โลกของตันตระ พุทธวัชรยาน ปรีชาญาณบ้า และ อุบา่ยวิธีแปรเปลี่ยนความทุกข์

ในห้อง 'ร้องเรียนและปัญหา' ตั้งกระทู้โดย datedoctor, 7 มกราคม 2012.

  1. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    "เมื่อกลียุคทั้ง ห้าอุบัติขึ้น
    นี่คืออุบายวิธี แปรเปลี่ยนมัน
    ให้กลายเป็นหนทางแห่ง การตรัสรู้
    นี่คือแก่นแท้แห่งอมฤต คำสอนกระซิบบอก
    ซึ่งสืบทอดมาจากพุทธบัณฑิตแห่งสุวรรณทวีป
    เมื่อได้ปลุกกุศลกรรม แห่งการปฏิบัติธรรมในอดีตชาติ
    และถูกผลักดันด้วยการอุทิศอันแรงกล้า
    ข้าพเจ้าไม่ใยดีในเคราะห์กรรมและคำว่าร้าย
    เพื่อรับคำสอนกระซิบบอกว่าด้วยการบำราบ อัตตา
    บัดนี้ แม้ความตายจะมาถึง ข้าพเจ้าก็หาได้เศร้าเสียใจไม่"
    บทโศกลของท่านเกเช เชคาวา เยเช ดอร์เจ
    อ้างอิงจาก : The Root Text of the Seven
    Points of training the Mind
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 มกราคม 2012
  2. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    เมื่อพูดถึงตันตระ มีเรื่องที่พึงทำความเข้าใจกันก่อนว่า
    ตันตระ นั้น มิใช่เรื่องของสติปัญญา
    ทั้งไม่ใช่เรื่อง ปรัชญาที่ต้องอาศัยความนึกคิด
    หลักคำสอนใดๆ
    แม้พุทธปรัชญาสูงส่งที่ได้รับสืบทอดกันมาจากพุทธบัณฑิตแห่งสุวรรณทวีป
    ก็ล้วนไร้ความหมาย

    สิ่งเดียวที่ ตันตระ สนใจก็คือ "ทำอย่างไร?"
    มนุษย์คนหนึ่ง จึ่งจะเป็น มนุษย์ที่แท้ มนุษย์ที่เป็นอิสระชน
    และไม่ถูกร้อยรัดด้วยอำนาจใด
    ไม่ว่าภายนอกนั้น จะเป็นเช่นไร สูงส่ง หรือ ต่ำต้อย
    อัปลักษณ์ หรือ งดงาม สมบรูณ์ หรือ พิการ เยาว์วัย หรือ ชรา
    หญิง หรือ ชาย ชาญฉลาด หรือ ขลาดเขลา
    จักรพรรดิ์ หรือ โสเภณี ขอทาน หรือ มหาเศรษฐี
    นักบวช หรือ โจรร้าย
    สำหรับ โลกของ ตันตระแล้ว เมื่อชี้ตรงเข้าไปในแก่นแท้แล้ว
    ธรรมชาติแท้ๆของมนุษย์(โพธิปัญญา)นั้น หาได้แตกต่้างกันไม่
    ดังมหาโจรผู้ชั่วร้าย นั้น สามารถกลายเป็น พุทธะได้เพียงชั่วข้ามคืน
    เขาสามารถแปรเปลี่ยนจนกลายมาเป็น
    ครูผู้ประเสริฐของมนุษย์ เทวา อสูร เดรัจฉาน เปรต หรือ สัตว์นรกได้ทั้งนั้น......
    ตันตระ ไม่สนว่า ท่านจะเป็นฮินดู พุทธ คริสต์ อิสลาม ท่านจะปฏิบัติโยคะ ซาเซน
    วิชญาณไภรวตันตระ หรือ มรณานุสติ เหล่านี้ล้วนเป็นเพียงหน้ากาก
    ภายใต้หน้ากากนั้นเราทุกคนก็เป็นมนุษย์ที่แท้ ที่มีความรัก ความทุกข์ ความเกลียดชัด ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย
    เวียนว่ายเหมือนกัน
    อันใดที่มีประโยชน์ก็ทำไป หาได้มีสิ่งใดขัดกับตันตระไม่
    เพราะ ตันตระสนใจในสิ่งเดียวเท่านั้น นั้นคือ
    โฉมหน้าทีึ่่แท้ภายในหน้ากากนั้น หากอุบายวิธีใดช่วยปลดหน้ากากนั้นออก
    เผยให้เห็น
    ธรรมชาติแท้ของมนุษย์ สิ่งนั้นย่อมอยู่ภายใต้ขอบข่ายของ ตันตระ


