การเดินจงกรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ณฉัตร, 13 พฤษภาคม 2015.

  1. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493

    มารที่ว่านี้ หมายถึงอะไร ดังว่า เมื่อเข้าแทรกแล้วจะเห็นวิบากกรรม วิบากกรรมที่ว่านี้ หมายถึงอะไร
     
  2. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ขอบคุณครับที่ช่วยทำให้กระจ่างครับ และเป็นการกันความเข้าใจให้ผิดทางไปครับ การเห็นกายในกายก็มีหลายวิธี ผมเคยเรียนวิชาธรรมกาย แค่ขั้นต้น ก็ไม่เกิดผลอย่างที่อาจารย์สอนครับ ผมฟังและจับหัวใจของวิชาธรรมกาย คล้ายกับที่ไปเรียนมโนมยิทธิครับ คือ ตอนแรกให้ "นึก" เอาก่อน แต่อาการที่เกิดจากกรรมฐานจงกรมหรือนั่งสมาธิ ผมไม่ได้นึกแค่บริกรรมครับ และไม่ว่าจะเกิดอย่างไร ผมก็จับที่ดวงจิตครับ คือตั้งจิตรู้ที่จิต และอารมณ์ของจิต ส่วนนั่งสมาธิไปแล้วเกิดสัมผัสได้ว่าตัวเรานั่งลอยในกายเรา ผมก็ไม่ได้ใส่กายในหรือกายนอก ผมกำหนดรู้ที่จิตและที่อารมณ์ของจิต เพียงแต่ในขณะที่จิตเปลี่ยนการรับรู้จากรับรู้กายของเราเป็นกายที่นั่งภายในจิตมันรับรู้ ก็ปล่อยมันรับรู้ไป จิตมันจะตั้งอยู่ที่กายใหนยังไงก็แค่ตามรู้ครับ ส่วนที่อธิบายว่า อารมณ์จิตเข้าฌาณเป็นพรหม รับรู้ร่างกายภายนอกอย่างนอกรับรู้ในร่างกายอย่างหนึ่งเป็นความสว่างบ้าง เป็นความว่างบ้าง คือ อธิบายจากการที่หลักในมโนมยิทธิ และวิชาธรรมกาย ที่สอนเบื้องต้นให้นึกกายพร้อมอารมณ์แห่งกาย คือจิตมีอารมณ์ในระดับไหน ก็มีกายในระดับนั้น เรามีจิตเป็นเทพ กายเป็นเทพ มีจิตเป็นพรหมมีกายเป็นพรหม จิตน้อมนิพพานมีกายเป็นพระ วิธีเหล่านี้เป็นอุบาย ไม่ได้เกิดจากการมีกายหรือเข้าถึงกายนั้นจริง เป็นการยกระดับจิต สุดท้ายมันจะเป็นจริงถ้าทำถึง เช่น มโนมยิทธินึกว่าไปดาวดึงส์แต่จริงเราไม่ได้ไปเรานึก แต่ท่านที่สำเร็จบอกว่าทำถึงไปได้จริง เราก็ฟังหูไว้หู ทีนี้ การอธิบายกายภายในภายนอกผมจึงอธิบายว่ามันเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาจากการฝึกสมาธิกรรมฐาน เป็นการรับรู้ทางจิตที่เห็นรูปธาตุนามธาตุที่เกี่ยวกับจิตเราในตัวเรานี่แหละ ไม่ใช่สิ่งภายนอก เมื่อระดับจิตเราไปถึงระดับไหน การรับรู้เกี่ยวกับการรับรู้กายอันเป็นที่ตั้งของจิตในแต่ละขณะมันก็เปลี่ยนไป เอาหมายถึงการรับรู้จริง ของจิต ยกตัวอย่าง ว่านั่งสมาธิเดินจงกรมไป หูดับ ไม่ได้ยินเสียงใด ก็คือการรับรู้ไปอย่างนั้น นั่งไปแล้วไม่รับรู้ร่างกายเลยรับรู้แต่จิตล้วนๆ ก็รับรู้ไป การรับรู้แต่จิตล้วนก็แตกต่างกันไป ก็พิจารณาไป กายในกายผมจึงอธิบายตามจิตที่รับรู้ครับ รับรู้ว่าจิตรับรู้เกี่ยวกับกายยังไง ไม่แปลกใจ ไม่ตกใจ จะตั้งอยู่หรือดับไปอย่างไร ก็แค่รับรู้อารมณ์จิตเป็นหลัก แต่นี่ผมจัดว่าเป็นระดับสมาธิ สมถะ ยังไม่ยกสู่การวิปัสสนา เคยมีบางครั้งพยายามพิจารณาอารมณ์ธรรมารมณ์ที่เกิดแก่จิตอย่างเดียว คือดูว่าจิตเรามีธรรมารมณ์ใด แต่ที่ทำไป ยังไม่จัดเข้าขั้นวิปัสสนาครับ จึงได้บอกกล่าวไว้ว่าเป็นประสบการณ์เล่าตามการรับรู้ ไม่ใช่ตำราหรือคัมภีร์ จึงยอมรับไว้เพื่อท่านผู้รู้จะได้ติติง ตักเตือน หรือสื่อสารกันให้เข้าใจครับ สุดท้ายขอขอบคุณนะครับ ถ้าจะวิจารณ์ตอบกระทู้จากนี้ก็ได้นะครับ ถือว่าคอยตักเตือนกันไว้ก่อนได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2015
  3. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ต่อครับ จิตเรานี้ไม่ต้องมีกำลังมากอย่างฤษี จิตมันก็รู้ของมันครับ ตัวอย่าง อดีตชาติพระเทวฑัต เคยหยิบเอาทรายมาหนึ่งกำมือ แล้วตั้งความอาฆาตพยาบาทพระโพธิสัตว์ไว้ว่า จะตามทำลายล้างเท่าจำนวนเม็ดทรายในกำมือนี้ ตอนนั้นอดีตเทวฑัตยังไม่รู้เลยครับว่าเม็ดทรายกี่เม็ด แต่จิตมันรู้ของมันครับ มันจึงส่งผลเป็นวิบากกรรมแก่จิตใจดวงหลังๆ ของอดีตเทวฑัต จนเป็นเทวฑัตคำสาบานอาฆาตมันก็ส่งผลบันดาลให้เกิดกี่ชาติก็อาฆาตครับ
    สำหรับ เห็นภาพแล้วเห็นนิมิตรโครงกระดูก ตามความเห็นตามปกติ ไม่รับรองว่าจริงแท้ ประการแรก อาจเกิดจากภาพนั้นมีอานุภาพจิตของท่านหรือของบุคคลที่อธิษฐานถึงคุณพระท่าน ซึ่งอาจหมายถึงตัวท่านผู้บูชารูปภาพนั้นด้วยครับ เมื่อจิตเป็นสิ่งที่รู้ได้ จิตกับจิตก็รู้ถึงกันได้ ธรรมก็รับรู้ได้จากจิต ธรรมจึงมาตามพลังแห่งจิตได้ เมื่อจิตไปรับรู้ถึงพลังจิตของท่านหรือจิตของท่านรับรู้พลังจิตของผู้บูชา ความเมตตาก็ดีธรรมก็ดีก็มาครับ เวลาพระท่านสอนแผ่เมตตา มีอย่างนี้ด้วยนะครับว่า ขอสรรพสัตว์จงถึงธรรมของพระศาสดาด้วย ตามกำลังของสัตว์นั้นตามสมควร ถ้าบทแผ่เมตตาแบบนี้ไม่มีผล พระท่านคงไม่สอนเราให้แผ่เมตตาอย่างนั้น เมื่อจิตท่านผู้บูชารับทราบได้ย่อมได้รับธรรมตามสภาวะที่ท่านสามารถเข้าถึงได้ เพราะจิตตานุภาพของพระผู้มีเมตตาครับ กราบขอขมาพระรัตนตรัยหากเป็นความเห็นผิดหลง แต่ข้าพเจ้ามีศรัทธาในเมตตาธรรมของพระรัตนตรัยครับ ประการที่สอง หลายท่านกล่าวเพราะอานุภาพแห่งเทวดาที่ต้องมาบันดาลมาช่วยเพราะสร้างบารมีตามพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ความเห็นเหล่านี้แล้วแต่จะพิจารณาครับ วิจารณ์ติติงได้ครับ
     
