ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชนสตรีอยู่ในข้ามคืนที่ศาลากลางจังหวัดสงขลาเพื่อขอหยุดการประกาศข่าวสาธารณะเกี่ยวกับโครงการเมกา 18,000 ล้านบาทจนกว่าจะเป็นไปตามความต้องการของพวกเขา
    โครงการที่ลงทุนประมาณมูลค่า 18,680 ล้านบาทตั้งท้องเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2019 ผ่านมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 21 มกราคม 2020 มติคณะรัฐมนตรีติดตามรายละเอียดของโครงการและจะดำเนินการหลักๆโดยศูนย์บริหารจังหวัดชายแดนใต้ (spbac) เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเศรษฐกิจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ฉันจะทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น โครงการเมกามีชื่อว่า 'chana เมือง โม เ ดล อุตสาหกรรม แห่ง อนาคต' จะเปลี่ยนที่ดิน 16,753 ไร่ให้เป็นเขตอุตสาหกรรมที่สร้างขึ้นสำหรับอุตสาหกรรมที่เบาและหนักเช่นโรงไฟฟ้าชีวมวลการผลิตปิโตรเคมีพืชชีวเคมีเช่นเดียวกับ ทะเลลึก

    rl=https%3A%2F%2Fwww.tcijthai.com%2Foffice-tcij%2Fheadpicture%2F924f66975c3abeeebe71daab8cbec48a.jpg

    https://www.tcijthai.com/news/2020/5/english/10329
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เปิดรายงานการไหลของน้ำผ่านลุ่มน้ำโขงตอนบน พบถดถอยลงหลังมีการสร้างเขื่อนในจีน
    กองบรรณาธิการ TCIJ 13 พ.ค. 2563 |



    f8e6c470e334e743f99f1a8a7b6576e7.jpg

    เปิดรายงาน 'การติดตามปริมาณการไหลของน้ำผ่านลุ่มน้ำโขงตอนบนภายใต้สภาพทางธรรมชาติ (โดยไร้การกีดขวาง)' พบความสัมพันธ์ระหว่างระดับน้ำจากมาตรวัดกับน้ำที่ไหลตามธรรมชาติของแม่น้ำโขง ถดถอยลงหลังจากปี 2555 เมื่อมีการสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำหลักขึ้นอีก 2-3 แห่ง ซึ่งเป็นการจำกัดปริมาณและช่วงเวลาการปล่อยน้ำจากต้นน้ำอย่างมาก แม้รัฐบาลจีนให้คำมั่นว่าจะใช้เขื่อนเหล่านี้ควบคุมการไหลของน้ำเพื่อปันน้ำให้เท่าเทียมกันมากขึ้นในช่วงน้ำมากและช่วงน้ำน้อย | ที่มาภาพประกอบ: Mekong Water Data Initiative (MWDI)

    ช่วงเดือน เม.ย. 2563 มีการเปิดเผยรายงาน 'การติดตามปริมาณการไหลของน้ำผ่านลุ่มน้ำโขงตอนบนภายใต้สภาพทางธรรมชาติ (โดยไร้การกีดขวาง)' โดย Basist, A. and Williams, C. (2020); Monitoring the Quantity of Water Flowing Through the Mekong Basin Through Natural (Unimpeded) Conditions, Sustainable Infrastructure Partnership, Bangkok. ข้อมูลพื้นฐาน/ข้อมูลได้รับความอนุเคราะห์จากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และได้รับอนุญาตให้ทำซ้ำ

    ทั้งนี้โครงการหุ้นส่วนเพื่อโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน (Sustainable Infrastructure Partnership) โครงการหุ้นส่วนเพื่อโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน (SIP) เป็นโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถและความร่วมมือซึ่งบริหารจัดการโดย Pact Thailand เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านทรัพยากรน้ำที่ใช้ร่วมกันในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โครงการ SIP สนับสนุนการฝึกอบรมและการเสริมสร้างขีดความสามารถในการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างระบบน้ำ ระบบพลังงาน และระบบอาหาร ตลอดจนส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านทรัพยากรน้ำผ่านโครงการข้อริเริ่มในการจัดการข้อมูลด้านทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำโขง (Mekong Water Data Initiative) ทั้งนี้ โครงการ SIP ทำงานภายใต้กรอบความร่วมมือข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง (Lower Mekong Initiative)

    รายงานฉบับนี้ได้สร้างแบบจำลองที่มีความน่าเชื่อถือและเข้าใจง่ายเพื่อคาดการณ์การไหลตามธรรมชาติของแม่น้ำโขงตอนบน และใช้การคาดการณ์ดังกล่าวประเมินวิถีทางที่ชุดเขื่อนแบบขั้นบันได (cascade of dams) ตามลำน้ำโขงตอนบนเปลี่ยนแปลงการไหลตามธรรมชาติ การศึกษานี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อมูลดาวเทียมระหว่างปี 2535 ถึง 2562 และข้อมูลรายวันจากมาตรวัดระดับน้ำในแม่น้ำจากสถานีเชียงแสนประเทศไทย Eyes on Earth, Inc. และ Global Environmental Satellite Observations, Inc. ได้พัฒนาซอฟต์แวร์กรรมสิทธิ์ขึ้นมาโดยใช้อัลกอริทึมแปลงสัญญาณไมโครเวฟที่วัดได้จากเครื่องตรวจวัด Special Sensor Microwave Imager/Sounder (SSMI/S) มาเป็นดัชนีค่าความชื้นของพื้นผิวดิน เมื่อใช้แบบจำลองคาดการณ์การไหลของน้ำตามธรรมชาติ ผู้จัดทำรายงานได้คำนวณปริมาณน้ำที่น่าจะไหลมาตามธรรมชาติเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ได้จากมาตรวัดระดับน้ำที่สถานีเชียงแสน จากนั้นจึงสรุปผลต่างจากการเปรียบเทียบในช่วงเวลาต่าง ๆ ของข้อมูลที่บันทึกไว้ในระยะเวลา 28 ปีเพื่อหาปริมาณน้ำที่อ่างเก็บน้ำกักเก็บไว้หรือถูกผันออกจากต้นน้ำเหนือเชียงแสนด้วยวิธีการอื่นใด

    ระดับน้ำในแม่น้ำ 126.44 เมตรหายไปจากมาตรวัดสถานีเชียงแสนในช่วงเวลา 28 ปีที่มีการบันทึกข้อมูล ในช่วงเวลาดังกล่าว Huaneng Hydrolancang ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของจีนสร้างเขื่อนขึ้นหลายแห่งในลำน้ำโขงสายประธาน ข้อมูลจากมาตรวัดและข้อมูลประมาณการจากดาวเทียมโดยทั่วไปแสดงความสอดคล้องกันดีในช่วงปีแรก ๆ โดยระดับน้ำในแม่น้ำลดลงในช่วงที่มีการปล่อยน้ำเข้าอ่างเก็บน้ำของเขื่อนมั่นวัน (Manwan) และเขื่อนต้าเฉาซาน (Dachaoshan) ความสัมพันธ์ระหว่างระดับน้ำจากมาตรวัดกับน้ำที่ไหลตามธรรมชาติถดถอยลงหลังจากปี 2555 เมื่อมีการสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำหลักขึ้นอีก 2-3 แห่ง ซึ่งเป็นการจำกัดปริมาณและช่วงเวลาการปล่อยน้ำจากต้นน้ำอย่างมาก ทั้งนี้ รัฐบาลจีนให้คำมั่นว่าจะใช้เขื่อนเหล่านี้ควบคุมการไหลของน้ำเพื่อปันน้ำให้เท่าเทียมกันมากขึ้นในช่วงน้ำมากและช่วงน้ำน้อย การดำเนินการดังกล่าวยังสอดคล้องกับความต้องการของจีนที่จะกระจายการผลิตพลังงานในรอบปีเพื่อให้สามารถใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าได้อย่างสมดุลมากขึ้นตลอดทั้งปี การควบคุมการไหลของน้ำเช่นนี้ส่งผลให้น้ำที่ปกติไหลมาในฤดูฝนถูกปล่อยมาในฤดูแล้ง

    ผลที่ตามมานี้เห็นได้ชัดเจนจากระดับน้ำส่วนต่างในแต่ละรอบปีซึ่งมีค่าเป็นลบในฤดูฝนและมีค่าเป็นบวกในฤดูแล้ง เมื่อเขื่อนนั่วจาตู้ (Nuozhadu) ซึ่งเป็นเขื่อนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและอ่างเก็บน้ำของเขื่อนสร้างแล้วเสร็จ การขาดแคลนน้ำในฤดูฝนปรากฏชัดเจนที่สุดหลังจากที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดต่างเริ่มทำงาน

    เขื่อนเหล่านี้ขยายขีดความสามารถของหน่วยงานบริหารจัดการในการควบคุมการไหลของน้ำในแม่น้ำอย่างมาก ยังผลกระทบต่อท้ายน้ำซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขด้วยวิธีแบบองค์รวม เขื่อนทั้ง 6 แห่งที่สร้างขึ้นนับตั้งแต่เปิดใช้เขื่อนนั่วจาตู้เมื่อปี 2555 ยิ่งส่งผลเปลี่ยนแปลงการไหลของน้ำตามธรรมชาติจากการกักเก็บและการปล่อยระบายน้ำในอ่างเก็บน้ำ หนึ่งในผลกระทบที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในปี 2562 เมื่อระดับน้ำในแม่น้ำโขงตอนล่างลดลงอยู่ในช่วงระดับน้ำต่ำสุดเป็นประวัติการณ์หลายครั้งเกือบตลอดทั้งปี เมื่อใช้ดัชนีค่าความชื้นคาดการณ์การไหลของน้ำตามธรรมชาติ ผลปรากฏชัดเจนว่าน้ำตามธรรมชาติที่ไหลจากแม่น้ำโขงตอนบนมีปริมาณสูงกว่าค่าเฉลี่ย ค่าระดับน้ำส่วนต่างแสดงให้เห็นว่ามีน้ำไหลส่วนเกินในฤดูแล้งซึ่งคาดว่าใช้รองรับการผลิตกระแสไฟฟ้าในช่วงต้นปี 2562 ในขณะที่น้ำที่ไหลในฤดูฝนถูกจำกัดอย่างมากประกอบกับแม่น้ำโขงตอนล่างมีปริมาณน้ำฝนต่ำกว่าระดับต่ำสุดที่เคยบันทึกไว้ การขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรงในแม่น้ำโขงตอนล่างช่วงฤดูฝนปี 2562 ส่วนใหญ่เป็นผลพวงจากการจำกัดการไหลของน้ำจากแม่น้ำโขงตอนบนในช่วงดังกล่าว หากจีนและประเทศในลุ่มน้ำโขงตอนล่างได้ร่วมมือกันจำลองรูปแบบวัฏจักรการไหลตามธรรมชาติของน้ำในแม่น้ำโขง อาจช่วยคลี่คลายภาวะน้ำไหลน้อยช่วงปลายน้ำที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน 2562 ได้ หากนำดัชนีค่าความชื้นไปใช้เป็นแนวทางจำลองรูปแบบการไหลของน้ำตามธรรมชาติแล้ว ทุกชุมชนตลอดลุ่มน้ำโขงย่อมได้ประโยชน์จากการรักษาไว้ซึ่งบูรณภาพแห่งลำน้ำโขง


    https://www.tcijthai.com/news/2020/5/scoop/10321
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน (蔡英文) สมัยที่ 2 กำลังจะมีในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้ แต่กองทัพคอมมิวนิสต์จีนก็ได้ออกมาประกาศว่า ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคมเป็นต้นไป เขตท่าเรือจิงถัง เมืองถังซาน จะทำการฝึกยิงกระสุนจริงเป็นระยะเวลานานถึง 2 เดือนครึ่ง ซึ่งได้รับความสนใจจากทั่วโลกเป็นอย่างยิ่ง สำนักข่าวเกียวโด(Kyodo News) ของญี่ปุ่นรายงานว่า จีนวางแผนขยายขอบเขตการซ้อมรบในทะเลจีนใต้ช่วงเดือนสิงหาคม โดยมีจุดหมายสุดท้ายคือยึดหมู่เกาะตงซา ผู้เชี่ยวชาญด้านกลาโหมเผยว่า หมู่เกาะตงซาเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ ที่ทำให้เรือดำน้ำของจีนสามารถแล่นจากทะเลใต้ไปยังทะเลฟิลิปปินส์ และมาถึงจุดยุทธศาสตร์ในมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันตก ที่จีนสามารถใช้จุดนี้โจมตีพื้นที่ของสหรัฐฯ

    &w=500&h=261&url=https%3A%2F%2Fdaf1ua3hmwh9p.cloudfront.net%2Fnews_images%2F478715%2F1589425701u.jpg

    https://news.pts.org.tw/article/478...0cV807_nk_5CG_MdemJfn51SR79cPMXu8E62IVJpPdi98
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รอยเตอร์ - ผู้ประท้วงฝักใฝ่ประชาธิปไตยหลายร้อยคนรวมตัวกันตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ทั่วฮ่องกงในวันพุธ (13พ .ค.) เพิกเฉยต่อกฎระเบียบเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อเยาะเย้ยผู้บริหารสูงสุดเขตปกครองพิเศษแห่งนี้ ในวันคล้ายวันเกิดของเธอ
    .
    ตำรวจทั้งในชุดปราบจลาจลและนอกเครื่องแบบ เข้าไปในห้างสรรพสินค้าบางแห่ง และมีผู้ชุมนุมถูกจับกุมอย่างน้อย 1 คนหลังจากพวกเจ้าหน้าที่ใช้สเปรย์พริกไทยผลักดันพวกผู้ประท้วงให้ล่าถอยไป ความวุ่นวายที่ทำให้ร้านค้าเกือบทั้งหมดต้องปิดทำการ
    .
    เหตุการณ์นี้ถือเป็นสัญญาณแห่งสถานการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยทางสังคมล่าสุดที่คืนชีพขึ้นมาอีกครั้งในฮ่องกง หลังจากเมืองแห่งนี้ค่อนข้างประสบความสำเร็จในการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ซึ่งจนถึงวันพุธ (13พ.ค.) ยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 1,051 คนและเสียชีวิต 4 ราย
    .
    แม้รัฐบาลอนุญาตให้บาร์, โรงยิมและโรงภาพยนตร์กลับมาเปิดทำการ ส่วนข้าราชการก็เริ่มกลับมาทำงานแล้ว แต่พวกเขายังคงคำสั่งห้ามประชาชนรวมกลุ่มกันเกิน 8 คน
    ..
    ลัม ซึ่งมีอายุครบ 63 ปี และเป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุดของฮ่องกง นับตั้งแต่อังกฤษส่งมอบเกาะแห่งนี้คืนสู่อ้อมอกของจีนในปี 1997 พยายามผลักกันร่างกฎหมายฉบับหนึ่งซึ่งจะเปิดทางส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปดำเนินคดีในจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อปีที่แล้ว โหมกระพือการประท้วงที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากและบ่อยครั้งได้เลี้ยวเข้าสู่ความรุนแรง
    .
    “ผมอวยพรให้ แคร์รี ลัม มีอายุยืนๆ เพื่อที่เธอจะได้อยู่รับผิดชอบการตัดสินใจต่างๆ ของเธอ” เคน ผู้ประท้วงวัย 20 ปีกล่าว “เราจะเดินหน้าขัดขืนต่อไป หากเราไม่พยายามสู้ พวกเขาจะพยายามปราบปรามเราหนักหน่วงขึ้น”
    .
    ที่ห้างสรรพสินค้านิว ทาวน์ พลาซา ในย่านคนทำงานในเขตซาถิ่น พวกเขาผู้ประท้วงแขวนป้ายมีข้อความว่า “ปลดปล่อยฮ่องกง ปฏิวัติยุคสมัยของเรา” และตะโกนว่า “ไม่มีพวกก่อจลาจล มีเพียงระบอบเผด็จการ” และ “ยุบทิ้งตำรวจฮ่องกง”
    .
    ในย่านซาถิ่น พวกผู้ประท้วงยังเอาโปสเตอร์รูปใบหน้าของแคร์รี ลัม ติดตามบานกระจกต่างๆ พร้อมกับข้อความว่า “สุขสันต์วันเกิดและไปลงนรกเร็วๆ นี้” ส่วนอีกข้อความระบุ “เป็นเพราะคุณ คนจำนวนมากเลยไม่มีความสุขในวันแม่”
    ..
    มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมที่กำหนดมาเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ช่วยหยุดการประท้วงมาตั้งแต่เดือนมกราคม แต่หลังจากเกิดเหตุปะทะกับตำรวจเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และมีผู้ถูกจับกุมไป 230 คน คาดหมายว่า การประท้วงจะยกระดับขึ้นอีกครั้งในช่วงฤดูร้อน
    .
    แม้ร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนถูกถอนออกไปแล้ว แต่พวกผู้ชุมนุมยังเดินหน้าต่อในข้อเรียกร้องให้จัดตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาสืบสวนกรณีตำรวจใช้กำลังเกินกว่าเหตุกับพวกผู้ประท้วงเมื่อเดือนที่แล้ว เช่นเดียวกับขอสิทธิในการเลือกตั้งอย่างเป็นสากล
    -------------------------------
    แหล่งข่าว
    - https://mgronline.com/around/detail/9630000050115
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook :
    https://www.facebook.com/thvi5ion

