ประสบการณ์ขนหัวลุก No2

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 24 พฤศจิกายน 2005.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    เพื่อนรัก.. [​IMG]

    ประสบการณ์ จริง ที่เกิดขึ้นจากความผูกพันธ์ ระหว่างเพื่อนบ้านผม อยู่ใน สวนแห่งหนึ่ง ทางฝั่งธนฯ เมื่อก่อน เปลี่ยวและมืดมาก โดยผมอาศัยอยู่ใน ซอยเล็กๆ แห่งหนึ่งแถวบ้านผม มันก็ มีหลายซอย ซะด้วยซิ เลยมีเรื่อง ประสา เด็กๆ อะประเภท จิ๊กโก๋ คุมซอย มีเรื่องตีกัน ประจํามีเรื่องเจ็บ ตัวให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง มากเลยจนอยู่มาคืนนั้น คืนวันศุกร์ ที่ผมต้องกลับจาก รร. ค่อนข้างมืดแล้ว เพราะเรียน รอบบ่าย ก็ กลับราวๆ สัก 4 - 5 ทุ่มได้ เพราะ วันรุ่งขึ้น เป็นวันหยุด วันนี้ จึงมีการนัด สังสันต์ กันในหมู่เพื่อนที่อยู่ร่วม ซอยเดียวกัน เป็นกิจ วัตรที่ทํากันมาแบบไม่ต้องนัดกันล่ะ ที่นัด พบก็ เป็นที่สวน ท้ายซอยมีเก้าอี้ ม้ายาวที่ทํากันไว้ ใต้ต้นหูกวาง ร่มครึ้ม น่าพักมากครับผมแวะ ซื้อ เหล้า ติดมือ เข้าบ้านไป หนึ่งกลม ระหว่างทาง ก็เงียบ แต่มันเป็นเรื่อง ปรกติ ที่ผมต้องเข้าออกทุกวันแต่วันนี้ มันเงียบผิดปกติจริงๆ "ช่างมัน"ผมนึกในใจผมเดินไป สุดท้ายซอย เลี้ยวลงข้างทาง เล็กๆ ตรงไปสู่ที่หมายอ้า.....มีคนจุด ตะเกียงโคม รออยู่ที่นั้น เพื่อนๆ คงอยู่ที่นั้นผมก็ ก้าว เท้า เร็ว ยิ่งขึ้น เพื่อให้ถึงจุด นั้น แต่กลับต้องพบ กับ ความว่างปล่าว ไม่มีคนครับมีแต่ ตะเกียงตั้งอยู่อื่ม</PRE>[​IMG]
    <H3>....แต่อย่างน้อย ก็ รู้แล้วล่ะว่ามีคนมาก่อนหน้าแล้ว แน่นอน ผมเลย เดินไป ปลดทุกข์ ตรง ท้องร่องข้างๆพอเสร็จ ก็ เดินขึ้นมา จึ๋ย .... ไอ้ อุ๋ย มาตอนไหนก็ ไม่รู้ มานั่งอยู่ที่ม้ายาว ตรงนั้นผมเลย ด่า ซะ หนึ่ง ยก "ไอ้ ห่... มายังกะ ผี ..ู หัวใจวายจะว่ายังไง " มันก็ หันมา ยิ้ม ให้ บอกว่า "มึงไม่ตาย ง่ายๆ หรอกกูรู้ " ผมก็ ได้แต่หัวเราะแล้ว ผมก็ นั่ง กินเหล้า ที่ซื้อมา ก็ รินให้ อุ๋ย แก้วหนึ่งแล้วก็ บ่นว่า เพื่อนๆ ทําไมยัง ไม่มา ก็ ไม่รู้ มันก็ บอก ว่าเค้ามากันแล้วไปกันหมดแล้ว คงไม่มาหรอก คืนนี้ </PRE>[​IMG]
    <H3> "กู กลัวมึงเหงาเลยมา รอ " มัน พูดแล้วก็ ยิ้มๆ "อ้าวก็ไม่สนุก แล้วซิ" ผมว่า แล้วพวกมันไปไหนกัน ล่ะ ...อุ๋ย บอกว่า เห็นว่ามันไปธุระด่วน "เหรอ "ผมก็ เลย คุยกับ อุ๋ย ต่อไป อุ๋ย เล่าให้ฟังว่าวันนี้มีเรื่องกับซอย ตรงกันข้าม ดีว่าเขาหนีมาทันเพราะ ฝ่ายนั้นมัน ใช้มีดไล่แทงผมก็ ว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปแก้ คืนกัน กะ รวมพลวันพรุ่งนี้จนราว ตี 1 เห็น จะได้ เหล้าหมดไปเกิน ครึ่งขวด ผมบอกว่ากลับก่อนแล้ว เมาวะแล้วก็ ยกเหล้าให้มันไป อุ๋ย บอกว่าไม่เอาหรอก ให้ผมเอากลับบ้านผมเลยแยกทางกลับบ้านนอน ระหว่างเดินกลับบ้าน หมา หอนตามมาเลยผมเลยด่าหมาไปซะ .....................แต่มันไม่หยุด ครับมันก็ หอนไปทางบ้าน ไอ้อุ๋ยเพื่อนผม ผมก็ เลย เออ....มึงโดนแหง๋ อิ อิยังอด นึกภาพ ไอ้อุ๋ย วิ่งตูดชี้กลับบ้าน เพราะกลัวเสียงหมาหอน ก็ มันกลัว ผียิ่งกว่าอะไรดี </PRE>[​IMG]
    <H3> 8.30 ของตอนเช้า วันเสาร์ ผมได้ ยินเสียงกด กริ่ง หน้าบ้าน สักพักแม่ก็ มาเรียกว่าเพื่อนมาหาผมได้แต่บ่น อุบอิบ อยู่ จะมาทำไมกัน ตั้งแต่ เช้าโผล่ไปหน้า บ้านเพื่อนมารอ อยู่ 2-3 คน


    </PRE>[​IMG]
    ผมก็เลยบอกว่า "อะไรว่ะ จะไปเอาคืนกันตั้งแต่เช้าเลยเหรอ"เพื่อนๆ ก็ ได้แต่มองหน้ากัน แบบว่า งง งงเพื่อนคนแรก ก็ ถาม ผมว่า "เฮ้ย มึงรู้ได้ยังไง" " อ้าวววก็ ไอ้อุ๋ย มันบอกเมื่อคืน แล้วพวกมึงหายหัวไปไหนกันมา" เพื่อนๆ ผม งี้ ซีดๆๆๆ ไปหมดทุกคนเลยครับ "มึงๆๆ ว่าเจอไอ้อุ๋ย เมื่อคืน เหรอ !!!" "เออ........ยังนั่งกินเหล้า กันอยู่เลย "ไอ้เ..ี้ย.......ไอ้อุ๋ย มันถูกแทง ไปตายที่ โรงพยาบาลเมื่อ คืน พวกกู ก็อยู่ที่นั้น "เฮ้ย ....อย่า มาล้อเล่น กูคุยกับมันจน ตีหนึ่ง ถึงกลับบ้านนอน""ไม่เชื่อ มึงไปกะกู ศพ อยู่ที่วัดตอนนี้ "ผมนะใจแป้วเลยครับ พอไปถึง วัด ผมได้แต่ทําใจ เพราะ อุ๋ย ยังนอนอยู่ข้างนอกโลงผมเลยไปยืน ข้างๆ แล้วบอกกับอุ๋ยว่า ไอ้ ห่า ตายแล้วก็ไม่บอก หลงให้กูคุยอยู่ได้ ตั้งนาน ไปดีเถอะเพื่อน

    </PRE></H3></H3></H3>
     
  2. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    เมื่อประมาณต้นปี 2541 ผมเคยเจอประสบการณ์ขนหัวลุกมาเล่าให้ฟัง มันเป็นเรื่องที่เคยมีคนเจอ
    มาแล้วมากมาย แต่ต่างเวลาและสถานที่ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่โรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งกลางใน เมืองนครปฐม
    อันที่จริงเรื่องนี้คงไม่เกิดถ้าไม่ใช่เพราะความใคร่ของหนุ่มสาว

    ปกติผมเป็นคนที่สนใจในเรื่องของข่าวสาร จึงได้รู้ข่าวเรื่องการตายที่เกิดขึ้นในโรงแรมแห่งนี้จาก
    หนังสือพิมพ์บ่อย ๆ ส่วนใหญ่เป็นการตายเกิดจากหัวใจวายขณะมีเพศสัมพันธ์ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เป็นการ
    ฆาตรกรรม คือฝ่ายหญิงถูกบีบคอตายและหมกศพไว้ใต้เตียง


    วันนั้นผมนัดกับสาวไปเที่ยวที่สวนสามพรานต่อที่ฟาร์มจรเข้และสุดท้ายจบลงที่โรงแรม ในตอนแรก
    ผมรู้สึกสังหรณ์อยู่ในใจ เพราะรู้ว่าที่โรงแรมนี้ได้มีคนตายมาก แต่คิดว่าคงจะไม่ดวงดีขนาดนั้นเพราะมีตั้งหลาย
    ห้องด้วยกัน[​IMG][​IMG]
    ผมตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายเห็นห้องที่สองว่าง จึงตกลงที่จะเปิดห้องนั้น หลังจากที่เปิดห้อง แล้วก็ให้ ฝ่ายหญิงไปอาบน้ำ ขณะที่ผมดูหนังเห็นเธอเปิดประตูแย้มหน้าออกมาดูและปิดไปอีก พอเธออาบเสร็จก็ออกมาถามว่า "เมื่อกี้นี้เคาะประตูหรือเปล่า ..? " ผมตอบว่า "เปล่า ไม่ได้เคาะ" เธอบอกให้ปิดทีวี ห้องทั้งห้องจึงอยู่ในความมืด เพราะผมไม่ได้เปิดไฟตั้งแต่ทีแรก ในขณะที่เรามีอะไรกันนั้น ผมมีความรู้สึกว่า เหมือนมีใครมาบีบคออยู่แผ่ว ๆ ผมหันไปก็ไม่เห็นใคร ในความรู้สึกเหมือนมีผู้หญิงยืนอยู่รอบข้างเต็มไปหมด แต่เป็นคน ๆเดียวกัน แล้วผมก็พบกับความว่างเปล่าเมื่อหันไปดูอีกครั้ง</PRE>[​IMG]
    พอเสร็จภารกิจผมบอกให้เธออาบน้ำแล้วผมก็เข้าไปอาบต่อ อาบได้สักพักเธอก็ร้องว่า "เปิด เปิดเปิด!!!!! " พร้อมทั้งเคาะประตูเสียงดัง ผมตกใจรีบออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเปิดประตู เธอบอกว่าทีวีดับแต่เมื่อผมมองออกไป ก็พบว่ามันยังเปิดอยู่ เพื่อให้เธอสบายใจผมจึงเดินไปเปิดไฟเอาไว้ แล้วเหตุการณ์อย่างนั้นก็เกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ผมเห็นโทรทัศน์ดับจริง ๆ แต่ไฟยังเปิดอยู่ เธอกลัวมากจึงขอเข้าไปอยู่ในห้องน้ำด้วย ผมก็ให้อยู่โดยในใจก็คิดว่าเธอคงจะใช้มายา ขณะที่ผมอาบน้ำ ผมเห็น มือเธอสั่นทั้งสองข้างและประคองประสานอยู่ที่หน้าอกแน่น ตามองผมไม่กะพริบ ก่อนออกจากห้องน้ำสายตาผมเหมือนเห็นอะไรแว่บๆ ในกระจก แต่พอมองไปก็คิดว่ากระจกบานนี้น่ากลัวมาก เรากลับไปที่เตียงปิดไฟและเปิดทีวีอีกครั้ง แฟนผมยังมีอาการหวาด ๆ อยู่ผมจึงพูดหยอกล้อให้เธอคลายความกังวลลงบ้าง แล้วเราก็เริ่มเกมกันต่อ</PRE>[​IMG]
    แล้วความรู้สึกเดิม ๆ ก็กลับมาอีก แต่คราวนี้มีเสียงเหมือนมีคนเปิดประตูห้องน้ำ แต่พอหันไปก็ไม่มีใครอยู่ เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง ตอนนั้นใจคอของผมไม่ค่อยดีพอหันไปหาเธอก็เหมือนไม่เห็นไม่ได้ยินอะไร ต่อมาก็มีเสียงมาจากลูกบิดประตู คิก คิก อี้ด !!! คราวนี้ได้ยินทั้ง 2 คน ผมเดินออกไปดูเพราะคิดว่าบ๋อยมาเรียกแต่พอเปิดก็ไม่พบใคร และผมก็คิดได้ว่าผมลงกลอนไว้เรียบร้อยแล้ว จึงหันไปถามแฟนว่า "ได้ยินเสียงคนเปิดประตูไหม ?" เธอก็บอกว่าได้ยิน</PRE>[​IMG] [​IMG]
    สิ้นเสียงเธอโทรทัศน์ก็ดันฉายหนังขึ้นอีก ดังมากจนผมสะดุ้งโหยง ส่วนเธอปล่อยกรี๊ดลั่นห้องปากก็ตะโกนว่า "... ผี.!!!!.. " ผมรีบเอามืออุดปากเธอและรีบบอกเธอและรีบบอกให้ใส่เสื้อผ้า โอ๊ย....ผมกับเธอแทบหมดลมหายใจ มี เสียงผู้หญิงหัวเราะดังมาจากทุกมุมห้อง ทำให้หัวใจผมแทบวายตายไปเลย เราสองคนคว้ากางเกงเสื้อผ้าผิด ๆ ถูก ๆ ไปหมด พอออกจากห้องได้ผมถอนหายใจพร้อมกับเอามือจับหน้าอกโล่งเหมือนได้พ้นจากขุมนรกมาแล้วแต่แล้วก็ต้องใจหายแวบเพราะผมลืมสร้อยพระไว้ที่โคมไฟหัวเตียง ผมรีบกลับรถเมื่อไปถึงพอดีกับที่บ๋อยกำลังจะเข้าไปทำความสะอาด ผมจึงรีบเดินเข้าไปหยิบสร้อยและพูดกับบ๋อยว่า " น้อง ๆ พี่ว่าห้องนี้มันมีอะไรแปลก ๆ นะ " บ๋อยได้ยินก็ทำท่างง ๆ</PRE>[​IMG]
    หลังจากนั้นประมาณปลายปี 2541 ผมมีโอกาสเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อน ๆ ฟัง พอเล่าจบเพื่อนรุ่นน้องก็เล่าให้ฟังว่าเธอกับแฟนไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เมื่อปี 2540 แต่ก่อนที่จะมีอะไรกัน เธอได้กลิ่นอะไรเหม็นเน่า เธอกับแฟนพยายามหาแต่หาไม่พบ เธอจึงเรียกบ๋อยมาดูก็พยายามหากัน และก็รื้อไม้กระดานเตียงขึ้นเท่านั้นแหละครับ </PRE>[​IMG]
    <CENTER>ทุกคนตะลึง..!!!! อ้วกแตกอ้วกแตนกันไปตาม ๆ กัน</CENTER>
    สิ่งที่เห็นนั้นเป็นศพผู้หญิงตาถลนหลุดออกมาห้อยใกล้ ๆ กับแก้ม !!! หน้าตาเนื้อตัวอืดบวมจนแทบจะระเบิดออกมาเป็นปริ ๆ หนอนใต่กันยั้วเยี้ยเต็มไปหมด เล่นเอาหมดอารมณ์


