ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มูฮัมหมัดคาร ฮารุดีน

    อีแร้งแหลไปวันๆ
    FB_IMG_1545731401275.jpg
    -=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
    ผู้บัญชาการทหารสูงสุดสหรัฐในอัฟกานิสถาน กล่าวว่าไม่มีคำสั่งให้ถอนททหารออกจากอัฟกานิสถาน คำพูดดั่งกล่าวสร้างความผิดหวังให้กับเจ้าหน้าที่อัฟกันและประชาชนอัฟกันเป็นอย่างมาก จากสงครามเป็นเวลา 17 ปีที่ผ่านมา
    เจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันคนหนึ่งบอกกับเอเอฟพีเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วว่าทรัมป์ได้ตัดสินใจที่จะถอน "กองกำลังสหรัฐประมาณ 14,000 นาย" ออกไปจากประเทศอัฟกัน แต่ทำเนียบขาวยังไม่ยืนยันถึงแผนการถอนทหารดั่งกล่าว
    BY>>>>>Giant Khan<<<<<
    https://www.tasnimnews.com/en/news/...der-in-afghanistan-says-no-orders-to-pull-out
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2018
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โปรรัสเซีย - Pro Russia
    ru-181224-04-768x432.jpg
    รัสเซียเขาเป็นอะไรกับอุกกาบาตครับ
    เว็บไซต์ ทูเดย์ ฮาบารอฟสค์ ของรัสเซียรายงานว่า เกิดเหตุอุกกาบาตตกลงใส่ยอดเขาจนถล่มขวางทางแม่น้ำบูเรยา ในดินแดนฮาบารอฟสค์ ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย ส่อเค้าว่าอาจเป็นเหตุระดับน้ำสูงขึ้นและไหลเข้าท่วมหมู่บ้านในละแวกได้
    “เท่าที่ปรากฏ อุกกาบาตมีขนาดใหญ่มาก เนื่องจากถล่มขวางทางแม่น้ำยาว 40 เมตร ขณะนี้มีเจ้าหน้าที่ 2 กลุ่ม เข้าไปในพื้นที่ ซึ่งมีโทรศัพท์ดาวเทียมและอุปกรณ์วัดปริมาณระดับรังสี”
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Sayan Rujiramora
    FB_IMG_1545731876991.jpg FB_IMG_1545731880722.jpg
    Egon von Greyerz: THE REAL Gold Price Is The Lowest Price IN 50 YEARS
    by Egon von Greyerz of Gold Switzerland. Dec 23, 2018
    ราคาแท้จริงของทองคำต่ำสุดใน 50 ปี
    เรากำลังก้าวเข้าสู่จุดเริ่มต้นความฉิบหายของความรุ่งเรืองที่จะเป็นประวัติศาสตร์ นี่คือบทเรียนที่เราๆทุกคนจะได้เรียนรู้ด้วยความยากลำบากในอีกหลายปีจากนี้ เราอยู่ในยุคสุดท้ายที่มีการสร้างความร่ำรวยจอมปลอมสำหรับเศรษฐีจำนวนหนึ่ง แต่สร้างหนี้มหาศาลให้กับคนทั้งโลก
    เราจะได้เห็นฟองสบู่ในตลาดทรัพย์สินทั้งหลายระเบิดออกพร้อมๆกัน พร้อมกับหนี้สินทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังของมันนับหลายร้อยล้านล้านดอลล่าร์ และจะไม่มีทางหวนคืน ...นี่จะเป็นเรื่องช้อคโลก
    มีคนจำนวนหนึ่งถือครองทองคำอยู่ คนเหล่านี้ไม่ได้หวังรวย แต่พวกเขาเห็นความเสี่ยงในระบบการเงินแบบที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน..ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ พวกเขาเข้าใจดีว่าทองคำนี่แหละคือหลักประกันการรักษาความมั่งคั่งของพวกเขาจากความเสี่ยงนี้ ...แต่สำหรับผู้ที่ซื้อทองคำไว้เพื่อสร้างผลกำไรระยะสั้นไม่เข้าใจในความเป็นหลักประกันของมันเลย
    ทองคำไม่ใช่การลงทุนที่ "get rich quick" ..พวกที่ซื้อตอนขาขึ้นเพื่อขายออกตอนเริ่มขาลงเป็นได้แค่นักฉวยโอกาส ..เขาไม่เข้าใจว่าทองคำคือ money แท้จริงที่จะอยู่รอดได้ มันมีอำนาจซื้อที่ใช้แลกเปลี่ยนสินค้ามาได้ตลอดนับพันๆปี
    WHERE HAS ALL THE PAPER MONEY GONE?
    เงินกระดาษเริ่มที่จะหายไปแล้วทีละประเทศ ในสวีเดนไม่มีผู้พกเงินสดอีกแล้ว มีร้านค้าจำนวนมากแล้วที่ไม่รับเงินสดแม้แต่ร้านเล็กๆอย่างร้านเบเกอรี่ก็ยังรับแต่บัตรเครดิต ..หลายประเทศในยุโรป..การถอนเงินสดหรือทำธุรกรรมด้วยเงินสดเกิน €1,000 เป็นเรื่องผิดกฏหมาย
    ช้าหรือเร็ว..เงินสดจะต้องหายไปหมดแน่นอน นี่จะทำให้ทุกรัฐบาลในโลกสามารถควบคุมการเงินได้อย่างเบ็ดเสร็จ ธนาคารทั้งหลายทั่วโลกก็พร้อมแล้ว เมื่อถึงคราววิกฤติการเงินรอบที่จะถึงนี้ คงจะง่ายที่จะยุติธุรกรรมการใช้เงินสดที่มากกว่า $100 หรือ €100 ต่อวันไปเลย ..เงินคริปโตที่เป็นของเอกชนก็คงจะต้องถูกแทนที่ด้วยเงินคริปโตของรัฐบาล
    ONLY GOLD IS MONEY
    J P Morgan เคยกล่าวไว้เมื่อปี 1912 ว่า “Money is gold and nothing else” มาถึงวันนี้ real money อย่างเดียวที่จะอยู่รอดคือทองคำ ...real money เท่านั้นที่มีมูลค่าในตัวของมันเอง (intrinsic value)
    แต่มีความสับสนระหว่าง physical gold กับ paper gold ..ทุกวันนี้ราคาของทองคำกลับถูกกำหนดโดยทองคำกระดาษที่ต้องล่มสลายแน่ในไม่กี่ปีจากนี้ ..ถึงตอนนั้นก็จะได้รู้ราคาที่แท้จริงของ physical gold
    WILL FINANCIAL SYSTEM SURVIVE?
    ราคาหุ้นในภาค banking เป็นตัวส่งสัญญานให้เรารู้ว่าระบบการเงินในสภาพปัจจุบันคงไปไม่รอดแน่ ราคาหุ้นธนาคารหลายแห่งร่วงเกิน 90% ตั้งแต่ปี 2007 เช่น Deutsche Bank ร่วงเกิน 94% ไปแล้ว ....European Banking Index STOXX 600 ก็ร่วงถึง 75% ไปแล้วตั้งแต่ 2007 ..เฉพาะปี 2018 ปีเดียวก็ลงถึง 1/3 ..ดัชนีนี้ไม่เคยฟื้นตัวเลยจากวิกฤติครั้งที่แล้ว ราคาหุ้นส่วนใหญ่ sideways down มาตลอด ชี้ว่าระบบ European Banking กำลังจะไปทางไหน ..(ชาร์ตที่1)
    2007-9 SOON BACK WITH A VENGEANCE
    วิกฤติแบบ 2007-2009 กำลังจะมาอีกครั้ง ครั้งนี้จะไปทั่วโลกจากการที่มีการเลื่อนมาถึง 10 ปี มันจะมาอย่างรุนแรงมากกว่าเดิม ..ครั้งนี้จะไม่เหลืออัตราดอกเบี้ยให้ลดได้อีกแล้วเพราะมันต่ำสุดๆในทุกประเทศ หรือบางแห่งก็ติดลบไปแล้ว การช่วยพยุงระบบโดยการพิมพ์เงินเพิ่มในระดับโลกก็จะทำไม่ได้แล้ว
    ระบบการเงินแบบปลอมๆที่อยู่ได้ด้วยเครดิตกำลังจะถูกแฉ ..ในที่สุดโลกก็จะต้องอยู่กับความจริงว่า การหลอกลวงโดยการพิมพ์เงินที่ผ่านๆมาไม่อาจสร้างความรุ่งเรืองได้จริง
    GOLD NOW AS CHEAP AS IN 1970 AND 2000
    ราคาทองคำที่ปรับตามปริมาณเงิน FMQ (Fiat Money Quantity) ในเวลานั้น ...ปัจจุบันเทียบได้กับระดับเดียวกันเมื่อช่วงปลาย 1960s และต้นช่วง 1970s คือ $35/oz ก่อนที่นิกสันจะยุติการอิงค่ากับดอลล่าร์ ...นอกจากนี้เมื่อช่วงเปลี่ยนศตวรรษ ราคาทองคำอยู่ที่ $300/oz ก็อยู่ที่ระดับเดียวกับปัจจุบันอีกครั้ง ...ชี้ให้เห็นว่ายุคไหนที่ราคาทองคำต่ำติดพื้นบ้าง ..(ชาร์ตที่2)
    แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลว่า จำเป็นต้องซื้อทองคำเมื่อราคาต่ำสุดๆ แต่เป็นเพราะว่ามันคือหลักประกันชั้นดีสำหรับระบบการเงินที่กำลังจะ collapse....
    Egon von Greyerz
    Founder and Managing Partner
    Matterhorn Asset Management
    Zurich, Switzerland
    Phone: +41 44 213 62 45
    https://www.silverdoctors.com/gold/...l-gold-price-is-the-lowest-price-in-50-years/
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทรัมป์ด่าเฟดหลังหุ้นร่วงหนัก ชี้ปัญหาศก.เดียวของสหรัฐฯคือ'ธนาคารกลาง' เผยแพร่: 25 ธ.ค. 2561 01:00 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    561000013253101.jpg

    เอเอฟพี/รอยเตอร์ - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งอเมริกาในวันจันทร์(24ธ.ค.) จู่โจมทางวาจาต่อเฟดอีกรอบ กล่าวโทษธนาคารกลางสหรัฐฯแห่งนี้ว่ากำลังซ้ำเติมความกังวลแก่เศรษฐกิจมะกันและเปรียบเทียบเฟดว่าเป็นเหมือน "พวกนักกอล์ฟที่ซุ่มซ่าม"

    "ปัญหาทางเศรษฐกิจเดียวของเราคือเฟด" ทรัมป์เขียนบนทวิตเตอร์ "เฟดอยากเป็นนักกอล์ฟทรงพลัง แต่ไม่สามารถทำสกอร์ได้เพราะไม่มีสัมผัส เขาพัตต์ไม่เป็น"

    ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) มีแนวทางที่เป็นอิสระจากทำเนียบขาว แต่ทรัมป์เหยียบย่ำกำแพงเหล่านั้น ด้วยการแสดงความผิดหวังอย่างเกรี้ยวโกรธต่อสิ่งที่เขาเรียกว่านโยบายอัตราดอกเบี้ยแย่ๆของธนาคารกลาง

    ทรัมป์ ซึ่งเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัมย์มาเกือบตลอดทั้งชีวิตอวดอ้างเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองของสหรัฐฯว่าเป็นหนึ่งในความสำเร็จหลักของเขาในฐานะประธานาธิบดี

    อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นร่วงลงหนักในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่นักลงทุนมีความกังวลมากขึ้นต่อสไตล์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของทรัมป์และสงครามการค้าของเขากับจีน

    ประธานาธิบดีสหรัฐฯบอกด้วยว่าเฟด "ไม่เห็นใจตลาด พวกเขาไม่เข้าใจถึงความจำเป็น สงครามการค้าและดอลลาร์แข็งค่า หรือแม้แต่เหตุชัตดาวน์โดยเดโมแครตเกี่ยวกับประเด็นชายแดน"

    ความเคลื่อนไหวล่าสุดมีขึ้น หลังจากทรัมป์เคยวิพากษ์วิจารณ์เฟดมาแล้วหลายต่อหลายครั้งเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯในปีนี้

    https://mgronline.com/around/detail/9610000127522
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    MOREMOVE

    #มอร์มูฟเป็นข่าว ก่อนฉลองปีใหม่ปีนี้โปรดลองสังเกตท่าทีบริษัทและสีหน้าหัวหน้างานสักนิดนะคะ #ดีไม่ดีคุณอาจถูกยื่นซองขาวฟ้าผ่าหลังปีใหม่ ล้อเล่นๆ อย่าเพิ่งซีเรียสกันไปก่อน แต่ขอให้ระวังเพิ่มสักหน่อย #หาทางหนีทีไล่บ้างก็ดีเด้อ โดยล่าสุด กระทรวงแรงงาน เผยสถานการณ์เลิกจ้างปี 61 เพิ่มเล็กน้อย #จับตาปี62คาดเพิ่มต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจอุตสาหกรรมทีวี-ทีวีดิจิทัล-สำนักพิมพ์-ร้านค้าแบบดั้งเดิม-ร้านอินเทอร์เน็ต-ร้านเช่า-จำหน่ายซีดี ดีวีดี-สถาบันการเงิน-สถานศึกษาเอกชน
    Source : smartsme - https://bit.ly/2V8dyLB
    โดยเรื่องนี้ นายวิวัฒน์ ตังหงส์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ด้านแรงงานปี 2561(1 ม.ค.-30 พ.ย.) ว่า #ปีนี้สถานการณ์การเลิกจ้างเพิ่มขึ้น จากข้อมูลผู้ประกันตนมาตรา 33 พบมีการเลิกจ้าง 259,770 คน #เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี2560ที่มีการเลิกจ้าง แต่ตัวเลขใกล้เคียงปี 2560 มีการเลิกจ้าง 255,385 คน จากลูกจ้างทั้งหมด 9.5 ล้านคน และอัตราการเข้าและออกจากการเป็นผู้ประกันตน เฉลี่ยไม่ต่างกันประมาณ 23,000 คน/เดือน เท่าๆ กัน
    อย่างไรก็ตาม #แนวโน้มการเลิกจ้างในปี2562คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจอุตสาหกรรมทีวี ทีวีดิจิทัล สำนักพิมพ์ ร้านค้าแบบดั้งเดิม ร้านอินเทอร์เน็ต ร้านเช่าและจำหน่ายซีดี ดีวีดี สถาบันทางการเงิน สถานศึกษาเอกชน เป็นต้น #เนื่องจากมีการนำเทคโนโลยีหรือAIเข้ามาทำงานแทนกำลังแรงงานมากขึ้น และนายจ้างปรับโครงสร้าง #โดยส่วนใหญ่เป็นการเลิกจ้างแบบสมัครใจลาออก ที่ให้สิทธิประโยชน์แก่ลูกจ้างสูงกว่าสิทธิประโยชน์ที่กฎหมายกำหนด
    อย่างไรก็ตาม กสร.ได้ส่งเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาที่อาจเกิดขึ้นต่อไป.
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Watchers

    #Tsunami #Indonesia
    FB_IMG_1545733379931.jpg FB_IMG_1545733390514.jpg FB_IMG_1545733400885.jpg
    24/12/18
    ผลสรุปการวิเคราะห์ พบว่า สึนามิที่อินโดฯครั้งนี้ เกิดจากสิ่งที่เรียกว่า Flank collapse หรือการพังถล่มของมวลหินด้านข้างภูเขาไฟ โดยเปรียบเทียบภาพดาวเทียมของวันที่ 19 ธ.ค. กับ วันที่ 22 ธ.ค. จะพบส่วนทางทิศใต้ของภูเขาไฟอานัก กรากะตัว หายไป นั่นคือการถล่มลงทะเลช่วงเวลาประมาณ 21.00
    ของวันที่ 22 ธ.ค. 2018
    Flank collapse ก็จะก่อให้เกิดดินถล่มใต้ทะเลกลายเป็นสึนามิตามมา โลกมารู้ข่าวช่วงเช้าวันที่ 23 ธ.ค.จากผู้โพสต์ลงโซเชียลคนแรกคือ Øystein L. Andersen ซึ่งได้ยืนถ่ายรูปการปะทุของอานักกรากะตั้วตั้งแต่ช่วงเย็นโดยไม่รู้ว่า Flank ด้านใต้เกิดแตกร้าวหลวมพร้อมหลุดแล้ว
    เครดิต : mrvob
    #Watchers
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Watchers
    #Volcano #Italy

    24/12/18
    ประกาศ : ภูเขาไฟ #Etna ระเบิดดังสนั่นในซิซิลี อิตาลี วันนี้ 24 ธันวาคม พร้อมด้วย เกิด Seismicity (แผ่นดินไหวแบบกระจาย) และการปล่อยเขม่าเถ้าที่สูง 2 กม.
    คลิป Vía @ Quelo_Valdes
    #Watchers
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Watchers
    #Space #Science
    FB_IMG_1545734459831.jpg
    // ซุปเปอร์โนวาอาจฆ่าสัตว์ทะเลยักษ์เมื่อล้านกว่าปีก่อน //
    24/12/18
    สมัยไพลสโตซีน (Pleistocene) เมื่อ 2,600,000 ปีก่อน เกิดแสงประหลาดสว่างเกิดขึ้นบนท้องฟ้านานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน เหตุการณ์นั้นคือซุปเปอร์โนวาที่อยู่ห่างจากโลก 150 ปีแสง และภายในไม่กี่ร้อยปีหลังจากที่แสงนั้นค่อยๆลดลง คลื่นยักษ์ของพลังงานเอกภพ (Cosmic energy) ที่มาจากการระเบิดของดาวฤกษ์ และทำให้เกิดการปะทุของแสงซุปเปอร์โนวา ก็เดินทางมาถึงโลกทำให้บรรยากาศโลกแย่ลงพร้อมทั้งเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
    นักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคนซัสในสหรัฐอเมริกา ที่ศึกษาเรื่องนี้มานานถึง 15 ปี เผยว่า ปรากฏการณ์นั้นน่าจะส่งผลกวาดล้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ เช่น สายพันธุ์ฉลามเม็กกาโลดอน (Megalodon) พร้อมกับพิจารณาถึงเงื่อนงำสำคัญที่พบมาก่อนหน้านี้นั่นคือกัมมันตภาพรังสีของธาตุเหล็ก (iron-60) ที่ก้นมหาสมุทร นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าอนุภาคพลังงานสูงมิวออน (muons) ที่เกิดขึ้นเมื่อรังสีคอสมิกจากอวกาศเข้ามาสัมผัสกับชั้นบรรยากาศโลก ได้กระจายลงไปในมหาสมุทรและสามารถลงไปยังส่วนลึก อนุภาคจากซุปเปอร์โนวาชนิดนี้มีความเกี่ยวข้องกับความเสียหายทางชีวภาพ เป็นไปได้ว่าอนุภาคดังกล่าวอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็งในสัตว์ทะเลขนาดใหญ่และดุร้าย
    อย่างไรก็ตาม นักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ ผู้ศึกษางานนี้เผยว่า จริงๆ แล้วยังไม่มีคำอธิบายใดๆ เกี่ยวกับการสูญพันธุ์ของเม็กกาโลดอน แต่นี่อาจเป็นรูปแบบหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ และนักวิทยาศาสตร์ได้รู้ว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น ข้อมูลหลักฐานนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้สามารถมองหาสิ่งต่างๆมาต่อเติมและไขความกระจ่างออกมาได้.
    Credit: thairath
    #Watchers
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    PPTV HD 36
    IMG_6632.JPG
    พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตำหนิสื่อมวลชน กรณีที่เสนอข่าวการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมตลาดพระประแดง จ.สมุทรปราการ เมื่อวานนี้ ว่า แม่ค้าพ่อค้าขายของไม่ดี

    .

    อ่านข่าว : https://www.pptvhd36.com/news/95530

    .

    #PPTVHD36 #PPTVNews #ประยุทธ์จันทร์โอชา #นายกรัฐมนตรี #แม่ค้าพ่อค้าขายของไม่ดี #สมุทรปราการ


     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    F32A938A-02CD-497F-A144-7FC43A25A320.jpeg
    (Dec 24) หุ้นเอเชียต่ำสุดแล้ว-ฟื้นตัวกลับปีหน้า มอร์แกนฯ ชี้ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนช่วยหนุนภูมิภาค - นักกลยุทธ์มอร์แกน สแตนลีย์ ชี้ ตลาดเอเชียได้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว และน่าจะฟื้นตัวในปีหน้าเนื่องจากจีนจะดำเนินนโยบายเงินแบบขยายตัวเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และวงจรนโยบายเงินกำลังเปลี่ยนไปเอื้อต่อตลาดเอเชียโดยเฉพาะในจีน ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีแรงเทขายอย่างรุนแรงในวันสุดท้ายของสัปดาห์

    โจนาธาน การ์เนอร์ หัวหน้านักกลยุทธ์หุ้นในเอเชียและตลาดเกิดใหม่ของมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวว่า ตลาดเอเชียได้ถึงจุดต่ำสุดแล้วและน่าจะฟื้นตัวในปีหน้า เนื่องจากจีนจะดำเนินนโยบายเงินแบบขยายตัวเพื่อช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ

    การ์เนอร์ กล่าวว่า “วงจรนโยบายเงินของจีนกำลังสวนทางกับวงจรนโยบายเงินของสหรัฐ” และสำหรับตลาดโดยรวมแล้วนั่นจะเป็นผลดีเมื่อจีนผ่อนคลายนโยบาย

    ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ขึ้นดอกเบี้ยเมื่อวันพุธ 0.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ และในเวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อมาธนาคารกลางจีนประกาศคงอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระยะสั้น

