เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 4 ธันวาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ตอนนี้พระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้วจากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ก็ได้อัญเชิญมาถึงประเทศไทยแล้ว พุทธศาสนิกชนมีเวลาที่จะสักการะพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วที่ท้องสนามหลวงเป็นเวลา ๗๓ วัน

    ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ในเรื่องของพระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้ว ไม่ว่าจะเป็นของประเทศศรีลังกาก็ดี ของประเทศจีนก็ตาม เป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนของประเทศนั้น รักใคร่และหวงแหนเป็นพิเศษ ถ้าไม่ใช่วาระที่สำคัญจริง ๆ อย่าหวังเลยว่าจะอัญเชิญไปที่ไหนได้ง่าย ๆ..!

    ต้องถือว่าเป็นโอกาสดี เพราะว่าแม้เราจะเดินทางไปถึงประเทศจีนเอง ก็ไม่แน่ว่าจะได้เข้าสักการะเหมือนกับที่ท้องสนามหลวง ถือว่าเป็นการสร้างพุทธานุสติระดับ "ครั้งหนึ่งในชีวิต" ก็คือถ้าสามารถติดตาติดใจเอาไว้ได้ ก็เท่ากับประกันความเสี่ยงในเรื่องของคติ คือที่ไปในเบื้องหน้าของเราได้เลย..!

    แต่คราวนี้ในเรื่องของอนุสตินั้น จำเป็นที่จะต้องระลึกถึงบ่อย ๆ ระลึกถึงให้เคยชิน เพราะว่าจิตของเรามีสภาพจำ ถ้าหากว่าระลึกถึงจนเคยชิน ถึงเวลาฉุกเฉินขึ้นมา สภาพจิตก็จะเกาะความดีที่เราระลึกถึงโดยอัตโนมัติ แต่ขนาดนั้นก็ตาม
    ก็ยังมีบุคคลบางประเภทถึงแม้ว่าจะมีการปฏิบัติภาวนา ระลึกถึงความดีเป็นปกติ แต่ตอนช่วงก่อนตายมีอาสันนกรรมเข้ามาแทรก

    อย่างเช่นว่าทำให้เกิดเสียงดังเหมือนใครทุบข้างฝาปังใหญ่ ทำให้ตกใจ จิตหลุดจากสิ่งที่ตนเองเกาะอยู่ แต่ก็ยังดีที่มีโอกาสไปผ่านตำหนักพระยายม ถ้าอย่างนั้นเมื่อท่านสอบสวนแล้ว โอกาสที่รอดจะมีสูงมาก เพียงแต่ว่าไม่สามารถที่จะไปยังสุคติได้ ในทันทีทันใดหลังจากที่เสียชีวิตแล้ว

    จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายไม่ควรที่จะประมาทอย่างเด็ดขาดว่า "เราทำดีแล้ว เราทำถูกแล้ว" เพราะว่ากรรมเก่าในอดีตอาจจะมาสนองช่วงใดก็ไม่แน่ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเราจะต้องระมัดระวัง รักษาอนุสติหรือการระลึกถึงความดีส่วนใดส่วนหนึ่งเอาไว้เสมอ
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    โดยเฉพาะในส่วนของอนุสติทั้ง ๑๐ ประการ ไม่ว่าจะเป็น

    พุทธานุสติ การระลึกถึงพระพุทธเจ้า

    ธัมมานุสติ การระลึกถึงพระธรรม

    สังฆานุสติ การระลึกถึงพระสงฆ์

    สีลานุสติ การระลึกถึงคุณของศีล

    จาคานุสติ การระลึกถึงคุณของการให้ทาน

    เทวตานุสติ การระลึกถึงหลักธรรมหรือคุณธรรมที่ทำให้เกิดเป็นเทวดา

    กายคตาสติ การระลึกถึงร่างกายนี้ว่ามีสภาพความเป็นจริงอย่างไร

    มรณานุสติ การระลึกถึงความตายเพื่อที่จะได้ไม่ประมาทในชีวิต

    อุปสมานุสติ การระลึกถึงความสงบระงับจากกิเลสทั้งปวง หรือบางท่านใช้คำว่าระลึกถึงพระนิพพาน

