ติดตามสถานะการณ์

สาธารณสุขไทยยืนยัน กรณีพบผู้ป่วยชาวจีนที่ "หัวหิน" แค่เข้าข่ายสอบสวนโรค ยังไม่ใช่ผู้ป่วยไวรัสสายพันธุ์ใหม่

 

สสจ.เชียงใหม่เข้มต่อเนื่องมาตรการสกัดโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จากเมืองอู่ฮั่น พร้อมร่วมสนามบินเชียงใหม่เพิ่มมาตรการ พบผู้โดยสารจากเมืองอู่ฮั่นกลับประเทศจีนตกค้างอยู่เชียงใหม่กว่า300คนหลังปิดเมือง เร่งช่วย
คลิก>>https://mgronline.com/local/detail/9630000008095
#MGROnline #ไวรัสโคโรนา

 

ทั้งนี้ กรมควบคุมโรค มีความพร้อมในการรับมือทุกด้าน แต่ประชาชนต้องใช้ความระมัดระวัง เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส และขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด #ไวรัสโคโรนา #ไวรัสโคโรน่า #ไวรัสอู่ฮั่น

 

แพทย์ คนแรก! เสียชีวิต #ไวรัสโคโรน่า
สาธารณสุขเมืองอู่ฮั่น แถลงนายแพทย์ เหลียงอู่ตง หมอศัลยแพทย์อายุ 62 ที่โรงพยาบาลซินหัว ในมณฑลหูเป่ย เสียชีวิตเช้าวันนี้ เหตุร่างกายล้มเหลว จากการรักษาการติดไวรัสโคโรน่า 2019 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นับเป็นบุคลากรทางการแพทย์ รายแรก #RIP ที่เสียชีวิตในพื้นที่ระบาดหนัก ที่มณฑลหูเป่ย ยอดรวมที่ 39 (ยอดเสียชีวิตยังไม่อัพเดท) / @bancha333

 

ดูแลป้องกันตัวเองกันด้วยนะคะ อย่าลืมสวมหน้ากาก หมั่นล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงสถานที่คนหนาแน่นพลุกพล่าน #ไวรัสโคโรนา #ไวรัสโคโรน่า #ไวรัสอู่ฮั่น
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ประกาศการแจ้งเตือนระดับ 3 หลีกเลี่ยงการเดินทาง พร้อมเปิดเผยรายชื่อ 13 พื้นที่ ภายหลังสาธารณรัฐประชาชนจีน ประกาศให้เป็นพื้นที่ควบคุมการเดินทางเข้า-ออก เนื่องจากมีการระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งเพิ่มขึ้นอีก 8 พื้นที่ จากเดิมที่มีเพียง 5 พื้นที่ ดังนี้
1. อู่ฮั่น
2. จือเจียง
3. เอ้อโจว
4. ชื่อปี้
5. หวงกัง
6. ลีฉวน
7. จิ่นโจว
8. เฉียนเจียง
9. เซียนเถา
10. หวงสือ
11. เสียนหนิง
12. เสี้ยวก่าน
13. เอินซือ
ทั้งนี้ ผู้ที่มีประวัติเดินทางไปในพื้นที่ข้างต้น และเมืองกว่างโจว หากมีไข้และอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ภายใน 14 วัน หลังเดินทางกลับถึงประเทศไทย ขอให้สวมหน้ากากอนามัยและรีบปรึกษาเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และสาธารณสุขทันทีหรือ โทร.1422 เมืองอื่นๆ ยังไม่มีการควบคุมการเดินทางเข้า-ออก การเดินทางและไม่มีการตรวจคัดกรอง
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดพบหญิงชาวจีนเดินทางมาจากอู่ฮั่น ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่าเพิ่มอีก 1 รายในไทยที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์.

 

ด่วน ! รัฐบาลมาเลเซีย ยืนยันว่าพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา เป็นครั้งแรก จำนวน 3 คน โดยทั้งหมดเป็นชาวจีนและมีความเกี่ยวข้องข้องผู้ติดเชื้อที่ตรวจพบในสิงคโปร์ก่อนหน้านี้ ซึ่งผู้ติดเชื้อทั้งหมดยังคงมีอาการทรงตัว
#ติดตามสถานการณ์ #ไวรัสมรณะ #เชื้อโคโรน่า #อู่อั่น #จีน
- สำนักข่าว T้haiPBS

 

ด่วน ! ยืนยันแล้ว ผลตรวจนักท่องเที่ยว
ชาวจีนที่หัวหิน ติดเชื้อไวรัสมรณะโคโรน่า

 

กรณีผู้ป่วยที่หัวหิน
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยังไม่ยืนยันว่าเป็น #ไวรัสอู่ฮั่น แจงต้องรอผล 3 ด้าน คือ ด้านระบาดวิทยา ด้านคลินิก และผลแล็บ ก่อนนำเข้าคณะทำงานพิจารณาร่วมกัน
หากยืนยันจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการแน่นอน ไม่มีปิดข่าว
นอกจากนี้ ยังมีผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนโรคอีกกว่า 20 ราย ซึ่งมีโอกาสทั้งเป็นและไม่เป็น กำลังอยู่ระหว่างทยอยการติดตามและพิจารณา ดังนั้น ขอให้รอติดตามผลอย่างเป็นทางการจะดีที่สุด อย่าเชื่อข่าวที่ลือเอง
#Qol #MGROnline
https://mgronline.com/qol/detail/9630000008143

