เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 9 เมษายน 2025 at 21:31.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,324
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,708
    ค่าพลัง:
    +26,567
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,324
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,708
    ค่าพลัง:
    +26,567
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ยังนึกว่าสามเณรจะไปนอนดูช้างที่ถ้ำโป่งช้างเสียอีก แต่กลับมาก็ดีแล้ว พี่เลี้ยงจะได้ตรวจสอบว่าใครยังท่องคำอาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร และปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะไม่ได้ เพราะว่าถ้าท่องไม่ได้ นอกจากจะไม่ได้รับทุนการศึกษาแล้วยังไม่ได้สึกอีกต่างหาก ท่องได้เมื่อไรแล้วค่อยสึก..!

    เมื่อครู่นี้อาจารย์ปู (พระพงษ์สิทธิ์ สนฺตจิตฺโต) ท่านได้เล่าเรื่องของท่านภูริทัตนาคราชให้พวกเราฟัง ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงพญานาคเอาไว้หลายแห่งด้วยกัน แห่งแรกเลยก็ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถราชกุมารลอยถาดทองคำ ถาดจมลงไปอยู่ที่ตรงหน้าของพญากาลนาคราช แล้วก็เล่าชาดกถึงภูริทัตนาคราช จัมเปยนาคราช เหล่านี้เป็นต้น

    พญานาคนั้นมีอยู่ ๒ ประเภทด้วยกัน ประเภทที่ ๑ เป็นสัตว์เดรัจฉานกึ่งทิพย์ ประเภทที่ ๒ เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ลูกน้องของท่านท้าววิรูปักษ์มหาราช คราวนี้เทวดาชั้นจาตุมหาราชเมื่อท่านจะทำงานก็ต้องแต่งเครื่องแบบ ลูกน้องของท้าววิรูปักษ์มหาราช ถึงเวลาแต่งเครื่องแบบก็ออกมาเป็นงูใหญ่ คนก็เลยเรียกว่านาค

    คำว่า "นาค" เป็นภาษาบาลีมาจาก "นาคะ" ซึ่งแปลได้ทั้ง "ผู้ฝึกดีแล้ว" แปลได้ทั้ง "ผู้เป็นใหญ่" ก็คือพระมหากษัตริย์ แปลได้ทั้ง "ผู้ประเสริฐสุด" ก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็แปลว่า "พญานาค" ที่เป็นสัตว์เดรัจฉานกึ่งทิพย์

    คำว่า นาค ของไทยเราเลียนแบบมาจากภาษาบาลี ถ้าเป็นภาษาไทยเดิมเขาเรียกว่า "เงือก" พวกเรามักจะไปเข้าใจว่าเงือกก็คือบรรดาผู้หญิงผู้ชายที่มีหางเป็นปลา แต่ความจริงภาษาไทยโบราณเรียกงูว่า "เงือก" อย่างเช่นทางเหนือเขามี "หนองเงือก" ก็คือหนองน้ำที่มีงูใหญ่อาศัยอยู่ แล้วทางเหนือของเรายังเรียกงูใหญ่ว่า"ลวง" ซึ่งคำว่าลวงนี้เป็นภาษาถิ่นที่กร่อนมาจากคำว่า "หลง" ของภาษาจีน ก็คือมังกร หรือว่างูใหญ่นั่นเอง

    จังหวัดกาญจนบุรีของเราเป็นต้นตำนานงูใหญ่ที่โด่งดังที่สุด ก็คืองูใหญ่สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่ง
    กว่าจะถูกฆ่าตายก็กินทหารญี่ปุ่นไปเสียมากมาย ไม่สามารถที่จะประมาณได้ว่างูตัวนั้นใหญ่แค่ไหน บางคนถึงขนาดบอกว่าตัวขนาดตู้รถไฟ..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,324
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,708
    ค่าพลัง:
    +26,567
    ในชีวิตของหลวงพ่อเอง ตอนที่ดูแลโยมพ่อช่วงท้าย ๆ ของชีวิต ท่านเล่าเรื่องให้ฟังว่าท่านเองมาจากเมืองจีน เสื่อผืนหมอนใบ มากับพี่ชายคนโต มาตามหาญาติตัวเอง สมัยก่อนถ้ามาจากเมืองจีนก็จะมาหาญาติก่อน ถ้าไม่มีญาติก็จะหาคนแซ่เดียวกัน ถ้าไม่มีญาติ ไม่มีคนแซ่เดียวกัน ก็จะหาคนที่พูดภาษาเดียวกัน