    ราได้กล่าวไปแล้วว่า ตันตระนั้น สนใจเพียงคำถามเดียว
    นั้นก็คือ"ทำอย่างไร?"
    มนุษย์คนหนึ่ง จึ่งจะเป็น มนุษย์ที่แท้ มนุษย์ที่เป็นอิสระชน
    และไม่ถูกร้อยรัดด้วยอำนาจใด
    ดังนั้น ตันตระ จึ่งเป็นเรื่อง ของอุบายวิธี ตลอดจนแนวทางแห่งการปฏิบัติ
    ตันตระมุ่งไปที่คำถามว่า อย่างไร? มิใช่ ทำไม?
    เนื่องด้วยคำถามว่าทำไม? มิใช่คำถามที่แท้
    เธอไม่อาจจะหาคำตอบใดๆได้จากคำถามทำนองนี้
    เช่น เธออาจจะถามว่า
    ทำไม? สรรพสิ่งจึ่งต้องเป็นไปตามอำนาจแห่งกฏ
    อิทัปปัจจยตา
    ใครล่ะ จะรู้
    แม้แต่พุทธองค์ก็หาได้ ล่วงรู้
    หาได้มีความสามารถอันใดไม่ที่จะตอบคำถามนี้ของเธอได้
    นอกจากว่า มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง
    จะมีพุทธะหรือไม่ ธรรมธาตุก็เป็นไปของมันเช่นนั้น
    ดังที่มันเป็น ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2012
  3. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ตันตระ เป็นเรื่อง ของ อุบายวิธี ด้วยเหตุนี้
    ตันตระจึ่งไม่ใช่ข้อเสนอแนะนำใดๆทางด้านสติปัญญา
    ไม่มีหลักคิด ทฤษฏี ไม่คำสอน ตันตระมีเพียงสิ่งเดียวคือ
    ทำอย่างไร? มนุษย์จึ่งจะเข้าปฏิสัมพันธ์ กับ สถาณการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆในชีวิต
    ทั้งที่เป็น

    วิถีชีวิต ความเกลียดชัง ความโกรธแค้น ชิงชัง ความขื่นขม
    ความรัก ความสุขทุกรุปแบบ ความปีติ ความตาย และ การมีชีวิต
    ได้อย่างแท้จริง โดยไม่เสแสร้ง ดัดจริต ตอแหล หลอกลวงตัวเอง
    อย่างการ สร้างระบบคิดใดๆขึ้นมาคลุมทับความจริง เพื่อปกปิดความขาดเขลา
    ของตน เพื่อสร้างความชอบธรรม เพื่อสร้างความมั่นคนให้กับจิตของตน
    จากสิ่งที่ไม่รู้ อย่าง ความตาย
    ตันตระ จะตบหน้าคุณ จะเหยียบคุณไว้ บดขยี้คุณ กลืนกินคุณลงไปและ
    ขี้เอาคุณที่แหลกเหลวออกมาทางทวาร
    นำเอาพรมออกจากเท้าที่คุณยืนเหยียบไว้
    เพื่อ ที่ว่าคุณจะได้ดำรงอยู่อย่างหมดจด
    เป็นองค์รวม และ ไม่แบ่งแยกสิ่งต่างๆ หลีกเร้น ยึดถือ เพียงส่วนเสี้ยว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 มกราคม 2012
  4. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    เหตุใดกันเล่า ทฤษฏีที่สูงส่ง หลักคำสอนที่สูงสุดจึ่งไม่ใช่
    สิ่งจำเป็นสำหรับ ตันตระ เหตุผล อยู่ที่ว่ายิ่งคุณรู้น้อยเท่าไหร่
    คุณมักจะ ยิ่งสร้างสรรค์มันขึ้น เพื่อปกปิดความไม่รู้นั้น
    ยก ตัวอย่้างความตาย คุณไม่รู้ว่า ความตายคืออะไร? หรือ คุณรู้จริงๆล่ะ
    บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรอยู่หลังจากนั้น ไม่มีชีวิตหลังความตาย ไม่มีการเวียนว่าย
    ใครจะรู้ แต่คุณก็เลือกที่จะเชื่อว่า มีการเวียนว่ายตายเกิดเกิดขึ้นมาจริง
    ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เพราะวิญญาณของคุณยังคงดำรงอยู่ คุณมีกรรมที่ต้องชดใช้
    เป็นต้น นี่ไม่ได้หมายความว่า คุณเชื่อผิด หรือ เข้าใจผิดในเรื่องนี้
    บางทีอาจจะมีชีวิตหลังความตาย มีการเวียนว่ายก็ได้ ใครจะรู้

