ตลิ่งจะพัง แผ่นดินถิ่นอธรรมจะถล่มเป็นทะเล

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย เกษม, 13 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    โรงเรียนดังเชียงใหม่ปิด หลังพบเด็กเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์A

    [​IMG]

    โรงเรียนดังเมืองเชียงใหม่ ตรวจพบเด็กในสังกัดเป็นไข้หวัดสายพันธุ์ A สั่งปิดตึกเรียนทำความสะอาดให้นักเรียนหยุดพักผ่อนทันที ด้านสาธารณสุขจังหวัดชมเป็นการป้องกันที่ถูกต้องแล้ว

    เมื่อวันที่ 27 ม.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากผู้ปกครองโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในตัวเมือง เชียงใหม่ว่า โรงเรียนที่บุตรหลานเรียนอยู่นั้น มีนักเรียนป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ทำให้ต้องปิดการเรียนการสอนทันที หลังรับแจ้งจึงรีบเดินทางไปตรวจสอบกับฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนดังกล่าว โดยอาจารย์ประจำฝ่ายประชาสัมพันธ์ เปิดเผยว่า มีนักเรียน 4 คน ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A จริง ซึ่งบางคนป่วยและยังไม่ได้มาโรงเรียน และเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ทางโรงเรียนมีมาตรการป้องกันในเรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว โดยทุกเช้าจะมีอาจารย์คอยสังเกตุอาการของเด็ก หากพบว่าเด็กป่วยก็จะให้กลับบ้านทันที แม้ว่าเด็กนักเรียนจะป่วยกันไม่กี่คน แต่ก็ยังมีเด็กนักเรียนจำนวนมากที่ยังเรียนอยู่ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของนักเรียนและบุคลากรทั้งหมด จึงได้ให้นักเรียนที่เรียนภายในตึกเดียวกันกับเด็กที่ป่วย หยุดโรงเรียน 2 วัน ไม่ว่าจะป่วยหรือไม่ก็ตาม และเด็กนักเรียนจะกลับมาเรียนตามปกติในวันพฤหัสบดีนี้ โดยระหว่างที่เด็กไม่มาเรียน จะให้แม่บ้านทำความสะอาดอาคารเรียนทั้งตึกทั้งตึก มีการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อและเปิดห้องเรียนให้โล่ง เพื่อระบายอากาศ ก่อนที่เด็กจะกลับมาเรียนเพื่อความปลอดภัย ส่วนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งเรียนกันคนละตึก ก็มาเรียนตามปกติ ไม่มีการปิดการเรียนการสอน และอาจารย์ก็ยังคงมาสอนกันตามปกติ แต่หากตรวจพบว่ามีเด็กนักเรียนป่วยอีก ก็จะให้หยุด เพื่อรักษาตัวอยู่ที่บ้านทันที เพื่อป้องกันไว้ไม่ให้มีการแพร่ระบาด ภายในโรงเรียน

    ด้าน ทพ.ดร.สุรสิงห์ วิศรุตรัตน์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ในพื้นที่ภาคเหนือช่วงที่มีการแพร่ระบาดหรือการป่วยของไข้หวัด จะแบ่งเป็น 2 ช่วง โดยช่วงแรกนั้นจะเกิดขึ้นในห้วงระหว่างเดือน ม.ค.-มี.ค. เพราะยังคงมีสภาพอากาศหนาว กำลังจะเข้าสู่ฤดูร้อน และช่วงที่สองจะเกิดขึ้นระหว่างเดือน ส.ค.-ก.ย. ที่เป็นปลายฝนต้นหนาวซึ่งขณะนี้ก็มีหลายโรงเรียนที่มีเด็กป่วย ซึ่งเป็นเด็กตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงเด็กมัธยม และต้องขอชื่นชมโรงเรียนดังกล่าวที่มีเด็กป่วยเพียง 4 คน ซึ่งสายพันธุ์ A ที่พบนั้นถือว่าเป็นไข้หวัดสายพันธุ์ปกติที่พบกันอยู่แล้ว ไม่ใช่สายพันธุ์ ใหม่แต่อย่างใด และหลังจากมีเด็กป่วยทางโรงเรียนก็ได้ปิดอาคารเรียนไปบางส่วน เพื่อทำความสะอาดด้วย ถือเป็นการป้องกันได้ดีที่สุด เพราะยังมีอีกหลายโรงเรียนแม้จะมีเด็กที่ ป่วยแต่ก็ไม่ได้ให้เด็กหยุดหรือปิดเพื่อทำความสะอาด

    รองนายแพทย์สาธารณสุขฯ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมามีการออกตรวจโรงเรียนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้แนะนำให้ทางโรงเรียนและเนอสเซอรี่ต่าง ๆ คอยดูแลเด็กหากพบว่ามีการเจ็บป่วยก็ให้เด็กพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องมาเรียนในห้วงนี้ เพราะเด็กป่วยอยู่แล้วอาจจะนำเชื้อไข้หวัดมาติดกลุ่มเพื่อนในโรงเรียนได้ รวมถึงร่างกายที่อ่อนแออยู่แล้วอาจจะมารับเชื้อเพิ่มจากเพื่อนได้ หากเด็กยังเรียนไหวและอยากมาเรียนก็ควรให้เด็กสวมใส่ผ้าปิดปากปิดจมูกด้วย เพื่อไม่ให้เกิดอาการไอ จามและมีการแพร่ระบาดขึ้นในโรงเรียนและทางโรงเรียนก็ควรทำความสะอาดฆ่าเชื้อ อยู่บ่อยครั้งเพื่อป้องกันเชื้อไข้หวัดต่างๆ อยากฝากเตือนกลุ่มผู้ปกครองของเด็กด้วยเพราะนอกจากเด็กที่ป่วยแล้ว ตัวผู้ปกครองต้องดูแลสุขภาพด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นโรคปอด หัวใจ ตับ เบาหวานเพราะหากได้รับเชื้อไข้หวัดจากเด็กก็จะทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่ มีอาการหนักขึ้นได้ หากรู้สึกตัวว่าไม่สบายก็ควรไปหาหมอทันที.

    เดลินิวส์ วันอังคาร 27 มกราคม 2558 เวลา 13:04 น.

    วอนช่วยเหลือฝูงจ๋อหิวโซบุกวัดหาอาหาร

    [​IMG]

    [​IMG]

    ฝูงลิงป่าขาดอาหารหิวโซอพยพหากินใกล้ชุมชน ชาวบ้าน-พระสงฆ์ เดือดร้อนหนัก วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือด่วน

    เมื่อวันที่ 27 ม.ค. พระครูโพธิสาร คุณวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดป่าโพธิญาณ สาขาวัดหนองป่าพงที่ 8 ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี เปิดเผยว่า บริเวณหลังวัดป่าโพธิญาณ ซึ่งยังคงสภาพเป็นป่ารกเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของฝูงลิงกว่า 200 ตัว ขณะนี้ถูกภัยแล้งคุกคาม ส่งผลให้แหล่งอาหารตามธรรมชาติขาดแคลน ฝูงลิงทนอดอยากหิวโหยไม่ไหวพากันอพยพออกจากป่าเข้าหากินในชุมชน สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้าน และพระสงฆ์เป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาพระแทบไม่ได้ปฏิบัติศาสนกิจเท่าที่ควร

    เพราะถูกฝูงลิงป่ารบกวน เข้าขโมยอาหารที่ได้จากการบิณฑบาตร และญาติโยมนำมาทำบุญ โดยลิงปีนเข้าไปรื้อค้นสิ่งของเพื่อหาอาหารกินจนชาวบ้านไม่กล้าเข้ามาทำบุญใส่บาตรที่วัด ขณะที่พระเองก็ต้องแบ่งปันผลไม้ และอาหารให้ฝูงลิงป่าได้กินพอประทังชีวิต อย่างไรก็ตามก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องของอาหารให้ลิง และช่วยทำหมันฝูงลิงป่าเหล่านี้ เพื่อไม่ให้เพิ่มจำนวนมากด้วย.

    เดลินิวส์ วันอังคาร 27 มกราคม 2558 เวลา 13:47 น.

    ไฟไหม้บ่อขยะเมืองรถม้าขยายวงกว้าง

    [​IMG]

    ไฟไหม้บ่อกำจัดขยะเมืองรถม้า วอดกว่า 30 ไร่ เจ้าหน้าที่ระดมรถดับเพลิงสกัด ยังคงดับไม่ได้ ขณะที่ชาวบ้านเริ่มได้รับผลกระทบจากกลิ่นควันเหม็นตลบอบอวล

    เมื่อเวลา 21.30 น. วันที่ 26 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลเมืองเขลางค์นคร จ.ลำปาง นำรถดับเพลิง 5 คัน พร้อมเจ้าหน้าที่ดับเพลิงกว่า 10 นาย รีบรุดเข้าไปที่บริเวณบ่อกำจัดขยะในเขตบ้านกล้วยม่วง หมู่ 3 ต.กล้วยแพะ อ.เมือง จ.ลำปาง หลังเกิดเหตุมีเพลิงลุกไหม้เป็นบริเวณกว้าง ลุกลามไปแล้วไม่ต่ำกว่า 30 ไร่ ส่งผลทำให้มีกลิ่นควันเหม็นตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้พยายามเร่งดับไฟในบ่อขยะ แต่ยังไม่มีทีท่าจะควบคุมเพลิงไว้ได้

    นายอมร ทองประดิษฐ์ ปลัดเทศบาลเมืองเขลางค์นคร ปฏิบัติหน้าที่นายกเทศมนตรีเมืองเขลางค์นคร เปิดเผยว่า ไฟไหม้กองขยะที่อยู่กระจัดกระจายมากกว่า 100 กอง กินพื้นที่กว่า 30 ไร่แล้ว จากพื้นที่ทิ้งขยะทั้งหมด 400 กว่าไร่ โดยไฟได้ไหม้บ่อขยะตั้งแต่เวลาประมาณ 17.00 น.เบื้องต้นรปภ.ในบ่อขยะได้ใช้ความพยายามดับไฟแต่ก็เอาไม่อยู่ ทั้งนี้ได้ประสานรถน้ำดับเพลิงของเทศบาลนครลำปางให้เข้ามาช่วยทำการดับไฟแล้ว จากเหตุการณ์ดังกล่าวขณะนี้พบว่า ได้มีหมอกควันไฟ ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านในพื้นที่ ต.กล้วยแพะ บางส่วน ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังคงพยายามฉีดน้ำอย่างต่อเนื่องจนกว่าไฟจะดับลง

    เดลินิวส์ วันอังคาร 27 มกราคม 2558 เวลา 02:39 น.