    เธอบอกว่าต้องไปเป็นพยานเล่าเหตุการณ์ให้ตำรวจฟังอีก แถมยังได้ลงชื่อในหนังสือพิมพ์อีก ผมถามเธอว่าที่ไหน เธอบอกผม ใจหายวาบไปเลย เพราะห้องที่ผมกับเพื่อนสาวไปนอนกันนั้นเป็นห้องเดียวกับห้องที่เธอ<CENTER>พบศพ..!!!!!!</CENTER></PRE></PRE>
     
  3. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    โ ร ง แ ร ม อ า ถ ร ร พ์<CENTER>[​IMG] <CENTER>[​IMG]
    ผี คืออะไร สำหรับคำถามเช่นนี้ อาจมีคำตอบที่หลากหลายและในทัศนะ ของผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิญญาณได้นิยาม ความหมายของผี ไว้อย่างน่าสนใจว่า ผีมิใช่สิ่งที่เราจะประสบพบได้เฉพาะในห้วงความคิดหรือเวลาเราป่วยไข้ไม่สบาย อีกทั้งยังไม่ใช่เรื่องนิยายที่ปั้นแต่งไว้หลอกหลอนโดยไม่มีเหตุผล แท้ที่จริงผีคือ การสำแดงร่างหรือส่งเสียงของผู้ที่ล่วงลับ ไปจากโลกมนุษย์ หากแต่ในช่วงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตยังคงความรู้สึก และอาวรณ์ ผูกพันกับสภาพมนุษย์ที่ดิ้นรนอย่างรุนแรง จนไม่สามารถปรับตัวหรือรับรู้ความเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการตายโดยกะทันหัน หรือการจบชีวิตด้วยความทุกข์ ทรมานแสนสาหัส และด้วยเหตุที่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาวะอย่างฉับพลัน ทำให้เหล่าภูตผี ตกอยู่ในวัฏจักรแห่งความคิดที่ต้องย้ำทำเหตุการณ์ ในช่วงวาระสุดท้าย วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าจะมีผู้มาช่วยเหลือให้หลุดพ้นและออกท่องต่อไปตามครรลองที่ควร ซึ่งอาจเป็น นรก หรือสวรรค์ แล้วแต่กรรมที่ก่อมา โปรเฟสเซอร์ฮันส์ โคลเซอร์อดีตอาจารย์ทางด้านวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย นิวยอร์กได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจิตวิญญาณที่ทำการค้นคว้ามาแรมปี และบันทึก เป็นบทความถ่ายทอดให้ผู้ สนใจได้รับทราบ ข้อมูลท์ใช้ในการเขียนเรื่องราวต่างๆ ล้วนเป็นเรื่องที่ยืนยันได้ว่าเกิดขึ้นจริงและได้รับการบอกเล่าจากปากผู้ประสบเหตุการณ์โดยตรง ซึ่งมีประจักษ์พยานที่สมเหตุสมผลมิใช่เป็นการกรุเรื่องแต่ประการใด สำหรับผู้ที่ไม่ยอมรับว่า ผีมีจริง ก็มักจะให้เหตุผลไปข้างๆ คูๆ ว่าเป็นเรื่อง ของภาพหลอน และหนำซ้ำยังอาจกล่าวหาหนักข้อไปถึงขั้นที่ว่า คนที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องผีๆ มักจะเป็นคนป่วย หรือไม่ อีกทีก็เข้าขั้นจิตวิปลาสแต่สำหรับโปรเฟสเซอร์โฮลเซอร์แล้วเขาปักใจเชื่อมั่นในความ เร้นลับของโลกแห่งวิญญาณ และจากการที่ ได้มีโอกาสพบปะททนากับผู้ที่เคยพบเห็น ผีมาแล้วเป็นจำนวนไม่น้อยเขาเหล่านั้น ก็ไม่ได้มีความแปลกประหลาด แต่เป็นบุคคลธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ที่มีจิดสำนึกและความรับผิดชอบเยี่ยงคนปกติทุก ประการ [​IMG]เรื่องราวที่ท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในสหรัฐอเมริการิกา ไปรเฟสเซอร์ โฮลเซอร์ได้บันทึกไว้อย่างน่าสนใจว่า เมื่อเดินทางไปทำงานที่นิวยอร์กนั้น เธอมีอายุได้ 34 ปี และเพิ่งจะเคยไปเป็นครั้งแรก เธอตัดสินใจเลือก พักที่ โรงแรม วอชิงตัน ซึ่งเป็นโรงแรมสำหรับสุภาพสตรีโดยเฉพาะ เพียงทันทีที่ก้าวย่างเข้าสู่ห้องพัก บนชั้นที่ 12 นั้น ไอรีนได้กลิ่นโชยกึกออกมาจากห้องนั้นราวกับว่าไม่เคยมีใครใช้บริการมาก่อนแต่ความที่เธอเป็นคนแปลกหน้า จึงไม่กล้าพอ จะขอย้ายห้อง นึกในใจว่า จะทนอยู่ไปสัก 2-3 คืน แล้วจึงขอเปลี่ยนห้องใหม่ ซึ่งในตอนนั้นคงไม่มีใครว่าอะไร[​IMG][​IMG]ไอรีนจึงเริ่มตรวจห้องอย่างละเอียด สัญชาติญาณลึกๆ บอกเธอได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับห้องนี้ เพียงแต่เธอยังมิอาจล่วงรู้ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ คืนแรกที่เธอเข้านอน นั้นเธอต้องสะดุ้ง ตื่นกลางดึก เมื่อได้ยินเสียงคล้ายใครบางคน กำลังเปิดหนังสือพิมพ์อ่าน ดังกรอบแกรบ อยู่ใกล้เหลือเกิน เมื่อไอรีนเปิดไฟสว่างโพล่งขึ้น ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ เธอจึงดับไฟ และ เอนกายลงบนเตียง อีกครั้งนึกค่อนตัวเอง อยู่ในใจว่าคงจะเหนี่อยจากการเดินทางทำให้ประสาทหลอน ได้ยินเสียงอะไร ไปต่างๆ นานา แต่ยังนึกได้ไม่ทันเท่าไรก็ได้ยินเสียง กรอบแกรบ คล้ายหน้าหนังสือพิมพ์ถูกพลิก เปิดกลับไปกลับมา สลับด้วยเสียงเดินลากเท้าจากข้างเตียงไปยังประตูห้อง ทีนี้ไอรีนถึง กับสะดุ้งโหยงเปิดไฟจ้าทั่วทั้งห้อง เสียงก็เงียบหายไป และในเวลาไม่นานนักเธอก็ผลอยหลับไป ด้วยความเหนื่อยอ่อน รุ่งเช้า ไอรีนใช้เวลาตรวจห้องอีกครั้ง สงสัยว่าอาจจะมีหนูมาคุ้ยเขี่ยทำเสียงประหลาดให้เกิดขึ้นแต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไร ให้ชวนสงสัยยกเว้นเพียงกลิ่นเหม็นอับที่ยังคงโชยอยู่อย่างไม่ขาดระยะ เธอจึงแจ้ง ให้ทางโรงแรมมาอบห้องทำความสะอาดแต่ก็ไม่มีใครมาจัดการให้ตามที่เธอต้องการ ดังนั้นดลอดเวลา 3 อาทิตย์ ไอรีนจึงต้องนอนเปิดไฟสว่างทั้งคืนท่ามกลางเสียงประหลาดที่ยังคงรบกวนโสตประสาทของเธอ จนในที่สุด ไอรีน ไม่สามารถจะทนได้อีกต่อไป เธอประกาศกร้าวกับตัวเองว่า จะต้องเผชิญหน้ากับเจ้าสิ่งนั้นให้รู้ดีกันไปข้างหนึ่ง ในคืนนั้น เธอพยายามข่มตามิให้หลับ หากแต่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงปิดไฟมืด รอคอยการมาปรากฎของเสียงประหลาดนั้น ทันใดนั้นเองเธอก็รูสึกเหมือนว่ามีมือใครบางคน พยายามจะใช้หมอนกดลงบนจมูก ของเธอไม่ให้หายใจ เธอดิ้นรนปัดป้องจนสุดฤทธิ์จนหมอนนั้นกระเด็นตกลงไปที่พื้นห้อง แต่ไม่มีวันที่เธอจะยอมแพ้ง่ายๆ </PRE>[​IMG] [​IMG]
    วันรุ่ง ขึ้นขณะที่เธอเดินเข้าไปในห้องอีกครั้งเธอรู้สึกเสียวแปลบ คล้ายถูกของมีคมแทงเข้าที่แเผ่นหลัง และในคืนนั้นเธอตื่นขึ้นมา ด้วยอาการตระหนกที่ร่างกายของเธอไม่สามารถ ขยับเขยื้อนได้ประหนึ่งถูกตรึงกับที่นอนเธอพยายามร้องตะโกนขอความชวยเหลือ แต่ก์ไม่เป็นผลยังดีที่โชคเข้าข้างเธอทำให้เธอ สามารถโทรไปแจ้ง เหตุการณ์กับเพื่อนชาย ซึ่งเมื่อเขามาถึงห้องพักของไอรีนนั้นก็พบว่าเธออยู่ในอาการช็อก สิ้นสติอยู่บนเตียงนั่นเอง ไอรีนตัดสินใจเดินทาง ไปพักผ่อน ที่ฟลอริด้า และหวนกลับมานิวยอร์คอีกครั้ง โดยเลือกพักที่ห้องอื่น ในโรงแรมเดิม และด้วยเหตุบังเอิญ เธอก็ได้พบกับเพื่อนบ้านรายหนึ่ง ซึ่งรู้ข่าวว่า ไอรีได้เคยพักอยู่ที่ห้อง บนชั้น12 และพบเหตุการณ์เลวร้าย เธอจึงสบโอกาสเล่าความเป็นมาของห้องนั้นให้ฟังว่า </PRE>[​IMG] <H3>เคยมีคนตายในห้องนั้น มาแล้วถึง 2 ศพ โดยรายแรกมีผู้พบ ว่าสิ้นใจอยู่บนเก้าอี้โยก ปลายเตียง และรายต่อมาก็สิ้นใจในอ่างอาบน้ำ พอฟังมาถึง ตรงนี้ ไอรีนก็รู้สึกสยองขึ้นมา เมื่อวาดภาพตัวเองหากในคืนนั้นเธอปัดหมอนที่ถูกกดโดยมือลึกลับ ออกจากใบหน้า ไม่สำเร็จ เธอคงจะกลายเป็นศพ รายทื่ 3 สำหรับห้องพักห้องนั้นเป็นแน่ !!!!!!



