เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 18 มิถุนายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,195
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +26,345
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,195
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +26,345
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ก่อนอื่นก็ขอเจริญพรขอบพระคุณคณะบุญเพื่อพระนิพพาน นำโดยทิดโจ้ (นายปฏิวัต สมสะอาด) ที่รับภาระในการเช่ารถตู้ให้บรรดาผู้ที่สอบประโยคบาลีได้ ไปรับการพระราชทานตั้งเป็นมหาเปรียญและรับวุฒิบัตรผู้สอบประโยคบาลี ๑ - ๒ และขอเจริญพรขอบพระคุณนางเนตรทิพย์ เจริญวัย ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี ที่ส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยอำนวยความสะดวกให้ในงานครั้งนี้

    ส่วนเรื่องอื่น ๆ ก็คงจะมีที่หลวงตาปัญจทรัพย์ กนฺตธมฺโม ท่านขอย้ายมาอยู่ในสังกัดวัดท่าขนุน เพื่อที่จะเรียนต่อปริญญาโทวิปัสสนาภาวนา ซึ่งเรื่องนี้ ถ้าหากว่าในระหว่างเรียนก็สามารถปรึกษาดร.แม่ชีกุลภรณ์ แก้ววิลัย หรือว่า ดร. แม่ชีพิมพ์วรา ทิพยบุลสิทธิ์ได้ เพราะว่านั่นจบปริญญาโทวิปัสสนาภาวนาทั้งคู่ แล้วดร.แม่ชีพิมพ์วราก็ลากยาวไปจนจบปริญญาเอกด้วย

    เรื่องของการศึกษาคณะสงฆ์จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ว่าเจ้าอาวาสน้อยแห่งที่มีกำลังพอที่จะส่งพระเณรเรียนได้โดยไม่จำกัด อย่างเมื่อวานนี้หลวงพ่อพระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ท่านจะเปิดห้องเรียนปริญญาตรี สาขารัฐประศาสนศาสตร์ที่วัดปรังกาสี โดยที่กระผม/อาตมภาพรับหน้าที่จ่ายค่าเทอมทั้งหมดให้กับพระนิสิต ท่านถามว่า "หลวงพ่อรองฯ..มีอั้นไหมครับ ?" กระผม/อาตมภาพยืนยันว่า "สมัครเท่าไรก็สมัครไปเถอะ" ในความคิดของตัวเองก็คือ "เต็มที่ก็ ๒ ห้อง ๘๐ รูป ยังพอจ่ายไหวอยู่..!"

    การเรียนนั้นถ้าหากว่าอยู่ในที่ไม่เป็นปฏิรูปเทส ก็คือไม่สะดวก ไม่ว่าจะเรื่องของการเดินทาง เรื่องของครูบาอาจารย์ เรื่องของการสนับสนุนการเรียน ก็จำเป็นที่จะต้องไปดิ้นรนแสวงหากันเอง

    โดยเฉพาะของท่านปัญจทรัพย์ ท่านตั้งใจจะเรียนในสาขาวิปัสสนาภาวนา ซึ่งท่านทั้งหลายที่เรียนมาก็รู้ดีอยู่แล้วว่าต้องเข้ากรรมฐาน ๗ เดือน..! ถ้าปริญญาเอกก็เจอเข้ากรรมฐานไป ๑ ปี..! ก็แปลว่าท่านตั้งใจมาเพื่อปฏิบัติธรรมนั่นเอง เพียงแต่ว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่มีของแถม ก็คือปริญญาบัตรมาด้วย ซึ่งตามหลักที่ปฏิบัติกันอยู่ กระผม/อาตมภาพจะถวายค่าเดินทางให้เดือนละ ๕,๐๐๐ บาท แล้วก็ค่าเทอม
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,195
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +26,345
    คราวนี้ในส่วนของท่านที่ย้ายมาอยู่กับเราก็ถือว่าเป็นพระวัดเดียวกัน ให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของวัดเรา ซึ่งสำหรับพระนักปฏิบัติแล้วก็ไม่มีอะไรลำบาก เรื่องของการตื่นตี ๓ ครึ่งเพื่อเจริญกรรมฐานด้วยกัน ถ้าหากว่าเป็นพระปฏิบัติ โดยเฉพาะผ่านสายพองยุบมา ถ้าเป็นที่ยุวพุทธิกสมาคม ไม่ว่าจะสาขา ๑ หรือว่าสาขา ๒ ที่กระผม/อาตมภาพไปเจอการอบรมพระธรรมทูตสายวิปัสสนารุ่น ๑ มา ต้องเริ่มภาวนาตั้งแต่ตี ๒ เลิก ๔ ทุ่ม..! ถ้าวันไหนครูบาอาจารย์นัดส่งอารมณ์ ก็จะมีเวลาเฉพาะตัวของเรา แต่ว่าเราต้องคำนวณว่าจะยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ไปจนถึงที่นั่งของครูบาอาจารย์นั้น จะใช้เวลาเท่าไร ?