    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ต้องบอกว่าวิกฤตโควิด-19 ในบราซิลยังอยู่ในขั้นที่น่าห่วงเป็นอย่างมาก เพราะล่าสุดมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดพุ่งถึงกว่า 177,589 ราย แซงหน้าผู้ติดเชื้อในเยอรมนีไปแล้ว ถ้านับตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่บราซิลเริ่มพบการระบาดใหม่ๆ
    .
    แต่ดูเหมือนว่าประธานาธิบดี Jair Bolsonaro ก็ไม่ได้สนใจยกระดับมาตรการความเข้มงวดในการรับมือไวรัสโควิด-19 อย่างจริงจัง แม้ว่ายอดสะสมผู้ติดเชื้อจะพุ่งสูงเป็นอันดับ 6 ของโลกก็ตามที ที่ผ่านมารัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละมลรัฐในบราซิลต้องออกมาตรการควบคุมโรคกันเอง ล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น นาย Bolsonaro ออกมาเรียกร้องให้แต่ละท้องถิ่นคลายมาตรการล็อกดาวน์
    .
    ด้วยการอนุญาตให้เปิดยิมออกกำลังกาย และร้านเสริมสวย สวนทางกับรายงานจากวันเดียวกันซึ่งบราซิลมียอดเสียชีวิตจากโควิดรอบ 24 ชั่วโมงทุบสถิติถึง 881 ราย ยอดตายสะสมที่ 12,461 ราย คำเรียกร้องของผู้นำบราซิลที่สวนทางมาตรการของบรรดาผู้ว่าการรัฐในแต่ละท้องถิ่น
    .
    ส่งผลให้นาย Bolsonaro ใช้อำนาจพิเศษในฐานะประธานาธิบดี ออกกฤษฎีกากำหนดให้ร้านเสริมสวย และโรงยิมออกกำลังกาย อยู่ในประเภท"ธุรกิจจำเป็น" (essential services) เพื่อบังคับให้ท้องถิ่นเปิดทำการธุรกิจดังกล่าว
    .
    เรื่องนี้ส่งผลให้ทำให้บรรดาผู้ว่าการรัฐในแต่ละท้องถิ่นแสดงความไม่พอใจอย่างมาก โดยผู้ว่าการรัฐริโอ เดอจาเนโร เขียนข้อความทวิตเตอร์วิจารณ์เขาบนทวิตเตอร์ว่า ปธน. Bolsonaro กำลังนำพาคนบราซิลไปยืนอยู่ปากเหว
    .
    ขณะที่ ปธน. Bolsonaro ได้เขียนข้อความตอบโต้ โดยท้าทายว่า หากบรรดาผู้ว่าการรัฐไหนไม่พอใจคำสั่งของเขา ก็ให้ไปฟ้องร้องในศาลเอา โดยมีรายงานว่ามีบรรดาผู้ว่าการรัฐในท้องถิ่นอย่างน้อย 10 รัฐแล้วที่ประกาศจะไม่ปฏิบัติตามกฤษฎีกาดังกล่าว
    .
    ทั้งนี้ ท่าทีที่ผ่านมาของผู้นำบราซิลซึ่งนิ่งเฉยต่อการรับมือไวรัส ได้ส่งผลให้คะแนนความนิยมของเขาตกต่ำลงอย่างมาก โดยจากผลสำรวจที่เผยแพร่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาพบว่า ความไม่พอใจในตัวผู้นำสูงถึง 55% เพิ่มขึ้นอย่างมากหากเทียบกับการสำรวจในเดือนมกราคมซึ่งอยู่ที่ 47%

    -------------------------------
    แหล่งที่มา

    https://www.news18.com/news/world/bolsonaro-allows-brazilians-to-go-to-gyms-hair-salons-as-coronavirus-cases-surge-2616057.html

    https://en.mercopress.com/2020/05/12/bolsonaro-declares-gyms-and-salons-as-essential-services

    https://www.posttoday.com/world/623337
    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook :
    https://www.facebook.com/thvi5ion

    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 12 พฤษภาคม 2020 Toledo Blade เว็บไซต์ข่าวท้องถิ่นของเมืองโทลีโด รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา รายงานว่า ประชาชนชาวอเมริกันหลายคน เริ่มหันมาสนใจการปลูกพืชผักสวนครัว เพื่อให้ตนเองและครอบครัว มีแหล่งอาหารที่พอเพียงสำหรับบริโภค ในยามวิกฤตเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรง จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
    .
    โรคระบาดร้ายแรงชนิดนี้ ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมาก ต้องหลีกเลี่ยงการออกจากบ้าน และยังทำให้หลายคนต้องถูกเลิกจ้าง ทั้งยังส่งผลให้ชาวอเมริกันจำนวนมาก แห่ไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในร้านค้ากันอย่างแตกตื่น (panic buying) ทำให้ร้านค้า Costco, Kroger, และร้านค้าต่างๆ ทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กในตลาดสหรัฐฯ ประสบกับปัญหาสินค้าไม่เพียงพอ จึงทำให้ชาวอเมริกันในเมืองโทลีโด เริ่มหันมาพึ่งตนเอง
    .
    Kim Jones ชาวอเมริกันที่เคยปลูกแต่เฉพาะดอกไม้ในกระถางเพื่อความสวยงาม ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Toledo Blade ว่า "แต่ก่อนฉันคิดว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันถนัด ฉันไม่ใช่คนรักโลกอะไรขนาดนั้น แต่โรคระบาดที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ฉันอยากจะลงมือทำด้วยตัวเอง เพื่อสร้างแหล่งอาหารของตัวเอง สำหรับกินในยามที่จำเป็น ถ้าหากทุกอย่างต้องปิดตัวลง"
    .
    วิกฤตการณ์ในสหรัฐฯ ยังได้ขยายวงกว้างไปถึงผลผลิตการเกษตร ทำให้เกษตรกรต้องทิ้งผลผลิตการเกษตรน้ำหนักหลายล้านปอนด์ที่ไม่สามารถขายได้ เช่นนม ผัก ไข่ และเนื้อสัตว์ ซึ่งฟาร์มผลิตเนื้อสัตว์หลายแห่ง ก็ต้องยุติกิจการชั่วคราวเช่นกัน ทำให้ร้านค้าจำเป็นต้องตั้งเงื่อนไข ให้ประชาชนแต่ละคนซื้อเนื้อสัตว์ในปริมาณที่ไม่เกินกำหนด
    .
    แต่สำหรับ Felecia Simon แม้ว่าจะถูกเลิกจ้างชั่วคราว แต่เธอก็เลี้ยงเป็ด 2 ตัว และไก่ 4 ตัว ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งเนื้อโปรตีนชั้นดีแล้ว เธอยังได้ไข่เป็ดและไข่ไก่ไว้สำหรับทำอาหารให้กับลูกสาว 2 คน และสามีของเธอที่ถูกเลิกจ้างชั่วคราวเช่นกัน ซึ่งในยามที่ไข่และเนื้อสัตว์ในสหรัฐฯ เริ่มมีไม่เพียงพอ เป็ดและไก่ที่ Felecia Simon เลี้ยงอยู่นั้น สามารถช่วยแบ่งเบาภาระด้านแหล่งอาหารที่เริ่มเป็นปัญหามากขึ้นในสหรัฐฯ
    .
    เช่นเดียวกับ Liz Dickens ที่เริ่มปลูกพืชผักสวนครัวด้วยตนเองในรัฐแคลิฟอร์เนีย ตั้งแต่สมัยปี 2007-2009 ซึ่งเป็นช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ หลังจากที่เธอย้ายมาอยู่เมืองเมืองโทลีโด รัฐโอไฮโอ เธอก็ยังคงปลูกพืชผักสวนครัวเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยที่เธอปลูกผักและผลไม้ในสวนบ้านของเธอเป็นจำนวนมาก เช่น มะเขือเทศ พริกหยวก ผักกาดหอม ฟักทอง สตรอเบอรี่ และพืชผักอื่นๆ รวม 9 ชนิด ซึ่งผลผลิตที่ได้มากมายนี้ นอกจากจะเลี้ยงตัวเธอและครอบครัวของเธอแล้ว เธอยังนำไปแบ่งปันให้กับเพื่อนบ้านในชุมชนของเธอเป็นประจำอีกด้วย ส่วนสามีของ Liz Dickens ก็เลี้ยงไก่กับกระต่ายเป็นสัตว์เลี้ยง แต่จะกินเฉพาะไข่ไก่ที่ได้เท่านั้น
    .
    Brittany Jones ประธานองค์กรส่งเสริมการเกษตรท้องถิ่น Urban Agriculture Alliance of Lucas County (UAALC) ให้สัมภาษณ์ว่า "วิกฤตครั้งนี้เป็นการสุมไฟให้เห็นถึงปัญหาว่า ระบบการจัดการอาหารมีความบกพร่อง" ซึ่งองค์กร UAALC จะช่วยสอนและให้ความรู้ด้านการเกษตร แก่ผู้ที่เริ่มฝึกหัดการปลูกพืชผักสวนครัว โดย Brittany Jones ยังกล่าวอีกด้วยว่า "นี่คือสิ่งที่เราจะต้องทำต่อไปอีกนาน เพราะระบบการจัดการอาหารทั่วโลกแบบเดิมนั้นไม่ยั่งยืน ดังนั้นเราจึงต้องลงมือทำด้วยตัวเอง"
    .
    Sonia Flunder-McNair ผู้ก่อตั้งบริษัท SONIA Organics ชี้ว่า วิกฤตการณ์อย่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 รวมถึงวิกฤตโรคระบาดของไวรัสโควิด-19 คือสิ่งที่ทำให้อุตสาหกรรมอาหารมีปัญหา ส่งผลให้ผู้คนหันมาพึ่งพาตนเองด้วยการปลูกพืชผักสวนครัว ซึ่งเธอประมาณการว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา มีผู้สนใจหันมาปลูกพืชผักสวนครัวมากขึ้นถึง 3 เท่า เพราะภาพของแผงวางสินค้าที่ว่างเปล่าในร้านค้าหลายร้าน ทำหลายคนเริ่มกลัวว่าอาจเกิดวิกฤตสินค้าอาหารขาดแคลน
    .
    Sonia Flunder-McNair ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับการพึ่งพาตนเองอีกด้วยว่า "เราสามารถแจกถุงมือและเจลล้างมือได้ แต่ถ้าเราสอนคนให้หาอาหารเลี้ยงปากท้องตัวเองและครอบครัวได้ ถ้าเรานำอุปกรณ์ที่เหมาะสมมามอบให้กับผู้คน เพื่อที่ทุกคนจะใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตนเองได้ เราก็จะสามารถรอดพ้นจากวิกฤตนี้ไปได้"
    .
    ในสภาวะที่โรคระบาดโควิด-19 ยังคงระบาดอย่างหนักในหลายประเทศทั่วโลก จะเห็นได้ชัดว่า ประชาชนในหลายประเทศ เริ่มปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ให้เป็นการใช้ชีวิตที่สามารถอยู่ได้อย่างพอเพียง สามารถพึ่งพาตนเองได้ และสามารถช่วยเหลือผู้อื่นที่กำลังตกที่นั่งลําบากได้อีกด้วย ถ้าหากผู้คนในเมืองโทลีโดของรัฐโอไฮโอ และชาวอเมริกันคนอื่นๆทั่วสหรัฐฯ เริ่มหันมาใช้วิถีการดำรงชีวิตเช่นนี้ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินความสามารถ ที่พวกเขาจะต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ถึงวันที่โรคระบาดสิ้นสุดลง

    -------------------------------
    แหล่งที่มา

    https://www.toledoblade.com/a-e/Gardening/2020/05/12/coronavirus-turning-community-onto-gardening-for-self-sufficiency/stories/20200507092

    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook :
    https://www.facebook.com/thvi5ion