    ไทยยังหนาวเช้าหมอกหนาบางพื้นที่

    [​IMG]

    ไทยมีอากาศหนาวเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ ส่วนตอนกลางวันมีอุณหภูมิสูงขึ้น ในระยะนี้ ขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพ เนื่องจากอากาศที่เปลี่ยนแปลง

    กรมอุตุนิยมวิทยารายงานลักษณะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยมีกำลังอ่อน แต่ยังคงทำให้บริเวณประเทศไทยมีอากาศหนาวเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ ส่วนในตอนกลางวันมีอุณหภูมิสูงขึ้นในระยะนี้ ขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากอากาศที่เปลี่ยนแปลง และระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย

    พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.

    ภาคเหนือ มีหมอกในตอนเช้า กับมีหมอกหนาในบางพื้นที่ตอนบนของภาคอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 12-15 องศาเซลเซียสส่วนทางตอนล่างอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-18 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-34 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-10 องศาเซลเซียส ลมเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศเย็นถึงหนาว กับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่อุณหภูมิต่ำสุด 14-19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 7-12 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

    ภาคกลาง อากาศเย็น กับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่อุณหภูมิต่ำสุด 17-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

    ภาคตะวันออก อากาศเย็น กับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 21-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) อากาศเย็นในตอนเช้า กับมีเมฆบางส่วนและมีฝนบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่อุณหภูมิต่ำสุด 20-25 องศา เซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-31 องศาเซลเซียสตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมา: ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตรตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป: ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีเมฆบางส่วน อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

    กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีเมฆบางส่วนกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

    เดลินิวส์ วันอังคาร 27 มกราคม 2558 เวลา 06:08 น.

    ที่มา http://www.dailynews.co.th/
     
  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ศีล 8 กับ ศีล 5 ต่างกันอย่างไร ?


    เผยแพร่เมื่อ 10 ม.ค. 2014​

    คำถาม : รักษาศีล 8 ดีกว่า รักษาศีล 5 อย่างไร แล้วทำไมต้องรักษาศีล 8 ด้วย

    คำตอบ : ศีล 5 คือ หนึ่งไม่ฆ่า สองไม่ลักขโมย สามไม่เจ้าชู้ ไม่ประพฤติผิดในกาม สี่ไม่พูดปด ส่อเสียด เพ้อเจ้อ ห้าไม่ดื่มสุราของมึนเมาทุกชนิด อันนี้เป็นต้นทุนพื้นฐานของมนุษย์ เป็นมนุษยธรรม เป็นธรรมที่รักษาความเป็นมนุษย์ให้กับเรา เมื่อไหร่ศีล 5 ครบ คือความมนุษย์ที่สมบูรณ์ เมื่อไหร่ศีล 5 พร่องไป ก็แสดงว่าความเป็นมนุษย์ของเราเองหย่อนไป

    ส่วนศีล 8 เป็นการยกใจเราเองให้สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ­่ง วัตถุประสงค์ของศีล 8 คือการเว้นจากกาม เราสังเกตว่า ศีล 8 ใน 5 ข้อแรกจริงๆเนื้อหาเหมือนกับศีล 5 มีต่างแค่ข้อ 3 เปลี่ยนจากไม่ประพฤติผิดในกาม กลายเป็นประพฤติเยี่ยงพรหม คือไม่ยุ่งกับกามเลย เห็นมั้ย ต่างอยู่ตรงนี้ ศีล 5 ยังมีครอบครัวอยู่ร่วมกันได้ แต่พอศีล 8 ไม่ร่วมเลย

    แล้วก็ศีลข้อ 6,7,8 ก็เสริมขึ้นมาเพื่อให้ประพฤติพรหมจรรย์หนั­กแน่นมั่นคง ศีลข้อ 6 ไม่รับประทานอาหารยามวิกาล คือหลังเที่ยง ถึงฟ้าสางยามรุ่งขึ้น จะดื่มแค่น้ำปานะ น้ำผลไม้ เครื่องดื่มเท่านั้นเอง แต่ว่าจะไม่รับประทานอาหารหนักๆ เพราะเป็นการตัดเสบียงกาม มื้อเช้ามื้อเที่ยงทานแล้วก็ได้ใช้กำลังใน­การปฏิบัติกิจต่างๆ แต่พอมื้อเย็น ทานเดี๋ยวก็นอนแล้ว กำลังเหลือเดี๋ยวกามจะกำเริบ ตัดเสบียงกามก่อน ศีลข้อ 7 ก็ไม่แต่งเนื้อแต่งตัว ด้วยเครื่องของหอมประทินโฉมต่างๆ ไม่ดูหนัง ฟังเพลง เพราะมันเป็นเหตุให้กามกำเริบได้ ศีลข้อ 8 ไม่นอนบนที่นอนอันสูงใหญ่เกินไป ฟูกหนาๆ 6 นิ้ว 8 นิ้วไม่เอา เพราะมันสบายเกิน นอนพลิกไปพลิกมาเดี๋ยวกามกำเริบ ทั้งหมดเพื่อตัดเสบียงกาม เสริมให้การประพฤติพรหมจรรย์เราเองสมบูรณ์­ขึ้น เมื่อใจเราเองยกออกจากกามแล้ว จะฟังธรรม จะปฏิบัติธรรมก็จะได้ผลเต็มที่ยิ่งขึ้น เจริญพร
    .......................................­­­............................
    ธรรมะจับใจ โดยพระมหาสมชาย ฐานวุฑ์โฒ M.D., Ph.D.
    เติมความสุข กำลังใจสู่ความสำเร็จในการดำเนินชีวิต
    www.facebook.com/ThanavuddhoStory
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ศาลพิพากษาบุญบาปในยมโลก


    เผยแพร่เมื่อ 10 ม.ค. 2014​

    คำถาม : ในยมโลกมีศาลพิพากษาเรื่องบุญเรื่องบาปจริ­งๆ หรือค่ะ

    คำตอบ : มีจริงๆ คุณโยม เราตายไปแล้ว ถ้าคนที่ทำบาปเยอะๆ ก็ตกนรกไปมหานรกเลย ทำบุญเยอะๆ ก็ไปสวรรค์ ถ้าเกิดว่าบุญกับบาปยังไม่สุดโต่งนัก ก็จะลอยๆ อยู่บนโลก 7 วัน พอครบ 7 วันจะมียมทูต ตาแดงก่ำ ผมหยิก นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง มาคุมตัวไปยมโลก แต่โบราณให้ทำบุญ 7 วัน สวดพระอภิธรรม 7 วัน เพราะอาศัยช่วงที่อยู่บนโลก จะได้รับบุญได้ เมื่อไปยมโลกปั้บ เจอพระยายมราช อยู่บนบัลลังค์ พระยายมราช ก็คือเทวดาแบบหนึ่ง เรียกว่า กุมภัณฑ์ ที่ทำบุญเจือบาป อยู่บนสวรรค์ชั้นแรกคือ ชั้นจาตุมหาราชิกา แล้วต้องแบ่งเวลามาเป็นพระยายมราชด้วย

    บางคนก็ 3 เดือน บางคนก็ 6 เดือนแล้วแต่ๆละคน แล้วก็มีมือซ้าย มือขวา คอยถือบัญชีบุญ บัญชีบาปอยู่ คนที่ถูกคุมตัวมาไม่มีเสื่อผ้าเลย เรียงกันเข้ามา ท่านก็พยายามช่วยให้นึกถึงบุญก่อน ใครนึกถึงบุญออก ใจก็จะสว่างขึ้น ตัวจะสว่างขึ้น แล้วก็ได้กลับมาเป็นคนใหม่บ้าง บางคนไปอยู่สวรรค์ชั้นล่างๆ ก็มี แต่คนไหนนึกถึงบุญไม่ออกเลย นึกถึงแต่บาปแล้วล่ะก็ ใจก็ยิ่งเศร้าหมอง ถูกคุมตัวไปลงโทษตามบาปกรรมที่เคยทำเอาไว้­เลย สิ่งนี้ไม่ใช่นิทาน ขอให้เราตระหนักถึงความจริงนี้ แล้วตั้งใจทำความดีให้เยอะๆ เถอะ บาปกรรมอกุศลอย่าไปทำ เว้นขาด มันน่ากลัวมาก ไม่คุ้่มกันเลย เจริญพร

    ธรรมะจับใจ โดยพระมหาสมชาย ฐานวุฑ์โฒ M.D., Ph.D.
    เติมความสุข กำลังใจสู่ความสำเร็จในการดำเนินชีวิต
    www.facebook.com/ThanavuddhoStory
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล


    เผยแพร่เมื่อ 11 ม.ค. 2014​

    คำถาม : เวลากรวดน้ำ ทำไมต้องอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรด้วยครั­บ แล้วเค้าเหล่านั้นมีจริงหรือเปล่า

    คำตอบ : คำว่า เจ้ากรรมนายเวร เป็นคำพูดเหมือนเปรียบเทียบเท่านั้นเอง ไม่ได้หมายถึงเค้ามาเป็นเจ้ากรรมและนายเวร­เรา ไม่ใช่อย่างนั้นนะ หมายถึงคนที่เคยมีเวรเกี่ยวข้องกันมา เพราะเราเวียนว่ายตายเกิดมานับภพนับชาติไม­่ถ้วน ในภพใดภพหนึ่ง ชาติใดชาติหนึ่ง เราอาจจะเคยมีเรื่องมีราวกับใครมา ผูกโกรธกันมาจองเวรกันมา เราทำบุญและอุทิศส่วนกุศลไปให้ แผ่เมตตาไปให้ เลิกจองเวรจองกรรมกันนะ กรณีอย่างนี้ ที่เราเรียกว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร ไม่ใช่มาเป็นเจ้าที่มาคอยควบคุมกรรมเรา

    ไม่ใช่ คือคนที่มีกรรมผูกพันกันมา โดยเฉพาะทางไม่ดี เราก็อุทิศส่วนกุศลให้เค้าเยอะๆ แผ่เมตตาให้เยอะๆ แล้วก็ให้เลิกแล้วต่อกัน เป็นอโหสิต่อกัน อย่าจองเวรกันไปเลย จองเวรแล้วมีแต่ทำให้เกิดเวรใหม่ๆ ขึ้นมาอีก ไม่คุ้มค่า แล้วนอกจากเจ้ากรรมนายเวรที่ว่า ก็อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับหมู่ญาติ เป็นที่รักของเราเองมากๆ เช่นเดียวกัน ใจเราเองก็ผ่องแผ้ว เต็มไปด้วยเมตตาจิตกับทุกๆคน เจริญพร
    .......................................­­..................................
    ธรรมะจับใจ โดยพระมหาสมชาย ฐานวุฑ์โฒ M.D., Ph.D.
    เติมความสุข กำลังใจสู่ความสำเร็จในการดำเนินชีวิต
    www.facebook.com/ThanavuddhoStory
     
