แผ่เมตตาให้ศัตรู

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 25 สิงหาคม 2008.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    แผ่เมตตาให้ศัตรู

    เจ้ากรรมนายเวร คือ สัตว์น้อยใหญ่ที่เรากินเป็นอาหาร
    เราชอบกินหมู เจ้ากรรมนายเวรของเรา คือ หมู
    เราชอบกินไก่ เจ้ากรรมนายเวรของเรา คือ ไก่
    เราชอบกินเป็ด เจ้ากรรมนายเวรของเรา คือ เป็ด
    แม้กุ้ง หอย ปู ปลา ที่เรากินมาตั้งแต่เกิด
    กระทั่งถึงวันนี้ นับไม่ถ้วนว่ากี่ร้อยกี่พันชีวิต
    ก็คือ เจ้ากรรมนายเวรของเราทั้งสิ้น

    เนื้อหนังมังสาของเรา อวัยวะทุกส่วน
    ล้วนแล้วแต่มีหุ้นส่วนของชีวิตสัตว์น้อยใหญ่ทั้งสิ้น
    บางครั้ง เราคิดว่าเป็นของเราคนเดียว
    ไม่เคยแผ่เมตตาให้สัตว์น้อยใหญ่
    ที่เรากินเข้าไปทุกวันๆ
    ทั้งๆ ที่เขาสละชีวิตของเขา เพื่อต่อชีวิตเราให้ยืนยาวออกไป

    เขาก็รู้สึกน้อยใจที่ถูกเพิกเฉย
    ความน้อยใจของเขา บางครั้งทำให้เราเกิดโรคร้าย
    เช่น มะเร็ง เป็นต้นได้
    บางทีก็ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ หมอหาเหตุไม่พบ
    แต่พอแผ่เมตตากลับหาย
    เรื่องเช่นนี้ มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย

    ทุกครั้งที่เราไหว้พระสวดมนต์
    ขอให้เราแผ่เมตตาให้สัตว์น้อยใหญ่ ที่เรากินเป็นอาหาร
    การแผ่เมตตาให้เขา แท้จริง ก็คือ แผ่ให้ตัวเรานั่นเอง
    การให้เขา คือ การให้เรา เพราะเขาอยู่กับเรา
    เขา คือ ร่างกายของเรา
    เขาสละชีวิตเลือดเนื้อ มาเป็นพลังงานชีวิตเรา
    แม้ขณะที่เราอ่านหนังสือหรือทำอะไรอยู่
    ก็มีพลังงานของเขา คอยสนับสนุนทุกส่วน

    การแผ่เมตตาทำได้ง่าย เพียงแต่ให้นึกถึงเขาเสมอๆ
    คิดถึงความดีของเขา ที่ส่งเสริมให้เรามีชีวิตอยู่ได้ถึงวันนี้
    หลับตาน้อมจิตอธิษฐาน
    ขออย่าให้เราเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ให้มีความปลอดภัยในชีวิต