    พวกเราอาจจะสงสัยว่าจีนเขามีพูดหลายภาษาหรือ ? ต้องบอกว่าเป็นร้อยภาษาเลย..! อย่างเช่น ภาษาจีนกลาง ภาษาจีนแต้จิ๋ว ภาษาจีนแคะ ภาษาจีนไหหลำ ภาษาจีนกวางตุ้ง เหล่านี้เป็นต้น เมื่อถึงเวลาเจอญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง หรือคนที่พูดภาษาเดียวกัน ก็ไปอาศัย หรือว่าไปขอแนวทางในการทำมาหากิน

    คราวนี้โยมเตี่ยของหลวงพ่อมาถึงก็ไปหักล้างถางพงเพื่อทำไร่ยาสูบ อยู่ตรงบริเวณที่เรียกว่าบ้านหนองกร่าง ในสมัยนั้นเป็นป่าใหญ่สุด ๆ มีแต่โจร โดยเฉพาะพวกชุมโจรของเสือครึ้ม เสือขาว ในเมื่อบริเวณนั้นเป็นป่าใหญ่ แล้วอยู่รอยต่อของจังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดนครปฐม และจังหวัดสุพรรณบุรี ก็คือเป็นเขตอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ต่อกับอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี แล้วก็อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี แต่ว่าสมัยนั้นไม่ใช่กาญจนบุรี สมัยนั้นเป็นอำเภอบ้านยาง จังหวัดราชบุรี แล้วอำเภอบ้านยางก็กินเขตไปจนถึงโน่น อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ในปัจจุบันนี้พวกเรานึกภาพกันไม่ออกแล้ว

    ตรงนั้นเป็นป่าใหญ่มาก ๆ แล้วทางท้ายไร่ที่โยมพ่อไปหักล้างถางพงอยู่ก็มีเนินเขา โยมพ่อเล่าว่ามีงูใหญ่อาศัยอยู่ที่นั่น เหตุที่รู้เพราะว่างูกินสัตว์เอาไว้ งูเวลากินสัตว์จะกลืนเข้าไปทั้งตัว พอย่อยหมดเหลือแต่กระดูกก็คายทิ้งออกมา โยมพ่อบอกว่าหน้าถ้ำมีแต่โครงกระดูกสัตว์เยอะแยะไปหมด โยมพ่อก็ไม่ไปยุ่งด้วย เรียกว่าต่างคนต่างอยู่

    แต่ปรากฏว่าวันดีคืนดี มีพระธุดงค์มาปักกลดหน้าถ้ำ..! โยมพ่อก็ตกใจ พยายามที่จะไปบอกพระธุดงค์ท่านว่าตรงนั้นมีงูใหญ่อยู่ ให้ถอนกลดไปปักอยู่แถวบ้าน หรือว่าแถวกงสี แต่พระท่านซึ่งไม่รู้ว่าคุยกันรู้เรื่องอย่างไร บอกว่าปักกลดแล้วถอนไม่ได้ โยมพ่อก็เลยต้องแบกปืนไปนอนเฝ้าพระธุดงค์ เพราะกลัวว่าท่านจะโดนงูกิน..!

    โยมพ่อเล่าว่าพอกลางดึก งูใหญ่ก็เลื้อยออกจากถ้ำมา พระธุดงค์ท่านก็ลุกขึ้น เอาดินสาดไปกำมือหนึ่ง งูก็หดเข้าไปในถ้ำ แล้วพระก็เอาเชือกเล็ก ๆไปขึงขวางปากถ้ำไว้ แล้วก็นั่งสวดมนต์ภาวนาของตัวเองต่อไป ไม่เห็นจะหนีไปไหน ขณะที่โยมพ่อนี่ขวัญหนีดีฝ่อ มืออ่อนตีนอ่อน ทำอะไรไม่ถูกแล้ว..!

    หลวงพ่อถามว่างูตัวใหญ่แค่ไหน ? โยมพ่อบอกว่าบอกไม่ถูก เวลาเลื้อยออกมาเต็มถ้ำพอดี ก็เลยถามว่าแล้วถ้ำใหญ่แค่ไหน ? โยมพ่อบอกว่าประมาณหัวตัวเอง พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าเดินไปก็หัวกับปากถ้ำน่าจะสูงพอ ๆ กัน พอดีว่าโยมพ่อท่านเป็นคนตัวเล็ก ความสูงน่าจะไม่ถึง ๑๖๐ เซ็นติเมตร แต่โยมแม่สูงใหญ่ หลวงพ่อได้ความสูงของโยมแม่มา ถ้าอยากรู้ว่าโยมพ่อตัวเล็กแค่ไหน ก็ดูป้ามุกดา (นางสาวมุกดา เพชรชื่นสกุล) ท่านตัวประมาณนั้นแหละ..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,324
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,708
    ค่าพลัง:
    +26,567
    คราวนี้ตามที่โยมพ่อเล่าให้ฟัง หลวงพ่อพยายามคิดดู ก็คาดว่าพระธุดงค์ท่านเอาทรายเสกซัดไปแล้วงูใหญ่ก็เลยหดหายเข้าไปในถ้ำ แล้วท่านก็เอาสายสิญจน์ไปขึงขวางปากถ้ำไว้ แต่โยมพ่อเล่าเป็นภาษาจีน ก็เลยกลายเป็นว่าเอาดินสาดไปกำมือหนึ่ง แล้วก็เอาเชือกเล็ก ๆ ไปขึงขวางปากถ้ำไว้