    </PRE>
    </H3>
    </CENTER></CENTER>
     
  4. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    [​IMG]
    ผมเป็นคนหนึ่งล่ะที่เชื่อว่า..ผี.มีจริงผมกับเพื่อนจึงตั้งทีมเดินสายสำรวจตามบ้านร้างต่างๆ หรือโรงพยาบาล ทำแท้งเถื่อนที่ปิดไปแล้ว หรือจะเป็นตามวัดที่มีประวัติ..ดังๆ แต่วันนี้ผมจะพาคุณไป คอนโดฯร้างแห่งหนึ่ง เอาล่ะผมขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน ในคืนวันที่ 19/12/42...ผมกับเพื่อนเดินสายไปยังท่าน้ำวัดที่เขาบอกกันว่า...เฮี้ยน </PRE>[​IMG] [​IMG]
    <H3>..ประวัติมีอยู่ว่า มี.เด็กจมน้ำตาย!!.ตรงนั้น.. พอเรือที่รับจ้างพายผ่านมาบางครั้งก็จะมีเด็กโบกให้จอดพอแวะเข้าไป ก็ปรากฏว่า.. ไม่มีใครเลย!!..และบางครั้งชาวบ้านแถวนั้นก็จะได้ยินเสียงเด็กโดดน้ำเขาก็มองออกไปที่ท่าน้ำวัด ก็..เห็นมีเด็กโดดน้ำเล่นอยู่คนเดียวเขาก็มองไปที่นาฬิกาเป็นเวลาเกือบ .ตี2 .แล้วพวกผมก็ตัดสินใจ เดินสาย เป็นที่แรกของค่ำคืนนั้นพอพวกผมไปถึงก็ไปนั่งเล่นกัน ที่ศาลาริมน้ำ ...นั่งกันสักพักก็มี เสียงเด็กหัวเราะเบาๆแล้ว ผมก็แผ่เมตตาให้เขาไปเสียงนั้นก็เงียบไป !! ผมกับเพื่อนก็ตกลงกันจะไปหาพี่ป๋องที่ ททบ.5.พอพวกผมขับรถออกผมก็ชี้ให้เพื่อนอีกคนดู..มีเด็กนั่งแอบอยู่โคนต้นไม้ใหญ่!..เพื่อนผมตกใจเกือบทำรถล้ม..พอเพื่อนผมตั้งสติ ได้ก็บิดนำไปก่อนแล้วก็ทำสันญาณนัยๆว่าเจอกันที่ปั๊มนะพอถึงปั๊มผมกับเพื่อนก็คุยกันว่าเจออย่างนี้นะอะไรประมาณนี้แล้วก็บึ่งไปหาพี่.D.J.ป๋องไปเจอตัวพี่เขาก่อนที่จะเข้าห้องส่ง.. ก็เลยถามถึงคอนโดร้างที่ซอยบางกรวย!! อยู่ตรงข้ามร้านกระจกแดง ผมกับเพื่อนก็เดินทางไปที่คอนโดร้างทันที! พอไปถึงพวกผมต้องตกใจ! เพราะคอนโดร้างที่ว่านั้นขนาดใหญ่มาก..กว่าที่พวกผมคิดไว้ซะอีก แต่ก็นะครับไปแล้วก็ต้องเข้าสิครับ ถ้าไม่เข้าก็เหมือน กับว่ายังไปไม่ถึงในวันที่ผมมาเดินสายกันเป็นคืนเดือนหงาย. .และพวกผมก็เอาอุปกรณ์ที่ใช้ใน การสำรวจออก มา..มีไฟแช็คอยู่แค่ 2 อันครับลืมบอกไปว่า เพื่อนๆในทีมมี 10 คนครับพวกเราก็แบ่งทีมกันตอนเวลาประมาณ 24.30 น.เพื่อนก็ให้ผมเดินนำหน้าแต่เดินได้ไม่นานเพื่อนก็ให้ผมมาอยู่ ข้างหลัง.(ความรู้สึกผมลึกๆผมว่าข้าง หลังน่ากลัวกว่าข้างหน้า )..แต่ผมเป็นคนที่เจอผีบ่อยมากเพื่อนผมก็บอกเหมือนกันว่าผมมีเซนต์.ทางด้านนี้เดิน ตรวจห้อง ในชั้น 1 เพื่อนผมก็ กระซิบมาว่าถ้ารู้สึกอะไรไม่ดีให้บอก ผมก็บอกว่าตอนนี้ยังไม่มีอะไรไปต่อเถอะ พอจะขึ้นบันได ชั้น 2 เพื่อนผมก็ให้ผมขึ้นนำไปก่อนผมก็เลย เดินนำขึ้นไปชั้นบน ( ห่างกันระยะ 2 เมตร )แล้วก็ ตามผมมาแล้วก็ให้ผมไปอยู่.. ข้างหลังอีก เป็นอย่างนี้ตลอด.. จนถึงดาดฟ้า พอเหยียบบันไดก้าวแรก (ของทางขึ้น ชั้น 2 )ก็ มีเสียงคล้ายคอมแอร์ติดดัง..ตื่ออออออ..พอผมชักขาออก ก็เงียบ พอเหยียบอีกก็ดังอีก แถมดังกว่าเดิม ซะด้วยสิผมก็ถามเพื่อนว่าไปต่อมั้ย?? (เพราะผมรู้สึกว่ามีคนแอบมอง)เพื่อนผมก็บอกว่าไปต่อ. ผมก็ไม่ขัดใจ เพื่อนเดินนำขึ้นไปก่อน..พอมองขึ้นไปบนชั้น 2 ผมก็บอกให้ทุกคนเงียบพอเงียบ..ปุ๊บ..ก็ได้ยินเสียงคนวิ่งขึ้นชั้น 3 ก่อนหน้าพวกผมผมบอกให้เพื่อนยืนรอ เพราะผมตัดสินใจวิ่งขึ้นไปดูที่มาของเสียง ... แต่พอวิ่งขึ้นไปแล้วจุด ไฟแช็คดู กลับไม่มีใคร......คอนโดนั้นมีทั้งหมด 7 ชั้น รวมดาดฟ้า</PRE>[​IMG]
    <H3>หลังจากนั้นผมก็เดินดูตามห้องต่างๆจนขึ้นไป ถึงชั้น 3 ก้าวแรกที่เหยียบ ผมได้กลิ่นน้ำอบฉุนมากเลย แต่ผมก็ไม่ได้บอกเพราะกลัวเพื่อนจะตกใจกลัว แล้วก็ขึ้นยาวไปจนถึง ดาดฟ้า เพื่อนผมคนหนึ่ง เขาก็อุทานมาว่า..ไอ้ห่า น่ากลัวฉิบเป๋งเลย!! พวกผมก็เดินลงผม ดูนาฬิกา ตอนที่ลงนั้นตี 2 กว่าๆผมก็ถูกให้ไปเดินคุมหลังตามเคย เพราะข้างหลังไฟไม่มีเลยครับพอออกมาผม ก็บอกเพื่อนทั้ง 6 คนว่าออกไปคุยกันที่ร้านอาหารดีกว่า(เพื่อนผมอีก 4 คนอยู่ที่ร้านอาหาร)พออยู่ที่ร้านผมก็ ถามคนที่ไปด้วยว่ารู้สึกเหมือนคนแอบมองกับเดินตามใหม? เพื่อนผมตอบเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า อือ!! แล้ว ตลอดการเดินสายที่คอนโดร้างนั้น พวกผม ได้ยินแต่เสียง เด็กร้องไห้!! กระเบื้องแตก!! เสียงวิ่ง!! ผมจึงถามป้า ที่ร้านอาหารว่าที่นี่มี ประวัติเฮี้ยน!! อย่างไร ป้าก็บอกว่าเคยมี ผู้หญิง... ผูกคอตาย!!..ในชั้น 3 ผมกับเพื่อนจึงถึง บางอ้อ ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ป้าก็บอกว่าเชือกที่ใช้ ผูกคอตายยังอยู่ในห้อง</PRE>[​IMG]
    <H3>ผมกับเพื่อนจึง ตกลงเข้าไปหาเชือกกัน คราวนี้มีผมกับผู้กล้าอีก 3 คน (รวมผมเป็น 4 )ก็เดินมุ่งไปยันชั้น 3 ... ผมก็เปิดประตู ดูไปเรื่อยจนเจอ ห้อง 303 ทำให้หัวใจของผมแทบหยุดเต้น!!.. เพื่อนผมตกใจจนร้อง.. เอ้ย!! มีเชือกเส้นใหญ่มาก !! ห้อยอยู่ บนเพดานห้องทั้งๆที่มาสำรวจตอนแรกมันไม่มี เพื่อนผมกำลังจะวิ่ง ผมบอกว่าห้ามวิ่งนะ ถ้านายวิ่ง เขาจะยิ่งมาหลอก!!พวกผมก็ค่อยๆ เดินกันลงมายังไม่ทันถึงชั้น 2 เลยก็ได้ยินเสียงเพื่อนที่อยู่ข้างล่าง.ร้องเสียง หลง!!แล้วก็วิ่งหนีออกไปข้างนอกผมก็ซ้อนรถเพื่อนออกไป. ตามหาพวกที่เหลือ..ระหว่างทางที่มาผมหันกลับไป มองที่คอนโด!!...ผมเห็นผู้หญิงกวักมือเรียก!!!.</PRE><CENTER>[​IMG]</CENTER>
    <H3> พอมาถึงปากซอยผมก็ถามเพื่อนที่อยู่ข้างนอกว่าเกิดอะไรขึ้น.. เพื่อนผมทั้ง 6 คนบอกว่าตอนที่เราอยู่ชั้น..3.. เราเห็นคนยืนบนดาดฟ้า!!!..กวักมือเรียกแล้วชี้ไปที่ทางเข้าตึก!!.. อย่างที่บอก ( วันนั้นเป็นคืนเดือนหงาย ) เพื่อนทั้ง 6 ก็เลยวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต........... ( สุดท้ายนี้ผมขอยืนยัน ว่าการเดินสายครั้งนี้มิได้คิดจะท้าทาย แต่เป็นการเก็บบรยากาศในสถานที่ที่มีเสียงร่ำลือเท่านั้น. .ลืมไม่ได้เลย คือดวงวิญญาณทุกๆดวงที่เรานำมาบอกกล่าว..ขอให้ดวงวิญญาณทุกดวง จงไปสู่สุคติด้วยเทอญ..) </PRE>


    </H3></H3></H3></H3>
     
  5. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    ผีในหอพัก...<CENTER></CENTER>[​IMG] [​IMG]
    </PRE>
    ความจริงผีก็มีอะไรคล้ายๆ คนเรานี่เองเพียงแต่มักจะฝังใจในการทำอะไรสักอย่าง เพราะไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป ในหอพักเก่าแก่แห่งหนึ่งในลอนดอนประเทศอังกฤษ นักศึกษาชายคนหนึ่งถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเวลาตีสอง ในคืนวันหนึ่ง เพราะมีเสียงก้าวเดินหนักๆ จากห้องครูใหญ่ ทีละก้าวทีละก้าวช้าๆ ไปตามทางเดินผ่านห้องของเขา ตรงไปหยุดยังห้องน้ำอีกด้านหนึ่ง นักศึกษาผู้นั้นไม่สนใจว่าเป็นเสียงอะไรเขาเข้านอนต่อทันที คืนต่อมาเวลาตีสองเช่นเดิม ก็มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอีก คราวนี้เขาไม่คิดว่าเขาดูหนังสือมากจนเพลีย เพราะเสียงนั้นดังชัดมากในความเงียบสงัด เหตุการณ์เกิดขึ้นเหมือนเดิมเปี๊ยบ จนไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครมาเข้าห้องน้ำในลักษณะเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน โดยบังเอิญขนาดนี้ เขาอดถามครูใหญ่ในเช้าวันรุ่งขึ้นไม่ได้ว่า ครูใหญ่ไปห้องน้ำในเวลาตีสองหรือ เปล่าคำตอบจากครูใหญ่คือ เปล่าเลย คำตอบนี้ทำให้นักศึกษาหนุ่มขน ลุกเกรียว แต่ก็ยังไม่เชื่ออะไรง่ายๆ อย่างนั้น โดยเฉพาะเขาเองก็เป็นคนหัวสมัยใหม่อย่างนี้ คืนที่3 นักศึกษาหนุ่มก็ตัดสินใจว่า ถ้ามีเสียงเดินอีก เขาจะออกไปดูให้ได้ว่า ใครทำเช่นนั้น หลังจากดื่มกาแฟแก่ๆ ไปหลายแก้ว แทนที่จะตาค้าง เขากลับผลอย หลับไปง่ายๆ มาตกใจตื่นขึ้นอีกครั้งเวลาตี 2 พอดี พร้อมๆ กับที่ได้ยินเสียงคนเดินเช่น 2 คืนที่ผ่านมา เขากระโจนออกจากเตียงทัน ทีเปิดประตูผาง แล้วยื่นศรีษะออกไปนอกห้อง มองไปยังประตูห้องครูใหญ่ ทางเดินทั้งสองข้างและประตูห้องน้ำ เขาไม่พบใครเลย แต่น่าประหลาดเสียงนั้นยังคงก้องเหมือนมีใครกำลังเดินผ่านเขาไปยังประตูห้องน้ำ เหมือนเช่นเคยเสียงนั้นหยุดลงที่หน้าประตู เหมือนทุกคืนที่ผ่านมา ชายหนุ่มตัวชาไปหมด เขากลับเข้านอน แต่คืนนั้นทำอย่างไร ก็ไม่สามารถหลับลงได้</PRE>[​IMG] [​IMG]
    เช้าวันรุ่งขื้นเขาจึงพยายามไต่ถาม จากที่ต่างๆ เพื่อแสวงหาความจริง จนพบว่าเมื่อ 14 ปีที่แล้ว มีครูใหญ่ คนหนึ่งตายในห้องน้ำ ห้องนั้น เขาฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอ !!! น่าเสียดายที่ไม่มีใครพยายามช่วยเหลือ ท่านครูใหญ่ผู้น่าสงสาร ให้หลุดพ้นจาก วงเวียนกรรม ไม่มีใครช่วยชี้ทางออกให้ ท่านจึงยังคงต้องเดินจากห้องเดิมที่ท่านเคยอยู่ เดินไปยังห้องน้ำด้วยฝีเท้าหนัก ๆ เพื่อพบตัวเองแขวนคออยู่ในนั้นทุกคืน... ทุกคืน คุณคงนึกบ้างแล้วใช่ไหมว่า ถ้าเกิดจะต้องพบ กับประสบการณ์น่าขนลุกเช่นนี้ กับตัวเองขึ้นมาจริงๆ คุณจะทำอย่างไร วิ่งหนี อยู่สู้ พูดกับผี หรือทำเฉยๆ น่าเสียดายที่ไม่มีใครเขียนคู่มือการจัดการกับผีขึ้นไว้เสียด้วย แต่ถ้ามีเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงๆ วิธีง่ายๆ ก็คือทำใจเย็นไว้ ตั้งสติให้ดีถ้าทำได้ แล้วอย่าลีมว่า ผีก็(เคย)เป็นคน เช่น เดียวกับเรา ...</PRE>
     
  6. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=1><TBODY><TR bgColor=#4b9339><TD hight="30">[SIZE=+2]<CENTER>วิญญาณออกจากร่างและเห็นวิญญาณ</CENTER>[/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width="100%"><TBODY><TR width="100%"><TD colSpan=2> เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับตัวเอง สำหรับคนไม่เชื่อไม่เป็นไรค่ะ
    ตั้งแต่เด็กดิฉันจะเป็นคนเห็นอะไรแปลกๆบ่อย โดนผีอำบ่อย แต่ก็ไม่เชิงเชื่อเรื่องผี เรื่องลี้ลับเนื่องจากไม่อยากยอมรับ กลัวว่าตัวเองจะเป็นคนงมงาย และมักคิดว่าอาจเป็นเพราะฝันไป
    จนฉันย้ายมาบ้านหลังใหม่ซึ่งเคยเป็นป่ามาก่อน ที่นี่หลายครั้งดิฉันรู้สึกเวลาตื่นทุกครั้งตื่นแต่วิญญาณ ร่างกายไม่ยอมขยับ และต้องใช้ใจตัวเองบังคับมันอยู่นานกว่าจะยอมขยับ และที่นี่มีครอบครัวป้ากับน้าย้ายมาอยู่ติดกัน และหลายคนบอกเคยเห็นผู้หญิงบ้าง คนแก่บ้าง เด็กผมจุกบ้าง แต่ดิฉันไม่เคยเห็น แต่มักมีอะไรแปลกๆบ่อยๆจนที่บ้านรู้สึกชิน จนประมาณสิบกว่าปีฉันได้นอนหลับตั้งแต่ประมาณเที่ยง เนื่องจากกลับมาจากขับรถไปส่งสินค้าให้ลูกค้า พอรู้สึกตัวอีกทีก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนก้อนอะไรสักอย่างกำลังม้วนตัวใกล้จะหลุดออกจากร่างโดยมีส่วนปลายติดอยู่บริเวณหว่างคิ้ว รอบๆตัวรู้สึกได้ว่าเป็นเวลาเย็นใกล้มืด ในตอนนั้นสองจิตสองใจ ใจนึงอยากดึงตัวเองให้หลุดจากร่าง แต่อีกใจนึงกลัวตาย ผลที่สุดความกลัวตายมีมากกว่าความอยากรู้ก็เลยสั่งในใจว่ากลับเราต้องกลับ สักพักก็กลับเข้าร่างได้ พอลืมตาตื่นในทันทีก็พบว่าบรรยากาศรอบๆตัวเหมือนกับที่เห็นในเวลานั้น
    อีกเรื่องก็คือลูกน้องของน้าที่ทำงานมานานและคุ้นกับฉันและน้องๆดีได้ตายไป วันที่สวด รถไม่พอรับฉันจึงอาสารับสองรอบรอบแรกขึ้นมาแล้วสี่คน ฉันหันไปดูพบเหลือ น้า พ่อ แม่ น้องคนตาย ก็มองว่ารอบสองคงนั่งลำบากเนื่องจากเป็นรถเก๋งและน้องคนตายตัวค่อนข้างใหญ่ ข้างหน้าก็ต้องเอาน้องมาเป็นเพื่อนอีกคน พอมารับรอบสองฉันเห็นน้องคนตายมุดเข้ามาในรถก่อน ก็เลยหันไปดูว่าจะนั่งพอหรือเปล่า ปรากฏว่าที่เห็นว่ามีคนมุดเข้าไปด้านหลังว่างเปล่า ฉันก็เลยเงียบไว้รอจนสามคนขึ้นมาหมดแล้วส่งที่บ้านฉันถึงได้บอก ทุกคนก็ตกใจ เพราะไม่มีน้องคนตายยืนอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    ไม่กล้าอ่าน..ได้แต่กวาดๆ..ตามองว่า..เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร..555...แค่กวาดตามองก้อสยองแล้วอ่ะ..ไว้วันไหนเพื่อนเยอะๆค่อยอ่าน..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2005
  8. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    อ๋อย..!! ร่ะ..ร่ะ..รูปประกอบ..สยองดีแท้เทียว..
     
  9. Samy

    Samy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,294
    ค่าพลัง:
    +2,719
    น่ากลัวครับ

    น่ากลัวจะอ่านไม่จบอ่ะ(bb-flower
     
  10. ps

    ps Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +28
    ทำไมสยองอย่างนี้
     
  11. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    เจ้าแม่ไทรทอง

    คอลัมน์ ขนหัวลุก

    ใบหนาด

    "หนุ่มแดนใต้" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากต้นหยงมัส นราธิวาส

    ผมเป็นคนภาคใต้ครับ แถมอยู่ในจังหวัดที่กำลังเดือดร้อนเพราะภัยผู้ก่อการร้าย กระทำการก่อกวนป่วนเมือง ลอบฆ่าตำรวจ ทหาร ครู ผู้พิพากษา รวมทั้งประชาชนตาดำๆ ก็พลอยตกเป็นเหยื่อไปด้วย

    ขนาดพระสงฆ์องค์เจ้าออกไปบิณฑบาตก็โดนยิงบ้าง โดนฟันบ้างจนถึงแก่มรณภาพไปก็มี วัดวาอารามก็โดนเผาวอดวาย เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น

    เด็กนักเรียนหรือทารกตาดำๆ ยังไม่วายถูกฆ่าฟันเลยครับ สลดใจจริงๆ

    ผมอยู่จังหวัดนราธิวาส อำเภอระแงะ เดือนก่อนดังไปทั้งประเทศเมื่อมีทหารสองนายถูกผู้ไม่หวังดีจับเป็นตัวประกัน แล้วลงเอยด้วยการถูกฆ่าที่ตำบลตันหยงลิมอไงครับ คิดว่าท่านผู้อ่านคงจะจำกันได้ดี

    ไหนๆ ก็เล่าเรื่องขนหัวลุกสู่กันฟังนะครับ ลืมเรื่องสลดหดหู่ไว้ก่อนดีกว่า

    บ้านผมมีน้ำตกดังๆ หลายแห่ง เช่นน้ำตกฉัตรวาริน มีน้ำไหลคึ่กๆ ตลอดปีเพราะตั้งอยู่กลางผืนป่า วนอุทธยานน้ำตกซีโปที่บ้านซีโป ตำบลเฉลิม มีเนื้อที่หกร้อยไร่เศษ เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติ มีน้ำไหลตลอดปีเลยครับ

    อ้อ! วัชระอุทธยานอีกแห่งอยู่ใกล้ๆ ตัวอำเภอนี่เอง ชาวบ้านอาศัยเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและใช้เป็นสถานที่จัดงานประเพณีต่างๆ ด้วยเช่น ลอยกระทง, สงกรานต์, งานวันเด็ก, วันครู เป็นต้น

    รัฐบาลปราบปรามผู้ก่อการร้ายหมดเมื่อไหร่ ขอเชิญไปเที่ยวกันนะครับ

    แหม! เกือบลืมต้นตะเคียนใหญ่ที่สุดในโลกแน่ะ!