 

‘3 เหล่าทัพจีน’ ส่งแพทย์ทหารลงพื้นที่อู่ฮั่น เร่งรับมือ ‘ไวรัสโคโรนา’
จีนส่งแพทย์ทหาร 450 คน รวมถึงผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ต่อสู้กับโรคซาร์สหรืออีโบลาไปยังนครอู่ฮั่น เมืองเอกของมณฑลหูเป่ยทางตอนกลางของจีน ซึ่งได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างหนัก
บุคลากรทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัยการแพทย์ของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน (PLA) จำนวน 3 ทีม เดินทางถึงนครอู่ฮั่นโดยเครื่องบินทหารเมื่อคืนวันศุกร์ (24 ม.ค.)
หน่วยงานทหารระบุว่า ทีมงานซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพระบบทางเดินหายใจ โรคติดเชื้อ การควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล และหน่วยบริการผู้ป่วยหนัก จะถูกส่งไปยังโรงพยาบาลอู่ฮั่น ซึ่งมีผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนาจำนวนมาก
วันเสาร์ (25 ม.ค.) หน่วยงานสาธารณสุขจีนรายงานจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV) ที่ได้รับการยืนยันแล้ว 1,287 ราย โดยมีผู้ป่วยขั้นวิกฤติ 237 ราย จากสถิติเมื่อเที่ยงคืนวันศุกร์ (24 ม.ค.)
ทั้งนี้ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนระบุว่าสถานการณ์โรคปอดอักเสบสายพันธุ์ใหม่นี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วทั้งสิ้น 41 ราย

 

สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ยกระดับความพร้อมรับมือโรคปอดอักเสบจากเมืองอู่ฮั่น เผยเชียงใหม่พบผู้ต้องสงสัยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค 6 ราย
>> อ่านต่อได้ที่ https://www.cm108.com/w/19871/

 

(25/1/63)
...นายอัครพันธ์ ทองสลวย ผู้อำนวยการท่าอากาศยาน แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ระบุว่า ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยที่ท่าอากาศยานมีแพทย์ และด่านควบคุมโรคติดต่อ คอยตรวจ และคัดกรองผู้ป่วย พร้อมประสานกับหน่วยตรวจคนเข้าเมือง ถ้าผู้โดยสารที่มาจากประเทศจีนก็ขอให้ตรวจสอบอย่างละเอียด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ขณะที่โรงพยาบาลต่างๆ ในจังหวัดเชียงราย ต่างก็จัดทีมแพทย์ และผู้เกี่ยวข้องคอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเช่นกัน
#ThaiPBSNorth #ThaiPBS #ThaiPBSNews

 

(Jan 25) นักวิจัยเจาะธารน้ำแข็งที่ทิเบต พบไวรัสที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน : ทีมนักวิจัยนำโดย Zhi-Ping Zhong ค้นพบไวรัสที่ถูกกักไว้ในธารน้ำแข็งที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทิเบต เป็นไวรัสที่ไม่เคยถูกค้นพบที่ไหนมาก่อน พวกมันถูกแช่แข็งไว้ในธารน้ำแข็งมานานถึง 15,000 ปี

จนกระทั่งในปี 2558 นักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐและจีน เจาะลึกลงไปในธารน้ำแข็ง 50 เมตรแล้วนำตัวอย่างน้ำแข็งโบราณออกมา หลังจากผ่านไป 5 ปี นักวิจัยเหล่านี้ทำการศึกษาน้ำแข็งเป็นผลสำเร็จ และค้นพบไวรัสโบราณในธารน้ำแข็ง รวมถึงกลุ่มไวรัส 28 กลุ่มที่วงการวิทยาศาสตร์ไม่เคยพบกันมาก่อน

ทั้งนี้ ไม่มีขั้นตอนพิเศษที่ใช้ในการหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนขณะทำการเจาะการขนย้ายหรือการขนส่งแกนน้ำแข็ง เพียงแต่เก็บตัวอย่างไว้ในห้องอุณหภูมิ -5 องศาเซลเซียส ทำให้มีการปนเปื้อนของ จุลินทรีย์จากภายนอก ทำให้ต้องเสียเวลาในการกำจัดออกไป

รายงานฉบับนี้มีชื่อว่า Glacier ice archives fifteen-thousand-year-old viruses (น้ำแข็งของธารน้ำแข็งเก็บรักษาไวรัสอายุ 15,000 ปี) เผยแพร่ใน BioRxiv แพล็ตฟอร์มสาธารณะเผยแพร่ผลงานวิจัยด้านชีววิทยา