    การ์เนอร์ กล่าวว่า จริง ๆ แล้วรัฐบาลปักกิ่งกำลังเริ่มผ่อนคลายนโยบายเงินอย่างเงียบ ๆ และมาตรการอื่น ๆ ที่จีนได้ทำเพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ลดดอกเบี้ยจำนองอสังหาริมทรัพย์ในบางเมืองและใช้เครื่องมือนโยบายที่เรียกว่า “ธุรกรรมให้กู้ยืมสภาพคล่องระยะกลาง” เพื่อกระตุ้นให้มีการปล่อยกู้แก่บริษัทเอกชนและบริษัทขนาดเล็ก

    เมื่อเร็ว ๆ นี้ มอร์แกน สแตนลีย์ ได้อัพเกรดหุ้นในตลาดเกิดใหม่จาก “ลดน้ำหนักลงทุน” (underweight) เป็น “เพิ่มน้ำหนักลงทุน” (overweight) สำหรับปีหน้า ในขณะที่ได้ลดน้ำหนักลงทุนของหุ้นสหรัฐ

    การ์เนอร์ กล่าวว่า วงจรนโยบายเงินกำลังเปลี่ยนไปเอื้อต่อตลาดเอเชียโดยเฉพาะในจีน และกล่าวว่าตลาดในเอเชียได้ถึงจุดต่ำสุดแล้วเมื่อปลายเดือนตุลาคมหรือต้นเดือนพฤศจิกายน โดยมอร์แกน สแตนลีย์ มีความเชื่อมั่นโดยสิ้นเชิงต่อตลาดในเอเชีย

    การ์เนอร์ กล่าวว่า นักลงทุนจำนวนมากกังวลเนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงแต่มีการโฟกัสไปที่การปรับตัวลงของดัชนีเอสแอนด์พี 500 มาก ซึ่งคิดว่านักลงทุนกำลังพลาดจุดเปลี่ยนในตลาดเอเชียเป็นส่วนใหญ่

    มอร์แกน สแตนลีย์ คาดว่าตลาดเกิดใหม่ใหญ่ ๆ อย่างเช่น จีน อินเดีย อินโดนีเซีย และบราซิล จะมีผลงานดีในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า การปรับตัวขึ้นในตลาดเหล่านี้จะแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับการปรับตัวลงในสหรัฐ

    ตลาดหุ้นในเอเชียได้ปรับตัวลงต่อในวันศุกร์ที่ผ่านมาหลังจากที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงในวันก่อนหน้าเมื่อมีแนวโน้มว่ารัฐบาลสหรัฐจะต้องปิดทำการและการขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มในสหรัฐ ทำให้นักลงทุนตกใจและรีบไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากกว่า

    ดัชนีนิกเกอิปรับตัวลง 1.1% ปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนกันยายนของปีที่ผ่านมา และได้ปรับตัวลงถึง 5.6% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนหุ้นออสเตรเลียปรับตัวลง 0.7% วนเวียนเหนือระดับต่ำสุดในรอบสองปีที่ได้ลงไปแตะในช่วงเช้า

    ตลาดหุ้นจีนดิ่งลงถึง 1.4% ส่วนหนึ่งยังเป็นเพราะว่าสหรัฐกล่าวหาว่ารัฐบาลปักกิ่งจารกรรมข้อมูลของหน่วยงานรัฐบาลและบริษัททั่วโลก

    ความเชื่อมั่นในตลาดได้เริ่มเปลี่ยนไปในวันพฤหัสบดีหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐยังคงประกาศทำตามแผนการที่จะขึ้นดอกเบี้ย แม้ว่ามีความเสี่ยงมากขึ้นต่อการเติบโต

    ตลาดยังตื่นตระหนกเพิ่มเมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ยอมลงนามรับรองกฎหมายที่จะให้เงินแก่รัฐบาลหากไม่ได้เงินที่จะนำไปสร้างกำแพงบริเวณชายแดนเม็กซิโก จึงมีความเสี่ยงที่หน่วยงานบางส่วนของรัฐบาลกลางจะต้องปิดทำการในวันเสาร์ที่ผ่านมา

    เอลเลียต คลาร์ก นักเศรษฐศาสตร์ของเวสต์แพ็ก กล่าวว่า ความเสี่ยงทางการเมืองในวอชิงตันยิ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดมากขึ้น

    วิกฤติการเมืองในสหรัฐยังรุนแรงมากขึ้นเมื่อมีข่าวว่า จิม แมททิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ยื่นใบลาออกหลังจากที่ทรัมป์เสนอให้ถอนทหารออกจากซีเรีย นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยจากแหล่งข่าวหลายรายว่า ทรัมป์กำลังจะเสนอให้ถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานเช่นกัน

    ข้อมูลจากลิปเปอร์ชี้ว่า นักลงทุนถอนเงินออกจากกองทุนหุ้นเกือบ 34,600 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ล่าสุด และกำลังจะมีการถอนเงินออกจากหุ้นในเดือนนี้มากสุดเป็นประวัติการณ์

    Source: ข่าวหุ้น

    https://www.cnbc.com/2018/12/21/investing-jpmorgan-outlines-three-reasons-to-buy-asia-stocks.html
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    A4381C7E-BAC7-48B9-8C46-7037CE3D2C79.jpeg
    (Dec 24) สหรัฐชัตดาวน์ยาว - ทรัมป์ป่วนคองเกรส สหรัฐชัตดาวน์ครั้งที่ 3 ในรอบปี หลังหาข้อตกลงไม่ได้เรื่องงบสร้างกำแพงยักษ์กั้นสหรัฐ-เม็กซิโก



    สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐจะกลับมาประชุมเต็มรูปแบบอีกครั้ง ในวันที่ 27 ธ.ค.นี้ เพื่อลงมติร่างงบประมาณระยะสั้นให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐ ส่งผลให้หน่วยงานบางส่วนคาดว่าจะต้องเผชิญภาวะชัตดาวน์ หรือต้องปิดทำการลง ไปจนถึงหลังเทศกาลคริสต์มาส เนื่องจากสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณได้ หลังพรรคเดโมแครตและประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขัดแย้งกันในประเด็นที่ทรัมป์ต้องการให้เพิ่มงบ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.62 แสนล้านบาท) เพื่อสร้างกำแพงตลอดชายแดนเม็กซิโก



    เอพีรายงานว่า นับเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ที่สหรัฐต้องเผชิญกับภาวะชัตดาวน์ ซึ่งข้าราชการของหน่วยงานรัฐบาลราว 1 ใน 4 เช่น กระทรวงยุติธรรม กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และกระทรวงเกษตร กว่า 8 แสนคน ต้องได้รับผล กระทบ ซึ่งรวมถึงการต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง หรือต้องถูกพักงานโดยไม่รับค่าจ้าง



    ทั้งนี้ ทรัมป์ขู่ผ่านทวิตเตอร์เมื่อเช้าวันที่ 22 ธ.ค.ว่า การชัตดาวน์ครั้งนี้อาจจะขยายระยะเวลาออกไปเรื่อยๆ หากสภายังไม่สามารถทำตามความต้องการของทรัมป์ในเรื่องงบสร้างกำแพงได้



    ด้านแถลงการณ์ร่วมของ ชัคค์ ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา และแนนซี เพโลซี ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ระบุว่า เดโมแครตได้ยื่นข้อเสนอหลายอย่างให้เพื่อให้ไม่เกิดภาวะชัตดาวน์แล้ว รวมถึงเสนองบประมาณด้านความปลอดภัยในชายแดนที่มีเหตุผลและมีประสิทธิภาพ มากกว่าการสร้างกำแพงที่ไร้ประสิทธิภาพและมีราคาแพงของทรัมป์


    Source: Posttoday

    https://www.cnn.com/2018/12/23/politics/government-shutdown-impact-negotiations/index.html
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    253EAAB9-06B6-46E7-8346-67A1D8F5455A.jpeg
    (Dec 24) 3 เรื่องสำคัญในการลงทุน ปี 2019 ที่คุณต้องรู้จาก BlackRock บริษัทบริหารกองทุนระดับโลก: แนวทางการลงทุนจาก BlackRock บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่มีสินทรัพย์ในการจัดการอันดับต้นๆ ของโลก ได้แนะนำแนวทางการลงทุนของปีหน้าไว้ 3 เรื่องสำคัญ


    ปี 2018 เป็นอีกปีที่ผลตอบแทนการลงทุนไม่เป็นที่น่าประทับใจเท่าไหร่นัก ตลาดหุ้นหลายๆ แห่งให้ผลตอบแทนติดลบ มูลค่าตลาดหรือ Market Cap ของหุ้นโลก หายไปกว่า 6.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ นับจากจุดสูงสุดในเดือนมกราคม อย่างไรก็ดีปีหน้าที่จะถึงอีกไม่กี่อึดใจนี้ การลงทุนย่อมมีความท้าทายมากกว่าเดิม


    BlackRock บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรายใหญ่ของโลก ออกมุมมอง 3 ธีมที่คุณต้องรู้ในการลงทุนในปีหน้า ซึ่งมีความท้าทายมากกว่าในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน ฯลฯ


    การเจริญเติบโตที่ช้าลง


    ทีมนักวิเคราะห์ของ BlackRock มองว่าเศรษฐกิจโลก รวมไปถึงกำไรของบริษัทเอกชน ในสหรัฐในปีหน้าจะเติบโตได้ลดลง กำไรของบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐปีหน้าจะเติบโตเหลือแค่ 9% แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจขาขึ้นของสหรัฐกำลังจะหมดรอบแล้ว นอกจากนี้ยังรวมไปถึงในทวีปยุโรปด้วย คาดว่าการเจริญเติบโตที่ช้าลงจะเริ่มแสดงผลในช่วง 1 ปีต่อจากนี้


    BlackRock มองว่าสำหรับเศรษฐกิจจีนจะเติบโตลดลงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากรัฐบาลจีนได้เน้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นทางนโยบายการเงิน รวมไปถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านอื่นๆ เช่น การสนับสนุนนโยบายต่างๆ การปฏิรูปภาษี ส่วนกำไรของกลุ่มเทคโนโลยีในจีนคาดว่าปีหน้าจะฟื้นตัวได้ด้วย


    ส่วนกลุ่มตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Markets คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนจะยังเติบโตอยู่ ทำให้ BlackRock มองว่าทั้งสหรัฐฯ และตลาดเกิดใหม่น่าสนใจในการลงทุน


    นโยบายทางการเงินกลับเข้าสู่สภาวะปกติ


    หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธันวาคม ส่งสัญญาณว่าหมดยุคดอกเบี้ยถูกอย่างเป็นทางการ BlackRock คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วง 2.5-3.5% เนื่องจากความไม่แน่นอนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังคาดว่าช่วงดอกเบี้ยดังกล่าวจะเหมาะสมกับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รวมไปถึงต้นทุนทางการเงินของบริษัทเอกชนต่างๆ จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 3.5% ซึ่งมากกว่าเทรนด์ดอกเบี้ยระยะยาวเล็กน้อย