    ตะเคียนยักษ์ต้นนี้อยู่ที่เขาบูเก๊ะปูโล๊ะ หมู่ 3 ต.บอแง อ.ระแงะ มีขนาดโคนต้นโตถึง 13.25 เมตร อายุไม่ต่ำกว่า 500 ปี นับว่าเป็นต้นตะเคียนขนาดใหญ่ที่สุดในโลกขณะนี้ มีการสำรวจพบเมื่อปี 2529 นี่เอง

    ที่บริเวณโรงเรียนตันหยงมัส ใกล้ๆ ที่ว่าการอำเภอระแงะ มีต้นไทรขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายเป็นต้นคู่แฝด ความใหญ่โตนั้นวัดโดยรอบได้ประมาณ 22 หลา มีผ้าแพรสีต่างๆ พันรอบหลายสิบผืน ทั้งเก่าและใหม่ มีพวงมาลัยทั้งสดและแห้งแขวนไว้ด้วย

    ชาวบ้านเรียกกันว่า "เจ้าแม่ไทรทอง" ครับ

    เจ้าแม่ที่นี่ออกจะแปลกกว่าที่อื่นๆ ตรงที่ต้นไทรใหญ่โต แผ่กิ่งก้านสาขามากมาย ชาวบ้านก็เชื่อกันว่ามีเจ้าแม่สิงสถิตอยู่ตามกิ่งใหญ่กิ่งละ 1 ตน รวมแล้วก็มีเจ้าแม่หลายสิบตนด้วยกัน

    ไม่ว่ามนุษย์หรืออมนุษย์ เมื่ออยู่รวมกันก็ต้องมีหัวหน้าหรือผู้นำ เจ้าแม่ไทรทองก็เช่นกัน เชื่อว่าหัวหน้าใหญ่เคยเป็นหมอตำแยในชาติก่อน โปรดปรานพวงมาลัยและผ้าสีสวยๆ งามๆ ตามประสาผู้หญิง ผู้คนที่มาบนบานขอสิ่งต่างๆ เมื่อสมประสงค์จึงได้นำสิ่งของดังกล่าวมาแก้บนตามที่เชื่อถือกันมา

    ท่านผู้ใหญ่เล่าว่า บริเวณต้นไทรนี้เคยเป็นสถานที่ใช้เลี้ยงสัตว์ของเจ้าเมืองระแงะ ไม่เคยมีระแคะระคายว่าเป็นที่สถิตของเจ้าแม่หรือเทพยดาอารักษ์ใดๆ มาก่อนเลย

    ครั้นถึงปี 2507 ทางการสั่งให้ปรับพื้นที่บริเวณนี้เพื่อเป็นที่ก่อสร้างโรงเรียนตันหยงมัส จึงจำเป็นต้องโค่นต้นไทรใหญ่ทิ้งเสียด้วย นายอำเภอก็เกิดฝันเห็นเจ้าแม่ไทรทองมาขอร้องว่าอย่าโค่นไทรต้นนี้เลย หาไม่ตนก็จะไม่มีที่อยู่อาศัยอีกต่อไป

    นายอำเภอตื่นขึ้นมาก็เชื่อถือความฝัน สั่งห้ามโค่นต้นไทรใหญ่นั้นโดยให้เหตุผลว่าไม่ได้เกะกะกีดขวางสิ่งใด อีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์ต้นไม้ไว้อีกด้วย

    ไม่ช้านายอำเภอก็ได้ลาภต่างๆ จนเปลี่ยนฐานะเป็นเศรษฐีทันตาเห็น!

    เมื่อข่าวนี้เลื่องลือไป ชาวบ้านก็มีความเลื่อมใสศรัทธา พากันมากราบไหว้ด้วยความเคารพนับถือมากขึ้นเรื่อยๆ และมีเหตุการณ์น่าขนหัวลุกอุบัติขึ้นหลายครั้ง ขอนำมาเล่าสู่กันฟังดังนี้ครับ

    เมื่อปี 2520 ทางราชการได้จัดให้มีการอบรมหมอตำแยขึ้นที่โรงเรียนตันหยงมัส จู่ๆ ก็มีงูขนาดใหญ่เลื้อยปราดๆ เข้ามาในสถานที่ที่จัดการฝึกอบรม พวกผู้หญิงเห็นเข้าก็หวีดร้อง ส่งเสียงเอะอะโวยวายด้วยความหวาดกลัวไปตามๆ กัน

    "นางแมะ" หรือผู้ที่เป็นหัวหน้าของผู้เข้ารับการอบรม ตั้งสติได้มั่นคงแล้วก็ยกมือไหว้ กล่าวคำขอขมาอภัยแก่เจ้าแม่ไทรทองว่า

    "ขอโทษที่ผู้เข้ารับการอบรมไม่ได้บอกกล่าวเจ้าแม่ เพราะทางราชการจัดการอบรม ไม่ใช่พวกข้าพเข้าจัดกันเอง หากมีอะไรผิดพลาดประการใดก็ขอให้อภัยด้วยเถิด เนื่องจากมิได้มีเจตนาลบหลู่เจ้าแม่เลย"

    ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงหลายสิบคู่ของหมอตำแย งูใหญ่ตัวนั้นก็เลื้อยหายเข้าไปในบริเวณโคนต้นไทรทองทันที!

    ปีถัดมา เหล่าลูกเสือชาวบ้านสังกัดอำเภอระแงะ ได้จัดการชุมนุมที่โรงเรียนตันหยงมัส มีลูกเสือ 2 คนซึ่งเป็นมุสลิม ได้ไปยืนถ่ายปัสสาวะที่โคนต้นไทรนั้นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

    จู่ๆ ก็มีเสียงแผดร้องโหยหวนจนคนอื่นๆ หันไป ก็เห็นลูกเสือทั้ง 2 คนล้มตึงลงบนพื้นดินในบัดดล!

    เมื่อพากันวิ่งเข้าไปดูด้วยความตกใจ ปรากฏว่าร่างของลูกเสือทั้งสองดีดตัวขึ้นจากพื้นหลายครั้ง ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาจับเขย่าอย่างรุนแรง ก่อนจะลุกขึ้นมายืนจังก้า แววตาขุ่นขวาง คำรามว่า

    "เจ้าพวกนี้ดูหมิ่นดูแคลนข้าเหลือเกิน"

    เสียงคำรามเป็นภาษาไทยชัดเจน ทั้งๆ ที่ปกติลูกเสือทั้งสองพูดไทยไม่ได้เลย..ก่อนที่จะล้มฟาดลงไปสิ้นใจตาย 1 คน ส่วนอีก 1 คนรอดชีวิตอย่างหวุดหวิดเพราะมีคนร่ำร้องขอชีวิตไว้ได้ทันท่วงที

    เรื่องน่าขนหัวลุกนี้ชาวระแงะล้วนแต่รู้กันดี ถ้าเหตุการณ์รุนแรงสงบลงแล้วขอเชิญท่านผู้อ่านต่างถิ่นไปท่องเที่ยว เพื่อพักผ่อนและเพลิดเพลินที่ระแงะกันนะครับ
     
  12. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    การพบเห็นวิญานของผู้มีจิตสัมผัสพิเศษเรื่องนี้



    เป็นเรื่องที่ได้จาการบันทึกของคุณอารมณ์ วัชระศิริ ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือของอภิธรรมมูลนิธิ
    วัดพระเชตุพน เมื่อหลายปีที่ผ่านมา
    ประสบการณ์ของท่านนับเป็นประสบการณ์เกี่ยวกับวิญญานอีกลักษณะหนึ่ง โดยคุณอารมณ์ได้บัน
    ทึกเรื่องราวเมื่อครั้งท่านได้รับการติดต่อจากวิญญานของชายนิรนามซึ่งมาปรากฏให้เห็นในครั้งนั้นว่า
    ดิฉันเกิดมาในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริตส์ นิกายโรมันคาทอลิก จึงได้พลอยนับถือศาสนาคริตส์ไปด้วย
    เหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินผ่านไปตามปกติ จนกระทั่งดิฉันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และในช่วงหนึ่งชีวิตของดิฉัน เริ่มรู้สึกตัวว่าไม่สบาย มีอาการปวดศรีษะอย่างรุนแรง เนื่องจากมีปัญหาชีวิตที่ต้องคิดแก้ไขอย่างหนัก เมื่อคิดมากหนักเข้าก็ยิ่งปวด จนต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ดิฉันได้ไปตรวจในโรงพยาบาลหลายแห่ง ได้รับการรักษามากมายหลายอย่าง แต่ก็ไม่ทุเลา จนในที่สุดได้เข้าไปหาที่พึ่งทางใจ คือสวดอ้อนวอนพระเจ้าตามลัทธิศาสนาคริตส์อีกมากมาย แต่แล้วก็ยังไม่หาย ต่อมาดิฉันได้รับคำชวนจากเพื่อนคนหนึ่งซึ่งนับถือศาสนาพุทธ เพราะถึงแม้ว่าจะต่างศาสนากันแต่เราก็รักและหวังดีต่อกันเสมอมา
    เพื่อนจึงชวนดิฉันไปทอดผ้าป่า ทอดกฐิน เพื่อให้เป็นการผ่อนคลายอารมณ์และรู้สึกเพลิดเพลิน เพราะเท่ากับว่าได้เดินทางไปท่องเที่ยวแก้กลุ้ม เผื่ออาการปวดศรีษะจะหายไปบ้าง พระภิกษุในวัดที่ไปทอดผ้าป่าก็ได้จัดสอนการทำสมาธิให้แก่คณะทอดผ้าป่าด้วย ดิฉันก็ทำตามเพื่อนไป ต่อจากนั้นก็สังเกตุว่าตัวเองรู้สึกสบายขึ้น ต่อมารับคำชวนของเพื่อน ไปที่วัดปากน้ำภาษีเจริญอีก ระยะเวลาที่ไปที่วัดนั้น หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านพึ่งจะมรณภาพไปแล้วใหม่ๆ ดิฉันกับเพื่อนจึงขึ้นไปกราบศพหลวงพ่อ หลังจากนั้นก็รู้สึกว่ามีแรงดลใจว่าให้ไปทำสมาธิที่นั้นเป็นประจำ ผลที่เกิดขึ้นก็คือทำให้ดิฉันรู้สึกจิตใจสงบสบายขึ้นมาก ดิฉันจึงได้เริ่มใส่บาตรทุกเช้า ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา
    หลังจากนั้นประมาณหกเดือนต่อมา ดิฉันได้ไปเที่ยวสนามหลวงกับเพื่อนๆแล้วเลยไปทำบุญที่วัดมหาธาตุ เสร็จแล้วไปนั่งอยู่ที่โบสถ์ ข้างหลังพระประธาน เห็นเป็นที่เงียบสงบดี จึงติดใจไปที่นั่นเป็นประจำ โดยดิฉันมักจะไปทั้งที่วัดปากน้ำและวัดมหาธาตุ ครั้งหนึ่งขณะที่ดิฉัน เข้าไปอยู่ที่ข้างหลังพระประธานในโบสถ์วัดมหาธาตุเช่นเคย มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ 40 เข้ามาถามว่า เป็นอะไร เพราะเห็นดิฉันนอนเอาน้ำแข็งประคบศรีษะอยู่ ผู้หญิงคนนั้นได้แนะนำ ให้ไปอฐิษฐานขอน้ำมนต์พระประธานในโบสถ์ดิฉันก็ทำตามคือ ไปนั่งอธิษฐานขอน้ำมนต์อยู่ที่หน้าพระประธานทั้งที่นั่งหลับตาอยู๋ดิฉันได้เห็นพระภิกษุรูปหนึ่ง ร่างเล็กๆ ดำๆ เมื่อลืมตาขึ้นก็ไม่เห็น ดิฉันได้น้ำมนต์มารดศรีษะ กลับไปนอนด้านหลังพระประธานแล้ว เลยม่อยหลับไป ขณะที่เผลอหลับไปนั้น ดิฉันฝันเห็นเทวดามีรูปร่างสูงใหญ่ สวยงามมาก มาปลุกให้ลุกขึ้น บอกให้ไปที่คณะ 25 โดยใช้ไม้เล็กๆมาเขี่ยที่ตัว
     