    แต่คำถามก็ยังคง อยู่ที่ คุณรู้จริงๆ หรือ หรือคิดว่ารู้ เสแสร้ง ดัดจริตว่ารู้
    คุณพูดว่าฉันเคยได้ยินมามีคนบอกฉันเช่นนั้น ฉันนิมิตเมื่อเข้าสมาธิ
    ฉันเคยไปในโลกอีกโลกมาแล้ว
    ฉันเห็นพุทธภูมิ พระพุทธองค์ยิ้มให้ฉัน พร้อมกับยื่นมือมาเพื่อจะใช้จูงฉันข้ามไป
    คุณแน่ใจหรือว่า นิมิตนั้นคือความจริง มิใช่คิดไปเอง
    บางที่มันอาจจะเหมือนกับคุณนอนหลับแล้วฝันไป
    หรือ ที่แย่กว่านั้น คุณนั้นแหละคือความฝัน ตัวตนของคุณที่อยู่ตรงนี้
    ที่นี่คือ ภาพความฝันของคนอีกคนที่คุณไม่รู้จัก
    ที่กำลังนอนหลับฝันอยู่
    คุณแน่ใจหรือว่าคุณเคยตายจริง?
    จึ่งพูดเช่นนี้
    คุณเคยสอบสวนจริงหรือว่า ความตายคืออะไร?
    คุณพร้อมจริงหรือที่จะตายลง
    โอ้......ท่านผู้ขลาดเขลา
    ท่านจะรู้จักความตายได้อย่างไร?
    ถ้ามิใช่ ในการดำรงอยู่
    ในชีวิตนี้

    สำหรับตันตระแล้วนี่คือเรื่องน่าหัวเราะ มิใช่ว่าสิ่งเหล่านี้จริงหรือไม่จริง
    แต่เป็นเพราะว่า
    สิ่งเหล่านี้ คือการเสแสร้งเพื่อ หนีจาก การเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
    เป็นการเอาผืนผ้าใบ คลุมพิภพ
    เห็นได้ชัดว่า คุณรู้น้อย ขลาดเขลา และ พยายามที่จะหนีจากความจริงนี้
    ด้วยเหตุนี้คุณจึ่งวิ่งวุ่นเพื่อหาความมั่นคง หลักคำสอน ความรู้ในพระไตรปฏิก
    ปรัชญาปารมิตา วัด ครู เพื่อให้ได้มาซึ่งความคิด
    ความรู้เพื่อจะใช้มันจัดการกับชีวิตน้อยๆ
    เพื่อปลอบประโลม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2012
  5. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ยิ่งคุณมีความรู้มาก สิ่งนี้ยิ่งก่อให้เกิดความยึดติด
    สิ่งนี้มิใช่ หมายความว่า ตันตระ ต่อต้านความรู้
    ทั้งมิได้หมายความว่าให้คุณเลิกแสวงหาความรู้
    เพียงแต่ ต้องการชี้ให้เห็นว่า การแสวงหาความรู้ของคุณ มักต้องแลกมาด้วยการสูญเสีย
    การสูญเสีย
    สูญเสีย สิ่งใดนะหรือ สิ่งนั้นก็คือ ?
    จิตที่ไร้เดียงสา ดุจกระจกเงาที่มิได้เปลื้อนฝุ่นนะสิ
    เป็นการง่ายที่คุณจะยึดติดกับความรู้
    แต่เป็นการยากกว่าที่จะยอมรับจริงๆว่า
    ความรู้ไม่ได้ช่วยให้คุณจัดการกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างแท้จริง
    มันเป็นสิ่งที่คุณหยิบยืมมา
    คุณมักโต้เถียงกันด้วยอาศัยความรู้ที่หยิบยืมมา
    แต่คุณไม่เคยเลยที่จะหยุดแล้วรับฟัง
    ความรู้นำมาซึ่ง ภูเขาขนาดใหญ่ ที่ปิดประตูแห่งความลี้ลับ
    เพราะเมื่อ คุณรู้ และ หลงนึกว่าตัวเองรู้แล้ว กระจ่างแล้ว คุณก็หยุดการเรียนรู้นั้น
    คุณไม่อาจจะเลือนไหล หรือ มองเห็นได้อีก
    ดังคนตาบอดทั้งๆที่มีดวงตา หูหนวกทั้งๆที่มีหู

    ยกตัวอย่างเช่น ความตายคุณคิดว่าคุณรุ้ว่ามีอะไรอยู่
    หลังจากนั้น เมื่อคุณได้ยินได้ฟังสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากนั้น
    ตรงข้ามจากนั้นคุณก็ปฏิเสธมัน
    เพราะมันไม่ตรงกับที่คุณคิดว่ารู้ ทั้งๆที่มันอาจจะเป็นความจริงก็ได้
    แต่คุณไม่อาจจะยอมรับ คุณปิดประตู
    คุณรุ้สึกโกรธ เมื่อ มีคนพุดว่า พระพุทธองค์เป็นขอทาน
    คุณรุ้ว่าพระองค์เป็นผู้ประเสริฐ เป็นศาสดาผู้บรรลุ เป็นภาพลักษณ์อันสูงส่ง
    แล้วจะมาเปรียบกับขอทานที่ต่ำต้อยได้อย่างไร?
    แต่คุณเคยคิดไหมว่าแล้วพุทธองค์กับขอทานนั้นต่างกันจริงๆหรือ ลึกๆลงไปแล้วทั้งสองต่างกันจริงหรือ?
    ทั้งๆที่ทั้งสองก็ล้วนมีอาชีพเดียวกัน คือ ขอทาน เพียงแต่คนหนึ่งมีดวงตาที่กระจ่างชัดแล้ว
    แต่อีกคนยังมืดบอดด้วยอวิชชา
    พุทธองค์ต่างจากคนวิกลจริตตรงไหน?
    หรือบางทีทั้งสองอาจจะเป็นขั่วตรงข้ามที่อยู่ลึกๆๆลง
    ไปในธาตุแท้ของมนุษย์ทุกคนก็ได้
    เพียงแต่คนหนึ่งจะเข้าใกล้ใคมากกว่ากัน
    คนที่จิตเต็มเปลี่ยนไปด้วยตัญหาเขาก็หาได้ต่างจากคนวิกลจริตไม่
    แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไร? ว่าวันหนึ่ง เมื่อเขาตื่น
    เมื่อเข้าสลัดหลุดจากตัญหา และ แปรเปลี่ยนมันให้เป็นปัญญา เขาจะไม่เข้าใกล้ หรือ กลายเป็นพุทธองค์ไป