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    สารคดี EXP3 ไวรัสครองโลก


    เผยแพร่เมื่อ 22 ก.ค. 2014​
     
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    สารคดี-ถ้าอาหารหมดโลก


    เผยแพร่เมื่อ 29 เม.ย. 2014​
     
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เจมี่ Oliver กินรักษาชีวิต


    เผยแพร่เมื่อ 31 ม.ค. 2013​
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ท่องโลกกว้าง พลังงาน อาหารและน้ำ


    เผยแพร่เมื่อ 13 มิ.ย. 2013​
     
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ท่องโลกกว้าง ตอน ทะเลพิโรธ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ZyFUfsZog70]ท่องโลกกว้าง ตอน ทะเลพิโรธ - YouTube[/ame]
    เผยแพร่เมื่อ 19 ธ.ค. 2013​
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    สารคดีแม่น้ำโขง

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=PdYJoffEKrE"]YouTube[/ame]
    เผยแพร่เมื่อ 17 ส.ค. 2013​

    6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ผลิตสุดยอดสารคดีคุณภาพ สะท้อนวัฒนธรรม และวิถีชีวิตความเชื่อของชุมชนตามแนวลุ่มแ­ม่น้ำโขง 5 ประเทศ ได้แก่ จีน, พม่า, ลาว, กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งพร้อมออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี
     
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ดู YouTube บนหน้าจอทีวีด้วยสาย HDMI

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=208kEh0E6qQ]YouTube[/ame]
    เผยแพร่เมื่อ 15 ม.ค. 2013​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มกราคม 2015
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ตำนานเมืองลพบุรี(ละโว้)

    [​IMG]

    ได้กล่าวมาแล้วในตอนที่หนึ่งว่า ชุมชนโบราณที่อาศัยอยู่ในบริเวณเมืองลพบุรีและบริเวณใกล้เคียง มีความคุ้นเคยกับชาวอินเดียมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์หรือราว 2,000 ปีมาแล้ว นอกจากหลักฐานทางโบราณคดีและหลักฐานทางศิลปกรรม ที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลวัฒนธรรมอินเดีย แล้ว ตำนานพื้นบ้าน ยังสะท้อนให้เห็นถึงความคุ้นเคยกับวรรณกรรมของชาวอินเดีย โดยเฉพาะ "มหากาพย์รามายณะ" หรือที่ชาวไทยเรียกว่า "รามเกียรติ์"

    นอกจากตำนานเรื่องเขาทับควาย ที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับควายป่าทรพี วัดรอยเท้าพ่อ (ทรพา) แล้ว ยังมีตำนานพื้นบ้านอีกหลายเรื่อง ที่นำเอาเนื้อเรื่องในรามเกียรติ์มาสอดแทรกไว้อย่างสมจริงสมจัง โดยเฉพาะตำนานเรื่อง "หนุมานครองเมืองลพบุรี" นับว่าเป็นตำนานที่มีความน่าเชื่อถือมาก เนื่องจากเมืองลพบุรีเป็นเมืองที่มีฝูงลิงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก จนได้รับนามว่าเป็น "เมืองลูกหลานหนุมาน"

    ตามตำนานกล่าวว่า ด้วยความดีความชอบของหนุมานทหารเอกของพระราม จึงได้รับปูนบำเหน็จให้ไปครองเมืองลพบุรี ประกอบกับพระรามมีความประสงค์ที่จำให้หนุมานไปควบคุมท้าวกกขนาก ซึ่งต้องศรติดอยู่กับพื้นถ้ำเขานางพระจันทร์ (เขาวงพระจันทร์) ซึ่งหนุมานต้องมาตอกศรให้ติดแน่นทุก ๆ เดือนดับ (เดือนข้างแรม) เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาให้ลำบาก ท้าวกกขนากนี้เป็นยักษ์ซึ่งเป็นวงศาคณาญาติของทศกัณฑ์ และเป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์มาก พระรามแผลงศรมาต้องท้าวกกขนากหลายครั้งแล้ว แต่ไม่ระคายผิวของท้าวกกขนากเลย

    จึงได้ถามพิเภกว่าจะทำประการใดดี พิเภกจึงกราบทูลวาให้เอาต้นกก (ขนาก) ยิงแทนศร จึงจะได้ผลดี พระรามจึงใช้ต้นกกแทนศร แผลงถูกอกของท้าวกกขนากล้มลง ศรได้ออกรากติดกับพื้นหิน แต่มีคำสาปไว้ว่าเมื่อไก่แก้วขันหนหนึ่งศรนั้นก็จะเขยื้อนออกได้ หรือสิ่งที่จะแก้อาถรรพ์ของศรต้นกกก็คือ "น้ำส้มสายชู" ด้วยเหตุนี้ในช่วงสมัยหนึ่งที่จังหวัดลพบุรีจึงไม่มีน้ำส้มสายชูขาย เพราะเกรงว่านางศรีประจันทร์ ธิดาสาวของท้าวกกขนากจะมาซื้อไปราดศร หากท้าวกกขนากลุกขึ้นมาได้จะกินชาวเมืองลพบุรีเสียหมด นับว่าตำนานพื้นบ้านมีอิทธิพลต่อชุมชนไม่น้อยเลยทีเดียว

    สถานที่สำคัญ ๆ อีกหลายแห่งในเมืองลพบุรีล้วนมีตำนานาเล่าขาน โดยนำเนื้อเรื่องในรามเกียรติ์มาผูกเป็นนิยาย ให้สอดคล้องกับเหตุการณ์และสถานที่ต่าง ๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เป็นต้นว่าเรื่องดินสอพองอันมีชื่อเสียงของเมืองลพบุรีก็มีตำนานว่า เมื่อครั้งที่หนุมานครองเมืองลพบุรีอยู่นั้น เห็นว่าเมืองลพบุรีนี้รกนัก และเพื่อสะดวกแก่การรักษาเมือง จึงได้เอาหางกวาดให้เตียนทำให้บังเกิดไฟลุกพรึบขึ้นอย่างโชติช่วง ทำอย่างไรไฟก็ไม่ยอมดับ จนดินสุกขาวไปทั้งเมืองกลายเป็นเมืองดินสอพอง

    เมื่อหนุมานไม่สามารถจะทำให้ไฟที่ลุกไหม้นั้นดับลงได้ จึงขอให้พระรามช่วย พระรามจึงแผลงศรพรหมมาศ มาตกที่ทุ่งนา (บริเวณนี้ต่อมาได้ชื่อว่าตำบลพรหมมาศ) และตำบลทะเลชุบศร ดังนั้นจึงเกิดน้ำท่วมขึ้นเรียกว่า "ทะเลชุบศร" (คือทะเลที่ศรมาตก ไม่ใช่ทะเลที่เอาศรมาชุบ เพราะผู้มีฤทธิ์ขนาดพระรามแล้วไม่ต้องเอาศรมาชุบก็ได้) แต่บางตำนานกล่าวว่า เมื่อพระนารายณ์จะแผลงศร จะต้องมาชุบศรที่นี่เสียก่อน ดูเหมือนชาวเมืองลพบุรีจะเชื่อว่าเป็นทะเลที่พระรามเอาศรมาชุบเสียมากกว่า และเป็นความเชื่อที่มีอิทธิพลต่อชุมชนเป็นอย่างมาก คาดว่าตำนานเรื่องนี้คงจะถือกำเนิดขึ้นในสมัยที่พวกขอมมีอำนาจที่เมืองลพบุรี (สมัยนั้นเรียกว่าเมืองละโว้) เพราะพวกขอมถือกันว่าน้ำในทะเลชุบศรนี้เป็นน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ มักจะใช้ประกอบพิธีทางไสยศาสตร์ และว่ากันว่าเมื่อตอนที่พ่อเมืองละโว้ส่งส่วยนำให้แก่ขอมนั้น ก็ตักน้ำจากทะเลชุบศรนี้เอง

    ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199-2231) นั้น ในบริเวณทะเลชุบศรยังมีน้ำขังอยู่ พระองค์ได้รับสั่งให้ทำทำนบขนาดใหญ่เพื่อกั้นน้ำให้ขังอยู่ตลอดปี แล้วให้ต่อท่อน้ำลงมายังสระแก้วแล้วจึงต่อเข้าเมืองลพบุรี นอกจากนี้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชยังเสด็จไปประทับพักร้อนในบริเวณทะเลชุบศรนี้ด้วย โดยรับสั่งให้สร้างพระที่นั่งขึ้นบนเกาะเล็ก ๆ ของทะเลชุบศรนี้และพระราชทานนามว่า "พระที่นั่งไกรสรสีหราช" ซึ่งเรียกกันจนติดปากว่า "พระที่นั่งเย็น"

    ตำนานที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับรามเกียรติ์นั้นมีอีกหลายตำนาน ที่น่าสนใจมีอีกเรื่องหนึ่งคือตำนานเรื่อง "เขาสมอคอน" เขาสมอคอนนี้ตั้งอยู่ในเขตท้องที่อำเภอท่าวุ้ง (อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองลพบุรี) เป็นภูเขาเตี้ย ๆ มีหลายลูกไม่ติดกันเป็นเทือกเดียว และตั้งอยู่กลางทุ่งซึ่งเป็นที่ราบลุ่ม ดังนั้นในฤดูน้ำหลากจะกลายเป็นเกาะกลางน้ำ การเดินทางไปมาสะดวกกว่าฤดูแล้งเพราะมีเรือไปถึงเชิงเขา ซึ่งชาวลพบุรีชอบไปพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุด เพราะที่นั่นจะมีถ้ำหลายถ้ำเช่น ถ้ำช้างเผือก ถ้ำตะโก ถ้ำเขาสมอคอน และมีวัด 2-3 วัด และเป็นพื้นที่ที่มีลิงป่าอาศัยอยู่มากมาย

    เนื่องจากเขาสมอคอนมีความแปลกประหลาด คือมีหลายลูกแต่ไปอยู่กลางที่ราบลุ่ม จึงมีตำนานที่เล่าต่อ ๆ กันมา ซึ่งก็มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับรามเกียรติ์อีกเช่นกัน แต่เล่าแตกต่างกันไป พวกหนึ่งเล่าว่า ครั้งหนึ่งพระรามทรงกริ้วทศกัณฐ์มาก ทรงขว้างจักรจากทะเลชุบศร หวังจะให้ทศกัณฐ์แหลกลาญ แต่เผอิญจักรนั้นได้เฉี่ยวยอดเขาสูงลูกหนึ่ง เศษหินที่ถูกอำนาจจักรกระเด็นไปนั้นก็คือ หมู่เขาสมอคอนนั่นเอง ส่วนยอดเขาที่ถูกเฉี่ยวแหว่งไปนั้น ชาวเมืองต่างพากันเรียกว่าเขาช่องลพ (ปัจจุบันอยู่ในตำบลโคกกระเทียม อำเภอเมือง)

