที่หมุนตัวกลับที่เดิม คนที่พาข้าพเจ้าไปพูดว่าไม่เคยมาในที่แห่งนี้ ที่มาได้ก็เพราะดูแผนที่ เขาพูดว่า มีพระองค์เดียวคือหลวงพ่อทูลเท่านั้น ที่ได้ขึ้นมาจุดสูงสุดของขั้วโลกเหนือ ข้าพเจ้าได้เล่าให้ฟังเพียงบางส่วนเท่านั้น และมีเรื่องอื่นๆอีกมากมาย ขอให้ท่านไปดูด้วยตนเองก็แล้วกัน

    ....เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๐ ข้าพเจ้าได้ไปที่เมืองแฟร์แบ้งค์ รัฐอลาสก้า ซึ่งคุณละอองดาวและครอบครัว ได้เปิดร้านอาหารชื่อ ไทยเฮ้าส์ (Thai House Restaurant) เป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ มีคนเข้าไปรับประทานอาหารแต่ละวันเป็นจำนวนมาก เพราะอาหารอร่อย นี้เป็นจุดแรกที่ไปพักที่เมืองนี้ ซึ่งมีคณะลูกศิษย์และคณะศรัทธาเป็นจำนวนมากให้การต้อนรับ พาไปเที่ยวชมดูสถานที่ต่างๆ

    ....จากนั้นได้บินต่อไปที่เมืองแองโคเร้จ คณะลูกศิษย์ได้พาไปเที่ยวดูก้อนหิมะที่ขาวโพลนปกคลุมอยู่บนภูเขา ในช่วงนี้ก้อนหิมะกำลังพังทลายลงสู่ทะเล จากนั้ได้ลงเรือขนาดใหญ่บรรจุคนได้ประมาณ ๓๐๐ คน ใช้เวลาเดินทาง ๕ ชั่วโมง นี้เป็นส่วนหนึ่งที่มีก้อนหิมะกำลังละลาย ในอีกส่วนหนึ่งเป็นก้อนหิมะขนาดใหญ่ที่ขั้วโลกเหนือ ที่ฝรั่งพูดว่ากำลังพังทลายจะทำให้น้ำทะเลเพิ่มปริมาณขึ้นจนเกิดน้ำท่วม ก้อนหิมะนี้ได้เกาะกันอยู่มายาวนานหลายพันปี เป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่กว่าภูเขา

    ....ข้าพเจ้าอยากไปดูว่าจะละลายกลายเป็นน้ำท่วมโลกหรือไม่ ทางฝรั่งเขาว่ามีอันตรายในการเดินทาง เรือใหญ่ธรรมดาไม่สามารถเดินทางไปได้ เพราะก้อนหิมะแตกกระจัดกระจายไปทั่วตามน้ำทะเลเต็มไปหมด เรือจะเดินผ่านลำบาก และเข้าไปใกล้ไม่ได้ เพราะก้อนน้ำแข็งกำลังพังทลาย และเกิดลมแปรปรวนที่รุนแรง ไม่มีสถานที่ปลอดภัย ระยะทางก็ไกล ใช้เวลาเดินทางไปกลับ ๑๖ ชั่วโมง
    เมื่อดูหนังที่เขาฉาย ให้ดูภูเขาน้ำแข็งนี้ ก็เป็นที่น่ากลัว เมื่อพิจารณาดูด้วยเหตุผลว่าจะมีน้ำท่วมโลกจริงหรือไม่ ให้คำตอบได้เลยว่า "น้ำจะไม่ท่วมโลกตามคำฝรั่งที่พูดกัน" เพราะก้อนน้ำแข็งถูกอากาศร้อนแผดเผาละลายออกจากกัน ส่วนหนึ่งก็จะกลายเป็นน้ำ อีกส่วนหนึ่งก็จะเกิดไอระเหยตามความร้อนไป จะไม่ทำให้น้ำท่วมโลกได้