การศึกษาไวรัสแช่แข็งมีจุดประสงค์สำคัญ คือเพื่อเตรียมรับกับสถานการณ์ที่ธารน้ำแข็งกำลังจะละลายเพราะภาวะโลกร้อน และจะปลดปล่อยไวรัสที่ไม่เคยพบกันมาก่อนออกมาสู่โลกภายนอก ซึ่งอาจก่อให้เกิดภัยคุกคามร้ายแรงต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาและทำความเข้าใจไวรัสโบราณเสียก่อน เพื่อรับมือกับสถานการณ์คาดไม่ถึงที่อาจเกิดขึ้นได้
Source: Posttoday
https://www.posttoday.com/world/612648

เพิ่มเติม
- 15,000 year-old viruses locked in a Tibetan glacier could be released : https://www.foxnews.com/science/viruses-tibetan-glacier-climate-change

 

BILL Gates คาดการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสที่รุนแรงในประเทศจีนซึ่งสามารถฆ่าคนได้ 33 ล้านคนทั่วโลกในช่วงหกเดือนแรก โลกกำลังตกอยู่ในอันตรายจากซุปเปอร์เชื้อโรคที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วโลกของเรา และเราควรเตรียมพร้อมเช่นเดียวกับที่เราทำสงคราม
25/1/2020
Wuhan updates
เวลาจีน 08:00 น.
• ผู้ติดเชื้อที่คอนเฟิร์มแล้ว 1,287 คน
• รักษาหายและออกจาก รพ แล้ว 40 คน
• เสียชีวิต 41 ราย
ตอนนี้เข้าสู่ระยะที่ 2 ของโรคติดต่อ คาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
Jin Wei เธอเป็นแพทย์ในเมือง Wuhan, Han Hou area. เธอยืนยัน ว่า มีผู้ติดเชื้อกว่า 90,000 ราย และเชื้่อได้พัฒนาไปสู่ เจเนอเรชั่นที่สอง แล้ว สามารถติดต่อได้ 1:14 สถานการณ์โดยสรุป เลวร้ายมาก ขาดแคลนเวชภัณฑ์ต่างๆอย่างรุนแรง.
และเมื่อ30นาทีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้ปิดกั้นสัญญาณอินเตอร์เนทแล้ว คลิปต่างๆที่เล็ดรอดมาได้ จะสามารถส่งผ่านโดย VPN เท่านั้น
Cr.. https://t.co/zsZCRJopsA
Cr.. https://t.co/DLG6V6rCQ5
cr.. https://t.co/diNnO93OQ7
#ไวรัสโคโรนา
#nCoV2019
#ไวรัสอู่ฮั่น
https://m.facebook.com/groups/1864894830480662?view=permalink&id=2213920942244714

 

นักวิทยาศาสตร์ด้านสุขภาพของสหรัฐฯ คาดวัคซีนต้นแบบสำหรับป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV) อาจพร้อมสำหรับการทดสอบระยะแรกในคนในอีก 3 เดือน

 