    ส่วนอีกพวกหนึ่งเล่าว่า เมื่อครั้งพระลักษณ์ต้องหอกโมกศักดิ์ของกุมภกัณฐ์ สิ้นสติสมปดีรอเวลาทิวงคต ถ้าไม่มีใครแก้ให้ฟื้นทันพระอาทิตย์ขึ้น หนุมานทหารเอกของพระรามจึงได้ขันอาสาจะไปหายาวิเศษอันมีชื่อว่า "ต้นสังกรณีตรีชะวา" ที่เขาสรรพยา (ปัจจุบันอยู่ที่จังหวัดชัยนาท) มาฝนทาที่หอกที่ปักอยู่จึงจะหลุด หนุมานไปหาต้นสังกรณีตรีชะวาไม่พบเพราะเป็นเวลามืด เกรงว่าจะรุ่งสางเสียก่อนจึงได้คอนเอาภูเขามาทั้งลูก

    เผอิญเหาะผ่านมาทางเมืองลพบุรี ซึ่งไฟกำลังลุกไหม้ตั้งแต่ครั้งที่หนุมานเอาหางกวาดเมือง แสงสว่างจากไฟทำให้มองเห็นต้นสังกรณีตรีชะวา หนุมานจึงถอนเอาแต่ต้นสังกรณีตรีชะวาไป และทิ้งภูเขาที่คอนมาลงกลางทุ่งทะเลเพลิง ภูเขาที่ทิ้งลงมาได้ถูกไฟเผากลายเป็นหินสีขาวและมีชื่อเรียกว่า "เขาสมอคอน" ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดลพบุรี

    ผาสุข อินทราวุธ

    ที่มา http://www.oocities.org/thai_archaeology/thai/013/lavo2.html
     
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ตำนานนางกวัก

    [​IMG]

    ครั้งนั้นมีอสูรตนหนึ่งชื่อ”ท้าวกกขนาก ”ซึ่งเป็นเพื่อนกับปู่เจ้าเขาเขียว ยักษ์ตนนี้ตั้งตนเป็นใหญ่เที่ยวไล่จับมนุษย์กินเป็นอาหาร ร้อนถึงพระรามต้องลงมาปราบ พระองค์ทรงใช้เขากระต่ายมาทำเป็นคันศร ใช้หนวดเต่ามาขึงเป็นสายและใช้หญ้าปล้องทำเป็นลูกศรแผลงไปฆ่าท้าวกกขนาก ฤทธิ์ศรทำให้พญายักษ์กระเด็นจากกรุงลงกาในชมพูทวีปมาตกบริเวณเขาวงพระจันทร์ จังหวัดลพบุรี แต่ยักษ์ตนนี้ยังไม่ตายเพียงแต่สลบไปเพราะฤทธิ์ศรของพระรามเท่านั้น พระรามจึงทรงสาปให้ศรดังกล่าวปักอกตรึงยักษ์ตรงนี้ไว้บนยอดเขาชั่วกัลป์ จะได้ไม่ไปทำอันตรายใครๆ ได้อีก

    ศรที่ปักอกท้าวกกขนากนั้นจะคลายความแน่นลงทุกๆ สามปี และถ้าปล่อยให้ลูกศรหลุดจากอกได้เมื่อท้าวกกขนากก็จะกลับฟื้นคืนชีวิต ลุกขึ้นมาจับคนกินหมดทั้งเมือง นอกจากนี้ยังทรงสาปต่ออีกว่า เมื่อใดที่บุตรีของท้าวกกขนากซึ่งมีนามว่านางนงประจันต์ หรือนางพระจันทร์ นำใยบัวมาทอเป็นจีวรจนสำเร็จเป็นผืน เพื่อนำไปถวายแด่พระศรีอาริยะเมตไตรย ที่จะทรงเสด็จมาตรัสรู้ในกาลข้างหน้า ท้าวกกขนากจึงจะพ้นคำสาป ดังนั้นบุตรสาวของท้าวกกขนาก จึงต้องอยู่คอยปรนนิบัติดูแลพระบิดา และพยายามทอจีวรด้วยใยบัว เพื่อให้เสร็จทันถวายพระศรีอาริยะเมตไตรย ที่เสด็จมาตรัสรู้ในอนาคตกาล

    เมื่อบุตรสาวของท้าวกกขนากมาคอยปรนนิบัติพระบิดา และทอจีวรด้วยใยบัวอยู่ที่เขาพระสุเมรุนั้น ทำให้ฐานะความเป็นอยู่ของนางลำบากยากจนขัดสนยิ่งนัก ฝ่ายปู่เจ้าเขาเขียวหรือ ท้าวพนัสบดี ซึ่งเป็นเทพเจ้าชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ คือสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง มีตำแหน่งเป็นจ้าวแห่งป่าเขาลำเนาไพรทั้งปวง เมื่อทราบเรื่องจึงเกิดความสงสาร ได้ส่งแม่นางกวักบุตรสาวมาอยู่เป็นเพื่อน ด้วยบุญฤทธิ์ของนางกวัก จึงบันดาลให้พ่อค้าวานิชและผู้คน เกิดความเมตตาสงสาร พากับเอาทรัพย์สินเงินทอง พร้อมทั้งเครื่องอุปโภค บริโภคมาสู่ที่พักของบุตรีท้าวกกขนากเป็นจำนวนมาก ทำให้ความเป็นอยู่ของนางยักษ์มีความสมบูรณ์พูนสุขและเจริญด้วยลาภทั้งปวง

    อีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ท้าวกกขนาก หลุดพ้นจากอำนาจของศรของพระรามนั้นมาจากศรที่ปักอกท้าวกกขนากเองจะคลายความแน่นลงทุกๆ สามปี ด้วยความรอบคอบพระรามจึงทรงสั่งให้ไก่แก้ว มาคอยเฝ้าท้าวกกขนากไว้ ถ้าเห็นศรเขยื้อนขึ้นเมื่อใด ให้ไก่แก้วขันขึ้นเป็นสัญญาณให้หนุมานได้ยิน หนุมานจะเหาะมาตอกศรกลับตรึงให้แน่นตามเดิม ตามตำนานยังเล่าอีกว่าขณะที่หนุมานตอกศรจะเกิดเป็นประกายไฟกระเด็นลุกไปเผาผลาญบ้านเรือนของชาวเมืองลพบุรี เชื่อกันว่าด้วยเหตุนี้เองจะทำให้เกิดไฟไหม้ ครั้งใหญ่ขึ้นในจังหวัดลพบุรีทุกๆ สามปี นอกจากนี้ศรพระรามที่ปักอกท้าวกกขนาก จะหลุดถอนออกได้โดยง่ายถ้าถูกราดด้วยน้ำส้มสายชู ทำให้ชาวเมืองลพบุรีในสมัยก่อนไม่มีใครกล้านำน้ำส้มสายชูเข้าเมือง เพราะเกรงว่าบุตรีของท้าวกกขนากจะแอบมาขอซื้อไปช่วยบิดาของนาง

    ลักษณะของแม่นางกวัก เป็นรูปศักดิ์สิทธิ์ที่แกะจากปลายจะงอยของงวงช้าง ซึ่งค่อนข้างหายากในปัจจุบันนี้ จะเห็นกันก็เป็นแต่เพียงรูปปั้นผู้หญิงนั่งพับเพียบ นุ่งซิ่น และห่มผ้าสไบเฉียงแบบคนโบราณ มือซ้ายวางข้างลำตัว หรือถือถุงเงิน มือขวายกขึ้นในลักษณะกวัก ปลายนิ้วงอเข้าหาลำตัว “การยกมือขึ้นในลักษณะกวัก ถ้ามือยกสูงระดับปาก มีความหมายว่า กินไม่หมด หากว่ามือที่กวักอยู่ต่ำกว่าระดับปาก เขาถือว่ากินไม่พอ

    ชฏาพร มุนีรัตน์

    ที่มา www.dek-d.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Untitled.jpg
      Untitled.jpg
      ขนาดไฟล์:
      125.6 KB
      เปิดดู:
      1,819
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ตำนานละแวก

    [​IMG]

    ตำนานละแวก ต้นฉบับตำนานละแวกนี้ เป็นของวัดศรีพิงค์เมือง (วัดศรีปิงเมือง) ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จำนวน ๑ ผูก ความยาว ๖๒ หน้า คัดลอกโดยมหาวันภิกขุ เมื่อพ.ศ. ๒๔๒๓ ตรงกับ จ.ศ.๑๒๔๒ ปีกดสะง้า เดือน ๑๒ แรม ๙ ค่ำ วัน ๓

    สรุปใจความได้ดังนี้ ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้น ทรงทำนายเหตุการณ์ในอนาคตไว้ที่เมืองละแวก เมื่อเสด็จมาถึงเมืองแห่งนี้ พญานาคได้มาอุปัฏฐาก จึงทำนายว่า สถานที่ดังกล่าวนี้จะเป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนา พระอานนท์จึงขอเอาพระเกศาธาตุบรรจุไว้ที่นี่ พระพุทธองค์ทรงมอบพระเกศาธาตุให้จำนวน ๕ เส้น จากนั้นพระอินทร์ พระพรหม ครุฑ นาค และพญาเจ้าเมืองละแวก จึงก่อเจดีย์ขึ้นเป็นจำนวน ๕ องค์ สำหรับเป็นเครื่องหมายของศาสนา ๕ พันปี

    ครั้นเมื่อพระพุทธองค์นิพพานไปแล้ว ๒๒ ปี พญาอโสกธัมมิกราชได้มาบูรณปฏิสังขรณ์เจดีย์ดังกล่าวให้เจริญรุ่งเรือง โดยก่อกำแพงแก้วรอบบริเวณพร้อมทั้งติดแผ่นทองจังโกทุกองค์เจดีย์ ส่วนเมืองละแวกแห่งนั้นมีบริเวณกว้าง ๓ พันวา ยาว ๒ พันวา กำแพงเมืองก่อด้วยหินหนา ๖ พันวา สูง ๔ พันวาคูเมืองลึก ๗ วา สำหรับบริเวณที่สร้างเจดีย์ ๕ องค์กว้าง ๓๐๐ วา ฐานเจดีย์องค์หนึ่งกว้าง ๑๔ วา สูง ๒๐ วา แต่ละเจดีย์มีซุ้มพระพุทธรูปทั้ง ๔ ด้าน เหมือนกันหมดทุกองค์