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เชิญให้วิจาร ก็จะวิจารนะ แต่ เฝ้นเอาไปแต่ธรรม ละกัน

    ตรงเนี้ยะ ขมวดปม ถูก คือ กำหนดรู้ความเป็น อุบายฝึก ...ซึ่ง คุณคงกระทำ
    ไว้ในใจด้วยว่า " ไม่ติดข้อง " พอไป กระทำไว้อย่างนั้น หากเป็นการปรารภออก
    มาจาก " ทิฏฐิ " หรือ ดำริเอา มารมันจะแทรก

    พอมารแทรกปั๊ป คุณก็ เผลอไปเชื่อมาร แล้วพูดว่า


    จริงๆ แล้วหากทราบชัดในความเป็น อุบาย มันจะจริง หรือไม่จริง เราจะไม่ใส่ใจ
    เลย แต่นี้ ยังมีอาการแบ่งรับแบ่งสู้ ทำให้ จิตมันเคลื่อนจาก ฐานจิต ไปสู่
    ธรรมของคน คนนั้นทำได้ คนนั้นทำไม่ได้ เกิด พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก

    ตรงนี้ ต้องระวังการ ระบุชื่อบุคคลตรงๆ ถ้าไปกล่าวธรรม ระบุชื่อตรงๆ เข้า
    ก็จะเกิด การผิดสัจจ มีผลต่อการอันตรธานหายไปของ ลาภ



    ***************

    ตัดมาตรงนี้ จะเป็นเรื่อง ธรรมะล้วนๆ การภาวนาล้วนๆ เรียบง่าย ไม่มีเรื่อง สำนัก
    เข้ามา ทับ สัทธรรม ไม่เอาธรรมสาวก มา กระทืบสัทธรรให้เลือนหาย
    [ อ่านดีๆ นะ ไม่ได้ ระบุชื่อใครหน่าคร้าบบบบบ ]

    การพิจารณาเหลือแต่จิตอย่างเดียว ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ก็ไม่ใช่เป้า
    หมาย หรือ วิธีการยก วิปัสสนา

    การ ปฏิบัติที่ไปสัมผัสเหลือแต่ " จิตดวงเดียว " จัดว่าเป็นเรื่อง ของการทำสมถะ
    ทำขึ้นเพื่อพิสูจน์ว่า ความผันแปรทั้งหมด มันออกมาจาก จิต เป็นตัวการใหญ่
    ไม่มีใครบันดาล และ ไม่ใช่เรื่องของ สัตว์

