ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แบ่งปันจาก MisterBan

    May 9 , 2020 กรมควบคุมโรคเผยเบียร์สดแปะโลโก้ขายออนไลน์ ผิดมาตรา 32 โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
    .
    นพ.ขจรศักดิ์ แก้วจรัส รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงการตรวจสอบกรณีจำหน่ายเบียร์สด แปะโลโก้ยี่ห้อ ผ่านออนไลน์และช่องทางเดลิเวอรี่ว่า ได้มอบหมายให้ นพ.นิพนธ์ ชินานนท์เวช ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (สคอ.) กรมควบคุมโรค ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่บรรจุย่านลาดพร้าว พบการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ตามมาตรา 32 ห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
    .
    นอกจากนี้ ยังพบความผิดตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 มาตรา 157 ห้ามมิให้ผู้ใดเปลี่ยนแปลงภาชนะบรรจุสุราเพื่อการค้า มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด
    .
    ส่วนกระแสโพสต์เชิญชวนดื่มเหล้าที่บ้าน พร้อมโชว์รูปผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า เว็บไซต์ที่เชื่อมโยงกิจกรรมดังกล่าว มีการแสดงภาพผลิตภัณฑ์เบียร์ และจัดโปรโมชั่นในช่วงที่ประเทศไทยมีวิกฤตโรคโควิด-19 เชิญชวนให้ประชาชนซื้อผลิตภัณฑ์เบียร์ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ตามมาตรา 32 เช่นกัน โดยทาง สคอ. ได้รับเรื่องร้องเรียนและกำลังดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป
    .
    โดย สคอ. ได้มีการเฝ้าระวังการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจากการตรวจสอบที่ผ่านมาพบว่า มีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผ่านช่องทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก และมักจะพบว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 หลายประการด้วยกัน
    .
    เช่น การโฆษณา การลดราคา การแจกแถม ให้สินค้าอื่น เป็นต้น อีกทั้งการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านช่องทางดังกล่าว ไม่สามารถควบคุมอายุของผู้ซื้อได้ จึงอยากเน้นย้ำให้ผู้ปกครองดูแลบุตรหลานที่เป็นเยาวชนให้ทั่วถึง และขอความร่วมมือผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายแบบออนไลน์หรือออฟไลน์ ให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
    .
    ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการแจ้งเรื่องร้องเรียนการกระทำผิดเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถเข้าใช้งานผ่านเว็บไซต์ http://TAS.go.th หรือค้นหาคำว่า "ระบบแจ้งร้องเรียนการกระทำผิดเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ" และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โทร. 02 590 3342 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422
    .
    #เบียร์สด #แปะโลโก้ #ผิดมาตรา32 #Misterban

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แบ่งปันจาก MisterBan

    May 9 , 2020 พาณิชย์จับตาสงครามการค้าสหรัฐ-จีน หวั่นกลับมาปะทุอีกครั้ง แต่มั่นใจไทยยังหาช่องทางส่งออกสินค้าได้
    .
    น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ยังมีความกังวลหากสหรัฐฯ และจีน อาจกลับมามีความขัดแย้งทางการค้ากันอีกครั้ง หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ให้สัมภาษณ์ว่า สหรัฐฯ อาจยกเลิกข้อตกลงเศรษฐกิจการค้าระยะแรกกับจีน หากจีนไม่ทำตามข้อตกลงการซื้อสินค้าและบริการจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายใน 2 ปี หรือระหว่างวันที่ วันที่ 1 ม.ค. 2563 – 31 ธ.ค. 2564
    .
    โดยสหรัฐฯพร้อมจะกลับมาใช้มาตรการกับจีนเพิ่มเติม โดยอ้างเหตุการพบความเชื่อมโยงระหว่างจีนและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กำลังสร้างความเสียหายต่อประชากรและเศรษฐกิจโลกอย่างกว้างขวาง โดยสหรัฐฯเร่งผลักดันให้จีนซื้อสินค้า อาจเกิดจากความกังวลว่าเศรษฐกิจจีนที่หดตัวครั้งแรกในรอบ 33 ปี จะเป็นอุปสรรคต่อการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ตามที่จีนตกลงไว้
    .
    นอกจากนี้กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ฝ่ายบริหารกดดันให้จีนซื้อสินค้าพลังงานจากสหรัฐฯเพิ่มขึ้น ภายหลังจากที่จีนมีการนำเข้าน้ำมันดิบจากซาอุดีอาระเบียและรัสเซียเพิ่มขึ้น ประมาณร้อยละ 19 – 20 ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ขณะที่นำเข้าน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ ในปริมาณน้อยมาก
    .
    อย่างไรก็ดีนับตั้งแต่วันลงนามข้อตกลงฯ เมื่อ 15 ม.ค. 2563 จีนได้ทยอยดำเนินการตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ อาทิ ในด้านการค้าสินค้าเกษตรและอาหาร จีนได้ยกเลิกข้อจำกัดการนำเข้า และเพิ่มความสะดวกในการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ หลายรายการ เช่น สัตว์ปีกและสินค้าสัตวปีก อาหารสัตว์ โปรตีนจากสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม นมผงทารก และมันฝรั่งสด
    .
    โดยข้อมูลการค้าสหรัฐฯ - จีน ในไตรมาสแรกของปี 2563 จีนนำเข้าจากสหรัฐฯ ในกลุ่มสินค้าภายใต้ข้อตกลงฯ เป็นมูลค่ารวม 19,995 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 3.1 เทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อน จากกลุ่มอุตสาหกรรมและสินค้ากลุ่มพลังงาน ที่ชะลอตัวลงร้อยละ 17.0 และ 69.1 ตามลำดับ ซึ่งคาดว่าเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ภาคการผลิตและเศรษฐกิจจีนชะงักงันช่วงต้นปี
    .
    ขณะเดียวกันจีนมีการนำเข้าสินค้าภายใต้ข้อตกลงฯ เพียงร้อยละ 11.8 ซึ่งไม่ถึง 1 ใน 4 ของมูลค่าที่จีนตกลงจะนำเข้าทั้งปีที่ 169,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สหรัฐฯ เร่งผลักดันให้จีนนำเข้าเพิ่มขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงฯ
    .
    ทั้งนี้ ภายใต้ข้อตกลงเศรษฐกิจการค้าระยะแรก กำหนดให้มีการจัดตั้งสำนักงานประเมินและระงับข้อพิพาทสองฝ่าย ซึ่งขณะนี้ทางการสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลที่มาของการแพร่ระบาดเพิ่มเติม และพิจารณามาตรการที่อาจนำมาใช้กับจีน เช่น การคว่ำบาตร การยกเลิกการจ่ายคืนหนี้ที่กู้ยืมจากจีนในรูปพันธบัตร และนโยบายทางการค้าใหม่เพิ่มเติมจากเดิม
    .
    แต่ท่ามกลางสงครามการค้าในปีที่ผ่านมา แม้ว่าการส่งออกจากไทยไปจีนจะหดตัวที่ร้อยละ 3.8 แต่การส่งออกไปสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวดีที่ร้อยละ 11.8 และไทยยังมีโอกาสในทั้งสองตลาดด้วยความสามารถในการทดแทนสินค้าที่สหรัฐฯ และจีนขึ้นภาษีระหว่างกัน
    .
    สำหรับการส่งออกของไทยในปี 2563 พบว่า สินค้าที่เคยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าอย่างอิเล็กทรอนิกส์ กลับมาขยายตัวตั้งแต่เดือน ม.ค. 2563 สะท้อนการปรับตัวของการส่งออกไทย ทำให้ผลกระทบของสงครามการค้าต่อการส่งออกไทยเริ่มลดลง และอานิสงส์จากการที่ไทยสามารถเป็นห่วงโซ่การผลิต ทดแทนสินค้าจีน ในช่วงโรงงานในอู่ฮั่นปิดทำการจากไวรัสโควิด-19 โดยในไตรมาสแรกของปี 2563 การส่งออกกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวร้อยละ 4.5 สินค้าที่เติบโตได้ดี อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์ วงจรพิมพ์ เครื่องส่งวิทยุ โทรเลข โทรศัพท์ โทรทัศน์
    .
    อย่างไรก็ตาม ยังต้องประเมินแนวโน้มการทดแทนอีกสักระยะว่าประเทศผู้นำเข้าจะใช้แหล่งทางเลือกทดแทนจีน เพื่อกระจายความเสี่ยงอย่างถาวรหรือไม่ ภายหลังโรงงานในจีนกลับมาเปิดทำการตามปกติ นอกจากนี้ การส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารก็ขยายตัวได้ดี ตอบสนองแนวโน้มความต้องการความมั่นคงทางอาหารท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19
    .
    #สงครามการค้า #สหรัฐ #จีน #การค้า #Misterban