    เจดีย์ทั้ง ๕ องค์ดังกล่าวนี้ พระพุทธองค์ให้สร้างไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายทางศาสนา หากเจดีย์จมพื้นดินลงไป ๑ องค์ เท่ากับศาสนาพ้นไปแล้ว ๑ พันปี จนกว่าจะครบ ๕ พันปี เจดีย์ทั้งหมดจึงจะหายไปในที่สุด เจดีย์ดังกล่าวนี้มีผู้อุปัฏฐากดูแลคือ ภิกษุ ๕๐๐ องค์ สามเณร ๕๐๐ รูป คฤหัสถ์ ๕๐๐ คน ในช่วงระยะเวลาระหว่างพุทธศาสนา ๕ พันปีนั้น จะมีพญาธัมมิกราชเกิดมาจำนวน ๕ องค์โดยมีช่วงเวลาครั้งละ ๑ พันปื

    สำหรับพญาธัมมิกราชองค์ที่ ๓ ที่จะเกิดมาในระหว่างพุทธศาสนาได้ ๓ พันปีนั้น(พ.ศ.๒๐๐๑-พ.ศ.๓๐๐๐) จะเกิดมาในขณะที่บ้านเมืองเดือดร้อนวุ่นวาย ผู้คนไม่มีศีลธรรม เกิดมีการรบพุ่งฆ่าฟันกันไปทั่ว ก่อนที่จะมีพญาธัมมิกราชเกิดขึ้นนั้น ท้องฟ้าจะมืดมิดเป็นเวลา ๗ วัน ครั้นถึงวันที่ ๘ ท้องฟ้าจึงจะสว่างสดใส เทวบุตรจะนำเอาเครื่องสูง ๕ ประการมาทำพิธีราชาภิเษก โดยมีนางฟ้าและพระฤาษีมาร่วมพิธีด้วย รวมทั้งข้าทาสบาทบริจาริกาจำนวนหนึ่งหมื่นหกพันนางจากอุตรกุรุทวีป เมื่อเสร็จพิธีราชภิเษกแล้ว ปราสาท ๓ หลังจะผุดขึ้นมาจากพื้นดิน แต่ละหลังทำด้วยทองคำ แก้ว และ เงิน

    พญาธัมมิกราชองค์นั้นได้เสวยราชสมบัติในเมืองฝาง ในราชสำนักจะมีบุรุษผู้ประเสริฐ จำนวน ๖ คน พญาธัมมิกราชจะขุดเอาข้าวของเงินทองจากพื้นดินมาบูรณะบ้านเมืองและแจกจ่ายเป็นทานแก่คนทั่วไป หลังจากนั้นจึงได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป

    (เรียบเรียงจาก ไพฑูรย์ ดอกบัวแก้ว)

    ที่มา ตำนานละแวก | 50lannalang
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 54983945.jpg
      54983945.jpg
      ขนาดไฟล์:
      135.8 KB
      เปิดดู:
      1,146
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มกราคม 2015
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ตำนานพระศรีอาริย์กลางศาสนา

    [​IMG]

    ศรีอาริยวงศ์กลางศาสนา

    เมื่อพระศรีอาริย์มาปรากฏเป็นพระบรมจักรพัตราธิราช ในท่ามกลางพระพุทธศาสนานี้ พระอิศวรผู้เป็นเจ้าประกาศิตให้เทวดาลงมารักษาพระราชวังถึง 50,000 องค์ ยักษ์อีก 50,000 ตน นาคและครุฑก็จะเป็นมิตรกัน และจะมารักษาปราสาทราชวังด้วยเป็นจำนวนมาก

    เชื้อพระวงศ์ของพระศรีอาริย์ จะอุปถัมภ์ยกยอพระพุทธศาสนาสืบๆ ต่อกันไปจนอีก 1309 ปี คือลุ พ.ศ. 3850 ปีเศษ จึงสิ้นเชื้อสายพระศรีอาริย์คนสุดท้ายมีนามว่า “ เสารรัญญา” หรือ “ พยาเสารราช” [ ศรีอาริยวงศ์ 1000 ปี ในเล่มนี้ ไปตรงกับแผ่นดินของพระเจ้า ซึ่งพระเยซูจะกลับมาปกครองโลกอยู่ 1000 ปีเหมือนกัน เรียกว่า Millennium ภาษาอังกฤษเรียกว่า ศรีอารยะ (Sriaraya) ภาษาบาลีเรียกว่าสิริอริยะ (Siriariya)] แม้กระนั้นก็มีเทวดา, นาค, ครุฑ เฝ้าปราสาทราชมณเฑียรอยู่มาก

    เมื่อพ้นจากพญาเสารราชไปแล้ว พระเสื้อเมืองทรงเมืองทั้งหลาย ก็ละทิ้งบ้านเมืองหลบหนีเข้าป่าไปหมดสิ้น ดังเช่นในยุคปัจจุบันนี้ เพราะอธรรมทั้ง 3 และ อคติทั้ง 4 เข้าครอบงำสันดานประมุขและรัฐบุรุษ จนบ้านเรือนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า มหาภัย 10 ประการ ก็คุกคามประชาชนพลเมืองอยู่ทั่วไป

    ครั้นแล้วก็จะบังเกิดพญาธรรมิกราชองค์ที่ 4 มายอยกพระพุทธศาสนาอีก และจะเกิดที่นครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) จะทรงเกียรติขนาดพระเจ้าอโศกมหาราช หาใช่บรมจักรพัตราธิราชดั่งเช่น พระศรีอาริย์ในท่ามกลางพุทธศาสนานี้ไม่

    ในตำนานมันดาเลของพม่านั้น กล่าวว่า

    พระราชวังของพระศรีอาริย์ธรรมิกราชนั้นจะมีประตู 80 ประตู จะมีฝูงเทวดาและยักษ์รักษาแน่นขนัด จะเข้าออกได้แต่มนุษย์ที่มีศีลธรรมอันดีงามเท่านั้น ปราสาทราชวังนั้นจะสว่างรุ่งโรจน์ด้วยแสงแก้วมณีโชติ กลางคืนจะกลับกลายเป็นกลางวัน จะผิดกันก็แต่ว่า ความสว่างของแสงแก้วนั้นจะเย็นตาเย็นกาย ไม่ร้อนระอุเหมือนแสงอาทิตย์ในเวลากลางวันอย่างธรรมดา พิษณุเทพบุตร จะไปนำเอาผลมะม่วงกาซอ (ผลไม้โรทันตี) จากสวรรค์มาถวายพระศรีอาริย์ธรรมิกราช เมื่อเสวยแล้วรูปร่างก็กลับกลายเป็นหนุ่มเหมือนอายุ 20 เศษ

    จะมีพระมหาเถระ 24 รูป เดินทางมาจากทิศต่างๆ เพื่อชมบารมีพระศรีอาริย์ธรรมิกราช พระศรีอาริย์ธรรมิกราชจึงเอามะม่วงกาซอ (มะม่วงลอกคราบ) เข้าถวายพระผู้เฒ่าทั้ง 24 รูป พระผู้เฒ่าทั้งหมดเมื่อฉันแล้วก็ง่วงนอน และหลับไปด้วยความสบาย ครั้นตื่นขึ้นแล้วผิวพรรณก็กลับกลายเป็นหนุ่มไปหมดทั้ง 24 รูป รู้สึกว่ากระปี้กระเปร่าแข็งแรงขึ้นอย่างผิดธรรมดา

    พระศรีอาริย์จึงเอาเมล็ดมะม่วงลอกคราบนั้นปลูกลงในดินริมปราสาท ก็พลันงอกงามเป็นต้นเป็นลำและแตกกิ่งก้านสาขาขึ้นในทันที ประกอบด้วยช่อและดอกออกผลเต็มไปหมด โดยไม่ต้องรอเวลาหรือฤดูกาลใดๆ เลย

    ฝูงมนุษย์ก็จะไหลมาเทมาเพื่อบริโภคมะม่วงลอกคราบอันวิเศษนั้น ครั้นแล้วคนแก่ก็จะกลายเป็นหนุ่ม คนที่มีผิวพรรณไม่งามก็จะงาม คนอ่อนแอก็จะแข็งแรงไปทั่วทุกรูปทุกนาม โลกจะถึงความเป็นสวรรค์ทั้งในด้านผิวพรรณและโภคทรัพย์ ฯลฯ และจะมีต้นไม้กาลปพฤกษ์ทิพย์ถึง 1,600 ต้น (โรงทาน) ทั่วทั้งโลก

    อนึ่ง พระมหานครอันบรมสุข จะได้ถูกก่อสร้างตึกรามขึ้น 36,000,000 หลัง จะเป็นที่อยู่ของพลเมืองที่เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งสิ้น และว่าในยุคนั้น จะมีผู้หญิงมากผู้ชายน้อย เพราะผู้ชายไปตายในกองทัพถึง 3 ใน 4 ส่วน ผลสุดท้ายผู้ชายคนเดียวจะมีภรรยา 9 คน 10 คน ผู้หญิงจึงหาสามีที่โสดๆไม่ได้ง่ายนัก จริงเท็จอยู่กับตำรา (แจ้งอยู่ในใบลาน 3-4 ผูก)

    พระนครผู้มีบุญและสัตตรัตนะ

    ในคริสต์ศาสนา ความในพระคัมภีร์วิวรณ์บอกว่า เมื่อคริสต์ศักราชครบ 2,000 ปีแล้ว พระเยซูคริสต์เจ้าจะเสด็จลงมาปกครองโลก โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่นครเยรูซาเลม และการปกครองของพระเยซูในครั้งนี้จะกินเวลารวมทั้งสิ้น 1,000 ปี

    ในคติทางพระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน ได้มีความเชื่อในหมู่ของชาวพุทธแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะชาวพุทธของเมืองไทยว่า ภาคเหนือของไทยจะถูกสถาปนาขึ้นเป็นมหาอาณาจักรสัมมาทิฏฐิ

    พระอิศวรเป็นเจ้า หรืออินทราธิราช จึงนำเอาปราสาท 3 หลังขึ้นมาตั้งไว้บนแผ่นดิน คือ ปราสาทแก้ว ปราสาททอง ปราสาทเงิน กว้างหลังละ 4 กิโลเมตรเท่ากันทั้ง 3 หลัง แล้วเนรมิตกำแพงแก้วล้อมปราสาททั้ง 3 หลัง กว้างยาวเท่ากันด้านละ16 กิโลเมตร เอาแก้วมณีโชติมาติดไว้บนยอดธาตุ รัศมีของแก้วนั้นจะสว่างแจ้งไปโดยรอบถึง 4 กิโลเมตร กลางคืนจะสว่างเหมือนกลางวัน