    แต่ทว่าคุณแน่ใจจริงๆหรือว่า พระองค์มิได้มีชีวิตต่างจากขอทาน พระเยซูกล่าวว่า จงอย่าตัดสินผู้อื่นแล้วผู้อื่นจะไม่ตัดสินท่าน
    ทั้งถ้อยแถลงนี้ดูเพียงคร่าวๆแล้วหาได้มีอะไรข้องอยู่กับพุทธธรรมไม่
    แต่ทว่าสิ่งนี้คือ สิ่งเดียวกับ ทางสายกลาง อย่างไม่ผิดจากกันเลย ทั้งพระสมณโคดมเจ้า
    ทั้งพระเยซูทั้งสองล้วนพูดถึงถ้อยแถลงแห่งความจริงเดียวกัน หยั่งลึกลงไปในแม่น้ำ หรือ มหาสมุทร ลิ้มรสจากสายธาราสายเดียวกัน
    สายธาราที่เรียกว่า ความจริง

    จิตที่แบ่งแยก ตัดสิน ตีความนี้แหละ ที่ทำให้คุณดิ่งไปยังขั่วใดขั่วหนึ่ง
    อย่างขั้วของความสุข และ ขั้วของความทุกข์
    มิได้ดำรงอยู่ตรงกลาง และแล้วมันก็สร้างปัญหา และ ความทุกข์ขึ้น
    เมื่อใดที่คุณตัดสิน แบ่งแยกคุณก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของตัญหาของคุณ
    คุณหลงไปยึดมั่นถือมั้น อย่างไม่ต้องสงสัย
    สิ่งนี้สร้างความขัดแย้งขึ้นมาระหว่าง สิ่งที่เป็นจริง และ สิ่งที่อยากให้เป็น เป็นช่องว่าง
    และในช่องว่างนั้นก็มีความขัดแย้ง
    ด้วยเหตุนี้ ตันตระจึ่งเป็นอุบายเพื่อให้คุณได้เห็นถึงสิ่งนี้
    เพื่อที่ว่า คุณจะได้กลับมาบริสุทธฺ์ไร้เดียงสาได้อีกครั้ง
    และ จิตเช่นนี้คือจิตที่เต็มเปลี่ยมไปด้วยปัญญาปัญญา

    ชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ได้ให้อรรถาธิบายถึงภาวะจิตเช่นนี้
    ภาวะนี้ที่ในทิเบตเรียกว่า
    ปรีชาญาณบ้า
    และ ปรีชาญาณบ้าก็คือ

    "คือสภาวะอันบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของดวงจิต
    ซึ่งกอรปไปด้วยคุณลักษณ์ของยามเช้า สดชื่น เจิดจรัส และตื่นรู้อย่างหมดจด"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2012
  6. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    บางครั้ง ด้วยสภาวะทางโลกที่เข้มข้น ทำให้เราหลงลืมบางอย่างไป..(บางขณะ)
    ขอบคุณที่กลับมาเตือนสติ.. โมทนา สาธุ
    ..ค่ะ.
     
  7. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ยินดีค่ะ..ที่มีคนเช่นท่าน..กล้าเอาคอขึ้นเขียงอีกคน..

    อิอิ..

    :cool:
     
  8. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    เราหาได้หวาดเกรงอันใดไม่ เนื่องด้วย เรารัก และ วางใจในสติปัญญาของมนุษย์ เราจะไม่คิดเช่นนี้ได้อย่างไร?
    ในเมื่อเราก็เป็นมนุษย์ธรรมดาๆ เหมือนดังเขา
    หรือ อย่างเก่งก็เป็นได้แค่ชายบ้า
    คงไม่มีใครถือสาคนบ้า จนอยากจะมาต่อล้อต่อเถียงกับคนบ้าเช่นเรากระมั้ง
    เขาเหล่านั้นคงมีสติปัญญาพอที่จะเข้าใจ ถ้อยคำของพระเยซูที่ได้กล่าวไปแล้วว่า
    จงอย่าตัดสินผู้อื่นแล้วผู้อื่นจะไม่ตัดสินท่าน
    เพราะสุดท้ายแล้วหามีผู้ใดที่ถกเถียงกันแล้วชนะไม่
    นอกจากความจริง แล้ว ขอบอกความจริงกับคุณว่าไม่มีผู้ใดอีกแล้วที่ชนะ
    นอกจากสัจจะ
    หากใครคนหนึ่งต้องถูกตรึงกางเขน นั้นก็คือสิ่งที่มันเป็น
    มันก็แค่นั้น
    คุณไม่จำเป็นต้องห่วงผมหรอกครับ
    เพราะ สำหรับผู้ที่วางใจ คนผู้นั้นก็เป็นสุข
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2012
  9. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678

    ไงท่านที่รัก สวัสดีปีใหม่เช่นกันครับ
    ท่านสบายดีไหม?
     