ย้ำกันอีกที ‼ไทยพบผู้ป่วยยืนยัน #ไวรัสโคโรนา #WuhanCoronovirus ตอนนี้ ๕ ราย(เป็นชาวจีน ๔ ราย คนไทย ๑ ราย)
๓ ราย อาการหายดีออกจากโรงพยาบาลแล้ว อีก ๒ รายอาการดีขึ้น ไม่มีรายไหนรุนแรงวิกฤต
#ไม่มียารักษาเฉพาะไม่ได้แปลว่าจะรักษาไม่ได้
ไทยนับเป็นประเทศแรกที่สามารถยืนยันพบผู้ป่วยติดเชื้อ “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ๒๐๑๙” รายแรกนอกพื้นที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ทางตอนกลางของจีน ซึ่งเป็นพื้นที่ระบาดของโรค และผู้ป่วยเป็นชาวจีนเดินทางมาจากพื้นที่ดังกล่าว เบื้องหลังการเฝ้า “ระวัง คัดกรอง ป้องกัน” จนถึงการที่สามารถยืนยันเชื้อไวรัสได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะข้อมูลที่ค่อนข้างจำกัดจากจีน แต่ “ทีมไทย” ก็สามารถทำได้แม้ไม่มีตัวอย่างเชื้อจากประเทศจีนมาเทียบเคียง
รองหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยสุภาภรณ์ วัชรพฤษาดี เปิดเผยว่า หลังจากที่กรมควบคุมโรค (คร.) ได้คัดกรองพบผู้เข้าเกณฑ์สงสัยต้องเฝ้าระวังที่สนามบินสุวรรณภูมิ และนำตัวเข้ารับการรักษาที่ห้องแยกโรคความดันลบสถาบันบำราศนราดูร และตรวจเชื้อเบื้องต้นไม่พบเชื้อที่ก่อโรคระบบทางเดินหายใจ ๓๓ ชนิดที่รู้จักมาก่อน จึงส่งตัวอย่างเชื้อให้ศูนย์ทำการตรวจโดยระบุโจทย์ว่า “สงสัยจะเป็นโรคใหม่ในจีน ซึ่งไม่รู้โรคอะไร”
ศูนย์ดำเนินการตรวจมุ่งไปที่ไวรัส ๒ ตระกูล คือ โคโรนา และอินฟลูเอนซาเนื่องจากช่วงเวลานั้นจีนยังไม่เปิดเผยว่าเป็นไวรัสตระกูลโคโรนา โดยใช้วิธีพิเศษเพราะการตรวจวิธีปกติไม่สามารถตรวจเจอเชื้อ คือเพิ่มปริมาณไวรัสแบบทั้งตระกูล (Family wide PCR) แล้วถอดรหัสพันธุกรรม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงในการตรวจต่อ ๑ ตัวอย่าง มีมูลค่า ๑.๒ แสนบาท นำมาเปรียบเทียบรหัสพันธุกรรมจากธนาคารรหัสพันธุกรรมโลก
ในวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๓ ไทยพบว่าเป็นเชื้อไวรัสตระกูลโคโรนา แต่ไม่สามารถระบุสายพันธุ์ย่อยได้ แต่พบว่ามีความคล้ายคลึงกับเชื้อที่ก่อโรคซาร์ส เพราะไม่มีรหัสพันธุกรรมของสายพันธุ์นี้อยู่ในธนาคาร กระทั่งหลังจากไทยพบลักษณะเชื้อเช่นนี้ ๒ วัน ในวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๓ ทางการจีนนำรหัสพันธุกรรรมไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่พบในเมืองอู่ฮั่นใส่ในธนาคาร และระบุว่าเป็นไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ๒๐๑๙ ทำให้ไทยสามารถนำรหัสพันธุกรรมของไวรัสมาเทียบเคียง และพบว่าตรงกับที่ตรวจเจอจากผู้ป่วยชาวจีนในไทย
“เท่าที่มีข้อมูลตอนนี้ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ๒๐๑๙ นี้ มีรหัสพันธุกรรมใกล้เคียงกับเชื้อที่พบในค้างคาวมากที่สุดที่ประมาณ ๘๙% ซึ่งเป็นค้างคาวมงกุฎซึ่งพบในจีน ๒ สปีชีส์ คือค้างคาวเกือกม้าของจีน (Rhinolophus Sinicus) ไม่พบในไทย และค้างคาวมงกุฎยอดสั้นเล็ก (Rhinolophus Thomasi) พบในไทย ส่วนที่เชื้อจากค้างคาวจะอาศัยสัตว์ทะเลเป็นตัวกลางปรับเปลี่ยนสารพันธุกรรม ในการมาสู่คนนั้นค่อนข้างยากเพราะค้างคาวเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม การจะเป็นตัวกลางก็น่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหมือนกัน แต่ก็อยู่ที่ความสามารถของตัวเชื้อด้วย” สุภาภรณ์กล่าว
สุภาภรณ์บอกด้วยว่า จากการที่ศูนย์ได้ร่วมกับกรมควบคุมโรค กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการสำรวจไวรัสที่พบในสัตว์ในประเทศไทยตั้งแต่ปี ๒๕๕๓-๒๕๖๒ ใน ๙ จังหวัด ได้แก่ เลย ชลบุรี ราชบุรี เชียงใหม่ ฉะเชิงเทรา นครราชสีมา พังงา สระแก้ว และตราด โดยส่งตรวจในห้องแล็บกว่า ๔๒,๐๐๐ ตัวอย่าง พบว่าเป็นไวรัสที่รู้จักแล้ว ๔๐๒ ชนิด และไวรัสใหม่ที่ไม่รู้จัก ๔๕๘ ชนิด ส่วนใหญ่พบในค้างคาว และเป็นไวรัสตระกูลโคโรนา ซึ่งแบ่งเป็น ๕ กลุ่ม ได้แก่
อัลฟา (AlphaCoV)
เบต้าโค เอ (BetaCov A)
เบต้าโค บี (BetaCov B)
เบต้าโค ซี (BetaCov C)
เบต้าโค ดี (BetaCov D)
โดยกลุ่มที่สนใจเป็นพิเศษคือ เบต้าโค บี ซึ่งกลุ่มเดียวกับที่ก่อให้เกิดโรคซาร์สและตัวที่ระบาดที่อู่ฮั่น ส่วนอัลฟายังไม่พบรายงานก่อโรคในคน ขณะที่ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย อธิบายว่า ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับแล้วว่าหายนะที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์มีส่วน หรือความเป็นไปได้ที่จะเกิดจากเชื้อโรคโดยเฉพาะไวรัสที่ส่งผ่านมาจากสัตว์โดยตรงสู่คน หรือมีตัวกลางจากแมลง ยุง เห็บ ไร ริ้น