    พระนครที่อินทราธิราชสร้างนั้นจะสว่างเหมือนกลางวัน พระนครที่อินทราธิราชสร้างนั้นจะได้นามว่า “ อินทราอุปการนคร” จะมีต้นกาลพฤกษ์ทิพย์ 4 ต้น เกิดขึ้นทั้ง 4 ด้านกำแพงเมือง (ต้นกาลพฤกษ์นี้น่าจะได้แก่ ศูนย์รวมของสิ่งต่างๆ ทำนองเดียวกับศูนย์การค้าหรือช็อปปิ้งเซ็นเตอร์ในปัจจุบัน)

    เมื่อพระศรีอาริย์ดำรงตำแหน่งบรมจักรประมุขโลกแล้ว ก็จะขนเอาเงินที่เกิดขึ้นด้วยบุญบารมีทั้งหลายมาให้โรงกษาปณ์สร้างเหรียญเงินและเหรียญทอง เหลือที่จะประมาณแล้วก็กว้านซื้อเอาสรรพวัตถุสินค้าทั้งหลาย เป็นต้นว่า เครื่องยนต์กลไกต่างๆ เสื้อผ้าต่างๆ เครื่องสำอางต่างๆ ฯลฯ จากโรงงานทั้งหลายทั่วโลกมารวมไว้ในโรงทาน (เทียบได้กับศูนย์การค้าในปัจจุบัน)

    เมื่อผู้ใดปรารถนาอันใด ก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยเซ็นจ่ายให้ตามความปรารถนา เช่น รถยนต์ จักรเย็บผ้า นาฬิกา เสื้อผ้า ฯลฯ จะไม่ลำเอียงและเอาเงินเอาทองใครเลย เพราะพระศรีอาริย์ไม่ใช่พ่อค้าการเงิน แต่เป็นพ่อค้าการบุญ จึงเรียกอีกนามหนึ่งว่า “ ผู้มีบุญ” หรือ “ บุญฤทธิ์” หาใช่ “ อิทธิฤทธิ์” ซึ่ง “ บีบคนลงเป็นทาส” หรือ “ เหยียบคนลงเป็นขี้ข้า” ดังเช่นในทุกวันนี้

    (หาอ่านเพิ่มเติมได้จาก หนังสือพระศรีอาริย์เจ้าโลก โดยรหัสยญาณ สำนักพิมพ์ลานอโศกเพรสกรุ๊ป โรงพิมพ์สหธรรมิก)..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/154058
     
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ตำนานถ้ำหลวงเชียงดาว

    [​IMG]

    ตำนานเกี่ยวกับเจ้าหลวงคำแดง ถูกถ่ายทอดออกมาหลายเรื่องราวด้วยกัน แม้จะมีความต่างในรายละเอียด ทว่าหากพิจารณาให้ถึงแก่นแล้ว เจ้าหลวงคำแดงก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขา เป็นเจ้าแห่งผีทั้งหลาย เป็นที่เคารพ สักการะ ของชาวเหนือ อย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และถ้ำเชียงดาวซึ่งเชื่อกันว่า เป็นเมืองเทวาของเจ้าหลวงคำแดง ตั้งอยู่ด้านหน้าของดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งเป็นขุนเขาที่ชาวเชียงใหม่นับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตของผีเมืองเชียงใหม่ทุกองค์ตั้งแต่ก่อนพญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่ ผีเมืองเชียงใหม่มีเจ้าหลวงคำแดง เป็นประธานใหญ่กว่าผีเมืองทั้งหมด

    มีเรื่องเล่าว่าทุกวันพระผีทุกผีในเมืองเชียงใหม่ จะต้องไปร่วมเฝ้าและประชุมที่ดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งในถ้ำเชียงดาวจะมีห้องโถงขนาดใหญ่ที่เชื่อว่าเป็นห้องประชุม ในวันนั้นผีจะไม่เข้ามาหลอกหลอนชาวบ้าน นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าอีกว่า ผีเมืองที่ดอยหลวงเชียงดาว ได้เก็บข้าวจากชาวนาทุกคน ที่วางไว้เซ่นไหว้พระแม่โพสพและเป็นค่าน้ำหัวนา ซึ่งจะนำข้าวไปวางไว้ที่หัวนาก่อน ที่ชาวนาจะนำข้าวมาใส่ในยุ้งฉาง ข้าวเหล่านี้ผีดอยจะนำมากิน แล้วจะเหลือเพียงเปลือกหรือแกลบไว้ซึ่งจะเก็บเปลือกข้าวหรือแกลบไว้

    ในถ้ำแห่งหนึ่งทางทิศใต้ไม่ไกลจากดอยหลวงเชียงดาวชื่อว่า "ถ้ำแกลบ" ความศักดิ์สิทธิ์ของดอยหลวง มิเพียงแต่ชาวบ้านจะเล่าสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว พระสงฆ์ในเขตล้านนาก็ได้แต่งและคัดลอกคัมภีร์ใบลานชื่อ ตำนานถ้ำเชียงดาวไว้หลายสำนวน ทั้งที่พบในเชียงใหม่และเมืองอื่นๆที่ห่างไกลออกไป เช่น ที่เมืองน่าน เป็นต้น

    สมเด็จองค์อัมรินทราธิราชเจ้า ประมุขแห่งปวงเทพเทวาได้ดำริให้จัดทำสิ่งวิเศษ เพื่อองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าศรีอาริยะเมตตรัย ที่จะมาตรัสรู้พระสัจธรรมในอนาคต ได้เล็งเห็นว่าถ้ำเชียงดาวเป็นสถานที่เหมาะสมแก่การเก็บรักษาของวิเศษเหล่านั้น เพราะลึกเข้าไปในถ้ำจนสุดประมาณมิได้ เป็นเมืองแห่งพวกครึ่งอสูรกาย เรียกว่าเมืองลับแล มีความเป็นอยู่ล้วนแต่เป็นทิพย์ ผู้คนทั้งหลายในมนุษย์โลกธรรมดาที่เต็มไปด้วยกิเลส ยากนักที่จะเข้าไปพบเห็นได้ เพราะมีด่านภยันตรายต่างๆมากมายหลายชั้นกั้นขวาง ไว้เป็นอุปสรรค

    มียักษ์สองผัวเมียบำเพ็ญภาวนารักษาศีลเพราะได้ปฏิบัติตนเป็นผู้ถึง ซึ่งพระรัตนตรัยจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมีนางผู้เลอโฉมนามว่า "อินเหลา" อยู่ปรนนิบัติบิดามารดาผู้ทรงศีลทั้งสอง จนวันหนึ่งได้พบกับ เจ้าหลวงสุวรรณคำแดง ยุวราชหนุ่ม ซึ่งเสด็จมาประพาสป่าจากแค้วนแดนไกล ได้บังเกิดความหลงใหลในความงามของนาง ก็ได้พยายามติดตามนางไปจนถึงถ้ำเชียงดาว และทิ้งกองทหารของพระองค์ไว้เบื้องหลัง จากนั้นก็ไม่กลับออกมาอีกเลย ว่ากันว่าเจ้าหลวงสุวรรณคำแดง อยู่ครองรักกับเจ้าแม่อินเหลาที่ถ้ำเชียงดาวนั่นเอง ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าจะมีเสียงดังสะเทือนจากดอยหลวงเชียงดาว ปรากฏเป็นลูกไฟ ขนาดลูกมะพร้าว สว่างจ้าพุ่งหายไปในดอยนางซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งมีความเชื่อว่า เจ้าหลวงสุวรรณคำแดง ลั่นอะม็อกไปเยี่ยมเจ้าแม่อินเหลาที่ดอยนาง

    นอกจากนี้ยังมีตำนานเจ้าหลวงคำแดง จากเอกสารที่เขียนขึ้นโดย พระมหาสถิตย์ ติกขญาโณ กล่าวไว้ว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ปกาศิตให้เทวดายักษ์ตนหนึ่งนามว่า เจ้าหลวงคำแดง กับบริวาร 10,000 คนมารักษาของวิเศษในถ้ำเชียงดาว เพื่อรักษาไว้ให้พระเจ้าทรงธรรมมิกราช ใช้ปราบมนุษย์อธรรมในอนาคต ซึ่งนามเดิมของเจ้าหลวงคำแดง คือ "เจ้าสุวรรณคำแดง" ผู้ซึ่งจะมีหน้าที่เฝ้ารักษาถ้ำและดอยหลวงเชียงดาว จะหมดเวลาของการเฝ้ารักษาเมื่อพระเจ้าทรงธรรม มาปราบมนุษย์อธรรมเสียก่อน

    และกล่าวถึงเทวดาผู้เป็นชายาของเจ้าหลวงคำแดงมีนามว่า "จอมเทวี" สถิตอยู่ที่ดอยนาง ว่ากันว่าต่างรักษาศีล 8 จึงหาได้อยู่ร่วมกันไม่ ก่อนที่เจ้าหลวงคำแดงและจอมเทวีจะมาอยู่ที่ดอยหลวงเชียงดาวนั้น ชะรอยว่านางจอมเทวีมีนิวาสสถานบ้านเมืองอยู่เดิมอยู่ทางทิศใต้ ไม่ปรากฏชื่อแน่ชัด ส่วนเจ้าหลวงคำแดงนั้นเป็นบุตรของเจ้าเมืองพะเยานามว่า สุวรรณคำแดง ซึ่งพระบิดาได้สั่งให้เจ้าหลวงคำแดงพร้อมทหารไปรักษาด่านชายแดนเพื่อป้องกันศัตรู ได้มาพบเห็นสาวงามนางหนึ่ง จึงได้ติดตามนางไปแต่ไม่พบ เจอเพียงกวางทองตัวหนึ่ง

    จึงสั่งให้ทหารติดตามเจ้ากวางทองตัวนั้นไป และกำชับว่าต้องจับเป็นห้ามทำร้ายเจ้ากวางทองเด็ดขาด เป็นเวลา 3 วันก็ไม่สามารถจับเจ้ากวางทองได้ แต่เจ้าหลวงคำแดงก็ยังไม่ละลดความพยายาม นำทหารติดตามไปเรื่อยๆ หมายจะจับกวางทองให้ได้ จนเวลาล่วงเลยไป 10 วัน ก็ยังไม่พบเจ้ากวางทอง คงเห็นแต่รอยเท้าเท่านั้น และในวันหนึ่งสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาเจ้าหลวงคำแดงและเหล่าทหารก็คือ คราบของกวางทอง อยู่ใกล้กับหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านสบคาบ จากตำนานเจ้าหลวงคำแดงนั่นเอง