    และสำคัญที่สุดก็คืออานาปานสติ การระลึกถึงลมหายใจเข้าออกที่เป็นแม่ของกรรมฐานทั้งปวง
    กรรมฐานทุกกอง ถ้าขาดอานาปานสติ ไม่สามารถที่จะทรงตัวมั่นคงได้ อย่างดีก็ทรงตัวอยู่ในระดับปฐมฌานได้ชั่วครู่ชั่วยาม แล้วก็พังเสียหายไปในเวลาไม่นาน

    เราท่านทั้งหลายจึงควรที่จะยึดอานาปานสติเป็นหลัก แล้วจะปฏิบัติควบกับกรรมฐานกองไหน ก็ตามแต่ความรักชอบเฉพาะตน แต่ว่าในเรื่องของอนุสตินั้น เป็นกรรมฐานที่สามารถปฏิบัติได้ง่ายที่สุด พูดง่าย ๆ ว่านั่งเฉย ๆ ไม่ต้องมีอุปกรณ์ประกอบอะไร ก็สามารถตามนึกถึงได้

    สมัยที่เริ่มฝึกฝนอยู่ กระผม/อาตมภาพไปผิดทาง ก็คือไปเล่นของยากอย่างกสิณเสียก่อน แล้วค่อยย้อนกลับมาฝึกอนุสติ ตอนแรกก็ยังสงสัยว่าเราจะฝึกผิดหรือเปล่า ? เพราะว่าในเมื่อฝึกกสิณมา ในส่วนของอนุสติก็เลยติดภาพกสิณมาด้วย คือไม่ได้นึกถึงพระพุทธเจ้าเฉย ๆ แต่หากว่านึกถึงภาพพระทั้งองค์ ไม่ได้นึกถึงพระธรรมเฉย ๆ แต่นึกถึงภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังแสดงพระธรรมเทศนา กระแสธรรมหลั่งไหลลงมาเป็นดอกมะลิแก้วอยู่ตรงหน้า เป็นต้น
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เมื่อซักซ้อมจนคล่องตัวแล้ว ไปเรียนถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่า "ในส่วนอนุสติทั้ง ๑๐ กระผมสามารถที่จะไล่อารมณ์จนกระทั่งเต็มได้ภายใน ๓๐ นาทีแล้วครับ" หลวงพ่อท่านบอกว่า "ยังใช้ไม่ได้ลูก กรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง สมัยที่พ่อฝึก ถ้าใช้เวลาไล่อารมณ์เต็มถึง ๒ นาทีก็ถือว่าแย่แล้ว" ถ้าเป็นเด็กสมัยนี้ก็ต้องบอกว่า "ขิง ข่า ตะไคร้ มาทั้งสวนเลย..!" แต่พอเกิดความเข้าใจแล้ว ถึงได้ทราบว่า สิ่งที่ท่านพูดมานั้นก็คือเป็นตามนั้นจริง ๆ..!

    เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพเองประกันความเสี่ยง ด้วยการเริ่มจาก ๑ - ๒ - ๓ - ๔ - ๕ - ๖ - ๗ - ๘ - ๙ - ๑๐ พอเปลี่ยนกองกรรมฐานก็ ๑ - ๒ - ๓ - ๔ - ๕ - ๖ - ๗ - ๘ - ๙ - ๑๐ จึงทำให้เสียเวลาไปนาน เมื่อปฏิบัติคล่องตัวมาก ๆ แค่เราก็เปลี่ยนจาก ๑๐ - ๑๐ - ๑๐ ก็หมดเรื่องไป ก็คือแค่เปลี่ยนกองกรรมฐานเท่านั้นเอง ใช้อารมณ์เท่าเดิม ไม่ต้องขยับเขยื้อนไปไหน

    จากที่ตอนแรกคิดว่า "หลวงพ่อท่านเกทับเราหรือเปล่า ?" ก็กลายเป็นเข้าใจชัดเจนว่า สิ่งที่ท่านพูดมานั้นเป็นความจริงทั้งหมด แต่เราต้องทำให้ถึงเท่านั้น