    ข้าพเจ้าได้ไปอเมริกาครั้งแรกในปีพ.ศ. ๒๕๓๐ ไ
    ด้ไปศึกษาดูภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น เฉพาะวาตภัยในอดีตที่ผ่านมา มีลมทอร์นาโดได้เกิดขึ้นแต่ละปีไม่กี่ครั้ง ลมเกิดขึ้นแต่ละครั้งทำความเสียหายให้แก่บ้านเรือนเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้าไปทุกปี แต่ละปีมีลมทอร์นาโดเกิดขึ้นปีละหลายๆครั้งและจะเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดความเสียหายเป็นอันตรายในความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ทั้งหลาย

    ....หลายๆประเทศที่ถูกลมทำลายอย่างมากมาย ใ
    นสมัยก่อนเกิดลมขึ้นปีละ ๓ - ๔ ครั้ง ต่อมามีลมเกิดขึ้นปีละ ๒๐ - ๓๐ ครั้ง ในบางปีเกิดขึ้น ๑๐๐ ครั้ง นี้เรียกว่าอากาศของโลกกำลังแปรปรวน ทั้งลมก็เกิดมากขึ้น น้ำก็ท่วมในหลายพื้นที่ จึงเป็นแนวโน้มที่จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น ข้าพเจ้าจึงเขียนเรื่องภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าให้ท่านได้ศึกษาเอาไว้ จะอธิบายไว้ไม่ละเอียด และทั้งหมดคิดว่าท่านผู้อ่านพอจะเข้าใจ เหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดมีในโลกอย่างแน่นอน หลายๆประเทศกำลังคิดหาวิธีป้องกันลมป้องกันน้ำท่วม และป้องกันโลกร้อน การจะอาศัยเทคโนโลยีอันทันสมัยในหลักวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยนั้น จึงเป็นของยากที่จะป้องกันได้ เพราะภัยธรรมชาตินี้ไม่มีสิ่งใดห้ามได้

    ....ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายในเรื่องภัยธรรมชาตินี้ ก็เพื่อเตือนสติไม่ให้ประมาท ให้ตื่นตัวอยู่เสมอ ว่าอีกวันหนึ่งข้างหน้าเราต้องเจอต่อภัยธรรมชาตินี้อย่างแน่นอน เพราะเราได้มาเกิดในยุคสมัยที่โลกกำลังแปรปรวน หรือมาเกิดในยุคเปลือกโลกเสื่อม ไม่ควรที่จะไปกล่าวโทษต่อภัยธรรมชาตินี้ ต้องโทษตัวเองว่า เรามาเกิดในในยุคนี้ทำไม เราต้องทำใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะโลกเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติในตัวของมันเอง อย่าไปเชื่อมั่นในเทคโนโลยีและหลักวิทยาศาสตร์จนลืมตัว สิ่งเหล่านี้มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวก ในชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อถึงกาลเวลาของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป หลักวิชาการต่างๆก็ไม่สามารถช่วยเราได้เลย

    ....ข้าพเจ้าขออภัยท่านผู้รู้ทั้งหลายเอาไว้ใน
    ที่นี้ หากมีประโยคที่บกพร่องไม่เหมือนกับที่ท่านได้ศึกษามา คิดว่าท่านคงไม่ติดใจ เพราะข้าพเจ้ามีความรู้น้อย คิดว่าท่านผู้รู้ทั้งหลายคงให้อภัย

    <HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>ทั้งหมดนี้ คือหนังสือ "ภัยธรรมชาติ" ที่หลวงพ่อทูล ได้เขียนขึ้น ในปี 2550 และได้มอบให้กระผมนำมาลงในอินเตอร์เน็ต หวังว่าคงเป็นคติธรรมเตือนใจท่านทั้งหลายให้ได้รับประโยชน์โดยทั่วกันนะครับ

    นำมาลงโดย หมอบัญชา ทิพย์อักษร

    ที่มา http://www.watsanfran.com/library/lu...isaster_th.pdf
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2012

แชร์หน้านี้

Loading...