    อย่าคิดว่าระยะทางแค่ ๔๐ - ๕๐ เมตร กระผม/อาตมภาพเคยใช้เวลาเดินเป็นชั่วโมงมาแล้ว..! เนื่องเพราะว่าถ้าสภาวธรรมละเอียดจริง ๆ เรารู้สึกว่าก้าวยาว แต่จริง ๆ แล้วก้าวสั้นมาก แทบจะไปกันทีมิลลิเมตรเลย..! รู้สึกว่าตัวเองยกเท้าสูงมาก แต่ปรากฏว่ายกพ้นพื้นมาประมาณแค่ครึ่งเซนติเมตรเท่านั้น

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครเจอในลักษณะอย่างนี้มา ก็จะรู้สึกว่าระเบียบวัดไม่ใช่ของยาก สวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาตร กรรมฐานร่วมกัน ในเวลาเรียนห้ามลา ยกเว้นเรื่องสำคัญที่ทางวัดจะพินิจพิจารณาเองว่าสมควรลาได้หรือไม่ ? แต่ถ้าเรียนจบแล้วจะย้ายกลับคืนสังกัดเดิมทันทีก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ว่าตอนอยู่ร่วมกันต้องทำตามระเบียบเดียวกัน

    เรื่องของระเบียบวินัยนั้นเป็นเบื้องต้นของนักปฏิบัติทุกรูป ใครก็ตามที่พยายามหลีกเลี่ยงระเบียบวัดหรือว่าวินัยสงฆ์ ขอให้รู้ว่าเราเป็นผู้ที่ปฏิบัติไปแล้วก็เอาดีไม่ได้..! เพราะว่าวินัยก็คือศีล ระเบียบก็คือศีล ก็คือข้อบังคับว่าต้องปฏิบัติอย่างไร หรือว่าห้ามปฏิบัติอย่างไร ในเมื่อระเบียบวัดหรือว่าวินัยสงฆ์ที่เป็นของหยาบ เรายังทำให้ดีไม่ได้ โอกาสที่จะเข้าถึงสภาวธรรมที่เป็นของละเอียดก็แทบจะไม่มีเลย..!

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านที่บวชรุ่นเก่า ๆ จะได้ยินพระอุปัชฌาย์หรือคู่สวด ท่านให้อนุศาสน์ ๘ ที่จะสรุปว่า สีละปะริภาวิโต สะมาธิ มะหัปผะโล โหติ มะหานิสังโส

    อานิสงส์ใหญ่ของการระมัดระวังรักษาศีลโดยรอบคอบ ก็คือจะทำให้สมาธิเจริญขึ้น เนื่องเพราะว่าในขณะที่เราระมัดระวังศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ สติสมาธิต้องจดจ่ออยู่เฉพาะหน้า โดยเฉพาะว่าถ้าเราขยับตัวเมื่อไร รู้ว่าศีลจะขาดหรือไม่ ? ถึงจะถือว่าใช้ได้

    การที่ต้องตั้งสติระมัดระวังขนาดนั้น จึงทำให้สมาธิเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ บางท่านไม่รู้เสียด้วยซ้ำไปว่า ขณะที่ตนเองระมัดระวังรักษาศีล ก็คือการสร้างสมาธิไปในตัว
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,195
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +26,345
    คราวนี้พอสมาธิทรงตัว ผลใหญ่ที่จะก่อให้เกิดก็คือปัญญา เมื่อสภาพจิตของเราสงบราบเรียบ กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง โดนอำนาจสมาธิกดดับลงชั่วคราว สภาพจิตก็จะผ่องใสมาก สติรู้รอบ พินิจพิจารณาได้ว่าเรายังบกพร่องตรงไหน ? เราควรที่จะไปต่ออย่างไร ? สิ่งที่เราทำนี้ตรงเป้าหมายแล้วหรือไม่ ?

