โครงการ "เสียงแห่งธรรม" ห้อง "กฎแห่งกรรม" (โหลดไปฟังได้)

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย karnjanikarn, 2 เมษายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. karnjanikarn

    karnjanikarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +129
    เรียนเพื่อนๆ ห้อง "กฎแห่งกรรม-ภพภูมิ"

    เนื่องด้วยผมเห็นคุณ karnjanikarn หรือ "คุณรัก" ได้โพสต์ว่า อยากจะนำไฟล์ที่น่าสนใจไปบันทึกเสียง ผมเลยติดต่อไปยังคุณรัก เพื่อขอให้นำไฟล์เสียงดังกล่าวมาเผยแพร่แก่เพื่อนๆ
    และได้รับความร่วมมือจากคุณรักในการนำมาเผยแพร่ให้ทุกท่านได้ลองรับฟังเนื้อหาที่น่าสนใจในรูปแบบเสียงดูบ้างครับ
    อนึ่งผมได้แนะนำให้คุณรัก "ล็อคกระทู้" นี้ไว้เพื่อให้มีเฉพาะ "ไฟล์เสียง" เท่านั้นครับ หากท่านต้องการแสดงความคิดเห็นประการใด กรุณาคลิกที่ link ของแหล่งที่มาของข้อมูลได้ครับ

    ขออนุโมทนากับคุณรักด้วยครับที่ให้สละเวลาในการบันทึกเสียงในครั้งนี้

    จาก

    ผู้ดูแลห้อง


    ขอเชิญร่วมแสดงความคิดเห็นแนะนำติชม "เสียงแห่งธรรม" หรือนำเสนอเรื่องน่าอ่านได้ที่นี่ค่ะ ขอขอบพระคุณ.
    http://palungjit.org/showthread.php?p=1086725#post1086725


    ต่อจากนี้เป็นเสียงอ่านบทความของคุณ"รัก. กัลชณิกานติ์ ธีรสุชานันท์" นะครับ

    ต้องการฟังเรื่องไหนกดปุ่มเลือกฟังตามต้องการค่ะ


    <embed type="application/x-mplayer2" pluginspage="http://microsoft.com/windows/mediaplayer/en/download/" id="music" showcontrols="true" showstatusbar="-1" src="" autostart="true" loop="true" height="67" width="320">



    <input id="so1" onclick="document.all.music.filename=document.all.so1.value;" name="Music" value="http://palungjit.org/attachments/a.301771/" type="radio">เรื่องที่ 1 ไตรภูมิ ทั้ง 36 ชั้น
    <input id="so2" onclick="document.all.music.filename=document.all.so2.value;" name="Music" value="http://palungjit.org/attachments/a.324746/" type="radio">เรื่องที่ 2 หญ้าปากคอก(ศีลข้อที่1)
    <input id="so3" onclick="document.all.music.filename=document.all.so3.value;" name="Music" value="http://palungjit.org/attachments/a.302758/" type="radio">หญ้าปากคอก(ศีลข้อที่2)
    <input id="so4" onclick="document.all.music.filename=document.all.so4.value;" name="Music" value="http://palungjit.org/attachments/a.304322/" type="radio">หญ้าปากคอก(ศีลช้อที่3)
    <input id="so5" onclick="document.all.music.filename=document.all.so5.value;" name="Music" value="http://palungjit.org/attachments/a.305814/" type="radio">หญ้าปากคอก(ศีลข้อที่4)
    <input id="so6" onclick="document.all.music.filename=document.all.so6.value;" name="Music" value="http://palungjit.org/attachments/a.307057/" type="radio">หญ้าปากคอก(ศีลข้อที่5)
    <input id="so7" onclick="document.all.music.filename=document.all.so7.value;" name="Music" value="http://palungjit.org/attachments/a.307085/" type="radio">เรื่องที่ 3 อานาปานสติ(ทำไมต้องเจริญอานาปานสติ)
    <input id="so8" onclick="document.all.music.filename=document.all.so8.value;" name="Music" value="http://palungjit.org/attachments/a.307083/" type="radio">อานาปานสติ(ข้อกำหนด 7ประการ : 1-4)
    <input id="so9" onclick="document.all.music.filename=document.all.so9.value;" name="Music" value="http://palungjit.org/attachments/a.307084/" type="radio">อานาปานสติ(ข้อกำหนด 7ประการ : 5-7)
    <input id="so10" onclick="document.all.music.filename=document.all.so10.value;" name="Music" value="http://palungjit.org/attachments/a.309249/" type="radio">อิริยาบถแห่งอานาปานสติ(ยืน,เดิน)
    <input id="so11" onclick="document.all.music.filename=document.all.so11.value;" name="Music" value="http://palungjit.org/attachments/a.313453/" type="radio">อิริยาบถแห่งอานาปานสติ(นั่ง,นอน)
    <input id="so12" onclick="document.all.music.filename=document.all.so12.value;" name="Music" value="http://palungjit.org/attachments/a.320068/" type="radio">เรื่องที่ 4 ทุกชีวิตล้วนอยู่ในอุ้งมือกรรม
    <input id="so13" onclick="document.all.music.filename=document.all.so13.value;" name="Music" value="http://palungjit.org/attachments/a.331875/" type="radio">เรื่องที่ 5 ไฟนรก 7 กอง
    <input id="so14" onclick="document.all.music.filename=document.all.so14.value;" name="Music" value="http://palungjit.org/attachments/a.384373/" type="radio">เรื่องที่ 6 เงากรรม(ลูกเนรคุณ)
    <input id="so15" onclick="document.all.music.filename=document.all.so15.value;" name="Music" value="http://palungjit.org/attachments/a.384390/" type="radio">เรื่องที่ 7 เงากรรม(แมวทวงหนี้กรรม)
    <input id="so16" onclick="document.all.music.filename=document.all.so16.value;" name="Music" value="http://palungjit.org/attachments/a.384391/" type="radio">เรื่องที่ 8 เงากรรม(น้ำตาเพรฌฆาต)
    <input id="so17" onclick="document.all.music.filename=document.all.so17.value;" name="Music" value="http://palungjit.org/attachments/a.384398/" type="radio">เรื่องที่ 9 เงากรรม(ดอกเบี้ยกรรม)
    <input id="so18" onclick="document.all.music.filename=document.all.so18.value;" name="Music" value="http://palungjit.org/attachments/a.384410/" type="radio">เรื่องที่ 10 เงากรรม(กรรมที่ทำกับลูกอ๊อด)


    ............................................................


    เรื่องที่ 1 ไตรภูมิ ทั้ง 36 ชั้น

    มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม หากมีความตั้งใจจริงที่จะบำเพ็ญเพียรให้เกิดตบะอันแรงกล้า ก็สามารถกระทำได้ ทุกเพศ ทุกวัย
    ทุกชั้น ทุกวรรณะ ทุกเวลา ทุกชาติไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาใดก็ตาม
    บุคคลใดหากประพฤติ ปฏิบัติธรรม บำเพ็ญเพียรจนตบะแก่กล้าครั้นเมื่อละจากโลกมนุษย์ไปย่อมนำไปเกิดในภพภูมิที่ควรไป
    เช่นเทวโลกและพรหมโลกได้โดยเกิดเป็นเทพในแต่ละชั้นฟ้า

    ในความเชื่อของคนแถบเอเชียแบ่งเทพเป็น 3 ชนิด คือ
    1.สมมุติเทพ คือบุคคลผู้ซึ่งเป็นเจ้าครองแผ่นดินหรือพระมหากษัตริย์ พระมเหสี ราชกุมาร เป็นต้น
    2.อุปปิตติเทพ คือเทพผู้กำเนิดเป็นเทพโดยมิได้กำเนิดเป็นมนุษย์มาก่อน เช่น พระศิวะ พระนารายณ์ พระพรหม เป็นต้น
    3.วิสุทธิเทพ เทพผู้บริสุทธิ์คือพระอรหันต์ทั้ง 3 ประเภท วิสุทธิเทพ มักจะไม่ลงมาประทับทรงมนุษย์ อย่างเด็ดขาด
    ถึงแม้เราจะแบ่งเทพท่านออกเป็น 3 ชนิดก็ตาม เทพเจ้าท่านก็ได้แบ่งชั้นของท่านออกเป็น “ไตรภูมิ”
    และในไตรภูมินี้ได้แบ่งออกเป็น9 โลกอันมี
    1.พรหมโลก
    2.วิษณุโลก
    3.เทวโลก
    4.มนุษย์โลก
    5.ปรโลก
    6.มารโลก
    7.นาคโลก
    8.ยมโลก
    9.บาดาลโลก
    และใน 9 โลกนี้ได้แบ่งย่อยออกเป็น 16 ชั้นฟ้า15 ชั้นดิน อบายภูมิ 4 มนุษย์โลก 1 รวมทั้งหมด 36 ชั้น พอดี
    และตั้งแต่พุทธศาสนากำเนิดมาเพิ่งขึ้นอีก 3 ภูมิดโดยรวมกันเป็น 39 ภูมิ ดังจะได้แจกให้ทราบคือ
    1.นรกภูมิ เป็นดินแดนที่อยู่ลึกที่สุด เป็นดินแดนของบุคคลผู้ซึ่งประกอบกรรมอันชั่วร้ายได้เสวยทุกข์เวทนา
    เป็นดินแดนที่มืดมิดมีแต่เสียงของการลงโทษ และเสียงดัง โหยหวน ด้วยเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นการทรมาน เป็นเรื่องดีไป
    2.เปรตวิสัยภูมิ เป็นดินแดนที่ผู้มีความโลภมาก ถูกลงโทษทัณฑ์ให้ได้ทรมาน ในภูมินี้จะต่างตรงที่ว่า
    ไม่มีผู้ที่คอยลงโทษเพราะเหล่าเปรตจะยื้อแย้งกัดกินกันเอง ด้วยวิสัยตนที่ชอบเบียนเบียนผู้อื่นอยู่แล้วในตอนเป็นมนุษย์
    3.เดรัจฉานภูมิ เป็นที่ไปเกิดของวิญญาณที่พ้นจากนรกภูมิและ เปรตวิสัยภูมิเรียกว่า พ้นจากการลงโทษ
    แต่จะต้องรับใช้กรรมที่ตนเองเป็นผู้ก่อขึ้น ในแดนนี้อาจมาเกิดจากชั้นอื่นก็ได้
    หากมีความรักอันเกินควรหรือลุ่มหลงในสิ่งของหรือคนรัก เช่นมาเกิดเป็นสัตว์ที่คอยเฝ้าสมบัติที่ตนฝังเอาไว้
    เป็นหมา แมว หรือสัตว์ภายในบ้าน คอยติดตามลูกหลานที่เป็นห่วง
    4.อสูรกายภูมิ เป็นภพที่มีแต่ความโกรธ เกลียดกัน ด้วยเหตุผลนานับ ประการ ที่มีทั้งผิด และชอบ รัก และหลง
    เช่นเดียวกับมนุษย์โลก ต่างกันแต่ผู้คนที่นี้มีความโกรธเป็นที่ตั้งและมักจะกระทำผิดศีลเพราะความโกรธได้ง่าย
    แต่ผู้ที่จะสำเร็จหรือหลุดพ้นจากภูมินี้นั้นจะต้องมีสามัญสำนึกเป็นอย่างมาก
    บุคคลทั้งหลายที่อยู่ที่นี้มักมีฤทธิ์ไม่ยิ่งหยอนไปกว่าเทพ แต่มิได้ถือว่าเป็นเทพเพราะความโกรธ
    เช่น ภพอสูร ราษถ อมนุษย์ แต่อย่างไรก็ยังจัดว่าเป็นอบายภูมิ 4 ภูมิซึ่งตั้งอยู่ในยมโลกทั้งสิ้น
    5.มนุษย์โลก เป็นภพที่หลายภพส่งคนของตนมาทดสอบตัวเอง เรียกว่าจะบรรลุมรรคผลเป็นพระพุทธเจ้าก็ภพนี้
    จะตกอเวจีมหานรกก็ภพนี้ ดังนั้นในภพนี้มักจะมีทั้งสุขและทุกปนกัน
    6.บาดาล เป็นเทวะโลกชั้นที่ 1 ที่มีภพใกล้เคียงกับมนุษย์ เพราะสามารถสร้างบุญก็ได้ สร้างเวรกรรมก็ได้
    เพียงแต่บุคคลในภพนี้ล้วนมีความรัก และ อาฆาต พยาบาท ที่รุนแรงจึงทำให้ผู้ที่อยู่ในโลกบาดาล
    เวลาอยู่ในบาดาลจะมีกายเป็นคน หากออกนอกเขตจะกลายเป็นงูทันที
    7.ภูมมะ เป็นเทวะโลกชั้นที่ 2 ที่อยู่ใกล้มนุษย์มากที่สุด เป็นดินแดนของเหล่าพระภูมิเจ้าที่ ต่าง ๆ
    มีคุณและโทษแก่มนุษย์ผู้กราบไหว้บูชามีกิเลสคล้ายกับมนุษย์ที่สุด
    8.รุกขภูมิ เป็นเทวะโลกชั้นที่ 3 ที่อยู่เหนือหัว เราขึ้นไปเพียงศอกเดียว มีวิมานสถิต ณ ต้นไม้ทีมีความสูงเกินหัวเราขึ้นไป
    ส่วนมากมักจะเรียกว่า “รุกขเทวดา” มักให้คุณมากกว่าให้โทษ ยกเว้นหากไปทำลายหรือรบกวนวิมานของท่าน
    9.ฉิมพลีภูมิ เป็นเทวะโลกชั้นที่ 4 มีความสูงระดับยอดไม้หรือนกเหินขึ้นไป เป็นดินแดนของเทพที่มีปีก
    ดังองค์พญาครุฑ พญานกทั้งหลายเป็นกึ่งเทพ กึ่งสัตว์ แต่มีฤทธิ์
    องค์พญาครุฑเคยประลองกำลังกับพระนารายณ์ได้เสมอกันภพภูมินี้ มักจะมีกามคุณขึ้นหน้า
    10.คนธรรพ์ภูมิ เป็นเทวะโลกชั้นที่ 5 มีความสูงระดับ ยอดเขาเตี้ยๆ เป็นดินแดนของผู้มีศีลแต่ยังหมกมุ่นอยู่ในโลกีย์วิสัย
    ยังตัดไม่ได้ถึงความรัก ลุ่มหลง ชนิดมีภรรยาเป็น 10,000 องค์เชียว มักมีรูปร่างและน้ำเสียงเป็นที่ไพรเราะหนักหนา
    ไม่มีวิมานสถิตเพื่อเร่ร่อนไปทั่ว มีความต้องการดดั่งเช่นมนุษย์ทั่วไปสูง
    11.หิมพานต์ เป็นเทวะโลกชั้นที่ 6 มีความสูงระดับเชิงเขาสูง ป็นดินแดนที่กั้นระหว่างเทวโลกกับมนุษย์โลกกับยมโลก
    ในภูมินี้มักมีกินนร กินนรี เทวยานี เรียกว่าครึ่งคนครึ่งสัตว์ครึ่งเทพปนกันอยู่ มักไม่ใคร่ได้พบเจอเท่าใดนัก
    บุคคลทั้งหลายเป็นผู้ที่รักสงบไม่ค่อยมีปัญหากับภูมินี้มากนัก
    12.บรรพภูมิ เป็นเทวะโลกชั้นที่ 7 มีความสูงระดับปากถ้ำต่างๆตามเขาสูงเป็นดินแดนที่มีแต่ความสงบสุข
    มีแต่ผู้บำเพ็ญเพียร เพื่อหวังหลุดพ้นจากภูมิต่างๆเรียกว่า ฤๅษี มักจะบำเพ็ญอยู่ในชั้นนี้ แต่เดิมอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์
    และอสูรก่อกวน จนต้องอพยพมาบำเพ็ญ ณ ที่บรรพภูมินี้
    13.ลับแลภูมิ เป็นเทวะโลกชั้นที่ 9 มีความสูงระดับยอดเขาสูงหรือลึกลงไปในถ้ำตามยอดเขาสูง
    เป็นดินแดนของหญิงสาวที่มีจิตใจมุ่งบำเพ็ญเพียรโดยการถือสัจจะเป็นหลัก แต่ยังมีห่วงที่ต้องคอยดูแล พ่อ แม่ ลูก หลาน
    จึงมาพักอยู่ในภูมินี้
    14.อโยธยาภูมิ เป็นเทวะโลกชั้นที่ 8 มีความสูงระดับ หุบเขาสูง ตามยอดเขาสูงซ้อนกันเป็นดินแดนผู้มีคุณต่อแผ่นดินแต่ละประเทศ
    มีแต่การเสพสุข ดุจพระราชาเพราะในชีวิตมีแต่การต่อสู้หรือทำเพื่อบ้านเกิดเมืองนอน เช่นเจ้าพ่อหลักเมือง ทหารหาญ เป็นต้น
    เทวะโลกทั้ง 9 ชั้น ตั้งแต่ชั้นที่ 6 – 14 นั้นเป็นเทพที่อยู่ใกล้มนุษย์มากที่สุดที่มีทั้งให้คุณและให้โทษแก่มนุษย์
    และพัวพันไปมาหาสู่กับมนุษย์อยู่ประจำๆ
    15.ภุมมา เป็นเทวะโลกชั้นที่10 และสถิตยอยู่บนฟากฟ้า เป็นที่สถิตของเทพบุตร เทพธิดาต่างๆ ที่ยังคงมีกิเลส
    16.จาตุมหาราชิกาเป็นเทวะโลกชั้นที่ 11 สถิตยอยู่บนฟากฟ้าสรวงสวรรค์ เป็นที่สถิตของท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4
    และพระมหากษัตริย์ของโลกมนุษย์และเทวโลก ยมโลก พระมหากษัตริย์ผู้ประพฤติดี ประพฤติชอบในทศพิษราชธรรม
    เช่นพระปิยะมหาราช
    17.ยามา เป็นเทวะโลกชั้นที่ 12 สถิตยอยู่บนฟากฟ้าเช่นกันเป็นที่สถิตของพระสยามเทวาธิราช และเทวดาผู้มีบุญหนัก ...........
    18.ดาวดึงส์ เป็นที่สถิต ของพระอินทราธิราช และผู้ปฏิบัติในพระพุทธศาสนา
    19.ดุสิต เป็นที่สถิตของพระโพธิสัตว์เพื่อรอลงไปตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    20.นิมานรตี เป็นที่สถิตของเทพชั้นผู้ใหญ่ต่างๆ
    21.กายิกาพรหม เป็นพรหมที่มีกายแบบเทพ คือ มี 4 กรแต่หน้าเดียว
    22.ปาริสัขขาพรหม เป็นพรหมที่มีกลิ่นกายหอมด้วยดอกไม้
    23.ปะดรปิตาพรหม เป็นชั้นพรหมที่มีญาณหยั่งรู้มีหน้าที่ จดบัญชีผู้ที่จะเกิดเป็นพรหม
    24.มหาพรหม เป็นพรหมที่ผู้ปฏิบัติจนได้ ฌานแก่กล้า
    25.ประติตตาภา เป็นพรหมมีเสียงอันไพเราะ
    26.อัปปะมาณาภา เป็นพรหมที่เนรมิตรรูปดังใจนึก
    27.อาภัสรา เป็นพรหมที่มีรูปกายงามดังสตรี
    28.ประริตตะสุภา เป็นพรหมผู้เชี้ยวชาญรอบรู้ สูงสุดในรูปพรหม
    29.อัปปะมาณะสุภา เป็นพรหมที่ไม่มีรูปร่าง
    30.สุภะกิณหะสุภา เป็นพรหมที่ปรากฏแต่เสียง
    31.เวหัปผะลา เป็นพรหมที่ปรากฏเป็นสายลม
    32.อะวิหา เป็นพรหมที่ปรากฏแต่ภายในจิต
    33.อะตับปา เป็นพรหมที่ปรากฏได้ดังใจนึก
    34.สุทัสสา เป็นพรหมดวงจิตใสดังแก้ว
    35.สุทัสสี เป็นชั้นสูงสุดในพรหมโลก
    36.อะกะนิฎฐะกา เป็นชั้นสูงสุดในพรหมโลก
    ทั้ง 36 ชั้นนี้ได้มีอยู่ในไตรภูมิโดยชั้นที่ 1-4 อยู่ลึกที่สุด ชั้นที่ 5-6-7 จะอยู่ระดับเดียวกัน และตั้งแต่ 6-14
    เป็นเทวะที่อยู่ใกล้มนุษย์มากที่สุด ส่วนชั้นที่ 15-20 เป็นเทวาสูงสุดของเทวโลก ตั้งแต่ 21-28 ล้วนเป็นรูปพรหม
    ที่มีอยู่ร่างต่างๆกันและตั้งแต่ชั้นที่ 29-36 เป็นพรหมทีมีอยู่แต่ดวงจิตไม่มีรูปร่างตายตัว
    ส่วนชั้นที่
    37.โพธิสัตว์ภูมิ เป็นดินแดนแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่จะลงมาช่วยเหลือมนุษย์ เช่นพระโพธิสัตว์กวนอิม
    38.นิพานนะภูมิ เป็นดินแดนของผู้บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์
    39. พุทธภูมิ เป็นดินแดนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกองค์
    ทั้ง 39 ภูมิ มีการเป็นอยู่ที่แตกต่างกันไปตามกุศลจิตที่สะสมได้ ส่วนมากในภพภูมิที่สูงๆ มักจะไม่ลงไปสู่โลกมนุษย์
    แม้นจะมีการอัญเชิญก็ไม่เสด็จลงไปตามใจมนุษย์หวัง เพียงแต่การหลุดพ้นไม่หวังในลาภยศสักการะทั้งปวง