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แบ่งปันจาก MisterBan

    May 9 , 2020 ทอท.เตือนผู้โดยสารบินเส้นทางในประเทศไปเชียงใหม่ – เชียงรายต้องถูกคุมเข้มกักตัว 14 วัน ส่วนผู้โดยสารต่างชาติต้องออกค่าใช้จ่ายเอง
    .
    บริษัท ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท. แจ้งเตือนผู้โดยสารที่จะเดินทางโดยเครื่องบินเส้นทางภายในประเทศในช่วงสถานการณ์ระบาดของโควิด – 19 ให้ตรวจสอบประกาศ คำสั่งของจังหวัดปลายทางก่อนการเดินทางทุกครั้ง ปัจจุบันมีท่าอากาศยาน 5 แห่งของ ทอท. คือ สุวรรณภูมิ // ดอนเมือง // เชียงใหม่ // หาดใหญ่ และแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ที่สายการบินเปิดให้บริการเส้นทางภายในประเทศ จำนวน 4 สายการบิน ได้แก่ สายการบินนกแอร์ ไทยแอร์เอเชีย ไทยไลอ้อนแอร์ ไทยเวียตเจ็ท และเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด – 19
    .
    จึงมีมาตรการกำหนดให้ผู้โดยสารทั้งขาเข้าและขาออกท่าอากาศยาน จะต้องผ่านจุดตรวจเช็กอุณหภูมิร่างกาย และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่ออยู่ในพื้นที่ท่าอากาศยาน หากการคัดกรองพบว่าผู้โดยสารมีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 37.3 องศาเซลเซียส หรือไม่สวมหน้ากากอนามัย เจ้าหน้าที่ท่าอากาศยานมีสิทธิปฏิเสธการให้เข้าพื้นที่ท่าอากาศยานได้นอกจากนี้ขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) อย่างเคร่งครัด
    .
    พร้อมทั้งตรวจสอบประกาศ / คำสั่งของจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง เพื่อปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง สำหรับจังหวัดที่ท่าอากาศยานของ ทอท.ตั้งอยู่ และมีประกาศ / คำสั่งที่ผู้โดยสารต้องปฏิบัติตาม ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ และ จังหวัดเชียงราย โดยจังหวัดเชียงใหม่กำหนดให้ผู้โดยสารขาเข้าที่เดินทางมาถึงท่าอากาศยานเชียงใหม่ จะต้องกรอกข้อมูลสำหรับติดตามตัวในเอกสารเชียงใหม่ 1 รวมทั้งรับแจกเอกสารคำแนะนำการเฝ้าสังเกตอาการหรือกักตัวในที่พักเป็นเวลา 14 วัน ส่วนผู้โดยสารชาวต่างชาติต้องกักตัวในที่พักหรือโรงแรมที่จังหวัดกำหนดเป็นเวลา 14 วัน โดยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง
    .
    ในส่วนของจังหวัดเชียงราย ผู้โดยสารขาเข้า ณ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย จะต้องกรอกเอกสารผ่าน QR code ของฝ่ายปกครองร่วมกับสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นข้อมูลในการกำหนดมาตรการคัดกรองต่อเป้าหมายผู้เดินทางเข้าพื้นที่จังหวัดเชียงรายทุกคน หากผู้โดยสารมีภูมิลำเนา และวิถีชีวิตประจำวันในกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล จังหวัดภูเก็ต รวมถึง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มากกว่า 1 วันเมื่อเดินทางเข้าพื้นที่จังหวัดเชียงราย เมื่อถึงที่พักอาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือโรงแรม ต้องรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคในพื้นที่พำนักอาศัย เพื่อดำเนินการตามมาตรการกักตัวที่บ้าน 14 วัน (Home Quarantine) โดยเคร่งครัด
    .
    ห้ามออกนอกเคหสถานโดยไม่มีเหตุอันควร หากตรวจสอบพบการฝ่าฝืนจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย กรณีผู้ที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯแต่ไม่มีประวัติภูมิลำเนาตามที่กล่าวข้างต้น หรือเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อการเดินทางเฉพาะวันเดินทางเท่านั้น ให้ถือแนวทางปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังตนเอง (Self Quarantine) คือ ไม่ต้องรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคภายในพื้นที่พำนัก แต่ต้องสังเกตอาการตนเอง 14 วัน หากมีไข้หรืออาการผิดปกติเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค ให้ไปพบแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน สำหรับผู้เดินทางมาจากจังหวัดภูเก็ต ต้องมารายงานตัวที่โรงแรมเวียงอินทร์ ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท และกักตัว 14 วัน (Local Quarantine)
    .
    2. ส่วนจังหวัดที่เป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานอื่นๆ ของ ทอท.มิได้มีเงื่อนไขเพิ่มเติมของจังหวัดที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง และการดำเนินงานของท่าอากาศยาน สำหรับท่าอากาศยานภูเก็ต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งท่าอากาศยานของ ทอท.นั้น ยังคงระงับการให้บริการตามคำสั่งสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยที่ 103/2563 จนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 เวลา 23.59 น.ทั้งนี้ ผู้ใช้บริการท่าอากาศยานของ ทอท.สามารถสอบถามเกี่ยวกับเที่ยวบินและการให้บริการได้ที่ AOT Contact Center 1722 ตลอด 24 ชั่วโมง
    .
    #เชียงใหม่ #เชียงราย #กักตัว14วัน #Misterban

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แบ่งปันจาก MisterBan

    FB_IMG_1589025973201.jpg

    May 9 , 2020 กระทรวงศึกษาธิการชี้แจงวันเวลาเปิด-ปิดเทอมล่าสุด เทอมที่ 1 เริ่ม1ก.ค.-13 พ.ย. 2563 มีวันหยุดปิดเทอม 17วัน ส่วนเทอมที่ 2 เริ่ม 1 ธ.ค. 2563 - 9 เม.ย. 2564 ให้หยุดปิดเทอม 37 วัน
    .
    นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก ระบุว่า หลังสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกาศเลื่อนวันเปิดเทอมภาคเรียนที่ 1 ของโรงเรียนประถมและมัธยม เป็นวันที่ 1 ก.ค. 2563 เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 โดยไม่มีการปิดเทอมภาคเรียนที่ 1 แต่จะมีการปิดเทอมภาคเรียนที่ 2 จำนวน 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2564 จนถึงวันที่ 15 พ.ค. 2564 เพื่อที่จะสามารถเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2564 ได้ตามปกตินั้น
    .
    ล่าสุดจะแบ่งการเรียนการสอนออกเป็น 2 เทอม โดยแต่ละเทอมมีเวลาพักในเทอมที่ 1/2563 จำนวน 17 วัน และในภาคเรียนที่ 2/2563 จำนวน 37 วัน รวมทั้งสิ้น 54 วัน
    .
    ถึงแม้เราจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ไม่ปกติ แต่ก็ให้ความสำคัญกับการที่นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาได้มีเวลาพักเพื่อผ่อนคลายได้ไม่มากก็น้อย ท่ามกลางความท้าทายของการจัดการเรียนการสอนในช่วงสถานการณ์ โควิด-19 ที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นนั้น ขอให้ทุกท่านสนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อที่จะผ่านทุกอุปสรรค เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับการศึกษาไทย
    .
    การเปิดเทอม-และปิดเทอม ในปีการศึกษา 2563 มีดังนี้ ภาคเรียนที่ 1 เปิดเรียน 1 ก.ค. 2563 - 13 พ.ย. 2563 ปิดเทอม 14 - 30 พฤศจิกายน 2563 รวม 17 วัน
    .
    ภาคเรียนที่ 2 เปิดเรียน 1 ธ.ค. 2563 - 9 เม.ย. 2564 ปิดเทอม 10 เมษายน - 16 พฤษภาคม 2564 รวม 37 วัน
    .
    #ปิดเทอม #เปิดเทอม #วันหยุด #ไวรัสโควิด19 #misterban

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20200509_190925.jpg

    (May 8) ทำไมราคาน้ำมันช่วงนี้... ถึงขยับขึ้น : หลายคนน่าจะแปลกใจอยู่บ้างที่เมื่อกลางสัปดาห์ จู่ๆ ราคาน้ำมันหน้าสถานบริการน้ำมันที่ประกาศในบ้านเราก็ขยับสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 เดือน ตามราคาน้ำมันดิบโลก ที่สูงขึ้นมาจากจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา

    โดยราคาน้ำมัน WTI ถือว่าปรับขึ้นกว่า 1 เท่าตัวในรอบเวลาเพียงประมาณกว่า 2 สัปดาห์เท่านั้น สอดคล้องกับการประกาศปริมาณคงคลังน้ำมันดิบจากหน่วยงาน EIA ของสหรัฐเมื่อวานนี้ ที่สูงขึ้นเพียง 4.6 ล้านบาร์เรล ต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะสูงขึ้น 8.67 ล้านบาร์เรล โดยบทความนี้จะขอวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวดังนี้

    1.ปัจจัยฝั่งอุปสงค์ ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนแรกราคาน้ำมันเบนซินหรือ Gasoline ในสหรัฐที่มีปริมาณการใช้ในตอนนี้สูงขึ้นจากกลางเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา กว่า 9% โดยเพิ่มจาก 49% มาสู่ 58% ของระดับที่ใช้กันสำหรับช่วงเวลาเศรษฐกิจในภาวะปกติ

    ส่วนที่ 2 การผ่อนคลายมาตรการ ล็อกดาวน์จากสถานการณ์โควิด-19 ของ บางประเทศในฝั่งยุโรป อาทิ เยอรมนี สเปนและอิตาลี รวมถึงบางรัฐในสหรัฐเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน ซึ่งส่งผลให้อุปสงค์ของน้ำมันในพื้นที่เหล่านี้และของโลกสูงขึ้น

    ส่วนที่ 3 ความหวังว่าโอกาสที่สถานการณ์โควิด-19 จะรุนแรงขึ้นจาก Second Wave ของโรคระบาดจนก่อให้เกิดการกลับมาขยายเวลาล็อกดาวน์อีกครั้งจะมีน้อยลงในช่วงนี้ ได้ทำให้ประมาณการจีดีพีของภูมิภาคต่างๆ ของโลกเพิ่มขึ้นประมาณ 1-3%

    2.การผ่อนคลายลงของปัญหาการจัดเก็บน้ำมัน (Storage Problem) ทั้งนี้แม้ว่าในสหรัฐแหล่งจัดเก็บน้ำมันที่มีขนาดใหญ่ อย่างเมืองคุชชิง ในโอคลาโฮมา จะมีอัตราการจัดเก็บที่สูงขึ้นกว่า 10% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จนจะแตะระดับ 60 ล้านบาร์เรล เหลืออีกเพียง 25 ล้านบาร์เรล ก็จะเต็มความจุทั้งหมดก็ตาม หรือแม้แต่แหล่งจัดเก็บใต้ดิน อย่าง Salt Caverns ที่มีขนาดการจัดเก็บน้ำมันใหญ่ที่สุดก็เริ่มที่จะจัดเก็บน้ำมันใกล้เต็มความจุรวม

    อย่างไรก็ดี บริษัทน้ำมันได้แก้ปัญหาดังกล่าวแบบชั่วคราวด้วยการใช้แหล่งเก็บน้ำมันแบบที่ลอยเหนือน่านน้ำหรือ Super tanker ที่ทางรอยเตอร์สคาดการณ์ว่าเก็บได้ราว 160 ล้านบาร์เรลในสหรัฐ

    แต่ที่ดูแล้วถือว่าน่าสนใจได้แก่การจัดเก็บแบบ Frac tank ซึ่งปกติแล้วถังเก็บเหล่านี้จะจัดเก็บสารเคมีที่เป็นของเหลว ที่เรียกว่า frac fluids โดยในช่วงนี้ได้ มีการปรับถังเก็บเหล่านี้มาเก็บน้ำมัน แทน

    โดยข้อดีของวิธีนี้คือมีต้นทุนที่ถูก โดยแต่ละ frac tank สามารถจัดเก็บน้ำมันได้ราว 500 บาร์เรล หากมีถังเหล่านี้หลายๆ หน่วยก็ถือว่าเป็นแหล่งจัดเก็บน้ำมัน ขนาดย่อมได้ โดยที่ข้อดีอีกอย่างคือสามารถขนถ่ายไปยังจุดที่เป็นรถขนน้ำมันได้ง่ายอีกด้วย โดยแน่นอนว่าราคาของ frac tank ก็สูงขึ้นมาในช่วงนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จากข้อดีดังกล่าว

    3.ปัจจัยกองทุน USO โดยกองทุนตราสาร ETF แบบ Passive อย่าง United States Oil Fund (USO) ได้เป็นปัจจัยที่มีส่วนทำให้ราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ขยับ สูงขึ้น โดยที่ในช่วงที่ราคาน้ำมันดิบอยู่ในช่วงที่ราคาสูงขึ้นนั้นราคา ETF ของน้ำมันดิบจะสูงกว่าราคาน้ำมันที่ใช้เป็น Underlying หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ETF นี้ Over priced ซึ่งจะทำให้ปริมาณการซื้อขายของ ETF นี้สูงขึ้น นั่นคือจะมีอุปสงค์ต่อน้ำมันในส่วน Underlying เยอะขึ้นดันให้ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น

    นอกจากนี้ หน่วยงานที่กำกับ USO อย่าง CME ยังได้ประกาศให้ USO ยกเลิกการใช้ Crude Futures ที่หมดอายุในเดือน พ.ค.นี้ เป็นสินทรัพย์ที่นำมาคำนวณราคา ETF โดยให้ไปเพิ่มสัญญา Futures เดือน เม.ย.2021 แทนซึ่งส่งผลให้ราคาของ USO สูงขึ้นโดยธรรมชาติ

    อีกทั้ง CME ยังกำหนดลิมิตของจำนวนของสัญญาที่ USO จะสามารถ ออกได้ในช่วงกลางปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นสัญญาแบบ Short ทั้งหมดล้วนส่งผลดี ต่อราคาน้ำมันดิบในช่วงสั้นจากปัจจัย USO

