เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 12 เมษายน 2025 at 07:56.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,324
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,708
    ค่าพลัง:
    +26,568
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,324
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,708
    ค่าพลัง:
    +26,568
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ สามเณรที่ตั้งใจอยู่ต่อ ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาสะสมความดีของเราไว้ การสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต เจริญพระกรรมฐาน ตอนเป็นฆราวาสเราทำเป็นร้อยครั้ง ก็ไม่เท่ากับเราทำตอนนี้ ๑ ครั้ง..!

    ในเรื่องของบุญกุศลนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องเพราะว่าส่งผลแต่ในด้านดีโดยส่วนเดียว ถ้าเราอยู่ต่อ ก็จะส่งผลให้กลายเป็นหลักชัยของพระพุทธศาสนา ถ้าเราสึกหาลาเพศไป คนที่มีบุญกุศลมากกว่า ก็เหมือนกับคนมีเงินมากกว่า จะทำอะไรก็สะดวกคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่นั้นสร้างบุญกุศลไม่ต่อเนื่อง อยู่ในลักษณะทำบ้าง ทิ้งบ้าง ถึงเวลาผลของบุญกุศลจึงส่งผลบ้าง ขาดช่วงลงไปบ้าง จนบางคนเขาใช้คำว่า "ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน" แต่ถ้าเป็นตัวกระผม/อาตมภาพ ก็น่าจะชั่วเป็นร้อยทีแล้ว ยังไม่ค่อยจะดีสักหน..!

    สำหรับวันนี้หลายท่านก็จะเห็นแล้วว่า ทางวัดของเราจัดสถานที่ในการเตรียมปลุกเสกพระสมเด็จคำข้าวมหาลาภปลดหนี้ ๒ แผ่นดิน ซึ่งจะว่าไปแล้วไม่จำเป็นต้องปลุกเสกใหม่ก็ได้ แต่ว่าคนส่วนหนึ่งก็มักจะมั่นใจเมื่อได้เห็นพิธีกรรม จึงต้องทำให้เขาเห็นเพื่อรักษากำลังใจกัน

    แต่คราวนี้ในเรื่องของการสร้าง การเสกวัตถุมงคลก็ดี การดูหมออะไรก็ตาม ระยะนี้มักจะโดนโจมตีว่าเป็น "เดรัจฉานวิชา" โดยเฉพาะหลายท่านกล่าวไว้ว่า ถ้าหากว่ามีการสร้างวัตถุมงคลในสมัยพุทธกาล เราก็คงจะมีรูปหลวงพ่อองค์นั้น หลวงปู่องค์นี้มากมายไปหมดแล้ว จะว่าไปก็ "ใช่ของเขา"

    แต่คราวนี้ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า การสร้างวัตถุมงคลนั้นเกิดจากเจตนารมณ์หลายประการ สมัยแรก ๆ ไม่มีการสร้างเป็นรูปพระ ส่วนใหญ่ก็สร้างเป็นเครื่องรางอื่น ๆ อย่างเช่นตะกรุด พิสมร ผ้าประเจียด แหวนพิรอด เหล่านี้เป็นต้น เนื่องเพราะสมัยนั้นมีค่านิยมว่า "พระต้องอยู่วัด" ในระยะแรก ๆ เมื่อมีการสร้างพระเครื่องขึ้นมา ถึงเวลาออกรบก็นำติดตัวไป เพื่อที่จะป้องกัน รักษา หรือว่าเป็นขวัญกำลังใจของตนเอง พอเสร็จจากการรบก็เอาไปคืนวัดตามเดิม
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,324
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,708
    ค่าพลัง:
    +26,568
    คราวนี้การทำพระเครื่องยอดนิยม ที่เกิดขึ้นก็ในยุคของพระนางเจ้าจามเทวี นอกจากจะสร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์ในด้านเป็นกำลังใจแล้ว ยังสร้างไว้เพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนาด้วย ดังนั้น..ไม่ว่าจะเป็นพระรอด พระคง พระลือ จึงมักจะได้รับการบรรจุเอาไว้ เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา ต่อให้สิ่งก่อสร้างปรักหักพังไปแล้ว พระเครื่องที่สร้างเอาไว้ในกรุก็ยังอยู่ ใครไปขุดเจอก็จะได้รู้ว่า "นี่เป็นสถานที่ในพระพุทธศาสนา"