    ............................................

    http://palungjit.org/showthread.php?t=120482
    ที่มา/เจ้าของกระทู้ : คนไชยา (26-03-2008)
    เสียงอ่าน : รัก. กัลชณิกานติ์ ธีรสุชานันท์

    ............................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2008
  2. karnjanikarn

    karnjanikarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +129
    เรื่องที่ 2 หญ้าปากคอก

    สิ่งต่อไปนี้เหมือนหญ้าปากคอกที่คนมองข้ามแค่เห็นเป็นศีล 5 ก็ไม่อยากอ่านอยากฟัง
    แต่ถ้าพินิจพิเคราะห์ให้ดีแล้วความสงสัยต่างๆ ที่มีอยู่ในชีวิตของแต่ละคน
    จะหายไปเกินกว่าครึ่งลองอ่านลองฟังแล้วปรับกับชีวิตคิดตามดู
    เพราะเคราะห์กรรมเดี๋ยวนี้ไม่ต้องรอให้ข้ามชาติแล้ว....
    ท่านจะไม่มีคำถามอีกต่อไป .....(แค่ศีล 5 นี้แหละที่เป็นทั้งคำถามและคำตอบอยู่ในตัว)

    ศีล 5 ให้อะไร ?
    ศีลข้อที่ 1 เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการเบียดเบียนชิวิตซึ่งกันและกัน
    เนื่องจากชีวิตเป็นสิ่งที่ทุกคนรัก ทุกคนหวงแหน แม้สัตว์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน รักชีวิต หวงชีวิต กลัวชีวิตจะต้องตาย
    ทุกๆชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลาย ต่างดิ้นรนต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อให้ชีวิตของตนอยู่รอด แคล้วคลาดปลอดภัยอยู่ดีมีความสุข
    พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติศีล ข้อที่ 1 ด้วยเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายรักชีวิตของตนเป็นอันดับ 1

    ศีลข้อ ที่ 1 ปาณาติปาตาเวรมณี
    เว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยตนเองหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่า
    ถ้าไม่เว้นย่อมยังสัตว์ให้เกิดในนรก
    ในสัตว์เดรัจฉานในเปรตวิสัย
    และเมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกจะได้รับผล 9 ประการ คือ
    1. เป็นคนทุพพลภาพ
    2. เป็นคนรูปไม่งาม
    3. มีกำลังกายอ่อนแอ
    4. เป็นคนเฉื่อยชา
    5. เป็นคนขี้ขลาด
    6. เป็นคนที่ถูกผู้อื่นฆ่า หรือฆ่าตัวเอง
    7. มักมีโรคภัยเบียดเบียน
    8. ความพินาศเกิดกับบริวาร
    9. อายุสั้น และให้ผลติดต่อกันหลายชาติ

    ขุมนรกอันเป็นที่ไปของผู้ทำผิดศีลข้อที่ 1

    นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 1 สัญชีวนรก

    ลักษณะพื้นเป็นเหล็กหนา เผาไฟจนแดงโชน ขอบด้านข้าง 4 ขอบ
    มองออกไปไม่แลเห็นขอบบ่อ มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล แต่จะหาที่ว่างเว้นจากไฟไม่ได้เลย
    ระหว่างไฟจะมีสรรพาวุธต่างๆ เช่น หอก ดาบ ฯลฯ สารพัดจะมี ถูกไฟเผาแดงจนมีความคมจัด

    สัตว์นรกที่อยู่ในนั้นจะวิ่งพล่าน เพราะเท้าเหยียบไฟ
    ร่างกายก็จะถูกเผาไฟติดไฟตลอดเวลา เวลาวิ่งไปก็จะไปกระทบกับหอก ดาบ ฆ้อน หรืออาวุธต่างๆ มาฟัน แทง สับ
    ร้องครวญครางดิ้นเร่าๆ แต่พอร่างกายขาดแล้ว ก็จะมาต่อติดกันใหม่โดยทันที มาทรมานต่อไป
    ไม่มีวันตาย สรุปว่ามีไฟเผากายตลอดเวลา มีสรรพาวุธประหัตประหารตลอดเวลา

    อายุของสัตว์ในสัญชีพนรก 500 ปีอายุกัป
    1 วันนรก เท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์

    ขุมนรกบดร่างวิญญาณ
    พวกที่อกตัญญู พวกฆ่าทำลายชีวิตคนและสัตว์
    กับพวกมักมากในกามารมณ์ คนจำพวกนี้เมื่อจบชีวิตลงร่างวิญญาณของพวกเขา
    นอกจากต้องถูกลงโทษทรมานตามผลกรรมอย่างหนักแล้ว
    สุดท้ายยังต้องถูกนำตัวมาบดอัดจนร่างแหลกละเอียดครั้งแล้วครั้งเล่า
    เพื่อปรับปรุงความเป็นคนเสียใหม่ ก่อนที่จะให้ไปเกิดและชดใช้หนี้กรรมยังโลกมนุษย์.


    ความหมายของ 1 ปีนรก

    1 ปี มี 12 เดือน เดือนละ 30 วัน ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับปีมนุษย์

    ความหมายของ 1 กัป

    สมมติให้มีกล่องที่ กว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์ สูง 1 โยชน์
    บรรจุเมล็ดผักกาดจนเต็ม เวลาผ่านไป 100 ปี หยิบออก 1 เมล็ด
    จนกระทั่งหมดไม่มีเหลือ นับเป็น 1 กัป

    ศีลข้อนี้จะขาดก็ต่อเมื่อพร้อมด้วยองค์ 5 ซึ่งประกอบด้วย
    1. สัตว์นั้นมีชีวิต
    2. รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
    3. มีจิตคิดจะฆ่า
    4. มีความเพียรที่จะฆ่า
    5. สัตว์นั้นตายด้วยความเพียรนั้น

    รักษาศีลข้อที่ 1 แล้วได้อะไร ?
    1. ได้รับผลปฏิสนธิกาล คือ ได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นเทวดา เรียก ว่า กามสุคติภูมิ
    2. ได้รับผลในปวัตติกาล คือ หลังจากเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ได้รับผลอีก 23 ประการ


    อานิสงส์แห่งการรักษาศีลข้อที่ 1 มี 23 ประการ
    1. สมบูรณ์ด้วยอวัยวะน้อยใหญ่
    2. มีร่างกายสมทรง
    3. สมบูรณ์ด้วยกำลังกาย
    4. มือเท้างาม ประดิษฐานลงด้วยดี
    5. เป็นผู้มีผิวพรรณสดใส
    6. มีรูปโฉมงามสะอาด
    7. เป็นผู้อ่อนโยน
    8. เป็นผู้มีความสุข
    9. เป็นผู้แกล้วกล้า
    10.เป็นผู้มีกำลังมาก
    11. มีถ้อยคำสละสลวยเพราะพริ้ง
    12. มีบริษัทรักใคร่ไม่แตกแยกจากตน
    13. เป็นคนไม่สะดุ้งตกใจกลัวต่อเวรภัย
    14. ข้าศึกศัตรูทำร้ายไม่ได้
    15. ไม่ตายด้วยความเพียรฆ่าของผู้อื่น
    16. มีบริวารหาที่สุดมิได้
    17. มีรูปร่างสวยงาม
    18. มีทรวดทรงสมส่วน
    19. มีความเจ็บไข้น้อย
    20. ไม่มีเรื่องเศร้าโศก เสียใจ
    21. เป็นที่รักของชาวโลก
    22.ไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รักและชอบใจ
    23. มีอายุยืน

    ------------- มีต่อ --------------

    .......................................................

    http://palungjit.org/showthread.php?t=111598
    ที่มา/เจ้าของกระทู้ : kong sorakrit (30-01-2008)
    เสียงอ่าน : รัก. กัลชณิกานติ์ ธีรสุชานันท์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2008
  3. karnjanikarn

    karnjanikarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +129
    หญ้าปากคอก (ต่อ)

    ศีลข้อที่ 2 อทินนาทาเวรมณี
    เว้นจากการลักทรัพย์ด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นลัก

    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
    "อทินนาทาน อันบุคคลเสพแล้วเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
    ย่อมยังสัตว์ให้เกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย
    วิบากแห่งอทินนาทาอย่างเบาบางที่สุด
    ย่อมยังความพินาศแห่งโภคะให้เป็นไปแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
    มีสมบัติก็ต้องพินาศ

    เมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกจะได้รับผล 6 ประการ"
    1. เป็นคนด้อยด้วยทรัพย์
    2. เป็นคนยากจน
    3. เป็นคนอดอยาก
    4. ไม่ได้สมบัติที่ตนต้องการ
    5. ต้องพินาศในการค้า
    6. ทรัพย์พินาศเพราะภัยภิบัติต่างๆ เช่น อัคคีภัย วาตภัยอุทกภัย ราชภัย โจรภัย เป็นต้น

    ขุมนรกอันเป็นที่ไปของผู้ผิดศีลข้อ 2
    นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 2 กาฬสุตตนรก

    มีกำแพงทั้ง 4 ด้านเป็นเหล็ก พื้นเป็นเหล็กถูกเผาไฟจนแดงโชน
    นายนิริยบาลจะจับเอาสัตว์นรกนอนลงไป นำเส้นบรรทัดมาตีเส้นที่ตัว จากหัวถึงท้ายบ้าง
    ตีตามขวางบ้าง ไม้บรรทัดนั้นทำจากสายเหล็กที่เผาไฟจนแดงโชน มื่อตีเส้นเป็นแนวแล้ว
    ก็จะนำเลื่อยบ้าง ขวานบ้าง มีดอีโต้บ้าง มาสับลงตามรอยที่ตีไว้แล้วนั้น


    อายุของสัตว์ในกาฬปุตตะนรก 1,000 ปีอายุกัป
    1 วันนรก เท่ากับ 36 ล้านปีมนุษย์


    ขุมนรกน้ำร้อนลวกมือ(โรรุวมหานรกที่4)
    นักการยมบาลกำลังทรมานดวงวิญญาณจำพวกนักล้วงกระเป๋า
    ฉกชิงวิ่งราว ลักขโมยและพวกที่หลอกลวง.

    ขุมนรกน้ำมันเดือด
    นักการยมบาลกำลังทรมานร่างวิญญาณจากคนจำพวกที่เป็นโจรปล้น ตีชิงวิ่งราว ลักขโมย
    กับพวกที่ฆ่าคนตายด้วยอาวุธ ยาพิษ พวกฉ่อราษฎร์บังหลวง พวกประพฤติผิดกามผู้เป็นสายเลือด
    พวกอกตัญญูต่อผู้บังเกิดเกล้า และพวกที่ใช้คาถาอาคมทำลายคนด้วยไสยเวท

    ขุมนรกตัดทอนแขนขา
    พวกที่ทำมาหาเลี้ยงชีพไม่สุจริตและฉวยโอกาสหวังรวยทางลัด
    พวกลักขโมย ฉกชิงวิ่งราว ปล้นฆ่า
    และพวกที่ใช้กำลังทุบตีพ่อแม่ผู้มีพระคุณ
    คนจำพวกนี้หลังจากตายไปแล้ว
    ร่างวิญญาณของพวกเขาต้องถูกลงโทษทรมานอยู่ในขุมนรก


    ศีลข้อที่ 2 จะขาดก็ต่อเมื่อพร้อมด้วยองค์ 5 ซึ่งประกอบด้วย
    1. ของนั้นมีเจ้าของหวง
    2. รู้ว่าของนั้นมีเจ้าของหวง
    3. มีจิตคิดจะลัก
    4. มีความเพียรที่จะลัก
    5. นำของนั้นมาด้วยความเพียรนั้น


    รักษาศีลข้อที่ 2 แล้วได้อะไร ?
    1. ได้รับผลในปฏิสนธิกาล คือ ได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาเรียกว่า กามสุคติภูมิ
    2. ได้รับผลในปวัตติกาล คือ หลังจากเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะได้รับผลอีก 11 ประการ

    อานิสงส์ของการรักษาศีล ข้อที่ 2 มี 11 ประการ
    1. เป็นผู้มีทรัพย์มาก
    2. มีข้าวของและอาหารมาก
    3. หาบริโภคทรัพย์ได้ไม่สิ้นสุด
    4. โภคทรัพย์ที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น
    5. โภคทรัพย์ที่ได้ไว้แล้วก็ยั่งยืนถาวร
    6. หาสิ่งที่ปรารถนาได้รวดเร็ว
    7. สมบัติไม่กระจายด้วยภัยต่างๆ
    8. หาทรัพย์ได้โดยไม่ถูกแบ่งแยก
    9. ได้โลกุตตรทรัพย์ คือนิพพาน
    10. อยู่ที่ไหนก็เป็นสุข
    11. จะไม่รู้ ไม่เคยได้ยินคำว่าไม่มี

    --------------- มีต่อ -----------------

    ....................................................................