  10. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    บางครั้งความจริงที่ผู้อื่นไม่รู้..ไม่เข้าใจ..แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่จริง..
    มันก็แค่สิ่งที่ยังรู้ไม่ได้เข้าใจไม่ได้แค่นั้นเองค่ะ..
    หากไม่มีคนพูด..ไม่มีการนำเสนอ..แล้วจะรู้และเข้าใจได้อย่างไรว่ามันมีอยู่..
    สิ่งใหม่..ก็คือใหม่..แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มี..หรือรู้ไม่ได้เข้าใจไม่ได้..แค่ยังไม่รู้กระมัง..
    เราว่าคนบ้าอย่างท่าน..กับคนบ้าอย่างเรา..คงไม่ต่างกันซักเท่าไหร่..

    ธรรมชาติ..มันก็แบบนี้เอง..นอกเหนือการควบคุม..ได้แต่รู้และเข้าใจ..ในธรรมชาติ

    ทุกอย่างล้วนธรรมดา..ธรรมชาติคือธรรมดา..ไม่ยึดในเราในเขา..สิ่งที่ต้องการของเราย่อมไม่ธรรมดา..ย่อมไม่ใช่ธรรมชาติที่เกิดที่เป็น..
    มันคือสิ่งแปลกปลอม..เมื่อมีเราไปต้องการ..ไปกำหนดกฎเกณฑ์ทุกอย่างไว้ด้วยตัวเรา..ด้วยตัวด้วยตนของเรา..
    การห้ามยาก..คือห้ามบุคคลอื่นสิ่งอื่น..ไม่ให้ทำ..ไม่ให้เกิด..ไม่เห็นเป็นอย่างที่เราต้องการ..

    ทุกสรรพสิ่งคือการเรียนรู้..ธรรมชาติคือการเรียนรู้..เพื่อให้ว่างและวางได้จริง..

    หากยังมีเราอยู่โทษย่อมมีอยู่..นี่เองความเป็นธรรมดา..ทุกข์เกิดขึ้นได้เสมอ..เมื่อไม่รู้เท่าทันตนเอง..อุปทานทุกตัวที่กระทบเข้ามา..
    แม้มันไม่ใช่เรา..แต่ย่อมกลายเป็นเรา..เมื่อเราได้เป็นผู้กระทำสิ่งต่างๆ นั้นด้วยตัวเราเอง..
    มันจึงเป็นความประมาทที่เกิดจากเราได้ฉันท์นั้น..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2012
  11. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    สบายดี สบายมาก สบายที่สุด..ไม่มีอะไรสบายกว่านี้อีกแล้ว.
    (เมื่อเจอคำตอบ ก็ย่อมสบาย เป็นธรรมดา มันก็เป็นเช่นนั้นเอง55+)
     