    นอกจากนี้ BlackRock ยังมองว่า Fed จะเริ่มระมัดระวังในการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมากขึ้นกว่าเดิมในปี 2019 เนื่องจากต้องดูการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงความเสี่ยงในด้านต่างๆ ต่างจากในปีนี้ที่ขึ้นดอกเบี้ยทุกไตรมาส


    สำหรับนโยบายธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB นั้น BlackRock มองว่าจะขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกได้หลังจากที่ประธานธนาคารกลาง Mario Draghi ลงจากตำแหน่งประมาณช่วงปลายปี 2019


    บาลานซ์ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจถดถอย


    ประเด็นของเศรษฐกิจถดถอยจะเป็นประเด็นสำคัญที่จะกดดันการลงทุนในปีหน้านี้ อย่างไรก็ดี BlackRock มองว่าปีหน้าความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอยจะมีเพียงแค่ 19% เท่านั้น นอกจากนี้ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่แสดงความร้อนแรงนั้นยังถือว่าน้อยมาก รวมไปถึงจุดอ่อนของเสถียรภาพการเงินยังไม่ถือว่ามาก


    สำหรับประเด็นการต่อสู้เรื่องเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐและจีน BlackRock คาดว่าจะส่งผลกระทบหลังปี 2019 เป็นต้นไป แต่คาดว่าท้ายที่สุดจะมีการเจรจาจนได้


    นอกจากนี้ BlackRock แนะนำให้นักลงทุนบาลานซ์ความเสี่ยงกับผลตอบแทนให้ดี นอกจากนี้ยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงสินทรัพย์ที่เริ่มมี Upside จำกัด แต่มี Downside มากกว่า เช่น ตราสารหนี้และหุ้นในทวีปยุโรป เป็นต้น


    Source: Brandinside.asia

    https://brandinside.asia/3-things-from-blackrock-for-your-investment-2019/


    By Wattanapong Jaiwat
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    360BD78F-EEF4-4813-8DB6-F02EC3BFF814.jpeg
    (Dec 24) ดาวโจนส์เปิดตลาดวันนี้อ่อนตัวลง ขณะนลท.ประเมินสถานการณ์เฟดหลังรมว.คลังหารือผู้บริหารแบงก์ใหญ่ : ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิดตลาดวันนี้ปรับตัวลง ขณะที่นักลงทุนอยู่ในระหว่างการประเมินสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดร่วงลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และทิศทางความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐและธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ภายหลังจากที่มีรายงานว่า ทรัมป์เตรียมปลดนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกจากตำแหน่ง


    ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิดวันนี้ที่ 22,317.28 จุด ลดลง -128.09 จุด


    เมื่อวานนี้ นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐได้หารือกับผู้บริหารธนาคารขนาดใหญ่ 6 แห่งของสหรัฐ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบการเงิน ท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวายในตลาดที่เกิดขึ้นในขณะนี้


    สำหรับประเด็นที่มีการหารือกันนั้น รวมถึง การที่ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างหนักในสัปดาห์ที่แล้วจนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปีจากแรงเทขายของนักลงทุน อีกทั้งดัชนี S&P500 ก็ปรับตัวลงต่อเนื่องจนใกล้เข้าสู่ภาวะหมี ตลอดจนข่าวลือที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาปลดนายเจอโรม พาวเวล ออกจากตำแหน่ง และประเด็นเรื่องการชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลที่มีกระแสออกมาว่าอาจยืดเยื้อออกไปจนถึงวันพฤหัสบดีเป็นอย่างน้อย


    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุนิตา พรรณรักษา


    ความคืบหน้าล่าสุด

    - Dow drops 250 points, S&P 500 on the cusp of a bear market:

    https://www.cnbc.com/2018/12/24/us-...-rebound-from-its-worst-week-in-a-decade.html
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    4214EEF6-9C1B-4C5E-85BC-4D4CFFC1C181.jpeg
    (Dec 25) สมมติฐานที่ว่าพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปมี “zero risk weighting” นั้นควรถูกยกเลิก: นาง Danièle Nouy ประธาน Supervisory Board ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ระบุว่า สมมติฐานที่ว่าพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปมี “zero risk weighting” นั้นควรถูกยกเลิก และนโยบายด้านเงินกองทุน (Capital) ของธนาคารต่างๆ ควรสะท้อนถึงความเสี่ยงที่แท้จริงหากธนาคารเหล่านั้นถือครองพันธบัตรรัฐบาลที่มีความปลอดภัยต่ำกว่าประเทศอื่นๆ โดย Risk-weighted assets ควรขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยคือ 1) quality of the sovereign และ 2) concentration


    ด้านนาย Olivier Guersent กรรมาธิการยุโรปด้าน financial services ระบุว่า ยูโรโซนควรเริ่มต้นพิจารณา concentration charges สำหรับการถือครองพันธบัตรรัฐบาลประเทศตนเองมากเกินกว่าระดับที่กำหนด ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของธนาคารกลางเยอรมนีที่เรียกร้องให้มีการกำหนดข้อจำกัดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลประเทศตนเองของธนาคารต่างๆ


    ปัจจุบันธนาคารในสหภาพยุโรปสามารถถือครองพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้าน capital requirements เนื่องจากถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีความเสี่ยง ส่งผลให้ธนาคารต่างๆ มีการถือครองพันธบัตรรัฐบาลดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะธนาคารของประเทศอิตาลี


    อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาพันธบัตรรัฐบาลในสหภาพยุโรปได้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นกับผู้ถือครอง ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับพันธบัตรรัฐบาลกรีซและอิตาลี โดยส่งผลให้ธนาคารต่างๆ ต้องประเมินค่าสินทรัพย์ใหม่ และจำเป็นต้องลดการปล่อยกู้หรือต้องทำการเพิ่มทุน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศได้ในที่สุด


    Source: BOTSS


    - https://www.ft.com/content/9089d910-02c3-11e9-99df-6183d3002ee1
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    88053EA3-FEE4-4638-B9E6-CE8FF91B2DD2.jpeg
    (Dec 25) ต้นแบบพัฒนาเมือง “ขอนแก่นโมเดล” จากระบบขนส่งมวลชน “รถไฟรางเบา” ถึง “e-Marketplace” ตั้งกองทุน หนุนเงินทุนทำธุรกิจ : เป็นที่รับรู้กันดีว่าความเหลื่อมล้ำของความเจริญระหว่างเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครกับจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศนั้นดูเหมือนจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของเมือง ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งมวลชน รถเมล์ รถไฟฟ้า ไปจนถึงความเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจการค้าการลงทุน นำมาซึ่งการอพยพย้ายถิ่นเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อหา “โอกาส” และปัญหาความแออัดของกรุงเทพฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา


    อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลและนักวิชาการหลายยุคสมัยต่างเสนอแนวทางการพัฒนาหัวเมืองรอง เพื่อกระจายความเจริญ กระจายงาน กระจายรายได้ และกระจายคนออกไป อย่างไรก็ตาม ด้วยระบบราชการแบบไทยๆ ที่รวมศูนย์กลาง แม้ว่าจะพยายามกระจายอำนาจการปกครอง แต่ในด้านงบประมาณกลับแทบไม่ได้กระจายตามลงไปด้วย ทำให้การผลักดันโครงการต่างๆ เหล่านี้เป็นไปอย่างล่าช้าและไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จนัก


    อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังกลับมีกระแสพลังที่น่าสนใจของภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่ ที่เริ่มดำเนินการขับเคลื่อนพัฒนาเมืองของตนเองจากภายในไปสู่ใจกลางของอำนาจ จากภายล่างขึ้นสู่ด้านบน โดย “จังหวัดขอนแก่น” ศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของแนวทางการพัฒนานี้ จนนำไปสู่การขนานนามว่า “ขอนแก่นโมเดล”


    นายกมลพงศ์ สงวนตระกูล ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ขอนแก่นพัฒนาเมือง (เคเคทีที) จำกัด เป็นหนึ่งในแกนนำของการพัฒนาเมืองขอนแก่น ได้สรุปการพัฒนาเมืองรองในฐานะตัวเชื่อมโยงกับการพัฒนาประเทศโดยรวมว่า ปัญหาระดับประเทศอาจจะดูใหญ่เกินไป เราก็คิดว่าไม่น่าจะแก้ไขได้ แต่ถ้ามองเป็นปัญหาย่อยๆ ให้มันเป็นปัญหาของแต่ละจังหวัด อาศัยวิสัยทัศน์ของคนในจังหวัดช่วยกันแก้ไข อาจจะเป็นทางออกของประเทศไทยได้ ซึ่งในอดีตการทำงานพัฒนาเมืองขอนแก่นได้มีมาค่อนข้างนานแล้วจากการสัมมนาขององค์กรต่างๆ ของจังหวัด เช่น 24 องค์กรจีน 5 เทศบาลท้องถิ่น 8 องค์กรเศรษฐกิจ 20 บริษัทเอกชน แต่งานพัฒนาหลายอย่างได้เริ่มมาตกผลึกในยุคปัจจุบันและสามารถขับเคลื่อนจนเริ่มเห็นเป็นรูปธรรม


    นายกมลพงศ์กล่าวย้อนกลับไปถึงที่มาที่ไปของของปัญหาของการพัฒนาจังหวัดหรือท้องถิ่นในประเทศไทย ซึ่งเป็นที่มาของขอนแก่นโมเดลว่าเวลามีปัญหาจังหวัดจะพึ่งพาส่วนกลางด้วยการแจ้งร้องขอให้มาช่วยเหลือ เช่น ผ่านการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เจอคือขาดความต่อเนื่องและขาดแผนแม่บทที่มีทิศทางตรงกัน แม้ว่าจะมีเป้าหมายพัฒนาเมืองขอนแก่นเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นหอการค้า สภาอุตสาหกรรม ภาครัฐบาล ที่ต่างมีแผนการทำงานของแต่ละหน่วยงาน


    ตัวอย่างหนึ่งคือขาดการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม อย่างโครงการหนึ่งที่องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ต้องการลดอุบัติเหตุทางจราจรด้วยการติดกล้องจับความเร็วที่ถนนมิตรภาพ จึงให้งบประมาณมาติดกล้องและวางระบบสายไฟต่างๆ แต่ยังขาดงบการดูแลรักษาในระยะยาว อีกด้านตำรวจก็อยากจะลดอาชญากรรม เขาตั้งโครงการติดกล้องวงจรปิดและวางระบบสายไฟเหมือนกัน แต่ลองคิดว่าถ้าเมืองขอนแก่นมาคุยกันทุกภาคส่วน JICA อาจจะให้งบประมาณแล้วทางจังหวัดเตรียมระบบสายไฟและงบการดูแลรักษาไว้ให้มาใช้ด้วยกัน มันก็ทำให้แต่ละหน่วยงานที่เข้ามาช่วยพัฒนาขอนแก่นได้ใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด แบบนี้บางทีเราอาจจะได้กล้องเพิ่มจาก 100 ตัวเป็น 200 ตัวก็ได้