    <!-- / message --><!-- sig -->
    http://palungjit.org/showthread.php?t=111598

    ที่มา/เจ้าของกระทู้ : kong sorakrit (30-01-2008)
    เสียงอ่าน : รัก. กัลชณิกานติ์ ธีรสุชานันท์

    .....................................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2008
  4. karnjanikarn

    karnjanikarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +129
    หญ้าปากคอก (ต่อ)

    ศีลข้อที่ 3 กาเมสุมิจฉาจาราเวรมณี...เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
    ถ้าไม่เว้นจะเกิดอะไรขึ้น ...พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
    "บุคคลเสพแล้วเจริญให้มากแล้วย่อมยังสัตว์ให้ตกนรกในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานในเปรตวิสัย"
    ผิดกาเมสุมิจฉาจารแล้วจะเกิดอะไร ?
    หากเกิดเป็นมนุษย์อีกจะได้รับผล 11 ประการ คือ
    1. มีผู้เกลียดชังมาก
    2. มีผู้ปองร้ายมาก
    3. ขัดสนทรัพย์
    4. ยากจนอดอยาก
    5. ต้องเกิดเป็นหญิง
    6. ต้องเกิดเป็นกระเทย
    7. หากเป็นชายจะเกิดอยู่ในตระกูลต่ำ
    8. ได้รับความอับอายเป็นอาจิณ
    9. ร่างกายไม่สมประกอบ
    10. มากไปด้วยความวิตกห่วงใย
    11. พลัดพรากจากผู้ที่ตนรัก
    ผล 11 ประการนี้เป็นเพียงเศษของกรรมที่ได้ตกนรกไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือหลังจากไปเกิดเป็นเปรตมาแล้ว
    เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะได้รับผลของกาเมสุมิจฉาจารในปวัตติกาลดังกล่าวแล้ว

    ขุมนรกอันเป็นที่ไปของผู้ผิดศีลข้อ 3

    นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 3 สังฆาฏนรก

    มีกำแพงทั้ง 4 ด้านเป็นเหล็ก พื้นเป็นเหล็ก ถูกเผาไฟจนแดงโชน
    มีภูเขาเหล็ก 2 ลูก กลิ้งไปกลิ้งมาคอยบดทับสัตว์เหล่านั้น ภูเขาเองก็เป็น
    เหล็กที่ถูกเผาจนแดงโชนเช่นกัน เมื่อถูกบดจนละเอียดแล้วก็จะฟื้นขึ้นมาใหม่
    ไม่ตาย รับการทรมานต่อไป คนที่วิ่งหนีก็จะถูกนายนิริยบาลตีบ้าง แทงบ้าง ฟันบ้าง ตลอดเวลา

    อายุของสัตว์ในสังฆาฏนรก2,000 ปีอายุกัป
    1 วันนรก เท่ากับ 145 ล้านปีมนุษย์

    ขุมนรกห้อยหัวลง( สังฆาฎมหานรกที่3 )
    นักการยมบาลกำลังลงโทษทรมาน ดวงวิญญาณจากคนที่ดูถูกให้ร้ายผู้เป็นครูอาจารย์
    กับพวกอกตัญญูเนรคุณ และพวกที่ประพฤติผิดศิลธรรมประเพณีความสัมพันธ์ภายในครอบครัว.

    ขุมนรกตัดเครื่องเพศให้หนูกัดแผล
    นักยมบาลกำลังตัดเครื่องเพศพวกวิญญาณบาป จากคนจำพวกที่มักมากในกามารมณ์
    เช่นพวกอลัชชีกับพวกที่ชอบเป็นชู้ด้วยสามี-ภรรยาผู้อื่น.

    ขุมนรกประหารใจ
    เป็นขุมนรกประหารใจวิญญาณบาปจากคนจำพวก ใจอิจฉาริษยา ใจอธรรมลำเอียง ใจโหดเหี้ยมอำมหิต
    ใจที่มีแต่เคียดแค้นพยาบาท ใจที่เห็นแก่ตัวและจงเกลียดจงชังผู้อื่น
    ใจที่ไม่รู้จักกตัญญูรู้คุณ ใจที่วิปริตหมกหมุ่นแต่กามารมณ์ ใจทรยศคดโกง ฯลฯ.

    ขุมนรกตัดลอกถลกหนังหน้า
    คนที่ไม่มีความละอาย ต่อการกระทำที่ไม่ถูกต้องทำนองคลองธรรมของตน
    หลังจากตายไปแล้วดวงวิญญาณจะถูกนักการยมบาลในนรก ลงโทษทรมาน
    ด้วยการตัดลอกถลกหนังหน้าออก.

    ศีลข้อที่ 3 จะขาดก็ต่อเมื่อพร้อมด้วยองค์ 4 ซึ่งประกอบด้วย
    1. หญิงหรือชายที่ไม่ควรละเมิด ( มี 20 ประเภท)
    หมายเหตุ : ตัวอย่างของหญิงที่ไม่ควรละเมิด (สำหรับชายที่ไม่ควรละเมิดนั้น ให้เปรียบเทียบเอา)
    - หญิงมีมารดารักษา
    - หญิงมีบิดารักษา
    - หญิงมีมารดาและบิดารักษา
    - หญิงมีพี่ชายหรือน้องชายรักษา
    - หญิงมีพี่สาวหรือน้องสาวรักษา
    - หญิงมีญาติรักษา
    - หญิงมีตระกูลเดียวกันรักษา
    - หญิงประพฤติธรรมร่วมอาจารย์เดียวกันรักษา
    - หญิงมีสามีรักษา
    - หญิงที่ถูกสินไหมบังคับ
    - ภรรยาสินไถ่
    - หญิงสมัครอยู่กับชาย
    - หญิงเป็นภรรยาเพราะทรัพย์
    - หญิงเป็นภรรยาเพราะได้ผ้านุ่งห่ม
    - หญิงที่ชายสู่ขอ
    - หญิงที่ชายช่วยปลงภาระ
    - หญิงที่ทาสีชายได้เป็นภรรยา
    - หญิงรับจ้างชายได้เป็นภรรยา
    - หญิงเชลยได้มาเป็นภรรยา
    - หญิงอยู่กับชายขณะหนึ่ง คิดว่าชายนั้นเป็นสามีตน
    2. จิตคิดจะเสพ
    3. พยายามเสพ
    4. อวัยวะเพศถึงกัน

    รักษาศีล ข้อที่ 3 แล้วได้อะไร
    การละเว้นจากการประพฤติผิดในกามเสียได้ จะได้รับผล 2 ขั้นคือ
    1. ได้รับผลใน ปฏิสนธิกาล คือเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาเรียกว่าได้ปฏิสนธิในกามสุคติภูมิ
    2. ได้รับผลในปวัตติกาล คือ หลังจากเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จะได้รับผลอีก 20 ประการ

    อานิสงส์ของการรักษาศีลข้อที่ 3 มี 20 ประการ
    1. ไม่มีข้าศึกศัตรู
    2. เป็นที่รักของคนทั่วไป
    3. นอนเป็นสุข
    4. ตื่นก็เป็นสุข
    5. พ้นภัยในอบายภูมิ
    6. ไม่อาภัพไม่เกิดเป็นหญิงหรือกระเทย
    7. ไม่โกรธง่าย
    8. ทำอะไรก็ได้โดยเรียบร้อย
    9. ทำอะไรเปิดเผยแจ่มแจ้ง
    10. มีความสง่าคอไม่ตก
    11. หน้าไม่ก้ม มีอำนาจ
    12. มีแต่เพื่อนรักทั้งบุรุษและสตรี
    13. มีอินทรีย์ 5 บริบูรณ์
    14. มีลักษณะบริบูรณ์
    15. ไม่มีใครรังเกียจ
    16. ขวนขวายน้อย ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก
    17. อยู่ที่ไหนก็เป็นสุข
    18. ไม่ต้องกลัวภัยจากใคร
    19. ไม่ค่อยพลัดพรากจากของที่รัก
    20. หาข้าว น้ำที่อยู่ เครื่องนุ่งห่มได้ง่าย

    ------------- มีต่อ --------------

    .......................................................


    http://palungjit.org/showthread.php?t=111598
    ที่มา/เจ้าของกระทู้ : kong sorakrit (30-01-2008)
    เสียงอ่าน : รัก. กัลชณิกานติ์ ธีรสุชานันท์<!-- / message --><!-- attachments -->
    <!-- / message --><!-- attachments -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2008
  5. karnjanikarn

    karnjanikarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +129
    หญ้าปากคอก (ต่อ)

    ศีลข้อที่ 4 คือเว้นจากการพูดเท็จ พูดไม่เป็นความจริงพูดโกหกหรือพูดมุสา
    ถ้าไม่เว้นจากมุสาวาทหรือพูดเท็จจะเกิดอะไรขึ้น....พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    " มุสาวาทอันบุคคลเสพแล้วเจริญแล้วกระทำให้มากแล้วย่อมยังสัตว์ให้ป็นไปในนรกในกำเนิดดิรัจฉานในเปรตวิสัย
    ผลจากการกล่าวมุสาวาทอย่างเบาที่สุดย่อมยังการแตกจากมิตรให้เป็นไปแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์"

    การกล่าวมุสาวาทแล้วจะมีผลอย่างไร ?
    การกล่าวมุสาวาท หรือการพูดเท็จปราศจากความจริงเมื่อกล่าวออกไปแล้วจะได้รับผล 2 ขั้น คือ
    1. ได้รับผลใน ปฏิสนธิกาล คือ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรตวิสัย
    2. ได้รับผลใน ปวัตติกาล คือ หลังเกิดแล้วและผลที่จะได้รับในปวัตติกาลนี้ จะครบองค์มุสาวาท
    หรือไม่ก็ตามถ้าได้เกิดมาเป็นมนุษย์จะได้รับผลร้ายอีก 8 ประการ คือ
    1. พูดไม่ชัด
    2. ฟันไม่เป็นระเบียบ
    3. ปากเหม็นมาก
    4. ไอตัวร้อนจัด
    5. ตาไม่อยู่ในระดับปกติ
    6. กล่าววาจาด้วยปลายลิ้นและปลายปาก
    7. ท่าทางไม่สง่าผ่าเผย
    8. จิตไม่เที่ยงคล้ายคนวิกลจริต

    ขุมนรกอันเป็นที่ไปของผู้ผิดศีลข้อ 4
    นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 4 โรรุวนรก

    มีกำแพงเหล็ก 4 ด้าน ไฟลุกโชน จนหาเปลวไม่ได้ ยิ่งลึกมาก ก็ยิ่งร้อนมากขึ้นไปเรื่อยๆ
    ตรงกลางขุมจะมีดอกบัวเหล็ก กลีบเหล็กถูกเผาไฟจนแดงโชน กระแสแห่งไฟพุ่งออกจากกลีบตลอดเวลา
    ไม่มีนายนิริยบาล สัตว์นรกจะถูกกรรมทำให้ต้องเอาหัวมุดลงไปในดอกบัว มือและขาก็จะจุ่มลงไปเช่นกัน
    กลีบบัวจะงับเข้ามาหนีบขาไว้ถึงข้อเท้า หนีบมือไว้ถึงข้อมือ ส่วนหัวจะหนีบไปถึงคาง เพื่อให้ไฟนั้นเผาอยู่ตลอดเวลา

    อายุของสัตว์ในโรรุวนรก 4,000 ปีอายุกัป
    1 วันนรก เท่ากับ 234 ล้านปีมนุษย์

    ขุมนรกผึ้งพิษ
    ฝูงผึ้งพิษกำลังรุมต่อยร่างวิญญาณจากคนจำพวกที่แอบอ้างชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ไปหลอกลวงเอาทรัพย์สินเงินทองของผู้บริสุทธิ์ กับพวกที่เบียดบังเอาเงินของศาสนาไปใช้ส่วนตัว
    และพวกหมอดูที่หลอกรับจ้างทำพิธีสะเดาะเคราะห์โดยมิชอบ.

    ขุมนรกอมลูกกระสุนเหล็ก
    คนจำพวกที่ใช้กลอุบายหลอกล่อให้ผู้อื่นตกหลุมพรางของตนแล้วบังคับขู่เข็ญเอาสิ่งที่ตนต้องการ
    บ้างใช้เล่ห์ลิ้นพูดหว่านล้อมให้คนหลงเชื่อแล้วกระทำอนาจาร บ้างโกหกมดเท็จเพื่อหลอกลวง
    เอาทรัพย์สินผลประโยชน์ของผู้อื่นไป บ้างพูดให้ร้ายส่อเสียดทำลายผู้อื่นโดยมิชอบ
    และพวกที่ติดยาเสพติดชนิดต่างๆ คนจำพวกนี้หลังจากตายไปแล้ว
    ร่างวิญญาณของพวกเขาต้องถูกทางการยมโลกลงโทษทรมาน.

    ขุมนรกสาวไส้
    นักยมบาลกำลังใช้มีดผ่าอกสาวไส้ร่างวิญญาณของพวกคนที่
    ใช้อำนาจหน้าที่ในราชการกระทำทุจริต กับพวกที่ปลูกพืชไร่ใส่ยาฆ่าแมลงยังไม่ทันหมดพิษยาก็นำออกจำหน่าย
    กับพวกพ่อเล้าแม่เล้าและพวกล้มแชร์ให้สุนัขกิน

    ขุมนรกตัดลิ้นร้อยกราม
    นักบวชที่ประพฤติผิดธรรมวินัยทางปาก เช่นกล่าวหาให้ร้ายศาสนาอื่น และเทศนาที่มีความหมายทำนองสองแง่สามง่าม
    กับพวกที่กล่าวหาให้ร้ายผู้อื่นโดยมิชอบ ตลอดจนใช้วาจาแช่งด่าหยาบคาย หลังจากตายไปแล้ว
    ร่างวิญญาณจะถูกทรมาน

    ขุมนรกกรอกยา
    นักค้ายาปลอมหลอกลวงว่ายาสามารถรักษาโรคได้
    และค้าขายสิ่งเสพติด

    ศีลข้อที่ 4 นี้จะขาดก็ต่อเมื่อพร้อมด้วยองค์ 4 ซึ่งประกอบด้วย
    1. เรื่องไม่จริง
    2. จิตคิดจะพูด
    3. พูดออกไป
    4. คนอื่นเข้าใจเนื้อความนั้น

    อานิสงส์แห่งการรักษาศีล ข้อที่ 4 มี 14 ประการ
    1. มีอินทรีย์ทั้ง 5 ผ่องใส
    2. มีวาจาไพเราะอ่อนหวาน
    3. มีฟันเสมอชิดสะอาด
    4. ไม่อ้วนจนเกินไป
    5. ไม่ผอมจนเกินไป
    6. ไม่สูงจนเกินไป
    7. ไม่เตี้ยจนเกินไป
    8. กลิ่นปากหอมเหมือนดอกบัว
    9. ได้สัมผัสแต่ที่เป็นสุข
    10. มีบริวารล้วนขยันขันแข็ง
    11. บุคคลอื่นจะเชื่อถือถ้อยคำ
    12. ลิ้นบางแดง อ่อนเหมือนกลีบดอกบัว
    13. ใจไม่ฟุ้งซ่าน
    14. ไม่ติดอ่าง ไม่เป็นใบ้

    ------------- มีต่อ --------------

    .......................................................


    http://palungjit.org/showthread.php?t=111598
    ที่มา/เจ้าของกระทู้ : kong sorakrit (30-01-2008)
    เสียงอ่าน : รัก. กัลชณิกานติ์ ธีรสุชานันท์<!-- / message --><!-- attachments -->

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. karnjanikarn

    karnjanikarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +129
    หญ้าปากคอก (ต่อ)


    ศีลข้อ ที่ 5 คือ เว้นจากการดื่มสุราและเมรัย รวมถึงเครื่องดองของเมายาเสพติดให้โทษทุกชนิด