    ท้ายสุดปัจจัยด้านอุปทานในช่วงนี้จากการที่อุปสงค์น้ำมันโลกที่ลดลงเป็นอย่างมาก โดยคาดว่าจะลดลงถึง 30% ในไตรมาสนี้ ได้ส่งผลให้บริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ ของสหรัฐทำการ Shut-ins หรือลด กำลังการผลิตคาดว่ากว่า 4 แสนบาร์เรล ต่อวัน

    รวมถึงโอเปคภายใต้การนำของรัสเซียและซาอุดีอาระเบียที่จะลดกำลังการผลิตลง 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงตลาดยังคาดหวังไปถึงการลดกำลังการผลิตอีกครั้งสำหรับการประชุมโอเปครั้งต่อไป

    นอกจากนี้ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ได้มีรายงานว่าแหล่งผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐได้ลดกำลังการผลิตในช่วงนี้ลงราว 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบก็ยังมีโอกาสกลับไปทดสอบระดับที่เป็นจุดต่ำสุดเดิมในช่วงกลางเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา หากความชัดเจนของ Second Wave ของโควิด-19 ปรากฏชัดเจนขึ้นในสหรัฐยุโรปและจีน ว่ามาแบบค่อนข้างรุนแรง รวมถึง First Wave ที่น่าจะมาแรงอย่างในบราซิล อินเดีย และแอฟริกา

    คอลัมน์ มุมคิดมหภาค: โดย ผศ.ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://www.bangkokbiznews.com/news...medium=internal_referral&utm_campaign=topnews
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Oil Trading - ทันตลาดน้ำมันและเศรษฐกิจโลกกับ KP

    สิ่งที่ #นักลงทุนทั่วโลกควรกลัวมากที่สุด ไม่ใช่เรื่องของไวรัสโควิดอีกต่อไป... แต่กำลังเป็นความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐและจีน ⚔️ สองประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลก

    ไวรัสโควิดจะมีการระบาดเฟส 2 หรือไม่ ? จะมีการกลายพันธ์หรือไม่ ? การทยอยเปิดเมืองต่างๆทั่วโลกอีกครั้งนั้นจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากหรือน้อยแค่ไหน ? เป็นสิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจมาตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าปัจจัยเหล่านี้จะยังต้องใช้เวลาอีกซักพักกว่าจะเห็นผลจริงๆ แต่ตลาดก็ได้รับรู้โอกาสและความเป็นไปได้เข้าไปเยอะมากแล้ว

    นักลงทุนในตลาดเชื่อว่าไวรัสโควิดอาจมีผลทำให้ตลาดหุ้นไม่ได้กลับขึ้นมาโตได้เร็วเหมือนแต่ก่อนหรืออาจจะมีการโดนเทขายจนตลาดย่อลงมาอีกรอบ แต่ส่วนใหญ่ไม่มีใครคิดว่าไวรัสนี้จะทำให้ตลาดนั้นโดนเทขายลงไปมากกว่าจุดต่ำสุดของปีได้ เพราะยารักษาไวรัสนั้นกำลังมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้ยังมีผู้ติดเชื้อมากขึ้นแต่อัตราการเสียชีวิตนั้นค่อยๆลดลงแล้ว #ภาพสถานการณ์ที่แย่ที่สุดของไวรัสที่ตลาดเคยกลัวไว้ได้ผ่านไปแล้ว (สิ่งที่ตลาดกลัวและคาดไว้นะครับ ไม่ใช่ที่เกิดขึ้นจริงๆ)

    #แต่ในทางตรงกันข้าม ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐและจีนนั้นกำลังเป็นปัจจัยใหม่ที่คลืบคลานเข้ามาในตลาดอย่างช้าๆ นักลงทุนส่วนมากยังไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องนี้ และตลาดยังคาดเดาไม่ได้ว่าผลกระทบนั้นจะบานปลายไปถึงขั้นไหน ...

    หากเทียบกับเรื่องไวรัสที่ได้ผ่านจุดที่พีคที่สุดมาแล้ว... #ความตึงเครียดของสองประเทศมหาอำนาจกำลังเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นด้วยซ้ำ

    ความตึงเครียดระหว่าง สหรัฐ และ จีนเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

    ทางเราได้เขียนบทความถึงความขัดแย้งที่ค่อยๆบานปลายขึ้นมา 3 บทความแล้วนะครับ เดี๋ยวจะ Link รายละเอียดไว้ให้ใน Comment อีกทีนะครับ

    แต่คร่าวๆคือทางประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ มีความสงสัยว่าจีนจะอยู่เบื้องหลังการปล่อยให้ไวรัสนี้ระบาดเข้ามาในสหรัฐ โดยอาจตั้งใจสร้างความปั่นป่วนในประเทศ พยายามทำให้ทรัมป์นั้นสูญเสียคะแนนเสียงในการเลือกตั้งสมัยที่ 2 ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ #ซึ่งหากจีนเป็นคนตั้งใจทำจริงๆ มันก็กำลังได้ผลดีมากครับ เพราะมันทำให้ไวรัสระบาดในสหรัฐนั้นรุนแรงที่สุดในโลก ผู้คนล้มป่วยเกินกว่าล้านคน เสียชีวิตไปเกือบแสนคน ตกงานไป 30 ล้านคน และยังไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้อีกหลายร้อยล้านคนนั้น #ทำให้คะแนนเสียงที่เคยนำโด่งของทรัมป์ตอนนี้นั้นกลับกำลังเป็นรองผู้ท้าชิง อย่าง โจ ไบเดนแล้ว

    ส่งผลให้ทางทรัมป์นั้นไม่พอใจมากๆ และได้ส่งสายสืบทุกๆหน่วยงานของสหรัฐอย่าง CIA, NSA และ DIA เข้าไปสืบว่าทางจีนตั้งใจปล่อยไวรัสออกมาจริงๆหรือ และไวรัสนั้นเป็นการพัฒนามาจากห้อง Lab ทดลองจริงๆหรือ ? ไม่ใช่มาจากตลาดค้าสัตว์ป่าอย่างที่จีนเคยแถลงไว้

    โดยในที่สุดทางทรัมป์ก็ได้ออกมาประกาศแล้วว่า #สหรัฐมีหลักฐานทั้งหมด ที่แสดงให้เห็นว่าจีนอยู่เบื้องหลังการปล่อยไวรัสในครั้งนี้ ! เขากำลังเตรียมที่จะนำมันออกมาเปิดเผยแน่ๆ แต่ตอนนี้ยังตัดสินใจอยู่ว่าจะลงโทษทางจีนอย่างไรดี อาจจะทำการเริ่มสงครามการค้ากับจีนอีกรอบโดยการเพิ่มภาษีขึ้นอีกรอบก่อนก็เป็นได้

    ล่าสุดเมื่อคืนนี้ถึงแม้ตัวแทนหัวหน้าการค้าจากสหรัฐและจีนจะได้มาพบปะหารือถึงความคืบหน้าในการเจรจาการค้าเฟสแรกเพราะดูท่าจีนจะไม่สามารถนำเข้าสินค้าของสหรัฐได้ตามสัญญา แต่เมื่อจบการประชุมทั้งสองฝั่งก็บอกว่าการคุยเป็นไปได้ด้วยดี แต่ทรัมป์กลับออกมากล่าวว่า " #เขาก็ยังไม่พอใจทางจีนอย่างมาก " แสดงให้เห็นชัดเลยว่าความขัดแย้งกำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ...

    ผลกระทบความขัดแย้งจะบานปลายไปแค่ไหน ?

    หากผลกระทบในครั้งนี้จะบานปลายไปเป็นสงครามการค้ากับจีนรอบ 2 จริงอยู่ว่าผลกระทบมันน่าจะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงมาต่ำกว่าจุดต่ำสุดของปีอีกครั้ง เพราะประเทศมหาอำนาจทั้งสองคุม GDP ของโลกอยู่เกือบ 40% แล้ว และความขัดแย้งทางการค้าจะทำให้เศรษฐกิจซึมไปอีกยาวๆ แต่ถ้าเป็นแค่นี้จริงๆก็ถือว่า #เป็นโชคดีต่อตลาดมากๆแล้ว

    เพราะลองนึกดูสิครับ... หากมีประเทศไหนจงใจปล่อยไวรัสออกมาทำให้ประเทศของคุณต้องมีคนล้มตายไปเกือบแสนคน... มีคนป่วยเป็นล้านคน... คนตกงานกว่า 30 ล้านคน... นี่มันคือความเสียหายที่มากกว่าสงครามอีกนะครับ และคุณคิดว่าบทลงโทษที่สหรัฐจะมีต่อจีนจะไม่มากไปกว่าแค่ #สงครามทางการค้า หรือ ???

    หากหลักฐานที่ทรัมป์บอกว่ามีอยู่ในมือนั้นเป็นความจริง... เราอาจจะได้เห็นสงครามรอบใหม่แน่ๆครับ

    แต่ไม่ว่าทรัมป์จะพูดจริงๆหรือโกหก... สิ่งที่ตลาดเตรียมตัวรับมือไว้ได้เลยแน่ๆคือ #จนกว่าจะถึงการเลือกตั้งสหรัฐนั้นความตึงเครียดนี้คงไม่จบง่ายๆ แน่ๆครับ ตราบใดที่ทรัมป์ยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่าเก้าอี้สมัยที่สองจะเป็นของเขา

    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรานะครับ ฝากกด Like และ Share ให้แอดด้วยหากข้อมูลนี้มีประโยชน์นะครับ ขอบคุณมากๆครับ

    #OilTradingKP

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แบ่งปันจาก ทะลักจุดแตก

    อเมริกา “โละ” ระบบสกัดขีปนาวุธ U.S. Patriot ในซาอุฯ! ถอดแบตเตอรี่ทิ้ง ขนทหารคุมเครื่องกลับ

    อ้าว แบบนี้ก็ “บ่อมิไก๊” ไม่ต่างจาก ‘ทุ่นเหล็ก’ เอาไว้โชว์ในงานวันเด็กน่ะสิ!?

    เท่ากับว่า ล้มโครงการ “มิสไซล์เอื้ออาทร” เด็ดขาด!

    สะบัดก้นชิ่งกันดื้อๆงี้ … ถ้าอิหร่าน หรือกบฏฮูตีในเยเมน ฉวยจังหวะโจมตี จะเอาอะไรป้องกันหว่า??

    ซาอุฯ ร่ำร้อง: ทำไมถึงทำกับฉันได้?

    ---

    อเมริกาเสียงเจื้อยแจ้ว: ไม่ใช่ไม่เตือนนะ!

    จริงดังว่า ไม่มีผิดเพี้ยน ตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. แล้ว สอง ส.ว. อเมริกาถูกใช้ ให้มาขู่ซาอุฯ: ลดผลิตน้ำมันซะ หรือ จะโดนริบอาวุธ --- เลือกเอา?

    ตอนนั้นระบุชัดนะครับท่าน (เพจนี้ก็ได้ตีแผ่ไปแล้ว) ไม่มีคลุมเครือ บ่งชื่อไปเลย ที่เอามาต่อรอง คือ U.S. Patriot

    .

