ไม่มาเกิดไม่มาตายเรียกว่าชาติสุดท้าย พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 19 พฤษภาคม 2011.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ไม่มาเกิดไม่มาตายเรียกว่าชาติสุดท้าย พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

    หมายเหตุ - ในโอกาสวันถวายเพลิงสรีระสังขาร หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะศิษย์วัดภูสังโฆ ได้จัดทำหนังสือ ไม่มาเกิดมาตายเรียกว่า “ชาติสุดท้าย” แจกเป็นที่ระลึก ก่อนหน้านี้คณะผู้จัดทำได้เคยจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้แล้วนำถวายหลวงตามหาบัวครั้งยังดำรงขันธ์อยู่มาก่อนแล้ว เนื่องจากการพิมพ์ครั้งล่าสุดนี้หนังสือมีจำนวนจำกัด

    ทางกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์จึงได้ขออนุญาต พระอาจารย์วันชัย วิจิตโต เจ้าอาวาสวัดภูสังโฆ นำรายละเอียดของหนังสือมาเผยแผ่ซึ่งท่านได้แจ้งว่า ให้พิจารณาว่าจะเป็นประโยชน์หรือไม่ ทางกองบรรณาธิการจึงจะนำเสนอต้นฉบับตามเดิม โดยเพิ่มเนื้อหาที่เป็นเทศนาของพ่อแม่ครูอาจารย์แต่ละรูปเข้ามาอีกส่วนหนึ่ง แล้วนำเสนอต่อเนื่องไปคราวละสัปดาห์จนกว่าจะสิ้นความหลักในหนังสือ มีรายละเอียดดังนี้

    ******************************

    [​IMG]

    พวกเราจงพิจารณาดูตัวเรากับรอบๆ ตัวเรา มันมีอะไร ตามภูตามเขามีดินมีหิน นั่นเป็นธาตุดิน มีห้วยมีธาร นั่นเป็นธาตุน้ำ มีฟ้าอากาศ นั่นเป็นธาตุลม มีความร้อนมีไฟ นั่นคือธาตุไฟ ดูเอาซี่ธาตุดินเขาเป็นอะไร ธาตุน้ำเขาเป็นอะไร ธาตุลมเขาเป็นอะไร ธาตุไฟเขาเป็นอะไร เขาเจ็บเขาปวดเขาร้อนอะไร นี่แน่ะไฟ เห็นไหมล่ะ ธาตุไฟที่เผาอาหารให้ย่อย เผาร่างกายให้ชำรุดทรุดโทรมไป หรือให้อุ่นตามสรรพางค์กาย นี่เรียกว่าธาตุไฟ เรามาอาศัยธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ นี้ประชุมกันเข้า เรียกว่าเป็นตัวเป็นตน

    เมื่อเราจำแนกแจกธาตุแล้วมันก็ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรซักอย่าง มีแต่ธาตุ รวมลงเป็นรูป

    รูปกายได้แก่ธาตุสี่นี้ นามกายได้แก่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สิ่งเหล่านี้เขาเป็นอะไรล่ะ?

    ให้พิจารณาขันธ์ ล้วนแต่ไม่เที่ยง เวทนาก็ไม่เที่ยง สัญญาก็ไม่เที่ยง สังขารก็ไม่เที่ยง วิญญาณก็ไม่เที่ยง มันเป็นยังงั้น นี่แหละเรามาพิจารณาให้ลงยังงี้ เราอย่าถือว่าเป็นคน อย่าถือว่าเป็นตัวเป็นตน เข้าใจไหมล่ะข้อนี่แหละเราก็ควรพิจารณายังงั้น

    สิ่งเหล่านั้นมันเป็นธาตุ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ สิ่งเหล่านั้นมันเป็นตัวเวทนา เป็นตัวสัญญา เป็นตัวสังขาร เป็นตัววิญญาณ เราเห็นสิ่งทั้งหลายนั้นไม่เที่ยง สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ตนอยู่ที่ไหนเล่าทีนี้ โอปนะยิโก เราต้องน้อมเข้า ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตนเท่านั้น

    ใครเป็นผู้รู้เวทนา ใครเป็นผู้รู้สัญญา ใครเป็นผู้รู้สังขาร ใครเป็นผู้รู้วิญญาณ เราก็ต้องน้อมเข้ามา