    โทษของการดื่มสุรา
    ทำให้เกิดความประมาทปราศจากการเคารพบิดามารดาญาติ แม้นอุปัชฌาย์อาจารย์ และสมณะพราหมฌ์
    ผู้มีศีลก็ไม่เคารพศีลาจาวัตรในการปฏิบัติกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ จะทำแต่บาป หยาบ ช้า มีกายหยาบ วาจาหยาบใจหยาบ
    ทำแต่อกุศลเป็นนิตย์ไม่คิดสงสารสัตว์นอกจากนี้โทษของการดื่มสุราเมรัยยังพาให้ตกในอบาย
    นายนิรบาลจะกรอกด้วยน้ำทองแดงน้ำถึงปากและคอก็จะทำลายให้ไส้พุงขาดกระจายตาย
    ตายแล้วก็จะกลับฟื้นขึ้นมาเสวยทุกขเวทนาต่อๆกันไป
    เมื่อพ้นจากอบายแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์
    จะเป็นคนบ้าใบ้เสียจริตผิดมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นภัยของชีวิต

    ศีลข้อ ที่ 5 สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวรมณี เว้นจากการดื่มสุราเมรัย ของมึนเมาสิ่งเสพติดให้โทษ
    ถ้าไม่เว้นจะได้โทษอย่างไร ?
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
    "การดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัย อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้วกระทำให้มากแล้วย่อมยังสัตว์ให้เกิดในนรก
    ในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน ในเปรตวิสัย
    ผลแห่งการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอย่างเบาที่สุดย่อมยังความเป็นบ้าใบ้ให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์"<o></o>

    ถ้าผิดศีล ข้อที่ 5 ผลได้รับเป็นอย่างไร
    ผลที่จะได้รับทีมี 2 ขั้น คือ
    1. ได้ผลในปฏิสนธิกาล คือ เกิด ในนรก ดิรัจฉาน เปรตวิสัย
    2. ได้รับผลในปวัตติกาล คือ หลังจากเกิดแล้วและผลที่จะได้รับในปวัตติกาลนี้จะครบองค์หรือไม่ก็ตาม
    ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์จะได้รับผลจาการดื่มสุรา 6 ประการ คือ
    1. ทรัพย์ถูกทำลาย
    2. เกิดวิวาทบาดหมาง
    3. เป็นบ่อเกิดแห่งโรค
    4. เสื่อมเกียรติ
    5. หมดยางอาย
    6. ปัญญาเสื่อมถอยหรือพิการทางปัญญา

    ขุมนรกอันเป็นที่ไปของผู้ผิดศีลข้อ 5
    นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 5 มหาโรรุวนรก

    มีดอกบัวขนาดใหญ่ ไฟร้อนจัด กลีบบัวมีความคมเป็นกรด วางตั้งอยู่ทั่วไป
    ระหว่างช่องที่ว่างอยู่จะมีแหลนหลาว ปักเอาไว้ โดยเอาปลายแหลมชี้ขึ้น
    เผาไฟจนแดงโชน
    แต่ดอกบัวนี้จะไม่งับแน่นนัก สัตว์นรกที่อยู่ในดอกบัวทั้งหลายจะร้อน และดิ้นไปโดนกลีบบัว
    เมื่อกระทบกลีบบัวก็จะขาดตกลงมา
    ถูกแหลนหลาวข้างล่างแทงรับไว้ แต่เนื่องจากแหลนหลาวนั้นเป็นไฟลุกแดง
    จึงทำให้เนื้อตัวของสัตว์นรกนั้นลุกร้อนเป็นไฟ ตกลงมาที่พื้น เมื่อตกถึงพื้น
    ก็จะมีหมาที่คอยกัดกินจนเหลือแต่กระดูก จนหมดเกลี้ยง แล้วก็จะก่อตัวขึ้นมาเป็นกายใหม่
    จากนั้นนายนิริยบาลก็จะบังคับไล่แทงให้ไปอยู่บนดอกบัวต่อไปอีก

    อายุของสัตว์ในมหาโรรุวนรก 8,000 ปีอายุกัป
    1 วันนรก เท่ากับ 9,216 ล้านปีมนุษย์

    ศีลข้อที่ 5 นี้จะขาดก็ต่อเมื่อพร้อมด้วยองค์ ๔ ซึ่งประกอบด้วย
    ๑. ของทำให้เมา
    ๒. จิตคิดจะดื่ม
    ๓. มีความพยายามที่จะดื่ม
    ๔. ดื่มให้ไหลล่วงลำคอเข้าไป

    รักษาศีล ข้อที่ 5 จะได้อะไร ?
    ถ้าเว้นจากการดื่มสุรา เมรัยหรือเว้นจากสิ่งเสพติดให้โทษจะได้ผลดี 2 ประการ คือ
    1. ได้รับผลดีในการปฏิสนธิกาล คือจะเกิดในกามสุคติภูมิ มีมนุษย์หรือสวรรค์เป็นที่เกิด
    2. ได้รับผลในปวัตติกาล คือหลังจากเกิดแล้วถ้าได้เป็นมนุษย์จะได้รับ

    อานิสงส์จากการเว้นดื่มน้ำเมา 35 ประการ คือ
    1. รู้กิจการอดีต อนาคต ปัจจุบันได้รวดเร็ว
    2. มีสติตั้งมั่นทุกเมื่อ
    3. มีปัญญาดี มีความรู้มาก
    4. มีแต่ความสุข
    5. มีแต่คนนับถือ ยำเกรง
    6. มีความขวนขวายน้อย (หากินง่าย)
    7. มีปัญญามาก
    8. มีปัญญาบันเทิงในธรรม
    9. มีความเห็นถูกต้อง
    10. มีศีลบริสุทธิ์
    11. มีใจละอายแก่บาป
    12. รู้จักกลัวบาป
    13. เป็นบัณฑิต
    14. มีความกตัญญู
    15. มีกตเวที
    16. พูดแต่ความสัตย์
    17. รู้จักเฉลี่ยเจือจาน
    18. ซื่อตรง
    19. ไม่เป็นบ้า
    20. ไม่เป็นใบ้
    21. ไม่มัวเมา
    22. ไม่ประมาท
    23. ไม่หลงใหล
    24. ไม่หวาดสะดุ้งกลัว
    25. ไม่บ้าน้ำลาย
    26. ไม่งุนงงไม่เซ่อเซอะ
    27. ไม่มีความแข่งดี
    28. ไม่มีริษยา
    29. ไม่ส่อเสียดใคร
    30. ไม่พูดหยาบ
    31. ไม่พูดเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์
    32. ไม่เกียจคร้านทุกคืนวัน
    33. ไม่ตระหนี่
    34. ไม่โกรธง่าย
    35. ฉลาดรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์และในสิ่งที่เป็นโทษ

    ขุมนรกอันเป็นที่ไปของผู้ผิดศีลทั้ง 5 ข้อ
    นรกขุมใหญ่ ขุมที่ 7 มหาตาปะนรก

    มีกำแพงทุกด้าน มีไฟที่ความร้อนสูง คล้ายแสงสว่าง พุ่งเข้ามาจากรอบทิศ
    มารวมกันตรงกลาง มีภูเขาที่ตั้งอยู่ตรงกลางขุมนรก ก็จะมีไฟพุ่งเข้าพุ่งออกเป็นเหล็กที่เผาแดง
    นายนิริยบาลจะบังคับให้สัตว์นรกป่ายปีนขึ้นไปบนยอดเข า วิ่งขึ้นไป พอไปใกล้ถึงยอดก็จะทนไม่ไหว ร่วงหล่นลงมา
    ก็จะถูกแหลนหลาวที่ปักเอาไว้โดยรอบแทงเข้า เมื่อหล่นจากแหลนหลาวนั้นร่างก็จะเต็ม แล้วถูกไฟเผาตามเดิม
    นายนิริยบาลก็จะมาไล่ให้ขึ้นไปยอดเขาต่อไป

    อายุของสัตว์ในมหาตาปนมหานรกนี้ มีประมาณ ครึ่งอันตรกัป

    อานิสงส์ของความถึงพร้อมด้วยศีล 5
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ว่า
    ดูก่อนคฤหบดีทั้งหลายอานิสงส์ของความถึงพร้อมด้วยศีลมี 5 ประการ คือ
    1. ย่อมประสบซึ่งกองแห่งโภคใหญ่คือความไม่ประมาทอันเป็นคุณอย่างยิ่ง
    2. ย่อมมีชื่อเสียงดีงามฟุ้งขจรไป
    3. เข้าไปในบริษัทใดก็ตามย่อมเป็นผู้ไม่หลงตาย ย่อมเป็นผู้แกล้วกล้าไม่เก้อเขิน
    4. ผู้ที่มีศีลสมบูรณ์ ย่อมไม่เป็นผู้ไม่หลงตาย
    5. เบี้องหน้าเมื่อการแตกกายตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

    .......................................................


    http://palungjit.org/showthread.php?t=111598
    ที่มา/เจ้าของกระทู้ : kong sorakrit (30-01-2008)
    เสียงอ่าน : รัก. กัลชณิกานติ์ ธีรสุชานันท์<!-- / message --><!-- attachments -->



    <!-- / message --><!-- attachments -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2008
  7. karnjanikarn

    karnjanikarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +129
    อานาปานสติ
    ทำไมต้องเจริญอานาปานสติิ<O></O>


    1. เพื่อศึกษาชีวิต<O></O>
    เมื่อมีใครถามว่าทำไมต้องปฏิบัติธรรม เราอาจตอบได้ว่า เพื่อศึกษาพระพุทธศาสนา
    คือศึกษาชีวิตเรา ชีวิตเขา ถ้าลองสังเกตดูตัวเองแล้วจะพบว่า ไม่ว่ากายหรือใจเรา มักมีเรื่องทุกข์กันทั้งนั้น ไม่มีใครสมบูรณ์ในทุกด้าน
    ชีวิตเรามักขาดไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งจนเป็นทุกข์กันทุกคน
    บางคนมีเงินทองพอใช้ไม่เคยเดือดร้อน แต่ขาดความอบอุ่นในครอบครัว บางคนร่ำรวยแต่เป็นทุกข์ เพราะอกหัก ขาดความรัก
    บางคนร่ำรวยมีครอบครัวอบอุ่น มีบริวารดี การศึกษาดี ดูแล้วพรั่งพร้อมทุกด้าน แต่กลับมีปัญหาสุขภาพ ถูกโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน <O></O>
    หากจะกล่าวว่าทุกคนในโลกมีทุกข์กันทั้งนั้น ไม่มียกเว้นแม้แต่สักคนเดียวก็คงจะไม่ผิด
    เพราะเราไม่เข้าใจ ตามความเป็นจริงของกายและใจ การเจริญอานาปานสติ ก็เพื่อค้นหาตนเอง
    เข้าใจตนเองถูกต้องได้มากเท่าไร ก็แก้ปัญหาและบรรเทาทุกข์ได้มากเท่านั้น<O></O>
    การเข้าใจตนเองในที่นี้ หมายถึง เราจะค่อยๆ เข้าใจในการกระทำของตัวเอง ว่าเมื่อสร้างเหตุดี คิดดี พูดดี ทำดี ก็ได้ผลดี
    คือมีความสุข ตรงกันข้ามเมื่อคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ผลก็ไม่ดี คือมีความทุกข์ เมื่อเราเข้าใจตามความเป็นจริงดังนี้แล้ว
    เราก็จะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเรา ไปในทางที่ดีขึ้น เคยฆ่าสัตว์ เบียดเบียนชีวิตสัตว์ก็เลิก เคยมีนิสัยขี้ขโมย เมื่อเห็นโทษก็หยุด
    เคยประพฤตินอกใจภรรยา สามี เคยเที่ยวกลางคืน ก็ไม่ทำอีก เคยมีนิสัยพูดโกหกก็เลิก เคยดื่มสุราก็เลิก
    เรียกว่าเลิกนิสัยเก่าๆ ที่ไม่ดี พัฒนาชีวิตใช้ชีวิตเรียบง่าย รักษาศีล5 ชีวิตก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ประพฤติดีงาม ทั้งกาย วาจา ใจ จิตใจพัฒนาสูงขึ้น
    ใช้หลักศีล สมาธิ ปัญญา เป็นแนวทางในการละเหตุให้เกิดทุกข์ ทำให้ชีวิตมีความสบายใจ สุขใจ ผลคือความดับทุกข์หรือทุกข์น้อยลง
    รู้จักปล่อยวาง จิตใจก็มีความสงบ มีความสบายใจ
    <O></O><O></O>
    2. เพื่อสุขภาพใจ<O></O>
    สำหรับฆารวาสที่มีภาระในครอบครัวและสังคมมาก จนทำให้มีอารมณ์ขี้บ่น ขี้ฟุ้งซ่าน ขี้สงสัย ขี้น้อยใจ ขี้อิจฉา ขี้กลัว ขี้โกรธ ขี้เกียจ
    ซึ่งเป็นลักษณะของสุขภาพใจที่ไม่ดี เป้าหมายของการปฏิบัติธรรม การเจริญอานาปนสติ
    คือให้มีสติระลึกรู้ ลมหายใจเขา ลมหายใจออกเบาๆ สบายๆ จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน
    ถึงแม้ว่าตาเห็นอะไร หูได้ยินเสียงอะไร ไม่ให้ยินดียินร้ายกับสิ่งภายนอก หมายความว่า เมื่อกระทบอารมณ์ทุกชนิด
    ไม่ว่าดีหรือไม่ดี พอใจ ไม่พอใจ น้อยใจ อิจฉา โกรธ ฯลฯ กำหนดรู้เท่าทันได้ มีกำลังสติ สัมปชัญญะ มีสมาธิ ปัญญา อาศัยความอดทนอดกลั้น
    พอที่จะรักษาจิตเป็นโอปนยิโก คือน้อมเข้ามาหาใจ ดูจิต ดูอารมณ์ของตน ถึงแม้ว่าทุกข์ขนาดไหนก็ทำใจได้ วางใจให้สงบได้
    ไม่คิดปรุงแต่ง ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ยินดี ยินร้าย หรือหากจะคิด ก็คิดดี คิดถูก คิดด้วยสติปัญญา
    ไม่ใช่คิดปรุงแต่งไปตามกิเลส เราจะไม่หลงอารมณ์ ไม่ยอมให้อารมณ์มีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมของเรา
    เราจะสามารถรักษากาย วาจา ใจ เรียบร้อย มีสติกลับมาระลึกรู้ที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ไม่ไปยึดติดกับสิ่งภายนอก
    แต่มองเห็นอารมณ์ภายใน ควบคุมอารมณ์ ควบคุมความคิดได้ รักษาสุขภาพใจดีได้<O>
    </O><O></O>
    3. เพื่อสร้างกำลังใจ<O></O>
    ใจเป็นประธาน ใจเป็นหัวหน้า เมื่อใจดี คิดดี พูดดี ทำดี ก็เป็นสุข เมื่อมีกำลังใจดี ถึงแม้จะเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ก็ทำใจได้
    แต่ถ้ากำลังใจไม่ดี คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ก็เป็นทุกข์ แม้ว่าจะมีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ยังเป็นทุกข์
    การเจริญอานาปานสติเป็นการสร้างกำลังใจ อันได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา<O></O>
    ศรัทธา หมายถึง เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ เป็นความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา เช่นบุญคุณพ่อแม่มีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
    เชื่อในหลักอริยสัจ4 เชื่อมั่นว่า เราสามารถปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ได้<O></O>
    วิริยะ หมายถึง ความขยันหมั่นเพียรในการละความชั่ว ทำความดี และทำจิตใจให้บริสุทธ์<O></O>
    สติ หมายถึง ความระลึกรู้ ระลึกถึงความเป็นมนุษย์ ว่าคือผู้มีใจสูง รู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ และมิใช่ประโยชน์ รู้จักผิดชอบชั่วดี มีสติปัญญา
    เลือกทำในสิ่งที่ถูกที่ควร รักษาศีล5 รักษาระเบียบวินัย มีสติระลึกถึงหน้าที่ที่เรามีต่อครอบครัว สังคม ประเทศชาติ
    และทำหน้าที่นั้น ๆ ให้สมบูรณ์ ฐานของสติที่แท้คือ สติปัฏฐาน4 หรือการระลึกรู้ในกาย เวทนา จิต และธรรม
    ว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นสักแต่ว่ากาย สักแต่ว่าเวทนา สักแต่ว่าจิต สักแต่ว่าธรรม
    จิตใจก็จะเป็นอิสระ สงบสุข ไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่มีทุกข์<O></O>
    สมาธิ คือความสงบของจิตที่ตั้งมั่น เป็นจิตที่คล่องแคล่วควรแก่การงาน ไม่ว่าจะทำการงานทางโลกหรือทางธรรมก็ทำได้ดี<O></O>
    ปัญญา คือความฉลาดรอบรู้ตามความเป็นจริง ที่สุดของปัญญา คือรู้ตามอริยสัจ4 นั่นเอง<O></O>
    หากพวกเรามีกำลังใจตามที่กล่าวนี้แล้ว เราจะมีความสุขได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะมีปัญหา
    มีทุกข์มากขนาดไหน ก็จะผ่านพ้นอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ด้วยดี ที่สุดของกำลังใจดีก็คือ ถึงแม้ว่ากำลังจะตาย ก็ไม่หวั่นไหว
    ปล่อยวาง ยอมรับความตายด้วยความสงบ สบายใจ
    <O></O><O></O>
    4. เพื่อไม่ประมาท<O></O>
    ในช่วงระยะเวลา 45 พรรษา หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระองค์ทรงประกาศพระธรรมวินัย ถึง 84,000 พระธรรมขันธ์
    ในวาระสุดท้ายก่อนที่จะเสด็จปรินิพพาน พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์สุดท้าย ซึ่งเป็นสาระแห่งธรรม
    ที่สรุปรวบยอดไว้ว่า <O></O>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2008
  8. karnjanikarn

    karnjanikarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +129
    อานาปานสติ
    ข้อกำหนด 7 ประการ : เพื่อสุขภาพใจดี<O></O>