  13. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    ดิฉันลุกขึ้นเดินงงๆ แต่ก็เดินตามไป โดยไม่รู้ว่าไปไหนแล้วก็เดินไปถูกที่คณะ 25 จริงๆ เป็นกุฎิของท่านพระครูประกาศสมาธิคุณ จึงเข้าไปกราบนมัสการท่าน เล่าให้ท่านฟังว่ามีอาการไม่สบายต่างๆ ท่านพระครูประกาศ ท่านจึงบอกว่าต้องใช้พุทธโอสถ สั่งให้หาดอกไม้ธูปเทียนมาชุดหนึ่ง สอนให้กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย เสร็จแล้วส่งน้ำมนต์ที่หน้าพระให้ดื่ม หันหน้าเข้าฝาแล้วท่อง อิติปิโส ภควา ซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ ประมาณครึ่งชั่วโมงก็มีแขกมาหาท่านพระครูเต็มกุฎ ดิฉันจึงลากลับ ท่านก็ได้สั่งว่าให้ท่องทุกคืน นับจากครั้งนั้นเป็นต้นมา เมื่อมีโอกาสดิฉันก็มักจะเดินทางไปพบท่านเสมอ โดยหลายๆวันก็ไปหา ท่านครั้งหนึ่ง ท่านก็สอนให้สวดต่อไปทีละวรรคๆจนจบบทสวด ประมาณสองเดือนหลังจากนั้น ขณะที่ดิฉัน กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ที่บ้านดึกประมาณสองยาม ก็ได้เห็นชายคนหนึ่งขึ้นบันไดมา ชายที่ดิฉันเห็นคนนั้น รูปร่างค่อนข้างผอมบาง แต่งตัวเรียบร้อย นุ่งกางเกงสีดำ เสื้อสีขาวเหลืองนวล แขนยาว อีกประมาณสองขั้นจะถึงลูกกรงระเบียงที่ดิฉันนั่งอยู่
    ดิฉันหันไปถามเขาว่ามาหาใคร เขาไม่ตอบจึงถามซ้ำอีก แล้วครั้งนี้ก็ได้เห็นหน้าถนัดชัดเจน กล่าวคือชายคนนั้นหน้าตาผิดปกติ จากคนธรรมดา คือ ตา จมูก ปาก รูปหน้า เหมือนหุ่นปั้นจากปูนปาสเตอร์ มีสีขาวเหลืองๆ ซีดๆ และดูส่วนต่างๆของใบหน้าเบี้ยวๆผิดส่วน พอลืมตาขึ้นจากทำสมาธิชายผู้นั้นก็หายไป เมื่อหลับตาทำสมาธิต่ออีก จึงเห็นว่าเขายังคงยืนอยู่ ได้ลองลืมตาและหลับตาอยู่ อีก 2-3 ครั้ง จนแน่ใจว่าเขายังคงยืนอยู่ ที่นั่นจริงๆ ตามปกติดิฉันเป็นคนกลัวผีมาก ทั้งๆที่ทางศานาคริตส์สอนว่าไม่มีผี เพราะพระเจ้าได้เก็บเอาวิญญานต่างๆไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่วายกลัวอยู่นั่นเอง จึงลุกขึ้นวิ่งเข้าห้องปิดประตู ดิฉันรีบวิ่งเข้าไปกอดหลานสาวอายุ 3 ขวบไว้แน่น หลับตาทีไรก็ยังเห็นภาพนั้นอยู่ จึงไม่กล้าหลับตา ต้องลืมตาอยู่จนตีห้ากว่าๆ (จำได้ว่าเป็นฤดูหนาว) ท้องฟ้าเริ่มสางแล้ว จึงออกไปปลุกคนใช้ให้ตื่นขึ้นมาเป็นเพิ่อนหุงข้าวใส่บาตร
    เมื่อใส่บาตรเสร็จแล้วก็ไปหาท่านพระครูประกาศสมาธิคุณ พบท่านกลับจากบิณฑบาตรเล่าให้ท่านฟัง ท่านบอกว่าไม่ต้องกลัวต่อไปตั้งแต่นั้นให้แผ่ส่วนกุศลเมื่อเห็นภาพเขาอีก และบอกให้เขาอนุโมทนารับด้วย ต่ออีก 2-3 วัน ได้เห็นภาพชายผู้นั้นอีก ระหว่างที่ทำสมาธิตอนกลางคืน ดิฉันจึงสวดมนต์แผ่ส่วนกุศลให้และบอกให้เขาอนุโมทนารับ คืนต่อๆ มาอีก 3-4 วัน รู้สึกว่าได้เห็นภาพของผู้ชาย คนนั้นมีสภาพดีขึ้น รูปร่างหน้าตาค่อยเป็นปกติ ดูแจ่มใสขึ้น เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายดูสะอาดสะอ้านขึ้น ส่วนตัวดิฉันเองผ่านไปอีกประมาณ 1 ปี ร่างกายที่เคยเจ็บป่วยต้องรับประทานยาวันละหลายๆครั้ง ก็ค่อยๆสบายขึ้น จึงค่อยๆลดยาลงได้ หายจากอาการปวดศรีษะ กินได้นอนหลับ และยังคงทำสมาธิ อยู่ทุกคืนเป็นประจำ นับว่าเป็นยาที่ชะงัดที่สุด หลังจากนั้นมาดิฉันมักจะมองเห็นภาพการปรากฎของดวงวิญญานอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะเวลาที่ทำสมาธิจะพบเห็นบ่อยมาก จนต้องยอมรับว่าตัวดิฉันนั้น มีสัมผัสบางอย่างที่สามารถรับการติดต่อสื่อสารจากพวกเขาเหล่านั้นได้ แต่ขณะเดียวกันดิฉันก็ยังบังเกิดความพรั่นพรึงต่อสิ่งที่พบเห็นเสมอ แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะไม่ได้มาในทางร้ายด่อดิฉันเลยก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับดิฉันนับเป็นเรื่องน่าแปลกประหลาดยากที่จะหาคำอธิบายได้ชัดเจน และเมื่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันเป็นสิ่งที่ดิฉันประสบ มาด้วยตัวเอง จึงจำเป็นที่จะต้องเชื่อในสิ่งที่ตนเองประสบมา....โดยไม่ปฎิเสธเป็นอื่นไปได้
    [​IMG]
     
  14. numum

    numum สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +1
    มีประการณ์ขนหัวลุกเยอะๆๆยังงี้ อยากจะเชิญชวนให้ไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์ขนหัวลุกในรายการมัน...หลอน (จัดทุกวันศุกร์ เวลา 22.00-23.00 น.) ของ www.myiptv.tv ซึ่งเป็นรายการทีวีบนอินเตอร์เน็ต โดยรายการจะจัดสดและสามารถเรียกดูรายการย้อนหลังได้ด้วย ดังนั้นถ้าท่านสนใจ e-mail ไปที่ webmaster@myiptv.tv ได้น่ะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2005
  15. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    ทะเลสาบผีสิง

    คอลัมน์ ขนหัวลุก

    โดย ใบหนาด

    "ดวงเด่น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากทะเลสาบนนทบุรี

    ถ้าเอ่ยชื่อสวนสมเด็จพระศรีนรินทราบรมราชชนนี หรือนิยมเรียกกันว่า "สวนสมเด็จฯ" ชาวจังหวัดนนทบุรีและใกล้เคียงย่อมจะรู้จักกันเป็นอย่างดี ขนาดคำขวัญประจำจังหวัดยังมีอยู่เลยครับ

    "พระตำหนักสง่างาม ลือนามสวนสมเด็จ เกาะเกร็ดแหล่งดินเผา วัดเก่านามระบือ เลื่องลือทุเรียนนนท์ งามน่ายลศูนย์ราชการ"

    ถึงแม้ทุเรียนเมืองนนท์จะไม่ขึ้นชื่อลือชาเหมือนครั้งก่อน เพราะเรือกสวนกลายเป็นบ้านจัดสรร ทาวน์เฮ้าส์และตึกแถวกันเกือบหมดสิ้น คนเมืองนนท์ไม่ได้กินทุเรียนสวน แต่ต้องกิน "ทุเรียนนอก" หรือนอกสวนเมืองนนท์ เพราะมาจากระยองและจันทบุรี เป็นส่วนใหญ่...ถือว่าเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยก็แล้วกันครับ

    ดูแต่สวนสมเด็จฯ ที่สวยงามร่มรื่นในปัจจุบันก็ยังได้ สมัยผมเป็นเด็กๆ น่ะ แถวนั้นคือทะเลสาบเวิ้งว้าง กว้างใหญ่มาก แถมมีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นร่มครึ้มอยู่รอบๆ บริเวณอีกต่างหาก

    ชาวบ้านเรียกทะเลสาบแห่งนี้ว่า "หนองปรือ" มาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายโน่นแน่ะ เล่าลือกันว่าผีดุชะมัดยาดเลย!

    สาเหตุเพราะมีเด็กๆ กับพวกหนุ่มสาววัยคะนองชอบลงไปเล่นน้ำกันสนุกครึกครื้นน่ะซีครับ เกิดอุบัติเหตุจมน้ำเกือบตายบ้าง คนชะตาขาดก็ถึงกับตายไปจริงๆ ปีละหลายๆ คนเป็นประจำ แต่ไม่ยักมีคนหวาดกลัวเท่าไหร่หรอกแฮะ

    เขาว่าผีจมน้ำตายเป็นผีตายโหงที่เฮี้ยนสุดๆ

    ลองคิดดูก็เห็นจริงนะครับ เพราะผีอยู่ใต้น้ำน่ะเรามองเห็นเสียเมื่อไหร่ล่ะ?

    ขณะที่กำลังเล่นน้ำเพลินๆ อาจจะมีสายตาเขียวปัด หรือแดงก่ำ จ้องเขม็งอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญอยู่ใต้น้ำ ใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามาทุกที พอได้จังหวะก็คว้าหมับเข้าที่ท่อนขา ฉุดวูบลงไปในน้ำลึก

    แค่คิดว่ามีอะไรเย็นๆ ลื่นๆ มาพันแข้งพันขา มองก็ไม่เห็น ผมว่าใครโดนเข้าก็ขนหัวลุกแล้วละครับ

    พวกผู้ใหญ่เขาว่าผีมาเอาวิญญาณไปอยู่เป็นเพื่อนบ้าง หรือทำให้คนอื่นจมน้ำตายตัวเองจะได้ไปผุดไปเกิดบ้าง...แต่พวกเราคิดว่าผู้ใหญ่ขู่มากกว่า ไม่อยากให้เราไปเล่นน้ำกันเท่านั้นแหละ...เด็กๆ หัวห่อนอาจจะหลอกได้ แต่พวกทโมนไพรอย่างพวกผม ไม่ค่อยกลัวกันเท่าไหร่ เพราะเรายกโขยงกันไปเล่นน้ำคราวละ 5-6 คนเป็นอย่างต่ำ

    อ้อ! เลือกลงน้ำแถวหน้าวัดนะครับเพราะมันตื้นดี!

    บางวันก็มีพวกนักเรียนแถวดอนเมือง ยกโขยงมาเล่นน้ำกันทั้งผู้หญิงผู้ชาย ที่เรารู้ก็เพราะเห็นเขาใส่เสื้อช็อปของสถาบัน พวกเรารุ่นเด็กกว่าเล่นน้ำกันจนเหนื่อยก็ขึ้นมาหาซื้อขนม น้ำส้มน้ำหวานจากแม่ค้ารถเข็นริมทะเลสาบนั่นเอง

    สิ่งที่สะดุดตาพวกเราก็คือศาลเล็กๆ หลายศาลตั้งอยู่รอบตลิ่ง เป็นสิ่งยืนยันว่ามีคนจมน้ำตายไปมากมายแค่ไหน

    คือมีคนตายเมื่อไหร่ พวกญาติๆ ก็จะตั้งศาลให้เมื่อนั้น เชื่อว่าวิญญาณจะได้มีที่อยู่อาศัย ไม่ต้องกลายเป็นสัมภเสวี-ผีไม่มีศาล หรือไม่ก็ต้องดักดานอยู่ใต้น้ำเย็นยะเยือกไปตลอดกาล

    เอ...วิญญาณมาอยู่ที่ศาลแล้วยังมีผีที่ไหนมาคอยฉุดขาคนอยู่ใต้น้ำล่ะครับ? คิดแล้วก็ยังงงๆ

    วันหนึ่งก็เห็นเหตุการณ์ตื่นเต้น น่าขนหัวลุกเข้าพอดี

    พวกเรายกโขยงกันไปเล่นน้ำตรงจุดเดิม พวกนักเรียนวัยรุ่นก็เล่นน้ำถัดออกไป เขาคงไม่รู้มั้งว่าตรงนั้นน้ำลึก หรือไม่ก็ว่ายน้ำแข็งกันทุกคนแล้ว

    ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้หญิงร้องตะโกนขึ้นว่า...ช่วยด้วยๆ เราหันไปดูก็เห็นพวกวัยรุ่นหัวเราะเฮฮากัน ตอนแรกนึกว่าล้อกันเล่น แต่อีกครู่เดียวก็ร้องเอะอะโวยวายกันยกใหญ่...ผู้หญิงจมน้ำ!

    เอาละซี! รีบดำผุดดำว่ายกันตาหูเหลือก มีผู้หญิงสองคนรีบขึ้นจากน้ำ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ พร่ำแต่ว่า...นึกว่าล้อเล่น โธ่...จมน้ำจริงๆ ด้วย

    ตอนแรกงมศพไม่พบ แม่ค้าแนะนำให้จุดธูปบอกเจ้าที่ พวกวัยรุ่นก็ทำตามก่อนจะดำน้ำงมหาเพื่อนอีกครั้ง

    คราวนี้พบครับ คนหนึ่งโผล่โพล่งขึ้นมาตะโกนว่าเจอแล้วๆ ปรากฏว่าคนตายเกาะเสาไม้ไผ่ใต้น้ำเอาไว้แน่น พวกผู้ชายช่วยกันลงไปดึงร่างที่กลายเป็นศพขึ้นมา...พวกเพื่อนผู้หญิงร้องไห้โฮไปตามๆ กัน

    สาวเคราะห์ร้ายนุ่งกางเกงยีนส์ สวมเสื้อสีแดงสด ผมยาวชุ่มโชก...ผมกับเพื่อนๆ รีบวิ่งกลับบ้านที่อยู่ใกล้ๆ ทะเลสาบทันที

    พวกเราเลิกไปเล่นน้ำเสียหลายวัน แต่ไม่ช้าก็เข้ารอยเดิมจนได้!

    วันเกิดเหตุ เรากำลังเล่นน้ำตอนเย็นอยู่ดีๆ ท่ามกลางผู้คนหนาตาเพราะเป็นวันอาทิตย์ จู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงหวีดร้องแสบแก้วหู ผมหันขวับไปดูก็เห็นสาววัยรุ่นคนหนึ่งหน้าตาตื่น ลุยน้ำพรวดๆ ขึ้นฝั่งได้ก็ร้องไห้โฮ

    "มีคนฉุดขาฉันจริงๆ" เธอร้องกระหืดกระหอบ หันไปชี้มือบริเวณที่เธอเพิ่งหนีมาหยกๆ "นั่นไง! ผู้หญิงผมยาวใส่เสื้อสีแดงนั่นแหละ ฉุดขาฉันจนแทบจะจมน้ำตายเมื่อตะกี้นี้เอง"

    คนอื่นๆ ทำหน้าตางุนงงไปตามๆ กัน เพราะไม่มีใครเห็นผู้หญิงผมยาวเสื้อแดงในน้ำ...ผมเองก็ไม่เห็นหรอกครับ แต่รีบเผ่นขึ้นจากน้ำพร้อมกับเพื่อนๆ เพราะยังจำภาพผู้หญิงผมยาวใส่เสื้อแดงที่จมน้ำตายวันก่อนได้ติดหูติดตา

    ปัจจุบันนี้กลายเป็นสวนสมเด็จฯ เปิด-ปิดเป็นเวลา ห้ามคนลงไปเล่นน้ำเด็ดขาด แต่เรื่องเก่าๆ น่าขนหัวลุกก็ยังเล่าสู่กันฟังมาจนถึงทุกวันนี้
     
  16. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    แพสะดุ้งที่ดอนแก้ว

    (b-wow) สมัยหนุ่มๆ ผมมีโอกาสได้ท่องเที่ยวไปต่างจังหวัดบ่อยๆ บ้านผมอยู่เมืองย่าโม-โคราช ถือว่าเป็นประตูเชื่อมระหว่างภาคกลางกับภาคอีสานก็ได้ครับ

    ผมชอบการท่องเที่ยวมาก (ไม่ใช่การเที่ยวเตร่นะครับ) เพราะทำให้พบเห็นสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต ถือว่าเป็นกำไรอย่างหนึ่ง ได้เปรียบกว่าคนที่ไม่เคยชอบท่องเที่ยว อ้างว่าไม่มีเวลาเสียส่วนมาก

    จากการท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ นี่เอง ทำให้มีโอกาสได้เปิดหูเปิดตากว้างขวางยิ่งขึ้น รวมทั้งมีประสบการณ์แปลกๆ บางเรื่องก็น่าขนหัวลุก

    คือโดนผีหลอกน่ะซีครับ!