    จากนั้นเจ้าหลวงคำแดงก็ติดตามเจ้ากวางทองไปในป่าแห่งหนึ่ง ชื่อว่าดงเทวี ทันทีที่เจ้าหลวงคำแดงตามไปพบ จึงสั่งให้ทหารกระจายกำลังโอบล้อมไว้พร้อมประกาศว่า หากกวางทองหลุดออกจากด่านของผู้ใด ผู้นั้นจะต้องถูกตัดหัว ในที่สุดกวางทองตัวนั้นก็หลุดออกมาจากวงล้อมวิ่งผ่านไปทางที่เจ้าหลวงคำแดงอยู่ ดังนั้นเจ้าหลวงคำแดงจึงต้องไปติดตามกวางทองด้วยตัวเองและให้ทหารคอยอยู่ที่ดงเทวี และสั่งว่าหากเกิน 7 วันแล้วพระองค์ยังไม่กลับให้กลับกันไปก่อน แล้วก็ติดตามกวางทองตัวนั้นไปทางทิศตะวันตก

    ซึ่งกวางทองมุ่งหน้าไปสู่เขาใหญ่ลูกหนึ่ง แล้วกลายร่างเป็นคนเข้าไปยังถ้ำเชียงดาว เจ้าหลวงคำแดงจึงตามเข้าไปในถ้ำ ตราบเท่าทุกวันนี้ก็ยังไม่กลับออกมา ผู้คนเชื่อว่าพระองค์สิงสถิตรักษาถ้ำเชียงดาว จึงตั้งศาลไว้ชื่อว่า ศาลเจ้าหลวงคำแดง และมีรูปปั้นกวางทองด้วย

    ๋๋P ระดับ :ป.โท

    ที่มา ถ้ำหลวงเชียงดาว
     
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    พุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลกกัณฑ์ที่ ๙


    ดูรา สัปบุรุษทั้งหลาย ยังมีในกาลครั้งหนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ประกอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่ง ทรงรำพึงถึงพระยายักษ์ใหญ่ตนหนึ่ง ซึ่งอยู่ที่ ดอยอ่างสรง (ถ้ำเชียงดาว) อันมีอยู่ในเมืองหริภุญชัย (เวลานั้นเมืองหริภุญชัยคือเมืองลำพูน มีอาณาเขตถึงเชียงดาว) พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยทิพยจักขุญาณแห่งพระองค์ แล้วก็เสด็จไปสู่บริเวณเขตแดนดอยอ่างสรงที่นั้น

    ส่วนพระยายักษ์ที่อาศัยอยู่ในดอยอ่างสรงนั้น มีมีปรกติแสวงหาคนและสัตว์มากินเป็นอาหารเสมอมาเป็นประจำ ในวันนั้น พระยายักษ์ก็ออกจากที่อยู่แห่งตน เพื่อไปแสวงหาอาหาร มันไปทางใดก็ไม่พบคนหรือสัตว์แม้แต่ตัวเดียว แล้วมันก็ไปพบพระพุทธเจ้า เมื่อมันเห็นแล้ว มันหาได้รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า มันคิดว่า "โชคกูยังดีอยู่ ถึงได้มาพบมาปะชายผู้นี้ อาหารของกูเดินทางมาหากูแล้ว" เมื่อมันเห็นเช่นนั้นแล้ว ก็แสดงฤทธิ์เดชอันเป็นยักษ์แห่งมัน แล้วก็วิ่งไปหาพระพุทธเจ้า ด้วยอาการอันรีบด่วน "กูจะจับบุรุษผู้นี้เป็นอาหาร"

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทราบวารจิตแห่งพระยายักษ์จึงตรัสว่า "ดูก่อนพระยายักษ์ ท่านอย่าคิดว่าจะกินเราเลย จะเป็นบาปอันหนักแก่ท่านต่อไปในภายหน้าหาที่สุดไม่ได้ เราตถาคตนี้มิใช่คนธรรมดาสามัญ เราเป็นสัพพัญญูพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่าโลกทั้งสาม" พระยายักษ์ได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้าเช่นนั้น ก็บังเกิดความสะดุ้งตกใจกลัว มีร่างกายอันสั่นสะท้าน มีความกลัวต่อมรณภัยเป็นอย่างยิ่ง เข้ามากราบขออภัยไว้ชีวิตจากพระพุทธเจ้า แล้วถอยหลังกลับคืนสู่ถ้ำอันเป็นที่อยู่แห่งตน

    แล้วจึงบอกกล่าวยังเหตุอันนั้นแก่ลูกเมียว่า "ดูรานาง วันนี้พี่ออกไปแสวงหาอาหารตลอดวันไม่พบคนและสัตว์แม้แต่ตัวเดียว แต่พี่ไปพบบุรูษผู้หนึ่ง มีรูปโฉมผิวพรรณอันงดงาม พี่นึกว่าเป็นคนธรรมดาสามัญ เมื่อพี่วิ่งทะยานเข้าไปนึกว่าจะจับเอามาเป้นอาหารแห่งเราทั้งสอง บุรุษผู้นั้นกลับเปล่งสีหนาทแก่พี่ว่า "ดูรา พระยายักษ์ ท่านอย่าคิดว่าจะกินเราเลย จะเป็นบาปอันหนัก เหตุว่าตถาคตนี้มิใช่คนะรรมดาสามัญเหมือนคนและสัตว์ทั้งหลาย หากเราเป็นผู้ประเสริฐกว่าโลกทั้งสาม" พี่ได้ฟังคำเช่นนั้น ก็บังเกิดความสะดุ้งตกใจกลัวต่อมรณภัยเป็นอันมาก ก็ก้มกราบแล้วถอยหนีกลับคืนมาหาที่อยู่แห่งเรานี้แหล่ะ

    เมื่อนั้น นางยักษ์ได้ฟังพระยายักษ์ผู้เป็นสามีแห่งตนกล่าวเช่นนั้น ก็กำหนดรู้ด้วยปัญญาแห่งตนว่า ไบุคคลผู้นั้นต้องเป็นพระพุทธเจ้าองค์ประเสริฐอย่างเดียว" เมื่อกำหนดรู้เช่นนี้แล้วจึงกล่าวแก่พระยายักษ์ว่า "ข้าแต่เจ้ากูผู้เป็นสามี ผู้ที่เห็นมาปานนั้นมิใช่คนธรรมดาสามัญ ต้องเป็นคนที่มีบุญสมภารเป็นมาก ที่แท้พี่ท่านได้พบพระสัพพัญญองค์ประเสริฐล้ำเลิศเป็นที่ยิ่งแล้ว พี่ท่านจงอย่าคิดว่าจักใคร่กินเถิด จะเป็นบาปอันหนักแก่พี่ท่าน บัดนี้ท่านองค์ประเสริฐนั้นยังสถิตอยู่ ณ ที่ใดหนอ"

    พระยายักษ์ก็กล่าวว่า "ดูรา นางเจ้าองค์ประเสริฐนั้น ยังคงอยู่ที่นั้นยังไม่ทันจะไปที่ไหนหรอก" นางยักษ์จึงกล่าวว่า "ข้าแต่เจ้ากูจงรีบขวนขวายหาปรมามิสบูชา มีข้าวตอกดอกไม้และของหอมทั้งหลาย ไปขอขมาพระพุทธเจ้าองค์ประเสริฐนั้นเถิด พี่ท่านจงขอให้พระพุทธเจ้าลดโทษแก่ท่านเถิด" พระยายักษ์ได้ฟังคำที่ภริยาแห่งตนกล่าวตักเตือนเช่นนั้นก็บังเกิดความยินดี จึงพูดว่า "ดูรา นางเป็นการดีแท้แล" แล้วพระยายักษ์ก็รีบขวนขวายหาปรมามิสบูชา คือดอกไม้ของหอมได้แล้ว ก็รีบกลับคืนมาสู่สำนักพระพุทธเจ้าแล้วก็กราบทูลขอขมาด้วยคำว่า

    "ข้าแด่พระพุทธเจ้าผู้หาทุกข์มิได้ ข้าพระพุทธเจ้าก็กราบขอพระพุทธเจ้า โปรดจงบังเกิดพระมหากรุณาธิคุณลดโทษแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด เพราะข้าพระองค์ไม่ทราบว่าเป็นพระพุทธเจ้า จึงได้วิ่งพรวดเข้ามาเพื่อจะจับพระองค์กินเป็นอาหาร การกระทำเช่นนี้ก็บังเกิดเป็นโทษแก่ข้าพระองค์ ขอพระองค์โปรดอภัยโทษเหล่านั้น แล้วโปรดทรงพระกรุณาสั่งสอนข้าพระองค์เถิด"

    ขณะนั้นสมเด้จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเล็งเห็นพระยายักษ์ตนนั้นเป็นผู้มีบุญสมภาร ซึ่งจักต้องปรากฏด้วยบุญและคุณแห่งตนในภายภาคหน้าเป็นอันมาก ก็ทรงรับเอาปรมามิสบูชา และทรงลดโทษแก่พระยายักษ์ตนนั้นด้วยดี แล้วทรงสั่งสอนพระยายักษ์ให้เข้าถึงสรณาคมน์และรักษาเบญจศีล พระยายักษ์ก็ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกประการ แล้วนั่งเฝ้าปรนนิบัติพระพุทธเจ้าอยู่ พระพุทธอค์ทรงพยากรณ์ว่า "ดูรา ยักขราชผู้เป็นใหญ่ ต่อไปในอนาคตเบื้องหน้าในระหว่างแห่งศาสนาที่ตถาคตตั้งไว้นั้น ท่านจะได้เกิดมาเป็นพระยาธรรมิกราชองค์หนึ่ง ในระหว่างอายุพระพุทธศาสนาพันที่สาม

    ท่านจะได้ส่งเสริมยกย่องพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก เหตุการณ์เช่นนี้จะมีต่อไปในกาลภายหน้าอย่างแน่นอน เมื่ท่านเกิดมาเป็นพระยาธรรมิกราชนั้น ท่านจะมีอายุยืน ๒๐๐ ปี ในกาลนั้นพระพุทธศาสนาล่วงไปแล้วสองพันปีกว่า จะย่างเข้าสู่สามพันปี ในระหว่างนี้แหละที่ท่านจะได้เป็นพระยาธรรมิกราชภายหลังแต่นั้น อายุแห่งพระพุทธศาสนาจะเหลือประมาณ ๒,๐๐๐ ปี ดูรามหายักษ์ โดยที่ในระหว่างศาสนา ตถาคตที่ตั้งไว้ ๕,๐๐๐ ปี นัแต่ตถาคตนิพพานไปนั้น จะมีพระยาธรรมิกราชมาเกิด ๕ พระองค์คือ