    <O>๑. ลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร<O></O>
    สะดวกเมื่อไรกำหนดลมหายใจเข้า-ออกเมื่อนั้น ด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อรักษาจิตใจให้สงบ มีสุขภาพใจดี
    พยายามทำอยู่บ่อยๆ เท่าที่จะทำได้ อย่างน้อย เริ่มจากการกำหนดลมหายใจ 3-4 ครั้งให้ติดต่อกัน
    เมื่อเราชำนาญแล้ว การกลับมามีสติระลึกรู้อยู่กับลมหายใจจะเป็นไปเองตามธรรมชาติ
    สิ่งที่พวกเราฝึกในเบื้องต้นคือ ทำอย่างไรที่จะมีสติสัมปชัญญะกับการหายใจเข้า หายใจออกแต่ละครั้ง
    เราต้องเข้าใจว่า อาการที่มีสติสัมปชัญญะในการหายใจหนึ่งครั้งเป็นอย่างไร<O></O>
    มีความรู้สึกตัว เบื้องต้น ท่ามกลาง และสุดท้ายของการหายใจเข้า <O></O>
    มีความรู้สึกตัว เบื้องต้น ท่ามกลาง และสุดท้ายของการหายใจออก<O></O>
    สังเกตได้ตรงเห็นลมหายใจชัดเจน และที่จิตไม่ฟุ้งซ่าน สบายใจคือไม่คิดไปตามอารมณ์ ไม่คิดปรุงแต่งเป็นเรื่องราว มีเรา มีเขา<O></O>
    ถ้าสามารถทำได้สมบูรณ์ใน 1 ครั้งของการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก ต่อไปก็ไม่ยากที่จะทำครั้งที่ 2-3-4
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 เมษายน 2008
  9. karnjanikarn

    karnjanikarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +129
    อิริยาบถแห่งอานาปานสติ



    อิริยาบถยืน : ยืนกำหนดอานาปานสติ

    การยืน ยืนอย่างสำรวม เท้าทั้งสองห่างกันพอสมควร ประมาณ 20 ซม. เพื่อให้ยืนได้อย่างมั่นคง
    เอามือขวาทับมือซ้าย วางลงประสานที่หน้าท้อง เพื่อให้ดูเรียบร้อย<o></o>
    แต่ถ้าอยู่คนเดียวจะปล่อยมือข้างๆ ตัว ตามสบายแบบโครงกระดูก ที่ถูกแขวนไว้ก็ได้
    จากนั้นทอดสายตาให้ยาวพอดีๆ ประมาณเมตรครึ่ง แต่ไม่ให้จ้องอะไร
    กำหนดสายตาไว้ครึ่งๆ ระหว่างพื้นดินกับตัวของเราเอง เพื่อไม่ให้ดูอะไรเป็นพิเศษ
    หรืออาจกำหนดดูที่ปลายจมูกก็ได้ บางครั้งอาจจะกำหนดสายตาไว้ที่ๆ สบายตา
    เช่น กำหนดที่สนามหญ้าสีเขียว ต้นไม้ ดอกไม้ แต่ไม่ให้คิดปรุงแต่งเป็นเรื่องราว
    ถ้ารู้สึกมีอะไรเกะกะตา หรืออยู่ด้วยกันหลายคน อาจจะหลับตาก็ได้เหมือนกัน
    แต่ระวังอย่าให้ล้ม ต้องมีสติ ทรงตัวไว้ให้ดี
    การกำหนดลมหายใจ : น้อมจิตเข้ามาดูกายยืน ไม่ให้ส่งจิตคิดออกไปข้างนอก
    ให้มีความรู้ตัวชัดๆ ในการยืน ทุกอย่างให้เป็นธรรมดาๆ
    หายใจเข้าลึกๆ ยืดตัวหน่อยๆ หายใจออกสบายๆ ปล่อยลมลงทางเท้า
    หายใจเข้าลึกๆ ยืดตัวหน่อยๆ ตั้งกายตรง หายใจออก ปล่อยลมลงทางเท้าสบายๆ 3-4 ครั้ง
    หายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้น หายใจออกสบายๆ จิตนึกถึงเท้าทุกครั้ง
    ทำความรู้สึกคล้ายกับว่า ลมเข้า ลมออกจากทางเท้า
    วิธีนี้ช่วยทำให้ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ยาวขึ้น ยืนสบายๆ นั่นแหละดี และถูกต้อง
    รู้ชัดว่าลมหายใจปรากฎอยู่ ลมหายใจปรากฎอยู่อย่างไรก็รับรู้ กำหนดรู้ ระลึกรู้เฉยๆ
    มีหลักอยู่ว่า ความรู้สึกอยู่ที่ไหน จิตก็อยู่ที่นั่น
    การระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก คือการรักษาใจไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน ให้อยู่กับปัจจุบัน
    การหายใจให้ปล่อยตามธรรมชาติและธรรมดาที่สุด สบายๆ ที่สุด กำหนดเบาๆ ให้พยายามมีความรู้สึกว่ามีลมเข้า มีลมออกทุกครั้งไปเท่านั้น
    จิตไม่ต้องตามลมหายใจตลอด เพียงแต่ให้รู้ลมเข้า ลมออก ถ้าสบาย สงบ มีความสุข แสดงว่ากำหนดได้ถูกต้อง
    ถ้ากำหนดลมหายใจแล้วรู้สึกเหนื่อย เครียดและสับสน แสดงว่ากำหนดไม่ถูกต้อง
    ให้พิจารณาทบทวนใหม่ ยืนเฉยๆ ก่อน ปล่อยลมหายใจ ไม่ต้องกังวลกับลมหายใจ สักพักหนึ่ง
    ยืนสบายๆ หายใจสบายๆ แล้วกำหนดลมหายใจใหม่ อย่าบังคับลมหายใจมากมาย หายใจสบายๆ เป็นธรรมชาติที่สุด
    การส่งความรู้สึกหรือจิตไปถึงเท้า ก็เพื่อให้ลมหายใจค่อนข้างยาวขึ้นตามธรรมชาตินั่นเอง
    นี่เป็นวิธีการหายใจทางเท้า<o></o>


    อิริยาบถเดิน : เดินอานาปานสติ

    การเดินจงกรมที่ถูกต้อง คือ เดินอย่างธรรมดา เอากาย เอาใจมาเดิน เมื่อกายกำลังเดิน ให้ใจเดินไปด้วย
    ไม่ใช่ว่า เมื่อกายกำลังเดิน ใจคิดไปเที่ยวในอดีต อนาคต หรือคิดไปเที่ยวทั่วโลก
    อย่าให้กายกับใจทะเลาะกัน อยู่คนละทิศ..คนละทาง ให้กายกับใจสามัคคีกัน รักกัน อยู่ด้วยกัน
    ให้มีสติสัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในการเดิน<o></o>
    เดินให้ถูกต้องและเป็นธรรมชาติที่สุด ให้เดินธรรมดาๆ แต่ช้ากว่าปกตินิดหน่อย เดินไปเรื่อยๆ นั่นแหละคือเดินจงกรม
    เดินธรรมดาๆ แต่ให้มีอาการสำรวมระวังในการเดิน มีสติ ระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจจออกทุกครั้ง
    บางคนอาจจะไม่เคยชินกับการกำหนดลมหายใจขณะเดิน เพราะว่าความรู้สึกที่เท้ากำลังก้าวอยู่ ความรู้สึกที่เท้ากำลังถูกดิน
    ความรู้สึกตัวในการเดินเด่นชัดมากกว่าลมหายใจหลายเท่า แต่ไม่ต้องสงสัยอะไร
    อะไรที่กำลังปรากฎอยู่โดยธรรมชาติ รับรู้ รับทราบหมด รู้ชัดว่ากายกำลังเดิน แต่เราไม่ทิ้งลมหายใจ
    ให้มีความพยายามที่จะกำหนดรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก รู้ว่ามีลมเข้า ลมออก เท่านั้น เบาขนาดไหนก็ช่าง แต่ให้รู้ติดต่อกัน ต่อเนื่องกัน
    เดินไป เดินมา เริ่มจะเมื่อยคอ เมื่อหลัง หายใจเข้าลึกๆ 2-3 ครั้ง ยืดตัวหน่อยๆ เป็นระยะ เพื่อช่วยผ่อนคลายความรู้สึก ทำให้เบาตัว สบายตัว เดินไปเรื่อยๆ
    ถ้าจิตไม่สงบ หยุดเดินก่อนก็ได้ หายใจเข้าลึกๆ 2-3 ครั้ง หรือนานพอสมควร จนกว่าจิตจะสงบเรียบร้อย ตั้งหลัก ตั้งสติ แล้วค่อยๆ เดินต่อไป
    เดินกำหนดอานาปานสติ เหมือนการยืนกำหนดอานาปานสติ ต่างกันเพียงการเคลื่อนไหวของกายเท่านั้น
    ไม่ว่าจะวิ่ง เดินเร็ว เดินธรรมดา เดินช้า หยุดเดิน คือ ยืน
    เรามีหน้าที่ระลึกรู้ทุกครั้งที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกติดต่อกันเท่านั้น หาจุดสบายๆ หายใจเข้าสบายๆ หายใจออกสบายๆ
    เป็นการเจริญสติที่จะระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เป็นการรักษาความรู้สึกให้เป็นปกติ คือ หายใจสบายๆ ใจสงบ เบา สบาย

    อิริยาบถนั่ง : นั่งกำหนดอานาปานสติ

    ใครเคยฝึกนั่งสมาธินในท่าไหน หรือถนัดนั่งท่าไหน ก็ให้นั่งอย่างนั้น นั่งขัดสมาธิ ขัดสมาธิเพชร นั่งพับเพียบกับพื้น หรือนั่งบนเก้าอี้ก็ได้
    ข้อสำคัญอยู่ที่หลังตั้งตรง และไม่ควรพิงหลังกับสิ่งใด เพราะจะทำให้เกิดความสบายมากไป ทำให้ง่วงนอนได้ง่าย <o></o>
    ครูบาอาจารย์สอนไว้ว่า ลักษณะการนั่งที่เรียบร้อยนั้น ให้เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง พอเหมาะ พอดี พองาม<o></o>
    ไม่ให้เอียงขวา เอียงซ้าย ไม่ก้มหน้าเกินไป และไม่เงยหน้าเกินไป ให้เอาท่านั่งของพระพุทธรูปเป็นตัวอย่าง
    พยายามนั่งให้เรียบร้อยอย่างนั้น <o></o>เมื่อใครได้เห็น ย่อมรู้สึกศรัทธา เกิดความชื่นอกชื่นใจด้วย<o></o>
    นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง ดำรงสติให้มั่น <o></o>หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ สบายๆ<o></o>
    หายใจเข้าลึกๆ สุดๆ ยืดตัว <o></o>หายใจออกยาวๆ สบายๆ ทำอย่างนี้ 3-4 ครั้งแล้วค่อยๆปล่อย <o></o>
    หายใจสบายๆ แบบธรรมชาติ หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย <o></o>ปล่อยวางสัญญา อารมณ์ต่างๆ มีสติสัมปัชัญญะ<o></o>
    ีความรู้สึกตัวทั่วถึงลมหายใจเข้า ลมหายใจออก<o></o>ติดต่อกัน ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ

    อิริยาบถนอน : นอนกำหนดอานาปานสติ

    เราสามารถฝึกอานาปานสติในอริยาบถนอกได้อย่างง่ายๆ โดยการนอนสบายๆ ธรรมดาๆ แบบที่นอนอยู่ตามปกติ
    พยายามทำความรู้สึกให้ผ่อนคลายมากที่สุด จากนั้นให้สำรวจร่างกายทั้งหมด โดยเริ่มจากปลายเท้าขึ้นมา <o></o>ก่อนคลายกล้ามเนื้อของร่างกายทุกส่วน
    ไม่ให้มีกล้ามเนื้อส่วนใดเกร็งอยู่เลย จนกระทั้งมีความรู้สึกตัวเบา เหมือนสำลี<o></o>
    เวลาหายใจเข้า หายใจออก ให้กำหนดความรู้สึกเหมือนกับว่า หายใจเข้า หายใจออก..ทางเท้า<o></o>
    เมื่อหายใจออกให้กวาดเอาความรู้สึกที่ไม่ดี <o></o>ความเครียด ความกังวล ความรู้สึกเจ็บป่วย ไม่สบายทั้งทางกายและทางใจ ออกไปจากร่างกายให้หมด<o></o>
    โดยหายใจให้ไกลออกไปจากเท้าหลายเมตรก็ได้ <o></o>เมื่อหายใจเข้า ตั้งสติไว้ที่เท้า ให้ความรู้สึกสะอาดบริสุทธิ์ ผ่านเข้ามาทางร่างกาย จนถึงใบหน้าและจมูก<o></o>
    สุขภาพของใจจะดีขึ้นและทำให้สุขภาพกายดีขึ้นพร้อมๆ กัน หาจุดหายใจสบายๆ ใจสบายๆ
    <o></o>
    ..............................................................


    ที่มา : คู่มือเบื้องต้น อานาปานสติ
    <o></o>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2008
  10. karnjanikarn

    karnjanikarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +129
    ทุกชีวิตล้วนอยู่ในอุ้งมือกรรม <!--MsgIDBody=0-->ทุกชีวิตล้วนอยู่ในอุ้งมือกรรม


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2008
  11. karnjanikarn

    karnjanikarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +129
    ไฟนรก 7 กอง

    ไฟนรก 7 กอง ก็คือ สิ่งเจ็ดสิ่งที่เป็นตัวเลขสะท้อนบุญและสะท้อนบาปแก่เราอย่างมากมายมหาศาล
    พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ หากเราทำบุญกับผู้ที่เป็นไฟนรกแล้ว ก็จะได้ผลบุญเป็นอันมโหฬาร
    แต่ถ้าหากเราทำบาปต่อไฟนรกเหล่านั้นแล้ว ก็จะได้ผลบาปอย่างหนักหนาแสนสาหัส จนถึงกับต้องลงนรกอย่างทุกข์ทรมานและยาวนาน
    แม้จะมีศีลห้าที่จะช่วยให้เกิดเป็นมนุษย์ แต่หากไปล่วงเกินไฟนรกเข้าแล้ว ก็ย่อมมีนรกเป็นที่รองรับอย่างแน่นอน
    ดังนั้นไฟนรก 7 กอง จึงเป็นสิ่งที่เราไม่ควรไปล่วงเกินโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะด้วย กาย วาจา หรือใจ

    ไฟนรกกองที่ 1 ได้แก่ พระพุทธเจ้า
    พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ที่มีบุญบารมีมากที่สุดในโลก เป็นผู้เดียวในโลกที่มีสัพพัญญุตญาณ(ญาณที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลโดยไม่มีที่สิ้นสุด)
    และพระพุทธเจ้ายังเป็นนายกของโลกตามตำแหน่งของกฎธรรมชาติที่ได้กำหนดไว้
    ซึ่งผู้ใดก็ตามที่ได้ทำกุศลกรรมกับพระองค์ บุคคลนั้นจะต้องได้อานิสงฆ์ผลบุญมากที่สุดในโลก
    ซึ่งมนุษย์คนใดได้ไปทำทานด้วยแล้วจะได้ผลบุญมากเท่ากับทำทานแด่พระพุทธเจ้าเป็นไม่มี
    แต่หากผู้ใดทำอกุศลกรรมกับพระองค์ บุคคลนั้นจะต้องได้รับกรรมมากที่สุดในโลกที่เรียกว่า อนันตริยกรรม นั่นเอง