    การแผ่เมตตา ถือเป็นการแสดงความขอบคุณต่อหลายชีวิต
    ที่ถูกปรุงเป็นอาหารอร่อยวางบนโต๊ะอาหาร
    รอคอยเรามาร่วมวงขบเคี้ยว
    ดูเหมือนเราไม่ค่อยคิดกันในเรื่องนี้
    หากแต่มองเห็นทุกอย่างบนโต๊ะเป็นความอร่อย
    ทั้งๆ ที่ความจริง เรากำลังกินศพหมู ศพไก่ ศพเป็ด
    ศพวัว ศพกุ้ง ศพปู ศพปลา
    คิดดูเถิด คล้อยหลังจากเราอิ่มเพียงชั่วโมงเดียว
    เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา หูฉลามที่เรากินเข้าไป
    ก็ถูกย่อยเป็นพลังงาน
    ส่วนกากอาหารก็เน่าเหม็น เป็นอันตราย
    กระทั่งเราต้องขับถ่ายออกมาทุกวันๆ
    เราอาจคิดไม่ถึงว่า เรากำลังกินสัตว์อื่น
    ชีวิตเราถูกเลี้ยงด้วยชีวิตของสัตว์อื่น
    การกิน คือ การต่ออายุ
    วันหนึ่งเราต่ออายุ ๓ เวลา
    แต่ละเวลา เราต้องรับประทานสัตว์อื่นหลายสิบชีวิต
    ขนาดใหญ่บ้าง ขนาดเล็กบ้าง
    บางทีไข่ในท้องปลาที่เรากิน
    หากเขาได้เกิดมาเป็นตัว ก็คงเป็นปลาจำนวนมหาศาล
    แต่เราเคี้ยวกินเป็นกับข้าวเพียงคำเดียว
    การแผ่เมตตาให้สัตว์น้อยใหญ่ที่เรากินเป็นอาหาร
    จึงเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง
    เพราะเป้นการแสดงความขอบคุณ
    และให้อภัยต่อกันและกัน
    ให้เขามีความรู้สึกว่า เขามีส่วนร่วมในชีวิตของเรา
    เหมือนเรายินดีต้อนรับแขก ที่เดินเข้ามาพักในบ้านเรา
    แขกก็จะรู้สึกอบอุ่น เพราะการตอนรับที่ดีของเจ้าบ้าน

    ต่อมาก็มาถึงการแผ่เมตตาถึงคนที่เรารัก
    และคนที่เรารู้สึกว่า เขาเป็นศัตรูกับเรา
    คือ เรารู้สึกเกลียดชังเหลือเกิน
    ไม่อยากพูดด้วย ไม่อยากร่วมงานด้วย
    ไม่อยากเกี่ยวข้อง ไม่อยากเห็นหน้า

    โดยธรรมชาติของมนุษย์
    ยิ่งเกลียดยิ่งได้อยู่ใกล้
    ยิ่งโกรธก็ยิ่งถูกแกล้ง
    เขาทำอะไรลงไป
    ดูเหมือนจะขัดใจขวางหูขวางตาไปหมด
    เพราะเราตั้งใจไว้ผิดเสียแล้ว
    เพียงแต่เห็นก็เป็นทุกข์
    เขาทำปากขมุบขมิบอยู่ไกล ไม่ได้ยินเสียง
    เรายังคิดว่าเขากำลังด่าเราได้

    เราเป็นทุกข์เพราะความคิด
    ทุกข์เพราะจินตนาการ
    เป็นความผิดของเราเอง มิใช่ความผิดของเขา
    บางทีเขาก็แกล้งให้เราเป็นทุกข์
    เพราะรู้ว่าให้ยาพิษแล้ว
    เรายินดีรับมาดื่ม เป็นความผิดของเราเอง
    เรากำลังจุดไฟภายในเผาเราเองต่างหาก


    เป็นเรื่องน่าคิดว่า มนุษย์เราชอบมองหาความผิด
    ชอบจับเอาความผิด เค้นหาความผิดของคนอื่น
    ส่วนความผิดของตนกลับกลบเกลื่อน ไม่ค่อยจับถูก
    เมื่อจับผิด เขาจึงพลาดความดีตลอดเวลา
    อะไรที่เป็นขยะ จึงขนเข้ามากองในใจทั้งหมด
    สุดท้ายหัวใจของเขา ก็กลายเป็นกองขยะที่เน่าเหม็น
    มิใช่หิ้งบูชาที่งดงามอย่างแต่ก่อนอีกต่อไป

    ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดให้ได้
    ปรับวิธีดำรงชีวิตเสียใหม่ ไม่ให้ใจเป็นถังขยะ
    แต่ให้ใจเป็นหิ้งบูชาพระที่งดงามทุกวัน
    ด้วยการมองหาดีของคนให้พบ
    มองบวก คิดบวก พูดบวก
    เพราะการทำอะไรเป็นบวก จะทำให้ได้กำไร และใจสบาย