    อีกปัญหาหนึ่งคือเวลาเสนอโครงการเข้าไปยังคณะรัฐมนตรีหลายครั้งจะได้เพียงงบการศึกษาวิจัยความเป็นไปได้ของโครงการ แต่พอจะต้องการงบเพื่อไปดำเนินโครงการจริงๆ อาจจะไม่ได้รับการอนุมัติ ซึ่งเข้าใจว่าส่วนกลางมีจังหวัดต้องดูแลถึง 77 จังหวัด การจัดสรรงบประมาณอาจจะมีข้อจำกัดอยู่มาก แม้ว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีประชากรประมาณ 33% ของประเทศ แต่หากไปดูงบประมาณจากส่วนกลางที่ลงมาจะพบว่าเป็นเพียง 6-7% เท่านั้น


    “เมืองขอนแก่นจึงพยายามจะเปลี่ยนความคิดนี้ ผมเองได้ไปเรียนที่กรุงเทพฯ ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ได้กลับมาที่ขอนแก่นก็ 16 ปีแล้ว พอกลับมาเราเห็นสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไป เห็นตึกรามบ้านช่องใหญ่โต มีศูนย์การค้า แต่สิ่งที่ยังรอการแก้ไขก็ยังมีอยู่ให้เห็น เห็นน้องๆ นั่งรถสองแถว เราเห็นปัญหาของน้ำ เราเป็นเมืองเกษตรกรรม มีปัญหาเรื่องการบริหารน้ำอยู่ ตอนนั้นขอนแก่นได้มีแนวทางการพัฒนาเมืองให้เป็นศูนย์การกลางการประชุมและท่องเที่ยว หรือ MICE City แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มีศูนย์ประชุมมาตรฐานเลย เราก็เปลี่ยนความคิดว่าพอมีปัญหา เราก็หาวิธีแก้ไขเองก่อน ช่วยหางบประมาณเองก่อน แต่เราก็ไม่ได้ไม่ต้องการงบจากรัฐบาล แต่เราก็จะพยายามหาเพื่อเริ่มต้นเดินหน้าไปก่อน ต่อไปก็หากฎหมายที่สนับสนุนการดำเนินงาน แตกต่างจากเดิมที่เวลาเจอปัญหา เราก็ร้องเรียนส่วนกลาง ภาครัฐศึกษา ของบประมาณ แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มันก็อาจจะใช้เวลานาน” นายกมลพงศ์กล่าว


    นายกมลพงศ์กล่าวต่อว่า เมื่อได้กรอบแนวคิดการพัฒนาเมืองที่ชัดเจน หน่วยงานเอกชนได้เริ่มรวมตัวกันตั้ง บริษัท ขอนแก่นพัฒนาเมือง จำกัด ขึ้นมาหารือว่าจะดูแลและพัฒนาจังหวัดอย่างไร? ซึ่งพอหารือกับองค์กรต่างๆ ในจังหวัดพบว่ามีอยู่ประมาณ 30 โครงการที่น่าสนใจและควรพัฒนา แต่ในเบื้องต้นด้วยงบประมาณที่จำกัดจึงคิดว่าควรจะเน้นไปที่ 2 โครงการหลักที่มีผลกระทบกับชุมชนมากที่สุดคือระบบขนส่งมวลชนและศูนย์ประชุมตามแนวทางของการเป็น MICE City


    “ในแง่ของศูนย์ประชุม ของเดิมที่มีอยู่ยังมีข้อจำกัดอยู่มากคือจะจัดงานใหญ่ ที่ต้องมีเครื่องมือหรือจัดแสดงเครื่องจักรใหญ่ๆ ไม่ได้ ทางเข้าออกก็เล็ก เราก็เสนอแนวคิดนี้ออกไปว่าควรจะมีตามแนวทางการพัฒนาเมืองขอนแก่นให้เป็น MICE City ทางซีพีก็เห็นด้วยเริ่มจะมาขอลงทุน ตอนแรกบางฝ่ายก็บอกว่าจะมาเป็นคู่แข่งในพื้นที่หรือไม่ แต่เรากลับยินดีมากกว่า เพราะขอนแก่นเองก็มีอีกตั้ง 29 โครงการที่ควรทำ ถ้ามีคนสนใจมาลงทุนเมืองขอนแก่นก็จะมีเงินเหลือไปพัฒนาโครงการต่างๆ เหล่านั้นแทน นี่คือวิธีคิดที่เรามอง” นายกมลพงศ์กล่าว


    ปั้นฮับ “รถไฟฟ้ารางเบา” อำนวยความสะดวก-หนุนเศรษฐกิจขอนแก่น


    สำหรับระบบขนส่งมวลชน นายกมลพงศ์กล่าวว่า จากงานศึกษาที่กรุงเทพฯ พบว่าคนเราจะต้องเสียเวลาไปประมาณ 2 ชั่วโมงต่อวันในการเดินทาง เนื่องจากปัญหาการจราจรติดขัด ซึ่งหากคิดว่าคน กทม. 10 ล้านคนต้องเสียเวลาวันละ 2 ชั่วโมงจะเท่ากับวันละ 20 ล้านชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลามหาศาลที่สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากกว่านี้ ในกรณีของขอนแก่นตนเองก็คิดว่าไม่ได้แตกต่างกันมากนัก บางช่วงอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ จึงเป็นที่มาว่าทำไมขอนแก่นต้องมีระบบขนส่งมวลชน


    ในช่วงแรกขอนแก่นก็ใช้วิธีประชาสัมพันธ์สร้างความรับรู้ถึงประโยชน์ของระบบขนส่งมวลชน มีการเปรียบเทียบให้เห็นบนท้องถนนว่าต้องเกิดมีคน 100 คนต้องการใช้รถยนต์คนละคันจะต้องเสียพื้นที่ในท้องถนนไปเท่าไหร่ แต่หากเป็นรถสาธารณะอย่างรถเมล์หรือรถไฟจะประหยัดพื้นที่ท้องถนนและเวลาของคนบนท้องถนนไปได้แค่ไหน ชาวขอนแก่นก็ตอบรับและเข้าใจตรงกันถึงความจำเป็นของการมีระบบขนส่งสาธารณะ


    นอกจากนี้ บริษัทยังได้หารือกับรถสองแถว ซึ่งจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากโครงการเพื่อหาทางออกร่วมกัน ทางบริษัทก็เสนอว่าจะให้คนขับมาวิ่งเป็นรถเมล์เสริม หรือ Feeder ของระบบ ซึ่งจะเป็นโครงการที่ทำขึ้นมาระหว่างรอการลงทุนในรถไฟรางเบา ทำให้วิ่งด้วยระยะทางที่ลดลง แต่ได้เงินจำนวนเท่าเดิม อีกด้านก็มีการจ้างมาวิ่งจะเป็นลักษณะคนเดียวโดยไม่ต้องมีกระเป๋ารถเมล์ ตรงนี้ก็จะช่วยสร้างรายได้ได้มากขึ้นจากเดิมที่ต้องหารคนละครึ่ง ทางด้านประธานสหกรณ์รถสองแถวและสมาชิกก็ยอมรับและเข้าใจถึงความจำเป็นเหล่านี้และยินดีจะร่วมมือจนได้ทางออกร่วมกัน


    “คำถามต่อไปคือจะทำระบบขนส่งแบบไหน เป็นรถไฟฟ้ารางหนักแบบบีทีเอสใน กทม. หรือไม่ หรือจะเป็นรถเมล์ แต่พอไปศึกษาจริงจังก็พบว่ารถไฟฟ้ารางเบาน่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะ ข้อแรก ใช้เงินลงทุนน้อยกว่ารถไฟฟ้ารางหนักมาก ขณะที่ยังรองรับปริมาณการขนส่งได้ค่อนข้างดี ทำให้คุ้มทุนเร็วกว่า ข้อสอง คือ พัฒนาต่อยอดในเชิงการหารายได้ดีกว่าระบบล้อยางอย่างรถเมล์บนถนน เช่น การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบๆ หรือพื้นที่โฆษณาต่างๆ หรือภาษีส้มหล่นในพื้นที่ข้างเคียงต่างๆ นอกจากนี้ เมื่อศึกษาไปลึกๆ เราพบอีกว่ามันมีความเป็นไปได้ที่ขอนแก่นจะสามารถเป็นฮับผลิตรถไฟรางเบา เนื่องจากความซับซ้อนของเทคโนโลยีที่น้อยกว่ารถไฟฟ้ารางหนัก ตรงนี้ต่อยอดไปหาการจ้างงาน การกระจายรายได้ของขอนแก่นด้วย” นายกมลพงศ์กล่าว


    สำหรับแนวทางการบริหารจัดการ บริษัทต้องการให้ระบบขนส่งมวลชนเป็นของทุกคนในจังหวัด จึงได้หารือกับเทศบาลทั้ง 5 เทศบาลในขอนแก่น จัดตั้งเป็นบริษัทขึ้นมาอยู่ภายใต้เทศบาลแยกออกมาจากบริษัท ขอนแก่นพัฒนาเมือง (เคเคทีที) จำกัด อย่างชัดเจน คล้ายกับบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ที่อยู่ภายใต้กรุงเทพมหานครและดูแลเป็นเจ้าของรถไฟฟ้าบีทีเอส และค่อยเปิดประมูลสัมปทานการก่อสร้างหรือเดินรถต่อไป นอกจากนี้ จะมีสภาอุตสาหกรรมและมหาวิทยาลัยที่จะมาดูแลเรื่องเทคโนโลยี การสร้างฮับของรถไฟรางเบา มีหอการค้ามาดูแลเรื่องท่าเรือบกต่างๆ ด้วย


    นายกมลพงศ์กล่าวว่า เมื่อได้รูปแบบของระบบขนส่งมวลชนที่เป็นที่ยอมรับแล้ว อุปสรรคสำคัญต่อไปคืองบประมาณ บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะใช้การระดมทุนจากประชาชนในตลาดทุน โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้มีแนวทางการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานประจำจังหวัด (provincial infrastructure fund – PIF) ขึ้นมารองรับอยู่แล้ว ซึ่งส่วนนี้จะช่วยสนับสนุนความรู้สึกเป็นเจ้าของของคนขอนแก่นที่มีต่อระบบขนส่งมวลชนด้วย แต่ช่วงแรกเนื่องจากอาจจะยังไม่มีผลประกอบการที่ชัดเจน บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะระดมทุนกันเองก่อน รวมไปถึงของบประมาณจากภาครัฐประมาณ 15,000-20,000 ล้านบาท และเมื่อโครงการเริ่มมีผลประกอบการ ประชาชนเห็นประโยชน์ จึงจะหันไปหาการระดมทุนในตลาดทุน


    พัฒนา “e-Marketplace” เก็บรายได้ตั้งกองทุนหนุนเอสเอ็มอี


    นายกมลพงศ์กล่าวต่อไปว่า อีกโครงการที่กำลังดำเนินงานตามการสนับสนุนของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่สนับสนุนให้ทุกจังหวัดมี e-Marketplace เพื่อสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีให้เข้าถึงโอกาสและตลาดการค้าขายได้ โดยจะรวบรวมสินค้าต่างๆ เข้ามาจาก 26 อำเภอของขอนแก่น