    ไฟนรกกองที่ 2 ได้แก่ พระธรรม
    พระธรรม คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ถ่ายทอดออกมาจากการรู้ซึ่งความจริงของกฎธรรมชาติทุกอย่าง
    ไม่มีผู้ใดในโลกที่จะฝืนหรือเปลี่ยนแปลงกฎธรรมชาติไปได้ แม่แต่พระพุทธเจ้า ผู้ใดก็ตามที่ไม่เชิ่อในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    บุคคลนั้นถือว่า เป็นผู้มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฎฐิ) ซึ่งจะทำให้คนผู้นั้นได้รับความเดือดร้อนในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    โดยเฉพาะการเชื่อว่าเกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียว ชาติหน้าไม่มี ตายแล้วสูญ ผู้ที่เชื่อเช่นนี้ เมื่อตายไปต้องไปเกิดในอบายภูมิอย่างแน่นอน
    หากผู้นั้นยังสอนให้ผู้อื่นเชื่อตามนี้ด้วยอีกแล้ว เมื่อตายไปต้องตรงไปเกิดที่โลกันต์นรกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ไฟนรกกองที่ 3 ได้แก่ พระสงฆ์
    พระสงฆ์ คือ พระอริยสงฆ์ที่ตรัสรู้ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในขั้นใดขั้นหนึ่งแล้ว ได้แก่ พระโสบัน พระสาทาคามี พระอนาคามี
    หรือขั้นสูงสุด คือ พระอรหันต์ เมื่อเราได้ทำบุญกับพระอริยสงฆ์เราก็จะได้บุญมากมายมหาศาลนับไม่ถ้วน
    แต่ถ้าใครก็ตามไปล่วงเกินทำบาปกับท่าน ก็จะต้องได้รับผลกรรมอย่างรุนแรง และมหาศาลเช่นเดียวกัน

    ไฟนรกกองที่ 4 ได้แก่ บิดามารดาผู้ให้กำเนิด
    พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า พ่อแม่นั้นคือ พระอรหันต์ของลูก ผู้ใดก็ตามที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ถือว่าผู้นั้นมีบุญวาสนาอย่างมาก
    เพราะเราสามารถทำบุญกับพ่อแม่ได้และได้รับผลบุญเทียบเท่ากับพระอรหันต์เช่นกัน เพียงแต่ว่าอาจจะได้ผลบุญช้ากว่าพระอรหันต์ซักหน่อย
    สาเหตุที่ได้บุญมากก็เพราะว่าพ่อแม่อยู่ในฐานะผู้มีพระคุณอย่างมากมายมหาศาลต่อลูกตามกฎของธรรมชาติ
    แม้พ่อแม่จะให้แต่กำเนิดเท่านั้นแต่ไม่เลี้ยงดูเลยก็ตาม ก็ยังถือว่าบุญคุณของพ่อแม่นั้นหาที่สุดมิได้
    ถ้าใครก็ตามที่ล่วงเกินท่านด้วยกาย วาจา ใจ ผู้นั้นก็ย่อมจะได้รับกรรมอย่างมหาศาลเทียบเท่ากับล่วงเกินพระอรหันต์เลยทีเดียว

    ไฟนรกกองที่ 5 ได้แก่ ครูบาอาจารย์
    ครูบาอาจารย์ เป็นผู้ที่มีความสำคัญมากตามกฎของธรรมชาติ โดยเฉพาะอาจารย์ผู้ที่สั่งสอน หรือ เขียนตำราให้เราอ่านแล้วทำให้เรารู้ธรรมะ
    ถ้าผู้ใดเกิดมาแล้วไม่รู้ธรรมะอะไรเลย ผู้นั้นย่อมใช้ชีวิตอย่างผิดๆ ถูกๆ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นบุญอะไรเป็นบาปและทำทุกอย่างตามความคิดของตัวเองว่าถูก
    เมื่อตายไปเขาย่อมไปเกิดในอบายภูมิซึ่งมีนรกเป็นที่ต่ำที่สุด แต่เมื่อใดก็ตามที่เขามีบุญวาสนาได้พบอาจารย์ที่มีความรู้ในธรรมะ
    ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง เขาผู้นั้นก็เสมือนว่าได้เกิดใหม่ ทั้งที่ยังไม่ตาย เขาจะรู้ว่า การกระทำใดเป็นบุญและการกระทำใดเป็นบาป
    เขาจะสามารถตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรมตลอดชีวิต ทำให้ได้รับความสุขความเจริญทั้งในชาตินี้ เมื่อตายไปก็จะมีโลกสวรรค์เป็นที่รองรับ
    ทั้งนี้ ก็ด้วยพระคุณของครูบาอาจารย์ที่ฉุดเขาพ้นจากนรกนั่นเอง และการที่เราเคารพครูบาอาจารย์จะทำให้เราเป็นผู้มีความสำเร็จเร็ว
    และเป็นผู้มีปัญญามากอีกด้วย ดูอย่างเช่าน พระสาริบุตรเมื่อได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิ ก็เกิดความศรัทธาในพระพุทธศาสนา
    พระสารีบุตรรู้บุญคุณของพระอัสสชิที่ทำให้ตนได้รู้จักธรรมะที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา จึงยกย่องนับถือไว้เป็นอาจารย์
    เมื่อพระสารีบุตรอยู่ที่ใดก็ตามก่อนจะจำวัด (นอน) จะต้องหันศรีษะไปทางที่พระอัสสชิอยู่ แล้วตั้งจิตอธิฐาน
    ถวายสิ่งที่อยู่เหนือเศียรเกล้าของตนเพื่อบูชาพระอาจารย์ จึงไม่น่าแปลกเลยที่ท่านเป็นพระอัครสาวก ผู้เป็นเลิศด้านผู้มีปัญญามาก

    ไฟนรกกองที่ 6 ได้แก่ สมณะชีพราหมณ์
    สมณะหรือพระที่บวชในพระพุทธศาสนา โดยปฎิบัติตามพระวินัย คือ รักษาศีล 227 ข้อ เรียกว่า สมมติสงฆ์ หลายคนเข้าใจว่า
    สมมติสงฆ์ ก็คือ พระสงฆ์ แท้จริงแล้ว พระสงฆ์หมายถึง พระอริยะสงฆ์ที่บรรลุธรรมตั้งแต่พระโสดาบรรณจนถึงพระอรหันต์เท่านั้น
    ส่วนพระทั่วไปที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมนั้นเรียกว่า สมมติสงฆ์ แม้จะเป็นสมมติสงฆ์แต่ถ้ารักษาศีลดี และปฎิบัติธรรม
    เพื่อความเป็นไปตามทางแห่งพระอรหันต์แล้ว ถ้าเราไปทำบุญกับท่าน เราก็จะได้บุญมากมายจนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว
    แต่ถ้าเราไปทำบาปกับท่าน เราก็จะได้รับผลบาปนับไม่ถ้วนเช่นกัน หลายคนที่ไม่เข้าใจเห็นพระบางรูปกำลังทำชั่วอยู่ เช่น เดินช๊อปปิ้ง ซื้อซีดีโป๊
    ก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิ ในใจ หรือต่อว่าด่าทอต่างๆ นานา ซึ่งการไปตำหนิติเตียนหรือด่าว่าพระสมณะ ชี พราหมณ์ นั้น ถือเป็นบาปที่ต้องได้รับกรรม
    เพราะเรามีสิทธิ์ที่จะทำบุญกับพระรูปใดก็ได้ แต่เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปด่าว่าใคร เพราะเป็นการไปเบียดเบียนผู้อื่นนั่นเอง

    ไฟนรกกองที่ 7 ได้แก่ สามี
    ผู้ชายนั้นจะมีไฟนรกแค่ 6 กอง แต่ผู้หญิงที่มีสามีจะมีไฟนรก 7 กอง เพราะสามีนั้นเปรียบเสมือนพ่อคนที่ 2 ของภรรยา
    ที่คอยทำหน้าที่ป้องกันภัย และดูแลห่วงใยภรรยา สามีจึงเป็นไฟนรกของภรรยาตามกฎของธรรมชาติ
    ฉะนั้นผู้หญิงคนใดที่มีสามีไม่ดี ถือว่าเป็นความโชคร้ายของผู้หญิงคนนั้นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อมีการทะเลาะเบาะแว้งกัน
    ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาก เพราะจะมีโอกาส ทำกรรมหนัก จากการล่วงเกินไฟนรกนั่นเอง
    ขอยกตัวอย่าง
    ถ้าเราทำบุญให้กับบิดามารดา เราก็จะได้รับผลบุญอย่างน้อยประมาณ 10,000 ล้านเท่า
    แต่ถ้าเราล่วงเกิน ก็จะได้บาปอย่างน้อยประมาณ 10,000 ล้านเท่าเหมือนกัน
    ถ้าภรรยา ทำบุญให้กับสามี ภรรยาก็จะได้บุญอย่างน้อยประมาณ 5,000 ล้านเท่า
    ถ้าไปล่วงเกินเข้า ก็ต้องได้รับผลบาปอย่างน้อยประมาณ 5,000 ล้านเท่าเช่นกัน
    ส่วนสามี ถ้าได้ล่วงเกินภรรยา ถ้าภรรยาเป็นผู้ไม่มีศีล สามีจะได้ผลบาป 1,000 เท่า
    แต่ถ้าภรรยาเป็นผู้รักษาศีล 5 สามีก็จะได้รับบาป 10,000 เท่า
    เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว จะเห็นได้ว่า การไปล่วงเกินสามีด้วย กาย วาจา ใจ นั้นไม่คุ้มเลย


    * แค่เห็นความไม่ดีของไฟนรก 7 กอง ก็ถือเป็นกรรมแล้ว *
    ตัวอย่างเช่น ถ้าพ่อเราเป็นคนไม่ดี กินเหล้าเมายา ไม่รับผิดชอบต่อครอบครัว ถึงแม้ความจริงพ่อของเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ
    และเมื่อเราเห็นพ่อหรือนึกถึงความไม่ดีที่พ่อเคยทำไว้นั่นก็เท่ากับว่าเราได้ล่วงเกินไฟนรกกองที่ 4 เข้าแล้ว
    ทั้งๆ ที่ในใจตอนนั้นไม่ได้โกรธหรือไม่ได้ต่อว่าตำหนิใดๆ ทั้งสิ้นก็ตาม

    จากหนังสือ ความสำเร็จที่มาจากพระพุทธเจ้า / เขียนโดย ศิริพงษ์ อัครศรียุกต์ หน้า 318

    ............................................


    <A href="http://palungjit.org/showthread.php?t=120482" target=_blank>http://palungjit.org/showthread.php?t=108788
    ที่มา/เจ้าของกระทู้ : wellrider (13-01-2008)
    เสียงอ่าน : รัก. กัลชณิกานติ์ ธีรสุชานันท์


    ............................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤษภาคม 2008
  12. karnjanikarn

    karnjanikarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +129
    เงากรรม(ลูกเนรคุณ)

    [FONT=&quot]ลูกเนรคุณ[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]ที่มา [FONT=&quot]: หนังสือเงากรรม<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่มีอะไรอีกแล้วในโลกที่จะทรมานใจคนเท่ากับแผลแห่งบาป มันเปรียบเสมือนสนิมเกาะกินดวงใจของผู้กระทำ
    เมื่อยามหวนคิดถึง สิ่งใดที่กระทำแล้วต้องเสียใจภายหลัง พระพุทธองค์ทรงสอนให้เว้นเสีย
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT][FONT=&quot] ข้าพเจ้าเชื่อว่า
    หากเรามีธรรมะในใจแล้ว ไม่ว่าจะทำสิ่งใดๆ ลงไปก็ย่อมจะได้ดีเสมอ ข้าพเจ้าอยากจะเอาเรื่องที่พบเห็นมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นคติเตือนใจของผู้ที่กำลังทำบาปอยู่ เรื่องมีอยู่ว่า
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]ในเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ มีผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งชื่อตานวย(นามสมมติ) ตานวยเมื่อแต่งงานแล้วแกก็พาเอาเมียสุดที่รักของแกมาอยู่ด้วยกัน
    กับแม่ตัวเอง ตอนแรกๆ ก็ดีอยู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หลายปีต่อมา เมื่อแม่ของตานวยเริ่มแก่ชราลงมาก ลูกสะใภ้ก็เริ่มรังเกียจ เพราะทำอะไรงกๆเงิ่นๆ ขัดหูขัดตาไปหมด เมื่อความชั่วมันมาบังตาปัญญาก็หดหายจนลืมตนไปว่า ตัวเองแท้จริงแล้วเป็นแค่ผู้อาศัย ไปทางไหนลูกสะใภ้คนนี้ก็จะคอยนินทาด่าแม่ผัวลับหลัง
    ให้ชาวบ้านฟังเสมอๆ ในช่วงฤดูผน ฝนตกทั้งวันทั้งคืน วันนั้นแม่สามีรีบเดินอย่างเร่งรีบเพื่อจะไปเก็บเสื้อผ้าและของที่ตากอยู่ เพราะกลัวข้าวของจะเสียหาย แกรีบมากจนเกินไป พอเดินไปได้แค่ครึ่งทางก็หกล้มลงกับพื้นอย่างแรง เพราะพื้นมันลื่นมาก แกหกล้มลงไปนอนหงายอยู่กับพื้นหน้าขมำ แกลุกขึ้นเองไม่ได้ นอนหงายตากฝนอยู่ เพื่อนบ้านพอเห็นแกล้มก็รีบวิ่งเข้าไปช่วยหามแกเข้ามาในบ้าน ตักน้ำมาล้างตัวจนสะอาด พอตกเย็นลูกสะใภ้กับลูกชายกลับบ้านได้ยินว่าแม่หกล้ม แทนที่จะถามไถ่ถึงอาการกลับด่าซ้ำไปอีกว่าทำอะไรซุ่มซ่าม ไม่รู้จักระวังทำให้ข้าวของเปียงฝนเสียหายหมด
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]ยายแก่เมื่อหกล้มก็กลายเป็นคนพิการไป คือเดินไม่ได้ขาพิการทั้ง [FONT=&quot]2 ข้าง จะไปไหนก็ต้องคลานสี่ขา ร่างกายก็เริ่มแก่ชราลงเรื่อยๆ ลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ไม่เคยที่จะหายามาให้กินเลย ไม่เคยสนใจที่จะดูแล พอตื่นเช้าได้ก็หุงหากับข้าวของตนเองแล้วก็รีบออกไปทำงาน
    ข้างนอก ทิ้งแม่ที่แก่ชราและพิการไว้เพียงลำพัง ยายแก่ถึงแกจะทำงานไม่ได้แต่แกก็ไม่อยากเป็นภาระของใคร พยายามคลานสี่ขาออกไปหาผักมาทำอาหารให้ตนเอง
    และก็ทำเผื่อลูกชายกับลูกสะใภ้ด้วย เพราะความเป็นห่วงลูกชายว่ากลับมาเหนื่อยๆ เดี๋ยวจะไม่มีอะไรจะกิน เมื่อลูกชายและลูกสะใภ้กลับบ้านเข้าไปในครัวเพื่อจะทำอาหาร
    ก็เห็นกับข้าวที่แม่ทำไว้ให้ แทนที่จะดีใจหรือสำนึกในบุญคุณกลับด่ายายแก่ว่า “ทำกับข้าวไม่ถูกใจ ไม่น่ากิน ทีหลังไม่ต้องมาจุ้นวุ่นวายนะ เดี๋ยวก็ตกบ้านตายหรอก จุ้นไม่เข้าท่า” ในเวลาต่อมาไม่นานก็เหมือนนรกมาดลใจให้สองผัวเมียตัดสินใจ
    ไล่แม่ออกจากบ้าน ผู้เป็นแม่ ทั้งๆ ที่พิการเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ แต่เมื่อถูกลูกตนเองขับไล่ และเพื่อความสบายใจของลูกจึงพยายามคลานสี่ขาลงจากบ้าน คลานไปก็ร้องไห้ไป ลองคิดดูเถิดว่า ภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นจะน่าเวทนาขนาดไหน มือที่คอยปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มที่เหี่ยวย่นทั้งสองข้าง ช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน ญาติของข้าพเจ้าที่เห็นเหตุการณ์โดยตลอด เลยอดสงสารไม่ไหว เลยช่วยพยุงแกเข้าบ้านให้พักอาศัยไปชั่วคราวก่อน เวลาล่วงเลยไปไม่นานนัก ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเวรกรรมอะไร ทำให้ลูกชายแกเกิดเป็นอัมพาตที่ขาขึ้นมา<o></o>[/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ด้วยความรักความห่วงใยจึงขอกลับบ้านมาดูแลลูกชายของตน ส่วนลูกสะใภ้ก็ยังคงด่าว่าแม่สามีอยู่ตลอด ไม่เคยสำนึกถึงวิบากกรรมที่เกิดขึ้นเลย ในที่สุดสามีที่ป่วยก็อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ จนตายไปในที่สุด และต่อมายายแก่ก็ตายตามไปอีกคน พอสามีและแม่สามีตายลูกสะใภ้ก็ไม่กล้าอยู่คนเดียวในบ้านจึงหอบผ้า
    ไปอยู่กับลูกชายที่กรุงเทพฯ และญาติของข้าพเจ้าก็ได้ยินข่าวว่า เมื่อแกไปอยู่กับลูกชายก็เข้ากับเมียของลูกชายไม่ได้ ทะเลาะมีปากเสียงกันทุกวัน และตอนนี้วิบากกรรมก็ตามมาถึงลูกสะใภ้ของยายแก่แล้ว เพราะตอนนี้ แกตาบอดมองไม่เห็นอะไร ไปรักษาที่โรงพยาบาลก็ไม่หาย ไม่มีใครสนใจ ต้อนทนใช้กรรมที่ตนเองก่อโดยลำพัง
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ว่า ผู้มีความกตัญญูมีแต่ความเจริญไม่มีทางเสื่อม ส่วนผู้อกตัญญูมีแต่ความเสื่อมไม่มีทางเจริญ ข้าพเจ้าหวังว่าประสบการณ์ชีวิตเรื่องนี้คงจะสอนใจผู้ที่กำลังหลงทางอยู่
    ให้เดินถูกทางขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย.