    อเมริกาย้ำ: เราบอกคุณล่วงหน้าแล้ว อย่าทำไขสือ

    ซาอุฯ งงเต้ก ตะโกนเสียงหลง: กูก็ลดผลิตน้ำมันไปแล้วไงโว้ย!!!

    จริงดังว่า ไม่มีบิดพลิ้ว ก่อนเข้าสงกรานต์เพียงวันเดียว ซาอุฯ แข็งขัน นำพวกพ้องโอเปก (องค์การประเทศผู้ส่งออกปิโตรเลียม) จับมือกับพันธมิตรที่นำโดยรัสเซีย คลอดข้อตกลงลดผลิตน้ำมันดิบ ลงมือลดจริงเดือน พ.ค. นี้

    เฮ้ย ลดแล้ว ยังโดนริบ! หมายความว่าไง?

    ---

    อเมริกา ตีหน้าซื่อ: พี่ดุนะ หนูไหวเหรอ?

    ซาอุฯ ขมวดคิ้ว: งง แปลว่าอะไรคะ?

    อเมริกา อธิบายอย่างแช่มช้อย: เออ กูก็พูดส่งๆไป ให้มึงงงน่ะแหละ

    .

    ดูกันที่การกระทำของอเมริกาดีกว่าครับท่าน

    นอกจากปิดระบบสกัดมิสไซล์แล้ว ฝูงบินขับไล่ของกองทัพสหรัฐอเมริกาก็เหินข้ามฟ้าหนีกลับรังไปบ้างแล้ว และเร็วๆนี้ เรือรบที่ประจำการ ณ อ่าวอาหรับ (อ่าวเปอร์เซีย) ก็กำลังจะล่องจรลี หนีข้ามสมุทรกลับถิ่นเช่นกัน

    ความปลอดภัยของเจ้า มิใช่กงการอะไรของข้าอีกต่อไป

    หงุดหงิดอะไร? ถึงฟาดงวงฟาดงา มาลงที่ซาอุฯ!

    ---

    ก็ราคาน้ำมันยังไม่พ้นวิกฤติน่ะสิ! ซาอุฯ กับพรรคพวกลดผลิตก็แล้ว แต่ราคาไม่กระดิกขึ้นซักเท่าไหร่

    แล้วไง? บริษัทผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (เชล ออยล์) ในอเมริกา อยู่รอดมั้ยล่ะทีนี้?

    มียื่น “ล้มละลาย” ไปแล้ว และส่อเค้าตามมาอีกเป็นพรวน

    (บริษัท Whiting Petroleum ไปก่อนเพื่อน ส่วนบริษัท Chesapeake Energy ร่ำๆกำลังจะยื่น)

    ที่ยังอยู่ ก็เริ่มๆต้อง “หั่น” การผลิตลง ก็มันขาดทุนนี่นา

    แต่บางบริษัท ไม่ใช่แค่หั่น แต่ “หยุด” ผลิตซะทั้งหมดเลย

    (บริษัท Continental Resources แจ้งลูกค้าไปเลยว่า “เลิกขาย”! ที่นัดกันไว้ว่าจะส่งของให้ ต้องขอยกไป ไม่งั้นต้อง ‘กรีดเลือด’ เอาไปแทนน้ำมัน! เอามั้ย?)

    .

    ย้อนไปกลางเดือน มี.ค. อเมริกาทั้งประเทศผลิตน้ำมันดิบ 13.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน นี่คือสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์อันน่าภาคภูมิ … และแล้ว ย่างเข้าต้นเดือน พ.ค. การผลิตก็ร่วงลงมาเหลือ 11.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน --- หายไป 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในเวลาแค่เดือนกว่า

    ไอ้ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันนี่เยอะขนาดไหนกัน? … ต้องบอกว่าเยอะกว่าที่ประเทศไทยใช้ต่อวันอีก! (ไทยใช้ 1.1)

    ลองคิดดู ‘มูลค่า’ มหาศาลขนาดไหนที่เสียไป

    ใครควรรับผิดชอบ? ซาอุฯ ไหม?

    อเมริกาฉุนเฉียว: ก็ถ้าเอ็งไม่ทำ “สงครามราคา” บ้าบอกับรัสเซียแต่แรก ก็ไม่อาการหนักขนาดนี้หรอก

    ซาอุฯ เว้าวอน: แล้วเมื่อไหร่ จะเอาแบตเตอรี่มาเสียบเครื่องป้องกันมิสไซล์อีกครับ

    อเมริกา: ไปถามอิหร่านสิ!

    ---

    หมายเหตุ

    ล่าสุด พระราชาธิบดี ซัลมาน แห่งซาอุฯ และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งอเมริกา ได้สนทนากันทางโทรศัพท์

    ทั้งสองตอกย้ำความสำคัญของ “เสถียรภาพ” ในตลาดพลังงาน และ “ความร่วมมือ” ด้านการป้องกันประเทศ

    จบดีกว่า

    https://www.wsj.com/articles/u-s-to-remove-patriot-missile-batteries-from-saudi-arabia-11588867916

    https://www.eia.gov/dnav/pet/hist/LeafHandler.ashx?n=PET&s=WCRFPUS2&f=W

    https://www.reuters.com/article/us-...r-bankruptcy-of-oil-price-crash-idUSKBN21J5KS

    https://www.reuters.com/article/us-...rgy-preparing-bankruptcy-filing-idUSKBN22B31M

    https://www.reuters.com/article/us-...le-output-seeks-to-cancel-sales-idUSKCN2260PX

    https://www.arabnews.com/node/1671821/saudi-arabia

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อิหร่านออกมาเตือนในวันเสาร์ (9) ว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนากำลังเพิ่มสูงขึ้นในภาคตะวันตกเฉียงใต้ ทั้งๆ ที่ในภูมิภาคอื่นตัวเลขกำลังลดลง ในขณะที่อิหร่านประกาศพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อีกกว่า 1,500 ราย

    อ่านต่อ >https://news1live.com/detail/9630000048550
    .........................................
    ● อีกช่องทางติดตาม NEWS1
    Line : https://lin.ee/CeuFxbm
    Youtube : youtube.com/c/NEWS1VDO

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จ.ยะลาพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มอีก 2 รายในพื้นที่ อ.บันนังสตา หลังลงค้นหาเชิงรุก พบมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ที่กลับจากมาเลย์ รวมยอดสะสม 132 ราย พบผู้มีอาการสงสัยรายใหม่อีก 22 ราย

    อ่านต่อ >https://news1live.com/detail/9630000048540
    .........................................
    ● อีกช่องทางติดตาม NEWS1
    Line : https://lin.ee/CeuFxbm
    Youtube : youtube.com/c/NEWS1VDO

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ศธ.ลั่นเปิดเทอมแน่ 1 ก.ค.นี้ ให้ทุกพื้นที่ประเมินโควิด หากคลี่คลายให้มาเรียนที่ ร.ร. ยึดแนวทางป้องกันโรคของ สธ. หากไม่คลี่คลายกลุ่มปฐมวัยถึง ม.3 เรียนออนแอร์ผ่านดีแอลทีวี หลังรับจัดสรรจาก กสทช. 17 ช่อง และ ม.4-6 เรียนออนไลน์ เผยทดสอบระบบออนไลน์ 18 พ.ค.- 30 มิ.ย. วอนครู ผู้ปกครอง นร.เจอปัญหาให้รีบแจ้ง ยัน 16 มิ.ย.ทุกคนมีที่เรียน ปรับปิดเปิดเทอมใหม่ เพิ่มวันหยุด 54 วัน เน้นเรียนวิชากลุ่มสาระหลัก งดกิจกรรมไม่จำเป็น

    อ่านต่อ >https://news1live.com/detail/9630000048552
    .........................................
    ● อีกช่องทางติดตาม NEWS1
    Line : https://lin.ee/CeuFxbm
    Youtube : youtube.com/c/NEWS1VDO

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แบ่งปันจาก พ่อบ้านเยอรมัน

    สรุปการผ่อนปรนมาตรการทั้ง 16 รัฐ

    รวมสรุปการผ่อนปรนมาตรการทั้งสิบหก แบบกระชับ แต่จะเน้นใจความสำหรับคนไทยโดยเฉพาะนะครับ!!!

    "Baden-Württemberg"

    อนุญาตให้เปิดสวนสัตว์ และสนามเด็กเล่น

    วันที่ 11.05.2020 อนุญาตให้เล่นกีฬาที่ไม่มีการสัมผัสตัวและกลางแจ้ง เช่น เทนนิส หรือกอล์ฟนอกจากนี้ยังอนุญาตให้เปิด โรงเรียนสอนขับรถ ร้านนวด ร้านทำเล็บ และโรงเรียนสอนดนตรี แต่มาตรการห้ามเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาลจะทยอยๆ ผ่อนคลาย

    วันที่ 18.05.2020 อนุญาตให้ร้านอาหารกลางแจ้งให้บริการได้

    วันที่ 25.05.2020 จะเปิดให้นั่งทานได้ (ต้องรอประกาศใกล้ๆ อีกครั้ง) และจะเปิดโรงแรมในวันที่ 30.05.2020

    "Bayern"

    วันที่ 09.05.2020 อนุญาตให้เยี่ยมคนชราได้

    วันที่ 11.05.2020 อนุญาตให้เล่นกีฬาที่ไม่มีการสัมผัสตัว เช่นเทนนิส, กอล์ฟ และอื่นๆ และในวันนี้ยังอนุญาตเปิดร้านค้าในทุกประเภท (ไม่ได้ระบุร้านนวดดังนั้นต้องโทรเช็คกันนะครับ)

    วันที่ 18.05.2020 อนุญาตให้ร้านอาหารกลางแจ้งให้บริการได้

    วันที่ 25.05.2020 จะเปิดให้นั่งทานได้ และจะอนุญาตเปิดโรงแรมในวันที่ 30.05.2020

    "Berlin"

    เปิดสนามเด็กเล่น ห้องสมุด

    วันที่ 09.05.2020 อนุญาตให้เปิดร้านค้าทุกประเภท

    วันที่ 11.05.2020 อนุญาตให้ร้านนวด และ Cosmetic เปิดได้

    วันที่ 15.05.2020 อนุญาตให้เปิดร้านอาหารภายใต้สุขอนามัยขั้นสูง และให้ปิดภายใน 22:00

    วันที่ 25.05.2020 อนุญาตให้เปิดโรงแรม

    "Brandenburg"

    09.05.2020 เปิดสนามเด็กเล่น

    11.05.2020 อนุญาตให้ร้านนวด Fußpflege และ Cosmetic เปิดได้

    15.05.2020 Restaurants, Cafés และ Kneipen

    "Bremen"

    เปิดสนามเด็กเล่น

    13.05.2020 ร้านค้าสามารถกลับมาเปิดได้โดยไม่จำกัดขนาด VHS,โรงเรียนดนตรี รวมไปถึงการให้บริการต่างๆ เช่น Friseure, Fußpflege und Nagelstudios (ในบทความไม่ได้ระบุร้านนวด ให้เช็คอีกครั้งนึง)

    การเปิดร้านอาหารต้องรอประชุมกันวันที่ 12.05.2020

    "Hamburg"

    พิพิธพันฑ์ สวนสัตว์ สวนดอกไม้กลับมาเปิดได้อีกครั้ง

    กีฬากลางแจ้งที่ไม่ได้มีการสัมผัสสามารถกลับมาเล่นได้

    นิทรรศการต่างๆ ยังไม่อนุญาตจนกว่าจะถึง 31.08.2020

    18.05.2020 โรงแรมและร้านอาหารสามารถเปิดได้

    ไม่ได้มีระบุร้านนวดขอให้เช็คอีกครั้ง

    "Hessen"