    เรื่องพวกนี้จัดอยู่ในหมวดวิมังสาของอิทธิบาท ๔ ก็คือ มีการไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ ท่านที่ศึกษาปริญญามาในด้านพระพุทธศาสนาก็จะได้ยินว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น พิจารณาอริยสัจโดยผ่านญาณ ๓ ก็คือสัจจญาณ รู้ตามความเป็นจริง กิจจญาณ รู้ว่าต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไรจึงจะเข้าถึงได้อย่างแท้จริง และกตญาณ รู้ว่าขณะนี้เราเข้าถึงอย่างแท้จริงแล้ว

    ดังนั้น..ในส่วนนี้ถ้าหากว่าพวกเราขาดวิมังสาในการไตร่ตรองทบทวน บางทีอาจจะหลงออกนอกทางโดยไม่รู้ตัว กระผม/อาตมภาพเองในขณะที่ปฏิบัติมา พยายามระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าถ้าพลาดเมื่อไร กำลังใจตก หรือที่ท่านทั้งหลายใช้คำว่าจิตตกบ้าง สมาธิตกบ้าง กรรมฐานแตกบ้าง แล้วโดน รัก โลภ โกรธ หลง กระหน่ำตีจนไม่เป็นผู้เป็นคน รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานมาก..!

    แล้วกว่าที่จะกู้กำลังใจคืนมาได้ก็ยากเหลือเกิน เพราะว่าไปวางกำลังใจผิด ก็คือไปวางกำลังใจว่า "อยากจะให้ดีเหมือนเดิม" อะไรที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า "อยาก" นี่ยากไปหมด เพราะว่าเท่ากับเราไปตั้งกำแพงขวางกำลังใจตัวเองเอาไว้ด้วยความอยาก ยิ่งอยากก็ยิ่งเข้าไม่ถึง..!

    ถ้าเราสามารถปล่อยวางเป็นอุเบกขา อยู่ในลักษณะที่ว่า เรามีหน้าที่ทำ เราก็ทำให้เต็มที่ ส่วนจะเข้าถึงหรือไม่เข้าถึง จะได้หรือไม่ได้ จะเหมือนเดิมหรือไม่เหมือนเดิมนั้น..ช่างมัน ถ้าอยู่ในลักษณะนี้เราจะเข้าถึงได้ง่าย หรือว่ากลับไปสู่อารมณ์เดิมได้ง่าย แต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ต้องอาศัยประสบการณ์ หกล้มหกลุกหัวร้างคางแตกมานับข้างไม่ถ้วน จนกระทั่งเราเกิดปัญญาขึ้นมาว่า ถ้าในสถานการณ์แบบนี้เราจะไปในรูปแบบใด

    ดังนั้น..ที่ครูบาอาจารย์ท่านให้ไปส่งอารมณ์ ส่วนใหญ่ก็คือถ้าลูกศิษย์ติดขัดตรงไหนจะได้ชี้แจงเพิ่มเติมให้ จะได้บอกทางให้ว่าไปทางไหนง่ายกว่า สะดวกกว่า แต่ว่าครูบาอาจารย์บางท่านไปเจอลูกศิษย์ที่มาสายพุทธภูมิ ก็คือตั้งใจจะไปเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภายภาคหน้า ถ้าเจอแบบนั้นก็สาหัส..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,195
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +26,345
    อย่างสมัยที่ยังอยู่ที่วัดท่าซุง ถ้าหากว่าหลวงพ่ออาจินต์ (พระครูภาวนาธรรมนิเทศก์) ซึ่งพวกกระผมเรียกว่า "หลวงพี่" ถ้าท่านลากลูกศิษย์ไม่ไหว ท่านก็จะไปตามท่านเจ้าคุณหลวงตา - พระราชภาวนาพัชรญาณ วิ. หรือว่า "หลวงพี่วัชรชัย" ถ้าทั้งสองท่านเข็นไม่ไหว ก็จะมาตามกระผม/อาตมภาพไปช่วย