    ใครว่าธาตุดิน ใครว่าธาตุน้ำ ใครว่าธาตุลมและธาตุไฟ ผู้ไม่ได้เป็นพุทธะก็ไม่รู้อะไร เราจำแนกแจกออกไปแล้วก็เหลือแต่พุทธะ คือ ผู้รู้ ดังนี้เราจึงจับตัวมันได้

    ที่ไม่รู้จักอันใดนั้นเพราะมันคลุมเครือกันอยู่ ไม่รู้จะเอาอันใดเป็นสุข ไม่รู้จะเอาอันใดเป็นทุกข์ จะเอาอันใดดีจะเอาอันใดชั่ว มืดอยู่ยังงั้น นี่เรา นี่เราจำแนกแล้ว ส่วนใดเป็นธาตุดินมันก็เป็นดินไปแล้ว ส่วนใดเป็นธาตุน้ำมันก็เป็นน้ำลงไปแล้ว ส่วนใดเป็นลมก็เป็นลมไปแล้ว ส่วนใดเป็นไฟก็เห็นว่าเป็นไฟไปหมด ไฟเขาเป็นอะไร ดินเขาอะไร เขาหลับเขานอนไหมล่ะ เขาเจ็บเขาปวดเขาเหนื่อยเขาหิวไหมล่ะ

    สิ่งเหล่านี้เราก็พิจารณาให้มันรู้ เพื่อกำจัดภัย กำจัดเวร กำจัดกิเลส ตัณหา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ เราจึงจะไม่ยึดไม่ถือ

    เมื่อเห็นแล้วจิตของเรามันก็วางก็ละน่ะซิ

    ...เรื่องสมมตินี่สัตว์ทั้งหลายจมอยู่ในมหาสมุทร จมอยู่ที่สมมติเป็นนั่นเป็นนี่ หากเราจำแนกแจกออกแล้วมันก็ไม่มี จิตมันก็สงบน่ะซี พอจิตสงแล้วมันก็หายหมดภัยหมดเวรทั้งหลาย เหลือแต่กรรม

    เหตุนั้นจึงพากันดูให้รู้ อายตนะเป็นบ่อเกิดของสิ่งทั้งหลาย คือ ตา หู จมูก ตาเขาเป็นอะไร หูเขาเป็นอะไร จมูกเขาเป็นอะไร ลิ้นเขาเป็นอะไร กายเขาเป็นอะไร เขาไม่ได้เป็นอะไรซักอย่าง ตาสำหรับดู หูสำหรับฟัง จมูกสำหรับดม เท่านั้นไม่ใช่เรอะ ลิ้นก็สำหรับรับรสอาหาร กายก็สำหรับสัมผัส ใจเป็นธรรมารมณ์ นี่แหละให้พิจารณา

    นี่เป็นบ่อเกิดแห่งสุขและทุกข์

    จงเพ่งพิจารณาให้มันรู้มันเห็นซิ พอเราจำแนกแจกสิ่งเหล่านั้นแล้วจิตของเราก็เป็นหนึ่งอยู่ มันไม่มีคน ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีผู้ ไม่มีคน ไม่มีบ้าน ไม่มีเมือง ไม่มีอะไรซักอย่าง จิตมันก็ว่างหมดละ

    พอจิตมันว่างหมดแล้วก็ไม่มีอะไร ไม่มีภัยไม่มีเวร นี่เราไปก่อกรรมก่อเวร สมมติเป็นอันโน้นสมมติเป็นอันนี้ มันก็หลงสมมตินี่ซิ สัตว์ทั้งหลายคาอยู่ที่นี่ จมในมหาสมุทรนี่ ข้ามไม่ได้.ต้องพ้นจากสมมติ...เราไปหลงเอาเฉยๆ นี่แหละ ต้องจำแนกแจกออกไปเพื่อไม่ให้หลง

    พุทโธให้มันรู้ซิ จิตของเราสงบ มีความเบิกบาน

    พุทโธเป็นผู้เบิกบาน พุทโธสว่างไสว พุทโธเป็นผู้รู้ สิ่งใดเกิดขึ้นรู้ได้หมด ให้เรารู้เท่าสังขาร รู้เท่าวิญญาณ สังขารไม่เที่ยง วิญญาณมันก็ไม่เที่ยงทั้งหมด... เราไม่ควรไปยึดไปถือเอาเป็นตัวเป็นตน ถ้าไม่ยึด จิตของเรามันก็พ้นทุกข์น่ะซิ เขาให้พิจารณาตนเสียก่อน อยัง อัตตะภะโว ภวะ ความเกิดมาแล้ว ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน อสุจิ อสุภัง มีแต่น้ำเน่าน้ำหนองเหมือนกัน อิมัง กัมมัฏฐานัง ภเวติ ให้พิจารณากรรมฐานให้เห็นอย่างนั้น