    “ส่วนขอนแก่นเรามองไปมากกว่ากลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีหรือธุรกิจค้าขายที่มีอยู่ แต่เรามองขยายออกไปถึงเรื่องโอกาสที่เป็นไปได้ในกลุ่มอื่นๆ ด้วย โดยภายใต้ e-marketplace เราจะเก็บรายได้จากการขายส่วนหนึ่ง 5-10% มาตั้งเป็นกองทุนเพื่อให้ธุรกิจที่มีไอเดียดีสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อเริ่มต้นธุรกิจของเขาได้ด้วย” นายกมลพงศ์กล่าว


    ในรายละเอียด กองทุนดังกล่าวอาจจะตั้งเป็นลักษณะของไมโครไฟแนนซ์ โดยจะทำแอปพลิเคชันสำหรับสมัครสินเชื่อ ขณะที่อีกด้านผู้อนุมัติที่จะมาจากผู้บริหารหรือผู้เชี่ยวชาญในการประเมินเรื่องเครดิตก็จะอนุมัติผ่านแอปพลิเคชันด้วย เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และลดต้นทุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของธุรกิจใหม่ๆ นอกจากนี้ กองทุนจะให้น้ำหนักของความเป็นไปได้หรือโอกาสในเชิงธุรกิจประกอบนอกเหนือข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือเครดิตโดยตรง เนื่องจากเป้าหมายสำคัญของกองทุนคือการขยายโอกาสทางธุรกิจมากกว่าการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของเอสเอ็มอีเพียงเรื่องเดียว


    “เรื่องรายละเอียดอาจจะต้องรอข้อสรุปที่ชัดเจนก่อนว่าสามารถทำได้เพียงใดและอย่างไร แต่นอกเหนือจากขอนแก่น ยังมีจังหวัดอื่นๆ อย่างเชียงใหม่ ภูเก็ต ที่กำลังดำเนินงานในลักษณะเดียวกัน อนาคตก็น่าจะเชื่อมโยงกันเป็น e-marketplace ของทั้งประเทศ” นายกมลพงศ์กล่าว


    Source: Thaipublica


    https://thaipublica.org/2018/12/konkean-model21-12-2561/
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    4ED505D9-E88F-4120-BD9C-A481622AF07D.jpeg

    (Dec 25) นิกเคอิปิดร่วง! กว่า 1,000 จุด หลุดระดับ 20,000 จุดเป็นครั้งแรก : ดัชนีนิกเคอิในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวของญี่ปุ่นร่วงลงมากกว่า 1,000 จุด โดยปิดการซื้อขายภาคเช้าวันนี้ (25 ธ.ค.) อยู่ที่ 19,147 จุด ร่วงลง 1,018 จุด หรือร้อยละ 5 ถือเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2560 หลังจากเปิดการซื้อขายเช้าวันนี้ ดัชนีหลุดจากระดับ 20,000 จุดเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2560

    ทั้งนี้ การร่วงลงของดัชนีนิกเคอิมีขึ้น ท่ามกลางการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ว่า นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นนิวยอร์กของสหรัฐฯ ร่วงหนักเช่นกัน โดยนักวิเคราะห์มองว่า การเมืองในสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้น นอกเหนือไปจากการที่ผู้นำสหรัฐฯ โจมตีประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ

    Source: ผู้จัดการออนไลน์

    - Japan's Nikkei drops 5 percent after Wall Street slide deepens

    https://www.cnbc.com/2018/12/25/asia-markets-japans-nikkei-hits-20-month-low.html

    **************

    คลังญี่ปุ่นเตือนอย่าตื่นตระหนกหลังนิกเกอิดิ่งหนัก

    นายทาโร อาโสะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อการร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นโตเกียวเช้านี้ โดยระบุว่าเกิดจากการที่นักลงทุนมีความวิตกกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกมากจนเกินไป

    นายอาโสะ เปิดเผยว่า การที่ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวร่วงลงกว่า 5% จนหลุดจากแนว 20,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 15 เดือนในช่วงเช้าวันนี้เกิดจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนพากันเทขายหุ้น

    อย่างไรก็ดี นายอาโสะกล่าวว่า “ผมอยากบอกว่านักลงทุนไม่ควรต้องตื่นตระหนกมากเกินไป เพราะยังไม่มีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับบริษัททั้งหลายเลย”

    ขณะเดียวกัน นายโทชิมิตสึ โมเทกิ รัฐมนตรีด้านนโยบายเศรษฐกิจและการเงินก็ได้ออกมาสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยระบุว่า “เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังมีรากฐานที่แข็งแกร่ง ดังจะเห็นได้จากผลกำไรที่มากเป็นประวัติการณ์ของบรรดาบริษัทต่างๆ”

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/822243
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_6647.JPG
    (Dec 25) แบงก์ชาติ'กางแผนปี 62คุมบริการ'โมบายแบงกิ้ง' : ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดแผนงานการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ในปี 2562 เน้นยกระดับเพิ่มความแข็งแกร่ง พร้อมกำชับให้เพิ่มเครื่องมือเตือนภัยและดูแลความเสี่ยงด้านไซเบอร์ รวมทั้งวางแนวทางในการกำกับดูแลการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม(มาร์เก็ตคอนดักส์) บนโมบายแบงกิ้ง เพื่อดูแลผู้ใช้บริการทางการเงิน



    "รณดล นุ่มนนท์"รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. ระบุว่า โจทย์สำคัญ ของธปท.ในแผนยุทธศาสตร์ปี 2562 คือการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน และพัฒนาระบบการเงินให้มีเสถียรภาพมากขึ้นต่อเนื่อง และโจทย์สำคัญที่ธปท.ให้ระบบธนาคารมีการทำเพิ่มขึ้น เพื่อยกระดับการดูแลความเสี่ยงด้านต่างๆ คือ การให้แบงก์ มีเครื่องมือในการจับสัญญาณความเสี่ยงด้านต่างๆ(dashboard) เช่นเครื่องมือที่คอยจับความเสี่ยงด้านการปล่อยสินเชื่อ ความเสี่ยงด้านตลาด เพื่อให้แบงก์เห็นปัญหาและแก้ไขปัญหาต่างๆได้ทันก่อนปัญหาบานปลาย รวมถึงยกระดับธรรมาภิบาลให้มีการให้ความสำคัญด้านการบริหารความเสี่ยงมากขึ้น (risk culture) เพื่อให้การบริหารความเสี่ยง ถือเป็นปัจจัยอีกด้านที่ทั้งองค์กร ต้องใช้ความสำคัญมากขึ้นที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง



    ในด้านการดูแลผู้ใช้บริการการเงิน ปี 2562 สิ่งที่ธปท.จะเข้าไปดูแลมากขึ้น คือด้านการกำกับดูแลการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม หรือ มาเก็ตคอนดักส์ ที่ ธปท.จะเดินหน้าดูแลต่อเนื่อง และอยากให้เรื่องนี้ถูกฝังไว้กับองค์กร



    ซึ่งสิ่งที่จะทำมากขึ้น คือการดูแลด้านมาเก็คคอนดักส์ บนโมบายแบงกิ้งเพื่อให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรมจากการใช้บริการทางการเงิน เพราะวันนี้การนำเสนอผลิตภัณฑ์บนช่องทางดิจิทัล มีความหลากหลายมากขึ้น และเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญและต้องยกระดับการดูแลให้ครอบคลุมบนดิจิทัลแบงกิ้งด้วย



    "ที่ผ่านมาเรามีการเข้มเรื่องมาเก็ตคอนดักส์บนการให้บริการทางการเงิน ผ่านสาขา ผ่านผู้ให้บริการทางการเงิน ให้ประชาชนได้รับการคุ้มครองและเป็นธรรมมากขึ้น แต่สิ่งที่จะเห็นมากขึ้น คือการ ขยายมาเก็ตคอนดักส์ไปสู่โมบายแบงกิ้ง เพื่อให้การนำเสนอบริการทางการเงินเป็นธรรมมากขึ้น เพราะวันนี้เราไม่รู้ว่า เรากดตอบรับอะไรไปบ้างบนมือถือ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะเข้าไปดูแลมากขึ้น"



    นอกจากนี้ ระบบธนาคาร จะต้องเพิ่ม หรือยกระดับการกำกับดูแลด้านความเสี่ยงด้านไอที และภัยจากไซเบอร์มากขึ้นด้วย รวมถึงมีกระบวนการตรวจสอบและรับมือกับภัยทางการเงิน ภัยไซเบอร์ที่เข้ามาหลากหลายรูปแบบให้มาก



    รณดล บอกด้วยว่า สิ่งที่ท้าทายกับธปท.ปีหน้า คือการปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการของสถาบันการเงิน ภายใต้การแข่งขันที่สูงขึ้น จากความต้องการของผู้บริโภคที่มีหลากหลายมากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันด้านการตอบโจทย์ด้านผลิตภัณฑ์การเงินที่มากขึ้น และจะแตกต่างกันมากขึ้น



    ดังนั้นภายใต้การเปลี่ยนแปลง การแข่งขันของระบบการเงิน และการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไป สิ่งที่ธปท.ต้องกลับมาทบทวนมากขึ้น คือ บทบาทของธนาคาร และนอนแบงก์ ว่าบทบาทจะเป็นอย่างไรในอนาคต รวมถึงทบทวนแผนการกำกับดูแลของธปท.ว่าจะต้องปรับเปลี่ยนอย่างไร=บ้าง เพื่อให้สอดคล้องการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ของแบงก์ และเทคโนโลยีต่างๆ



    ขณะเดียวกัน บทบาทของธปท.ปีหน้า คือทำให้ระบบการเงินเข้มแข็งมากขึ้น และไม่ทำให้การพัฒนาระบบการชำระเงิน ระบบการเงินเป็นอุปสรรคต่อการเติบโต หรือพัฒนาไปสู่สิ่งใหม่ในอนาคต โดยจะเน้นการวางแนวทางให้สถาบันการเงินแบบกว้างๆมากขึ้น ผ่านการวางนโยบายเชิงหลักมากขึ้น (Principle based) แทนการใช้กเกณฑ์เข้ามากำกับ (Rule based) เหมือนในอดีต เพื่อให้การดำเนินธุรกิจของระบบธนาคารมีความคล่องตัวมากขึ้น แต่ยังอยู่ภายใต้การดูแลความเสี่ยงที่ดีอยู่



    ทั้งนี้ จากการพัฒนาระบบการชำระเงินให้สะดวกสบายมากขึ้น มีช่างทางการชำระเงินที่หลากหลาย ดังนั้นเรื่องสำคัญที่ต้องทำให้เกิดมากขึ้น และต่อเนื่อง คือความเชื่อมั่นกับผู้ใช้บริการเงิน ที่ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นเหล่านี้ให้มากขึ้น รวมถึงต้องเร่งสร้างมาตรฐานคิวอาร์โค้ด ทำให้เกิดเป็นมาตรฐานของระบบการชำระเงินที่เป็นมาตรฐานสากล ควบคู่ไปกับมาตรฐานการดูแลด้านความปลอดภัย เช่น ไซเบอร์ซิเคียวริตี้มากขึ้น