    จิตดวงเดียว ที่ทำกันอยู่ ส่วนใหญ่ พอเห็น " จิตดวงเดียว " แล้ว ร้อยละร้อย
    กลับทะลึ่ง เคลื่อนว่ามีสอง คือมี ต้นธาตุ ผู้ให้กำเหนิด มันไม่เหลือดวงเดียว
    จริง นี่เพราะว่า ที่สุดของ สมถะ ของ ฌาณ ยังไงมันก็เป็น " โลกียะ " เหลือ
    ดวงเดียว ธรรมมันก็ยังเป็นสอง อยู่วันยันค่ำ โดย ศาสนาที่ยังมีศาสดาอื่น
    จะส่งออกไปรับรู้ จิตที่เหนือกว่า .....ทำให้เกิด พระเจ้า

    แต่ในธรรมวินัยนี้ จิตเป็นธาตุ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ หากเหลือจิตดวงเดียว
    แล้วไม่เคลื่อน เออะอะ ใครรู้ ใครเห็น ใครให้ผัสสะรสเลิศ ก็จะพอ แก้สงสัย
    ในเรื่อง จิตเป็นธาตุ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ เป็นเพียง ภาชนะ ที่ไหลไปตาม
    สิ่งกระทบ ห้ามไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจ และ แปรปรวนตลอดเวลา คงที่ไม่ได้

    เนี่ยะ พอไปเห็นแบบนี้ ถึงจะมี สัมมาทิฏฐิเบื้องต้นที่ถูกต้อง เอามาต่อยอด
    การภาวนา การวิปัสสนา

    พอยกได้บ่อยๆ ก็จะเรียกว่า แยกธาตุ แยกขันธ์ กว่าจะเริ่มนับหนึ่ง สมาธิธรรม
    สมาธิของพระพุทธศาสนา ก็ต้อง อาศัย อุบายธรรมต่างๆ เข้ามา และสัมผัส
    ได้ว่า โลกียฌาณ กับ สัมมาสมาธิ นั้น ต่างกันราว ฟ้ากับเหว
     
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ต่อนะ

    ตรงนี้ให้สังเกต หากการกล่าวถึง ชื่อ พระเทวทัตใน ฐานะของ สัตว์ อย่างหนึ่ง
    คุณจะรู้ไม่จริง ถึง " ความเป็นอนัตตาของจิต "

    พระเทวทัต ท่านไม่ผิดอะไรเลย จิตมันกระทบและปัก และผันแปร ไปตาม
    เหตุปัจจัย ไม่ใช่เกิดจาก สัตว์ดำริจะเป็น

    ถ้าฟังธรรมไม่เข้าใจ จะวาดภาพ พระเทวทัต เป็น คนเลวแสนเลว แต่
    งง เรือหายว่า ก็เพราะ ปัจจัยแบบนี้แหละ ทำให้เป็นถึง พระปัจเจกพุทธเจ้า
    เลิศกว่า สาวก ทั้งปวง !!!



    อันนี้ ที่พยายามกล่าวไปในโพสที่แล้วที่ว่า

    ไอ้เหลือจิตดวงเดียว เนี่ยะ ส่วนใหญ่ มันยังแบ่งโลกเป็นสอง ยังชะเง้อ
    ชะแง้ ถามหาว่า สัมผัสอันเลิศ อันเย็น อันสบาย ใครประทานมาให้

    เสร็จทันที กลายเป็น บุคคลศาสนาอื่นไปแล้ว ไปคว้าเอาตัวเฮียอะไร
    ที่ไหนไม่รู้ ที่มันส่งพลังมาหลอก ให้จิตเคลื่อนออกไปเป็นสอง มีผู้รับ
    มีผู้มา มีผู้ใหญ่กว่า

    จิตกลายเป็นเรื่องของสัตว์เร่ร่อนหาพ่อหาแม่

    ตกจาก สัมมาทิฏฐิที่ จิต เป็นเพียงธาตุ ไม่อยู่ในอำนาจ ไม่ใช่สัตว์ ตัวตน บุคคล
    เราเขา และ มีสภาพเคลื่อนเสมอ ไม่สามารถตั้งอยู่ได้
     
  6. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    เสริมให้ดูอีก

     
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อย่าลืม นะ คุงณchat ( ตอนนี้ ยังจิก เรียก chat ไปก่อง )


    อย่าลืม นะ คุงณchat


    สิ่งที่กล่าวว่า

    ต้องไม่หลงลืมว่า นี่ก็คือ อุบาย

    ตัวธรรมแท้ๆ คุณจะต้องไป ฟังเอาเอง ขณะปฏิบัติ

    การฟังธรรมแท้ๆ นั้น จะไม่ใช่สิ่งพูดได้ แต่เป็น " ความอิ่มที่ไม่ต้องขยับเป็นภาษาพูด "

