เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 13 ธันวาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ถ้าหากว่าเป็นฝรั่งก็คงไม่คิดที่จะทำงานทำการอะไรกันเลย เพราะถือว่าเป็นวันโชคร้ายสุด ๆ เนื่องเพราะว่าพระเยซูคริสต์ หรือถ้าออกเสียงแบบภาษาอังกฤษก็คือ "จีซัสไครสต์" ได้สิ้นพระชนม์ลงในวันศุกร์ที่ ๑๓ แต่ว่าคนไทยของเรานั้นเลข ๑๓ กลับรู้สึกว่ามีแต่ความเป็นมงคล อย่างเช่นว่าเทศน์มหาชาติคาถาพันก็มี ๑๓ กัณฑ์ ธุดงควัตรเอาไว้ขัดเกลากิเลสของพระภิกษุสามเณรก็มี ๑๓ ข้อ เหล่านี้เป็นต้น

    ดังนั้น..ในเรื่องของมงคลหรืออวมงคลซึ่งเป็นของภายนอกนั้น ไม่ถือว่าเป็นสาระแก่นสารอะไร มงคลที่แท้จริงก็คือ มงคลทั้ง ๓๘ ประการในมงคลสูตร พระสุตตันตปิฎก ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไล่ตั้งแต่ต่ำสุดไปจนถึงสูงสุด ก็คือหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานไปเลย

    สำหรับวันนี้หลังจากบิณฑบาตและฉันภัตตาหารเช้าแล้ว กระผม/อาตมภาพได้เดินทางลงมายังจังหวัดกาญจนบุรี ผ่านอำเภอบ้านโป่งของจังหวัดราชบุรี ตรงเข้านครปฐม ระหว่างทางก็เจอฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ซึ่งไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมสองวันที่ผ่านมา กระผม/อาตมภาพถึงได้ป่วยแทบตาย..!? เนื่องเพราะว่าบุคคลที่มีเชื้อมาลาเรียอยู่ในร่างกายนั้น จะไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศเป็นอย่างมาก

    เมื่อตรงเข้าสู่วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร ถนนเทศา ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เพื่อกราบสักการะหลวงพ่อพระร่วงโรจนฤทธิ์ และองค์พระปฐมเจดีย์ ประจำปี ๒๕๖๗ เหตุที่ต้องมีการระบุปีอย่างชัดเจน ก็เนื่องเพราะว่าครูบาอาจารย์รูปหนึ่งก็คือ หลวงปู่มหาอำพัน - ท่านเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง) แห่งวัดเทพศิรินทราวาส ท่านได้เมตตาบอกกล่าวไว้ว่า "ถ้าคุณยังบวชอยู่ เมื่อออกพรรษาแล้วให้ไปสักการะพระและสถานที่สำคัญก็คือ
    พระแก้วมรกต พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และองค์พระปฐมเจดีย์ให้ได้ทุกปี" ซึ่งหลวงปู่มหาอำพันท่านทำเป็นตัวอย่างจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต แต่กระผม/อาตมภาพนั้นต้องอาศัยว่า ภายในปีนั้นผ่านไปใกล้ที่ใดก็แวะกราบสักการะที่นั่น
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เมื่อถวายกราบสักการะ เจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพุทธบูชา และอุทิศส่วนกุศลแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ตรงไปยังโรงเรียนนาคประสิทธิ์ (มูลนิธิวัดบางช้างเหนือ) แผนกอนุบาล อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ซึ่งหลวงพ่อเจ้าคุณแก้ว (พระราชวชิรสุตาภรณ์ - พนม รตนาโภ) เจ้าอาวาสวัดบางช้างเหนือ เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม เพื่อนร่วมรุ่นเรียนมาตั้งแต่สมัยประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาพระพุทธศาสนา ปริญญาโทพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการเชิงพุทธ ท่านได้มาสร้างโรงเรียนแผนกอนุบาลเอาไว้ที่นี่ โดยวันนี้เป็นพิธีเปิดป้ายและฉลองอาคารใหม่ ซึ่งท่านได้นิมนต์พรรคพวกเพื่อนฝูงมากันมากมาย จำนวนเกือบ ๓๐๐ รูป..!