    ท่านให้พิจารณาตนให้เห็นเป็นอย่างนั้น อันนี้ อนิจจา วตะ สังขารา สังขารทั้งหลายเป็นอย่างนี้ มันไม่เที่ยงทั้งหมด เราไม่ควรจะหลง... ให้พิจารณาให้มันรู้มันเห็น เราไม่ข้องอะไรไม่คาอะไร ข้องลูกข้องหลาน ข้องบ้านข้องเมือง ไม่มีข้องล่ะผู้นี้ ยศมันก็ไม่คา อะไรมันก็ไม่คาซักอย่าง... อะไรมันก็ไม่ข้องซักอย่าง เห็นไหมล่ะ เราก็เพ่งดูให้มันรู้มันเห็นซี่... นี่คนจะมีสุขเพราะเหตุใด
    ผู้ระงับสังขารน่ะหละ วูปสโม สุโข มีความสุขเพราะระงับสังขาร

    สัพเพ สัตตา มรัญติจะ มริงสุจะ มริสสเร ตเถวาหัง มริสสามิ นัตถิ เม เอถะ สังสโย ไม่ต้องสงสัยเราทั้งหลายก็ต้องเป็นอย่างนี้ สัตว์ทั้งหลายย่อมตายมาแล้ว ที่อยู่ในปัจจุบันนี้ก็จะต้องเป็นเหมือนกัน เราไม่ต้องสงสัย จะสงสัยอะไรอีกเล่า มันจะได้อะไรที่ไหนแม้สักอย่าง แต่ก่อนเขาก็ห่วงนั่นห่วงนี่ ไปไหนก็ไม่ได้ มีแต่ข้องแต่คา กลัวอด กลัวหิว กลัวทุกข์ กลัวยาก มาบัดนี้เขาไม่กลัวอะไรสักอย่าง
    เราก็พิจารณาให้มันรู้มันเห็นอย่างนั้นซี่ มันจะได้ไม่หลง ...

    ภโวภวัง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความเกิดนั้นไม่เที่ยงทั้งหมด มีแต่น้ำเน่าน้ำเหลืองไหลยังงี้แหละ อิมัง กัมมัฏฐานัง ภเวติกรรมฐานต้องพิจารณาดู นี่ใครจะเอาบ้างล่ะรูปอย่างนี้ ไม่ต้องซื้อไม่ต้องหาก็ใครจะเอาล่ะ ให้เปล่าๆ ก็เถอะ พอพระเหล่านั้นไปเห็นแล้ว มีความสังเวชสลดใจ จิตของท่านก็สงบ ได้สำเร็จพระอรหันต์ทั้งหมด แน่ะ เป็นยังงั้น

    เพราะฉะนั้นการพิจารณาศพมีผลานิสงส์มาก จึงได้นิมนต์พระไปบังสุกุล ทีนี้พระรับนิมนต์ไปบังสุกุลกลับไปเพ่งเอาเงินเอาทองเขา มันก็ใช้ไม่ได้น่ะซี่ ฮึ่ มันเป็นเสียยังงั้น ท่านให้ปลงกรรมฐาน ให้พิจารณาเพื่อจะได้ผลานิสงส์มาก...
    เมื่อพิจารณาแล้ว ปลงธรรมสังเวชแล้ว บางคนก็ได้สำเร็จ นั่นคือน้อมเข้ามาหาตน พิจารณาให้เห็นว่ามันไม่ได้อะไรจริงสักอย่าง ได้ยศก็มียศอยู่ที่ไหน ได้ทรัพย์สมบัติก็ได้ที่ไหน ได้ลูกได้หลานได้ที่ไหน ได้บ้านได้ช่องได้ที่ไหน ไม่ได้อะไรจริงสักอย่าง นั่นแหละข้อสำคัญคือทิ้งให้โม้ด เข้าใจไหมล่ะ...