    แล้วมีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่ออาจินต์ท่านก็ขับรถประจำตัวของท่าน ก็คือซูซูกิคาริเบียน มีเจ้าคุณหลวงตานั่งมาด้วย มาถึงหน้าตึกก็ตะโกนว่า "เล็กโว้ย หาคนเข้าเวรแทนให้หน่อย แล้วมาช่วยผมที" ถามว่า "เรื่องอะไรครับ ?" ท่านบอกว่า "เจอเรือเกลืออีกแล้ว..!"

    ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า พวกเรือข้าว เรือเกลือ หรือว่าเรือทราย เป็นเรือที่บรรทุกหนักมาก โอกาสที่จะแล่นเร็วนั้นเป็นไปไม่ได้ แล้วปรากฏว่าพระอาคันตุกะรูปนั้นมาอยู่วัดได้ ๖ วันแล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะได้รับอนุญาตให้อยู่ตามระเบียบวัด

    พอหลวงพ่ออาจินต์ท่านเข็นไม่ไหว จึงไปตามหลวงตาวัชรชัยมาช่วย หลวงตาวัชรชัยเจอไปสองวัน ยอมยกธงขาว มาตามกระผม/อาตมภาพไปช่วย พอไปเจอแล้วถึงได้รู้ว่าทำไม เนื่องเพราะว่าระยะเวลาในการเจริญกรรมฐานแบบมโนมยิทธิ ๒ ชั่วโมงเศษ กระผม/อาตมภาพสามารถพาท่านไปได้แค่พระจุฬามณีเท่านั้น ถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? ก็เพราะว่าท่านละเอียดถึงขนาดไปนับบันไดทีละขั้น..! ถ้าหากว่าใครมโนมยิทธิแจ่มใส ลองมองดูว่าบันไดจุฬามณีมีกี่หมื่นขั้น..! ท่านค่อย ๆ ไปดูว่า บันไดกว้างเท่าไร ยาวเท่าไร ทำด้วยวัสดุอะไร สีสันเป็นอย่างไร ?!!

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าไปเจอปัญหาแบบนี้ ครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ก็ตายสนิท..! เนื่องเพราะว่าลูกศิษย์มีความต้องการมากกว่า แต่ว่าครูบาอาจารย์ไปไม่ถึงระดับนั้น กระผม/อาตมภาพวันนั้น กลับมากุฏิได้ก็นอนแผ่หรา หมดเรี่ยวหมดแรง ดังนั้น..ถ้าหากท่านบอกว่ามีเรือเกลือมา หรือว่ามีเรือทรายมานี่ ขอให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า ไม่ใช่เราลากไปในน้ำ แต่เป็นการเข็นเรือเกลือหรือว่าเรือทรายบนบก..! กว่าจะไปได้แต่ละคืบแต่ละศอกนี่คนเข็นเกือบตาย..!

    เรื่องของกรรมฐานจึงต้องพยายามฝึกและซักซ้อมให้รู้รอบรู้จริง เนื่องเพราะว่ากรรมฐานนั้นมีถึง ๔๐ กอง บวกมหาสติปัฏฐานสูตร โอกาสที่เราจะเจอลูกศิษย์ที่มาคนละทิศคนละทางกับสิ่งที่เราศึกษาต้องมีแน่นอน

    แต่โชคดีที่ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านสอนเอาไว้ครบถ้วน แล้วกระผม/อาตมภาพก็ยังศึกษาเพิ่มเติมอยู่เสมอ จึงพอที่จะรับมือกับพวกที่มานอกทุ่งนอกท่าได้ แต่ถ้าพวกท่านทั้งหลายศึกษาไม่พอก็จะขายหน้า เพราะว่าลูกศิษย์มีความต้องการมากกว่าความสามารถของครูบาอาจารย์ เราก็ต้องรู้ว่าถ้าเราไม่ไหวแล้วควรที่จะไปหาใครต่อ ไม่อย่างนั้นก็เสียหน้าอยู่คนเดียว..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...