    พูดถึงเรื่องผีน่ะ ตอนแรกๆ ผมยังสองจิตสองใจ ไม่แน่ว่าจะเป็นผีหรือเปล่า? เราอาจจะตาฝาดหรืออุปาทานไปเองก็ได้ บางทีก็เพราะเมาเหล้า แต่บางทีก็เป็นความฝัน เพียงแต่ว่ามันคล้ายเรื่องจริงจนแทบแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร

    จนกระทั่งผมเจอดีเข้าอย่างจัง เมื่อไปเที่ยวบ้านเพื่อนชื่อเจ้าเด่น ที่บ้านเกาะดอนแก้ว หนองหาน จังหวัดอุดรธานี

    ผมเคยได้ยินชื่อหนองหานมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ พวกผู้ใหญ่เล่าว่าชาวโคราชกับชัยภูมิอพยพไปอยู่สมัยก่อน แล่นเกวียนมาถึงกุมภวาปี พักขบวนกันที่ทุ่งระหว่างบ้านกงพานกับเมืองเก่า เขาว่ามีหมู่บ้านร้าง คูเมืองล้อมรอบ มีทั้งใบเสมาและเสาหินอยู่รอบวัดร้าง อายุนับร้อยๆ ปีมาแล้ว

    เจ้าเด่นรับผมไปที่บ้านมันแถวชายเกาะ เป็นเรือนแพหลายหลังอยู่ไม่ห่างกันนัก มียอจับปลาในหนองหานทุกๆ หลัง เรียกกันว่า "แพสะดุ้ง"

    เรือนแพที่นี่ไม่เหมือนในภาคกลางนะครับ เพราะไม่ใช่เรือนบนแพลูกบวม ไม้ไผ่ แต่ปักเสาลงน้ำกันเลย ยกพื้นสูงเพื่อป้องกันน้ำท่วม มีเรือเล็กๆ จอดอยู่ใต้ถุนเหมือนกันทั้งนั้น...ตอนกลางวันหนองหานเวิ้งว้างไปลิบๆ ยิ่งตกค่ำยิ่งดูอ้างว้างเยือกเย็นน่าดู

    วันรุ่งขึ้น เจ้าเด่นปลุกแต่เช้า พ่อแม่มันทำข้าวปลาอาหารไว้ให้กินเรียบร้อย พ่อเฒ่าเล่าว่าสมัยก่อนมีทำบุญคุ้มข้าว หรือบุญเบิกบ้าน การหุงข้าวเหนียวด้วยหม้อดิน การสีข้าวด้วยเครื่องสีไม้ไผ่ ซ้อมข้าวด้วยครกกระเดื่อง และการย้อมฝ้ายด้วยหม้อดิน...เดี๋ยวนี้แทบจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว

    อิ่มหนำสำราญ เจ้าเด่นก็พาไปไหว้พระธาตุดอนแก้ว (พระมหาธาตุเจดีย์) ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าพระอุโบสถ...ได้ความรู้ว่าทั้งพระธาตุเจดีย์ เสมาและเสาหินสร้างขึ้นประมาณ พ.ศ. 1100-1300 ตั้งพันกว่าปีก่อนโน้น

    ภาพแกะสลักบนเสาหินทรายเป็นฝีมือช่างสมัยลพบุรีตอนต้น แสดงว่าเก่าแก่ยิ่งกว่าปราสาทหินพิมาย หรือปราสาทเขาพระวิหารเสียด้วยซ้ำไป!

    มานั่งพักใกล้ๆ หลักศิลารอบองค์พระมหาธาตุเจดีย์ ลมพัดเย็นสบายจนน่าเอนกายนอน ผมเคลิ้มๆ ว่ากาลเวลาย้อนกลับไปสู่อดีต เห็นผู้คนแต่งตัวแปลกประหลาดทั้งหนุ่มสาว เฒ่าแก่และเด็กๆ เดินพูดคุยกันด้วยภาษาที่ผมไม่เข้าใจ พวกสาวๆ ก็หัวเราะกันคิกคักอย่างมีความสุข

    ตอนเย็นๆ พ่อเฒ่าก็ให้เจ้าเด่นเอา ส.ร.ถ.(สุราเถื่อน) มาเลี้ยง ยืนยันว่าดีกรีแรงขนาดจุดไฟติด ผมซดเข้าไปก็หวิดสะดุ้ง...เหมือนกลืนน้ำเดือดๆ ลงคอเลยครับ วูบๆ ลงไปถึงไหนรู้หมดเพราะมันร้อนที่นั่นน่ะซี

    อาหารเพียบเลย ทั้งลาบ ก้อย ต้มยำ ปลาสดปลาแห้งมีทั้งนั้น โดยเฉพาะผักใส่ถาดมาเยอะแยะ...แค่ข้าวเหนียวจิ้มลาบหรือจิ้มน้ำพริกปลาร้าที่ใส่เนื้อปลาก็แสนอร่อย รับรองว่าเมาเมื่อไหร่ก็อิ่มตื้อเมื่อนั้น

    ทั้งเมาทั้งอิ่ม ไม่ช้าก็ง่วงจนถ่างตาไม่ไหว ลมเย็นๆ จากหนองหานพัดโชยมา คล้ายมีใครกำลังกระซิบกระซาบเล่าเรื่องเร้นลับในสมัยโบราณให้ฟัง!

    ผมจะหลับไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ แต่เสียงเพลงแว่วหวานก็ดังมากระทบหูจนลืมตาตื่น...สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบเชียบเยือกเย็น เสียงคลื่นเซาะฝั่งเบาๆ สะกดความรู้สึกให้พร่ามึน เจ้าเด่นหลับสนิท... ผมหันไปเห็นผู้หญิงผมยาวคนนั้นเข้าพอดี!

    เธอนั่งอยู่บนเนินดินชายน้ำ ผมยาวถึงกลางหลัง แหงนหน้ามองดวงจันทร์ที่ลอยอ้างว้างอยู่กลางหาว...เธอนั่นเองที่มาร้องเพลงเป็นเพื่อนราตรี โดยไม่แยแสความหนาวเย็นแม้แต่น้อยนิด

    ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจ ผมเดินลงจากบ้านเข้าไปหาเธอเหมือนคนถูกสะกดจิต แต่แล้วเธอก็หันมามองอย่างกะทันหัน..ร่างนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นยืนระทวยอย่างเชื่องช้า...

    ใบหน้าขาวผ่องอยู่ในแสงจันทร์ ผมดกดำยาวสยาย แต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดแดงมิดชิด สะเอวคอดกิ่วคล้ายจะช่วยขับให้ทรวงอกโดดเด่น สะโพกกลมกลึงผึ่งผาย โดยเฉพาะนัยน์ตากลมโตดำขลับ จ้องมองมาทางผมนิ่งแน่วเยือกเย็น ปากรูปกระจับเผยอยิ้มนิดๆ คล้ายจะยั่วเย้าอยู่ในที

    แววตาทรงอำนาจที่จ้องมองทำให้ผมยืนตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป อยากจะพูดอะไรก็พูดไม่ออก ราวกับปากลิ้นแข็งไปจนหมดสิ้น

    ท่ามกลางความเงียบและหนาวยะเยือก ร่างเธอหมุนกลับ เดินช้าๆไปสู่ชายหาด โดยไม่หันกลับมาอีกเลย ผมอยากจะวิ่งตามไปร้องห้าม แต่สองขาก็หนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงด้วยท่อนเหล็กจนก้าวไม่ออก

    คุณพระช่วย! ร่างนั้นเดินลุยน้ำลงไปแล้ว...เธอคงจะฆ่าตัวตาย! ผมร้องอึงอยู่ในใจ แต่เมื่อจ้องมองอีกทีก็เห็นร่างนั้นจมหายไปในสายน้ำโดยปราศจากร่องรอย

    ผมตั้งสติได้ก็ตะโกนเรียกชื่อเพื่อนดังลั่น...แสงไฟสว่างขึ้น เจ้าเด่นถือไฟฉายเดินลงมาหา ผมเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมดมันก็ถอนใจยาว เล่าว่าชาวบ้านดอนแก้วเคยเห็นกันมาหลายสิบปีแล้ว ทีหน้าทีหลังเห็นอะไรอย่าทักเด็ดขาด

    รุ่งขึ้นผมก็ขอตัวไปเที่ยวบ้านญาติอุดรฯ กลัวว่าจะเห็นอย่างเมื่อคืนอีกน่ะซีครับ ขนลุก!
     
  17. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    ผีป่าที่พนัสนิคม

    มนุษย์ทุกชาติทุกภาษาล้วนแต่เชื่อเรื่องผีๆ สางๆ ทั้งนั้น คือเชื่อว่าเมื่อคนเราตายแต่ตัว ส่วนวิญญาณยังอยู่ อาจจะกลับมาหาญาติสนิทมิตรสหายก็ได้ หรือร่อนเร่ไปตามยถากรรมก็ได้ เรียกว่าสัมภเวสี หรือผีไม่มีศาล

    คนตะวันออกส่วนใหญ่ต้องการให้ผู้ตายไปสู่สุคติ ไม่อยากให้ย้อนกลับมาสู่ภพเดิมของตนอีกต่อไป

    นั่นคือการใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพก่อนเผา!

    เชื่อถือกันว่าเป็นน้ำบริสุทธิ์ยิ่งกว่าน้ำชนิดอื่นๆ แม้แต่น้ำฝน เพราะเป็นน้ำที่เกิดในลูกมะพร้าว เชื่อกันว่าเมื่อนำมาล้างหน้าศพแล้วจะทำให้ผู้ตายลืมเลือนผู้คนต่างๆ ในชาตินี้ได้จนหมดสิ้น

    ในภาคอีสานบางแห่ง เมื่อเผาศพแล้วก็จะตัดไม้เล็กๆ ท่อนหนึ่งขวางทางไว้ เพื่อกั้นวิญญาณไม่ให้กลับมาสู่บ้านเรือนที่เคยอยู่อาศัยได้อีกเลย

    ถือคติว่า เมื่อตายแล้วก็ควรไปผุดไปเกิดในโลกใหม่ ดีกว่าจะมัวมาอาลัยอาวรณ์ชาติภพเก่าๆ จนไม่ได้ไปเกิดใหม่กันพอดี!

    สมัยก่อนเชื่อว่าผู้ตายเองก็ต้องการลืมอดีตให้หมดสิ้นเช่นกัน ภายใน 3 วัน 7 วัน เมื่อวิญญาณรู้แน่ว่าตนตายไปแล้ว ไม่ได้เป็นมนุษย์เหมือนเดิมอีกต่อไป ก็จะกลับมา "เก็บรอยตีน" ของตนรอบๆ บ้านที่เคยอยู่อาศัยเมื่อยามมีชีวิตอยู่

    ญาติสนิทในบ้านนั้นๆ จะนำแป้งข้าวเจ้ามาโรยไว้ตั้งแต่ประตูรั้วจนถึงเชิงบันได วิญญาณนั้นจะได้มองเห็นและเดินเก็บรอยตีนของตนหมดสิ้น ไม่มีหนทางจะจดจำอดีตตัวเองได้อีกต่อไป

    หลักฐานที่ทิ้งไว้คือรอยตีนบนแป้งนั่นเอง!

    บางครั้งก็มีคนสงสัยว่า "ผีมาเก็บรอยตีน" หรือ "ผีมาทิ้งรอยตีน" กันแน่

    ในยุโรปตอนใต้กลับมีความเชื่อตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง คือต้องการให้ผีหรือวิญญาณกลับมาเยี่ยมบ้านเหมือนเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่

    ชาวสเปนเมื่อเคลื่อนศพไปยังสุสาน พวกญาติสนิทมิตรสหายจะช่วยกันโปรยปรายดอกไม้ต่างๆ ไปตามทาง โดยเชื่อว่าเมื่อฝังศพเรียบร้อยแล้ว วิญญาณจะได้ตามดอกไม้เหล่านั้นกลับมาเยี่ยมบ้านได้ถูกต้อง ไม่มัวแต่หลงทางไปยังที่อื่นๆ เสียก่อน

    เมื่อสเปนไปยึดประเทศต่างๆ เป็นเมืองขึ้น ในสมัยที่ยังนิยมล่าอาณานิคมก็ได้นำประเพณีดังกล่าวไปเผยแพร่ด้วย ครั้นเนิ่นนานไปก็ทำให้คนพื้นเมืองยึดถือว่าเป็นประเพณีของตนมาจนถึงปัจจุบัน

    เม็กซิโกที่ใช้ภาษาสเปนมาหลายร้อยปี แม้จะเป็นอิสระแล้วก็ตาม แต่ส่วนหนึ่งยังยึดถือประเพณีอย่างเคร่งครัด

    การใส่เงินในฮวงซุ้ย, โลงศพ, โดยเฉพาะเวลาจะฌาปนกิจ ก็มีความเชื่อถือคล้ายคลึงกันทั้งตะวันออกและตะวันตก สมัยก่อนนิยมนำเงินใส่ปากผู้ตาย เรียกว่าเงินปากผี

    จุดประสงค์ก็คือให้ผู้ตายนำเงินไปซื้อที่ทางในโลกหน้า!

    พูดตรงๆ ก็คือ เมื่อร่างกายหรือวิญญาณไปอยู่ป่าช้าแล้ว ในโลกอันเร้นลับน่าสะพรึงกลัวนั้นย่อมจะมีหัวหน้า หรือ "นายป่าช้า" คอยกำกับดูแล เมื่อมีน้องใหม่เข้ามาก็ต้องเรียกร้องค่าตอบแทน หรือจะเรียกว่ารีดไถก็คงไม่ผิดนัก

    มีเงินทองติดตัวมาก็ย่อมได้รับความสะดวกสบาย แต่ถ้ายากจนข้นแค้นเป็นผีอนาถา หรือศพไม่มีญาติ ก็คงจะโดนขาใหญ่ในป่าช้าขับไล่ไสส่ง หรือมิฉะนั้นก็ถูกกลั่นแกล้งต่างๆ นานาจนกว่าจะได้ไปผุดไปเกิด

    ชาวกรีกโบราณก็มีความเชื่อคล้ายๆ กัน!