    ด้าน "วิรไท สันติประภพ" ผู้ว่าการธปท. กล่าวว่า หากดูแผนยุทธศาสตร์ของธปท. 3 ปี (2560-2562) ขณะนี้ถือว่าเดินมากว่า 65% แล้ว ซึ่งแผนยุทธศาสตร์ที่ ธปท.ทำได้ดี และเร็วกว่าคาด คือ การพัฒนาระบบการชำระเงิน จากการพัฒนาระบบชำระเงินด้านอิเล็กทรอนิกส์และนำไปสู่การลดค่าธรรมเนียมต่างๆได้ เช่น การมีพร้อมเพย์ ซึ่งเหล่านี้จูงใจให้แบงก์มีการลดค่าธรรมเนียมจากการชำระเงิน โอนเงินต่างๆรวดเร็วมากขึ้น แต่สิ่งที่ยังทำได้ไม่ดี คือการชำระระบบดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ของเอสเอ็มอี ที่ต้องส่งเสริมให้มีการเร่งใช้ดิจิทัลมาสู่ขบวนการชำระเงินมากขึ้น



    ส่วนความท้าทายใหญ่ของธปท.ที่ต้องเร่งพัฒนามากขึ้น คือผลักดัน และส่งเสริมให้บริการการเงินเข้าถึงบริการการเงินมากขึ้น เพราะยังมีเอสเอ็มอีอีกจำนวนมากที่ยังเข้าไม่ถึงระบบธนาคาร และยังมีต้นทุนสูง ซึ่งระยะข้างหน้าสิ่งที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการพัฒนาด้านระบบข้อมูลของเอสเอ็มอี(Information based lending) เพื่อช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงให้กับเอสเอ็มอีมากขึ้น และเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้นในอนาคต



    นอกจากนี้ยังมีด้านการโอนเงินระหว่างประเทศ แบบข้ามพรมแดน ที่ยังทำได้ไม่ดี เพราะการโอนเงินแบบข้ามพรมแดนวันนี้ยังมีต้นทุนค่อนข้างสูง ซึ่งขณะนี้ธปท.อยู่ระหว่างการหาวิธีเพื่อช่วยลดต้นทุนการโอนเงินเหล่านี้ให้ถูกลงในอนาคต เช่นการใช้บล็อกเชนเข้ามาช่วยลดต้นทุนต่างๆ



    ขณะเดียวกัน เรื่องที่ช้า และถือเป็นความเสี่ยงใหญ่ต่อระบบ คือสหกรณ์ออมทรัพย์ ที่ต้องเร่งอุดช่องโหว่ ภายใต้การเร่งเข้าไปดูแลกฎกติกาต่างๆของสหกรณ์มากขึ้น เพื่อไม่ให้เป็นความเสี่ยงต่อระบบ ดังนั้นระยะข้างหน้า จะมีการเข้าไปกำกับดูแลสหกรณ์ ร่วมกับหน่วยงานอื่นๆมากขึ้น เช่นธปท.จะเข้าไปวางกรอบกฎเกณฑ์ กติกา การดูแลสหกรณ์ต่างๆด้วย



    "ปีหน้าเป็นปีที่3ของการเดินตามแผนยุทธศาสตร์ จากแผนที่เรามาได้ 65% แต่ยอมรับว่าจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เราต้องปรับแผนต่างๆให้รวดเร็วมากขึ้น ดีขึ้น ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และผลกระทบจากภายนอกและภายในประเทศให้ทัน ซึ่งคาดว่าปีภายในกลางปีหน้าเราจะมีการเริ่มทำแผนยุทธ์ศาสตร์ 3 ปีของธปท.ต่อไปเพื่อให้มั่นใจว่า การดูแลระบบต่างๆได้ถูกผลักดันต่อเนื่อง"


    Source: กรุงทเทพธุรกิจ
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    2E13D752-24AC-43BF-8F5C-147578374310.jpeg
    (Dec 25) คอลัมน์ ณ มุมขวา: ขึ้นดอกเบี้ยแล้วอย่างไร : ยุคดอกเบี้ยต่ำผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นประธาน มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จากเดิม 1.50% เป็น 1.75% ต่อปี เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นการปรับครั้งแรกในรอบ 7 ปี



    สิ่งที่ต้องจับตาต่อไป ก็คือ ธนาคารพาณิชย์จะส่งผ่านนโยบาย ดังกล่าว ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก กับอัตราดอกเบี้ยเงินกูในอัตราเท่าใด และขึ้นกับกลุ่มไหน



    เริ่มแรกการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลกระทบต่อดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร ระยะเวลา 1 วัน (1-Day Repurchase Rate) ที่เป็นตลาดที่คอยปรับสภาพคล่องให้กับธนาคารพาณิชย์ มีธนาคารชาติเป็นผู้ดูแล



    เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรขยับ ก็จะทำให้ต้นทุนแบงก์ทางการเงินของแบงก์พาณิชย์เพิ่ม และต้องไปปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้ตามไปด้วย



    แต่การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ อาจไม่ใช่สัดส่วนเดียวกันกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็ได้ ขึ้นกับสภาพคล่อง ฐานลูกค้า ฯลฯ ของธนาคารแต่ละแห่ง



    ทว่าสิ่งที่แน่ๆ ก็คือดอกเบี้ยในตลาดจะไม่สามารถยืนอยู่ในอัตรา โดยเฉพาะถ้าใครเป็นหนี้ก็ต้องเจอกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่จะปรับขึ้นมา



    เหตุผลที่แบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดปัญหาสินเชื่อในบางธุรกิจ อาทิ ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวในอัตราสูง จนทำใหเกิดความเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่



    ขณะเดียวกันภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดปัญหาข้างเคียงคือหนี้ภาคครัวเรือนที่มีการกู้ยืมมากขึ้น อัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เริ่มขยับ ขณะที่อัตราการออมลดต่ำลงจากอัตราดอกเบี้ยที่ไม่จูงใจ



    การขึ้นดอกเบี้ยก็เพื่อปรับสภาพที่เป็นอยู่ หวังลดการกู้ยืม เพิ่มการออม ป้องกันฟองสบู่



    นอกจากนั้น การขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ยังทำให้ธนาคารชาติมีเครื่องมือในการดำเนินนโยบายรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากขึ้น



    เศรษฐกิจโลกเริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัว จากสารพัดปัจจัย และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย แบงก์ชาติจึงมีความจำเป็นต้องมีกระสุนสำรอง ก็คือ ส่วนต่างของอัตรานโยบายดอกเบี้ยไว้รับมือ



    ประเด็นสำคัญที่ยังต้องจับตา ก็คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะเป็นการขึ้นต่อเนื่อง หรือขึ้นแล้วหยุดพักไปก่อน เพื่อให้เกิดการปรับตัว



    แม้ธนาคารชาติเองจะพูดทำนอง การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทย จะไม่เหมือนกับการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ที่ตั้งหน้าตั้งตาขึ้นมาตลอด แต่ทว่าจะขึ้นมาก-น้อย ก็ต้องดูปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ



    หมายความว่า แม้จะมีโอกาสขึ้นแล้วหยุดสักพัก แต่ก็มีโอกาสจะขึ้นอีก โดยเฉพาะเมื่อไทยเป็นประเทศสุดท้ายในภูมิภาคนี้ที่ปรับขึ้นดอกเบี้ย



    ทุกอย่างจึงไม่แน่ อะไรก็เกิดได้



    ที่ทำได้ ก็คือ ต้องปรับตัว ลดหนี้สิน รับมือความเปลี่ยนแปลง


    โดย ณ กาฬ เลาหะวิไลย


    Source: Posttoday

    https://www.posttoday.com/columnist/nhakran/574944
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_6650.JPG
    (Dec 16) ปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า ตลาดหมีลากยาวครึ่งปีหน้า: เหลืออีกเพียงไม่ถึง 1 สัปดาห์ ก็จะส่งท้ายปีเก่า 2018 เข้าสู่ปีใหม่ 2019 กันอย่างเป็นทางการกันแล้ว แต่ดูเหมือนบรรยากาศในตลาดทุนโลก เวลานี้จะไม่อยู่ในโหมดพร้อมรื่นเริงกัน เท่าไร เพราะกำลังเผชิญมรสุมข่าวร้ายที่ทำให้ดัชนีหุ้นหลายแห่งทั่วโลกเข้าสู่ "ตลาดหมี" หรือภาวะที่หุ้นดิ่งลงไป 20% จากราคาปิดสูงสุดครั้งก่อนไปเรียบร้อยแล้ว



    ซีเอ็นเอ็นมันนี่ ระบุว่า ขณะนี้มีหุ้น 8 ตัวเด่นๆ ทั้งในตลาดเกิดใหม่และตลาดประเทศพัฒนาแล้วที่เข้าสู่ภาวะตลาดหมีในเชิงเทคนิคไปเรียบร้อย



    ตั้งแต่เซี่ยงไฮ้ ไปจนถึงโตเกียว แฟรงก์เฟิร์ต และมิลาน ซึ่งอาจ เรียกได้ว่าเป็นภาวะตลาดหมีโลกได้แล้ว หลังจากที่ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะขาขึ้นมาตลอดหลายปี โดยเฉพาะ ในปี 2017 ที่ผ่านมา



    และที่สำคัญ ตลาดสหรัฐเอง ก็ยังร่วมเป็นส่วนสำคัญในศึกเดือนแดงเดือดนี้ด้วย นำโดยดัชนี แนสแด็ก คอมโพสิต (Nasdaq Composite) ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ดัชนีตลาดหลักของสหรัฐที่เข้าสู่ภาวะตลาดหมีไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากมีราคาดิ่งลงไปรวม 21.9% นับตั้งแต่ราคาปิดสูงสุด เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา และเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี หรือนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ภาคการเงินเมื่อปี 2008 ที่ดัชนีแนสแด็กเข้าสู่ภาวะตลาดหมี



    การดิ่งลงของดัชนีแนสแด็กเป็นตัวสะท้อนสำคัญว่าหุ้นกลุ่มอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีหลัก 5 ตัวในกลุ่ม FAANG คือ Facebook Apple Amazon Netflix และ Google กำลังอ่อนแรงลง หลังจากที่เป็นหัวหอก นำการวิ่งขึ้นในสหรัฐมาหลายปี ซึ่งยิ่งตอกย้ำความกังวลว่า ภาวะตลาดกระทิงที่ราคาวิ่งขึ้นติดต่อกันมาหลายปีสูงสุดในหน้าประวัติศาสตร์ของสหรัฐอาจปิดฉากลงในเร็วๆ นี้