    กระผม/อาตมภาพนั้นความจริงเมื่อไปถึง กะว่ารับไทยธรรมในการทักษิณานุปทานแล้วจะลากลับเลย แต่ว่าหลวงพ่อแก้วท่านบอกว่า "อยู่ช่วยรับสมเด็จฯ หนกลางกันก่อน" กระผม/อาตมภาพจึงได้อยู่ในห้องพักพระเถระ ทำให้ได้กราบพระเถระที่เดินทางมาหลายรูป อย่างเช่นพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.๙, Ph.D.) วัดสามพระยาวรวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม

    หลวงพ่อโม่ง - พระราชวชิรมงคลวิสิฐ (อาทิตย์ สิริวฑฺฒโน) เจ้าคณะจังหวัดสระบุรี

    หลวงพ่อดิเรก - พระราชวัชรสาครคณี (ดิเรก ปิติทานนฺโท) เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร

    ท่านเจ้าคุณอาจารย์ชัยวัฒน์ - พระเทพวชิรวาที (ชัยวัฒน์ ธมฺมวฑฺฒโน) วัดประยุรวงศาวาส เป็นต้น

    จนกระทั่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อสมเด็จฯ หนกลาง - ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (ธงชัย ธมฺมธโช) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลางเดินทางมาถึง โดยหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านเดินดูงานต่าง ๆ ภายในโรงเรียนนาคประสิทธิ์ ซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนการกุศลที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย แต่ละปีมีนักเรียนสอบเข้ามหาวิทยาลัยดัง ๆ ได้นับเป็นร้อย ๆ คน ซึ่งสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยหลวงปู่สงัด -พระเดชพระคุณพระพิศาลศึกษากร (สงัด อุคฺคเสโน) อดีตเจ้าอาวาสวัดบางช้างเหนือ แล้วหลวงพ่อเจ้าคุณแก้วจึงมารับช่วงต่อ

    จากพระครูพินิจสุนทร พระครูรองคู่สวด ท่านก็เลื่อนขึ้นมาพระครูปลัดคุณวัฒน์ พระครูปลัดของพระราชาคณะชั้นธรรม แล้วหลังจากนั้นก็ขอพระครูสัญญาบัตรเทียบเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอก ปรากฏว่าผลงานที่ล้นความต้องการของทางคณะสงฆ์ มหาเถรสมาคมจึงยกท่านขึ้นเป็นพระราชาคณะที่พระพิพัฒน์ศึกษากร และปัจจุบันนี้ได้รับพระราชทานเลื่อนเป็นพระราชาคณะชั้นราชที่พระราชวชิรสุตาภรณ์
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เมื่อหลวงพ่อสมเด็จฯ ทำการเจิมและพรมน้ำมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ได้กราบขอตัวเดินทางออกมา ชื่นชมความกว้างใหญ่ไพศาลของโรงเรียนโรงเรียนนาคประสิทธิ์ และวัดบางช้างเหนือ ซึ่งในอดีตกาลนับร้อยปีที่ผ่านมานั้น มีหลวงปู่จ้อย วัดบางช้างเหนือเป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่มีคนเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าท่านมีวาจาสิทธิ์ อย่างเช่นว่าบอกเรือกลไฟให้หยุดก็ต้องหยุด ไม่สามารถจะไปได้ ทั้ง ๆ ที่เดินเครื่องอย่างเต็มที่ บอกให้เดินหน้าก็เดินหน้าได้อย่างที่ท่านสั่ง..!