    เมื่อมีการตั้งศพก่อนจะเผา ญาติมิตรก็จะนำเงินเหรียญมาปิดดวงตาทั้งสองข้างของผู้ตาย โดยเชื่อถือว่าเมื่อเผาศพแล้ว วิญญาณจะได้นำเงินนั้นไปจ่ายให้นายด่านที่เฝ้าแดนมรณะ เรียกว่าเป็นค่าผ่านด่านไปสู่ปรโลก ถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าธรรมเนียมก็ไม่อาจจะผ่านด่านนั้นไปได้เด็ดขาด

    ส่วนการอาบน้ำศพ ทำความสะอาดให้เป็นครั้งสุดท้าย หวีผมผัดหน้าทาแป้ง รวมทั้งการแต่งเนื้อแต่งตัวให้อย่างดี เรื่องนี้ล้วนมีความเชื่อถือตรงกันไม่ว่าตะวันออกหรือตะวันตก

    ไหนๆ ก็เป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายทั้งที ญาติสนิทมิตรสหายจะปล่อยให้นักเดินทางสกปรกมอมแมมไปทำไมกัน? เดี๋ยวใครๆ ในโลกหน้าเห็นเข้าก็จะดูถูกดูแคลนเอาเปล่าๆ แถมทำให้ญาติมิตรพลอยเสื่อมเสียไปอีกด้วย

    คนตายที่ได้รับการดูแล บำเพ็ญกุศลให้ตามประเพณี มักจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องผีดุ ผิดกับคนที่ล้มตายโดยญาติมิตรไม่ได้รู้เห็น วิญญาณจึงไม่สงบสุข พลอยทำให้คนอื่นๆ ต้องเดือดร้อนไปด้วย

    สมัยเด็กๆ ผมอยู่พนัสนิคม ชลบุรี มีเรื่องน่าขนหัวลุกมาเล่าสู่กันฟัง

    นอกอำเภอเป็นป่าใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์มาก ชาวบ้านเสร็จจากหน้านาก็จะไปป่ากัน โดยพวกผู้ชายจะจัดการเอาควายเทียมเกวียน มีเสบียงอาหารพร้อม เดินทางไปกับเพื่อนบ้านหลายๆ คน เข้าป่าเพื่อตัดฟืนมาใช้ ถ้าพบต้นไม้ใหญ่ก็จะช่วยกันเลื่อยจนเป็นแผ่นกระดานใส่เกวียนกลับ ทั้งใช้ซ่อมบ้านก็มี ใช้ปลูกบ้านใหม่ก็มี

    เย็นหนึ่ง พวกไปป่าก็ชักเกวียนออดแอดกลับบ้าน มีคนเห็นผู้ชายตัวดำๆ รูปร่างใหญ่โตกลุ่มหนึ่งเดินตามหลังขบวนเกวียนมา หมูหมาหอนกันระงมจนออกมายืนดูกันสลอน...พวกที่กลับจากป่าเล่าว่าพบโครงกระดูกหลายโครงโผล่ขึ้นมา คิดว่าเป็นศพที่ตายมานานแล้วจึงไม่ได้สนใจนัก

    ไม่มีใครนึกว่าจะติดตามมาจนถึงหมู่บ้าน สันนิษฐานว่าคงเป็นสมัยก่อนที่ล้มตายไปโดยไม่มีใครรู้ข่าว อาจจะติดตามมาขอส่วนบุญก็ได้...ต่อมามีการถางป่าทำไร่อ้อยและมีโรงงานทำน้ำตาลเกิดขึ้น เรื่องผีป่าก็ค่อยๆ เลือนหายไปจนถึงทุกวันนี้
     
  18. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    เจริญกรุงซอย 19

    สมัยหนุ่มๆ ผมอยู่แถวถนนเสือป่า พอข้ามสี่แยกเจริญกรุงก็เป็นถนนราชวงศ์แล้วครับ ย่านนั้นมีของอร่อยๆ เยอะแยะ ไม่ว่าก๋วยเตี๋ยวราดหน้าหรือก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ ก๋วยเตี๋ยวแปะเตียง หรือ ข้าวเสียโป

    อ้อ! "แปะเตียง" กับ "ข้าวเสียโป" น่ะเป็นชื่อร้านนะครับ แต่ชื่อหลังนี่ยังเป็นชื่ออาหารจานเด็ดอีกต่างหาก

    ร้านแปะเตียงอยู่ในซอยบำรุงรัตน์ เก่าแก่ตั้งแต่สมัยเตี่ยยังหนุ่ม นับถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปหกสิบกว่าปีแล้ว โด่งดังเรื่องลูกชิ้นปลาหลายแบบ ล้วนแต่ทำเองทั้งนั้น ลูกชิ้นเหนียวนุ่มน่ากินนักหนา เขาว่าทำจากปลาดาบกับปลาอินทรีครับ

    ลูกชิ้นกุ้งก็ลือชื่อเช่นกัน รับรองว่าได้กินเนื้อกุ้งล้วนๆ ไม่มีการแหกตาผสมแป้งให้เสียยี่ห้อซีน่า

    "บะหมี่เป๊าะ" หากินยากนะครับ เป็นบะหมี่เหลืองเส้นใหญ่ ต้นตำรับของจีนขนานแท้และดั้งเดิม เส้นอ่อนนุ่มเคี้ยวอร่อย...ติดลิ้นติดใจมาจนถึงป่านนี้แน่ะ

    เล็กแห้งชาม-ใหญ่ต้มยำชาม ไม่ว่าลูกชิ้นปลาหรือกุ้ง จะให้ใส่ทั้งสองอย่างด้วยก็ได้...อิ่มหนำแล้วเป็นต้องยอมรับกันทุกคนว่า...สวรรค์มีจริง!

    ร้านข้าวเสียโปที่ปากซอยเจริญกรุง 19 ฝั่งเดียวกับบ้านผมก็อร่อยเฉียบขาดไม่หยอก จะบอกให้! สมัยก่อนได้ยินเขาเถียงกันว่า "ข้าวเฉียโป" หรือ "ข้าวเสียโป" กันแน่?

    คนที่เรียกว่าข้าวเฉียโปก็เพราะเป็นชื่ออาหารจีนอย่างหนึ่ง แต่คนที่ยืนยันว่าเป็นข้าวเสียโป ก็เพราะแถวสามยอดสมัยก่อนมีโรงหวย นักพนันที่เสียโปแทบหมดกระเป๋าก็เลยมาหาอาหารถูกๆ ที่เขาหาบขายกินกันตาย เลยเรียกว่าข้าวเสียโป!

    คิดแล้วก็เป็นงงเอาการนะครับ!

    ไม่ใช่ข้าวหน้าเป็ด ข้าวหมูแดงหมูกรอบ เพราะเป็นทั้งข้าวหน้าเป็ดผสมกับหมูกรอบหมูแดง ไหนจะใส่ทั้งกุนเชียง กระเพาะหมู หูหมู ลิ้นหมู ตับแก้ว (ตับที่ยัดด้วยมันหมู) ราดด้วยน้ำเป็ดย่าง รสชาติหวานมันและเค็มพร้อมสรรพ

    ผักที่แนมมาก็ไม่ใช่แตงกวาหรือไช้เท้ากรอบๆ แต่เป็นผักลวก มีทั้งถั่วฝักยาว ผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง น้ำจิ้มคือซีอิ๊วผสมน้ำส้มสายชูรสเด็ดจริงๆ ให้ดิ้นตาย...จานเดียวอิ่มตื้อไปทั้งวัน

    ไม่ได้เว่อร์หรอกครับ เพราะร้านนี้เขาขายตอนเย็นๆ ราวสองทุ่มก็หมดแล้ว สมัยผมหนุ่มๆ น่ะเขาเปิดร้านมายี่สิบกว่าปีเห็นจะได้

    ตกลงว่าชื่อข้าวเฉียโปหรือเสียโปกันแน่?

    เจ้าของร้านเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนจะมีส่ำเซียนพกอุปกรณ์เล่นพนันเป็นไม้กระบอก ใส่ติ้วเป็นสีๆ มีแต้ม คล้ายเซียมซีนั่นแหละ ใครดึงได้แต้มมากถือว่าเสียโป ต้องเสียเงินให้นักเล่นคนอื่นๆ ถ้ามีข้าวหาบสารพัดหน้ามาขายก็ต้องควักกระเป๋าเลี้ยง

    นี่เองคือที่มาของข้าวเสียโป!

    เพราะความเป็นคนชอบหาของอร่อยๆ กินนี่แหละครับ ทำให้ผมเจอะเจอกับประสบการณ์ขนหัวลุกโดยไม่นึกฝัน

    วันนั้นผมช่วยเตี่ยขายของตั้งแต่เช้า ตอนเที่ยงก็ตั้งโต๊ะหลังร้าน เป็นกับที่กินกับข้าวต้มเหมือนตอนเช้า ผมเลยหลบไปร้านแปะเตียง เล็กแห้งลูกชิ้นปลา-เล็กต้มยำใส่ทั้งลูกชิ้นปลากับลูกชิ้นกุ้ง แหม! ต้นหอมซอยกับกระเทียมเจียวหอมยั่วน้ำลายชะมัด

    กลับไปทำงานต่อจนตกค่ำ รีบล้างหน้าล้างตาบึ่งไปเจริญกรุงซอย 19 ทันใดเพราะหิวเต็มทน

    ตอนนั้นราวทุ่มเศษ ผมยืนรอสักครู่ก็ได้โต๊ะว่าง สั่งข้าวเสียโปแบบแยกเครื่องมาหม่ำทันที...มองไปที่หน้าร้านก็เห็นคนมายืนออกันราว 5-6 คน จะทันหรือเปล่าไม่รู้เพราะร้านเขาปิดสองทุ่มเท่านั้น

    รู้สึกจะคุ้นหน้าอยู่คนสองคน พอหันไปมองอีกทีก็ใช่เลย...เฮียอ๋า-คนดังย่านพลับพลาไชย เป็นเพื่อนรุ่นน้องของเตี่ยผมเอง...แกพยักหน้ายิ้มๆ ให้ผมแบบทักทาย ผมจะเรียกมาร่วมโต๊ะก็ไม่ได้ครับ ไหนจะโต๊ะเล็ก แถมนั่งกันเต็มอีกต่างหาก

    ข้างนอกลมพัดแรง ฝนทำท่าจะเทลงมาเมื่อไหร่ก็ได้!

    รีบก้มหน้าก้มตากินอาหารเร็วขึ้น ไม่อยากให้คนหิวต้องรอไส้แขวนนานนักหรอกครับ อกเขาอกเรา! แต่พอจ่ายเงินเสร็จเดินออกมาก็ไม่เห็นเฮียอ๋าซะแล้ว

    จะว่าแกขี้เกียจรอเลยไปหาอะไรกินร้านอื่นก็ไม่ใช่ เพราะเฮียอ๋าเป็นแฟนประจำข้าวเสียโปเหมือนผม แต่จะว่าแกได้โต๊ะว่างเข้าไปตอนผมก้มหน้าควักเงิน...หันไปดูในร้านเล็กๆ นั่นก็ไม่เห็นเฮียอ๋าแม้แต่เงา

    ผมจำได้แม่นว่าแกนุ่งกางเกงยีนส์ สวมแจ๊คเก็ตดำ เสื้อตัวในสีส้ม ผมยาวปรกหน้าผาก คาบบุหรี่ติดปากเหมือนที่เคยเห็นทุกครั้ง

    ลมพัดอู้จนเศษกระดาษปลิวว่อน ผมรีบเผ่นกลับบ้าน คิดว่าช่วยเตี่ยปิดร้านแล้วจะได้อาบน้ำ เข้าห้องดูทีวีให้สบายใจ...แต่พอไปถึงก็เห็นเตี่ยท่าทางซึมๆ บอกว่าเฮียอ๋าโดนคู่อริดักแทงที่สวนมะลิ อาการเป็นตายเท่ากัน ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลกลาง

    ผมอ้าปากค้าง ขนหัวลุกเกรียว ร้องแต่ว่าไม่จริงๆ ขณะที่เตี่ยพูดต่อโดยไม่สนใจ

    "พรุ่งนี้อั๊วจะไปเยี่ยมมันหน่อยๆ ชั่วๆ ดีๆ มันก็ไม่เคยมาระรานเรา เรียกอั๊วว่าเฮียมาตั้งแต่เด็กจนโต"

    ผมทนไม่ไหวก็ร้องว่าเพิ่งเห็นเฮียอ๋าที่หน้าร้านข้าวเสียโปมาหยกๆ นี่เอง...เตี่ยส่ายหน้าโดยไม่พูดไม่จา รุ่งขึ้นไปเยี่ยมเฮียอ๋าแล้วกลับมาบอกว่า โดนแทงสาหัสจนหมอช่วยไม่ไหว เพิ่งสิ้นใจเมื่อตอนดึกนี่เอง

    แล้วที่ผมเห็นเมื่อตอนค่ำวานคืออะไรล่ะ? ถึงตอนนั้นเฮียอ๋ายังไม่สิ้นลมก็ออกจากโรงพยาบาลมารอกินข้าวเสียโปไม่ได้แน่ๆ คิดไม่ออกจริงๆ ได้แต่ขนหัวลุกครับ!
     
  19. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    โลงลุงพื้น
    สมัยเด็กๆ ผม ต.โพนทอง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี จะว่าเป็นจังหวัดที่มีชาวพวนอยู่มากที่สุด ก็คงจะไม่ผิดความจริงหรอกนะครับ เพราะอพยพกันมาจากภาคเหนือและภาคอีสาน รวมทั้งภาคกลางใกล้ๆ อย่างทับคล้อ, ทุ่งโพธิ์, วังหลุม ฯลฯ

    ชาวบ้านเกือบทุกตำบล 10 คน เป็นลาวพวนซะ 8 คน ไทยเวียงหรือไทยแง้ว 1 คน เชื้อสายจีนอีก 1 คน

    ชาวพวนพวกผมรำคาญใจอยู่อย่างตรงที่คนลาวก็เรียกเราว่า "ไทยพวน" พอมาอยู่เมืองไทยเมื่อราว 200 ปีก่อน พวกเราก็ถูกเรียกว่า "ลาวพวน" ซะอีกแน่ะ ทั้งๆ ที่ชาวพวนอยู่มาก่อนลาวไม่รู้ว่ากี่ร้อยปีแล้ว

    "พวน" นะครับ ไม่ใช่ "ลาวพวน" ขอร้องละเอ้า!

    พวกผู้ใหญ่เคยเล่าให้ฟังว่า สมัยที่มาตั้งรกรากอยู่ที่ตำบลบ้านเซ่า คำว่าเซ่าน่ะ เป็นภาษาพวนแปลว่าหยุดหรือพัก ต่อมาเมื่อร้อยกว่าปีก่อนมีการจัดตั้งอำเภอขึ้น ตำบลบ้านเซ่าเลยกลายเป็นอำเภอสนามแจง สาเหตุเพราะทำเลตั้งอยู่ริมเขาสนามแจงนั่นเอง

    ต่อมาก็ย้ายอำเภอไปอยู่ที่บ้านห้วยแก้ว ต.มหาสอน เพราะเป็นชุมทางที่ลำคลองสนามแจงกับห้วยท่าตะโกมาบรรจบกัน กลายเป็นลำน้ำบางขามนั่นปะไร แล้วชื่ออำเภอก็เปลี่ยนเป็นห้วยแก้ว ไม่ช้าก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านบางพึ่ง อยู่คนละฝั่งกับอำเภอห้วยแก้ว

    คิดอีกที บ้านผมนี่ขยันย้ายอำเภอมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะมีทางรถไฟสายเหนือผ่านก็ย้ายที่ว่าการอำเภอไปสร้างที่ตำบลบ้านเซ่า หรือตำบลบ้านหมี่ในปัจจุบัน แล้วหันไปใช้ชื่ออำเภอสนามแจง อยู่ๆ เกิดไม่ชอบชื่อนี้จึงเปลี่ยนเป็นอำเภอบ้านเซ่า

    จนถึงปี 2482 ถึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอบ้านหมี่มาจนถึงทุกวันนี้!

    ชาวพวนนับถือทั้งพุทธศาสนากับนับถือผีปู่ตา ผีบรรพบุรุษ โดยแยกหิ้งพระต่างหาก ในหมู่บ้านยังมีศาลผีปู่ตา คล้ายๆ ศาลผีตาแฮกในภาคอีสาน ส่วนมากมักจะสร้างไว้ตามเนินโคกหรือจอมปลวกใหญ่ๆ บ้างเรียกว่า "หอบ้าน" ก็มี

    ที่ตำบลหินปักจะมีพิธีกรรมเลี้ยงผีปีละครั้ง มีคนสูงอายุทำพิธีเรียกว่า "เจ้าจ้ำ" เชื่อว่าถ้าทำการเซ่นไหว้ดี-ทำพลีถูกต้อง ผีปู่ตาจะคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป

    ปกติก็มีจะการเซ่นในวันสิ้นเดือนที่ตรงกับวันพระ โดยจัดอาหารคาวหวานและหมากพลู บุหรี่ และใช้ใบตองห่อเป็นรูปสี่เหลี่ยม นำไปวางไว้ตรงทางสามแพ่ง ที่เชื่อตรงกันไม่ว่าไทยหรือพวน คือเป็นทางผีผ่าน บ้างก็นิยมนำไปวางไว้ข้างโบสถ์ก็มี

    ถือว่าเป็นการแจกอาหารทำทานให้กับผีเปรตและผีไม่มีญาติด้วย

    พิธีกรรมเกี่ยวกับงานศพก็น่าสนใจนะครับ

    เมื่อมีการตายผิดธรรมชาติ หรือตายโหง พวกเราจะต้องฝังศพไว้ก่อน 3 ปีแล้วค่อยขุดขึ้นมาเผา เพื่อรอให้วิญญาณไปผุดไปเกิดเสียก่อน ไม่งั้นอาจจะมาเอาชีวิตญาติสนิทมิตรสหายไปอยู่ด้วยก็ได้ อย่าล้อเล่นไปเชียว

    ตอนที่หามศพลงจากบ้านแล้ว เจ้าของบ้านจะต้องรีบชักบันได้ขึ้นทันที เพราะบ้านส่วนมากปลูกใต้ถุนสูง มีบันไดพาด จะเข้านอนก็ชักบันไดขึ้นเก็บ...ที่ทำแบบนั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผีกลับมาขึ้นบ้านได้อีก...ไปแล้วไปเลย ว่างั้นเถอะ!