    อนุญาตให้เปิดสนามเด็กเล่น สวนสัตว์ และพิพิธภัณฑ์

    อนุญาตให้เปิดโรงละคร แต่ยังคงให้ปิด Disco และ Bar

    ร้านนวด, ร้านทำเล็บ,โรงเรียนสอนขับรถ/กวดวิชา ร้านทำผมและร้านค้าต่างๆ สามารถเปิดได้หากแต่ว่าต้องรักษาสุขอนามัยขั้นสูงสุด

    15.05.2020 โรงแรมและ Fitnesstudios สามารถเปิดได้

    "Mecklenburg-Vorpommern"

    การเยี่ยมคนป่วยและคนชรา ทยอย ๆผ่อนคลายให้เยี่ยมได้

    สนามเด็กเล่น พิพิธภันฑ์ และสวนสัตว์อนุญาตให้เปิดได้

    สามารถเปิดร้านค้าโดยไม่คำนึงถึงขนาดของพื้นที่

    ร้านทำผม, ร้านนวด ร้านสัก ทำเล็บ อนุญาตให้เปิดได้

    09.05.2020 อนุญาตให้เปิดร้านอาหาร

    15.05.2020 กีฬาประเภทที่ไม่ได้มีการโดนตัวกันอนุญาตให้เล่นได้

    18.05.2020 อนุญาตให้เปิดโรงแรม รวมไปถึงอนุญาตการประชุมหรือจัดงานประชุม โดยจำกัดจำนวนคน

    ในร่มสูงสุดไม่เกิน 75 คน / กลางแจ้งสูงสุดไม่เกิน 150 คน

    25.05.2020 อนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาท่องเที่ยวในรัฐได้

    "Niedersachsen"

    อนุญาตให้โรงเรียนฝึกอาชีพ, VHS และโรงเรียนดนตรีสามารถทยอยเปิดได้

    สนามเด็กเล่น, พิพิธภันฑ์และสวนสัตว์ เปิดได้

    อนุญาตให้เล่นกีฬาที่ไม่มีการสัมผัสตัวได้

    11.05.2020 อนุญาตให้เปิด ร้านอาหาร ลานเบียร์ แต่ต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดและสุขอนามัยขั้นสูง และกิจการอื่นๆ สามารถเปิดร้านค้าโดยไม่จำกัดพื้นที่ และอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในรัฐได้

    ร้านตัดผม และร้านนวดสามารถเปิดได้อีกครั้ง

    "Nordrhein-Westfalen"

    อนุญาตให้โรงเรียนดนตรีและ VHS สวนสัตว์ สนามเด็กเล่น และพิพิธภันฑ์ เปิดได้

    10.05.2020 อนุญาตให้เยี่ยมคนชราได้ภายใต้ข้อจำกัด และอนุญาตให้มีการเล่นคอนเสริต์กลางแจ้งเล็กๆ ได้

    11.05.2020 อนุญาตให้ร้านค้าประเภทต่างๆ เปิดได้ รวมถึงร้านอาหารแต่ต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดที่เข้มงวด

    11.05.2020 อนุญาตให้ Fitnesstudios และโรงเรียนสอนเต้นสามารถเปิดได้

    21.05.2020 อนุญาตให้โรงแรมเปิดได้

    30.05.2020 อนุญาตให้โรงละครและโรงหนังเปิดได้

    อนุญาตให้เปิดร้านนวด ร้านทำผม ร้านทำเล็บ ได้ตั่งแต่วันที่ 11.05.2020

    ข้อมูลร้านนวดอ้างอิงจาก https://m.facebook.com/groups/3082326688455891?view=permalink&id=3102049413150285

    *แต่ยังไงควรโทรถามอีกครั้งนะครับ*

    "Rheinland-Pfalz"

    สนามเด็กเล่นและพิพิธภันฑ์เปิดได้

    อนุญาตให้เยี่ยมคนชราภายใต้ข้อจำกัด

    13.05.2020 ร้านอาหาร ร้านนวด ร้านทำเล็บ สามารถเปิดได้ภายใต้สุขอนามัยขั้นสูง

    18.05.2020 โรงแรมสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวได้

    "Saarland"

    โรงเรียนดนตรี,สนามเด็กเล่นและพิพิธภันฑ์ สามารถเปิดได้

    ช่างทำผมและช่างเสริมสวย และร้านค้าประเภทต่างๆ สามารถเปิดได้ภายใตข้อจำกัด

    18.05.2020 สามารถเปิดร้านอาหารได้ แต่ให้อยู่ภายใต้ข้อกำหนด

    "Sachsen"

    สนามเด็กเล่น ห้องสมุด และพิพิธภันฑ์เปิดได้

    15.05.2020 ร้านอาหารและโรงแรมสามารถเปิดได้ภายใต้สุขอนามัยขั้นสูงและภายใต้ข้อจำกัด

    18.05.2020 อนุญาตให้เปิดโรงเรียนดนตรี โรงหนังและโรงละครได้

    18.05.2020 อนุญาตให้ Fitnesstudios โรงเรียนสอนเต้น และร้านค้าสามารถเปิดได้

    ***ไม่ได้ระบุร้านนวดขอให้เช็คอีกครั้ง***

    "Sachsen-Anhalt"

    อนุญาตให้เปิดโรงเรียนสอนขับรถ/ดนตรี และ VHS

    สนามเด็กเล่น ห้องสมุด และพิพิธภันฑ์เปิดได้

    11.05.2020 อนุญาตให้เยี่ยมคนชราภายใต้ข้อจำกัด

    อนุญาตให้ร้านนวด ร้านเสริมสวย ร้านทำผมเปิดได้

    15.05.2020 Ferienhäuser und -wohnungen สามารถเปิดได้ ส่วนโรงแรมยังต้องรออนุมัติต่อไป

    22.05.2020 เปิดร้านอาหารได้ ภายใต้สุขอนามัยขั้นสูง

    "Schleswig-Holstein"

    สนามเด็กเล่น ห้องสมุด และพิพิธภันฑ์เปิดได้

    18.05.2020 ร้านอาหาร โรงแรม โรงหนังและคาสิโนสามารถเปิดได้

    อนุญาตให้เล่นกีฬาที่ไม่มีการสัมผัสตัวได้

    18.05.2020 อนุญาตให้กีฬาในร่มและ Fitnesstudios เปิดได้

    อนุญาตให้ร้านค้าต่างๆเปิดได้โดยไม่จำกัดขนาด

    ***ไม่ได้ระบุร้านนวดต้องเช็คอีกครั้งนะครับ***

    "Thüringen"

    โรงเรียนดนตรี/ขับรถ สามารถเปิดได้

    สามารถเปิดร้านค้าประเภทต่างๆ โดยไม่จำกัดขนาดพื้นที่

    ร้านทำผม เสริมสวย ทำเล็บ สามารถเปิดได้

    15.05.2020 อนุญาตให้อุตสาหกรรมการบริการ เช่นโรงแรม และร้านอาหารเปิดทำการได้อีกครั้งภายใต้ข้อจำกัดและสุขอนามัยขั้นสูง

    โรงละคร และ Concert Hall ยังคง ให้ปิดทำการจนถึงวันที่ 31.08.2020

    ** ไม่ได้ระบุข้อมูลร้านนวดต้องเช็คอีกครั้งนะครับ **

    ข้อสำคัญ ร้านนวดเปิดได้แต่ต้องมีแบบฟอร์มให้ลูกค้ากรอกว่า เข้าและออกจากร้านวันไหนกี่โมง ลูกค้าต้องไม่มีไข้และไม่มีอาการเสี่ยงที่จะเป็นโรคโควิค (อันนี้สำคัญมาก) และจะต้องโทรถาม Ordnungamt ของแต่ละเมืองก่อนเปิดด้วยนะครับ

    อ่านทบทวนอีกครั้งและเช็คกับมาตรการและข้อจำกัดของแต่ละรัฐด้วยนะครับ เพราะแต่ละรัฐนั้นไม่เหมือนกัน

    "ใช้ชีวิตให้เหมือนกับไวรัสยังแพร่ระบาด ค่อยๆ ผ่อนไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันตัวเองและครอบครัว"

    "ขอให้มีความสุขในวันสุดสัปดาห์ทุกคนนะครับ"

    #พ่อบ้านเยอรมัน #เยอรมัน #เยอรมนี #Germany

    ที่มาของข้อมูล

    https://www.zdf.de/nachrichten/politik/coronavirus-bundeslaender-lockerungen-100.html

    https://www.tagesschau.de/inland/corona-lockerung-bundeslaender-103.html

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แบ่งปันจาก MisterBan

    May 9 , 2020 กรุงโซลประกาศปิดสถานบันเทิง 1 เดือน หลังพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 อย่างน้อย 15 คน จากสถานบันเทิงหลายแห่งย่านอิแทวอน
    .
    หน่วยงานท้องถิ่นกรุงโซลได้ออกประกาศให้บรรดาไนท์คลับ และสถานบันเทิงยามค่ำคืนทั่วเมืองปิดให้บริการเป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคเกาหลีใต้ (KCDC) รายงานว่าพบผู้ติดเชื้อจากสถานบันเทิงหลายแห่งย่านอิแทวอน ซึ่งเป็นย่านท่องเที่ยวสำคัญของเมืองแล้วอย่างน้อย 15 คน ส่งผลให้ตัวเลขติดเชื้อสะสมทั้งประเทศอยู่ที่ 10,840 เสียชีวิตแล้ว 256 รักษาหายแล้วอย่างน้อย 9,568 ราย
    .
    โดยรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาพบผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มเพียง 18 ราย โดยจำนวนนี้ถึง 17 คน เชื่อมโยงจากผู้ติดเชื้อที่มีประวัติไปเที่ยวสถานบันเทิงย่านอิแทวอนระหว่างคืนวันศุกร์ที่ 1 พ.ค. ต่อเนื่องเช้าวันเสาร์ที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา
    .