    คราวนี้ในระยะหลัง ๆ พอกำลังใจของคนไม่ได้เด็ดขาดเข้มแข็งเหมือนกับสมัยพุทธกาล จึงต้องอาศัยเครื่องยึดเกาะ เพื่อที่จะได้มีความชัดเจนในการระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การสร้างสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องระลึกจึงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป พระเจดีย์ ตลอดจนกระทั่งคัมภีร์ใบลานต่าง ๆ

    แล้วพอคนมีค่านิยมในการบูชาพระเครื่องติดตัวมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกทั้งครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ เพราะเห็น
    ว่าอำนาจของพุทธคุณที่อยู่ในพระเครื่อง สามารถปกปักรักษาผู้ที่บูชาอย่างแท้จริง ก็ยิ่งเลื่อมใสหนักขึ้น แต่ว่าพระเครื่องยุคนั้นก็มักจะเน้นในเรื่องของการอยู่ยงคงกระพัน

    เรื่องนี้ถ้าหากว่าคนไทยของเรางมงาย ท่านทั้งหลายที่เคารพเลื่อมใส เห็นฝรั่งเป็นพ่อ..! ฝรั่งทำอะไรถือว่าทำถูก มีความเจริญ ให้ไปดูวัตถุมงคลของหลวงพ่อมุม วัดปราสาทเยอร์เหนือ ทหารจีไอเป็นคนสร้างแล้วขอให้หลวงพ่อมุมปลุกเสกเอง มีภาษาอังกฤษกำกับอยู่ในเหรียญด้วยว่า PAPA MUM เพราะว่าเขาติดตัวไปออกรบแล้วปลอดภัยทุกคน ต่อให้โดนปืนหรือโดนระเบิดก็ไม่มีใครเป็นอันตราย..!

    ดังนั้น..ใครที่คิดว่าวัตถุมงคลไม่มีพุทธคุณ หรือว่าไม่มีอำนาจในการปกปักรักษาก็ปล่อยเขาไป ขนาดฝรั่งที่พวกเราไปเลื่อมใสว่า เขามีความเจริญมากกว่า มีสติปัญญาสูงกว่า ยังบูชาวัตถุมงคลกันเป็นว่าเล่น เนื่องเพราะว่าช่วงสงครามในเวียดนาม และสงครามในลาว เขามีประสบการณ์ว่า ทหารไทยโดนอาวุธเท่าไรก็ไม่เห็นจะเป็นอันตราย จนกระทั่งเรียกกันว่าทหารผีบ้าง ทหารหุ่นยนต์บ้าง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,324
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,708
    ค่าพลัง:
    +26,568
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จึงเปลี่ยนแปลงจากค่านิยมเดิม ๆ ที่สร้างเพื่อเป็นการสืบอายุพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง สร้างเพื่อบุคคลที่กำลังใจลดน้อยถอยลงจากสมัยพุทธกาล ให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ รำลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อีกอย่างหนึ่ง แล้วก็มาสร้างเพื่อหวังพุทธคุณอีกอย่างหนึ่ง

    แต่สมัยก่อนครูบาอาจารย์ท่านมอบวัตถุมงค
    ให้ยากมาก จะต้องรับปากว่าสามารถทำตามข้อห้ามต่าง ๆ ได้ถึงจะให้ ก็แปลว่าบังคับให้คนมีศีลมีธรรมโดยปริยาย อย่างเช่นว่าห้ามด่าแม่คนอื่น ในด้านของศีลก็คือ ข้อห้ามข้อจำกัดไม่ให้กระทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม โดยเฉพาะในส่วนของวจีกรรม คือคำพูด

    ในส่วนของธรรมก็คือกำลังปฏิบัติหลักธรรมในพระพุทธศาสนา อันดับแรก ใช้วัตถุมงคลต้องมีสติ รำลึกอยู่เสมอว่าสิ่งที่ครูบาอาจารย์สั่งมาคืออะไร ? ประการที่สอง การปฏิบัติตามนั้นก็คือต้องเป็นบุคคลผู้มีปิยวาจาตามหลักธรรม ต้องเป็นผู้ที่ไม่กล่าวคำหยาบ