    อย่าเสียเวลา ในการตีความ จับประเด็น เอาจาก ภาษาจาก "ท้าวโฆษก" ทั้งหลายเด้อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2015
  8. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ขอบคุณครับ แต่ขอแย้งในบางส่วนนะครับ ถือว่าสนทนากันก็แย้งกันไปมาได้ ผมพูดภาษาชาวบ้านๆ ว่า อดีตพระเทวฑัตตั้งจิตอาฆาตไว้ คำว่า พระเทวฑัตหมายถึง พระเทวฑัต ในพระไตรปิฎกตรงนั้นตรงนี้ก็ว่าไป อดีตพระเทวฑัต ก็หมายถึง เหตุปัจจัยในกาลก่อนของพระเทวฑัต อนาคตพระเทวฑัตจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็เป็นอนาคต เป็นสิ่งสืบเนื่องจากพระเทวฑัตแต่ไม่ใช่พระเทวฑัต ความหมายพูดแค่สื่อสารแบบโลกๆ ยังไม่ยกเข้าปรมัตถ์ ปัจจุบันพระไตรปิฎกบอก พระเทวฑัตตายไปเป็นสัตว์นรก สัตว์นรกนี่สืบต่อเนื่องจากเหตุปัจจัยพระเทวฑัตก็หาใช่เทวฑัตไม่ แล้วใครดีใครเลว อนัตตา ไม่มีตัวตน มีแต่ธาตุ สักแต่ว่าธาตุ อืมม์ จิต ก็สักแต่ว่าธาตุ แล้วมาเล่าให้ฟังกันในพระไตรปิฎก ท่องด้วยปากสืบต่อกันมาตั้งหลายร้อยปี จนกระทั่งบันทึกลงอักษรมาให้อ่านศึกษา ตอนแรกไปวัดก็สอนศีลห้า ไม่ได้สอนไม่ให้รับศีล ๒๐๐ ๓๐๐ ผมมาเล่าต่อ ส่วนจิตก็สักแต่ว่าธาตุ ธรรมสักแต่ว่าธาตุ แต่ไม่รู้ว่าจะสอนเรื่อง พละ ๕ เพื่ออะไร พละ ๕ ก็สักแต่ว่าธาตุ ร่างกายก็สักแต่ว่าธาตุ ไม่ทราบจะต้องสะสมกำลังกายกำลังจิตไปเพื่ออะไร ก็แค่ธาตุ จิตก็อนัตตา กายก็อนัตตา เราท่านก็ไม่ได้พ้นทุกข์แม้เหตุปัจจัยเราท่านไม่ว่าจะจิตจะกายเป็นธาตุ ก็ต้องศึกษาไปเพื่ออะไร มารก็อนัตตา มารก็อนิจจัง มารก็ทุกขัง จะกลัวเค้าไปใย ขันธมารก็กายนี้ ขันธมารก็สักแต่ว่าธาตุ เรียนรู้ธาตุ โดนธาตุหลอก กลัวอะไร มีตัวตนเหรอ สักแต่ว่าธาตุ สอนให้กลัวมารหรือสอนให้รู้จักมาร สอนให้ชนะมาร มารก็ธาตุ กายกับจิตก็ธาตุ ชนะไปเพื่ออะไร สักแต่ว่าธาตุ
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เตือนไปแล้ว ตะกี้นี้

    ที่พยายามบอกว่า อย่าพยายาม ฟังด้วยการตีความ จับตามบัญญัติ

    แม้กระทั่ง ภาษาธรรมที่เป็นปรมัตถ์ นี่ก็ต้อง สำรวมระวัง ในการรับ

    ทั้งนี้เพราะ


    คนที่ สมาธิจิตมีน้อย แต่สำคัญว่ามีมาก จะไม่ทัน จิตที่ไหลไปคิด

    สมาธิไม่พอ สัญญามันยังทำงาน พอรับฟังธรรมปรมัตถ์ ปั๊ป

    ยกส้นสิบให้กับคนแสดงทันที มึงเอาแต่ร่ำ " ปรมัตถ์ " แล้ว กูจะอยู่
    ในโลกอย่างไร

    เนี่ยะ หากเป็นนักสมาธิ จิตทรงฌาณ จะเห็นเลย ปัญญามันล้ำหน้า

    พอรับฟังปรมัตถธรรมปั๊ป จิตที่ไม่ได้มีใครเป็นเจ้าของ มันจะพฤติจิต
    ไหลไปคิด ปัญญาอินทรีย์ล้ำหน้า สมาธิ

    ทำให้ สัญญามันเคลื่อนคลาด เข้าใจว่า จิตตนรู้ทั่วถึงปรมัตถ ก็เลย
    โดนสัญญา มันหยอกเอิ้นเอา อยากย้อนแย้งเอาส้นสิบยัดปากพวกที่
    ทำเป็นพูดปรมัตถ์สักแต่ว่า


    อันนี้ ไม่ต้องเดือดร้อนใจนะ มันเป็น ปรกติของธาตุที่เรียกว่าจิต
    ไม่ใช่เรื่องของใคร ของผู้ใด อะไร
     
  10. DEEJAI243

    DEEJAI243 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2015
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +1,445
    สภาวะธรรมที่คุณเอกวีร์
    และคุณณฉัตรกล่าวมานั้น
    ดูจะมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมากค่ะ
    ดิฉันระดับความรู้ทางธรรมเป็นเสมือน
    เด็กอนุบาลคนหนึ่ง

    กำลังพยายามทำความเข้าใจทีละ
    ประเด็นอยู่ค่ะ หากติดขัดหรือมีข้อสงสัย
    ดิฉันขออนุญาตถามได้ไหมค่ะ