    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เฮนลีย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส (Henley & Partners) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐานและขอสัญชาติชั้นนำในระดับนานาชาติ เปิดเผยว่า นักลงทุนชาวอเมริกันแสดงความสนใจที่จะพำนักแบบระยะยาวหรือพำนักแบบถาวรในไทยมากขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ โดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
    .
    Thailand Elite Residence Program หรือโครงการเอกสิทธิ์สำหรับชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศไทย ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยมีชาวอเมริกันสมัครเข้าร่วมโครงการดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ต้นปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยตัวเลขล่าสุดเผยให้เห็นว่า เพียงแค่ 3 เดือนแรกของปี 2563 ผู้สมัครชาวอเมริกันคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของจำนวนผู้สมัครทั้งหมดในปี 2562
    .
    สำหรับสาเหตุที่ทำให้ตัวเลขดังกล่าวพุ่งสูงขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการจำกัดการเดินทางอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ทำให้ชาวอเมริกันในประเทศไทยเลือกที่จะอาศัยอยู่ต่อและรับสิทธิประโยชน์จากการพำนักระยะยาว หรือพำนักถาวรในประเทศไทย
    .
    อย่างไรก็ดี ไม่เฉพาะชาวอเมริกันในไทยเท่านั้น แต่จำนวนชาวอเมริกันที่สมัครเข้าร่วมโครงการนี้จากต่างประเทศก็เพิ่มสูงขึ้นมากเช่นกัน โดยชาวอเมริกันที่สมัครเข้าร่วมโครงการในไตรมาสแรกของปีนี้ ทำสถิติเพิ่มขึ้นถึง 100% เมื่อเปรียบเทียบกับทั้งไตรมาสแรกและไตรมาสที่ 4 ของปี 2562
    .
    นายโดมินิค โวเล็ก หุ้นส่วนผู้จัดการและหัวหน้าประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เฮนลีย์ แอนด์ พาร์ทเนอร์ส เปิดเผยว่า ไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ สำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุน
    .
    "ผู้สมัครส่วนใหญ่ของโครงการ Thailand Elite Residence Program ยังคงเป็นกลุ่มผู้ประกอบการและนักลงทุน เนื่องจากประเทศไทยมีชื่อเสียงยอดเยี่ยมในระดับโลกในฐานะศูนย์กลางธุรกิจและนวัตกรรม" นายโวเล็ก กล่าว
    .
    ขณะเดียวกัน ความต้องการพำนักในประเทศไทยพุ่งสูงขึ้นเช่นเดียวกันในหมู่ชาวออสเตรเลีย ซึ่งได้รับผลกระทบทั้งจากไฟป่าและการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในช่วงฤดูร้อนนี้ โดยพบว่า ในไตรมาสแรกของปี 2563 มีชาวออสเตรเลียสมัครเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้น 228% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2562 และเพิ่มขึ้น 130% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2562
    .
    ปัจจุบัน โครงการ Thailand Elite Residence Program มีสมาชิกมากกว่า 8,600 คน และคาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นผ่านหลัก 10,000 คนในปีนี้ โดยพบว่า ในช่วงสามปีที่ผ่านมามีพลเมืองบางสัญชาติสมัครเข้าร่วมโครงการนี้เพิ่มขึ้นมากเป็นพิเศษ เช่น ผู้สมัครสัญชาติอังกฤษและฝรั่งเศสที่เพิ่มขึ้น 75% และ 73% ตามลำดับ ขณะที่ผู้สมัครสัญชาติญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นถึง 161%

    -------------------------------
    แหล่งที่มา

    http://www.todayhighlightnews.com/2020/05/henley-partners-19.html

    https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/880070

    -------------------------------
    ติดตามข้อมูลข่าวสาร รู้ไทย รู้โลก กับ Thailand Vision ได้ที่
    Facebook :
    https://www.facebook.com/thvi5ion

    Twitter : https://twitter.com/Thailand_vision
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (May 15) วุฒิสมาชิกสหรัฐเสนอร่างกม.ให้อำนาจประธานาธิบดีในการออกมาตรการลงโทษจีนได้ : วุฒิสภาชิกจากพรรค republican ที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดี Trump นำโดย นาย Lindsey Graham ได้เสนอร่างกฎหมาย COVID-19 Accountability Act เพื่อให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อเป็นการลงโทษจีน หากประธานาธิบดีไม่สามารถรับรองต่อรัฐสภาได้ว่าจีนได้ให้ความร่วมมือกับสหรัฐฯ และ WHO ในการสืบสวนหาที่มาของไวรัส ปิดตลาดขายสัตว์ป่า และปล่อยผู้ประท้วงผู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่ฮ่องกงที่โดนจับกุมหลังจากไวรัสแพร่ระบาด

    thumb%2Fmsid-75709092%2Cwidth-1070%2Cheight-580%2Cimgsize-848344%2Coverlay-economictimes%2Fphoto.jpg

    กลุ่มวุฒิสมาชิกที่ให้การสนับสนุนร่างกฎหมายนี้เห็นว่า ที่ผ่านมาทางการจีนพยายามปกปิดความจริงเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสมาโดยตลอด และเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดในลักษณะนี้ขึ้นอีกในอนาคต
    ร่างกฎหมายฉบับนี้จะให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีในการเลือกใช้มาตรการ sanction กับจีนได้ อาทิ การอายัดทรัพย์ของเจ้าหน้าที่ทางการจีน การห้ามการเดินทาง การเพิกถอนวีซ่าของชาวจีนบางกลุ่ม การงดออกวีซ่านักเรียนให้กับชาวจีน การจำกัดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินสหรัฐฯ กับภาคธุรกิจจีน และการห้ามบริษัทจีนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ รวมถึงกำหนดให้ Food and Drug Administration ชี้แจงต่อรัฐสภาว่าภาคอุตสาหกรรมยาของจีนได้มาตรฐานและมีความปลอดภัยในระดับเดียวกับของสหรัฐฯ ตลอดจนให้ tax credits กับการผลิตงานวิจัยและพัฒนาเพื่อดึงดูดให้สินค้ากลุ่มเป้าหมายกลับมาผลิตในสหรัฐฯ
    Source: BoTSS
    - COVID-19: US senators introduce legislation in Congress to impose sanctions on China: https://m.economictimes.com/news/international/business/covid-19-us-senators-introduce-legislation-in-congress-to-impose-sanctions-on-china/articleshow/75709096.cms
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (May 14) ความมหัศจรรย์ของแจแปนแอร์ไลน์ บทเรียนการฟื้นตัวจากภาวะล้มละลาย : เมื่อ 10 ปีมาแล้ว ในวันที่ 19 มกราคม 2010 สายการบินแจแปนแอร์ไลน์ (Japan Airlines – JAL) ได้ยื่นขอรับการคุ้มครองจากกฎหมายล้มละลายต่อศาลในกรุงโตเกียว รวมทั้งบริษัทในเครืออื่นๆ เช่น สายการบินแจแปนแอร์ไลน์อินเตอร์เนชั่นแนล และบริษัท Japan Capital ในวันเดียวกันนี้ บริษัทฟื้นฟูวิสาหกิจ (The Enterprise Turnaround Initiative Corporation – ETIC) ที่เป็นองค์กรของรัฐ ก็ประกาศให้การสนับสนุนการฟื้นฟูและปรับองค์กรของ JAL ทันทีเช่นเดียวกัน
    ภาระกิจฟื้นฟูองค์กร 5 ด้าน

    rl=https%3A%2F%2Fthaipublica.org%2Fwp-content%2Fuploads%2F2020%2F05%2FIMG_4918-916x516-1-860x484.jpg

    บริษัทฟื้นฟูกิจการ ETIC ประกาศแผนงานการปรับองค์กรของ JAL 5 ด้านด้วยกัน คือ (1) ปรับปรุงความน่าเชื่อถือในการดำเนินงาน (reliability) (2) ปรับปรุงประสิทธิภาพโดยการใช้เครื่องบินขนาดเล็กลง (3) ยกเลิกการบินเส้นทางที่ขาดทุน และแสวงหาประโยชน์ (synergy) จากการทำงานร่วมกับพันธมิตรธุรกิจต่างๆ (4) จัดการให้การบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และปรับปรุงการใช้งานทรัพยากรบุคคล และ (5) สร้างกลไกที่จะทำให้เกิดการตัดสินใจที่รวดเร็ว
    นอกเหนือจากนี้ ทาง ETIC จะอัดฉีดเงินให้กับ JAL จำนวน 300 พันล้านเยน (3.3 พันล้านดอลลาร์) ส่วนธนาคารการพัฒนาของญี่ปุ่น หรือ The Development Bank of Japan ประกาศที่จะให้สินเชื่อแก่ JAL เป็นเงิน 600 พันล้านเยน (6.6 พันล้านดอลลาร์)
    ในบทความที่พิมพ์ในเว็บไซต์ globalasia.org ชื่อ The Real Story of the Problems at Japan Airlines นายคาซูฮิโก๊ะ โตยามา (Kazuhiko Toyama) CEO บริษัท Industrial Growth Platform และเป็นกรรมการคนหนึ่งในคณะทำงานการปรับองค์กร JAL (JAL Reorganization Task Force) ได้ตั้งคำถามว่า อะไรคือปัญหามูลฐานของ JAL ทำอย่างไรที่บริษัทจะฟื้นฟูขึ้นมาได้ และในมุมมองเชิงนโยบาย อะไรคือปัญหาท้าทายการปรับองค์กรธุรกิจ ที่อาศัยเงินสนับสนุนจากรัฐ
    คาซูฮิโก๊ะ โตโยมา เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ (COO) ของบริษัทฟื้นฟูอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (Industrial Reorganization Corporation of Japan) ก่อนหน้านั้นในวันที่ 25 กันยายน 2009 กระทรวงกิจการที่ดิน การขนส่ง โครงสร้างพื้นฐาน และการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น แต่งตั้งให้เขาเป็นกรรมการคนหนึ่ง ในคณะทำงานฟื้นฟูกิจการ JAL จากประสบการดังกล่าว ทำให้เขาเห็นปัญหามูลฐานของ JAL
    โตโยมากล่าวว่า ประการแรก ปัญหาวิกฤติความยากลำบากของ JAL แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ (1) ปัญหาที่ฝังรากลึกและเรื้อรัง และ (2) ปัญหาที่รุนแรงขึ้นหลังจากเกิดวิกฤติเลห์แมนบราเธอร์ในปี 2008 ส่วนปัญหาเฉพาะหน้าเร่งด่วนคือ ทำอย่างไรจะหลีกเลี่ยงการขาดเงินสด และทำให้เครื่องบินยังสามารถทำการบินได้ต่อไป
    อุตสาหกรรมสายการบินนั้น ต้นทุนการดำเนินงานจะเป็นต้นทุนคงที่ (fixed cost) เช่น ค่าจ้าง ค่าเช่าเครื่องบิน ค่าเชื้อเพลิง และค่าบำรุงรักษาเครื่องบิน JAL ประสบปัญหาขาดเงินสดเรื้อรังมาตลอด เพราะมีต้นทุนคงที่สูง แต่รายได้ลดลงมาตลอดในช่วงเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ
    สายการบินหลายสายในโลก ที่ไม่สามารถมีเงินชำระค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในแต่ละวัน ทำให้ต้องหยุดทำการบินลงชั่วคราว กรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าว จะจบลงที่การล้มละลาย และส่วนใหญ่จะต้องนำทรัพย์สินมาขายทอดตลาด และทันทีที่สายการบินหยุดกิจการ มูลค่าตราสินค้า (brand value) จะถูกทำลายลงไป การขาดแคลนเงินสด ทำให้ JAL เองก็เดินมาใกล้ที่สถานการณ์ที่อันตรายดังกล่าว
    โตโยมากล่าวว่า สถานการณ์ของ JAL เหมือนกับคนป่วยหนักที่ต้องผ่าตัด แต่การผ่าตัดก็เสี่ยงต่อคนป่วย ปัญหาของ JAL จึงต้องใช้มาตรการพื้นฐาน คือ กระบวนการฟื้นฟูกิจการจากคำสั่งศาล และ JAL ต้องได้รับการอัดฉีดเงินจำนวนมาก ที่อาจมากถึง 1 ล้านล้านเยน ซึ่งมีเพียงรัฐเท่านั้นที่สามารถให้เงินสนับสนุนมากได้ในระยะเวลาที่สั้นๆนี้
    คณะทำงานการปรับองค์กร JAL จึงมีข้อสรุปในวันที่ 20 ตุลาคม 2009 ว่า บริษัทฟื้นฟูกิจการของรัฐเท่านั้น ที่สามารถจะให้เงินทุนช่วยเหลือดังกล่าวแก่ JAL
    คณะทำงานปรับองค์กร JAL ทำงานสิ้นสุดลงในวันที่ 29 ตุลาคม 2009 ต่อมา ธนาคารการพัฒนาของญี่ปุ่นให้เงินกู้ 2 ครั้ง เป็นเงิน 200 พันล้านเยน การยื่นขอการฟื้นฟูผ่านกระบวนการทางศาล ทำให้ JAL ได้สินเชื่ออีกจำนวน 600 พันล้านเยน ประเด็นสำคัญที่เป็นข้อเสนอของคณะทำงานฟื้นฟู JAL คือ จะต้องทำให้ JAL ยังมารถทำการบินต่อไปได้ในช่วงที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ
    มรดกที่ทำให้ต้นทุนสูง
    โตโยมากล่าวถึงปัญหาเรื้อรังจนทำให้ JAL เกิดวิกฤติ คือ บริษัทมีเครื่องบินจำนวนมากเกินไป มีบุคลากรมากเกินไป และเส้นทางบินมากเกินไป เส้นทางบินไม่ใช่ต้นทุนโดยตรงของค่าใช้จ่ายคงที่ ดังนั้น การยกเลิกเส้นทางบินที่ไม่ทำกำไร ก็ไม่ได้แก้ปัญหาของ JAL
    ปัญหาที่ร้ายแรงกว่าคือ เครื่องบินและบุคลากร เช่น ที่สนามบินนาริตะ การมีเที่ยวบินมีจำกัด JAL จึงใช้เครื่องบินจัมโบ้ 747 แต่ต่อมาเครื่องบินนี้กลายเป็นสินทรัพย์ที่แข่งขันไม่ได้ เพราะอุตสาหกรรมนี้หันไปใช้เครื่องบินขนาดเล็กลง ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
    ในด้านบุคลากร JAL มีพนักงานทั้งหมดประมาณ 50,000 คน ที่ถือกันว่ามีจำนวนมากเกินไป 30% ในอดีต JAL ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่มีการจ้างงานแบบฝ่ายรุก แต่นับจากปี 1975 เป็นต้นมา การจ้างงานใหม่ลดลง เพราะธุรกิจแข่งขันมากขึ้นและเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ สิ่งนี้ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เรียกว่า “พีระมิดกลับหัว” (reverse-pyramid) ในโครงสร้างบุคลากรของบริษัท พนักงานเก่าแก่มีจำนวนมาก แต่พนักงานใหม่มีจำนวนน้อย มาตรการลดค่าใช้จ่ายกับพนักงาน ทำได้สำเร็จกับพนักงานที่รับมาใหม่ แต่ทำได้จำกัดในการลดสิทธิประโยชน์ของพนักงานเก่าแก่หรือที่เกษียณไปแล้ว
    คนญี่ปุ่นทั่วไปจะมองว่า JAL เป็นบริษัทที่ให้รายได้และสิทธิประโยชน์ที่ดี แต่พนักงานในวัยหนุ่มสาวที่มีศักยภาพสูง แต่กลับก็ต้องทำงานฟันฝ่ากับภาวะที่ยากลำบาก โตโยมากล่าวว่า เหตุผลหนึ่งที่คาซูโอ๊ะ อินาโมริ (Kazuo Inamori) ผู้ก่อตั้งบริษัทอีเลกทรอนิกส์ Kyocera ได้รับเลือกให้มาเป็น CEO ของ JAL ก็เพื่อให้เขาผลักดันศักยภาพการทำงานของพนักงานที่อายุน้อยของ JAL
    แสวงหาทางออก
    โตโยมากล่าวว่าหาก JAL จำเป็นต้องเดินต่อไปข้างหน้า สิ่งแรกสุดที่ต้องทำ คือขจัดสินทรัพย์ที่ติดลบและวิธีการดำเนินงานที่สร้างปัญหา การจัดการกับปัญหานี้จะเกี่ยวข้องกับคนหลายส่วน เช่น พนักงานที่เป็นอยู่ พนักงานเกษียณแล้ว และนักการเมือง
    ทั้ง JAL และกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องต่างก็ปฏิเสธความเป็นจริงมายาวนาน จนทำให้ JAL มาสู่จุดพังทลาย เมื่อเกิดกระบวนการฟื้นฟูผ่านศาลและมีเงินอัดฉีดจำนวนมากจากรัฐ JAL จะต้องใช้โอกาสนี้ กำจัดการประพฤติปฏิบัติในอดีตที่สร้างปัญหาให้หมดไป
    ประการแรก JAL จะต้องตั้งฝ่ายบริหารใหม่ขึ้นมา ที่ประกอบด้วยคนหนุ่มสาวและคนมีฝีมือ โดยอยู่ภายใต้การนำของอินาโมริ บริษัทจะต้องเผชิญหน้ากับอดีต การฟื้นฟูผ่านศาลทำให้ JAL สามารถลดภาระทางการเงินจากเจ้าหนี้ลงได้จำนวนมากถึง 700 พันล้านเยน ลดเงินบำนาญแก่พนักงานเกษียณได้ 45% และเครื่องบินแบบเก่าจำนวนหนึ่งถูกตัดออกจากฝูงบิน
    ในด้านบุคลากร ETIC มีแผนที่จะลดพนักงานลง 30% หรือ 15,000 คน แต่จำนวนพนักงานจะลดลงตามธรรมชาติเช่นกัน เมื่อมีการขายกิจการในเครือออกไป JAL จะต้องเน้นเรื่องหลักเศรษฐกิจ และเลิกเส้นทางบินที่ไม่มีกำไรทันที สำหรับเส้นทางบินที่ไม่มีกำไร แต่บินเพื่อประโยชน์เศรษฐกิจของท้องถิ่น จะต้องขอเงินอุดหนุนจากรัฐ JAL จะต้องบรรลุการลดขนาดองค์กร และให้มีดุลเงินสด ก่อนที่จะพูดเรื่องกลยุทธ์การเติบโต
    ผลกระทบต่อกลไกตลาด
    โตยามากล่าวว่า JAL ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทฟื้นฟู ETIC เป็นเวลา 3 ปี ถ้ามองในแง่ภาพรวม การฟื้นฟู JAL ผ่านกระบวนการศาลและการได้เงินสนับสนุนจากบริษัทฟื้นฟูของรัฐ ทำให้กลไกตลาดเกิดการบิดเบี้ยว การแทรกแซงของรัฐเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของกลไกตลาด ที่จะทำหน้าที่ขจัดผู้ประกอบการที่ไม่มีประสิทธิภาพ แต่ผู้ประกอบการที่พ่ายแพ้อย่าง JAL กลายฝ่ายที่ได้เปรียบด้านต้นทุนขึ้นมา ผู้ประกอบการที่ชนะในตลาดการแข่งขัน จะกลายเป็นผู้ประกอบการที่แพ้รายใหม่
    โตโยมาตั้งคำถามว่า สถานะการณ์ที่วิกฤติของ JAL แสดงถึงการทำงานที่ได้ผลของกลไกตลาด ถ้าอย่างนั้น อะไรคือความชอบธรรมต่อการตัดสินใจของรัฐบาลญี่ปุ่นที่เข้าแทรกแซงตลาด เพื่อรักษา JAL คำตอบคือบทบาทด้านสาธารณะของ JAL หาก JAL ล้มละลาย และทรัพย์สินนำมาขายทอดตลาด จะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่น และจะกระทบอย่างรุนแรงต่อการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับนานาประเทศ
    ในอีกด้านหนึ่ง บริษัทฟื้นฟูกิจการ ETIC มีหน้าที่ความรับผิดชอบที่จะฟื้นฟูกิจการของ JAL และมีหน้าที่ทำให้ได้รับเงินที่อัดฉีดกลับคืนมา สิ่งนี้เป็นภารกิจของ ETIC รวมทั้งการหาทางเพิ่มคุณค่าขององค์กรแก่ JAL เงินอัดฉีดจากรัฐแก่ JAL จำนวน 900 พันล้านเยน เปรียบเหมือน “เงินปลอบใจที่แพ้การแข่งขัน” (consolation money)
    โตโยมากล่าวสรุปว่า หลังจาก 3 ปี JAL จะต้องชำระคืน “เงินปลอบใจ” ดังกล่าวคืนแก่รัฐ เมื่อ ETIC ถอนตัวออกจาก JAL แล้ว JAL จะเข้าสู่ตลาดการบินใหม่อีกครั้งหนึ่งในฐานะบริษัทอิสระ ที่ยืนด้วยลำแข้งตัวเอง เมื่อถึงเวลานั้น เราจะรู้ว่า แผนฟื้นฟู JAL ประสบความสำเร็จหรือไม่
    แต่ในวันที่ 10 มกราคม 2012 บทความ The Financial Times ชื่อ JAL provided blueprint for other to follow กล่าวว่า แค่ภายในเวลาแค่ 2 ปีของการฟื้นฟูกิจการ JAL ก็สามารถสร้างผลกำไรแล้ว จำนวนพนักงานลดจาก 48,000 คน เหลือ 30,000 คน เครื่องบินกว่า 100 ลำถูกถอนออกจากฝูงบิน โครงสร้างองค์กรถูกปรับปรุงให้เรียบง่าย
    ส่วนอินาโมริ CEO ของ JAL ที่เคยบวชเป็นพระเซนมาก่อน สามารถสร้างคุณค่าความเป็นนำ ที่มีความชัดเจนและเด็ดขาด หลังจากที่ในปี 2010 เขาเคยพูดกับพนักงานว่า บรรดาผู้จัดการของ JAL ฝีมือไม่ถึง แม้แต่จะบริหาร “ร้านขายของชำ”
    โดย ปรีดี บุญซื่อ
    Source: ThaiPublica
    https://thaipublica.org/2020/05/etic-the-real-story-of-japan-airlines/
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (May 14) ธปท.เตือนกลโกงโซเชียล ดึงเงินรางวัลล่อ 'เปิดข้อมูล' บัญชีธนาคาร : "ธปท." ผนึก "สมาคมแบงก์" เตือนห้ามแชร์ข้อมูลบัญชีธนาคาร และข้อมูลส่วนตัว ผ่านโซเชียลมีเดีย หรือเฟซบุ๊ค พบพฤติกรรม "มิจฉาชีพ" ใช้รางวัล-เงินเป็นตัวล่อให้เปิดเผยข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ
    SlKPGSWk6mXqRmpfslSqw7mdL2oifrSUGsGzVBjpjSub&_nc_ohc=s6fB20N5XaIAX_cr80P&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.png
    ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งเตือนประชาชนพึงระวังในการให้ข้อมูลส่วนตัว ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินและใช้ประกอบการทำธุรกรรมการเงิน ทั้งชื่อบัญชี และเลขที่บัญชีเงินฝาก รวมถึง ชื่อ-นามสกุล เลขที่บัตรประชาชน หมายเลขโทรศัพท์ และวัน เดือน ปีเกิด เนื่องจากมีความเสี่ยงที่มิจฉาชีพ จะนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ในทางที่มิชอบ อาจเกิดความเสียหายกับเจ้าของข้อมูลได้