    ก็แปลว่า
    พระเครื่องนั้นเป็นเครื่องโยงใจให้เราปฏิบัติธรรมนั่นเอง เพียงแต่ว่าการปฏิบัติทั้งศีลและธรรมที่ครูบาอาจารย์ท่านให้เอาไว้ คนรุ่นใหม่ที่ปัญญาน้อยก็มักจะคิดไม่ถึง แล้วก็ไปกล่าวหาตำหนิว่าเป็นเดรัจฉานวิชา เป็นการเลี้ยงชีพโดยมิชอบ

    ถ้าหากว่าคิดถึงข้อห้ามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือไม่ให้เลี้ยงชีพโดยเดรัจฉานวิชา คำว่า "เลี้ยงชีพ" ก็คือ ทำเป็นประจำ หากินอยู่ทุกวัน ไม่ใช่ทำเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อประโยชน์ในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะสร้างเพื่อเป็นอุบายให้ญาติโยมได้มีเครื่องยึดเหนี่ยว ได้มีเครื่องโยงใจให้มีสติ รู้จักปฏิบัติตามศีล คือข้อห้าม ธรรมคือข้อปฏิบัติแล้ว ยังเป็นขวัญและกำลังใจให้เขาทั้งหลายเหล่านั้น เกิดความมั่นใจในสิ่งที่ตนเองจะทำอีกด้วย

    อย่างกระผม/อาตมภาพก็บอกแล้วว่า ถ้าต้องการความสำเร็จ ก็ให้ภาวนาคาถาเงินล้านไว้ทุกวัน อย่างน้อย ๑๐๘ จบ ก็แปลว่าเกินศีลไปมาก ก็คือจากศีลก็ก้าวไปสู่สมาธิ จากสมาธิก็จะเป็นเครื่องโยงให้เกิดปัญญา ก็แปลว่าทุกท่านมีปัญญามากกว่าผู้ที่มากล่าวตำหนิโดยไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่น..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,324
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,708
    ค่าพลัง:
    +26,568
    โดยเฉพาะช่วงนี้ พระปลัดเอกลักษณ์ ปญฺญาคโม กลายเป็น "ตำบลกระสุนตก" เนื่องเพราะว่าท่านดูหมอเพื่อสงเคราะห์คน แล้วกฐินของท่านมีเงินเข้าเป็นร้อยล้านบาท..! คนเราสมัยนี้มักจะอิจฉาริษยาคนอื่นด้วยตนเองดีไม่เท่า จึงไปหาข้อมาตำหนิติเตียน ลองไปศึกษาประวัติของเอตทัคคบุคคลดูบ้าง มีอยู่ในพระบาลีชัดเจนที่สุด

    ขอยกตัวอย่างมาก็คือหลวงปู่พระอัญญาโกณฑัญญะเถระ ท่านศึกษาไตรเภทมาอย่างช่ำชอง โดยเฉพาะการดูลักษณะบุคคล ถ้าสมัยนี้ก็คือการดู "โหงวเฮ้ง" นั่นเอง เป็น ๑ ใน ๑๐๘ พราหมณาจารย์ที่ได้รับการนิมนต์เข้าไปเพื่อทำนายลักษณะของสิทธัตถราชกุมาร พราหมณ์ ๑๐๗ รูปทำนายเหมือนกันหมดว่า "ถ้าครองราชย์ จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิครองโลก ถ้าออกบวช จะได้เป็นศาสดาเอกของโลก"

    หลวงปู่พระอัญญาโกณฑัญญะเถระ สมัยเป็นพราหมณ์หนุ่มน้อย ฟันธงเปรี้ยงเลยว่า "ต้องออกบวช และเป็นศาสดาเอกของโลก" ถึงขนาดรวบรวมลูกหลานพราหมณ์มาบวชเป็นคณะ เรียกว่า "ปัญจวัคคีย์" เมื่อสิทธัตถราชกุมารออกมหาภิเนษกรมณ์ก็ตามออกไปถวายการรับใช้ เพราะมั่นใจในความรู้ของตนเอง

    แล้วใครเห็นหลวงปู่พระอัญญาโกณฑัญญะแบกเอาเดรัจฉานวิชาไปด้วย ? ท่านกลายเป็นพระอรหันต์รูปแรกในพระพุทธศาสนา เพราะมีเดรัจฉานวิชาเป็นพื้น เนื่องจากไอ้พวกโง่..ดีแต่พูด..ไม่ได้เข้าใจในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา ว่าบุคคลที่สั่งสมศีลและสมาธิอย่างเต็มที่ แค่เสริมปัญญาเข้าไปก็บรรลุธรรมแล้ว..!