  12. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    บัดนี้..... เมื่อพูดถึง ตันตระ มีข้อเท็จจริงหนึ่งที่คุณพึ่งทราบ
    นั้นก็คือ สิ่งที่ยากที่สุดในโลกนี้ก็คือการเผชิญหน้ากับความจริง
    สิ่งนี้ยากเสียยิ่งกว่าการรู้เท่าทัน ความคิดปรุงแต่ง หรือ กลลวงของอัตตา
    ด้วยเหตุที่ว่า เราไม่รู้วิธีที่จะรับมือกับมัน เมื่อสัจธรรมส่งสารตัดผ่าน
    เช่น เมื่อชีวิตนั้นได้เริ่มขึ้นความตายก็อุบัติขึ้นมาด้วย
    แต่มันยากนะ เมื่อเราคิดว่าต้องทำอย่างไรดี เพื่อรับมือกับความตาย
    เราพยายามจะไม่คิดถึง อำพราง เราพูดว่า
    ภาพคนตายนั้นอุจาดตา เมื่อเกิดอุบัติเหตุเราพยายามที่ขนย้ายศพไปไกลๆ ให้เราที่สุดเอาหนังสือพิมพ์มาปิดไว้
    แต่งศพด้วยดอกไม้ ฉีดยา ดองด้วยฟอร์มาลีน
    จัดแต่งหลุมศพด้วยหินสวยๆ เรานำเอาศพไปเก็บไว้ไกลๆ
    ในที่ที่ถ้าไม่จำเป็นเราจะไม่ไปเหยียบอย่างสุสาน
    สิ่งนี้ไม่ต่างจากการ กวาดเอาขยะ ไปซุกใต้พรมซึ่งขยะยังอยู่ที่นั้น
    เมื่อมีภาพเปลือย เผยแพร่ในเว็ปพระพุทธศาสนาเรารู้สึก เจ็บใจ(หรือชอบก็แล้วแต่)เราพูดว่ามันไม่เหมาะสม
    ไม่มีศีลธรรม แต่คงจะหลงลืมข้อเท็จจริงไปกระมั้งว่า เราเองก็มาตัวเปล่าเปลือย
    นอกจากนี้บางทีเราอาจจะ ดัดจริตไปงั้น ทั้งๆที่ในใจเรารู้สึกชอบอย่างบอกไม่ถูก
    เรารับไม่ได้เมื่อคนรักไปเที่ยวโสเภณี มันเหมือนการตอกหน้าเข้าอย่างจัง ฉันสู้ กระหี่ไม่ได้หรือไร?
    เหล่านี้ก็เป็น เช่นเดียวกับการเผชิญหน้าความจริงในแต่ล่ะวันของเรา
    สัจธรรมนั้นส่งสารมาสู่เราเสมอๆ และ มักจะมาในรูปของอุบัติเหตุ
    เราไม่คาดฝัน แต่อยู่ๆมันก็ผลุดขึ้น
    แต่เราไม่มีดวงตา หู มือ ที่พร้อมพอจะรับรู้ ดังนั้นเราจึง งง เมื่อพบเจอมัน
    เราวิ่งวุ่นพยายามไม่คิดถึง หรือทุกข์ร้อนร่ำร้องว่า เราควรจะทำเช่นไรดี ควรยอมรับ หรือต่อต้าน
    ดังชายวัยทองที่ พบว่าตัวเองเป็นโรคหย่อนสมรรถภาพ
    และ รับมือผ่าน การไม่คิดถึง หรือ ไม่ก็วิ่งวุ่นหาหมอ
    ทั้งๆที่ความจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรกับมันเลย
    เราต้องตาย เพียงแต่ตระหนักรู้ว่า ใช่
    และปล่อยให้ความเป็นจริงได้ดำเนินไปอย่างที่มันเป็น
    หาไม่เข้าใจในสิ่งนี้ เราก็หนีไม่พ้นที่จะต้องพบกับความยุ่งยาก
    ความขัดแย้ง อันเกิดจากการกระทำของตัวเอง
    เราร่ำร้องที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม เราพูดว่าทุนนิยมนี้ชั่วร้าย
    สัมคมไม่มีความชอบธรรม นักการเมืองทุจริต ระบบเศรษฐกิจแย่ วิกฤติสิ่งแวดล้อม
    เราพยายามที่จะล้มเลิกสิ่งหนึ่ง และ เอาสิ่งใหม่เข้าไปแทน
    แต่เบื้องหน้านี้ ชีวิตได้พิสูตรแล้ว ว่ามันไม่มีความหมาย
    การปฏิวัติต่างๆที่ภายนอกล้วนล้มเหลว
    พอๆกับที่เราพยายามจัดการชีวิต ด้วยการสร้างระเบียบและรูปแบบที่ไม่ใช่สิ่งที่เราเป็น
    ยิ่งแก้ปมเชือก เรากับพบว่าปมกลับมิได้คลายออก มันยิ่งพันกันยุ่ง
    ทั้งนี้เพราะเรามิได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงง่ายๆ ว่าโดยไม่ต้องทำอะไร สรรพสิ่งนั้นล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว
    ดังนั้น เหตุใดเราเราจึ่งต้องกังวล
    สรรพสิ่งที่อยู่ภายนอกนั้นเปลี่ยนแปลง
    แต่กระนั้นก็มีสิ่งหนึ่ง ที่หาได้เปลี่ยนแปลงไม่ นั้นคือจิตสำนึกของเรา
    เราเป็นอย่างที่เราเป็นมานาน มนุษย์ที่ชีวิตประกอบไปด้วยความทุกข์ร้อน
    ความเกลียดชัง ความรัก ความสุขที่ผ่านมาเหมือนสายลมพัด โพธิปัญญา
    และ หากเรายังคงไม่ตระหนักถึงความจริงนี้ และ เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวตน ในระดับจิตสำนึก อนาคตของเราก็มีแต่เพียงความพินาศ
    และ นี่คือ จุดมุ่งหมายของอุบายวิธี ทั้งหลายที่สืบทอดกันมา
    ในแก่นคำสอนของ ตันตระ และเรากำลังจะพูดถึงมัน สิ่งที่เรากำลังจะพุดถึงก็คือการฝึกจิต ในวัชรยาน เรียกสิ่งนี้ว่า โลจอง
    ขอท่านทั้งหลายจงสดับฟังเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2012
  13. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721
    และ