    "ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณชน เช่น โพสต์ในเฟซบุ๊ค ที่มีคนเห็นจำนวนมาก มีความเสี่ยงที่จะถูกนำข้อมูลไปใช้แอบอ้างทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น การถอนเงินออกจากบัญชี หรือถูกแอบอ้างเป็นบุคคลดังกล่าวเพื่อทำธุรกรรมทุจริต"

    ทั้งนี้ การหลอกลวงให้บอกข้อมูลส่วนตัว ทำได้หลายรูปแบบ ที่เห็นบ่อยครั้ง คือการใช้ของรางวัลหรือผลประโยชน์เป็นตัวล่อ หากไม่แน่ใจควรตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจน โดยอาจเช็คไปยังผู้ขอข้อมูลว่ามีตัวตนชัดเจน มีความน่าเชื่อถือ หรือสอบถามไปยังหน่วยราชการที่ดูแลเรื่องดังกล่าว ที่อาจทราบรูปแบบการหลอกลวง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ

    ส่วนผู้ที่นำข้อมูลของผู้อื่นไปใช้ จนเกิดความเสียหายแก่เจ้าของข้อมูลบุคคลนั้น จะได้รับโทษทางกฎหมาย นอกจากนี้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ระบุว่าการเก็บรวบรวม ใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก่อนด้วย

    สถานะไม่เปลี่ยนแต่ได้ 5,000 เช็คเงินเยียวยา 'เราไม่ทิ้งกัน' โอนวันนี้
    www.เยีhttp://xn--12ca3d6baib0au2g8g.com/ โอนจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท วันละ 1 ล้านคน
    รวม 'มาตรการเยียวยา' ลูกหนี้ 'พักชำระ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ แจกเงิน' จากทุกธนาคาร

    ด้านนายยศ กิมสวัสดิ์ ประธานสำนักระบบการชำระเงิน สมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า แม้การเปิดเผยชื่อบัญชีเพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถจารกรรมข้อมูลทางการเงินได้ แต่หากมิจฉาชีพ มีการสืบค้นข้อมูลทางการเงินอื่นๆเพิ่ม เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆมาประกอบ ก็อาจทำได้ หรืออาจจะใช้เลขบัญชีเป็นช่องทางฟอกเงิน นำไปใช้หลอกลวงให้โอนเข้ามาบัญชีดังกล่าว และบังคับให้เจ้าของบัญชีโอนเงินให้ ก่อให้เกิดความเสี่ยงและภัยทางการเงินตามมาได้

    "การเอาสมุดบัญชี และชื่อไปแค่นี้ จริงๆก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ที่กลัวคือ คนร้ายอาจไปสืบข้อมูลเพิ่ม จนได้เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ เจ้าของบัญชี แล้วเอาไปหลอกให้คนอื่นๆ โอนเงินมาบัญชีนี้ แล้วไปบังคับเอาเงินที่บ้านเจ้าของบัญชี เหล่านี้เป็นอันตราย และเจ้าของบัญชีอาจเสี่ยงติดคุกได้ เพราะมีการนำบัญชีไปใช้หลอกคนอื่น ดังนั้นต้องระวัง ในการให้ข้อมูลทางการเงินเหล่านี้ หรือระวังถูกหลอก โดยการให้ใส่เลขบัญชี เพื่อรับเงินชิงโชคต่างๆ และระวังอาจถูกชักจูงให้ไปสู่การเล่นการพนันออนไลน์ได้" นายยศกล่าว

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/880402?utm_source=homepage&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=finance
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (May 14) เช็กก่อนลงทุน พันธบัตรรัฐบาล “เราไม่ทิ้งกัน” ผลตอบแทน-ซื้ออย่างไร มีเงื่อนไขอะไรบ้าง? วันนี้ (14 พ.ค.) เป็นวันเเรกที่กระทรวงการคลังจัดจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราไม่ทิ้งกัน” ในปีงบประมาณ 2563 แบบไร้ใบตราสาร วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท เป็นการระดมทุนเพื่อบรรเทาผลกระทบและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตามแผนงานโครงการของรัฐบาล ภายใต้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงินวงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท
    pcHFrtadCXpN_9o3LaMMKso6is8AT-JUiOf1PcV5IqwD&_nc_ohc=RrT-45Nwi1YAX_2iuDi&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.png

    พันธบัตรรุ่น “เราไม่ทิ้งกัน” เป็นพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นพิเศษที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป ใครสนใจ “ออมเงินระยะยาว” ต้องศึกษาข้อมูลก่อนลงทุน โดยมีรายละเอียดดังนี้

    มีแบบไหนบ้าง?

    พันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราไม่ทิ้งกัน” ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (แบบไร้ใบตราสาร) วงเงินจำหน่าย 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นอายุ 5 ปี เเละรุ่นอายุ 10 ปี

    ผลตอบเเทนเเละอัตราดอกเบี้ยเป็นอย่างไร?

    รุ่นอายุ 5 ปี

    • อัตราดอกเบี้ยต่อปี ปีที่ 1 ร้อยละ 2.00
    • อัตราดอกเบี้ยต่อปี ปีที่ 2-3 ร้อยละ 2.25
    • อัตราดอกเบี้ยต่อปี ปีที่ 4 ร้อยละ 2.50
    • อัตราดอกเบี้ยต่อปี ปีที่ 5 ร้อยละ 3.00
    พันธบัตรรุ่นอายุ 5 ปี จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 14 พฤษภาคม 2568

    รุ่นอายุ 10 ปี
    • อัตราดอกเบี้ยต่อปี ปีที่ 1-3 ร้อยละ 2.50
    • อัตราดอกเบี้ยต่อปี ปีที่ 4-8 ร้อยละ 3.00
    • อัตราดอกเบี้ยต่อปี ปีที่ 9 ร้อยละ 3.50
    • อัตราดอกเบี้ยต่อปี ปีที่ 10 ร้อยละ 4.00
    พันธบัตรรุ่นอายุ 10 ปี จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 14 พฤษภาคม 2573

    ใครซื้อได้บ้าง?

    บุคคลที่มีสิทธิ์ซื้อ
    บุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทย หรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย สภากาชาดไทย มูลนิธิ สมาคม สหกรณ์ วัด สถานศึกษาของรัฐ โรงพยาบาลของรัฐ และนิติบุคคลอื่นที่ไม่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไร

    องค์กรที่ไม่สิทธิ์ซื้อ
    ธนาคาร บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บริษัทประกัน กองทุนบำเหน็จบำนาญ ข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนส่วนบุคคลที่บริหารโดยสถาบันการเงิน กองทุนรวม คณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล บรรษัท สำนักงาน ประกันสังคม รัฐวิสาหกิจ บริษัท ห้างร้าน นิติบุคคลอาคารชุด นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร โรงพยาบาลเอกชน สถานศึกษาเอกชน และนิติบุคคลที่แสวงหากำไร

    ช่วงเปิดขายเเละวงเงินซื้อขั้นต่ำ

    เปิดจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 – 10 มิถุนายน 2563 แบ่งออกเป็น 3 ช่วงได้เเก่

    ช่วงที่ 1 วันที่ 14-20 พฤษภาคม 2563 จองซื้อรวมทุกรุ่น ขั้นต่ำ 1,000–2,000,000 บาท/คน/ธนาคาร

    ช่วงที่ 2 วันที่ 21-27 พฤษภาคม 2563 จองซื้อรวมทุกรุ่น ขั้นต่ำ 1,000–2,000,000 บาท/คน/ธนาคาร (ไม่นับรวมยอดช่วงที่ 1)

    ช่วงที่ 3 วันที่ 28 พฤษภาคม – 10 มิถุนายน 2563 จองซื้อรวมทุกรุ่น ขั้นต่ำ 1,000 บาท และไม่จำกัดวงเงินจองซื้อ

    วันที่ครบกำหนดไถ่ถอน

    พันธบัตรรุ่นอายุ 5 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 14 พฤษภาคม 2568

    พันธบัตรรุ่นอายุ 10 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 14 พฤษภาคม 2573

    จ่ายดอกเบี้ยอย่างไร?