ทั้งนี้เมื่อกว่า ๒๐ ปีที่แล้ว เริ่มเป็นที่รับทราบว่าไม่ต่ำกว่า ๖๐-๗๐% ของเชื้อก่อโรคในคนมีต้นตอจากสัตว์ทั้งสิ้น และมีศักยภาพในการทำให้เกิดโรคอุบัติใหม่ที่จะสร้างผลกระทบในวงกว้างทั้งจากการเกิดโรคระบาด และในการกระทบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากไวรัสที่สามารถผันแปรรหัสพันธุกรรม ซึ่งเอื้อต่อการตั้งตัวในสัตว์ต่างชนิดจากตระกูลแรกและเป็นหนทางสู่คนในที่สุด
การที่เชื้อจะเข้าคนได้นั้น จะต้องมีการสมยอมให้เชื้อผ่านเข้าเซลล์ และเนื้อเยื่อได้ แต่แม้จะมีการสมยอมก็ตามไม่ได้หมายความว่าจะต้องเกิดโรคหรือมีอาการเสมอไป ทั้งนี้กระบวนการที่ก่อให้เกิดโรคจำเป็นจะต้องมีขั้นตอนหลบหลีกจากระบบป้องกันภัยของคน และเมื่อมีการตั้งตัวโดยเริ่มขยายจำนวนได้แล้วจึงจะมีกลไกในการทำร้ายเซลล์ไม่ว่าจากการกระตุ้นให้มีการอักเสบมากเกินพอเหมาะพอควร หรือเป็นกระบวนการแฝงอาศัยอยู่ในเซลล์ดูดพลังงานจนเซลล์หมดกำลัง (bioenergetic failure) อีกทั้งไม่ยอมให้ระบบกำจัดสิ่งแปลกปลอมขจัดตัวเชื้อโรคออกจากเซลล์
“ความรุนแรง หรืออาการมีได้ตั้งแต่อาการน้อยมากจนแทบไม่รู้สึกถึงรุนแรงมาก กระทั่งถึงเสียชีวิต เมื่อมีการสมยอมเกิดมีอาการแล้วอาจจะยังตัดกันไม่ขาด ยังคงหลบซอกซอนอยู่ในร่างกายตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นที่เดิม และเกิดโรคซ้ำซ้อนขึ้นมา แม้ว่าจะผ่านไปหลายเดือนจนเป็นปีก็ตาม เช่น ในโรคไข้เลือดออกอีโบลา สมองอักเสบนิปาห์ และโรคซิการ์ โดยในระหว่างที่มีการสมยอมนั้นยังมีการแพร่ให้คนอื่นได้ และเป็นกระบวนการสำคัญอีกอย่างในการพัฒนาการแพร่กระจายของเชื้อโดยที่การติดต่อทางการหายใจ ถือเป็นขั้นตอนที่มีประสิทธิภาพที่สุดของเชื้อโรค และเชื้ออุบัติใหม่เหล่านี้ เนื่องจากคนไม่เคยสัมผัสมาก่อน ดังนั้นจะไม่มีภูมิคุ้มกันเลย ทำให้โรคอาจจะมีความรุนแรงมาก” ศ.นพ.ธีระวัฒน์กล่าว
ด้าน นสพ. ภัทรพล มณีอ่อน สัตวแพทย์ประจำกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม บอกว่า ผลจากการทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สิ่งเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามมาซึ่งส่งผลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์มี ๒ รูปแบบ คือ ภัยธรรมชาติ และโรคระบาดบางพื้นที่เกิดภัยธรรมชาติ บางพื้นที่เกิดโรคระบาดโรคติดต่อ และในบางกรณีเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะโรคระบาด จากข้อมูลพบว่าโรคติดต่ออุบัติใหม่ที่เกิดขึ้นกว่า ๗๐% มาจากสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ป่าถือเป็นแหล่งเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งหากอยู่ในตัวสัตว์ป่าเองจะไม่ก่อโรคหรือแสดงอาการเจ็บป่วยออกมา แต่หากเชื้อโรคเหล่านี้ติดต่อสู่มนุษย์หรือสัตว์เลี้ยงก็จะเกิดโรคและแสดงอาการเจ็บป่วยออกมา รวมถึงสามารถติดต่อสู่สิ่งมีชีวิตอื่นๆได้
ปัจจัยที่ทำให้เชื้อโรคจากสัตว์ป่าติดต่อสู่คน ได้แก่
๑. ถิ่นอาศัยถูกบุกรุก ทำลาย หรือรบกวน สัตว์ป่าไม่มีที่อยู่พฤติกรรมเปลี่ยน ออกมาอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับมนุษย์
๒. ภัยธรรมชาติที่ทำลายสมดุลของสภาพแวดล้อมระหว่างคน และสัตว์ป่า ทำให้ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลง เช่น อุทกภัย อัคคีภัย เป็นต้น
๓. อาชญากรรมสัตว์ป่า เป็นอีกปัจจัยคุกคามการอยู่รอดของมนุษยชาติที่สำคัญ เพราะสัตว์ป่าในขบวนการนี้มักถูกจับจากธรรมชาติ ถูกเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ถูกจำกัดพื้นที่กักขัง สัตว์จึงเกิดความเครียด เมื่อร่างกายสัตว์เกิดความเครียดภูมิคุ้มกันร่างกายจะลดลง โอกาสที่เชื้อโรคที่มีอยู่ในร่างกายจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น และโอกาสที่จะแพร่กระจายเชื้อก็มีมากขึ้นนั่นเอง
๔. การบริโภคสัตว์ป่า เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ โดยเฉพาะขั้นตอน และกระบวนการประกอบอาหาร เช่น การฆ่า ผ่า ชำแหละซากสัตว์ป่า มีโอกาสที่สัมผัสกับสารคัดหลั่งต่างๆ ของสัตว์ป่า เช่น เลือด น้ำลาย อุจจาระ ปัสสาวะ โดยในสารคัดหลั่งเหล่านี้สามารถตรวจพบเชื้อไวรัสต่างๆ ได้