    องค์ที่ ๑ จะเกิดนเมืองปาฏลีบุตรนคร มีนามบัญญัติว่า ปัตตมาลิก (บางฉบับว่าปุตตมาลิก) คือพระเจ้าอโศกราช องค์ที่ ๒ จะเกิดในเมืองสาวัตถีคือเมืองหงสาวดี ท่านองค์นี้จะได้อาชีพค้าขายเมื่อง เวลานั้นเมี่ยงจะราคาแพงน้ำหนัก ๑,๐๐๐ จะขายได้เงิน ๓๒ ลูกเงินตลิง องค์ที่ ๓ จะเกิดในเมืองอังวะ องค์นี้จะเป็นพ่อค้าเกลือ คือในเวลานั้นเกลือจะมีราคาแพง คือเกลือน้ำหนักสองพันปลายสามร้อยธ๊อก จะขายได้ ๓๒ ลูกเงินตลิง องค์ที่ ๔ จะเกิดในเมืองอโยธิยา องค์นี้จะเกิดมาเป็นพ่อค้าพลู เวลานั้นพลูจะมีราคาแพง พลู ๑๐๐ ใบจะขายได้ ๓๐ ลูกเงินตลิง

    องค์ที่ ๕ องค์นี้เกิดมาเป็นพ่อค้าข้าวสาร คือในเวลานั้นข้าวสารจะมีราคาแพง คือ ข้าหมื่นน้ำหนัก (ประมาณ ๑๒ กก.) จะขายได้เงิน ๗๐ ลูกเงินตลิง คือว่าหมื่นข้าวมีราคา ๓๐๖ เถ้ (ธ็อก) เงินตลิง ๑ ลูกมีน้ำหนัก ๕ ผิน (ไม่ทราบมาตรโบราณ ต้องค้นคว้าต่อไป ฝ่านท่านผู้รู้ช่วยคิดด้วย) ในพระยาธรรมิกราช ๕ องค์นี้พระยาธรรมิกราชองค์ชื่อว่า พระเจ้าอโศกราชจะเกิดก่อน ในระหว่างอายุพระพุทธศาสนาหนึ่งพันวัสสาแรก พระยาธรรมิกราชองค์ที่ ๒ มีชื่อว่า ตัมพลุ อนุรุทธรรมิกราช ที่เป็นพ่อค้าเมี่ยง เกิดในเมืองพุก่ำในเมืองหงสาวดีในระหว่างอายุพระพุทธศาสนาพันที่สอง พระยาธรรมิกราชเป็นพ่อค้าพลู จะมาเกิดในเมืองอโยธิยาทวารวดี ในระหว่างอายุพระพุทธศาสนาพันที่สอง พระยาธรรมิกราชที่เป็นพ่อค้าข้าวสารจะมาเกิดในเมือง โยนกโลก หรือเมืองหริภัญชัยนคร ในระหว่างอายุพระพุทธศาสนาพันที่สาม พระยาธรรมิกราชองค์ที่เป็นพ่อค้าเกลือจะมาเกิดในเมืองอังวะ ในระหว่างอายุพระพุทธศาสพันที่สี่

    ดูรา ยักขราช ท่านจะได้เกิดเป็นพระยาธรรมิกราชในศาสนาตถาคต ในระหว่างอายุพระพุทธศาสนาพันที่สาม คือว่าหลังจากตถาคตนิพพานไปแล้ว ตถาคตจะต้้งพระพุทธศาสนาไว้ ๕,๐๐๐ พรรษา ในเมื่ออายุพระพุทธศาสนาล่วงไปแล้วได้ ๒,๐๐๐ ปีบริบูรณ์และย่างเข้าสู่พรรษาที่สามมาถึงเมื่อใด เมื่อนั้นท่านจะได้เกิดเป็นพระยาธรรมิกราช จะได้เกิดในเมืองที่นี้ จะเสวยราชสมบัติเป็นสุขในเมืองเชียงดาวที่นี้ ท่านจะได้ยกย่องส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก

    ภูเขาลูกใหญ่ดอยอ่างสรงนี้ ซึ่งใหญ่และกว้างได้โยชน์ สูงก็ได้โยชน์หนึ่ง มีถ้ำใหญ่แห่งหนึ่ง มีพระพุทธรูปองค์หนึ่งสูง ๑,๐๐๐ วา และมีรูปยักษ์ใหญ่ ๔ ตนอยู่เฝ้ารักษาพระพุทธรูปที่นั้น ดูรา ยักขราช ในกาลต่อไปภายหน้า เมื่อศาสนาตถาคตล่วง ๒,๐๐๐ ปีเข้าสู่เขต ๓,๐๐๐ ปี ในเมืองหริภุญชัยนครนี้จะมีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งพระนามว่า นครสีสา ภาษาไทยว่า พระยาหัวเวียง จะเสวยราชสมบัติในเมืองหริภัญชัยนคร ในเวลานั้นจะมีหญิงโสเภณีคนหนึ่งจะยุยงสนลส่อเท็จทูล ให้พระองค์เบียดเบียนเสนาอำมาต์ประชานาราษฎร์ทั้งหลายคือ ให้ปรับไหมให้ถึงความฉิบหายเป็นอันมาก

    อีกประการหนึ่งพระยาองค์นี้จะมัวเมาในการเล่น ชอบไปเที่ยวตลาดทุกวัน เสนาอำมาตย์ไม่พอใจ จึงพร้อมใจกันปลดจากพระเจ้าแผ่นดิน แล้วยกย่องพระยาองค์อื่นขึ้นเสวยราชสมบัติแทน ต่อมาก็เปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินถึง ๒๐ รัชกาล ในสมัยที่โอรสพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ ๒๐ ขึ้นครองราชสมบัตินั้น ข้าศึกพวกลัวะยกลมาจากเมืองโกสัมพี เข้ามาตีนครหริภุญชัยจะเกิดเป็นโกลาหลกลียุคเป็นเวลานาน ศึกสงครามครั้งนั้นจะชนะกันด้วยรี้พลคนกล้าหาญก็หามิได้ แต่จะชนะกันด้วยคนบ้าคนหนึ่ง

    ตั้งแต่นั้นมาจะไม่มีเชื้อสายท้ายพระยากษัตริย์ เสวยเมืองเป็นเวลานานยิ่งนัก จนถึงปีกัดไค้ถึงปีเล้า ในระหว่างนั้นท่านจะได้มาเกิดเป็นพระยาธรรมิกราช ได้ยกย่องส่งเสริมศาสนาแห่งตถาคต และปีเบิกสันพระอินทร์ผู้เป็นเจ้าแก่เทวดาทั้งหลาย จะเสด็จลงมาจากชั้นฟ้าดาวดึงส์มาตีกลองแก้วใบหนึ่ง เป่าหอยสังข์ ให้คนทั้งหลายในสกลชมพูทวีปทั้งสิ้น ให้ได้ยินได้ฟังทุกแห่ง เพื่อให้สมณพราหมณ์และคฤหัสถ์หญิงชายทั้งหลายได้กระทำบุญให้ทาน รักษาศีลเจริญเมตตาภาวนาเป็นนิรันดร์เถิด ต่อจากนั้นจะบังเกิดภัยอันใหญ่คือพระอาทิตย์และพระจันทร์ จะปรากฏแก่ตาโลกเห็นเป็นสองดวง จะมีต่อไปภายหน้า

    (คัดลอกมาให้อ่านเพียงบางส่วน ท่านที่สนใจจะอ่านทั้งหมด สามารถเข้าไปอ่านได้ที่ลิ้งค์ข้างล่างนี้ครับ)

    ที่มา (๑๑) พุทธตำนาน:พระเจ้าเลียบโลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มกราคม 2015
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    Knowing




    เผยแพร่เมื่อ 30 ก.ย. 2014​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มกราคม 2015
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    รู้สู้ภัยพิบัติ : สรุปเหตุการณ์ภัยพิบัติ ปี 57


    เผยแพร่เมื่อ 27 ธ.ค. 2014​
     
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เตือนภัยน้ำท่วมใหญ่ ปี 2558



    23 ม.ค. 58 ปกตินิมิตเช้าแต่เมื่อคืนนอนไว 23 น.ก็ฝันแล้ว ก่อนที่จะมาถึงจุดนี้ เมื่อคืนก็ไลน์ด้วยธูป 9 ดอก ขึ้นไปถามหน่วยเหนือว่า ภัยทางน้ำถ้ามา จะมาทางใต้หรือทางเหนือก่อน ในนิมิต เห็นตัวเองเอาโคมไฟหัวเสาไปติดตามเสาต่างๆด้านทิศเหนือไล่มาเรื่อยๆ ภาพนี้จะสื่อถึง ทิศเหนือมาก่อน เกิดตอนกลางคืน ถ้ามาตามที่ว่า สำหรับคนกรุงฯ เราก็มีเวลาเตรียมการพอสมควร เพียงแต่จะตั้งรับหรือจะหนี หนีก็ให้หนีไปทางทิศตะวันออก ไปทางนครนายกแล้วขึ้นเขาใหญ่ แล้วก็แยกย้ายไป ถ้าตั้งร้บ อาหารการกินต้องพร้อมอยู่ชั้นสอง

    ขอเล่าเรื่องความฝันคืนจุดธูปไลน์ต่ออีก หลังจากติดไฟหัวเสาจากทิศเหนือเสร๊จ ตัวเองก็มาโผล่อยู่ริมน้ำโขง มีหญิงสองคนและเด็กหนุ่มพามาส่งแล้วก็ไป ตัวเองตอนนั้นไม่ได้ใส่เสื้อ เพราะเสื้อทิ้งอยู่บ้านพักของคนเหล่านั้น เลยคิดว่าต้องหาซื้อเสื้อใส่ ควักกระเป๋ากางเกงซ้ายมีเงินห้าร้อยบาท ขวามีหนึ่งร้อย ใจชื้นเลย โชคดีที่ยังมีเงินติดตัว

    เดินไปริมโขง เห็นแม่น้ำแห้งไม่มีน้ำเลย แต่แปลกแม่น้ำโขงที่แห้งมีสองเส้น จึงมาตีความหมายว่า น้ำจะมาจากทางเหนือและมีสองเส้น สองเส้นคือสองเส้นที่เกิดจากไทยหนึ่งเส้น ประกบกับแม่น้ำโขงหนึ่งเส้น แล้วเกิดเป็นสองเส้นใหม่ งงไหมครับ? คือเห็นมาอย่างนั้น ที่ว่าเป็นเส้นใหม่คือยังไม่มีน้ำไหลผ่านเลย

    มหาประชาบดี ๙๗

    ที่มา แจ้งข่าวเตือนภัยทางอีเมล์จากคุณ k_97
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มกราคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...