    ส่วนกรรมฐานอื่น ๆ ที่กระผม/อาตมภาพฝึกมา ในส่วนที่ยากที่สุดอยู่ที่อรูปฌาน ๔ และพรหมวิหาร ๔ กรรมฐาน ๘ กองนี้ถือว่าเป็นกรรมฐานที่ค่อนข้างจะยาก แต่ว่าถ้าหากว่าตั้งใจทำจริง ๆ ก็ไม่เกินกำลังของพวกเราที่จะทำได้ เพียงแต่ว่าอรูปฌานนั้น อย่างน้อย ๆ เราต้องทรงกสิณกองใดกองหนึ่งที่ไม่ใช่อากาสกสิณ ก็คือไม่ใช่กสิณอากาศหรือช่องว่าง เพราะว่ามีสภาพคล้ายคลึงกับสภาพของอรูปฌานเป็นปกติ
    อยู่แล้ว

    ดังนั้น..ในส่วนที่มีบุคคลถามว่า "อากาสกสิณ หรือว่ากสิณอากาศ กสิณช่องว่าง ต่างจากอากาสานัญจายตนฌานอย่างไร ?" ตอบง่าย ๆ ว่า
    "อากาสกสิณนั้น เราจับแค่ช่องว่างที่กำหนดหรือตั้งใจว่า ส่วนอากาสานัญจายตนฌานนั้น เราจับความว่างไร้ขอบเขต" พูดง่าย ๆ ก็คือ "อย่างหนึ่งมีกรอบ อีกอย่างหนึ่งไม่มีกรอบ" แต่คำว่าไม่มีกรอบ เมื่อเลื่อนไปถึงวิญญาณัญจายตนฌาน ท่านอาจจะสังเกตเห็นว่า "อากาสานัญจายตนฌานนั้นก็ยังมีกรอบอยู่" อันนี้เอาไว้ทำถึงแล้วท่านทั้งหลายก็จะรู้เอง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    อีกส่วนหนึ่งของวันนี้ ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีในฐานะประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิของกระผม/อาตมภาพเอง ก็คือ UNESCO ประกาศให้ "ต้มยำกุ้ง" เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของประเทศไทย ก็แปลว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าเอ่ยถึงต้มยำกุ้งต้องเป็นประเทศไทยเท่านั้น ไม่ใช่คุณมาศึกษาเรียนรู้ อาจจะเป็นลูกมือช่วยพ่อครัวทำครัว พอที่จะ "ครูพักลักจำ" จดจำสูตรและวิธีทำไปได้ เอาไปทำแล้วจะไป "เคลม" ว่าเป็นของประเทศคุณ..!

    กระผม/อาตมภาพเคยไปชิมอาหารไทยในต่างประเทศแล้ว ขอบอกว่ารสชาติ "เห่ย" มาก มีอย่างเดียวที่ถือว่าอร่อยเลย แล้วไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นไปได้อย่างไรก็คือส้มตำ ไปเจอของอร่อยที่ประเทศเนปาล เหลือเชื่อว่าประเทศเนปาลที่ส่วนใหญ่แล้ว ปลูกผักผลไม้ให้เทวดาเลี้ยง โตบ้างไม่โตบ้าง แต่ว่ามะละกอที่เขาเอามาทำส้มตำนั้น เคี้ยวกรอบชนิดที่ลั่นอยู่ในหูเลย..! ไม่แน่ใจว่าเขาเอาวัสดุมาจากที่ไหน ?

    แต่ขอยืนยันว่ากินอาหารไทยอร่อยที่สุดที่เนปาลก็คือส้มตำเท่านั้น ส่วนที่อื่น ๆ แม้แต่ต้มยำกุ้งก็ตาม น้ำล้างกระทะบ้านเราน่าจะอร่อยกว่า..! เพราะว่าส่วนใหญ่เขาจะไปทำเอาใจฝรั่ง ก็คือไปลดเครื่องปรุงที่ค่อนข้างเผ็ดร้อนลงเสียหมด..!