    คราวนี้โยมพ่ออัศจรรย์ใจว่าพระท่านไม่กลัวงูใหญ่ขนาดนั้น แล้วแถมยังไม่หนีไปไหนด้วย ถามพระท่านว่ามีอะไรดี ? พระท่านบอกว่ามีคาถาวิเศษ ถ้าใครท่องเอาไว้ทุกวันไปไหนก็ปลอดภัย โยมพ่อก็เลยขอเรียนคาถาด้วย ปรากฏว่าพระท่านสอนให้สวด อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ เต็มบทเลย

    แล้วแนะนำว่า ถ้าจะให้ดี ตอนก่อนสวดมนต์ก็ให้เอาข้าวกระทงหนึ่ง น้ำกระทงหนึ่ง กับข้าวกระทงหนึ่ง ไปถวายที่หน้าหิ้งพระ แล้วก็สวดมนต์ทุกวัน ก็อย่างที่บ้านเราเรียกว่าถวายข้าวพระ ที่บรรดาสามเณรถึงเวลาก็ "อิมัง สูปะพยัญชะนะสัมปันนัง สาลีนัง โอทะนัง อุทะกัง วะรัง พุทธัสสะ ปูเชมิ" นั่นแหละ


    แต่ปรากฏว่าโยมพ่อถามไม่ละเอียด ก็เลยถวายข้าวพระตอนค่ำ เพราะว่าไปทำไร่ทำอะไรเสร็จ กว่าจะกลับมาก็ค่ำแล้ว อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาเสร็จ ก็จัดข้าวกระทงหนึ่ง กับข้าวกระทงหนึ่ง น้ำกระทงหนึ่ง ไปถวายหน้าหิ้งพระ แล้วก็อุ้มหลวงพ่อซึ่งยังเล็กคอพับคออ่อนสวดมนต์อยู่ทุกวัน สวดไม่ได้ แต่หูได้ยินก็จำได้ ยังไม่ทันจะเข้าเรียนหนังสือก็สวด อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ได้หมดแล้ว ไปโรงเรียนครูเห็นว่าสวดมนต์ได้ก็เลยให้เป็นหัวหน้าชั้น..!

    คราวนี้ที่อยากจะบอกสามเณรก็คือว่า พระที่บ้านหลวงพ่อฉันข้าวเย็นทุกวันเลย..! เพราะว่าโยมพ่อไม่รู้ว่าคนไทยนิยมถวายข้าวพระก่อนเพล แล้วพระท่านก็ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าถวายตอนไหน โยมพ่อท่านก็พาซื่อ ถวายตอนค่ำทุกวัน กว่าหลวงพ่อจะรู้เรื่องว่าเขาถวายข้าวพระตอนไหนก็มาบวชแล้ว ซึ่งโยมพ่อก็ตายไปก่อน โยมพ่อก็เลยได้บุญไปเต็ม ๆ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองทำผิด..!

    เพียงแต่สามเณรจำไว้ว่า บทสวด อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ที่ว่ามา เป็นบทสรรเสริญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่สำคัญมาก ๆ ครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อก็คือหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง ท่านให้ภาวนาไว้ทุกวัน

    ก็แปลว่าพระธุดงค์รูปนั้นตอนที่หลวงพ่อยังไม่เกิด กับหลวงพ่อฤๅษีลิงดำที่หลวงพ่อไปบวชกับท่าน บอกเรื่องที่เหมือนกันว่า คาถาสามบทนี้สำคัญมาก ให้พยายามท่องบ่นภาวนาเอาไว้ทุกวัน ไปที่ไหนก็จะได้ปลอดภัย ก็แปลว่าสามเณรซึ่งมาบวชที่นี่ แบกคาถากลับบ้านกันเยอะมาก มีโอกาสให้ภาวนาไว้ เพราะว่านอกจากทำให้เราปลอดภัยแล้ว ยังช่วยให้เรียนหนังสือเก่งอีกด้วย..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...