    อีกท่านหนึ่งก็คือหลวงปู่พระวังคีสเถระ นั่นยิ่งยอดเยี่ยมเข้าไปใหญ่ มีมนต์ประจำตัวเรียกว่า "ฉวสีสมนต์" ถ้าหากว่าไปเจอคนตายหรือว่าสัตว์ตาย แค่ร่ายมนต์แล้วเอามือเคาะกะโหลก ก็จะรู้ว่ามีคติคือที่ไปอย่างไร อยากจะมาอวดวิชาเบื้องหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ให้เอากะโหลกคนมา เพราะพระองค์เป็นสัพพัญญูรู้อยู่แล้วว่าบุคคลนี้ตายแล้วไปนรก บุคคลนี้ตายแล้วเป็นเทวดา บุคคลนี้ตายแล้วไปเป็นพรหม บุคคลนี้ตายแล้วไปพระนิพพาน
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,324
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,708
    ค่าพลัง:
    +26,568
    หลวงปู่พระวังคีสเถระก็ยอมให้ทดลองวิชาต่อเบื้องพระพักตร์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ร่ายมนต์เคาะกะโหลกใบแรก บอกว่าตกนรก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับรองว่าถูกต้อง

    ร่ายมนต์เคาะกะโหลกที่สอง บอกว่าไปเกิดเป็นเทวดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รับรองว่าถูกต้อง

    ร่ายมนต์เคาะกะโหลกที่สาม บอกว่าไปเกิดเป็นพรหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยืนยันว่าถูกต้อง

    พอร่ายมนต์ เคาะกะโหลกที่สี่..แป้ก..เงียบ..! เกินความรู้ตัวเอง บอกว่าไม่สามารถที่จะพยากรณ์ได้

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "แต่ตถาคตรู้ว่าบุคคลนี้ตายแล้วไปไหน ?" วังคีสพราหมณ์จึงขอศึกษาวิชาด้วย พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พุทธมนต์นี้จะสอนเฉพาะพวกเดียวกัน" วังคีสพราหมณ์จึงขอบวช

    พระพุทธเจ้ามอบอาการ ๓๒ ให้ไปสาธยาย ด้วยความที่ท่านมีศีล มีสมาธิ ในเบื้องต้นอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว สาธยายอาการ ๓๒ ไม่นาน ปัญญาก็เกิด ว่า
    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ ยึดเกาะไปก็มีแต่ความทุกข์ เพราะว่าท้ายที่สุดก็เสื่อมสลายไปหมด จิตจึงปลดจากการยึดเกาะทั้งปวง กลายเป็นพระอรหันต์ คราวนี้รู้แล้วว่าบุคคลผู้นั้นตายแล้วไปไหน ? แต่ไม่คิดจะสึกแล้ว เพราะว่าเรียนพุทธมนต์จบแล้ว มีใครเห็นหลวงปู่พระวังคีสเถระแบกเดรัจฉานวิชาติดไปบ้าง ?

    ดังนั้น..
    ปัจจุบันนี้บุคคลที่อวดตัวว่าเป็นผู้รู้มีมาก แต่ไอ้ที่รู้จริงนั้นมีน้อย ก็เลยทำให้ญาติโยมทั้งหลายสับสนในชีวิตไปตาม ๆ กัน คนทั้งหลายเหล่านี้กำลังสร้างทุกข์สร้างโทษให้กับตนเอง เนื่องเพราะว่าไปคัดค้านสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน หรือว่าไปคัดค้านหลักการที่โบราณาจารย์ท่านวางเอาไว้ เพื่อโยงจิตคนให้เข้าสู่มรรคสู่ผลได้ สำหรับคติคือที่ไปของเขาทั้งหลายเหล่านั้น ก็คงต้องไปรบกวนหลวงปู่พระวังคีสเคาะกะโหลกให้ กระผม/อาตมภาพไม่น่าที่จะบอกได้ถูกต้อง..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...