 

ผลตรวจยืนยัน คนจีน ที่หัวหิน ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าจริง
จากกรณีพบนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเดินทางมาประเทศไทยเมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา จากนั้นเดินทางไปท่องเที่ยวที่ อ.หัวหิน และเข้าตรวจในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หลังพบว่าตนเองมีอาการป่วย มีไข้สูงและไอ ช่วงค่ำวันที่ 23 ม.ค ที่ผ่านมา แหล่งข่าวระดับสูงของจังหวัดรับแจ้ง มีผู้ป่วย เพศหญิง 1 ราย เดินทางมาจากแหล่งที่มีการระบาดที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน ซึ่งทางเจ้าหน้าทีมีการส่งตรวจเชื้อห้องปฏิบัติการ
ล่าสุดมีประกาศจากอำเภอหัวหิน เรื่องมาตรการคุมเข้มเฝ้าระวังผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019ที่เข้าพักโรงแรมในพื้นที่อำเภอหัวหิน ประกาศแจ้งให้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมทุกแห่งในพื้นที่ เฝ้าระวังผู้ป่วยและตรวจสอบการลงทะเบียนผู้เข้าพักหรือแบบ รร.3 ของนักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างละเอียด เพื่อคัดกรองการป้องกันโรคระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสานพันธ์ใหญ่ 2019
เนื่องจากในช่วงเทศกาลตรุษจีนจะมีนักท่องท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมากเดินทางมาท่องเที่ยว หากผู้สงสัยให้ดำเนินการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที สำหรับบรรยากาศการท่องเที่ยวใน อ.หัวหิน เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบพอสมควร หลังจากทางการจีนมีคำสั่งนักท่องเที่ยวงดเดินทางออกนอกประเทศเพื่อควบคุมสถานการณ์ ส่วนข้อมูลผู้ป่วยที่ อ.หัวหิน ขณะนี้มีการส่งต่อในสังคมออนไน์ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงก็จะทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวความตระหนักและมีวิธีการป้องกันตนเองมากขึ้น
แหล่งข่าวฝ่ายปกครองระดับสูงของ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ยืนยันรายงานการตรวจเชื้อในห้องปฏิบัติการ พบว่าผู้ป่วยชาวจีน 1 รายอายุ 73 ปี ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ใหม่ 2019

 

โคโรนาไม่กลัว กลัว Fake News
.
สูญเสียสติกันไปเท่าไรแล้ว กับ Fake News
.
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนให้รับข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือจากกระทรวงสาธารณสุข เพราะ ปัจจุบัน มีการสร้างความหวาดกลัวจากการปล่อยข่าวปลอมเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา ทั้งที่ตอนนี้สถานการณ์ยังควบคุมได้
.
อยากรู้เรื่องจริง อ่านที่ ข่าวจริงประเทศไทย มีแหล่งอ้างอิงถูกต้องทุกข่าว
.
❌ ไม่จริง สเปรย์พ่นปากอ้างฆ่าเชื้อไวรัสโคโรนา
❌ ไม่จริง ปิโตรเลียม เจลลี่ ป้องกันฝุ่น PM 2.5
.
#nnt #สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ #PRD01 #โคโรนา

 

ไวรัสวัคซีน2009กลายพันธุ์ตามล่า5จุดเสี่ยงรหัสพันธุกรรม
31 สิงหาคม 2552 - 07:00 น.


สำหรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่กำลังทดลองอยู่นี้เป็น "วัคซีนเชื้อเป็น" เมื่อพ่นเข้าไปในจมูกมนุษย์ไวรัสจะเจริญเติบโตได้ แต่ไวรัสจะอ่อนฤทธิ์มากจนไม่สามารถทำให้เกิดโรค ทำได้เพียงกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา

ดังนั้น การผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 เมดอินไทยแลนด์ จึงต้องระมัดระวังไม่ให้มีส่วนผสมของเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์ จนร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้ได้ หรือกลายพันธุ์ จนทำให้เกิดอาการไม่พึงปรารถนาอย่างอื่นในร่างกายมนุษย์ !?!