    ส่วนการมองลบ คิดลบ พูดในทางลบ
    นอกจากตัวเองเกิดทุกข์แล้ว
    ยังทำให้ผู้อยู่รอบตัวเราเป็นทุกข์ตามไปด้วย
    เราควรหลีกเลี่ยงคนที่คิดในทางลบ
    เพราะทำให้ชีวิตเราติดลบไปด้วย



    การแผ่เมตตา คือ การคิดบวก พูดบวก มองหาดี
    ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาก
    แต่ความจริงหากฝึกให้เป็นนิสัย ก็เป็นเรื่องง่าย
    เพราะโดยธรรมชาติแล้ว
    เราชอบใคร เราก็อยากไปหาคนนั้น
    เรารักใครมาก ก็อยากยกให้เขาหมด
    มีอะรก็ให้หมดได้โดยไม่รู้สึกเสียดาย
    แม้บางครั้ง เขาไม่อยากได้
    เรายังอุตส่าห์ยัดเยียดให้เลย ถ้าพอใจ ภูมิใจ
    พอเขาไม่รับ ก็อาจเสียใจลึกๆ
    หาว่าไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ไม่ยินดีตอนรับ
    จากรักก็พาล จะกลายเป็นร้ายไปได้


    มาถึงคนที่เราเกลียดชัง
    เรื่องจะแบ่งใจให้ไม่มีอยู่แล้ว
    เรื่องง่ายก็มักเป็นเรื่องยากเสมอ
    จึงจำเป็นต้องหาวิธีแผ่เมตตาที่แยบคาย

    โดยธรรมชาติมนุษย์ เกลียดชังใคร
    แม้แต่เงา เราก็ไม่อยากเห็น มีอะไร ก็ไม่อยากให้
    เราไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนๆ นั้น
    ต้องการเดินคนละเส้นทาง ห่างได้ยิ่งดี
    แต่เขาลืมคิดไปว่า ทางอารมณ์เราหนีตัวเองไม่ได้
    ยิ่งเดินหนีก็ยิ่งวิ่งตาม
    อารมณ์โกรธเกลียด ก็มักจะวิ่งตามขนาบเราไป
    บางทีก็วิ่งข้ามภพข้ามชาติไปกับเรา
    ก่อเหตุร้ายไม่สิ้นสุด
    ยุติพยาบาทในชาตินี้ให้ได้
    แผ่เมตตาให้ อโหสิกรรมกันให้ได้ในชาตินี้

    จะมีใครคิดบ้างว่า
    ศัตรูบางคน ตั้งความปรารถนาขอไปเกิดเป็นลูกของเราก็มี
    เพื่อจะได้เผาผลาญจิตใจของเราให้ถึงที่สุด
    เช่น ลูกบางคนเกิดมา เพื่อผลาญทรัพย์สินสมบัติของพ่อแม่
    ทำให้พ่อแม่เกิดทุกข์ สอนไม่ได้ บอกไม่ฟัง
    ทำให้พ่อแม่นอนเป็นทุกข์ กินไม่ได้
    ไม่เคยมีความภูมิใจในลูก มีแต่ความกลัดกลุ้มใจ

    บางคนพ่อแม่ถึงขนาดตัดขาดจากความเป็นพ่อแม่ลูกกันก็มี
    สิ่งเหล่านี้ เราต้องมองให้ออก
    และหาวิธีแก้ต้นเหตุที่ระบบความคิดของเราให้ได้

    แต่ช่างน่าแปลกเหลือเกินที่คนเราชังใครมากๆ
    มักจะต้องได้เกี่ยวข้องกับคนนั้น
    ไม่อยากเห็นหน้าใคร ก็มักจะได้เห็นเขาอยู่บ่อยๆ
    ยิ่งเกลียดยิ่งได้อยู่ใกล้
    ถึงขนาดบางคนต้องมาอยู่เป็นคู่ชีวิตก็มี
    กรรมเวรมีจริง ผลของการอาฆาตพยาบาท ให้ผลร้ายขนาดนี้


    อะไรทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
    พลังงานความคิดที่เรา ไม่ยอมปลดปล่อยอารมณ์ออกไปนั้นเอง เป็นเหตุ
    สังเกตดูให้ดีจะเห็นว่า เราคิดเกลียดเมื่อใด
    ก็เท่ากับเราทาสีลงบนผ้า ที่สีกำลังจะเลือนหายไป
    เราคิดโกรธเมื่อใด
    เท่ากับเราตอกย้ำให้เกิดความคมชัดทางความรู้สึกขึ้นมาอีกเท่านั้น
    เป็นการเติมมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม
    ที่มีต่อคนๆ นั้น ให้คงเหลืออยู่ตลอดเวลา
    ทั้งๆ ที่ใกล้จะเลือนหายไปแล้ว

    คนเราชอบพูดถึงคนที่เราเกลียด
    เมื่อพูดบ่อยๆ อารมณ์นั้นก็จะฝังแน่นในใจ
    แม้ไม่ปรารถนาจะเก็บความไม่ดีของคนนั้นไว้
    เขาหารู้ไม่ว่า นั่นคือ การนำขยะที่เน่าเหม็นมาเก็บไว้ในใจตัวเอง

    ในที่สุด ใจเราก็เต็มไปด้วยอารมณ์เกลียด
    อารมณ์เน่าเฟะอยู่ในใจเรา
    พึงจำไว้ว่า คนที่เราเกลียดชังหรือโกรธแค้น
    หยุดพูด...ก็หยุดคิด
    หยุดคิด...ก็เลือนหาย
    เพียงแต่เราอดใจไม่ได้ มักย้ำคิด ย้ำทำ ย้ำพูด
    สติเราไม่พอกับความรุนแรงของอารมณ์
    การยับยั้งชั่งใจไม่เข้มแข็ง
    จึงต้องเหยียบย่ำทำกรรมในใจตัวเอง


    ขอให้สังเกตดูให้ดี เรื่องนิดเดียวสามารถบานปลาย
    ได้ด้วยคำพูดเพียงคำเดียว
    บางทีเราพูดนิดเดียว แต่คนฟังนำไปขยายต่ออีกสิบ
    พูด ๒ ครั้ง ก็นำไปขยายต่ออีกนับไม่ถ้วน
    ความเกลียดชัง อาจเริ่มต้นจากจุดนิดเดียว
    แต่กลายเป็นเชื้อไวรัสมากมาย
    เพราะคำพูดของเรา เพราะปากของเราเอง
    เพราะเห็นแก่ความสนุกปาก

    การปรับทุกข์ในบางครั้ง
    ก็ไม่ต่างอะไรกับการเติมเชื้อเพลิงความทุกข์ ให้ตัวเอง
    เติมเชื้อแห่งความอาฆาตพยาบาท ลงไปในจิตใจเราเอง

    เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องหาวิธีแผ่เมตตาให้ถูกต้อง
    คือ แผ่ให้ถึงศัตรูให้ได้
    เพื่อให้ความเป็นศัตรูในใจเขาและเราหมดไปจากกัน
    ยุติบทบาทกรรมข้ามภพข้ามชาติให้ได้

    ในทางพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงสอน
    ให้เราแผ่เมตตาด้วยการใช้คำว่า
     
  2. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,612
    การแผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียดทำได้ยาก
    แต่จำเป็นยิ่งกว่าแผ่เมตตาให้คนที่เรารัก
    เพราะปัญหาอยู่ที่ความรู้สึกเป็นศัตรู มิใช่ความรู้สึกรัก
    ยิ่งเกลียดมากยิ่งต้องใช้พลังจิตสูง
    แต่ถ้าทำได้แล้ว ก็สบายใจไปตลอดชีวิต
    อาจจะยากเพียงครั้งแรกครั้งเดียว...ครั้งต่อไปก็ง่าย
    ยิ่งเราได้ปฏิบัติเป็นประจำจนเคยชิน...ของยากก็เป็นของง่าย
    ทุกอย่างก็ถือเป็นปกติ ไม่มีอุปสรรคขัดข้อง
    และความรู้สึกเป็นศัตรูหรือโกรธเกลียด อาฆาตพยาบาท...ก็จะหมดไป
    ก็จะเลือนหายไปจากใจเรา...กระทั่งหมดสิ้น