    <o></o>
    [/FONT][FONT=&quot]หมายเหตุ* : ขอบพระคุณที่มาเสียงที่สมบูรณ์จากวัดสังฆทาน อ.เมือง จ.นนทบุรี FM 89.25 MHz[/FONT]
    [FONT=&quot]<o>
    </o>
    [/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2008
  13. karnjanikarn

    karnjanikarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +129
    เงากรรม(แมวทวงหนี้กรรม)

    [FONT=&quot]แมวทวงหนี้กรรม[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]ที่มา [FONT=&quot]: หนังสือเงากรรม<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ทุกชีวิติในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ ต่างก็ต้องดิ้นรนเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตน มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่มีเหตุผล รู้จักผิดชอบชั่วดี กลัวบาปกรรม เพราะฉะนั้นเราจึงควรฝึกจิตตนให้เป็นคนมีเมตตา ไม่ว่าจะต่อคนหรือสัตว์ร่วมโลกเพื่อที่จะได้ทำจิตให้สูงขึ้น
    ให้สมกับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที ข้าพเจ้ามีเรื่องเกี่ยวกับคนซึ่งไร้เมตตาต่อสัตว์มาเล่าสู่กันฟัง
    เพื่อให้เป็นอุทาหรณ์สอนใจทุกๆ คน
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]เรื่องมีอยู่ว่า นายคง(นามสมมติ) มีอันต้องเป็นคนพิการด้วยการกระทำเพราะขาดเมตตา เป็นความโกรธชั่วแล่นจึงต้องทุกข์ทรมานมาจนถึงทุกวันนี้ นายคง เป็นคนโมโหร้าย วันหนึ่งได้มีแมวแอบเข้าไปกินปลาในครัวที่นายคงทำไว้ด้วยความเจ็บใจ
    จึงหาวิธีการที่จะกำจัดมัน โดยเขาใช้เชือกไนล่อนขนาดพอเหมาะ ทำเป็นบ่วงดักตรงทางที่แมวจะหนีลงจากบ้าน คิดว่าถ้ามันวิ่งหนีมาทางนี้ บ่วงเชือกนี้คงจะรัดมันพอดี และในคืนนี้เองเจ้าแมวชะตาขาดก็มาขโมยของกินในครัวอีก พอนายคงได้ยินเสียงมันคุ้ยเขี่ยอยู่ก็เอาเท้ากระทืบพื้นอย่างแรง แมวมันตกใจมากก็วิ่งหนีลงไปในทางที่นายคงทำบ่วงดักไว้ ขาแมวติดบ่วงดิ้นไม่หลุด มันร้องด้วยความกลัวตายและพยายามดิ้นแต่บ่วงนั้นรัดขามัน
    จนแน่นมาก ยากเกินกว่าที่มันจะดิ้นให้หลุดออกมาได้ นายคงยิ้มอย่างสะใจ จะปล่อยให้มันตายคาห่วงอยู่อย่างนั้นแหละ
    อีก
    [FONT=&quot]3 วันต่อมา นายคงเดินไปดูเจ้าแมว กะว่ามันคงนอนตายเพราะความหิวไปแล้ว แต่เมื่อเดินไปดูก็ต้องแปลกใจ บ่วงเชือกที่ทำไว้มันขาดหายไป นายคงก็สงสัยว่าเชือกมันขาดไปได้อย่างไร หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไปก็ไม่เคยมีแมวมาขโมยกินปลาในครัวอีกเลย ผ่านไปเดือนเศษๆ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ขณะที่นายคงจับกุ้งอยู่ จะด้วยความบังเอิญหรือเป็นเวรกรรมที่ตามมาทันก็เป็นได้ ทำให้นายคงเหยียบถูกเงี่ยงปลาชนิดหนึ่งเข้า เงี่ยงได้แทงทะลุที่ฝ่าเท้า นายคงเจ็บปวดแสนสาหัส ถึงแม้จะพาไปโรงพยาบาลและหมอจะรักษาอย่างไรก็ไม่สามารถ
    บรรเทาความเจ็บปวดที่มีได้เลย ทั้งกินยา ทั้งทายาก็ไม่หาย แผลเริ่มเขียวช้ำ ระบมไปทั้งขาผลสุดท้ายหมอก็ต้องตัดขานายคง เพราะแผลที่ขามันเน่ามาก หลังจากผ่าตัดแล้วก็ใช่ว่าจะหมดกรรม เพราะแผลผ่าตัดมันไม่ยอมหาย นายคงนอนเจ็บปวดทรมาน เขานึกทบทวนว่าทำไมตนเองถึงต้องเป็นแบบนี้ แล้ววันหนึ่งคำตอบก็ได้เฉลยออกมา เขาได้ยินเสียงแมวร้อง มันร้องดังมากๆ ร้องจนเขารำคาญต้องโผล่หน้าออกไปดู และสิ่งที่เขาได้เห็นก็คือ เจ้าแมวขโมยตัวนั้นมันส่งเสียงร้องและมองมาที่เขา สภาพของมันเหลือแค่ 3 ขา แล้วปัญหาก็ถูกเฉลยว่า เชือกมันได้ติดขาแมวไปและรัดขาของมันแน่นจนเลือดไม่เดิน ในที่สุดขาก็เน่าและหลุดขาดหายไป นายคงเพิ่งคิดได้ว่า ผลกรรมที่ตนเองสร้างกำลังคืนสนองตนอยู่ เขาคิดจะไถ่บาปโดยการเลี้ยงแมวตัวนั้นเอาไว้ แต่มันไม่ยอมให้จับ มันขู่คำรามและกระโดดหนีหายไป และไม่มีใครพบมันอีกเลย ส่วนนายคงก็ต้องทนทรมานต่อไป <o></o>[/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งให้เห็นว่า อย่าคิดประมาทว่าการก่อกรรมกับสัตว์เล็กๆ แล้ว ผลวิบากกรรมจะไม่ตามสนอง การกระทำที่บวกกับเจตนาย่อมให้ผลเต็มร้อย ไม่มีใครมาบรรเทาวิบากลงได้นอกจากตัวเราเอง หมั่นสร้างกรรมดีไว้เถิด แล้วชีวิตจะพบแต่ความสุขทั้งชาตินี้และชาติหน้า.

    [/FONT][FONT=&quot]หมายเหตุ* : ขอบพระคุณที่มาเสียงที่สมบูรณ์จากวัดสังฆทาน อ.เมือง จ.นนทบุรี FM 89.25 MHz[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2008
  14. karnjanikarn

    karnjanikarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +129
    เงากรรม(น้ำตาเพรฌฆาต)

    [FONT=&quot]น้ำตาเพรฌฆาต[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]ที่มา [FONT=&quot]: หนังสือเงากรรม<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]บางทีคนเรากว่าจะรู้จักบาปอาจจะต้องผ่านบทเรียนแห่งชีวิตที่ชุ่มไปด้วย
    คราบน้ำตา ทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัส กรรมชั่วนั้นนอกจากจะส่งผลให้เราประสบในชาตินี้แล้ว ถ้าเป็นกรรมชั่วที่รุนแรงก็จะส่งผลไปถึงชาติหน้า ตามติดตัวเราไปทุกหนทุกแห่ง พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ให้ละชั่วทำดี เพื่อจะได้ไม่ต้องตกนรก ไม่ต้องพบกับความทุกข์ทรมาน แต่คนส่วนมากก็ดูจะเพิกเฉยทอดอาลัยตายอยากที่จะทำความดี สังคมทุกวันนี้จึงมีแต่ความเห็นแก่ตัว ขาดความเมตตา เข่นฆ่าราวีกันเสมอๆ ข้าพเจ้าจึงอยากนำเสนอประสบการณ์ชีวิตของชายคนหนึ่ง เพื่อจะได้คอยเตือนใจให้เราท่านทั้งหลาย
    ได้ตระหนักถึงบาปกรรมขึ้นมาบ้าง
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี [FONT=&quot]2539 ในย่านคลองเดโชนี้ ถ้าเอ่ยถึงชื่อ ตาเชียร แล้ว เป็นต้องรู้จักกันทุกคน เพราะฝีมือในการใช้ฉมวกของแกนั้นช่ำชองมาก แกใช้ฉมวกมาตั้งแต่เด็กๆ ฉมวกที่แล่นออกจากมือแกครั้งใดไม่เคยเลยที่จะพลาดเป้า คราวใดที่ประตูระบายน้ำเสียออกทิ้ง สัตว์ประเภทกุ้ง ปลาจะลอยหัวขึ้นเพราะเมาน้ำ เชียรใช้อุปกรณ์คือฉมวกคู่ชีพที่ถนัด เขาไม่ต้องลงไปแช่น้ำเหมือนคนอื่นๆ เพียงยืนอยู่ที่ข้างฝั่งแล้วก็คอยพุ่งฉมวกใส่ปลาตัวโตๆ ทุกครั้งที่ฉมวกออกจากมือ ก็หมายถึงต้องมีชีวิตสังเวยคมฉมวกอันแม่นยำนั้น ทั้งลูกเมียก็คอยยินดีปรีดา ช่วยกันจับปลาใส่ปี๊บ ชีวิตครอบครัวนี้อาศัยอาชีพประมงเลี้ยงตัวตลอดมา เพราะบ้านอยู่ริมน้ำ หลายเดือนต่อมา ชวนชม ภรรยาเชียรได้คลอดลูกคนที่ 2 ออกมา ทั้งสองดีใจมากเพราะอยากได้ลูกสาวอยู่ เชียรพยายามหาเงินด้วยการจับปลาขายอย่างขยันขันแข็ง ตั้งแต่เช้ายันเย็น เจ้าแดงลูกคนโตจึงติดตามพ่อ คอยหิ้วปี๊บใส่ปลาตลอด เวลาล่วงเลยไปลูกสาวแกเริ่มโตเดินได้เตาะแตะ วันนั้นประตูระบายน้ำเสียทิ้งได้เปิดออกอีกครั้ง ชาวบ้านก็เตรียมเครื่องมือที่จะจับปลากันยกใหญ่ เชียรก็เตรียมฉมวกคู่ชีพเช่นกัน ชวนชมภรรยาของเชียรได้หิ้วปี๊บตามไปเพราะเจ้าแดงเกิดอาการ
    ไม่ค่อยสบาย ก่อนไปเธอไม่ลืมที่จะหันมาสั่งเจ้าแดงให้คอยดูแลน้องด้วย แดงนอนข้างๆ เปลน้องใช้มือไกวเปลจนหลับไป<o></o>[/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]เวลา [FONT=&quot]2 ชั่วโมงผ่านไปประตูระบายน้ำเริ่มปิด ชาวบ้านต่างกลับบ้าน ต่างคนต่างได้กุ้ง ปลา จำนวนมาก เชียรกับชวนชมก็ได้ปลาจนล้นปี๊บ เมื่อถึงบ้าน ชวนชมก็มุ่งหน้าสู่บันไดท่าน้ำเพื่อจะชำระเมือกปลาและโคลน ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่งลักษณะคล้ายจะมีปลาใหญ่
    ดิ้นอยู่ใต้น้ำ พรายน้ำและฟองอากาศผุดขึ้นพรั่งๆ นางตื่นเต้นดีใจเรียกให้สามีเอาฉมวกมาเร็วๆ เชียรรีบวิ่งมาดูตามเสียงร้องของภรรยา พลันสายตาของพรานล่าปลาอย่างเขาก็ได้พบเห็นกับสิ่งที่ทำให้เขา
    กระหยิ่มใจ ลักษณะของพรายน้ำเช่นนี้ต้องเป็นปลาใหญ่แน่นอน เขาจ้องตาเขม็ง มือเกร็งฉมวกขึ้นสุดแรง คราวนี้จะพลาดไม่ได้ ถ้าพลาดต้องเสียดายแน่<o></o>[/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ฉึก... เสียงฉมวกแหวกน้ำกระจายพุ่งเข้าเป้า คมฉมวกพุ่งโดนเหยื่ออย่างแม่นยำ เชียรรู้ดีว่าเหยื่อดิ้นแรงเช่นนี้ อาจดิ้นหลุดได้ ยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งออกแรงกดด้ามฉมวกให้เหยื่อนั้นจมดินเข้าไว้ ชั่วอึดใจเดียวเหยื่อก็อ่อนแรงลง เชียรและชวนชมจิตใจจดจ่อดูด้วยความตื่นเต้นว่าเหยื่อนั้น
    จะเป็นปลาอะไรกันแน่ ทันทีที่ฉมวกถูกดึงขึ้นพ้นน้ำ สิ่งที่สองผัวเมียเห็นก็ทำให้ทั้งสองแทบช็อคคาบันไดบ้าน เพราะฉมวกของเขาได้แทงทะลุเสียบร่างของเด็กหญิงตัวน้อยๆ ซึ่งก็คือลูกสาวของเขานั่นเอง ชวนชมร้องกรี๊ดสุดเสียงแล้วเธอก็ทรุดฮวบเป็นลมหมดสติไป ส่วนเชียรนั้นหน้าซีด มือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก น้ำตาของลูกผู้ชายไหลพราก ลูกสาวของเขาได้สิ้นชีวิตแล้ว เมื่อชวนชมฟื้นขึ้น นางฟูมฟายเหมือนคนบ้า พยายามดึงฉมวกที่ปักลูกสาวอยู่ แต่ดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ออก จนเชียรต้องคอยปลอบชวนชม นึกถึงลูกชายแว่บขึ้นมา เจ้าแดงไปไหนทำไม่ไม่ดูน้อง คำถามนั้นผุดขึ้นมาในใจนาง ทั้งสองออกตามหาเจ้าแดง ใจก็คิดว่าถ้าเจอจะต้องเฆี่ยนให้หลังลาย เมื่อทั้งสองมาถึงเปลที่ให้ลูกสาวนอน ก็เห็นเจ้าแดงหลับอยู่ข้างเปล มือยังกำสายเปลที่หน้าอก ชวนชมจับเจ้าแดงกะจะปลุกขึ้นมาตี แต่นางก็ต้องอุทานด้วยความตกใจ เพราะเจ้าแดงตัวร้อนมาก ความคิดที่จะลงโทษลูกชายนั้นก็หายไปสิ้น เหลือแต่ความเมตตา เขาเสียลูกสาวไปหยกๆ ไหนเลยจะทำร้ายดวงใจที่เหลือได้ ชวนชมอุ้มลูกชายขึ้นมากอดแล้วร้องไห้โฮ เชียรเองก็สุดที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ คงปล่อยให้มันไหลเอ่อล้นเบ้าตาทั้งสองข้าง ฉมวกที่ใช้สังหารลูกสาวของตนเองนั้น ภายหลังจากให้หมอที่โรงพยาบาลผ่าออกแล้ว เขาก็นำมาเผาพร้อมกับศพลูกสาวและปฏิญาณกับตนเองว่าจะ
    ไม่ใช้มันฆ่าใครอีก.