หัวเชื้อไวรัสดั้งเดิม (Pre-Master Seed Virus) ที่นำมาผลิตวัคซีนชุดนี้ถูกส่งตรงมาจากรัสเซียตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม ตัวแทนองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ก็เริ่มผลิตวัคซีนทันที โดยเริ่มจากขั้นตอนที่ 1 คือ เพาะเชื้อที่ได้จากรัสเซียให้มากขึ้น เพื่อทำเป็นเชื้อไวรัสตั้งต้น (Master Seed Virus) โดยฉีดเชื้อไวรัสดั้งเดิมเข้าไปในไข่บริสุทธิ์ปลอดเชื้อเฉพาะ หรือไข่เอสพีเอฟ (Specific Pathogen-Free : SPF) เพื่อเพิ่มจำนวน

จากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอน 2 คือ การทำไวรัสวัคซีน (Working Seed Virus) โดยใช้ไข่ปลอดเชื้อที่สั่งตรงมาจากเยอรมนี 350 ฟอง ตั้งเป้าหมายว่าไข่แต่ละฟองจะได้เชื้อไวรัสไปผลิตวัคซีนได้ประมาณ 100 โดส แต่ปรากฏว่าเมื่อเวลาผ่านไปกลับได้ปริมาณไวรัสจากไข่ไก่ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้หลายเท่า โดยผลิตวัคซีนได้ไม่ถึง 30 โดส หรืออาจได้เพียง 10-20 โดสเท่านั้น ทำให้มีการเร่งทำ "ไวรัสวัคซีน" ครั้งที่ 2 และในวันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา มีการฉีดเชื้อไวรัสตั้งต้นลงไปในไข่ปลอดเชื้อเยอรมันอีกครั้ง และกำลังรอว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร

แต่ระหว่างนี้...มีนักวิชาการแพทย์ออกมาให้ข้อมูลว่า เชื้อไวรัสที่ได้จากรัสเซียนั้น มหาวิทยาลัยมหิดลนำไปถอดรหัสพันธุกรรมแล้วพบว่า มีการผ่าเหล่าหรือเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรม 8 ตำแหน่ง หากนำมาผลิตวัคซีนอาจไม่ได้ผล ?!!

"คม ชัด ลึก" พยายามสืบหานักวิทยาศาสตร์ผู้รับผิดชอบการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสตัวนี้ จนพบว่า คือ พญ.อรุณี ธิติธัญญานนท์ ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล ที่มีประสบการณ์ทำงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสไข้หวัดใหญ่ ที่มีเพียงไม่กี่คนในประเทศไทย

พญ.อรุณีอธิบายว่า ยีนไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 มีทั้งหมด 8 ท่อน คือ PA, PB1, PB2, M, NS, NP, NA และ HA โดยมีสารพันธุกรรมเรียงกันอยู่ประมาณ 13,500 ตำแหน่งหรือเบส (BASE) ซึ่งมนุษย์มีอยู่ประมาณ 3,000 ล้านเบส

โดยปกติแล้วไวรัสไข้หวัดใหญ่จะมีการกลายพันธุ์ หรือเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมได้รวดเร็ว ดังนั้น การผลิตวัคซีนต้องนำสารพันธุกรรมมาถอดรหัสตรวจสอบว่า มีการกลายพันธุ์จากหัวเชื้อที่รัสเซียให้มาหรือไม่ ที่ผ่านมารัสเซียใช้หัวเชื้อของยีนชุดนี้ผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้ประชาชนมานานหลายปีแล้ว โดยเปลี่ยนแปลงเฉพาะยีนแท่งที่สำคัญ คือ เอช (HEMAGGLUTININ) กับ เอ็น (NEURAMINIDASE) ซึ่งการทำวัคซีนครั้งนี้ก็นำ เอช 1 เอ็น 1 จากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "influenza A (H1 N1) 2009" มาเป็นส่วนประกอบสำคัญ ส่วนอีก 6 ท่อนที่เหลือเป็นยีนที่รัสเซียทำให้อ่อนฤทธิ์ลงจนไม่สามารถเติบโตหรือกลายพันธุ์ได้ในร่างกายมนุษย์

ประมาณต้นเดือนสิงหาคม หลังจาก พญ.อรุณีได้รับมอบหมายให้ถอดรหัสพันธุกรรม "ไวรัสตั้งต้น" และ "ไวรัสวัคซีน" ที่ได้จากห้องทดลองวัคซีนขององค์การเภสัชกรรม โดยเลือกเฉพาะที่สำคัญประมาณ 5,000 เบสจาก 1.3 หมื่นเบส ปรากฏว่ายีนตำแหน่งที่สำคัญไม่มีการกลายพันธุ์ แต่เมื่อไปเปรียบเทียบกับรหัสพันธุกรรมในเจนแบงก์ (GenBank) หรือธนาคารที่เก็บฐานข้อมูลพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนโลก ก็พบการกลายพันธุ์ 8 เบสในยีน 4 ท่อน คือ

1.ท่อน PA พบ 2 เบส คือ D327E และ L342M
2.ท่อน PB1 พบ 3 เบส คือ D521A, Q686E และ G588A
3.ท่อน M พบ 1 เบส คือ S231D
4.ท่อน NS พบ 2 เบส คือ P23D และ T191K

เมื่อสอบถามไปยังผู้เชี่ยวชาญจากรัสเซียได้รับข้อมูลเพิ่มเติมว่า ใน 8 เบสที่คิดว่ากลายพันธุ์ข้างต้น มี 5 เบสที่รัสเซียรู้ว่ามีการกลายพันธุ์มาหลายปีแล้ว แต่ที่น่าสงสัยคือ 3 ตำแหน่งที่เหลือ ได้แก่ G588A, L342M และ T191K