    เราจะทำอย่างไร หากรัฐบาลใหม่จะสังคายนาพระไตรปิฎกตามธรรมกาย

    ตามไปดูรูปซะหน่อยเส่

    สำหรับสหายที่ตามมาอ่านลัทธิตันตระนี่

    แปะรูปที่นี่ เดี๋ยวอีก็จะลบของเหล่าฮุทิ้งร๊อก เสียดายอ่า

    เหล่าฮูรู้สึกเหนื่อนจินๆ
    ทำไม๊ช่างไม่กลัวเลย ที่จะเผยแพร่มิจฉาทิฏฐิกัน
    รู้เป่า สร้างเหตุ-ปัจจัยแห่งฟามลุ่มหลง มัวเมา งมงาย
    พาให้ผู้คนจำนวนมากพลัดหลงออกนอกทางไปสู่อวิชชา

    มันนำไปสู่ภูมิเดรัจฉานนา อย่าทำเป็นล้อเล่นปาย
    ตอนทำก็สนุกเย้อวๆ ดีร๊อก
    แต่จะไม่สนกตอนตกอบายนา

    พิจารณาให้ดีๆล่ะ ครูบ้า
    อยากบ้าก็บ้าไปคนเดียวเส่
    ใครไม่รู้จะพลอยนึกไปว่าขลัง
    ติงต๊องจินๆเยย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2012
  14. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ขอบคุณครับ...........(ยิ้ม)
     
  15. Tawee gibb

    Tawee gibb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,175
    ค่าพลัง:
    +1,721

    แน๊ ! มีอย่างนี้ล่วย


    [​IMG]
     
  16. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ที่นี้เราจะพูดกันต่อ ถึงสิ่งสำคัญ อีกอย่างหนึ่งนั้นก็คือ
    จิตแห่งศาสนา อันใดคือจิตแห่งศาสนา
    จิตแห่งศาสนานี้มิได้ต่างอันใดไปจาก
    ปรีชาญาณบ้า มันคือจิตที่ไร้เดียงสาเหมือนดังเด็กเล็กๆ
    ว่ากันว่า คุรุปัทมสมภพนั้น ถือกำเนิดขึ้นมาจากดอกบัว
    สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่า นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่ สิ่งสำคัญนั้นอยู่ที่ว่า
    สิ่งนี้ หมายถึงอะไร?
    ในศาสนาคริสต์ นั้น ว่ากันว่าพระเยซู นั้นเกิดขึ้นจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
    ราวกับว่ามีความคล้ายคลึงกันระหว่างทั้งสอง
    นั้นคือ ปัทมสมภพ และ พระเยซู
    อย่างไรก็ตาม คุณรู้หรือไม่ว่า คุณเองก็ถือกำเนิดด้วยวิธีนี้เช่นเดียวกัน
    คุณถือกำเนิดขึ้นมาจาก พระวิญญาณบริสุทธิ์ และ ดอกบัว
    ทั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และ ดอกบัวล้วนสื่อถึงภาพลักษณ์ของ ความบริสุทธิ์
    ของจิตที่แท้ จิตที่ว่างจากการ ตัดสินหรือ ตีความสิ่งใดๆ
    เมื่อยังเด็กคุณเป็นเช่นนี้ คุณพร้อมสำหรับการเรียนรู้ และความสงสัย
    คุณถามว่าทำไม ปลาถึงว่ายน้ำ ทำไมนกจึงโบยบิน ทำไมดวงดาราถึงทอแสง
    แม้เพียงสิ่งเล็กอย่างใบหญ้า เปลือกหอย
    ก็ทำให้คุณพิศวง ประทับใจ
    แต่ทุกวันนี้สิ่งนี้มิอาจจะ จะเกิดขึ้นอีก
    เพราะ เราได้สูญเสียความสามารถที่จะสัมผัสมันไปเสียแล้ว

    การดำรงไว้ซึ่งจิตที่เป็นเพียงผู้รับ และ พร้อมสำหรับการเรียนรู้
    สิ่งนี้คือ ความเคารพ ที่แท้ สิ่งนี้คือสติปัญญา เพราะเมื่อคุณเปิดรับคุณก็พร้อมสำหรับ
    การเรียนรู้ที่จะมองสิ่งต่างๆอย่างลึกซึ้ง
    และ อย่างที่มันเป็น โดยไม่เอาความคิดเข้ามาสวมใส่มัน
    มีคำกล่าวว่า สาเหตุที่แท้ที่ความศักดิ์สิทธิ์ได้จางหายไป
    จากสังคมพุทธเถรวาทเรา
    เพราะเหตุว่าความเคารพอย่างแท้จริง
    ได้จางคลายไปจากจิตของชาวพุทธเถรวาท
    ความคิดเชิงตรรกะ ได้ก่อให้เกิดข้อสงสัย สับสนต่างๆนานา
    และแล้วความคิดสงสัยต่างๆนานาเหล่านั้น
    ทำให้สูญเสียความเคารพอย่างแท้จริงไป
    ก่อให้เกิดกำแพงแห่งความคิดตัดสินถูก ผิดเชิงเหตุผล (Rationality)
    ที่ถูกปลูกสร้างให้ปรากฏเป็นความยึดมั่นเชิงหลักการต่างๆภายในใจ
    ทั้งๆที่ เมื่อใดที่ใครสามารถข้ามพ้นกำแพงแห่งความคิดเชิงเหตุผล
    เมื่อนั้นเขาจะได้สัมผัสกับสายธารธรรมอันฉ่ำเย็น
    ซึ่งไหลมาอย่างไม่ขาดสายของสัจธรรม นี่แหละ คือหัวใจของการภาวนา
    เช่นเดียวกัน กับวิกฤติการณ์ สิ่งแวดล้อม