    ...เรามาอาศัยธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมกันเข้า เราถือว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นที่ไหนเล่า เพ่งดูซิ เราห่วงอะไร เราคาอะไร เราข้องอะไร ให้เพ่งพิจารณา

    เมื่อกายเราสบายแล้วบริกรรมภาวนา เคยภาวนาอันใดก็เอานั่นก็ได้ หรือนึก พุทโธ ธัมโม สังโฆ สามหนแล้วรวมเอา พุทโธ พุทโธ คำเดียว อย่าส่งใจไปข้างหน้ามาข้างหลัง ทั้งซ้ายทั้งขวา ข้างบนข้างล่าง ตั้งไว้เฉพาะท่ามกลางตรงที่รู้ พุทโธ พุทโธ อยู่นั้น อย่าส่งใจไปอื่น หลับตางับปากแล้วก็เพ่ง ทำใจให้สงบ เราอยากสุขอยากสบาย อย่าไปนึกทุกข์นึกยาก สิ่งไรทุกข์ สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวเรา อย่าส่งใจไป ตั้งไว้เฉพาะส่วนที่รู้

    ความรู้นี่แหละสำคัญ มันไม่เป็นของแตกของทำลายของฉิบหาย เป็นผู้รู้อยู่ภายใน เพ่งดูให้รู้ว่ามีอยู่จำเพาะตนของตน สุขทุกข์ ดีชั่ว เป็นความสมมติทั้งหมด สุขก็ว่าเอาเอง ทุกข์ก็ว่าเอาเอง ดีก็ว่าเอาเอง ชั่วก็ว่าเอาเอง อย่าไปว่าอะไรซี่ เย็นร้อนเราก็ว่าเอาเองทั้งหมด อย่าไปว่า วางใจให้สบายเท่านั้นแหละ เรื่องจึงจะดี

    เมื่อจิตเป็นกุศล จิตมันว่างหมด จิตมันสบาย จิตดีมีความสุขความสบาย ที่เรามานี้ต้องการความสุข ความสบาย ต้องการความพ้นทุกข์เท่านั้น เราจะเอาอะไรสุขสบายล่ะนอกจากใจของเราสงบ

    เมื่อใจของเราสงบแล้ว ความสุขความสบายก็เกิดที่นั่น ไม่ได้เกิดที่อื่น ไม่ได้สุขสบาย เพราะวัตถุข้าวของทั้งหลายต่างๆ ใจเราสบาย เท่านั้นแหละความสุข
    เมื่อใจเราสบายแล้ว ทำอะไรก็สบาย ทำมาหากิน ค้าขาย การอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็สุขก็สบาย ธรรมนั้นก็นำความสุขความสบายให้ ไปในชาติใดภพใดธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าจิตเราไม่ดี ทุกข์ยากวุ่นวายเดือดร้อน หนักหน่วงง่วงเหงาหาวนอน เดือดร้อนฟุ้งซ่านรำคาญ นั่น ธรรมนั้นก็นำสัตว์ทั้งหลายตกทุกข์ได้ยาก แม้เรานั่งอยู่อย่างนี้ก็เป็นทุกข์ได้ ไม่ใช่อื่นไกล ธรรมนั้นเองนำความทุกข์ยากให้เรา

    เราจึงต้องเลิกต้องละ อย่าไปยึดเอาซี่ สิ่งที่ทุกข์ที่ยาก วางให้หมดละให้หมด

    ทำจิตให้สบาย อยากสุขอยากสบายอย่าสำคัญมั่นหมาย ต้องการหายโรคหายภัยก็อธิษฐานเอา ตั้งสัจจะบารมีของเรา นี่แหละ จะตัดบาปตัดกรรม ไม่มีวิธีอื่น เราต้องทำจิตให้สงบ ถ้าจิตเราไม่สงบแล้ว มันก็ไปก่อกรรมก่อภัยก่อเวร พอจิตเราสงบแล้วมันก็ไม่มีกรรม ความชั่วทั้งหลายไม่มี มีแต่ความสุข ความสบาย เราต้องการความสุขความสบายจะไปหากับทรัพย์สมบัติไม่มีหรอก มีแต่ที่ใจเราสงบ

    พอใจเราสงบแล้วมันได้รับความสุขความสบาย ก็หายโรคหายภัยหายกิเลสจัญไรหมดน่ะซี่ เคราะห์ทั้งหลายมันก็หายหมด