    ส่วนอีก 2 ดัชนีตลาดหลักในสหรัฐก็ยังอยู่ในสถานการณ์ที่น่าจับตาไม่น้อยไปกว่ากัน โดยดัชนีอุตสาหกรรมเฉลี่ย



    ดาวโจนส์ร่วงลงไปรวม 16.3% นับจากราคาปิดสูงสุดเมื่อวันที่ 3 ต.ค. ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงไปรวม 17.5% จากราคาปิดวันที่ 20 ก.ย. ซึ่งดัชนีหลายตัวหรือคิดเป็นสัดส่วนมากถึงกว่า 60% ในกลุ่ม S&P 500 นั้นมีราคาดิ่งไปทะลุ 20% หรือเข้าสู่ Bear Markets ไปเรียบร้อยแล้ว



    ปีเตอร์ แฮร์ริสสัน ประธาน เจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทจัดการ หลักทรัพย์ชโรเดอร์ ให้เหตุผลว่า การ ที่ตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ทั่วโลก ส่วนใหญ่ต่างดิ่งลงในปีนี้ เป็นเพราะกำลังเจอกับสถานการณ์ยำใหญ่ของปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ตั้งแต่การขึ้นดอกเบี้ยหลายระลอก ไปจนถึงปัจจัยการเมือง เช่น เบร็กซิต รวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และปัจจุบันยังมีความเสี่ยงเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจโลกอ่อนแรงลงมากดดันเพิ่มด้วย



    เหล่านี้ยังไม่รวมปัจจัยการเมืองภายในอย่างภาวะชัตดาวน์ ที่รัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขัดแย้งกับสภาคองเกรสในเรื่องงบประมาณสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐ จนเรื่องไปค้างที่วุฒิสภา และยังไม่มีทีท่าว่า จะผ่านงบได้ภายในปีนี้ ทั้งที่พรรค รีพับลิกันครองเสียงส่วนใหญ่ทั้งในสภาสูงและสภาล่าง



    นีล เชียร์ริง หัวหน้านักเศรษฐ ศาสตร์จากแคปิตัล อีโคโนมิกส์ มองว่า ทิศทางเศรษฐกิจปีหน้ามีแนวโน้มจะยิ่งท้าทายมากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นอีกเหตุผลที่มีน้ำหนักต่อตลาดทุนในเวลานี้ และยังคาดว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นโลกในปีหน้าจะน่าเหนื่อยยิ่งกว่า



    ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จึงมีการคาดการณ์กันว่า เดือน ธ.ค. 2018 อาจทุบสถิติเป็นเดือนธันวาทมิฬ ที่ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนี เอสแอนด์พี 500 ทำผลงานได้แย่ที่สุด นับตั้งแต่ช่วงวิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำเมื่อปี 1931 เป็นต้นมา



    นักวิเคราะห์หลายฝ่ายกำลังจับตาว่า ภาวะตลาดหมีที่ว่านี้อาจขยายวงลุกลามต่อไปอีกระยะ หรืออย่างน้อยที่สุดตลาดหุ้นสหรัฐก็มีสิทธิแย่ ต่อเนื่องไปอีกจนถึงครึ่งปีหน้า จนกว่าดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐจะไต่ไปถึงจุดพีก ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะต้องชะลอการขึ้นดอกเบี้ยลงมาเพราะการอ่อนแรงของเศรษฐกิจโลก



    ซีเอ็นบีซี อ้างมุมมองนักวิเคราะห์ของธนาคาร แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ (BofA) ว่า ภาวะตลาดหมีน่าจะต่อเนื่องไปถึงช่วงครึ่งปีหน้าตามทิศทางการขึ้นดอกเบี้ย แต่สถานการณ์ก็ไม่น่าจะเลวร้ายมากเกินไป เพราะเชื่อว่ายังมีปัจจัยบวก ที่ผลประกอบการบริษัทในกลุ่ม S&P 500 น่าจะสูงสุดทุบสถิติใหม่ และยังมีปัจจัยอัพไซด์อีกเยอะในปีหน้า



    ด้านวาณิชธนกิจ โกลด์แมนแซคส์ มีความเห็นสอดคล้องกันว่า เศรษฐกิจสหรัฐปีหน้าจะยังขยายตัว ได้ดีอยู่ จากในปัจจุบันที่ยังโตมาได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น เพราะแม้จะมีปัจจัยลบ โดยเฉพาะเรื่องการเมืองมาฉุดความเชื่อมั่นไปมาก แต่โดยพื้นฐานแล้วสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง นำโดยการเติบโตในไตรมาสนี้ที่คาดว่าจะขยายตัว 2.7%



    สำหรับตลาดเอเชียนั้น บริษัทจัดการหลักทรัพย์เจพีมอร์แกน มองว่า ตลาดหุ้นเอเชียจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีนี้ เพราะพื้นฐานยังแข็งแกร่ง และตลาดมีราคาถูกลงมามากแล้วในปีนี้



    ขณะเดียวกัน ปัจจัยดึงดูดฝั่งเอเชียยังเป็นเพราะค่าเงินดอลลาร์ที่จะกลับมาอ่อนค่าลง หลังจากที่เฟดลดการขึ้นดอกเบี้ย และยังเป็นเพราะปัญหาการขาดดุลงบประมาณและ ดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งการที่เงินดอลลาร์มีทิศทางอ่อนค่าลงจะช่วยให้ตลาดในฝั่งเอเชียมีแรงดึงดูดกลับไปลงทุนใหม่ในปีหน้า



    ในช่วง 6 เดือนหลังจากนี้ ตลาดจึงยังเต็มไปด้วยความผันผวนจาก ทั้งสงครามการค้าและปัจจัยการเมืองโลก ซึ่งยังมีโอกาสที่จะดิ่งลงอีก แต่ภายใต้พื้นฐานที่ยังแกร่งในเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐ และโอกาสที่เอเชียจะยังดึงดูดเงินลงทุนได้ ตลาดหุ้น จึงไม่น่าจะกลับมาเลวร้ายเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อนอีกครั้ง


    โดย นันทิยา วรเพชรายุทธ


    Source: Posttoday
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    The MATTER


    BRIEF: กระทรวงดิจิทัล ตั้งงบกว่า 40 ล้านจัดซื้อระบบ ‘ตรวจสอบใบหน้า บุคคลในโซเชียลมีเดีย’ ที่รวมข้อมูลผู้ใช้ ผู้แชร์ คนคอมเมนต์ FB ได้

    .

    ไม่เพียงแค่ใบหน้า ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ของผู้ใช้เฟซบุ๊ก (ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของเจ้าหน้าที่) อาจจะถูกเก็บไว้ด้วยเทคโนโลยีใหม่ แต่ข้อมูลของคนที่เข้าไป ‘คอมเมนต์' และ ‘แชร์โพสต์’ ของกลุ่มเป้าหมายก็เข้าข่ายที่จะถูกเก็บด้วยเช่นกัน

    .

    เมื่อวานนี้ (24 ธันวาคม) เว็บไซต์กระทรวงดิจิทัลได้ลงข่าวในหน้าประกาศจัดซื้อจัดจ้าง ในโครงการที่ชื่อว่า ‘ระบบตรวจสอบเปรียบเทียบใบหน้าบุคคลบนสื่อสังคมออนไลน์’ โดยได้รับจัดสรรงบประมาณทั้งหมด 39,897,200 บาท

    .

    ในเอกสาร TOR เปิดเผยถึงหลักการ และเหตุผลของการมีระบบเทียบใบหน้าคนในสื่อสังคมออนไลน์ว่า แม้อินเทอร์เน็ตจะช่วยสร้างประโยชน์ต่อการสื่อสารของประชาชนได้เป็นอย่างมาก แต่มันก็จำเป็นต้องมีเครื่องมือเพื่อช่วยตรวจสอบกลุ่มคนที่ไม่หวังดีด้วยเช่นกัน

    .

    “มีบุคคลบางกลุ่มได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน หรือเป็นไปในทางลบ ใช้ในการหลอกลวงและกระทำผิดกฎหมาย อันส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและความสงบในสังคมส่วนรวม และยังเป็นบ่อเกิดแห่งความวุ่นวายต่างๆ ในสังคม”

    .

    หน่วยงานที่จะใช้เทคโนโลยีนี้คือกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ป.ป.ท.)

    .

    ใน TOR ได้อธิบายด้วยว่า ระบบนี้จะต้องมีคุณสมบัติคือสามารถตรวจสอบ ติดตาม วิเคราะห์ และรวบรวมใบหน้าบุคคลบนสื่อสังคมออนไลน์อย่าง เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม และยูทูบได้

    .

    ทั้งนี้ ข้อมูลพื้นฐานของผู้ใช้เฟซบุ๊กกลุ่มเป้าหมายจะต้องมีรายละเอียด เช่น รูปประจำตัว ชื่อผู้ใช้ หมายเลขโทรศัพท์ (ถ้ามี) และอีเมล (ถ้ามี) นอกจากนั้น ข้อมูลหลายอย่างเกี่ยวกับ ‘ผู้ส่งต่อโพสต์’ และ ‘ผู้ที่แสดงความคิดเห็นในโพสต์’ ของผู้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายก็จะถูกรวบรวมด้วย

    .

    เอกสารบอกถึงวัตถุประสงค์หลักๆ ว่าเพื่อปรับปรุง พัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติภารกิจของ ป.ป.ท. และเป็นเครื่องมือค้นหา รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อใช้ดำเนินคดีกับผู้ที่ทำความผิดได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

    .

    The MATTER เคยรายงานถึงเรื่องที่กระทรวงดิจิทัลมีโครงการที่จะจัดตั้ง ‘ศูนย์ข้อมูล Big Data และวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน สังคม และความมั่นคงของชาติ’ โดยประกาศไว้ในแผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปีงบประมาณ ปี 2561 ภายใต้งบ (ในขณะนั้น) คือ 128 ล้านบาท

    .

    และเคยมีคำชี้แจงจากกระทรวงดิจิทัลว่า ศูนย์ฯ นี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อ 'มุ่งจับผิดเฉพาะบุคคลหรือกลุ่มใด' และไม่ใช่การลิดรอนสิทธิของประชาชนแต่เป็นไปเพื่อปราบปรามอาชญากรรมเท่านั้น

    .

    หลังจากนี้ ต้องจับตากันว่าแล้วโครงการเหล่านี้จะเดินต่อกันอย่างไร

    .

    เข้าไปดูรายละเอียดของโครงการระบบตรวจสอบเปรียบเทียบใบหน้าบุคคลบนสื่อสังคมออนไลน์ ได้ที่ : http://www.mdes.go.th/view/1/ข่าวกระทรวงฯ/ข่าวจัดซื้อจัดจ้าง/3722/

    .

    .

    อ้างอิงจาก


    https://www.facebook.com/thematterco/posts/1885539628328097:0?__tn__=K-R





    https://www.bbc.com/thai/thailand-4...tElCt0PPXp4b2pu-gXs_A7_1z0K2XeS0JHzKk2unodk1o


    #Brief #TheMATTER


     

แชร์หน้านี้

Loading...