    วัตถุมงคลของหลวงปู่ที่โด่งดังก็ประกอบไปด้วยตะกรุดไม้ไผ่ และลิงที่แกะจากหินสบู่ เนื่องเพราะว่าหลวงปู่จ้อยท่านเกิดปีวอก ลิงหรือหนุมานของท่านนั้นมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนว่าแกะจากหินสบู่เท่านั้น ในเรื่องความขลังของหลวงปู่จ้อยนั้นมีมากเหลือเกิน ขนาดที่มีพรานมายิงนกภายในวัด ท่านบอกว่า "ยิงกอไผ่ของข้าให้ออกเสียก่อน" บรรดาพรานทั้งหลายยิงปืนเท่าไรก็ "สับไม่แตก" ตามภาษาโบราณ ภายหลังชาวบ้านก็เลยช่วยกันตัดกอไผ่กอนั้นไปแบ่งปันกันเป็นวัตถุมงคลเสียหมด..!

    ยังโชคดีว่าวิชาการของหลวงปู่จ้อย วัดบางช้างเหนือนั้น ยังถ่ายทอดมายังหลวงปู่รุ่ง วัดดอนยายหอม และพ่อพรหม ซึ่งเป็นโยมบิดาของหลวงปู่เงิน วัดดอนยายหอม ซึ่งพ่อพรหมนั้นเคยทำให้ลูกศิษย์ได้ดู ด้วยการกลั้นหายใจแล้วเอาหัวแม่เท้ากดพื้น สามารถบังคับเรือให้หยุดนิ่งกลางแม่น้ำได้เช่นกัน

    ส่วนหลวงปู่รุ่ง วัดดอนยายหอมนั้นก็ได้สร้างตะกรุดไม้ไผ่ตามแบบของครูบาอาจารย์ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าหลวงปู่รุ่งท่านสึกหาลาเพศเสียในวัยชรา ทำให้หลวงพ่อเงินวัดดอนยายหอมต้องขึ้นเป็นเจ้าอาวาสแทน แล้วปู่รุ่งท่านก็อยู่ในลักษณะของฆราวาสจอมขมังเวทย์จนกระทั่งสิ้นชีวิต

    วีรกรรมของหลวงปู่จ้อย วัดบางช้างเหนือ หรือที่ชาวบ้านบางคนเรียกว่า "หลวงปู่เจ๊ก" นั้น มีมากเหลือเกิน โดยเฉพาะการที่ท่านแบกไหน้ำตาลเมาฉันได้ทั้งวัน แต่พอพระสังฆการีจากกรุงเทพมาสอบสวน ปรากฏว่าเป็นน้ำเปล่า..! พอถึงเวลาท่านรินน้ำเปล่าหรือว่าน้ำชาให้ก็กลายเป็นเหล้า สังฆการีเหล่านั้นถึงได้รู้ว่าโดนหลวงปู่จ้อยท่านหลอกเสียแล้ว เนื่องเพราะว่าถ้าท่านไม่ทำตัวสำมะเลเทเมา ก็จะมีแต่ชาวบ้านมากวนไม่เว้นแต่ละวัน ท่านจึงอาศัยอำนาจของอภิญญาสมาบัติ แสดงให้คนเขาเห็นเป็นหลวงตาแก่ขี้เมา คนจึงไม่ค่อยที่จะมารบกวนมากนัก
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    คล้าย ๆ กับหลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ด ซึ่งบางคนก็เรียกว่าหลวงปู่จีนบ้าง หลวงปู่เจ๊กบ้าง ที่ท่านปัสสาวะใส่กระโถนแล้วสาดเอาไว้เลอะเทอะไปทั้งนอกชานกุฏิ ส่งกลิ่นเหม็นตลบไปไกล ๆ แต่ขนาดนั้นก็ยังกั้นบุคคลที่ศรัทธาไม่ได้ ถึงเวลาเขาก็มากราบ ทั้ง ๆ ที่กลิ่นปัสสาวะเหม็นคลุ้งนั่นแหละ..! แต่ถ้าหากว่าหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ตอนนั้นท่านยังอยู่วัดบางนมโคไปกราบ หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ดท่านก็จะสั่งลูกศิษย์ต้มน้ำร้อนมาราด มาขัดชานกุฏิเสียก่อน เรียกง่าย ๆ ว่าพอบรรเทากลิ่นปัสสาวะลงไปได้ แล้วค่อยนั่งคุยกัน