"ล่าสุดพบว่าตำแหน่ง G588A และ L342M อาจไม่ได้กลายพันธุ์ แต่เป็นความผิดพลาดทางเทคนิค ที่เกิดขึ้นได้ระหว่างถอดรหัสพันธุกรรม ก็เลยมีแค่ 6 ตำแหน่งที่กลายพันธุ์ โดย 5 ตำแหน่งไม่สำคัญเพราะรัสเซียก็พบเช่นกัน ส่วนตัวที่เหลือ คือ T191K ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการตรวจซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ประมาณต้นเดือนสิงหาคมจึงจะรู้ผล เป็นที่รู้กันว่าไวรัสไข้หวัดใหญ่กลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ตำแหน่งสารพันธุกรรมสำคัญ ที่จะทำให้วัคซีนอ่อนฤทธิ์ลงต้องไม่กลายพันธุ์ ซึ่งรัสเซียส่งข้อมูลให้ว่ามี 5 ตำแหน่ง คือ ท่อน PA ในตำแหน่งที่ 28 และ 341 ท่อน PB ตำแหน่ง 265 และ 591 และท่อน PB2 ตำแหน่ง 478 ช่วงนี้กำลังถอดรหัสพันธุกรรมของยีนไวรัสทั้งหมด 1.3 หมื่นเบส ของยีนทั้ง 8 ท่อนในหัวเชื้อไวรัสดั้งเดิมจากรัสเซีย และไวรัสวัคซีนที่ผลิตในประเทศไทยอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความมั่นใจสูงสุด และสามารถผลิตวัคซีนได้ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้" พญ.อรุณี ยืนยัน

ขณะที่นักวิชาการด้านไวรัสวิทยาและวัคซีน จากสถาบันวิจัยชื่อดังรายหนึ่งให้ความเห็นว่า แม้การถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสวัคซีน ที่ได้จากไข่ปลอดเชื้อรุ่นแรกจะพบการกลายพันธุ์ไปแค่ 8 ตำแหน่ง จาก 5,000 ตำแหน่ง ดูเหมือนเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมากๆ แต่ก็ควรมีการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อไวรัสในไข่ปลอดเชื้อทุกรุ่น ไม่ควรทำเพียงรุ่นแรกเท่านั้น โดยเฉพาะตำแหน่งที่ควบคุมไม่ให้ไวรัสเจริญเติบโตได้ในร่างกายมนุษย์ ต้องคอยเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา

ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.oknation.net/blog/bypunnee/category/FLU2009

https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/26521

 

Breaking news!
ฮ่องกงประกาศหยุดเรียนเพิ่มอีก 2 สัปดาห์ หลังวันหยุดตรุษจีน หวั่นไวรัสยังคงระบาด
ฮ่องกงได้ประกาศวันหยุดเพิ่มให้กับนักเรียนระดับชั้น อนุบาล, ประถมและมัธยมเพิ่มอีก 2 อาทิตย์หลังวันหยุดเทศกาลตรุษจีน
โดยโรงเรียนจะเปิดอีกครั้งในวันที่ 17 กุมภาพันธ์แทนวันเดิมที่กำหนดไว้วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2020
Source :
#ข่าวฮ่องกง #khaohongkong

 

เรื่องนี้ก็น่าคิด...หดหู่ คลิปนาทีผู้ป่วย ติดเชื้อไวรัสโคโรนา โปรยเงินทิ้ง หลังหมอไม่สามารถรักษาได้ (คลิป)
โดยล่าสุดผู้ใช้งาน Twitter นามว่า L ก ฮ ดาราสวยคลิปวีดีโอพร้อมแคปชั่นว่า คลิปผู้ป่วยติดlชื้อหมดหวังกับชีวิต ต้องรอโดยไม่ได้รับกๅรรักษา ในขณะที่สติเริ่มเลือนลางไปทุกขณะ โปsยเงินทิ้งเพราะมันไม่มีค่าอะไรเลยในตอนนี้ ไม่สามารถช่วยชีวิตเค้าได้เป็นคลิปที่ดูแล้วหดหู่มาก
ทางที่ดีที่สุดคือป้องกัน ระวังตัวเองตั้งแต่ต้น ไวรัสโ ค โ ร น า โดยคลิปดังกล่าวนั้นแคปชั่นดังกล่าวได้ยืนยันว่าอย่างนั้นแต่ข้อความและชาวเน็ตต่างเข้าไปแสดงความคิดเห็นว่ามันผิดสังเกตเป็นอย่างมากเพราะคนจีนนั้นส่วนมากจะใช้เงินโดยผ่าน App เท่านั้นแต่เขาคนนี้นั้นได้เอาเงินสดมาโปรยหน้าโรงบาลเพื่อให้หมอรักษๅถึงอย่างไรคิดดังกล่าวก็ใช้วิจารณญาณในการรับชมด้วย