    ในส่วนของวัฒนธรรม ตลอดจนกระทั่งประเพณี แม้กระทั่งน้ำจิตน้ำใจของคนไทยเรา ต้องบอกว่าเป็น Soft Power ที่พารายได้เข้าประเทศเป็นอย่างมาก จนกระทั่งเขาบอกว่า "แม้แต่เหี้ยยังเป็น Soft Power ได้" ฝรั่งเขาตื่นเต้นกันมาก โดยเฉพาะไปตามดูในสวนลุมพินีกันเป็นวัน ๆ ถ่ายคลิปไปลงแล้วคนเห็นเขาก็แตกตื่นกัน โดยเฉพาะตรงที่ว่า "ทำไมคนไทยไม่ตื่นเต้นกับของอย่างนี้เลย ?" แล้วก็มีคนเข้าไป "คอมเม้นท์" ว่า "ไทยเรามีรัฐบาลประเภทนี้มาเยอะแล้ว ก็เลยเคยชิน..!" ฟังแล้ว "น้ำตาจิไหล..!"

    คราวนี้บ้านเราเมืองเรา ถ้าหากว่าจะไปอาศัยแต่การท่องเที่ยวอย่างเดียวย่อมไปไม่รอด ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ต่างประเทศเขาพยายามที่จะสร้างแบรนด์ สร้างสินค้าต่าง ๆ ที่มีคุณภาพ แล้วส่งไปขายต่างประเทศ ไทยเราก็สร้างแบรนด์เหมือนกัน มีบางอย่างโด่งดังในต่างประเทศ แต่บ้านเราไม่สนใจ มัวแต่ไปตามก้นฝรั่งอยู่นั่นแหละ..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    กระผม/อาตมภาพยังรออยู่ว่าถ้าน้องลิซ่า (ลลิษา มโนบาล) แกมีเวลาว่าง แล้วสร้างแบรนด์อะไรขึ้นมา อาจจะทำให้คนไทยเราหูตาสว่างบ้าง ว่าประเทศไทยของเรานั้นคนมีความสามารถเยอะมาก แต่ขาดการสนับสนุนจากรัฐบาลเท่านั้น

    บรรดาเด็กเก่ง ๆ ของเรา ไม่ว่าจะทางด้านการศึกษาระดับคณิตศาสตร์โอลิมปิก ฟิสิกส์โอลิมปิก ตลอดจนกระทั่งการกีฬาต่าง ๆ ก็อยู่ในลักษณะที่ว่ากลับมาก็มีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไป "โหนกระแส" ก็คือโผล่หน้าไปให้เห็น มอบรางวัลนิดหน่อย แล้วก็ไม่มีการสนับสนุนอะไรกันอีกเลย "หายเข้ากลีบเมฆ" ไปตามระเบียบทุกครั้ง..!

    แม้กระทั่งทุกวันนี้เขาก็ไม่รู้ว่าอาฒยา ฐิติกุล หรือว่า "โปรจีน" ที่ฝรั่งเรียก "จีโน่" เพิ่งจะกวาดรางวัลใหญ่ในวงการกอล์ฟมาให้ประเทศไทย เชื่อว่าพวกท่านทั้งหลายก็ไม่ได้รู้เรื่องเลย..!

    ดังนั้น..ในเรื่องของการอ่อนด้านบริหารจัดการ โดยเฉพาะเรื่องของต่างประเทศเป็นจุดบอดของบ้านเรามาโดยตลอด บุคคลที่มีความสามารถด้านต่างประเทศที่กระผม/อาตมภาพเห็นแล้วยอมรับเลยก็มี พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี ท่านเป็นทูตอยู่สารพัดประเทศ จนกระทั่งได้ฉายาว่า "ปลาไหลใส่สเก็ต" ก็คือ "พูดชัด ๆ แต่เตะไม่ถึง..!"

    อีกสองท่านก็คือท่านอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีพระราชทาน และดร.ศุภชัย พาณิชภักดิ์ อดีตเลขาธิการ UNCTAD และอดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งเราควรที่จะนำมาใช้งานให้มากกว่านี้ แต่ว่าด้วยความที่การเมืองส่วนใหญ่ก็คือ "เพื่อพวกพ้องและตัวกู" ก็เลยไม่มีใครใส่ใจที่จะสร้างความเจริญให้กับประเทศชาติ ทอดทิ้งบุคคลที่มีความสามารถไปอย่างน่าเสียดาย

    พวกเราทั้งหลายให้โยนเรื่องพวกนี้ออกจากหัวไป แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาภาวนาของเราต่อ ไม่อย่างนั้นแล้วเกิด รัก โลภ โกรธ หลง ตามไป กำลังใจเราจะเสียเปล่า ๆ..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...