    จ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง คือ ในวันที่ 14 พฤษภาคม และ 14 พฤศจิกายน ของทุกปี จนกว่าจะครบกำหนดไถ่ถอน โดยเริ่มจ่ายดอกเบี้ยงวดแรกในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2563

    เสียภาษีเท่าไร?

    หักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ต่อปี ทุกครั้งที่มีการจ่ายดอกเบี้ย

    ซื้อได้ที่ไหน?

    ผ่าน BOND DIRECT Application และช่องทางของธนาคารตัวแทนจำหน่าย 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์

    ซื้อผ่านเครื่อง ATM ระบบอินเทอร์เน็ต และ Mobile Application : ธนาคารผู้จัดจำหน่ายจะหักเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้ซื้อทันทีเมื่อสิ้นสุดการทำรายการซื้อ

    ซื้อผ่านเคาน์เตอร์: สามารถชำระได้ทั้งเงินสด หักบัญชีเงินฝาก หรือเช็ค (วันที่ 10 มิถุนายน 2563 ไม่รับชำาระด้วยเช็ค) โดยสั่งจ่าย “บัญชีจองซื้อพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษของกระทรวงการคลัง รุ่นอายุ 5 ปี” “บัญชีจองซื้อพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษของกระทรวงการคลัง รุ่นอายุ 10 ปี”

    วิธีลงทะเบียนซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ (กรณีซื้อครั้งแรก)

    ในกรณีที่ไม่เคยซื้อพันธบัตรออมทรัพย์กับธนาคารมาก่อน จะต้องลงทะเบียนซื้อพันธบัตรและเปิดบัญชีฝากหลักทรัพย์ที่สาขาธนาคาร โดยใช้หลักฐาน ดังนี้

    บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง (กรณีบุคคลธรรมดา) หรือเอกสารหลักฐานการแสดงตนที่ออกโดยหน่วยงานราชการ (กรณีนิติบุคคล) และสำเนาเอกสารดังกล่าว พร้อมลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง

    สำเนาหน้าแรกสมุดบัญชีเงินฝาก (ยกเว้นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์พิเศษและบัญชีเงินฝากประจำ) ของผู้ซื้อที่เปิดบัญชีไว้กับธนาคารนั้น พร้อมลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง ในกรณีที่ไม่มีบัญชีเงินฝาก ผู้ซื้อต้องเปิดบัญชีใหม่ ซึ่งต้องเป็นบัญชีของธนาคารที่ทำรายการซื้อเท่านั้น

    คลังตอบ 18 ข้อสงสัย “พันธบัตรรัฐบาล “เราไม่ทิ้งกัน”

    ทาง สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ได้ออกมาตอบ 18 ข้อสงสัย คำถามที่พบบ่อยของพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษ แบบไร้ใบตราสาร รุ่น “เราไม่ทิ้งกัน” ดังนี้

    1. ทำไมการลงทุนในพันธบัตรรุ่นนี้จึงน่าสนใจ หากเทียบกับการฝากเงินแบบประจำ

    กระทรวงการคลังเป็นผู้ออกพันธบัตร โดยมอบอำนาจให้ ธปท. เป็นนายทะเบียน การลงทุนในพันธบัตรจึงเป็นการลงทุนที่มั่นคง ไม่มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับเงินต้นคืน ได้รับดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทนในอัตราแบบคงที่ตามระยะเวลากำหนดที่แน่นอน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรในขณะที่ออกจำหน่ายโดยส่วนใหญ่จะกำหนดให้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในขณะนั้น

    2. ข้อดีของการเป็นพันธบัตรแบบไร้ใบตราสาร (Scripless) คืออะไร

    เมื่อพันธบัตรครบกำหนดไถ่ถอน ผู้ถือกรรมสิทธิ์ไม่ต้องคืนใบพันธบัตรให้ ธปท. โดยเงินต้นจะโอนเข้าบัญชีเงินฝาก (ยกเว้นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์พิเศษและบัญชีเงินฝากประจำ) ของผู้ถือกรรมสิทธิ์อัตโนมัติ และไม่ต้องมีภาระในการเก็บรักษาใบพันธบัตร ทั้งนี้ให้ผู้ถือกรรมสิทธิ์นำสมุดบัญชีเงินฝากและ Bond Book ไปปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันได้ที่ธนาคารที่ทำรายการซื้อ

    3. สนใจซื้อพันธบัตรแบบไร้ใบตราสาร (Scripless) ต้องทำอย่างไร

    ผู้สนใจสามารถเลือกวิธีการซื้อพันธบัตรวิธีใดวิธีหนึ่งได้จาก 4 ช่องทาง ดังนี้

    3.1 การซื้อผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร ผู้ซื้อจะต้องลงทะเบียนและเปิดบัญชีฝากหลักทรัพย์ที่ธนาคาร (ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์) และทำรายการซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 – 10 มิถุนายน 2563 หรือจนถึงวันที่จำหน่ายได้ครบวงเงินตามที่แต่ละธนาคารได้รับจัดสรร โดยผู้ซื้อสามารถดาวน์โหลดใบจองซื้อได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ

    3.2 การซื้อผ่านเครื่อง ATM ผู้ซื้อจะต้องดำเนินการตามข้อ 3.1 และแจ้งธนาคารเพื่อขอทำบัตร ATM ซึ่งมีข้อดี คือ ผู้ซื้อจะสามารถดำเนินการผ่านเครื่อง ATM ได้ทุกเครื่องของธนาคาร โดยไม่ต้องเดินทางมาที่ธนาคาร

    3.3 การซื้อผ่านระบบอินเทอร์เน็ต และ Mobile Application ผู้ซื้อจะต้องดำเนินการตามข้อ 3.1 และลงทะเบียนเพื่อเปิดใช้บริการระบบอินเทอร์เน็ต และ Mobile Application โดยผู้ซื้อจะได้รับความสะดวกในการซื้อและสามารถซื้อได้ตลอด 24 ชั่วโมง

    3.4 การซื้อผ่าน BOND DIRECT Application ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ผู้ซื้อจะต้องมีบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารกรุงไทย และจะต้องชำระเงินผ่าน Mobile Application ของธนาคารกรุงไทย หรือเคาน์เตอร์ของธนาคารกรุงไทย

    4. ซื้อแล้วได้หลักฐานอะไรกลับไป

    เมื่อผู้ซื้อชำระเงินในการซื้อพันธบัตรแล้ว ทั้ง 4 ช่องทาง มีหลักฐานเพื่อยืนยันการซื้อ ดังนี้

    4.1 กรณีซื้อผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร ผู้ซื้อจะได้รับเอกสารยืนยันการซื้อพันธบัตร

    4.2 กรณีที่ซื้อผ่านเครื่อง ATM ผู้ซื้อจะได้รับใบเสร็จหรือใบแสดงรายการที่พิมพ์จากเครื่อง ATM (Slip) เพื่อเป็นหลักฐานในการชำระค่าซื้อพันธบัตร

    4.3 กรณีซื้อผ่านระบบอินเทอร์เน็ต และ Mobile Application ผู้ซื้อจะได้รับหลักฐานการทำรายการตามบริการของแต่ละธนาคารกำหนด

    4.4 กรณีซื้อผ่าน BOND DIRECT Application หากชำระเงินผ่าน Mobile Application ของธนาคารกรุงไทย ผู้ซื้อจะได้รับหลักฐานการทำรายการตามบริการที่ธนาคารกำหนด กรณีชำระเงินผ่านเคาน์เตอร์ ผู้ซื้อจะได้รับเอกสารยืนยันการซื้อพันธบัตร

    สำหรับผู้ซื้อพันธบัตรรายใหม่ จะได้รับสมุดพันธบัตรรัฐบาล กระทรวงการคลัง (Bond Book) ที่แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับพันธบัตร โดยจะได้รับในวันที่ซื้อหรืออาจได้รับภายหลังไม่เกิน 15 วันทำการ สำหรับผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่มี Bond Book อยู่แล้ว ให้นำ Bond Book ไปปรับปรุงข้อมูลรายการซื้อให้เป็นปัจจุบันได้ที่ธนาคารที่ทำรายการซื้อภายหลังจากวันที่ทำรายการซื้อแล้ว 15 วันทำการ

    โดยผู้ถือกรรมสิทธิ์จะนำไปใช้อ้างอิงสำหรับ การทำธุรกรรมได้ รายการที่ปรากฏอยู่ใน Bond Book เป็นรายการซื้อที่แสดงมูลค่าตามราคาตรา (Par Value) ในวันที่จดทะเบียน และในวันที่ทำรายการจะแสดงมูลค่าตามราคาตลาด (Market Value) ของแต่ละธนาคาร โดยจะถือว่าถูกต้องเมื่อรายการดังกล่าวตรงกันกับรายการที่บันทึกไว้ที่ธนาคาร

    ทั้งนี้ จะปรากฏเฉพาะรุ่นพันธบัตรแบบไร้ใบตราสาร (Scripless) ที่ซื้อผ่านธนาคารเท่านั้น โดยผู้ถือกรรมสิทธิ์สามารถนำ Bond Book ที่ได้รับตั้งแต่การซื้อพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 จนถึงพันธบัตรรุ่นนี้ไปปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันผ่านธนาคารที่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ทำรายการซื้อเท่านั้น

    สำหรับการจ่ายคืนเงินต้นพันธบัตรเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน กระทรวงการคลังจะจ่ายคืนตามราคาตรา (Par Value)

    5. คณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล หรือกองทุนส่วนบุคคลสามารถซื้อพันธบัตรรุ่นนี้ได้หรือไม่

    คณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่สามารถซื้อได้ เนื่องจากไม่มีสถานภาพเป็นบุคคล (บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่อยู่ในข่ายที่จะซื้อได้ กองทุนส่วนบุคคลที่บริหารโดยสถาบันการเงินไม่สามารถซื้อได้

    6. คู่สมรสจะต้องให้ความยินยอมหากอีกฝ่ายต้องการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์หรือไม่

    ไม่ต้องให้ความยินยอม

    7. ซื้อพันธบัตรรุ่นเดียวกัน จำนวนเงินเท่ากัน ทำไมได้รับดอกเบี้ยงวดแรกไม่เท่ากัน

    เนื่องจากวันที่ซื้อพันธบัตรต่างกัน ทำให้การนับจำนวนวันเพื่อนำไปคำนวณดอกเบี้ยไม่เท่ากัน โดยมีหลักเกณฑ์การนับวัน ให้นับวันที่ซื้อ ไม่นับวันที่จ่ายดอกเบี้ย เช่น

    นาย ก. ซื้อพันธบัตรรุ่นอายุ 10 ปี ชำระด้วยเงินสดจำนวน 500,000 บาท ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2563 จ่ายดอกเบี้ยงวดแรกวันที่ 14 พฤศจิกายน 2563 การนับวันจะนับวันที่ 18 พฤษภาคม 2563 จนถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 เป็นจำนวน 180 วัน

    นาย ข. ซื้อพันธบัตรรุ่นอายุ 10 ปี ชำระด้วยเงินสดจำนวน 500,000 บาท ในวันที่ 8 มิถุนายน 2563 จ่ายดอกเบี้ยงวดแรกวันที่ 14 พฤศจิกายน 2563 การนับวันจะนับวันที่ 8 มิถุนายน 2563 จนถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 เป็นจำนวน 159 วัน

    ทั้งนี้ งวดต่อไปจำนวนวันเพื่อนำไปคำนวณดอกเบี้ยของ นาย ก. และนาย ข. จะเท่ากัน

    8. การขอคืนภาษีดอกเบี้ยพันธบัตรรุ่นนี้ทำอย่างไร

    เมื่อ ธปท. จ่ายดอกเบี้ยเข้าบัญชีเงินฝากของท่าน ธปท. จะออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้ ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานขอคืนภาษีประจำปีได้ ในกรณีที่เงินได้สุทธิของท่านเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าร้อยละ 15

    9. การโอนดอกเบี้ยและเงินต้นพันธบัตรเข้าบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ ต้องเสียค่าธรรมเนียมหรือไม่

    ในการโอนดอกเบี้ยและเงินต้นเข้าบัญชีเงินฝาก (ยกเว้นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์พิเศษและบัญชีเงินฝากประจำ) เจ้าของบัญชีได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนเงิน

    10. หากต้องการรับดอกเบี้ยและเงินต้นเป็นเงินสดและเช็คจะทำได้หรือไม่

    ไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจาก ธปท. จะโอนดอกเบี้ยและเงินต้นเข้าบัญชีเงินฝาก (ยกเว้นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์พิเศษและบัญชีเงินฝากประจำ) ของผู้ถือกรรมสิทธิ์เท่านั้น

    11. หากต้องการแจ้งแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูล ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ บัญชีรับดอกเบี้ยและเงินต้น หรือข้อมูลอื่นๆ จะต้องทำอย่างไร

    กรณีพันธบัตรแบบไร้ใบตราสาร (Scripless)

    -ติดต่อธนาคารที่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ทำรายการซื้อ โดยนำ Bond Book และหลักฐานอื่นที่ต้องใช้ในการอ้างอิงไปด้วย

    กรณีพันธบัตรแบบมีใบตราสาร (Scrip)

    -ให้แจ้งโดยตรงที่ ธปท. สำนักงานใหญ่ สำนักงานภาค หรือธนาคาร สำนักงานใหญ่ และสาขาทั่วประเทศ เพื่อส่งต่อให้ ธปท. ดำเนินการต่อไป

    12. การขอหนังสือรับรองยอดพันธบัตร (กรณีไร้ใบตราสาร) กับทางสาขาธนาคาร สาขาธนาคารสามารถดำเนินการออกให้ได้เลยหรือไม่ และคิดค่าธรรมเนียมอย่างไร

    ธนาคารสามารถออกหนังสือรับรองยอดพันธบัตร (กรณีไร้ใบตราสาร) ให้ได้ โดยคิดค่าธรรมเนียมการจัดทำหนังสือรับรองยอดพันธบัตร ตามอัตราที่แต่ละธนาคารประกาศกำหนด ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่าง 50-200 บาท ต่อฉบับ (สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ธนาคาร)

    13. ถ้ามีความประสงค์จะเปลี่ยนพันธบัตรจากแบบไร้ใบตราสาร (Scripless) ให้เป็นแบบมีใบตราสาร (Scrip) ทำได้หรือไม่ เสียค่าใช้จ่ายเท่าใด ใช้เวลาดำเนินการประมาณกี่วัน ลูกค้าถึงจะได้รับใบพันธบัตร

    ทำได้ โดยต้องนำ Bond Book ไปติดต่อธนาคารเพื่อขอออกใบพันธบัตร โดยมีค่าธรรมเนียมในการดำเนินการรวมทั้งสิ้นประมาณ 290-370 บาท ต่อรายการ (แล้วแต่กรณี) ประกอบด้วย

    – ค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้กับศูนย์รับฝาก 65 บาทต่อรายการ ไม่รวม VAT

    – ค่าธรรมเนียมการออกใบพันธบัตรที่ต้องจ่ายให้ ธปท. กรณีบุคคลธรรมดา 20 บาทต่อฉบับ กรณีนิติบุคคล 100 บาทต่อฉบับ ไม่คิด VAT

    – ค่าธรรมเนียมการดำเนินธุรกรรมในการถอนพันธบัตรจากระบบ Scripless ที่ต้องจ่ายให้ธนาคาร 200 บาทต่อรายการ รวม VAT

    – ลูกค้าจะได้รับใบพันธบัตรประมาณ 4 – 10 วัน (ยังไม่รวมการจัดส่งใบพันธบัตร) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร

    14. การขอออกใบพันธบัตรตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2563 สามารถออกเป็นชื่อบุคคลอื่นที่มิใช่ผู้ซื้อในครั้งแรกได้หรือไม่ เช่น นาย ก. ซื้อ แต่ขอออกใบเป็นชื่อ นาย ข.