    เราจะเห็นว่าครูบาอาจารย์สมัยก่อนนั้น บางทีท่านก็มีปฏิปทาแปลก ๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวเคราะห์กรรมของญาติโยมมากนัก ไม่เช่นนั้นถ้าเอาแต่สงเคราะห์ญาติโยม เคราะห์กรรมทั้งหลายที่ญาติโยมจะพึงรับ ก็จะกลายเป็นว่าครูบาอาจารย์ท่านต้องรับแทนไป แต่ละท่านจึงมีวิธีในการ "ไล่แขก" ที่แปลก ๆ ต่างกันไป ส่วนตัวกระผม/อาตมภาพนั้นไม่ไล่แขกให้เสียน้ำใจ หากแต่ว่าออกไปวิ่งงานอยู่ข้างนอก แขกมาไม่พบก็ท้อจนกระทั่งกลับไปเอง หมดเรื่องหมดราวไป..!

    เมื่อออกจากวัดบางช้างเหนือมาแล้ว เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าทำไมเขาเรียกหลวงปู่จ้อยว่าหลวงปู่เจ๊ก ? คาดว่าในบริเวณตำบลคลองใหม่นั้น น่าจะมีคนจีนอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะว่าแม้แต่หลวงพ่อเจ้าคุณแก้วท่านก็เป็นลูกจีน คำว่าแก้วในที่นี้เป็นภาษาจีนแคะที่แปลว่าหมา ลักษณะที่เหมือนอย่างกับคนโบราณเรียกลูกตัวเองว่าไอ้หมา อีหมา เหล่านั้นเป็นต้น แต่พอมาเป็นภาษาไทยแล้วกลับรู้สึกว่าไพเราะมาก

    กระผม/อาตมภาพยังปรารภกับหลวงพ่อแก้วท่านว่า "ถ้าคนเขาไม่รู้ก็คิดว่าชื่อหลวงพ่อเพราะขนาดเลย..!" แล้วก็นั่งหัวเราะกัน แต่น่าเสียดายว่าหลวงพ่อแก้วท่านไม่สามารถจะพูดภาษาจีนได้แล้ว ไม่เช่นนั้นกระผม/อาตมภาพก็คงจะได้ใช้ภาษาพ่อภาษาแม่ ในการที่คุยปรับสารทุกข์สุกดิบกันได้อีกหลายยก

    สำหรับวันนี้คาดว่าจะเป็นเรื่องของฝนตกทั่วฟ้าก่อนที่จะหนาวกะทันหัน พระภิกษุสามเณรและญาติโยมทั้งหลายต้องระมัดระวังเอาไว้ รู้สึกเห็นท่าไม่ดีก็ฉันยากันเอาไว้ก่อน ช่วงปลายฝนต้นหนาวนั้น คนแก่หรือคนป่วย ร่างกายมักจะไม่ค่อยดี ถ้าดูแลไม่ดีก็ "ไป" เสียเอาง่าย ๆ..!

    กระผม/อาตมภาพเรียกฤดูนี้ว่า "ฤดูใบไม้ร่วง" ก็คือนอกจากใบไม้ร่วงด้วยความหนาวแล้ว คนแก่คนป่วยยังพากันร่วงเหมือนกับใบไม้ไปด้วย ใครที่มีคนแก่มีคนป่วยอยู่ในบ้าน หรือว่าเป็นคนแก่คนป่วยเสียเอง พึงระมัดระวังฤดูกาลนี้เอาไว้ให้มาก อย่าได้ห่างหมอห่างยา ไม่เช่นนั้นท่านก็จะพ้นทุกข์จากกายสังขารนี้ไปแบบไม่รู้ตัว..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...