    ขอขอบคุณในการให้วิทยาทานค่ะ
     
  11. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ถามมา เป็นผม ผมจะไม่ตอบนะ

    เพราะ คุณจิ้มพรวดเข้ามาใน อนิจจานุปัสสี อนัตตานุปัสสี
    นี่มันก็ แจ่มอยู่แล้ว

    หาก ไปเสวนา ตอบ ถาม เดี๋ยวคุณก็เผลอไปข้าง

    " ตนต่ำกว่าเขา ตนเสมอเขา ตนสูงกว่าเขา " เสร็จเลย
    โดนหลอกให้มาเสวนาธรรม โดยไม่จำเป็น

    ควรภาวนา ปิดวาจา สักเดือน สองเดือน ด้วยซ้ำ
     
  12. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ขอบคุณ ร่ำไปเท่านั้นแหละครับ แค่บอกว่าผมพูดภาษาธรรมแบบชาวบ้านครับ ก็ท่านเอกวีร์พูดซะผมงง เหมือนให้ผมกราบอดีตพระเทวฑัต สรรเสริญความอาฆาตของอดีตพระเทวฑัต อย่างกับเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
    แต่ขอบคุณที่วิจารณ์ครับ อย่าโกรธผมนะครับ บางทีคนเรามันสงสัยก็ถามหรือพูดเพื่อให้มาลงประเด็นกัน ก็เชิญติเตียนติติงได้ครับ ผมบางทีปัญญาจะหนาอยู่ครับ
     
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    แล้วแต่ จะแล่นไปนะ จิตหากยังอบรมไม่ดี สมาธิไม่พอ จิตมันผลิกไปผลิกมา

    มันเลือกข้าง เกิด มายาคติ นี่เรื่องปรกติ


    ธรรมะนั้น กุศลาก็ธัมมา อกุศลาก็ธัมมานะ อัพพยากตาก็ธัมมา

    ทุกสิ่งเป็นธรรม การที่ บุคคลาธิษฐานแห่งจิต มีบัญญัติตามสมมติว่า
    " พระราชบิดา " ของพระโพธิสัตว์บ้าง สหายบ้าง ศัตรูบ้าง ต่าง
    ก็อาศัย ปัจจัยดังกล่าว ในการรับประโยชน์จาก มหาสัตว์
    ( เวนัยสัตวของโพธิสัตว์ท่าน )

    หาก บุคคลาธิษฐานมีนามสมมติว่า เทวทัต ไม่มี อกุศลกรรมแรงกล้า
    ดังกล่าว ก็จะไม่มี ปัจจัยในการสำเร็จความเป็นปัจเจกพุทธ

    เรื่องนี้ไปทบทวนได้ ก่อนที่ พระเทวทัตจะสำเร็จเป็นพระปัจเจก
    พระพุทธองค์ พยากรณ์ ปัจจัยใดเป็นสิ่ง เป็นปัจจัยให้บรรลุ !!!

    ฟังธรรม ด้วยการตรึก ด้วยตรรกศาสตร์ ด้วยปรัชญาว่าด้วยความดี
    เสียหมดแหละ ไม่เข้าใจ "อกุศลาก็ธัมมา "
     
  14. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ทราบมาว่า เพราะพระเทวฑัตท่านสำนึกผิด และจะไปกราบขอขมาต่อพระพุทธองค์ และก่อนจะถึงที่ประทับของพุทธองคื กรรมอันบาปได้ถึงเวลาส่งผลจะถูกสูบโดยธรณี แต่แม้จะถูกสูบไปกึ่งร่างกายท่านพระเทวฑัตกลับตั้งใจได้ทันและกล่าวคำสรรเสริญเอาพุทธองค์เป็นสรณะ พุทธองค์ทรงมีพระเมตตากรุณาทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังษี แต่ไม่เคยทราบมาว่าที่ได้จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเพราะความอาฆาตในกาลก่อน และบุญบารมีที่จะเป็นพระปัญเจกพุทธเจ้าก็ไม่ได้มาจากชาติที่ตั้งความอาฆาต แลพุทธทำนายของนิตยพระโพธิสัตว์หากไม่บำเพ็ญบารมีต่อ ก็ไม่มีทางบรรลุพุทธเจ้า นอกจากนี้ ที่ผมกล่าวว่าพระเทวฑัต ก็ให้ความเคารพแล้วเพราะคนที่กลับใจนั้น ถือเป็นกุศลจิต ควรแก่การเคารพ แต่หากยังมีความอาฆาตก็ควรติเตียน แลการติเตียนแม้องคุลิมาลในกาลก่อน หากไม่กลับใจก็ควรถูกติเตียน แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะไปยึดติดว่า คนมันชั่วอะไร ก็เห็นเป็นเหตุปัจจัยตามที่ท่านเอกวีร์ว่า แต่ปัญหาที่ยก คือยกอดีตพระเทวฑัตในกาลก่อนมาประกอบเพื่อให้รู้กันว่า อย่าตั้งความอาฆาตแค่นั้นครับ คือ ถ้าไม่ยกตัวอย่าง ก็พูดกันลำบากอยู่ แลในเมื่อพระไตรปิฏกก็บันทึกไว้ให้ศึกษาครับ ถ้าวิเคราะห์ผิดประการใด คุณเอกวีร์ก็ติติงได้ การโต้แย้งกันไม่ได้หมายถึงการเกลียดชัง การยกตัวอย่างก็ไม่ได้หมายความว่าผมไปมีจิตปลงใจเห็นว่าเค้าเลวโดยปราศจากเหตุปัจจัยนะครับ
     