    ในที่สุด คนที่เคยเป็นศัตรูเราก็จะกลับกลายเป็นมิตร...ไม่ช้าก็เร็ว
    การก่อเวรข้ามภพข้ามชาติกัน...ก็จะหมดไป
    ทุกชีวิตก็จะปลอดจากภัยเวรในสงสารวัฏ
    เกิดภพใดชาติใด ก็จะพบแต่คนดี
    มีคนอุ้มชูช่วยเหลือ จะทำให้มีครอบครัวดี มีลูกดี
    มีรูปสมบัติ มีสติปัญญาดี
    เพราะทุกอย่างเริ่มต้นที่
     
  3. junior phumivat

    junior phumivat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,346
    ค่าพลัง:
    +1,688
    ผู้ถาม : เมื่อทำบุญแล้ว ถ้าจะอุทิศส่วนกุศลภายหลังจะได้ไหมคะ...........?
    หลวงพ่อ : การทำบุญไปแล้วครั้งหนึ่งสักกี่ปี ๆ บุญก็ยังมีอยู่ถ้าทำไปแล้วสัก ๓๐ ปี ก็ยังอุทิศส่วนกุศลได้ บุญมันไม่หาย ไม่ใช่เราทำบุญแล้ว เดี๋ยวเดียวมันหายไปไม่ใช่อย่างนั้นนะ
    ผู้ถาม :แล้วถ้าเผื่อทำบุญแล้ว ไม่ได้อุทิศส่วนกุศลจะได้บุญเต็มที่ไหมคะ...?
    หลวงพ่อ : ก็ได้เต็มที่อยู่แล้ว เราเป็นผู้ได้สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ว่าเราจะให้เขาหรือไม่ให้ การอุทิศส่วนกุศล นี่นะ ถ้าเราไม่ให้ เราก็กินคนเดียวใช่ไหม..... ทีนี้ถ้าเราให้เขาของเราก็ไม่หมดอีก ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม อย่างเรื่องของ พระอนุรุทธ สมัยที่ท่านเกิดเป็นคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญน่ะจะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ท่านรับบาตรนะ ท่านก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า

    "สมมุติว่าโยมมีคบ แล้วก็มีไฟด้วย คนอื่นเขามีแต่คบ ไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่าง ก็มาขอต่อไฟที่คบของโยมแล้วคบทุกคนสว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของคุณโยมจะยุบไปไหม....?
    ท่านอนุรุทธก็บอกว่า ไม่ยุบ
    แล้วท่านก็บอกว่า "การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน ให้เขา เขาโมทนา แต่บุญของเราเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์"


    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ




    ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพบแล้ว ขอธรรมนั้น จงสำเร็จแก่ท่านทั้งหลายโดยเร็วด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ
    อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนา ส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลาย และพระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศล ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้า จะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด หากท่านทั้งหลายยังไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาเพียงใด ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงเป็นสักขีพยานให้แก่ข้าพเจ้าด้วย เจอเธอเมื่อใด ขอให้เธอได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ด้วยเถิด ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาตินี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด หากแม้นยังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าไม่รู้ ไม่มี ในสิ่งที่ดี จงอย่าได้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าเลย ขอผลบุญทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้า ได้กระทำแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ จงบังเกิดผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
     
  4. สวนะ

    สวนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +201
    อนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้ค่ะ
    ขอนำไปเผยแพร่ เพื่อเป็นธรรมทานต่อไปค่ะ ..สาธุ
     
  5. โสภา จาเรือน

    โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,013
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,332
    อนุโมทนาสาธุบุญ


    ละความชั่วด้วยศีล ทำความดีด้วยทาน จิตเบิกบานด้วยภาวนา
     

แชร์หน้านี้

Loading...