    [/FONT][FONT=&quot]หมายเหตุ* : ขอบพระคุณที่มาเสียงที่สมบูรณ์จากวัดสังฆทาน อ.เมือง จ.นนทบุรี FM 89.25 MHz[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2008
  15. karnjanikarn

    karnjanikarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +129
    เงากรรม(ดอกเบี้ยกรรม)

    [FONT=&quot]ดอกเบี้ยกรรม[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]ที่มา [FONT=&quot]: หนังสือเงากรรม<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]ขึ้นชื่อคำว่าเงินแล้ว น้อยคนนักหรือหาไม่ได้เลยที่จะไม่ชอบ เพราะความอยากได้เงินนี่เอง จึงทำให้มนุษย์ทั้งหลายเกิดความโลภ และต่างพากันตะเกียกตะกายเร่งกอบโกยจนถึงขั้นคดโกงฆ่าฟันกัน และทำทุกวิถีทางที่จะให้ได้เงินมาโดยไม่เคยคิดคำนึงเลยว่า เงินนั้นจะได้มาโดยทุจริตหรือสุจริต เพราะคนที่คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนและคิดว่าเงินเป็นพระเจ้านั้น
    เมื่อได้โอกาสเขาก็พยายามที่จะคดโกงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และเขาก็เชื่อว่าคนที่มีโอกาสโกงแต่ไม่โกงนั้นเป็นคนโง่ แม้ในบางคราวถึงกับต้องเบียดเบียนผู้อื่นให้เป็นทุกข์ ได้เงินมาจากคราบน้ำตาของผู้อื่นหรือชีวิตของผู้อื่น เขาก็กล้าที่จะทำโดยไม่ละอายต่อบาป ขอเพียงแค่ให้ได้เงินมาเพื่อปรนเปรอกิเลสที่ชั่วร้ายในใจตนก็พอ มนุษย์ทั้งหลายที่ยังมืดบอดอยู่ ถูกความโลภบดบังปัญญา จึงลืมคิดไปว่า ทรัพย์สินเงินทองนั้นแม้มีมากมายถึงจะกองเท่าภูเขาสูงเสียดฟ้า
    ขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อถึงคราวเราต้องจบชีวิตลง แม้เงินบาทเดียวที่เขาเอาใส่ไว้ในปากก็ยังไม่สามารเอาติดตัว
    ไปได้เลย ไฉนจึงอยากได้กันนัก แท้จริงแล้วสิ่งที่เรานำติดตัวไปได้นั้นคือบุญและบาปที่เราสร้างไว้
    ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้น บุคคลผู้ฉลาดจึงควรเร่งสั่งสมคุณงามความดีเอาไว้ เพื่อจะได้นำทางเราไปสู่ความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ส่วนบุคคลใดที่มัวแต่จะทะเยอทะยานไขว่คว้า สะสมแต่ทรัพย์ที่คดโกงเขามาหรือทรัพย์ที่ได้มาโดยมิชอบนั้นในที่สุด
    ทรัพย์นั้นก็ต้องถูกคนรุ่นหลัง คือ ลูก หลาน หรือญาติที่ใกล้ชิด ล้างผลาญให้ย่อยยับ ฉิบหายหมดสิ้นไปอยู่ดี เพราะเงินได้มาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น แต่ผลบาปที่ติดตัวผู้โกงนี่สิ มันมิได้ไปไหนเลย มิมีใครที่จะมาแบ่งเบากรรมที่ผู้นั้นกระทำไว้ได้เลย มิมีใครที่จะช่วยให้เราพ้นกฎแห่งกรรมไปได้ เพราะฉะนั้น จงใช้สติในการดำรงชีวิตอย่างไม่ประมาทเถิด เงินทองของผู้อื่นเราชอบยักยอกมาเป็นของตน แต่เงินทองของตนกลับหวงแหนและกบัวผู้อื่นจะแย่งชิงไป ช่างน่าหัวเราะซะนี่กระไร บางคนคิดไม่ถึงว่า บาปกรรมที่คดโกงคนอื่นนั้น แม้จะเป็นบาปที่เล็กน้อยก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลา บาปมันจะส่งผล มันอาจจะทวีคูณเป็น
    [FONT=&quot]2 เท่า ก็ได้ ดังเรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าดังต่อไปนี้<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]รินเป็นช่างตัดเสื้อมานานหลายปี พักหลังกิจการไม่ค่อยดีเท่าที่ควร เพราะเสื้อผ้าสำเร็จรูป ราคาถูกแล้วก็มีมากมายหลายรูปแบบให้เลือก ซึ่งถูกกว่าสั่งตัด คนจึงนิยมซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปใส่กันมากกว่าที่จะสั่งตัดเสื้อ รินจึงต้องเปลี่ยนกิจการร้านตัดเสื้อมาเป็นร้ายขายเสื้อผ้าแทน เธอไปซื้อเสื้อผ้าที่ตลาดโบ๊เบ๊ทุกวัน อยู่มาวันหนึ่งเธอก็ได้ไปซื้อเสื้อตามปกติอย่างทุกวัน แต่เมื่อเธอกลับมาบ้าน เช็คของดูตามจำนวนที่ซื้อว่าครบหรือไม่ เธอก็พบว่ามีอยู่ร้านหนึ่งที่นับเสื้อเกินมาให้เธอ ถ้าคิดเป็นเงินก็พันกว่าบาท แทนที่เธอจะนำไปคืนเจ้าของร้าน เธอกลับรู้สึกดีใจมาก เพราะความโลภมันบังตาจนปัญญามืดบอด คิดว่านี่เป็นลาภของเธอ แหม..วันนี้โชดดีจริงๆ เธออุทานอย่างดีใจ และคิดในใจว่า ช่วยไม่ได้อยากโง่นับมาเกินเองนี่เราไม่ได้โกง
    สักหน่อย ทีหลังไม่เข้าร้านนี้ดีกว่า เดี๋ยวเกิดเจ้าของร้านจำได้แล้วทวงคืนมันจะยุ่งกันใหญ่ จนกระทั่งเวลาได้ล่วงเลยไป จนตัวเธอก็เกือบลืมไปแล้ว ในวันนี้เธอก็เดินซื้อเสื้อผ้าตามปกติอย่างเคย เมื่อเธอซื้อของเสร็จ เธอก็จ้างรถสามล้อเพื่อจะทุกของกลับบ้าน สามล้อแล่นไปตามถนนเรื่อยๆ แต่ในขณะที่รถสามล้อกำลังตีโค้งเลี้ยวอยู่นั่นเอง รถก็เกิดเสียหลักนิดหน่อย หมุนเหวี่ยงเสื้อผ้าห่อใหญ่ ที่รินมัดไว้ด้านหลังหลุดกระเด็นตกลงไปกลางถนน รินรีบบอกให้โชเฟอร์หยุดรถเพื่อที่จะกระโดดลงไปเก็บ แต่พอรถหยุดและในขณะที่เธอวิ่งลงไปเก็บเสื้อผ้าอยู่นั้นก็มี
    แท็กซี่คันหนึ่งจอดและเก็บห่อเสื้อของเธอขึ้นรถไปหน้าตาเฉย เธอรีบเรียกให้สามล้อขับตามแต่ก็ตามไม่ทันเพราะสามล้อคัน
    ที่เธอนั่งดันติดไฟแดงพอดี ในสมองของเธอนั้นคิดแค้นเจ้าคนขับรถแกซี่คันนั้นมากๆ
    [FONT=&quot]“เจ็บใจจริงๆ ที่ตามไม่ทัน” และหลังจากนั้นได้เดือนกว่า เธอก็ไปซื้อเสื้อผ้ากับร้านประจำร้านหนึ่ง เธอสั่งของและได้จ่ายเงินกับทางร้านเรียบร้อยแล้วแต่ฝากของไว้ก่อน คิดว่าเดี๋ยวค่อยมาเอาเพราะจะได้สะดวกซึ่งเธอ
    ก็ทำเช่นนี้อยู่เป็นประจำ แต่พอตอนขากลับ เธอดันลืมไปเอาเสื้อที่เธอฝากไว้กับร้านนั้น แต่เธอคิดว่ายังไงเดี๋ยวไปเอาพรุ่งนี้ก็ได้เพราะซื้อขายกัน
    เป็นประจำอยู่แล้ว<o></o>[/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]พอวันรุ่งขึ้น รินก็ได้ไปทวงเสื้อผ้าที่ลืมไว้กับร้านนั้น แต่เจ้าของร้านกลับบอกหน้าตาเฉยว่าเธอเอาไปแล้ว ไม่ว่าเธอจะพูดอธิบายอย่างไรเจ้าของร้านก็ยืนยันอย่างเดียวเลยว่า
    เธอรับของไปแล้ว รินเจ็บใจและแค้นมากที่โดนโกงอย่างหน้าด้านๆ เลยด่าและต่อว่าเจ้าของร้านอย่างเจ็บแสบแล้วเดินออกจากร้านไป อยู่มาวันหนึ่ง รินได้ไปทำบุญที่วัดและได้สนทนาธรรมะกับพระรูปหนึ่ง และเธอก็ได้ถามถึงเรื่องที่เธอโดนโกงและโดนหยิบเสื้อผ้าไปจนต้อง
    ขาดทุนถึง
    [FONT=&quot]2 ครั้ง 2 ครา พระท่านจึงแสดงธรรมถึงเรื่องกฎแห่งกรรมให้เธอฟัง เธอถึงกับสะดุ้งและเธอก็ได้คำตอบแล้วว่า ที่เธอโดนคนอื่นโกงถึง 2 ครั้งนั้น ก็เพราะผลกรรมที่เธอได้เจตนาโกงผ้าที่เขานับมาให้เกิน เพราะจิตใจที่ชั่วร้าย โลภอย่างได้ของคนอื่นอย่างเต็มที่ เธอจึงต้องได้รับผลกรรมทวีคูณเป็น 2 เท่า เธอก้มกราบพระคุณเจ้าแล้วตั้งจิตปฏิญาณว่า เธอจะไม่คิดคดโกงใครอีกเลย เพราะว่าเธอกลัวดอกเบี้ยกรรมที่ติดตามมา แต่ก่อนรินไม่ค่อยเชื่อเรื่องบาปกรรมเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้เธอเชื่อและเชื่ออย่างเต็มร้อยเลย.


    หมายเหตุ* : ขอบพระคุณที่มาเสียงที่สมบูรณ์จากวัดสังฆทาน อ.เมือง จ.นนทบุรี FM 89.25 MHz<o></o>[/FONT]
    [/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. karnjanikarn

    karnjanikarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +129
    เงากรรม(กรรมที่ทำกับลูกอ๊อด)

    [FONT=&quot]กรรมที่ทำกับลูกอ๊อด[FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]ที่มา [FONT=&quot]: หนังสือเงากรรม<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]บาปที่คนเราทำกันอยู่ถ้วนทั่วหน้าคือ [FONT=&quot]“การกินเนื้อสัตว์” โดยจงใจเจตนาฆ่ามันกินจนกลายเป็นบาปเป็นกรรมกัน
    ชาติแล้วชาติเล่า ไม่รู้จักจบจักสิ้นกันง่ายๆ ทว่า ผู้เป็นนักกินทั้งหลายก็ยังคงเกลือกกลั้วกับบาปกรรมอย่างนั้นอยู่
    จนโงหัวไม่ขึ้น และพยายามที่จะพูดเข้าข้างตัวเองอยู่เสมอว่า เราไม่บาปเพราะเราไม่ได้เป็นคนฆ่า เราเพียงเป็นคนซื้อเขากินเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว การซื้อเขากินก็เป็นการจ้างฆ่าอย่างหนึ่ง เพราะถ้าเราไม่ซื้อกิน เขาฆ่ามาก็ขายใครไม่ได้ เขาก็เลิกฆ่าไปเอง แต่คนเราเดี๋ยวนี้กินไม่ยั้ง ทั้งยังพากเพียรสร้างค่าสมมติในการกินให้มันอุตริวิตถารมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะต้องเบียดเบียน ทารุณกรรมสัตว์โลกด้วยกันอย่างไรแค่ไหนก็ตาม หากเรารู้จักละบ้างในวันสำคัญต่างๆ เช่น วันพระ วันเกิดตัวเราเอง วันเกิดพ่อแม่และในวันเกิดของคนที่เรารัก ก็อาจจะเป็นมงคลให้กับชีวิตเราบ้างไม่มากก็น้อย เพราะการกินอาหารที่ไม่เบียดเบียนสัตว์ก็เป็นการให้ทานอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการให้ทานชีวิต หากเรามัวแต่ห่วงเรื่องกินไม่พยายามที่จะละบ้าง สุดท้ายสิ่งที่เราแสวงหาในการกินนั่นแหละจะย้อนกลับมา
    ทำร้ายตัวเราเอง ดังเช่นประสบการณ์ชีวิตของหญิงคนหนึ่งที่ข้าพเจ้า
    จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้<o></o>[/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ดาว เป็นคนอีสาน เกิดที่ร้อยเอ็ด ที่บ้านนอกนั้น เวลาเข้าหน้าฝน ตามท้องไร่ท้องนาจะเจิ่งนองไปด้วยน้ำ ลูกกบหรือที่เรียกกันว่าลูกอ๊อดดำ จะพากันแหวกว่ายในน้ำอย่างสนุกสนาน แต่พวกมันสนุกได้ไม่นาน ชาวบ้านก็พากันเอาสวิงมาช้อนไปทำอาหาร ดาวเป็นคนหนึ่งในกลุ่มชาวบ้านนั้น เมื่อเธอช้อนลูกอ๊อดมาได้มากพอควรแล้ว เมื่อกลับถึงบ้านเธอก็จัดแจงเข้าครัว เพื่อจะทำกับข้าว เธอจัดการบีบท้องลูกอ๊อดให้แตกเพื่อจะเอาไส้มันออกมา
    ให้เหลือแต่ตัว บางตัวมีขางอกออกมาแล้วแต่ยังมีหางอยู่ ดาวชอบอกชอบใจใหญ่เมื่อเธอเห็นลูกอ๊อดที่เธอบีบท้องไส้แตกแล้ว แต่มันยังใช้ขาเดินได้ ดูเหมือนเธอจะไม่ใส่ใจเอาเสียเลยว่ามันจะมีความเจ็บปวดสักแค่ไหน
    ที่ไส้มันต้องแตกออกมา เธอคิดเพียงอย่างเดียวว่าขอให้ได้แกงหม้อใหญ่ก็พอแล้ว
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]เวลาผ่านไปปีกว่า เธอได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เธอรู้สึกมีอาการผิดปกติที่ท้อง มันรู้สึกเจ็บปวดและทรมานมากจนทนไม่ไหว ต้องไปให้หมอตรวจ พอหมอตรวจอย่างละเอียดก็บอกว่าเธอเป็นเนื้องอกในมดลูก
    ต้องผ่าตัด เธอบอกว่าเธอรู้สึกกลัวมาก แต่จำใจต้องให้หมอผ่าเพราะความเจ็บมีมากกว่าความกลัว หลังจากผ่าตัดเรียบร้อย หลังจากฟื้นจากการสลบและเมื่อยาหมดฤทธิ์ เธอบอกว่าเธอเจ็บแทบทนไม่ไหว เมื่อแผลเธอได้ทุเลาลง เธอก็รู้สึกกลัวการผ่าตัดมากเพราะมันทรมาน
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT][/FONT]
    [FONT=&quot]แต่กรรมที่เธอทำไว้กับลูกอ๊อดนั้นมันยังไม่หมด เวลาผ่านไปอีก [FONT=&quot]2 ปี เธอก็ปวดท้องอีก ปวดเอามากๆ ทั้งปวดทั้งคลื่นไส้ทุรนทุรายมาก คราวนี้พี่สาวเธอพาไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าเธอเป็นไส้ติ่งอักเสบต้องผ่าตัดด่วน ความกลัวจากการผ่าตัดครั้งที่แล้วทำให้เธอแทบสิ้นสติในเวลานั้น ความเจ็บปวดจากการผ่าตัดครั้งแรกผุดขึ้นมาในสมองเธอทันที พอผ่าตัดเสร็จแล้วจนถึงทุกวันนี้เธอยังบอกว่าอาการปวดท้อง
    ของเธอก็กลายเป็นโรคประจำตัวที่ติดตัวเธอตลอด บางทีอยู่ๆ ก็ปวดท้องโดยไม่มีสาเหตุเอาดื้อๆ ทำให้เธอคิดถึงลูกอ๊อดตัวเล็กๆ ที่เธอบีบท้องมันตัวแล้วตัวเล่า ไม่รู้ว่าบีบไปกี่หมื่นกี่แสนตัว เพียงเพื่อความอร่อยปาก อร่อยลิ้นของตัวเอง เธอยังบอกอีกว่า ขนาดเราเป็นคนตัวใหญ่กว่าลูกอ๊อดตั้งเยอะ เวลาปวดท้องยังทรมานขนาดนี้แล้วลูกอ๊อดที่ถูกเธอบีบไส้ทะลัก มันจะต้องทรมานขนาดไหน บัดนี้กรรมนั้นได้ตามสนองเธอแล้ว มันเร็วจริงๆ เร็วจนเธอไม่ทันตั้งตัว และไม่เคยคาดคิดเลยว่าบาปกรรมนี้จะมีจริง ที่เธอเล่าประสบการณ์ให้ข้าพเจ้าเขียนมาให้ผู้อ่านฟัง
    ก็เพราะว่าเธออยากเอาประสบการณ์บาปของเธอเป็นเครื่องเตือนใจ
    ให้เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายอย่าประมาทในบาปกรรม แม้จะเป็นเพียงบาปกรรมที่กระทำกับสัตว์ตัวเล็กๆ ก็ตาม.<o></o>[/FONT]
    [/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. ผ่อนคลาย

    ผ่อนคลาย Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    5,775
    ค่าพลัง:
    +12,934
    กระทู้นี้ก็น่าสนใจดีนะครับ เผื่อผู้ยังไม่เคยอ่านเคยฟังได้สัมผัสด้วยน่ะครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...