  15. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    อ้างอิง คุณเอกวีร์ ธรรมะนั้น กุศลาก็ธัมมา อกุศลาก็ธัมมานะ อัพพยากตาก็ธัมมา

    ทุกสิ่งเป็นธรรม การที่ บุคคลาธิษฐานแห่งจิต มีบัญญัติตามสมมติว่า
    " พระราชบิดา " ของพระโพธิสัตว์บ้าง สหายบ้าง ศัตรูบ้าง ต่าง
    ก็อาศัย ปัจจัยดังกล่าว ในการรับประโยชน์จาก มหาสัตว์
    ( เวนัยสัตวของโพธิสัตว์ท่าน )

    หาก บุคคลาธิษฐานมีนามสมมติว่า เทวทัต ไม่มี อกุศลกรรมแรงกล้า
    ดังกล่าว ก็จะไม่มี ปัจจัยในการสำเร็จความเป็นปัจเจกพุทธ

    เรื่องนี้ไปทบทวนได้ ก่อนที่ พระเทวทัตจะสำเร็จเป็นพระปัจเจก
    พระพุทธองค์ พยากรณ์ ปัจจัยใดเป็นสิ่ง เป็นปัจจัยให้บรรลุ !!! ..........
    พูดภาษาชาวบ้านนะครับ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม ไม่ดีไม่ชั่วก็ตาม ก็ธรรม พูดอย่างนี้เพื่อให้มีค่าเท่ากัน คือ ธรรม แต่เวลาสอนเพื่อหลุดพ้น ไม่ได้ปฏิบัติเท่ากันนะครับ ไม่ดีนี่ไม่ให้แตะเลย ส่วนดีต้องเพิ่มพูนเพื่อละทิ้งภายหลัง แต่ก็นั่น กริยาที่สืบต่อเนื่องจากดีนั้น ก็ยังสืบต่อจนกว่าจะนิพพานนะครับ การเห็นกับการปฏิบัติกับมันไม่เหมือนทีเดียวไม่เท่ากัน ดีเท่านั้นส่งเสริมหนุนไปสู่นิพพาน แต่ชั่วไม่มีทางครับ ท่านเอกวีร์ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า หรือผมเข้าใจที่ท่านอธิบายผิด อยากให้คุณเอกวีร์ชี้แจงเพิ่มครับ หรือผมคนเดียวเท่านั่นที่เข้าใจผิด ขอแย้งไว้นะครับ กลัวท่านอื่นว่าทำชั่วได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า การโปรดเวไนยสัตว์เพราะสัตว์ชั่วกิเลสหนามันถูก แต่อกุศลที่ทำนั้นให้เป็นพระปัจเจกมันขัดกัน ถ้าจะพูดเรื่องปรมัตถ์จนเข้าใจสมมติบัญญัติผิดก็ได้หรือครับ เราไม่ต้องทำดี ทำชั่วทำเลยเดี๋ยวได้ดีเองเหรอ หรือมิใช่ว่าพระเทวฑัตท่านทำกุศลอื่นถึงได้รับการโปรด ก็ถ้าไม่สำนึกผิดพระเทวฑัตจะไม่เชื้อกุศลเลย จะเอาอะไปต่อกุศลได้ ถ้าพระเทวฑัตไม่สำนึกผิดจะได้เป็นไหม แค่นี้ก็ทราบแล้วว่า เป็นเหตุปัจจัยโดยตรงให้ตั้งกุศลจิตสืบเนื่องไปเป็นปัจเจกพุทธเจ้าได้ จะมีอะไรอีกครับการพูดเหมือนกับทำให้เข้าใจว่า คอยอาฆาตแล้วเจริญมันจะไม่ตรง แถมจิญจมาณวิกาผจญพุทธองค์เหมือนกันแต่รายนั้นไม่สำนึกผิด มีพยากรณ์หรือไม่ว่าจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ขอท่านช่วยชี้แจงด้วครับ
     
  16. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    อภิธรรม
    กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา ฯ กะตะเม ธัมมา กุสะลา ฯ ยัสมิง สะมะเย กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง อุปปันนัง โหติ โสมะนัสสะสะหะคะตัง ญาณะสัมปะยุตตัง รูปารัมมะณัง วา สัททารัมมะณัง วา คันธารัมมะณัง วา ระสารัมมะณัง วา โผฏฐัพพารัมมะณัง วา ธัมมารัมมะณัง วา ยัง ยัง วา ปะนารัพภะ ตัสมิง สะมะเย ผัสโส โหติ อะวิกเขโป โหติ เย วา ปะนะ ตัสมิง สะมะเย อัญเญปิ อัตถิ ปะฏิจจะสะมุปปันนา อะรูปิโน ธัมมา อิเม ธัมมา กุสะลา ฯ
    โอวาทปาติโมกข์
    สพฺพปาปสฺส อกรณํ
    กุสลสฺสูปสมฺปทา
    สจิตฺตปริโยทปนํ
    เอตํ พุทฺธานสาสนํฯ