    เรื่องดังกล่าวเป็นเหตุให้ทางการท้องถิ่นกรุงโซลต้องออกคำสั่งดังเพื่อขอให้ธุรกิจสถานบันเทิงยามค่ำคืนหยุดให้บริการเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน รวมถึงเตรียมมาตรการลงโทษขั้นสูงสุดหากพบการฝ่าฝืน
    .
    #กรุงโซล #เกาหลีใต้ #ติดเชื้อ #ไวรัสโควิด #สถานบันเทิง #Misterban

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แบ่งปันจาก MisterBan

    May 9 , 2020 กระทรวงสาธารณสุขย้ำ กทม.ยังเป็นพื้นที่เสี่ยงแพร่ระบาดไวรัสโควิด 19 หลังพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 1 ราย
    .
    นพ.ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงถึงการบริหารจัดการสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในกทม.ว่า การพบผู้ป่วย 1 คนในกทม.วันนี้ ทำให้คิดว่าในกทม.ยังมีพื้นที่เสี่ยง และมีความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดอยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่พบมาแล้ว 3-4วัน
    .
    โดยมาตรการที่จะดำเนินการขณะนี้ คือตรวจหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก 4 กลุ่มเสี่ยง คือ 1.กลุ่มให้การบริการสาธารณะทั้งหลายเช่น ขนส่งสาธารณะ แท็กซี่ // 2. กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ // 3.กลุ่มผู้ต้องขัง // 4.กลุ่มจุดซ่อนเร้น คือกลุ่มสถานที่แออัด เช่น ชุมชนแออัด วัด เรือนจำ และพื้นที่มีแรงงานต่างด้าว
    .
    สำหรับกลุ่มที่คิดว่าจะเป็นผู้แพร่เชื้อในระยะถัดไป คือกลุ่มที่มาจากต่างประเทศ หากยังปิดน่านฟ้าไม่ให้ต่างชาติเข้ามาในประเทศ ก็เชื่อว่าเชื้อจะเข้ามาน้อยลง ส่วนกลุ่มที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง เช่น ภูเก็ต ตรัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากจะเข้ามาในพื้นที่กทม.จะต้องรับการตรวจคัดกรองอย่างเคร่งครัด ก็จะทำให้การแพร่ระบาดลดลงได้เช่นกัน
    .
    อย่างไรก็ตามมาตรการที่จะผ่อนปรนระยะต่อไป สามารถทำได้ แต่ต้องควบคุมเข้มงวดตามมาตรฐานการแพร่ระบาดของโรค เพราะหากหละหลวม อาจเกิดการแพร่ระบาดขึ้นมาอีก
    .
    ด้าน น.พ.เอนก มุ่งอ้อมกลาง ผอ.สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กล่าวว่า ผลการค้นเชิงรุกในพื้นที่กทม. ว่า ตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย. -8 พ.ค. สามารถค้นหาเชิงรุกได้รวม 9,516 คน แบ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงตามอาชีพ 4,820 คน และกลุ่มสถานที่เสี่ยง 1,152 คน เช่น ในชุมชนคลองเตย เรือนจำ บุคลากรทางการแพทย์ หมู่บ้านจัดสรร ซึ่งผลการตรวจดังกล่าวไม่พบผู้ติดเชื้อ ส่วนผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการกักตัว 8 แห่ง จำนวน 3,544 คน มีผู้ติดเชื้อ 13 คน
    .
    อย่างไรก็ตามส่วนการค้นหาในหมู่บ้านจัดสรร ได้ดำเนินการไป 3 หมู่บ้าน พบว่ามีผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคกว่า300คน ยังไม่พบมีผู้ติดเชื้อเช่นกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การแพร่เชื้อลดลงจริง แต่อย่างไรก็ตามยังมีความเสี่ยง เพราะยังพบผู้ติดเชื้อในกทม.อยู่
    .
    #กทม #พื้นที่เสี่ยง #ไวรัสโควิด19 #misterban

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ...ทรัมป์จะก่อสงครามโลก...

    นี่คือประเด็นที่ผู้คนสนใจมากที่สุดขณะนี้

    เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในอเมริกายังลุกลามต่อเนื่อง จนมีผู้ติดเชื้อเกือบ 1,300,000 คน เสียชีวิตกว่า 77,000 ราย สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลก

    ทรัมป์ที่บัดนี้ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ จึงพยายามทุกวิถีทางที่จะโยนบาปให้กับจีน รวมถึงฟ้องเรียกค่าเสียหาย ขึ้นภาษีการค้าใหม่อีกรอบ หรือแม้แต่เบี้ยวหนี้พันธบัตรของตน ฯลฯ

    แต่ที่ทุกคนวิตกกังวลคือ มันจะลุกลามไปเป็นสงครามโลกระหว่างมหาอำนาจทั้ง 2 หรือไม่

    ในทางตรรกะเหตุผล ธนูเกณฑร์ว่า "ยาก"

    ด้วยสถานการณ์ที่หนักหนาสาหัส (แม้เลยพีคแล้วในบางพื้นที่) ทั้งยังรีบร้อนคลายล็อค โดยไม่สนใจคำเตือนจากแพทย์

    อีกไม่นาน อเมริกาจะเกิดเวฟ 2 ที่อาจหนักกว่าเดิม

    ช่วงเวลาที่น่าจะเป็น คือ 18 มิถุนายน - 17 กรกฏาคม

    (ดังที่ทำนายไว้ใน "วิกฤติไวรัสถล่มโลก" ในนสพ.กรุงเทพธุรกิจ 3 มีนาคม 2563

    https://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/649610)

    กว่าจะพอคุมได้ คงใช้เวลา 1 - 2 เดือน ไปจบเอากันยายน

    ต้นพฤศจิกายนก็เลือกตั้งแล้ว เหลือเวลาแค่ 2 - 3 เดือน เดินสายหาเสียงยังแทบไม่ทัน จะเอาเวลาที่ไหนมาทำสงคราม

    ต่อให้อยากทำ ก็ไม่ง่าย พยานหลักฐานไม่มี สภาล่างที่เดโมแครตคุมอยู่ ต้องคัดค้านสุดฤทธิ์ ทั่วโลกคงไม่เล่นด้วย แค่ฟื้นเศรษฐกิจประเทศตัวเองก็เหนื่อยแล้ว

    ที่สำคัญ สงครามไม่มีทางจบง่าย ๆ มันต้องใช้เวลานานมากกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะ (หรือแพ้ทั้งคู่) มันไม่ทันและไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อการเลือกตั้ง

    หลังเลือกตั้ง ไม่ว่าทรัมป์หรือเดโมแครตชนะ งานสำคัญอันดับแรกคือฟื้นฟูเศรษฐกิจ ไม่มีใครคิดก่อสงครามหรอก

    ถึงที่สุด ทรัมป์ก็เป็นนักธุรกิจ เขาทำธุรกิจมาทั้งชีวิต ถ้าทำสงครามกันแล้ว ตนเองจะได้ประโยชน์อะไร ?

    นี่คือเหตุผลที่ธนูเกณฑร์ว่า "ยาก"

    แล้วในมุมโหราศาสตร์ มองว่าอย่างไร ?

    คำตอบควรอยู่ที่ดวงเมืองอเมริกา แต่มันมีมากกว่า 36 แบบ ไม่รู้จะเลือกอันไหนดี

    เราจึงต้องกลับมาที่ดวงทรัมป์

    แต่ดวงบุคคล "เล็กเกินไป" สำหรับเหตุการณ์ใหญ่ เช่น สงคราม

    อีกดวงหนึ่งที่เหมาะสมกว่าคือดวงชะตาปธน.ทรัมป์ คือวันที่ทรัมป์สาบานตนรับตำแหน่ง 20 มกราคม 2017 เวลา 12:01 น.

    ลัคนาเมษที่ 20:23 องศา ราหูสิงห์ พฤหัสกันย์ จันทร์ตุลย์
    เสาร์พิจิก พุธพลูโตธนู อาทิตย์มังกร ศุกร์เนปจูนกุมภ์ อังคารมฤตยูมีน

    ดวงนี้มี 2 จุดอ่อนสำคัญ จุดที่จะกล่าวถึงคือ

    อังคาร-ดาวเจ้าเรือนลัคน์ตกภพ 12 (วินาศ) เกาะนวางค์นิจจ์ เสาร์-ดาวเจ้าเรือนทศมลัคน์ตกภพ 8 (มรณะ) ซ้ำเกาะนวางค์ขาด ที่แย่หนักคือทั้งคู่ทำมุม 90 สนิท

    ชี้ชัดถึงปัญหาอุปสรรคใหญ่หลวง (ที่คาดไม่ถึง) ในหน้าที่การงาน

    ขณะนี้ เนปจูนจรกุมภ์เข้ามุม 90 กับเสาร์เดิม เสาร์จรมังกรในภพ 10 ทับอาทิตย์เดิม ทั้งคู่จะเดินหน้าถอยหลังตรงนี้จนถึงสิ้นปี

    จะทำสงครามใหญ่ ต้องมีดาวจรในตุลย์-ภพ 7 ซึ่งบอกถึงศัตรูที่เปิดเผย แต่ไม่พบบาปเคราะห์ใหญ่ในตุลย์

    มฤตยูเมษก็ยังไม่ทับลัคน์สนิทองศา ซ้ำกลางสิงหาคมก็จะวิกลคติพักรที่ 16:33 องศา จึงไปไม่ถึงลัคน์ มฤตยูไม่ใช่อีก

    ศุกร์-ดาวเจ้าเรือนภพ 7 อยู่ที่ 23:38 องศากุมภ์ ถูกเนปจูนจรทับภายใน Orb 3 องศา เนปจูนคือการหลอกลวง สร้างภาพ การโฆษณาชวนเชื่อ ฯลฯ

    ดาวคู่นี้เองที่ทำให้ทรัมป์โยนบาปและสร้างภาพลวงตาว่า "จีน" เป็นศัตรูสำคัญ

    เพราะไม่มีดาวใหญ่ทำมุมถึงอีก จึงไม่น่าใช่สงครามใหญ่

    แต่ศุกร์เป็นดาวเจ้าเรือนภพ 2 (เศรษฐกิจ) และดาวการเงินด้วย เนปจูนหมายถึงละลาย ทำให้เสียสภาพ ฯลฯ

    มีความเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะทำสงครามการค้า / การเงินกับจีนอีกรอบ

    ช่วงเวลาที่จะประกาศสงครามกันคือ 5 มิถุนายน +/- 7 วัน

    ธนูเกณฑร์ดูจากดาวอะไร ?

    ศุกร์จรพักร (ถอยหลัง) ในพฤษภ 13 พฤษภาคม - 25 มิถุนายน เข้ามุม 90 กับศุกร์เดิม

    วันที่ 5 มิถุนายน (เวลาอเมริกา) เกิดจันทรคราสที่ 21:26 องศาพิจิก ทำมุม 90 กับศุกร์เดิมสนิท

    ในวันต่อมา อังคารกุมภ์จรทับศุกร์เดิมและ 90 จุดจันทรคราสสนิทซ้ำอีกดอก

    อังคาร 90 เสาร์เดิมและทับอังคารเดิม 20 มิถุนายน

    (ดังนั้น ประกาศช้าสุดไม่เกิน 20 มิถุนายน หรือประกาศก่อนแล้วค่อยบังคับใช้)

    ดาวทั้งหมดที่กล่าวมา 90 มฤตยูเดิมในภพ 10 ของดวงทรัมป์ มฤตยูคือนอกกรอบ นอกคอก ไร้เหตุผล ไม่แคร์ใคร ฯลฯ

    มันสนับสนุนและยืนยันความเป็นไปได้ของเหตุการณ์

    สงครามจีนอเมริการอบใหม่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่ใช่สงครามโลก แต่เป็นสงครามการค้า / การเงิน

    มันจะเป็นอีกผลงานที่ "ป่วนโลก" ของทรัมป์

    โลกไม่เพียงเผชิญปัญหาโควิด แต่ยังต้องเจอสงครามเศรษฐกิจซ้ำสองเข้าไปอีก

    ทุกท่านโปรดเตรียมพร้อมรับมือครับ

    ธนูเกณฑร์ (9/5/2020)

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประกาศสถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต
    ที่ ๑๒ / ๒๕๖๓
    เรื่อง ทางการคูเวตประกาศเคอร์ฟิว (total curfew) ห้ามไม่ให้ประชาชนออกจากเคหสถาน
    ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
    -----------------------------------
    สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการของทางการคูเวตในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในคูเวต ดังนี้
    เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๓ คณะรัฐมนตรีคูเวตได้มีมติห้ามไม่ให้ประชาชนออกนอกเคหสถาน/ที่พักอาศัย (total curfew) ตลอด ๒๔ ชั่วโมง โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๖.๐๐ น. จนถึงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๓ แต่อนุญาตให้ประชาชนสามารถออกมาเดินออกกำลังกายในบริเวณใกล้สถานที่พักในช่วงเวลา ๑๖.๓๐ - ๑๘.๓๐ น.

    ในการนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงขอให้ชาวไทยในคูเวตปฏิบัติตามมาตรการที่ออกโดยทางการคูเวตอย่างเคร่งครัด
    ทั้งนี้ หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ทางหมายเลขฉุกเฉิน +๙๖๕ ๖๐๗๑ ๙๘๘๘ และ +๙๖๕ ๖๐๗๑ ๘๘๘๙ หรือติดต่อกระทรวงสาธารณสุขคูเวตได้ที่หมายเลขฉุกเฉิน ๑๕๑

    จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบโดยทั่วกัน

    สถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต
    ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๓

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แบ่งปันจาก Billion Mindset - แนวคิดพันล้าน

    สรุปผลกำไร-ขาดทุน "การบินไทย" ในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นอย่างไรบ้าง!?

    "การบินไทย" กลายเป็นกระแสพูดถึงมากขึ้นในช่วงไม่กี่วันนี้ หลังจากมีข่าวรัฐบาลอนุมัติเงินกู้ยืม 50,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในแผนฟื้นฟูกิจการ

    ท่ามกลางความคิดเห็นที่แตกออกเป็น 2 ฝั่ง ถกเถียงกันว่าการให้กู้เงินในครั้งนี้นั้นจะส่งผลดีในระยะยาวหรือไม่!?

    บางส่วนก็มองว่า นี่คือวิกฤติที่สายการบินทั่วโลกกำลังเผชิญ และแทบทุกประเทศก็ปล่อยกู้ให้สายการบินของชาติตัวเองไม่น้อยกว่าของไทย

    ขณะที่บางส่วนก็มองว่า การบินไทยมีผลดำเนินงานขาดทุนมาหลายปี และภาครัฐไม่ควรค้ำประกันเงินกู้ เพราะกลัวว่าจะไม่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรได้

    ผมจึงถือโอกาสรวบรวมข้อมูล และทำภาพขึ้นมาเพื่อให้เห็นภาพผลการดำเนินงานย้อนหลังของการบินไทยมากยิ่งขึ้น


    ข้อมูลที่น่าสนใจ:

    - ครั้งล่าสุดที่การบินไทยสามารถทำกำไรได้ (แบบไม่ใช่กำไรพิเศษ) ก็คือในปี พ.ศ.2555 หรือประมาณ 7 ปีก่อน

    - ในช่วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมา การบินไทยมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 179,000 ล้านบาทต่อปี

    - ช่วงเวลาดังกล่าว ไทยเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีไป 7 คน (มีการรัฐประหาร 2 ครั้ง) มีเพียงยุคสมัยของคุณทักษิณ ชิณวัตร และคุณสุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่การบินไทยมีกำไรโดยไม่ขาดทุน

    - โดยรวมแล้ว เมื่อคิดยอดกำไร-ขาดทุนสุทธิ 15 ปีหลังสุด การบินไทยยังขาดทุนสะสมอยู่ที่ 46,492 ล้านบาท


    หวังว่าข้อมูลและภาพที่ทำขึ้นมานี้ น่าจะให้ความรู้สำหรับหลายคนได้ไม่มากก็น้อย

    คิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับสถานการณ์ของ "สายการบินแห่งชาติของไทย" ในตอนนี้ ก็สามารถพูดคุย แลกเปลี่ยน และถกเถียงอย่างมีเหตุผลได้ในคอมเมนต์นะครับ


    -----------------------------------------------------

    ไม่พลาดทุกสาระน่าสนใจจาก Billion Mindset - แนวคิดพันล้าน

    กด Like และตั้งค่าติดดาว See First ไว้ด้วยนะ

    หรือติดตาม Billion Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง

    - เว็บไซต์ https://www.BillionMindset.com/

    - อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionmindset.ig/

    - ทวิตเตอร์ https://twitter.com/Billion_Twit

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แบ่งปันจาก Billion Mindset - แนวคิดพันล้าน

    เรื่องราวของสายการบินเก่าแก่อายุกว่า 80 ปี ที่ก้าวเดินผิดพลาด จนขาดทุนติดต่อกันหลายปี

    เมื่อไปต่อไม่ไหว พวกเขาก็ต้องยอมล้มลง กลับไปตั้งหลักปรับปรุงตัวเอง

    จนในที่สุด ก็กลับมาเป็นสายการบินที่มีจำนวนผู้โดยสารใช้บริการมากที่สุดในโลก

    เกิดอะไรขึ้นบ้างกับ American Airlines !? เราลองย้อนกลับไปศึกษาเรื่องนี้กันครับ…


    1. ต้นกำเนิดของ American Airlines

    หลังจากพี่น้องตระกูลไรท์ สร้างเครื่องบินลำแรกของโลกได้สำเร็จในปี 1903 ธุรกิจการบินในสหรัฐอเมริกาก็เริ่มต้นขึ้น

    ในยุคนั้นสายการบินต่างๆ ยังเป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีจำนวนมาก และแข่งขันกันตามกำลังที่ตัวเองมี

    จนกระทั่งปี 1929 นั้น บริษัท Aviation Corporation คิดอยากจะสร้างสายการบินที่มีขนาดใหญ่ จึงเริ่มต้นเข้าซื้อกิจการสายการบินเล็กๆ เหล่านั้น

    ในที่สุดก็สามารถรวบรวมสายการบินกว่า 80 แห่งได้สำเร็จในปี 1930 แล้วก็กำเนิดเป็นสายการบินขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า American Airways

    ก่อนที่ในปี 1934 จะเปลี่ยนชื่อมาเป็น American Airlines จนถึงปัจจุบัน


    2. จุดเริ่มต้นแห่งความเสื่อมถอย…

    ว่ากันว่ายุครุ่งเรืองที่สุดของ American Airlines คือตั้งแต่ช่วงปี 1970 – 2000

    แต่แล้ว.. จุดเปลี่ยนสำคัญก็มาถึง เมื่อบริษัทตัดสินใจเข้าซื้อสายการบินที่ล้มละลาย Trans World Airlines ในช่วงต้นปี 2001

    แผนงานตอนเข้าซื้อก็คือ ซื้อสายการบินที่ถึงจะล้มละลาย แต่ยังมีผู้ใช้บริการอยู่ ช่วงแรกก็ยอมแบกรับหนี้สินแทน เพื่อเข้าไปปรับโครงสร้างใหม่

    แล้วถ้าฟื้นฟูกิจการของสายการบินนั้นขึ้นมาได้ กลุ่มบริษัท American Airlines ก็จะมีเขี้ยวเล็บที่น่ากลัวกว่าเดิม


    แต่ใครจะไปคิดว่า แทนที่จะได้ดำเนินงานตามปกติ กลับเกิดเหตุการณ์เครื่องบินชนตึกในเดือนกันยายนปีนั้นพอดี

    แถมยังเป็นเครื่องบินของ American Airlines ถึง 2 ลำ!!


    หลังเหตุการณ์นั้น ธุรกิจการบินได้รับผลกระทบโดยตรง ชาวอเมริกันเริ่มหลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยเครื่องบินโดยสาร แผนงานฟื้นฟูกิจการที่ซื้อมาก็เลยพังไม่เป็นท่า

    ตรงกันข้ามกับแผนที่วางไว้ American Airlines ต้องมาแบกรับทั้งหนี้ที่เพิ่มขึ้น เครื่องบินเก่าๆ และสหภาพแรงงานที่จัดการได้ยากยิ่ง

    ปัญหาต่างๆ ส่งผลให้ในอีก 10 ปีหลังจากนั้น สายการบินชื่อดังขาดทุนมากถึง 9 ปี

    และที่สำคัญก็คือการขาดทุนติดต่อกัน 4 ปีตั้งแต่ 2007-2010

    จนกระทั่งในปี 2011 เมื่อดูเหมือนจะไปต่อไม่ไหว ผู้บริหารต้องยื่นเรื่องขอศาลคุ้มครองทรัพย์สิน

    และสายการบินใหญ่อายุเกือบ 80 ปี ก็เข้าสู่กระบวนการล้มละลายในที่สุด


    3. ปล่อยให้ล้มไป แล้วธุรกิจจะหาทางไปต่อได้เอง…

    หลังจากยอมเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย เพื่อขอคุ้มครองทรัพย์สินที่มีอยู่ ให้สามารถดำเนินธุรกิจการบินต่อไป

    รวมถึงการเจรจาพักหนี้ชั่วคราว แลกกับข้อแม้ที่ว่า “จะต้องปรับปรุงโครงสร้างบริษัทใหม่”


    ตามมาด้วยความเปลี่ยนแปลงมากมายในปี 2012 เช่น..

    การยกเลิกเส้นทางบินที่ไม่ทำกำไร หรือสร้างรายได้น้อย

    ตามมาด้วยการปลดระวางเครื่องบินเก่าทิ้งไป

    รวมถึงการเลิกจ้างพนักงานกว่า 11,000 คน!!


    แต่ความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุด การยอมให้ US Airways สายการบินอันดับ 5 ของสหรัฐฯ ในขณะนั้น เข้ามาควบรวมกิจการ

    เมื่อ American Airlines สายการบินอันดับ 3 ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 18%

    รวมกับสายการบิน US Airways สายการบินอันดับ 5 ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 10%

    อาจจะฟังดูแปลกๆ ที่บริษัทเล็กกว่าที่บริหารงานได้ดี มาเข้าซื้อบริษัทใหญ่กว่าที่กำลังพังจากภายใน

    แต่นั่นก็ทำให้เกิดเป็นสายการบินใหม่ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในสหรัฐที่ 28% และมีจำนวนผู้โดยสารมากที่สุดในโลก

    โดยยังใช้ชื่อ American Airlines ที่ยังคงมีแบรนด์เข้มแข็งและขายได้ แต่ทีมบริหารจะต้องเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่จากทาง US Airways


    4. American Airlines กลับมาผงาดอีกครั้ง!!

    ในปี 2013 สายการบิน American Airlines จึงมาพร้อมกับโลโก้ใหม่ พร้อมกับรูปแบบการให้บริการแบบใหม่ (ที่ทำตัวเหมือนสายการบินโลว์คอสมากขึ้น)

    เป็นสัญญาณถึงลูกค้าและนักลงทุนว่า.. American Airlines นั้นเปลี่ยนไปแล้ว!!

    เมื่อพวกเขาสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปได้ จากสายการบินที่ขาดทุนติดๆ กัน ในที่สุดก็กลับมายืนได้ด้วยตัวเอง

    แม้จะมีเสียงบ่นจากผู้โดยสารบ้างว่า สายการบินไม่จัดเต็มเหมือนเดิม บริการหลายๆ อย่างก็ต้องจ่ายเงินซื้อเพิ่มเติม

    แต่ถ้ามองจากตัวเลขของการเติบโตแล้ว ผู้โดยสารกลับเติบโตขึ้นในทุกๆ ปี ส่งผลให้รายได้และกำไรมากขึ้นตามไปด้วย


    สำหรับนักลงทุน ราคาหุ้นที่เคยซื้อขายกันในปี 2012 แบบต่ำเตี้ยเรี่ยดินที่ 0.3 ดอลลาร์ต่อหุ้น

    ในปี 2018 ก็ขึ้นมาทำจุดสูงสุดที่ 58 ดอลลาร์ต่อหุ้น เป็นการพุ่งขึ้นเกือบ 200 เท่า!!