    ต่อไปนี้หมั่นทำนะนี่น่ะ ได้ยินไหมล่ะ ถ้าเราหัวใจยังอ่อน เราก็ตั้งมันให้แข็งขึ้น ตั้งหลักตั้งฐานขึ้น มันแล้วกับใจของเรา สำเร็จกับใจของเรา สิ่งทั้งหลายทั้งหมดใจถึงก่อน ใจเป็นรากฐาน ใจเป็นประธาน มันไม่ได้เป็นเพราะอื่น เราปล่อยใจมันอ่อน มันก็อ่อน ต่อไปอย่าให้มันอ่อนนะ ทำใจให้เข้มแข็ง พิจารณาให้หมดที่ได้อธิบายให้ฟังแล้ว

    สังขารร่างกายอันนี้ไม่ใช่เป็นตัวของเรา ถ้าเป็นตัวของเรามันก็ไม่เป็นไปเพื่อโรคเพื่อภัยน่ะซี่ เราอยากหายโรคหายภัยก็ต้องทำใจให้สงบ ถ้าใจเราสงบ โรคภัยทั้งหลายมันก็หายไป เรื่องมันเป็นยังงั้น ถ้าใจไม่สงบแล้ว มันไปก่อกรรมก่อเวรอยู่งั้น ก่อภัยอยู่ยังงั้น มันก็ไม่หมดซักที ความจะหมดภัยเกิดเพราะจิตของเราไม่มีภัย จะหมดกรรมเพราะจิตของเราไม่มีกรรม จะหมดความชั่วก็เพราะใจของเราไม่มีความชั่ว จะหมดทุกข์ก็เพราะจิตเราไม่ทุกข์ แน่ะ เป็นยังงั้น มันหมดตรงนี้ คือจิตของเราไม่ทุกข์แล้วจะเอาอะไรมาทุกข์ล่ะ จิตของเราไม่ชั่วจะเอาความชั่วมาจากไหนล่ะ มันก็ไม่มีน่ะซี่

    ...บาปกรรมทั้งหลาย สุขทุกข์ทั้งหลาย ความดีความชั่วทั้งหลาย เราเป็นผู้ทำเอาเอง...

    ...นี่แหละพิจารณาดู เราว่ามาไกลจากบ้านจากเมืองนั้นคิดดูแล้วมันไม่ไกล มันอยู่แค่ดวงใจของเรานี่เอง บ้านก็ดีเมืองก็ดี อะไรๆ ก็ดี มันอยู่ในใจของเรานี่แหละ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านสอนให้มาแก้ที่ดวงใจทั้งหมด เมื่อดวงใจไม่มีอะไรแล้ว สิ่งทั้งหลายมันก็หมดไป ข้อนี้แหละให้หมั่น
    พิจารณา ที่พึ่งของเรา ที่อยู่ของเรา ที่อาศัยของเราอยู่ที่ไหน ทำไมเราจึงทุกข์จึงยากต้องพากันบ่น สิ่งทั้งหลายเขาไม่ได้ทุกข์ไม่ได้ยาก มันยากที่หัวใจเท่านี้ ว่ามันจน สิ่งทั้งหลายไม่ได้จน มันจนที่ดวงใจเท่านี้ ไม่ได้จนที่อื่น พอดวงใจจนแล้วละก็จนหมด ทรัพย์สมบัติทั้งหลายมันก็เป็นอย่างนั้น

    ถ้าดวงใจเราไม่จนก็ไม่มีอะไรจน ถ้าดวงใจไม่ทุกข์ก็ไม่มีอะไรทุกข์ ถ้าดวงใจไม่ยากก็ไม่มีอะไรยาก เรื่องมันเป็นยังงั้น

    ...เมื่อใจมีความสุขความสบายสิ่งทั้งหลายมันก็สบายนะ เรื่องสำคัญมันเป็นอย่างงั้น จะนอนก็นอนเพ่งดูหัวใจจนหลับ ใจมีพุทโธแล้วเป็นใหญ่กว่าเขาหมด ใหญ่กว่าพระอินทร์พระพรหม เทวบุตรเทวดา ยักษ์กุมพน กุมภัณฑ์ พญาครุฑพญานาค พุทโธนี่ของเล็กน้อยเมื่อไหร่ล่ะ ใจเราเป็นใหญ่กว่าทั้งหมดล่ะนะ เรื่องเป็นอย่างนั้น เข้าใจไหมล่ะ

    โพสต์ทูเดย์ ธรรมะ-จิตใจ : พระอาจารย์ฝั้นอาจาโร
     

แชร์หน้านี้

Loading...