    ๏ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง 1
    การบำเพ็ญแต่ความดี 1
    การทำจิตของตนให้ผ่องใส 1
    นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    จะเอาอภิธรรม มาทำลายโอวาทปาติโมกข์ ได้หรือครับ กุศลธรรม อกุศลธรรม คือ ธรรม ธรรมชาติ
    ไม่ได้แปลว่า โทสะ คือ ความดี โมหะ คือ ความดี ธรรม ไม่ได้แปลว่า ธรรมะ ที่หมายถึง คุณธรรมความดี ในอภิธรรม หมายถึง ธรรมชาติ หรือธาตุ
    กุสลาธฒฺมา
    ธรรมทั้งหลายเป็นกุศล คือไม่มีโทษอันบัณฑิต ติเตียน มีสุขเป็นวิบากต่อไป

    อกุสลาธฒฺมา

    ธรรมทั้งหลายเป็นอกุศล คือมีโทษอันบัณฑิต ติเตียน มีทุกข์เป็นวิบากต่อไป

    อพฺยากตา ธมฺมา

    ธรรมทั้งหลายที่เป็น อัพยากฤต คือท่านไม่พยากรณ์ว่า เป็นกุศล หรืออกุศล คือเป็นธรรมกลาง ๆ

    การอาฆาตจองเวร เป็นอกุศลธรรม นำไปสู่นรก ทุกชาติหลายชาติ การสำนึกผิดเป็นกุศลธรรม มีวิบากไปสู่ความเจริญ พระปัจเจกพุทธเจ้า ขอจบประเด็นธรรมตามพระคัมภีร์ครับ ขอขอบคุณท่านเอกวีร์ที่เข้ามาให้ความกระจ่าง และเปิดประเด็นพิจารณาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2015
  17. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    - เท่าที่อ่านๆมาแต่ละท่าน บางท่านรู้สึกพิศดาร ลึกล้ำพันลึก เก่งมากๆเลยครับ

    - ก็ขอแสดงความคิดเห็นต่อ แต่คงไม่มีผลต่อนักปฏิบัติชั้นเซียนนะครับ

    - ตามหลักการนะครับ

    - สติ ก็คือ จิต สติก็คือการที่จิต ระลึกได้จากสิ่งที่เกิดสภาวะธรรม เช่นการเกิดผัสสะ ลมกระทบจมูก เท้ากระทบพื้นเป็นต้น
    - สัมปชัญญะ ก็คือ ความรู้สึกตัว ของ นามธรรมอันหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่จิต อันนี้ต้องย้ำนะครับ มันไม่ใช่จิต แล้วมันคืออะไรเล่า....

    - สัมปชัญญะ จะไม่มีการสอนใน ศาสนาอื่น ความรู้สึกตัวของสัตว์โลก การสร้างสัมปชัญญะให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื้อง ในทุกอิริยาบท นั้นจะต้อง สร้าง สติ ให้ต่อเนื่องในทุกอิริยาบทขึ้นมาก่อน

    - สติ ที่สร้าง กับสิ่งไดสิ่งหนึ่ง แม้แต่การเดินจงกรม สติที่สร้างจากการก้าวย่าง ไม่จำเป็นต้องมี จังหวะ หรือการบริกรรม เพียงแต่ขอให้เกิดสติ กับการก้าว และสำคัญต้องมี สัมปชัญญะ ตามเสมอ

    - เป้าหมายของสติปัฏฐานสี่ ก็คือการสร้างสัมปชัญญะ ให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกตัวที่เกิดตลอดเวลา จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่สร้างสติขึ้นมาก่อน มันเป็นการฝึก ถ้าไม่เข้าใจจุดนี้ จะก้าวไปสู่วิปัสสนาได้อย่างไร

    - การสร้างสติที่ต่อเนื่องจนเกิดสมาธิ ก็จะเกิดสภาวะต่างๆขึ้นมา ถ้าไม่ฝึก สัมปชัญญะควบคู่ ก็ไม่สามารถ เบรค สิ่งที่เกิดได้ก็จะสำคัญว่าได้พบของดี ที่แท้ก็เป็นสภาวะจิตที่สร้างขึ้นมานั้นเอง ถ้าสร้างสัมปชัญญะให้แน่น ก็เอาความรุ้สึกตัวเข้าไปตัดทิ้งสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเป็นเพียงสภาวะจิตที่สร้างขึ้น เป็นจิตสังขารนั้นเองไม่เป็นของเที่ยงเป็นสิ่งลวงตา จิตสังขารทั้งหลายถ้าไม่เอา ความรุ้สึกตัวไปตัดทิ้งก็จะ เกิดมิจฉาสมาธิ นั้นเอง

    - การทำวิปัสสนา ต้องใช้การร่วมกันของ สติ และสัมปชัญญะ จะเน้นอย่างไดอย่างหนึ่งก็ไม่ได้ การภาวนาต้อง ส่งเสริมให้เกิดพร้อมๆกัน ความรู้สึกตัวที่ต่อเนื่อง ก็คือการตื่นขึ้นมาของตัวสัตว์โลก เมื่อตื่นขึ้นมา ตัวจิต ก็จะเป็นตัวป้อน ให้เกิดความรุ้ สภาวะ ความเป็นไตรลักษณ์ ของขันธ์ห้า

    - ตัวจิต เป็นตัวป้อนความรู้ ป้อนให้เห็นแจ้ง แก่ ตัวสัตว์โลกที่ตื่นขึ้นมา เพื่อให้เกิดการเห็นของตัวสัตว์โลก หรือที่เรียกว่า เห็นแจ้ง หรือที่เรียกว่า วิปัสสนานั้นเอง