    นาย ก. จะต้องทำการโอนให้นาย ข. ก่อน โดยต้องนำ Bond Book ไปติดต่อที่ธนาคาร และกรอกแบบฟอร์มแจ้งการโอนกรรมสิทธิ์พร้อมเอกสารประกอบ โดยธนาคารไม่คิดค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างลูกค้ารายเดิมภายในกลุ่มผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ซื้อผ่านธนาคารเดียวกัน

    ทั้งนี้ หากเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างลูกค้ารายเดิมให้กับลูกค้ารายใหม่ ธนาคารจะคิดค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์จากลูกค้ารายใหม่ 250 บาท ต่อรายการ รวม VAT แล้วจึงขอออกใบพันธบัตรเป็น นาย ข.

    15. การโอนเปลี่ยนมือระหว่างธนาคารทำได้หรือไม่

    การโอนกรรมสิทธิ์พันธบัตรแบบไร้ใบตราสาร (Scripless) สามารถกระทำได้โดยอาจเป็นการโอนให้กับลูกค้ารายใหม่หรือลูกค้าเดิมภายในกลุ่มผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ซื้อผ่านธนาคารเดียวกัน แต่ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างธนาคารได้ โดยผู้ถือกรรมสิทธิ์จะต้องนำ BondBook ไปติดต่อธนาคารที่ได้ฝากพันธบัตรไว้

    16. ความเสี่ยงของการถือพันธบัตรรุ่นนี้มีอะไรบ้าง

    ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรไม่มีความเสี่ยงจากการสูญเงินต้น แต่อาจมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนในพันธบัตรอาจเสียโอกาสที่จะลงทุนในทางเลือกอื่น ๆ ที่มีผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับจากพันธบัตร เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในอนาคตสูงขึ้นมากกว่าอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตร จะได้รับดอกเบี้ยคงที่ตามอัตราที่กำหนดไว้บนหน้าพันธบัตร ตลอดอายุพันธบัตร

    ในกรณีที่นำพันธบัตรไปขายให้กับสถาบันการเงินหรือบุคคลอื่น ก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับเงินต้นคืนไม่เท่ากับ 1,000 บาทต่อหน่วยตามที่ตราไว้ โดยราคาที่ได้อาจมากกว่าหรือน้อยกว่าก็ได้ ทั้งนี้ ขึ้นกับอัตราดอกเบี้ยในตลาด ณ ขณะนั้นๆ อย่างไรก็ดี หากผู้ลงทุนถือพันธบัตร จนถึงวันครบกำหนดแล้ว จะได้รับคืนเงินต้นเต็มจำนวนเสมอ

    ท่านสามารถหาความรู้เพิ่มเติมได้ที่ website ต่างๆ ดังนี้

    https://www.bot.or.th/Thai/DebtSecurities

    https://www.thaibma.or.th

    https://www.thaibond.com

    17. การไถ่ถอนคืนเงินต้นพันธบัตรเมื่อครบกำหนดต้องดำเนินการอย่างไร

    กรณีพันธบัตรแบบไร้ใบตราสาร (Scripless) ธปท. จะจ่ายคืนเงินต้นพันธบัตร โดยโอนเงินต้นเข้าบัญชีเงินฝาก (ยกเว้นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์พิเศษและบัญชีเงินฝากประจำ) ให้แก่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามรายชื่อและข้อมูลที่ได้รับแจ้งจากศูนย์รับฝาก ซึ่งเป็นรายชื่อ ณ สิ้นวันทำการสุดท้ายก่อนวันปิดสมุดทะเบียนเพื่อจ่ายคืนเงินต้นตามที่ ธปท. ประกาศกำหนด

    กรณีพันธบัตรแบบมีใบตราสาร (Scrip) การจ่ายคืนเงินต้นพันธบัตรจะกระทำได้ต่อเมื่อ ธปท. ได้รับคืนใบพันธบัตร โดย ธปท. จะจัดส่งแบบคำขอรับคืนเงินต้นพันธบัตรให้ผู้ถือกรรมสิทธิ์ก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน

    เอกสารไถ่ถอน ประกอบด้วย

    – คำขอรับคืนเงินต้นพันธบัตร ที่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ได้กรอกข้อมูลและลงลายมือชื่อตามตัวอย่างที่ให้ไว้กับ ธปท.

    – พันธบัตรฉบับจริงทุกฉบับ ที่ครบกำหนดไถ่ถอน

    – สำเนาหน้าแรกสมุดบัญชีเงินฝากของผู้ถือกรรมสิทธิ์ (ยกเว้นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์พิเศษและบัญชีเงินฝากประจำ) ที่รับรองสำเนาถูกต้อง

    – กรณีบุคคลธรรมดา – ยื่นด้วยตนเอง แสดงบัตรประจำตัวประชาชน

    – ไม่มายื่นด้วยตนเองหรือส่งทางไปรษณีย์ แนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนที่รับรองสำเนาถูกต้อง

    – กรณีนิติบุคคล แนบ – สำเนาเอกสารแสดงความเป็นนิติบุคคล เช่น หนังสือรับรองจากกระทรวงพาณิชย์ออกไว้ไม่เกิน 1 เดือน ใบอนุญาตจัดตั้ง และรายงานการประชุม ประจำปีครั้งล่าสุดของสมาคมมูลนิธิ ฯลฯ ที่รับรองสำเนาถูกต้องโดยผู้มีอำนาจลงนาม และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ที่มีอำนาจลงนาม ที่รับรองสำเนาถูกต้อง

    – กรณีไถ่ถอนพันธบัตรของผู้เยาว์ การลงลายมือชื่อในคำขอรับคืนเงินต้นบันธบัตร ให้ดำเนินการดังนี้

    ผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ ให้ผู้ปกครองหรือผู้แทนโดยชอบธรรมลงลายมือชื่อ

    ผู้เยาว์อายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์ ให้ผู้เยาว์และผู้ปกครองหรือผู้แทนโดยชอบธรรม ลงลายมือชื่อร่วมกัน

    ผู้เยาว์อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ อนุโลมไม่ต้องแจ้งบรรลุนิติภาวะก่อนไถ่ถอน และในคำขอรับคืนเงินต้นพันธบัตรให้ระบุบัญชีรับเงินต้นเป็นชื่อผู้เยาว์เท่านั้น โดยผู้เยาว์และผู้ปกครองหรือผู้แทนโดยชอบธรรมลงลายมือชื่อร่วมกัน

    หมายเหตุ – ยื่นด้วยตนเอง ให้แสดงบัตรประจำตัวประชาชนผู้ปกครองหรือผู้แทนโดยชอบธรรมและสูติบัตรหรือทะเบียนบ้านหรือบัตรประจำตัวประชาชนผู้เยาว์ แล้วแต่กรณี

    – ไม่มายื่นด้วยตนเองหรือส่งทางไปรษณีย์ แนบสำเนาบัตรประจาตัวประชาชนผู้ปกครองหรือผู้แทนโดยชอบธรรม และสำเนาสูติบัตรหรือทะเบียนบ้านหรือบัตรประจำตัวประชาชนผู้เยาว์ แล้วแต่กรณี ที่รับรองสำเนาถูกต้อง

    – ผู้ปกครองหรือผู้แทนโดยชอบธรรม ต้องเป็นผู้ที่มีชื่ออยู่ในพันธบัตร

    – การไถ่ถอนพันธบัตรของผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ถึงแก่กรรม ให้ผู้จัดการมรดกยื่นเอกสารไถ่ถอนแทน พร้อมคำสั่งศาลตั้งผู้จัดการมรดกและหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด

    18. การโอนพันธบัตรให้แก่ทายาท ในกรณีที่ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในพันธบัตรถึงแก่กรรม

    กรณีพันธบัตรแบบไร้ใบตราสาร (Scripless)

    – ผู้จัดการมรดกติดต่อยื่นขอจัดการมรดกที่ธนาคารผู้จัดจำหน่าย

    – กรณีพันธบัตรแบบมีใบตราสาร (Scrip) ผู้จัดการมรดกติดต่อ ธปท. โดยยื่นคำร้องขอจัดการมรดกของผู้ถึงแก่กรรม ตามระเบียบที่ ธปท. กำหนด

    Source:positioningmagazine

    https://positioningmag.com/1278516

    เพิ่มเติม

    - เริ่มขายวันนี้ พันธบัตรรัฐบาล “เราไม่ทิ้งกัน” ดอกเบี้ยสูงสุด 4%

    https://www.prachachat.net/finance/news-463738

    - คนสนใจจองซื้อพันธบัตร "เราไม่ทิ้งกัน" หวังดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝาก

    https://www.facebook.com/Bank-of-Thailand-Scholarship-Students-277100888976077/


    - "พันธบัตรรัฐบาล" รุ่น “เราไม่ทิ้งกัน” คำนวณผลตอบแทนได้ที่นี่

    https://www.thansettakij.com/content/money_market/434129
    ดูน้อยลง
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (May 14) คลัง ยอมรับเศรษฐกิจไทยปีนี้หนีไม่พ้นติดลบ แม้รัฐอัดหลายมาตรการช่วยเหลือ: นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กล่าวภายหลังการประชุมการทบทวนภาวะเศรษฐกิจที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปีนี้คาดว่าจะติดลบอย่างแน่นอน
    est.co.th%2Fwp-content%2Fuploads%2F2020%2F03%2F20200310_IQM_ThaiGov_Utama_20200306133911000000_l.jpg
    แต่ขณะนี้คงคาดการณ์ลำบาก เนื่องจากผลกระทบการระบาดของโควิด-19 เป็นเหตุที่เกิดขึ้นแล้ว มีคนตกงานแล้ว ซึ่งขณะนี้รัฐบาลพยายามดูแลด้วยการออกมาตรการต่าง ๆ มาช่วยเหลือและลดผลกระทบให้กับประชาชน
    ทั้งนี้ ในวันที่ 18 พ.ค.นี้ สศช.จะมีการแถลงตัวเลข GDP ไตรมาส 1/63 และแนวโน้มปี 63 ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)นายอุตตม กล่าวเพิ่มเติมว่า หากในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 สถานการณ์โควิดดีขึ้น การค้าขายสามารถทำได้ดีมากขึ้น การท่องเที่ยวเริ่มกระเตื้อง ก็จะเป็นปัจจัยบวกเข้ามา
    สำหรับปัญหาของ บมจ.การบินไทย (THAI) นั้น นายอุตตม กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงหารือ ทั้งนี้การล้มละลายเป็นทางเลือกหนึ่ง การฟื้นฟูก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องล้มละลายก่อนถึงจะฟื้นฟู เป็นคนละเรื่องกัน แต่วันนี้ยังไม่ได้สรุป โดยสุดท้ายคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องนี้ด้านนายสมคิด กล่าวถึงกรณีปัญหา THAI ว่า เป็นเรื่องของกระทรวงการคลังกับกระทรวงคมนาคม ขอสื่อมวลชนอย่าพยายามเสนอข่าวให้เกิดความสับสนจะได้ไม่วุ่นวาย
    “เกี่ยวอะไรกับผม ไม่เกี่ยวอะไรกับผม คมนาคมเป็นคนดูแล ขอร้องพยายามอย่าเสนอข่าวไม่ให้สับสนจะได้ไม่วุ่นวาย” นายสมคิด กล่าว
    Source: สำนักข่าวอินโฟเควสท์
    https://www.infoquest.co.th/2020/17483
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (May 14) เจ้าสัว ‘ธนินท์’ เสนอรัฐบาล ‘ปลดล็อค’ ยับยั้งเศรษฐกิจพัง : "ธนินท์ เจียรวนนท์" ประธานอาวุโส "ซีพี" เผย 1 เดือนเศรษฐกิจสูญ 5 แสนล้าน เสนอรัฐบาล 'ปลดล็อค' ยับยั้งเศรษฐกิจพัง แนะกู้ 3 ล้านล้าน อุ้มแรงงาน-เกษตร-ท่องเที่ยว ศบค.ติงอย่าชะล่าใจ หลังไทยไม่พบผู้ติดเชื้อครั้งแรกรอบ 65 วัน
    6c37Q2RyG-EUJWLuFx53Ivl6tMZStT1ydhkXVfjR0Zlw&_nc_ohc=VfgNXKsTz3YAX85NgAb&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg
    นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กล่าวว่า รัฐบาลควรปลดล็อคเมือง เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจขับเคลื่อนได้ เพราะตั้งแต่ไทยใช้นโยบายปิดเมือง 1 เดือน ได้สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากกว่า 5 แสนล้านบาท ซึ่งหากยังปิดล็อคต่อไป จะยิ่งสรางความเสียหายทางเศรษฐกิจจนยากจะเยียวยาให้ฟื้นกลับมาได้ในเร็ววัน

    “การปิดไปเลย ปล่อยให้ล้มละลายไปเลย เวลาฟื้นจะไม่ง่าย เหมือนสร้างบ้าน ระเบิดตึก 10 ชั้นวินาทีเดียวพังหมด แต่เวลาสร้างใหม่ 10 ชั้น ต้องใช้เวลาเป็นปี นี่จึงเป็นเหตุให้อเมริกา ต้องรีบเปิด แม้จะมีปัญหา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ก็รีบเปิดเหมือนกัน เพราะถ้าปิดไปนานๆเศรษฐกิจจะพัง”

    ทั้งนี้ สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน เครือเจริญโภคภัณฑ์ ทำการศึกษาและรวบรวมผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการใช้มาตรการล็อคดาวน์ พบว่า ออสเตรเลีย จีดีพีหดตัว 10.4% คิดเป็นมูลค่าความเสียหายวันละ 4,800 ล้านบาท ฝรั่งเศส จีดีพีหดตัว 32% เสียหายวันละ 14,800 ล้านบาท สหราชอาณาจักร จีดีพีหดตัว 35% เสียหายวันละ 16,185 ล้านบาท มาเลเซีย จีดีพีหดตัว 58% เสียหายวันละ 26,925 ล้านบาท