    ขนาดนั้นยังไม่ค่อยจะวางใจเลยครับ เมื่อเผาศพเสร็จแล้วก็จะนำน้ำส้มป่อยมาสาดบ้าน สาเหตุก็เพราะต้นส้มป่อยมีหนามมาก ถึงผีจะหาทางขึ้นบ้านได้ก็ไม่กล้าบุกรุกเข้าไปในห้องในหับ เพราะกลัวหนามตำเอานั่นละน่า

    ถือคติตายแล้วตายเลยมาตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตาทวดแล้วนะครับ เรื่องนี้...คิดถึงกันก็พอแล้ว อย่าไปมาหาสู่กันให้ขนหัวตั้งดีกว่า ถึงแม้ตอนเป็นจะรักใคร่กันแค่ไหนก็เถอะ

    ตอนหามศพออกจากบ้านก็ต้องใจหายใจคว่ำอีกแล้วครับ

    มีกฎเกณฑ์ที่ไม่ต้องบอกกล่าว แต่เป็นที่ซาบซึ้งกันดีว่า ตอนหามศพไปป่าช้าน่ะ ห้ามวางโลงบนพื้นดินเด็ดขาด ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยหรือหิวน้ำหิวกะแช่แทบจะขาดใจก็เถอะเอ้า!

    ถ้าทนไม่ไหวจนต้องเปลี่ยนคนหามโลงจริงๆ ก็ต้องไม่วางโลงลงพื้นดิน เพราะเชื่อถือกันฝังหัวว่าจะทำให้ผีมีอิทธิฤทธิ์ เฮี้ยนจัดระดับป่าช้าแตกได้ง่ายๆ

    "อย่าพาผีหยุด-อย่าพาผีเซา"

    นั่นคือความเชื่อมั่นของชาวพวนที่เชื่อถือกันมาหลายชั่วคนแล้วนะครับ

    สมัยก่อนนั้น พวกเด็กๆ หรือคนหนุ่มสาวจะเคารพนับถือผู้ใหญ่เป็นส่วนมาก ไม่ค่อยดื้อรั้น ดันทุรัง หรือดื้อตาใสเหมือนยุคต่อมา...ต่ออุบัติเหตุหรือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยเหนือความคาดหมายก็ทำให้เกิดเรื่องสยองขวัญขึ้นดื้อๆ

    ลุงพื้นผิวป้าแย้มเป็นนักขึ้นตาลตัวยงประจำหมู่บ้าน แกทำทั้งน้ำตาลสดและน้ำตาลเมา แถมตัดตาลอ่อนๆ มาเฉาะเปลือกเอาลูกตาลมาแจกเด็กๆ กินเป็นประจำ

    กรรมวิธีบนยอดตาลน่ะผมไม่ค่อยรู้หรอกครับ นอกจากตอนที่แกนั่งขัดสมาธิอยู่โคนต้น ใช้มีดเฉาะลูกตาลมาร้อยเส้นตอก แล้ววางบนใบตอง พวกเด็กๆ (รวมทั้งผม) ชอบล้อมวงรอกินลูกตาลเฉาะหวานฉ่ำ ชุ่มชื่นใจอย่าบอกใครเชียว

    วันหนึ่ง ลุงพื้นก็ตกตาลลงมาแหลกเหลว...ผู้คนมาช่วยอุ้มแกจนขึ้นไปสิ้นใจที่บ้านพอดี!

    เหตุเกิดตอนช่วยหันหามโลงศพลงจากบ้าน ชักบันไดขึ้นเรียบร้อย แต่ก่อนจะถึงวัดก็เกิดเรื่องไม่นึกไม่ฝัน...น้าปั่นคนหามโลงด้านหัวเกิดเดินสะดุดท่าไหนไม่รู้...ล้มลงไปนั่งหน้าซีดเซียว โลงผีหล่นโครมลงมา เดชะบุญที่โลงไม่แตกจนเห็นภาพอุจาดของศพ...แต่คนอื่นๆ ก็หน้าตาซีดเผือดไปตามๆ กัน

    น้าลือเป็นคนมาหามโลงแทนน้าปั่น...ตกค่ำก็ฟังสวด นั่งๆ นอนๆ เป็นเพื่อนผี หรือ "เฝ้าผี" กันตลอดเวลา...สะดุ้งผวากันทุกคนเพราะได้ยินเสียงเคาะโลงกันทุกคน

    คืนแรกนึกว่าลุงพื้นจะพื้นขึ้นมา แต่ก็พบร่างศพสงบนิ่งในท่าเดิม ปิดโลงได้ไม่นานก็เกิดเสียงกุกกัก เสียงเคาะโลงอีกแล้ว ได้ยินถนัดหูทุกคนจนนั่งสะดุ้งเป็นกุ้งเต้นไปตามๆ กัน...จนกะทั่งฝังศพลุงพื้นแล้วเรื่อยสยดสยองจึงเงียบไป เหลือแต่ตำนานน่าขนหัวลุกเล่าสู่กันฟังนี่แหละครับ
     
  20. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    ผีกินนก

    ท่านเป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบกินรังนกหรือเปล่าครับ? รังนกนางแอ่นไม่ว่าร้อนหรือเย็นเชื่อว่าเป็นอาหารบำรุงกำลังหรือ "ยาโป๊" น่ะ...อ่านเรื่องนี้แล้วท่านอาจจะเลิกกินรังนกไปชั่วชีวิตก็ได้ ขนหัวลุกจนกินรังนกไม่ลงน่ะซีครับ! บรื่อส์...

    ผมเป็นคนใต้ อยู่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ที่เคยโดนพายุโซนร้อนถล่มแหลมตะลุมพุกจนมีคนตายราวสองพันคนเมื่อปี 2505 นั่นแหละ

    ปากพนังหรือเมืองพนังนี่มีหลักฐานว่าเกิดขึ้นสมัยอยุธยา ราว 300 ปีแล้ว บางคนเรียก "ชาวปากน้ำ" แต่เดิมมีชื่ออำเภอเบี้ยซัด เพราะบริเวณริมฝั่งปากน้ำพนังมีเปลือกหอย หรือเบี้ยหอย ถูกคลื่นซัดจากท้องทะเลมาขึ้นชายหาดบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก

    แต่ชาวบ้านก็ยังเรียกว่าอำเภอปากพนังตามเดิม จนทางการต้องเปลี่ยนชื่อจากเบี้ยซัดมาเป็นปากพนังตามที่ชาวบ้านเรียกขานกันในปี 2445

    ตอนแรกผมเอ่ยถึงรังนกนางแอ่น แต่ว่าไม่ได้อยู่ตามถ้ำตามเกาะหรือภูเขาไกลๆ อย่างที่เข้าใจกันนะครับ เพราะที่ปากพนังบ้านผมน่ะนกนางแอ่นชอบมาทำรังวางไข่ในบ้านช่องผู้คนเฉยเลย..หลายๆ บ้านถึงกับปลูกขึ้นเพื่อให้นกนางแอ่นมาทำรังโดยเฉพาะ!

    ที่อำเภออื่นจังหวัดอื่นจะมีหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ที่ปากพนังบ้านผมน่ะมีแน่ๆ แถมไม่ต้องไปไกลหรอก บ้านในตัวอำเภอ หรือในเขตเทศบาลนั่นแหละ ที่เขาปลูกให้นกนางแอ่นมาทำรัง..แหม! จะได้เก็บรังมากินก็ได้ ขายก็ดี ตามวิสัยมนุษย์ผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าสัตว์ไงล่ะ

    เรื่องนี้ต้องมีบ้านหลังแรกนะครับที่ริอ่านเปลี่ยนบ้านเป็นรังนกนางแอ่น

    นั่นคือบ้านอื้อจินเส็ง เป็นตึกทรงโบราณ 3 ชั้น ที่ดาดฟ้ายังสร้างเพิ่มขึ้นอีก 1 ชั้นให้นกอยู่ เขาว่าอายุเกือบร้อยปีแน่ะ บ้างก็ว่าราว 70-80 ปี ผมเกิดมาก็เห็นแล้ว

    ตึกนี้ท่านเจ้าของปล่อยว่างเพื่อให้นกนางแอ่นมาทำรังโดยเฉพาะ!

    นอกจากตึกอื้อจินเส็งยังมีบ้านอื่นๆ อีกราว 20 หลังในเขตเทศบาลนั่นเองที่ปลูกให้นกอยู่ บางบ้านก็อยู่ร่วมกับนก คนอยู่ชั้นล่าง ส่วนนกอยู่ชั้นบน รักใคร่ปรองดองกันดี ไม่มีปัญหาใดๆ

    ตามที่เรารู้ๆ กันคือทางการจะให้สัมปทานคนทำรังนกตามเกาะแก่งต่างๆ นกจะใช้น้ำลายทำรังเพื่อวางไข่ คนก็จัดการเก็บรังมันซะเลย นกนางแอ่นก็ต้องถ่มน้ำลายออกมาทำรังอีก โดนจิ๊กอีก..จนต้องใช้น้ำลายผสมเลือดสร้างรังจนได้ ถือว่าเป็นรังนกที่มีคุณภาพต่ำสุด

    ถ้ามาทำรังอยู่ตามบ้านช่องในปากพนังนี่ ไม่มีปัญหาน่าเศร้าแบบนั้นหรอกครับ รับประกันได้เลย

    นั่นคือ นกจะทำรังจนเสร็จแล้ววางไข่ ฟักเป็นตัวเลี้ยงลูก ใช้เวลาราวเดือนครึ่งจนลูกนกออกหากินได้แล้ว แม่นกถึงจะทิ้งรัง เจ้าของบ้านก็จัดการเก็บรังนกมากินมาขายได้สบายใจเฉิบ

    ว่าจะใช้วิธีไหนล่อให้นกมาทำรังในบ้านล่ะ?

    ไม่ต้องเลยครับ นกมันชอบตึกแถวทึมๆ แบบโบราณก็พากันมาทำรังเอง ไม่ต้องไม่ชักชวนหรือหลอกล่ออะไรหรอก ข้อสำคัญคือต้องรู้จักนิสัยใจคอของนกนางแอ่นพอสมควร

    นกพวกนี้ไม่ชอบแสงสว่างครับ เสียงเอะอะก็ไม่ชอบ อาหารการกินก็ไม่ของ้อใคร พวกมันจะตื่นแต่เช้ามืดไปหากินเอง ตกเย็นๆ ค่ำๆ ถึงจะบินกลับบ้านกลับรัง

    หลายๆ บ้านที่เจ้าของอยู่ร่วมกับนก ก็จะช่วยทำความสะอาดให้บ้างในตอนกลางวัน คอยดูแลไม่ให้ศัตรูของนกนางแอ่นมารบกวน เช่นพวกแมว หนูและมด พวกนกด้วยกันก็มี เช่นนกเขากับเหยี่ยวในตอนกลางวัน นกฮูกกับนกเค้าแมวในตอนกลางคืน

    เผลอเมื่อไหร่ก็โดนมันมาฉกกินเอาเฉยเลย!

    บ้านผมไม่มีนกนางแอ่นมาอยู่หรอกครับ เพราะเป็นบ้านไม้สองชั้นเล็กๆ แต่บ้านเพื่อนชื่อเจ้าเอียด เป็นตึกแถวใหญ่ทรงโบราณมีนกชุกชุม มันอยู่กับนกมาตั้งแต่จำความได้นั่นแน่ะ

    ชาวบ้านร้านช่องที่ปากพนังน่ะไม่สนใจนัก เห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ผมเองเวลาไปเที่ยวบ้านเจ้าเอียดวันเสาร์-อาทิตย์ก็ไม่เคยขึ้นไปดู "นกในบ้าน" จำได้แต่ว่าเป็นตึกสีน้ำตาลอ่อน ประตูหน้าต่างทาสีเขียว ชั้นบนมีระเบียงแคบๆ กั้นลูกกรงไว้ตลอด

    วันหนึ่งก็ประสบกับเรื่องขนหัวลุกโดยไม่คาดฝัน!

    วันนั้นไปหาซื้อการ์ตูนที่ตลาด พอดีเจอเจ้าเอียดเราก็แวะกินขนมจีนกัน...จู่ๆ เจ้าเอียดก็ชวนไปเที่ยวบ้านมัน ตอนนั้นราว 4-5 โมงเย็นแล้ว เราหลบไปดูหนังสือการ์ตูนกันที่ชั้นบน

    บรรยากาศเงียบเชียบเยือกเย็นชอบกล ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องเบาๆ ดังมาจากในห้องด้านหน้า ผมถามเพื่อนว่านอนชั้นนี้หรือเปล่า? คำตอบก็คือมันนอนชั้นล่างกับพ่อแม่ ส่วนชั้น 2 ชั้น 3 ยกให้นกทำรังทั้งหมด

    "ฮือ..ฮือ..โอยยย.."

    เสียงแปลกประหลาดดังขึ้นอีก ผมหันไปมองแต่ไม่เห็นอะไร ถามว่าตอนนี้นกยังไม่กลับนี่นา แล้วนั่นเสียงอะไร? เจ้าเอียดบอกว่านกบางตัวก็อยู่บ้านเลี้ยงลูก...แต่เสียงที่ได้ยินไม่ใช่เสียงนกนี่นา

    คุณพระช่วย! มันดังขึ้นอีกแล้ว เราหันไปมองพร้อมๆ กัน ก่อนจะเดินเข้าไปดูให้รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมนกมันร้องเสียงเหมือนคนยังงั้นล่ะ?

    ยืนตะลึงพรึงเพริดกันทั้งคู่ เมื่อเห็นร่างผู้ชายตัวใหญ่ผิวดำ กำลังยืนจังก้าคว้านกจากรังมาใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ นกที่บินว่อนอยู่ในห้องก็โดนตะปบมาฉีกเนื้อกิน ก่อนที่ร่างนั้นจะหยุดชะงัก หันขวับมามองเราด้วยนัยน์ตาแดงจ้า แสยะยิ้มเห็นเลือดเปรอะที่ปาก

    เราแผดร้องเสียงหลง เผ่นอ้าวลงไปชั้นล่าง พ่อแม่เจ้าเอียดรู้เรื่องก็พากันขึ้นไปดู สักครู่ก็กลับลงมาบอกว่ามีซากนกตายบนพื้น 5-6 ตัว แม่บอกว่าเหยี่ยวคงจะดอดมาจิกกินนก ไม่มีอะไรหรอก..แต่ภาพที่เห็นสมัยเด็กๆ ยังติดหูติดตามาจนถึงทุกวันนี้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...