    ทุกวันนี้เกิดขึ้นมาได้ เพราะ มนุษย์หาได้เคารพธรรมชาติดังเช่น กาลก่อนไม่
    ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมความสงสัย ตรรกะ ความมั่นใจเกินจริง
    และ การเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง
    ได้ทำให้เรามองว่า การบูชาธรรมชาติ เป็นเรื่องโง่ๆ
    ดังนั้นเราจึ่งถลุงใช้มันโดย ปราศจากความย้ำเกรง
    เราสร้างความขัดแย้งขึ้นกับโลก ผู้เป็นมารดาของเรา
    และ แล้วตอนนี้เราก็กำลังหวั่นเกรงว่าโลกจะเอาคือ
    สายสัมพันธ์ได้ถูกตัดขาด และ แล้ว ในไม่ช้าเราก็จะถูกทำลาย
    ในพุทธวัชรยาน มักมีทำเนียมที่ศิษย์ ต้องศิโรราบต่อครูอย่างแท้จริง
    ก่อนที่จะมีการอภิเษก
    สิ่งนี้มิได้หมายความว่า ศิษย์ต้องเชื่อฟังครู ทำตัวดั่งทาส
    แต่มีความหมายว่า ศิษย์พร้อมแล้วสำหรับ การน้อมใจไปเรียนรู้สิ่ง ต่างๆด้วย
    ความนุ่มนวลอ่อนโยน โดยปราศจากความขัดขืนอันหยาบกระด้างภายในจิต
    เมื่อใดที่เรามีจิตใจนุ่มนวลอ่อนโยน
    น้อมใจที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เข้ามาสู่การรับรู้ของจิต
    เมื่อนั้นเราก็จะได้พบครูผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่จะนำเราไปสู่ความรู้แจ้งแห่ง ธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 มกราคม 2012
  17. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    แล้วทำไมจะไม่ได้ ล่ะครับ
    ก็ในเมื่อ มีสิ่งให้เรียนรู้
    ผมก็แค่พร้อมสำหรับที่จะเรียนรุ้มันก็แค่นั้นเอง
    ครับแม้จะต่างกาลเวลา ต่างยุคสมัย ต่างเหตุการณ์ของโลกรอบตัว
    ต่างวัย เพศ ศาสนา ลัทธิ แต่ทว่าในใจของเราแต่ละคนกลับไม่ต่างกันเลย
    เราต่างก็กำลังเดินทางแสวงหาครูเพื่อการรู้แจ้งจริงไหม?ครับ
    ดังคำกล่าวว่า
    สิ่งมีชีวิตทั้งปวงโดยธรรมชาติ คือบุพการีของเรา
    เจ้าจะให้คุรุยอมรับได้อย่างไร
    ในเมื่อเรายังดูแคลนผู้อื่น?
    จะพบธรรมได้อย่างไร
    หากไม่สลายอัตตาด้วยสุญญตา?
    ด้วยความไร้ที่มาแห่งโลกุตระ
    ว่าไหมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 มกราคม 2012
  18. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    แหมคราวนี้แสดงปรัชญาง่ายจัง
    คราวก่อน ต้อง สุรานารี ยากจริงนะท่าน ศาสตร์จารย์
    นัยถือๆ

    あなたに感謝。
     
  19. เทพธรรมบาล

    เทพธรรมบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    1,215
    ค่าพลัง:
    +291
    ตันตระศาสตร์ชั้นสูง ที่ผู้ที่รับคำสอนต้องมีครูบาอาจารย์ เป็นวิธีการที่พระพุทธองค์ทรงถ่ายทอดในคณะสงฆ์ จำนวนไม่มาก

    จะสังเกตุได้จาก คณะสงฆ์ทางล้านนา เป็นคณะสงฆ์ที่ทำการปฏิวัติคณะสงฆ์ในสมัย ร.4
    ยากที่สุด เพราะพระเหล่านั้นจะไม่ศึกษาจากคนอื่นใดนอกจากครูบาที่ตนเป็นศิษย์
    ก็เป็นกระแสแห่งมนตรยานที่ยังคงหลงเหลือตกค้างอยู่ในปัจจุบัน


     
  20. รักหมดใจ

    รักหมดใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +290
    ยอดเยี่ยมมากครับ ท่านคุรุบ้า ผมยินดีน้อมตนเข้าสู่เรียนรู้อย่างไร้เดียงสา ณ.กาลบัดนี้เลยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...