    ส่วนกรณีของประเทศไทยนั้น นายสมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประเมินว่าจะเสียหายวันละ 18,670 ล้านบาท ขณะที่สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน เครือเจริญโภคภัณฑ์ ประมาณการมูลค่าความเสียหาย โดยใช้ข้อมูลรายการย่อยขององค์ประกอบจีดีพีที่คำนวณจากด้านรายจ่าย และคำนวณจากด้านผลผลิต พบว่า จากด้านรายจ่ายจะเสียหายวันละ 15,010 ล้านบาท หรือ 32.5% ของจีดีพีต่อวันที่อ้างอิงจีดีพีปี 2562 ต่อวันอยู่ที่46,240 ล้านบาท และด้านผลผลิต เสียหายวันละ 16,460 ล้านบาท หรือ 35.6% ของจีดีพีต่อวัน

    “ค่าเสียหายต่อวัน แทนที่เราจะรอให้เสียหาย เอาเงินที่จะเสียหายไปเสริมจุดแข็งประเทศ เพื่อความพร้อมยามฟ้าสว่าง ลงทุนด้านสาธารณสุข และด้านเศรษฐกิจไปพร้อมๆกัน”

    มั่นใจไม่ซ้ำรอยญี่ปุ่น-เกาหลี

    “ผมมองต่างจากคนอื่น ผมเห็นว่าวันที่น่ากลัวที่สุดได้ผ่านไปแล้ว นั่นก็คือวันที่รัฐบาลประกาศปิดเมือง ปิดกรุงเทพ คนทะลักกลับต่างจังหวัด ตรงนี้ถือว่าอันตราย แต่ผ่านไป 2 อาทิตย์ กลับไม่มีปัญหา ทำให้ผมมั่นใจว่า ถ้าเราจะเปิดเมือง ก็จะไม่เป็นแบบเกาหลีและญี่ปุ่นแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้ต้องชมเชยท่านนายกรัฐมนตรี ที่ทำได้ดี”

    แนะกู้เงิน 3 ล้านล้านฟื้นฟูประเทศ

    นายธนินท์ กล่าววว่า ในเรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าจะจบเมื่อใด แต่รัฐบาลจะรอไม่ได้ จะต้องดำเนินการทันที เป็นการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า เมื่อการระบาดจบเศรษฐกิจจะได้ขับเคลื่อนต่อไปได้

    “ในยามวิกฤตต้องบริหารแบบเหตุวิกฤต ต้องเร็ว และมีคุณภาพ”

    ส่วนการกู้เงินนั้น ควรจะกู้เงินจากต่างประเทศ และวงเงินที่เหมาะสมอยู่ที่ 3 ล้านล้านบาท และเป็นการกู้ระยะยาว 30 ปี โดยนำเงินมาใช้ฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ โดยมุ่งไป 4 ด้านหลัก ได้แก่ 1.การดูแลภาคเกษตร ให้มีรายได้สูงขึ้น 2.การดูแลการจ้างงาน ให้มีรายได้ 70%ของเงินเดือน โดยการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้บริษัทที่ดี 3.การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และ 4. การวางระบบสาธารณสุข สร้างบุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล โรงพยาบาล รองรับไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ของโลก

    “เครดิตประเทศเราดีกว่าอังกฤษ การเงินการคลังของเราติดท็อป 10 ของโลก ทุกวันนี้เราเอาเงินไปซื้อพันธบัตรสหรัฐฯรับผลตอบแทน 0.20% ให้เปลี่ยนเป็นกู้มาใช้จ่ายในประเทศ รักษากำลังซื้อ อย่าปล่อยให้โรงงานปิด เครื่องจักรหยุดทำงาน”

    เชื่อท่องเที่ยวกลับมาบูม

    นายธนินท์ กล่าวว่า โลกหลังโควิด จะเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล อย่างที่คาดไม่ถึง การศึกษาออนไลน์จะเกิดขึ้นแน่นอน การซื้อของในบ้าน ซื้อสินค้าออนไลน์เกิดขึ้นแน่และรวดเร็ว การใช้เงินกระดาษจะลดลง เพื่อลดการติดเชื้อ ส่วนสถานที่แออัดที่ผู้คนไปชุมนุมกันมากๆนั้น ตอนนี้ยังคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไร

    ส่วนการท่องเที่ยวจะมีมากขึ้นไม่ใช่น้อยลง เพราะคนไม่จำเป็นต้องทำงานที่ออฟฟิศอีกต่อไป คนจะทำงานที่บ้าน ท่องเที่ยวไปทำงานไป ดิจิทัลและเทคโนโลยี ช่วยสนับสนุน จึงเป็นโอกาสของประเทศไทย ที่จะดึงนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเมืองไทย เป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพ มีอำนาจการจับจ่ายสูง เพียงแต่รัฐบาลจะต้องทำงานเชิงรุก ประชาสัมพันธ์ให้โลกรู้ว่า ประเทศไทยปลอดภัย ผ่านทางสถานฑูต ฑูตพาณิชย์ ที่ต้องออกไปเคาะประตูบ้าน

    “เราต้องช่วยประชาสัมพันธ์ให้โลกรู้ประเทศไทยปลอด

    ภัย ความจริงไทยควรจะติดโควิดมากที่สุดในอาเซียน เพราะคนมาเที่ยวปีละ 40 ล้านคน โดยเฉพาะคนจีน แต่เราติดน้อยที่สุดแค่หลัก 3 พันคน กระทบน้อยที่สุด เพราะมีหมอที่เก่ง และมี ท่านนายกรัฐมนตรี ที่รับมือได้ทันเวลา”

    ศบค.ไม่พบผู้ติดเชื้อในไทย

    นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19(ศบค.) กล่าวว่า ไม่มีผู้ป่วยรายใหม่ในประเทศ ถือเป็นวันแรกในรอบ 65 วัน นับตั้งแต่วันที่ 9 มี.ค.2563ที่ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ในประเทศไทย โดยไม่พบทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ทำให้ภาพรวมประเทศไทยมีผู้ป่วยสะสม 3,017 ราย รักษาหายแล้ว 2,844 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 117 ราย และเสียชีวิตสะสม 56 ราย

    อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 12 พ.ค.2563 มีรายงานการพบผู้ป่วยที่จ.นราธิวาส และกรุงเทพฯ ซึ่งยังคงมีการสอบสวนโรคและเฝ้าระวังผ็สัมผัสเสี่ยงสูงอยู่ ที่อาจจะยังไม่ป่วยแต่อาจจะป่วยได้ในวันต่อไป ดังนั้นสถานการณ์ในประเทศไทย ประชาชนเบาใจได้ แต่อย่าวางใจ จะต้องยึดแนวปฏิบัติการป้องกันโรคส่วนบุคคลให้เหนียวแน่นต่อไปทั้งการใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆและเว้นระยะห่าง ขณะที่สถานประกอบการจะต้องทำความสะอาด และอย่าให้เกิดความแออัดในการใช้บริการ

    ไม่สรุปไทยปลอดเชื้อ

    นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่ายังไม่สามารถสรุปได้ว่าไทยปลอดเชื้อ ปลอดภัยแล้วประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะยังมีคนที่ฟักเชื้ออยู่และอยู่ในการเฝ้าระวังคนสัมผัสเสี่ยงผู้ป่วยก่อนหน้าอยู่ด้วย หากดูแลไม่ดีเมื่อเจอผู้ติดเชื้อ 1 ราย อย่างเช่นที่ประเทศเกาหลีใต้ 1 รายติดไปแล้ว 100 กว่าคนและต้องตามอีก 2,000 ราย ในประเทศไทยก็เช่นเดียวกันเมื่อวันที่ 12 พ.ค.2563 ยังมีผู้ป่วยอยู่ ซึ่งอาจไปสัมผัสกับใครมาบ้าง ก็เป็นหน้าที่ของกรมควบคุมโรค ชุมชนท้องถิ่นและญาติต้องช่วยกันดูว่ามีอาการหรือไม่

    “ต้องเป็น 0 ราย ไปอีก14-21 วัน แต่ปัจจุบันยังไม่มีรายงานเช่นนี้ แม้แต่ประเทศจีนเองที่รายงานเป็น 0 รายมาหลายวัน ยังกลับมาพบผู้ป่วย เช่น เมืองอู่ฮั่น”นพ.ทวีศิลป์กล่าว

    วิษณุ’ แย้มคลายล็อกเฟส 2

    นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องประชุมเพื่อพิจารณาในเรื่องการคลายล็อคระยะที่ 2 แล้ว เพื่อประเมินสถานการณ์และนำข้อมูลไว้รายงานต่อที่ประชุมในวันพรุ่งนี้(15 พ.ค.)โดยยึดหลักเกณฑ์ระยะที่ 1 ซึ่งขณะนี้ได้ผ่อนปรนมาแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ จึงต้องประเมินพิจารณาผ่อนปรนในระยะที่ 2 โดยจะต้องพิจารณาถึงโอกาสเสี่ยงของบุคคล สถานที่ กิจกรรมต่างๆ

    ทั้งนี้โอกาสเสี่ยงบุคคล ในคนบางประเภทไม่เสี่ยง แต่บางประเภทเสี่ยง เช่น การอยู่บ้านกับการเดินทางเด็กกับผู้ใหญ่ ส่วนในเรื่องของสถานที่เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาด ผับ บาร์กับโอกาสเสี่ยงของกิจกรรม ซึ่งบางอย่าง 5-10 คนมารวมกันถือว่าเสี่ยง แต่บางกิจกรรมไม่เสี่ยง เพราะมีวิธีการดูแล โดยสรุปแล้วต้องพิจารณาเรื่องคน สถานที่ และกิจกรรม พร้อมกันนี้ต้องพิจารณาถึงตัวเลขผู้ป่วยสะสม ผู้ที่รักษาหาย และจำนวนผู้เสียชีวิตลดลงหรือไม่ ซึ่งจะเป็นดัชนีชี้วัด

    ส่วนกรณีผู้ประกอบการต้องการให้ผ่อนคลายช่วงเวลาเคอร์ฟิว รองนายกฯ กล่าวว่า กำลังพิจารณากันอยู่ แต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะผ่อนคลายจุดนี้หรือไม่ ส่วนเรื่องพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มองว่าจะยกเลิกได้ในระยะเวลาไหน หลังจากที่เห็นสถานการณ์โควิด-19 เบาลงนั้น ก็เร็วไปที่จะพูดในขณะนี้ เพราะเพิ่งผ่านมาครึ่งเดือนพ.ค. อีกครึ่งเดือนกว่าจะถึงวันที่ 31 พ.ค.

    “หาก 77 จังหวัดรวมทั้งกทม.ใช้มาตรการคนละมาตรฐานกันจะลำบาก ขณะเดียวกันผู้ว่าฯเองก็ไม่มีความมั่นใจที่จะสั่งปิดหรือเปิด เช่น ถ้าไปสั่งปิดอะไรแล้วเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจต่อประเทศ ทำให้มีคนตกงานและคนเหล่านี้วิ่งมาขอความช่วยเหลือรัฐบาลกลาง เพราะจังหวัดเยียวยาไม่ได้ ตรงนี้ทำให้ผู้ว่าฯไม่มีความมั่นใจในการใช้อำนาจ กลัวว่าทำไปแล้วจะกระทบ จะแย่หรือไม่”นายวิษณุ กล่าวย้ำ

    รองนายกฯ กล่าวว่า วันนี้รัฐบาลกลางมีอำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน สามารถสั่งการได้ทีเดียวทั่วประเทศ เมื่อรัฐบาลกลางสั่งปิดอะไรก็ต้องมั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้นจะต้องลงไปเยียวยา เพราะหากผู้ว่าฯใดสั่งปิดกิจการและทำให้ได้รับผลกระทบต่อประชาชนจะให้กระทรวงการคลังมาเยียวยา กระทรวงการคลังก็คงไม่เยียวยาให้ ตรงนี้คือช่องว่างหากไม่มีพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/880448?utm_source=homepage_hilight&utm_medium=internal_referral

    เพิ่มเติม

    - -เตรียมเคาะ 'เลื่อนประกาศเคอร์ฟิว' 23.00- 04.00 น.

    https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/880455?utm_source=homepage_hilight&utm_medium=internal_referral
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (May 14) คลังลั่น วางเกณฑ์ ซอฟต์โลน รัดกุม: คลังลั่น วางเกณฑ์ นอนแบงก์เบิกใช้ซอฟต์โลนออมสินชัด ต้องช่วยเหลือลูกค้าก่อนเบิกวงเงิน ขณะที่แบงก์คิดค่าธรรมเนียมซอฟต์โลน เหตุสับสนช่วงรอยต่อ หลังเบิกวงเงินออมสินไม่ทัน หันใช้ของธปท.แทน

    fx_&w=500&h=261&url=https%3A%2F%2Fmedias.thansettakij.com%2Fimages%2F2020%2F05%2F13%2F1589351698.jpg