    ขอยกพระสูตรขึ้นมาประกอบดังนี้นะครับ
    ......" [๖๙๖] ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและญาณในขณะแห่งโลกุตรมรรค
    อย่างไร ฯ
    ในขณะโลกุตรมรรค จิตเป็นใหญ่ในการให้เกิดขึ้น และเป็นเหตุ
    เป็นปัจจัยแห่งญาณ จิตอันสัมปยุตด้วยญาณนั้น มีนิโรธเป็นโคจร ญาณเป็นใหญ่
    ในการเห็น และเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งจิต ญาณอันสัมปยุตด้วยจิตนั้น มีนิโรธ
    เป็นโคจร ย่อมตรัสรู้ด้วยจิตที่เป็นปัจจุบันและด้วยญาณ ในขณะแห่งโลกุตรมรรค
    อย่างนี้ ฯ
    ...เอามาจาก ()

    จิตเป็นใหญ่ในการเกิดขึ้น = เพราะจิตเป็นผู้ป้อนข้อมูล
    ญาณเป็นใหญ่ในการเห็น = ก็คือเห็นได้ด้วยญาณ หรือที่เรียกว่าวิปัสสนาญาณนั้นเอง

    จิต กับญาณ จึงเป็น นามธรรม คนละอันกัน จิตเป็นตัวป้อน เป็นตัวสร้างให้เกิดญาณนั้นเอง

    - จิต เจตสิค รูป นิพพาน เกี่ยวกันอย่างไร

    - สติ ก็คือจิต เจตสิคจะเกิดร่วมกับจิตเสมอ
    - รูป ก็คือร่างกายเรานี้เอง
    - นิพาน คือนามธรรมอันหนึ่ง
    - สัมปชัญญะ คือการรู้สึกตัว สัมปชัญญะที่เกิดอย่างต่อเนื่อง จะพัฒนาไปเป็น ญาณ
    - นิพพานธาตุ สามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้ การรับรู้สิ่งต่างๆ เรียกว่า รู้ได้ด้วยญาณ นั้นเอง

    - การตั้งจิตโดยชอบ ก็คือการมีสัมมาทิฏฐินั้นเอง เพื่อก้าวไปสู่การป้อนข้อมูล ให้ แก่ตัวสัตว์โลกที่ตื่นขึ้นมา

    - สรูป การเดินจงกรม ก็คือการสร้าง สติ แล้วตามด้วยสัมปชัญญะ ให้เกิดต่อเนื่องต่อจากการอิริยาบทอื่นนั้นเอง มิได้สลับซับซ้อนอะไรเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤษภาคม 2015
  18. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ขอบคุณครับ สติสัมปชัญญะต้องใช้ทุกกรรมฐานครับ การเดินจงกรม การหายใจ การนั่ง การยืน การนอน ทำกรรมฐานได้หมดครับ เป็นเรื่องธรรมดาไม่สลับซับซ้อนครับ แต่ว่าผู้ปฏิบัติต้องฉลาดในการพิจารณาครับ ท่านพุทธทาส จึงเขียนอานาปานสติแบบละเอียดเขียนแค่เรื่องเดียวเป็นเล่มเลยครับ ละเอียดมากครับ ส่วนการเดินจงกรมทีการสอนกันมากนะครับ แต่ผมรู้สึกว่าผู้ปฏิบัติหลายท่านส่วนใหญ่มักเห็นการเดินจงกรมเป็นแค่การผ่อนคลาย เห็นการนั่งสมาธิเป็นเรื่องสำคัญกว่าไป เหมือนเค้าเหล่านั้น ลืมไปว่าการเดินจงกรมนั้นก็สามารถให้ผลได้ดีเช่นกับการนั่งสมาธิ วัตถุประสงค์จึงอยากให้เห็นว่า แม้เดินจงกรมก็ได้ฌาณได้ ได้วิปัสสนาได้ครับ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ อย่าเห็นเป็นได้ขยับแข้งขยับขาเท่านั้นครับ
     
  19. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    เพราะสติยังไม่ชัด ยังมีลักษณะเบลอๆอยู่ เมื่อประสบอารมณ์ทางตา ทางหูเป็นต้น จึงมีอาการผิดเพี้ยนไป ครั้นมองซ้ำก็ชัดเป็นปกติ อุปมาเหมือนคนเดินผ่านป่าช้ายามดึกสงัด เห็นตอไม้เป็นผี เห็นแค่นั้นแหละวิ่งตัวปลิว (บางทีจับไข้หัวโกร๋น) ตืนเช้ามาเล่าให้ชาวบ้านฟัง ชาวบ้านให้พาไปดูตรงที่เห็นผี สำรวจดูก็เห็นตอไม้ที่ถูกไฟไหม้อยู่

    ในการทำสมาธิภาวนา ผู้ฝึกใหม่ๆจะประสบเรื่องราวแปลกๆทางตา ทางหู ฯลฯ ทางหู ก็ได้ยินเสียงสวดเป็นต้นแปลกๆ พอไปถามใครก็ไม่ได้ยิน

    หลักการปฏิบัติคือกำหนดจิตขณะเห็น ขณะได้ยินเป็นต้นครับ
     
  20. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ไม่พูดปากเปล่า นำตัวอย่างให้ดูด้วย

     

แชร์หน้านี้

Loading...