    ส่วนปีล่าสุด 2019 นั้น American Airlines สามารถทำรายได้สูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท มีกำไร 51,000 ล้านบาท

    และกลายเป็นสายการบินที่มีเครื่องบินมากที่สุดในโลก 957 ลำ

    แถมยังขนส่งผู้โดยสารปีละ 215 ล้านคน ซึ่งแน่นอนว่า พวกเขาเป็นสายการบินที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดในโลกอีกด้วย…


    -----------------------------------------------------

    ไม่พลาดทุกสาระน่าสนใจจาก Billion Mindset - แนวคิดพันล้าน

    กด Like และตั้งค่าติดดาว See First ไว้ด้วยนะ

    หรือติดตาม Billion Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง

    - เว็บไซต์ https://www.BillionMindset.com/

    - อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionmindset.ig/

    - ทวิตเตอร์ https://twitter.com/Billion_Twit

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (May 9) ‘ญี่ปุ่น’ แจกเงินภาคธุรกิจ ย้ายฐานหนี ‘จีน’ : อุตสาหกรรมทั่วโลกที่ล้วนพึ่งพาฐานการผลิตใน “จีน” เป็นหลักมาอย่างยาวนาน กำลังหวาดผวาอย่างหนักกับผลกระทบที่คาดไม่ถึงจากการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” ที่ส่งผลให้การผลิตและเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกต้องหยุดชะงักลง จนหลายประเทศได้บทเรียนแล้วว่า การพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไปอย่างประเทศจีน อาจนำมาซึ่งความเสียหายในระยะยาวได้

    เจแปนไทมส์รายงานว่า “รัฐบาลญี่ปุ่น” ได้เปิดตัวโครงการเงินอุดหนุนภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมให้บริษัทย้ายฐานการผลิตออกจากจีนไปยังประเทศอื่น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากที่ภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นได้รับความเสียหายอย่างหนัก เนื่องจากพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจีนมากเกินไป

    โครงการดังกล่าวมีวงเงินอุดหนุนราว 23,500 ล้านเยน นับเป็นส่วนหนึ่งของแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลญี่ปุ่น โดยจะมีการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่บริษัทเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ การเคลื่อนย้าย และการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในกลุ่มประเทศอาเซียน

    โครงการนี้ได้เริ่มขึ้นหลังจากภาคอุตสาหกรรมหลายประเภท โดยเฉพาะผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นประสบปัญหาอย่างหนัก เนื่องจากขาดแคลนชิ้นส่วนการผลิตจากการปิดโรงงานในประเทศจีน ข้อมูลของกระทรวงการคลังญี่ปุ่นระบุว่า การนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์จากจีน คิดเป็น 36.9% ของการนำเข้าของญี่ปุ่นในปี 2019 ขณะที่การนำเข้าชิ้นส่วนโทรศัพท์จากจีน ก็คิดเป็น 85.5% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดของญี่ปุ่น

    เจ้าหน้าที่กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ระบุว่า “ก่อนจะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัส ก็มีบริษัทญี่ปุ่นที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ไปยังภูมิภาคอาเซียนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งโครงการเงินอุดหนุนนี้จะช่วยให้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน”

    นอกจากความกังวลเรื่องการหยุดชะงักของการผลิตในจีนแล้ว การย้ายฐานไปยังอาเซียนยังช่วยหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่าง ๆ ของภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น การประท้วงต่อต้านญี่ปุ่น การเรียกร้องขึ้นค่าแรง รวมถึงภาษีสินค้าต่าง ๆ ที่อาจเพิ่มสูงขึ้นจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่กำลังจะปะทุอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมของญี่ปุ่นอย่างแน่นอน

    ทั้งนี้ บริษัทญี่ปุ่นมีความต้องการย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคอาเซียน มาตั้งแต่ช่วงปี 2010 ภายใต้ยุทธศาสตร์ “จีนบวกหนึ่ง” (China Plus One) โดยการลดสัดส่วนการพึ่งพาจีน ทั้งในการลงทุนและการประกอบธุรกิจลง จากความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูง

    นอกจากโครงการเงินอุดหนุนดังกล่าว รัฐบาลญี่ปุ่นยังมีโครงการช่วยเหลืออีก 220,000 ล้านเยน เพื่อส่งเสริมการผลิตสินค้าที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าอย่างมากจากต่างประเทศ โดยเม็ดเงินดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดให้บริษัทญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตกลับเข้ามาในประเทศ

    โดยเฉพาะบริษัทผลิตสินค้าจำเป็นอย่าง “หน้ากากอนามัย” และ “เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ” โดยบริษัทเหล่านี้จะได้รับเงินอุดหนุน หากมาลงทุนเปิดโรงงานใหม่ หรือเพิ่มกำลังการผลิต โดยรัฐบาลจะอุดหนุนราว 2 ใน 3 ของเม็ดเงินลงทุนสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ และจะอุดหนุน 3 ใน 4 สำหรับบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งโครงการช่วยเหลือทั้ง 2 โครงการนั้นอยู่ในงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2020 รวม 25.69 ล้านล้านเยน

    “ทากาฮิโระ ฟูจิโมโตะ” ศาสตราจารย์ ด้านเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว ระบุว่า โครงการเงินอุดหนุนภาคธุรกิจเพื่อย้ายฐานการผลิตนั้น จะช่วยให้ผู้ผลิตญี่ปุ่นสามารถสร้างความสมดุลในการผลิตได้ดีขึ้นในระยะยาว ระหว่างญี่ปุ่น-จีน และอาเซียน อย่างไรก็ดี รัฐบาลควรต้องคำนึงถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของบริษัท หากมีการย้ายฐานการผลิต “สิ่งสำคัญคือการทำระบบการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ และสามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับภัยพิบัติได้”

    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

    https://www.prachachat.net/world-news/news-461661

    เพิ่มเติม

    - Japan prods firms to leave China, affecting ties with Beijing and Washington: https://www.japantimes.co.jp/news/2...kyo-china-us-relations-business/#.Xra9qS9h3R0

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สหรัฐ : ฮันติงตันบีช Huntington Beach แคลิฟอร์เนีย ผู้ประท้วงกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในวันเสาร์ เพื่อกดดันให้รัฐเปิดหาด หลังจากรัฐปิดหาดเพราะอยู่ในช่วงระบาดของไวรัส และมีการผ่อนปรนเมื่ออาทิตย์ก่อนให้ชาวอเมริกันลงหาดได้ แต่ผู้มาเที่ยวหาดกลับปาตี้ อาบแดด มั่วสุมเปิดเพลงอย่างแออัด ไม่เว้นระยะห่าง ทำให้รัฐสั่งปิดอีกครั้ง และนำมาสู่การประท้วง
    ยอดติดเชื้อแคลิฟอเนียร์ 66,687เสียชีวิต2,691ราย
    ยอดติดเชื้อสหรัฐ 1,347,309 เสียชีวิต 80,037 ราย

    คลิปและภาพเพิ่ม


     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แบ่งปันจาก กระแสเอเชียใต้ - South Asian News

    อินเดียเปิดตัวแอพเฝ้าระวังโควิด19
    .
    หลังจากที่รัฐบาลอินเดียเริ่มมาตรการผ่อนปรนการปิดเมืองโดยมีการจัดโซนเมืองต่าง ๆ เป็นเขต สีแดง สีส้ม สีเขียว เพื่อให้มีการกำหนดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะให้บริการได้หลังปิดเมืองมาเดือนกว่า
    .
    ตอนนี้ทารัฐบาลอินเดียได้มีการจัดทำแอพลิเคชั่นขึ้นมาเฉพาะในชื่อ "อโรคยา เสตู" หรือ แปลเป็นภาษาไทยง่าย ๆ "สะพานแห่งสุขภาพ" เป็นคำมาจากภาษาสันสกฤต โดยแอพนี้ใช้เพื่อติดตามสถานการณ์โควิด19ในอินเดีย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้รู้ข้อมูลหลาย ๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่และตำแหน่งที่ตัวเองอยู่
    .
    เป้าหมายหลักของแอพนี้เลยคือบอกให้คนใช้งานรู้ว่าตัวเองอยู่ในความเสี่ยงมากน้อยเพียงใดในการจะติดเชื้อไวรัสโควิด19 โดยแอพนี้ได้รับการพัฒนาโดยศูนย์สารสนเทศแห่งชาติของอินเดียที่อยู่ภายใต้กระทรวงเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศ
    .
    แอพนี้จะดึงข้อมูลตำแหน่งจีพีเอสและบลูทูธของผู้ใช้เพื่อวิเคราะห์วิเคราะห์ว่าผู้ใช้งานนั้นอยู่ใกล้กับผู้ติดเชื้อก่อนหน้านี้มากน้อยแค่ไหน หรือโอกาสสัมผัสกับผู้ติดเชื้อไปแล้วหรือไม่ ถ้าเกิดความเสี่ยงแอพจะแจ้งเตือนทันที
    .
    นอกจากนี้แอพยังทำหน้าที่ในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ 'ดีที่สุด' สำหรับผู้ใช้งานเพื่อให้สามารถรับมือกับการระบาดของเชื้อไวรัสในพื้นที่ได้อย่างถูกวิธี และร่วมเป็นหูเป็นตาช่วยรัฐบาลในการจัดการกับปัญหา
    .
    โดยแอพตัวนี้ปัจจุบันสามารถดาวโหลดได้แล้วทางช่องทางมือถือทุกรุ่น โดยประกอบด้วย 11 ภาษาด้วยกันทั้งอังกฤษ ฮินดี ปัญจาบี คุชราตี และอื่น ๆ โดยผู้ใช้งานต้องอนุญาติให้แอพเข้าถึงตำแหน่งที่ตั้งของตัวเอง
    .
    โดยตอนนี้ในกูเกิลเพลสตอร์นั้นมีผู้โหลดใช้แอพนี้ไปมากถึงเกือบ 600,000 คนแล้ว และรัฐบาลก็บังคับให้ข้าราชการและพนักงานของรัฐทุกคนโหลดแอพนี้ไว้ใช้ รวมถึงขอความร่วมมือกับภาคเอกชนให้บอกพนักงานให้โหลดแอพนี้ด้วย
    .
    รัฐบาลอินเดียคาดหวังว่าแอพนี้จะช่วยให้การติดตามหาผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อทำได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นเพื่อลดการกระจายตัวของไวรัส อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีและเสรีภาพตั้งข้อกังวลว่าแอพนี้อาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และจะเป็นปัญหาหากข้อมูลรั่วไหลออกนอกระบบ
    .
    ยังไงคนไทยที่อยู่ในอินเดียก็ลองโหลดแอพนี้มาลองใช้ดูนะครับ น่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย
    .
    #กระแสเอเชียใต้ #อินเดีย #แอพพลิเคชั่น #ติดตาม #สิทธิ #โควิด19

     

แชร์หน้านี้

Loading...