    หลังจากที่เกิดปัญหาการใช้วงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยตํ่าพิเศษ (ซอฟต์โลน) ของธนาคารออมสิน 8 หมื่นล้านบาท สำหรับผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) ที่ยังคิดดอกเบี้ยกับลูกค้าในอัตราสูง ล่าสุดได้รับการยืนยันจากกระทรวงการคลังว่า เท่าที่ได้รับรายงานขณะนี้ยังไม่มีนอนแบงก์รายใดได้ซอฟต์โลนจากออมสิน เพราะออมสินเข้มงวดในการปล่อยมาก นอกจากจะดูรายละเอียดของพอร์ตสินเชื่อแล้ว ยังดูถึงระดับหนี้สินต่อทุนอีกด้วย ยังไม่มีนอนแบงก์รายใดได้ซอฟต์โลนจากออมสิน เพราะออมสินเข้มงวดในการปล่อยมาก
    นอกจากจะดูรายละเอียดของพอร์ตสินเชื่อแล้ว ยังดูถึงระดับหนี้สินต่อทุนอีกด้วย นอกจากนั้นในการขอเบิกเงินซอฟต์โลนตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติไม่เกิน 10% ของพอร์ตสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 5,000 ล้านบาทต่อรายนั้น นอนแบงก์จะต้องช่วยเหลือลูกค้าเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ได้มากกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กำหนด โดยให้นำพอร์ตลูกหนี้ที่ได้รับการช่วยเหลือมาขอเบิกเงินซอฟต์โลนเป็นล็อตๆ และหลังจากได้ซอฟต์โลนไปแล้ว ธปท.จะไปตรวจสอบในภายหลังว่า ได้มีการช่วยเหลือลูกค้าตามที่แจ้งไว้หรือไม่ จึงจะสามารถมาเบิกล็อตต่อไปได้
    ขณะที่นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงความคืบหน้าซอฟต์โลน วงเงิน 8 หมื่นล้านบาทที่อยู่ระหว่างจัดสรรให้กับนอนแบงก์ว่า ธนาคารจะเสนอคำขอซอฟต์โลนของกลุ่มนอนแบงก์ล็อตแรก 2.3 หมื่นล้านบาท ต่อที่ประชุมคณะกรรมการของธนาคาร (บอร์ดใหญ่) ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 นี้ โดยคำขอซอฟต์โลนส่วนใหญ่ มีวงเงินค่อนข้างสูง 4-5 พันล้านบาทต่อบริษัท
    ส่วนการอนุมัติวงเงินต้องขึ้นอยู่กับบอร์ดพิจารณา ส่วนประเด็นการคิดค่าธรรมเนียมลูกค้า สำหรับซอฟต์โลนของ ธนาคารออมสิน และธปท.ที่อยู่ระหว่างจัดสรรให้กับสถาบันการเงินแหล่งข่าวระบุว่า ที่ผ่านมาเกิดความสับสนช่วงรอยต่อ เนื่องจากสถาบันการเงินบางแห่งได้ยื่นขอใช้ซอฟต์โลนกับออมสิน แต่เบิกซอฟต์โลนไม่ทัน เพราะธนาคารออมสินจะพิจารณาตามลำดับก่อนหลัง ทำให้สถาบันการเงินเปลี่ยนไปใช้ซอฟต์โลนของ ธปท.แทน
    “เข้าใจว่าช่วงรอยต่อคือ พอสถาบันการเงินพลาดหรือไม่ได้รับซอฟต์โลนจากออมสิน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าได้ทำตลาดเสนอวงเงินลูกค้าบวกค่าธรรมเนียมแล้ว แต่เปลี่ยนมาใช้ซอฟต์โลนธปท. ซึ่งกำหนดไม่ให้คิดค่าธรรมเนียมใดๆ รวมทั้งดอกเบี้ยผิดนัด(ดอกเบี้ยปรับ) ซึ่งสถาบันการเงินต้องชี้แจงกับลูกค้าและคืนเงินค่าธรรมเนียมกับลูกค้า แต่หากสถาบันการเงินดังกล่าวยังยื้อหรือคิดค่าธรรมเนียมอยู่ก็ถือเป็นการท้าทายรัฐ”
    ล่าสุดธปท.ได้ออกแนวปฏิบัติในการรับยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมจำนองหลักประกัน จากการให้สินเชื่อตามมาตรการในพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด (5 พ.ค.63) โดยแนวปฏิบัติดังกล่าว เป็นสิทธิประโยชน์ทางกฎหมายตั้งแต่ต้น แต่มีประเด็นภายหลังนำไปปฏิบัติระหว่างหน่วยงาน คือ กรมที่ดิน กรณีจดจำนองอสังหาริมทรัพย์หรืออาคารชุด และกรมการค้ากระทรวงพาณิชย์จดทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจเรื่อง จดนิติกรรมจำนองอสังหาริมทรัพย์นั้น ธนาคารที่มีหลักประกันเป็นอสังหาริมทรัพย์อาจจะต้องยกเว้นภาระดังกล่าวให้ลูกค้าหรือรับภาระไปก่อนแต่สามารถเรียกคืนจากกรมที่ดิน
    Source: ฐานเศรษฐกิจออนไลน์
    https://www.thansettakij.com/content/money_market/434109?utm_source=homepage_hilight&utm_medium=internal_referral
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (May 14) สหรัฐชะลอการปรับลดสัดส่วนลงทุนในจีน: The Federal Retirement Thrift Investment Board (FRTIB) กล่าวว่าจะชะลอการปรับสัดส่วนการลงทุนต่างประเทศไปยังประเทศจีนของ Thrift Savings Plan (TSP) กองทุนบำนาญข้าราชการ ออกไปก่อนหลังจากที่ทางรัฐบาลได้ส่งหนังสือให้พิจารณาไม่ขยายการลงทุนไปยังบริษัทของจีน
    ทั้งนี้ทาง FRTIB ได้ให้เหตุผลการเลื่อนในครั้งนี้ว่ามาจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ประกอบกับกองทุนเพิ่งมีการเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารกองทุนสามราย
    .s3.amazonaws.com%2Fs3fs-public%2Fstyles%2F800x600%2Fpublic%2FONLINE_180109908_AR_0_OXQTDCTVBIGZ.jpg
    ทางด้านนาย Zhao Lijian โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้กล่าวว่าการตัดสินใจของสหรัฐฯ ที่อ้างเหตุผลเรื่องความมั่นคง จะเป็นผลเสียต่อนักลงทุนสหรัฐฯ ที่พลาดโอกาสในการลงทุน โดยตลาดทุนของจีนขณะนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเริ่มมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้น และความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อาจลุกลามการเป็นการต่อสู้ทางการเงินระหว่างสองประเทศได้
    อนึ่ง วันนี้ ประธานาธิบดี Trump ได้ขยายคำสั่ง a national emergency order ออกไปอีก 1 ปี โดยคำสั่งดังกล่าวได้ห้ามบริษัทที่อยู่ใน entity list ได้แก่ Huawei และ ZTE Corp เข้ามาจำหน่ายอุปกรณ์ในสหรัฐฯ และเข้าถึง suppliers สหรัฐฯจากประเด็นด้าน security risk เนื่องจากกล่าวว่าทางบริษัทดังกล่าวมีความสัมพันธ์ต้องให้ความร่วมมือกับทางรัฐบาลจีน
    Source: BoTSS
    - Federal Thrift board pauses TSP China investment
    https://www.pionline.com/defined-contribution/federal-thrift-board-pauses-tsp-china-investment:
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #มอร์มูฟเป็นข่าว ระฆังดังเพราะคนตี (กัน)!!! จีนเริ่มทำสงครามการค้ากับออสเตรเลีย โดยงดนำเข้าเนื้อวัวจากผู้ผลิต 4 ราย นอกจากนี้ยังเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร อย่าง ข้าวบาร์เลย์ เป็น 80% หลังจากที่ออสเตรเลียเรียกร้องให้มีการสืบสวนต้นกำเนิดของ COVID-19 ในประเทศจีน ทำให้ความบาดหมางระหว่าง 2 ประเทศที่เป็นคู่ค้าทางเศรษฐกิจมานานเพิ่มสูงขึ้นทันที

    ** ปริมาณเนื้อวัวที่ส่งออกของออสเตรเลียจากผู้แปรรูป 4 รายคิดเป็น 35% ของปริมาณทั้งหมดส่งออกไปที่ประเทศจีน ขณะที่ออสเตรเลียส่งออกเนื้อวัวไปยังจีนคิดเป็นปริมาณ 30% จากปริมาณการส่งออกทั้งหมด

    1f4cc.png Ben Lyons อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าของจีน จาก University of Southern Queensland กล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่า จีนกำลังเล่นเกมทางการทูตกับออสเตรเลียอยู่ แถมยังมีความย้อนแย้งเล็กๆ เพราะว่าจีนเองก็ได้ลงทุนในบริษัทแปรรูปเนื้อสัตว์อย่าง Kilcoy ที่มีโรงงานผลิตในออสเตรเลียรวมไปถึงที่จีน "เชื่อว่าออสเตรเลียมีแต้มต่อในการต่อรองครั้งนี้มากกว่าฝั่งของจีนเอง".
    -----------------------------------------------
    อ่านต่อ : https://brandinside.asia/china-not-import-meat-from-au-4-producers-and-raise-barley-tarriff-80-percent-after-covid-19/?fbclid=IwAR3xZ0iFU0uaB4wGCaJAVynHeyGWNOlYdPyFbQ1m3HjjmbEN2C_1X04xMck

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #ซาวเสียงกันหน่อย คิดเห็นอย่างไร!!!?? เมื่อ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอปิดอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศนาน 3 เดือน-ทุกปี เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ หลังพบช่วงระบาดของ COVID-19 มีสัตว์ป่าปรากฎตัวให้เห็นจำนวนมากเนื่องจากไม่มีมนุษย์รบกวนถิ่นที่อยู่อาศัยของมัน

    1f4cc.png โดยเรื่องนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยเพิ่มเติมว่า หลังสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว จะให้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชทำตารางกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมในการปิดแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศในทุกๆ ปีเป็นเวลา 3 เดือนเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติผืนป่าและสัตว์ป่า ทั้งนี้ หากมีการปิดตามตารางแล้ว ในส่วนของประชาชนต้องขอความร่วมมือว่า หากจะเข้าไปท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศขอให้ศึกษาตารางการเปิด-ปิดอุทยานฯแต่ละแห่งเสียก่อน เพราะแต่ละแห่งจะปิดไม่ตรงกัน ถือเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่ใช้เพื่อการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติสัตว์ป่าและเกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน.
    ---------------------------------------------------------
    Source : https://www.voicetv.co.th/read/3-KUWxEOn?fbclid=IwAR2U_tSq15tMIc-VoqGIVlZWTMcTQiqN92wdYnOnG8SLA97QP3jALrYLL-Y
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #มอร์มูฟเป็นข่าว เละเป็นโจ๊ก!!! เจ้าหน้าที่ด้านเศรษฐกิจของทำเนียบขาว กล่าวในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า อัตราการว่างงานในสหรัฐฯซึ่งเวลานี้อยู่ที่ระดับ 14.7% อาจเพิ่มขึ้นไปสูงถึง 25% สืบเนื่องจากการระบาดใหญ่ของ COVID-19 โดยเรื่องนี้ นายเควิน แฮสเส็ทท์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของทำเนียบขาวคาดว่า จะมีประชาชนราว 3 ล้านคนที่มาลงชื่อขอสวัสดิการชดเชยการว่างงานในแต่ละสัปดาห์ในช่วงเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน "เป็นเรื่องยากที่จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯกลับมาขยายตัวอีกครั้ง และไม่มีใครที่มั่นใจว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเงิน 3 ล้านล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบจะใช้ได้ผลหรือไม่"

    1f4cc.png ด้าน นายสตีเว่น มนูชิน รัฐมนตรีว่าการกระทรงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯในไตรมาสที่สองจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจาก COVID-19 แต่จะสามารถกลับมาฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า.
    -------------------------------------------------
    อ่านต่อ : https://www.voathai.com/a/us-unemployment-rate-could-hits-25-percent-due-to-coronavirus/5413782.html?fbclid=IwAR3qBw2LKpdSY_R56uqSma1GZ1xTTFOAd9c_m329Mk2gBubIqS_vwG7J_jI
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #มอร์มูฟเป็นข่าว ไทยยางงายยยย!!!! ล่าสุด Grant Shapps รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมแห่งอังกฤษประกาศทุ่มงบประมาณส่งเสริมให้คนเดินหรือปั่นจักรยานไปทำงานราว 2 พันล้านปอนด์ หรือประมาณ 7.9 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าแผนคมนาคมนี้จะช่วยลดความหนาแน่นการคมนาคมขนส่งมวลชนและความหนาแน่นบนท้องถนนได้ "มาตรการดังกล่าวน่าจะช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมประเทศและสุขภาพผู้คนให้ดีขึ้นหลังจากเผชิญโรค COVID-19 ระบาดมาเนิ่นนาน"

    1f4cc.png โฆษกกระทรวงคมนาคมกล่าวว่า รัฐบาลจะใช้งบประมาณราว 2 พันล้านปอนด์ หรือ 7.9 หมื่นล้านบาท เพื่อพัฒนาเส้นทางสำหรับให้คนเดินและขี่จักรยานไปทำงานได้สะดวกขึ้น ซึ่งแผนการดังกล่าวนั้นจะแยกย่อยออกมาเป็นเส้นทางฉุกเฉินสำหรับขี่จักรยานและเดินได้อย่างปลอดภัยด้วยงบประมาณราว 250 ล้านปอนด์ หรือ 9.9 พันล้านบาทในการสร้างเลนจักรยานและขยายทางเท้าให้กว้างขึ้น นอกจากนี้ อังกฤษยังเตรียมสร้าง bike Tube หรือทางปั่นจักรยานใต้ดินระยะทาง 150 ไมล์ (หรือประมาณ 241.40 กิโลเมตร) รวมถึงเตรียมเพิ่มมาตรการที่จะทำให้มีการเดินเท้าและขี่จักรยานมากขึ้นเป็น 2 เท่าในปี 2025 (อีก 5 ปีข้างหน้า) และเตรียมออกแคมเปญสนับสนุนให้คนเลือกเดินทางด้วยวิธีอื่นเพิ่มมากขึ้นไม่ว่าจะเดินหรือขี่จักรยานก็ตาม.
    --------------------------------------------------
    อ่านต่อ : https://brandinside.asia/uk-will-invest-2-billion-pound-sterling-for-cycling-and-walking-post-covid-19/?fbclid=IwAR1nV6F1lDZ-zzRxJ28DiobWNVgXOau4PHlZk31NsPegxQe1cjezsE1eaTM
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #มอร์มูฟเป็นข่าว เอ่อ ... เอิ่ม ... อ่ะ ...!!??? ล่าสุด หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงานว่า สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) และกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ เตรียมออกคำเตือนเรื่องแฮ็กเกอร์และสายลับระดับพระกาฬของจีนกำลังหาทางขโมยการวิจัยของชาวอเมริกัน เพื่อที่จะขัดขวางการพัฒนาวัคซีนและการรักษา COVID-19 โดยสาระสำคัญที่หน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯจะประกาศคำเตือนต่อสาธารณะในเร็วๆ นี้ คือการเปิดเผยว่าจีนกำลังต้องการ 'ทรัพย์สินทางปัญญาและข้อมูลด้านสาธารณสุขที่มีค่าที่เกี่ยวข้องกับวัคซีน การรักษา และการตรวจเชื้อด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมาย' โดยจีนจะเน้นไปที่การฉกฉวยทางไซเบอร์และการลงมือโดยบุคคลนอกกลุ่มความมั่นคง (nontraditional actors) ซึ่งคำว่า nontraditional actors ในที่นี้หมายถึงนักวิจัยและศึกษาชาวจีน โดยที่ผ่านมารัฐบาลทรัมป์อ้างว่า มีนักวิจัยและนักศึกษาจีนถูกส่งตัวมาที่สหรัฐฯเพื่อขโมยข้อมูลจากห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยและแล็บเอกชน

    ** ผู้นำด้านวิชาการและกลุ่มนักศึกษาตอบโต้ท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยชี้ว่าเป็นการกระทำที่หวาดระแวงเกินเหตุเหมือนกับช่วงที่เกิดการไล่ล่าผู้ที่เห็นต่างทางการเมืองและป้ายสีเป็นคอมมิวนิสต์ในทศวรรษที่ 1950 หรือยุคกลัวภัยสีแดง (Red Scare)

    1f4cc.png เจ้าหน้าที่สหรัฐฯกล่าวว่า การตัดสินใจที่ออกคำเตือนที่มุ่งโจมตีเฉพาะกับทีมแฮ็กเกอร์ของรัฐบาลจีน เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ใหญ่ที่มุ่งสกัดการรุกรานทางไซเบอร์ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ ศูนย์บัญชาการไซเบอร์ของสหรัฐ (USCYBERCOM) และ สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (NSA) ซึ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้อำนาจเพื่อสกัดกองทัพไซเบอร์กับจีนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ารัฐบาลสหรัฐฯได้ลงมือทำอะไรไปแล้วบ้างเพื่อสกัดแฮ็คเกอร์จากจีน และหน่วยนักรบไซเบอร์ของทางการจีน หรือกองหนุนยุทธศาสตร์แห่งกองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLASSF).
    -----------------------------------------------
    อ่านต่อ : https://www.posttoday.com/world/623150?fbclid=IwAR29Tc7IdikC8fYhWibXa9-5yRquTpH93y_fIlg-7rbH5_POjPn7hH0HdBk
     

แชร์หน้านี้

Loading...