เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 27 ธันวาคม 2024 at 09:17.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    วันนี้วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพเดินทางออกจากที่พักวัดอุทยาน ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ฝ่ารถติดไปขึ้นทางด่วนต่อด้วยถนนสายพิเศษมอเตอร์เวย์ (๗) เพื่อที่จะตรงไปจังหวัดจันทบุรี เนื่องจากได้รับฎีกานิมนต์จากพระสมุห์สุกฤษฎิ์ ปญฺญาวโร ประธานที่พักสงฆ์บ้านคลองโป่ง หมู่ที่ ๑๐ ตำบลขุนช่อง อำเภอแก่งหางแมว จังหวัดจันทบุรี

    พระสมุห์สุกฤษฎิ์ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อมนัส มนฺตชาโต หรือว่าที่พวกกระผม/อาตมภาพในสมัยยังอยู่ที่วัดท่าซุง เรียกท่านกันว่า "หลวงพี่มนัส" เมื่ออยู่กันไปนาน ๆ ต่างคนต่างก็เฒ่าชะแรแก่ชราไปตาม ๆ กัน ก็ต้องมาเรียกตามหมู่ลูกศิษย์เป็น "หลวงพ่อมนัส" แทน

    จะว่าไปแล้ว หลวงพ่อมนัสท่านต้องถือว่าเป็นพระเถระอาวุโส ที่ให้ความเคารพนับถือพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง อย่างสุดจิตสุดใจ ท่านมีอายุพรรษาใกล้เคียงกับหลวงพ่อวิชา รติยุตฺโต ซึ่งปัจจุบันหลวงพ่อวิชาพำนักอยู่ที่สำนักสงฆ์ชอนทุเรียน จังหวัดนครสวรรค์

    ก่อนหน้านี้หลวงพ่อมนัสท่านอยู่ที่คลองเกวียนลอย เมื่อความเจริญมาถึงก็เผ่นไปอยู่ที่สำนักสงฆ์ฟื้นฟูจิตเขาแหลม ครั้นพอเขาแหลมเริ่มวุ่นวายมาก ก็มาสร้างที่พักสงฆ์บ้านคลองโป่งแห่งนี้ ทำเอากระผม/อาตมภาพยังรู้สึกว่า คนที่มาอยู่จันทบุรีจะมีปฏิปทาแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่า ?

    เนื่องเพราะว่าพี่ชายคนโตของกระผม/อาตมภาพเองซึ่งเป็นลูกแม่ใหญ่ ได้ตามเตี่ยมาจากเมืองจีน เมื่อมาถึงหางานหาการทำ จนมีเงินก้อนหนึ่งก็มาซื้อที่ดินทำสวนทุเรียนอยู่ที่ห้วยสะท้อน จังหวัดจันทบุรีนี่เอง เมื่อห้วยสะท้อนมีความเจริญขึ้น พี่ใหญ่ก็ขายที่ดิน วิ่งมาซื้อที่ดินที่อำเภอแก่งหางแมวแห่งนี้ ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นแค่หมู่บ้านเท่านั้น

    ครั้นแก่งหางแมวเจริญขึ้น พี่ใหญ่ก็ขายที่ดิน วิ่งไปซื้อที่ดินที่สุดใจ ซึ่งชาวบ้านเรียกกันแบบชนิดไม่ต้องเกรงใจว่า "สุดใจขาดดิ้น" กระผม/อาตมภาพเองกว่าที่จะไปเยี่ยมได้แต่ละที ยังบ่นกับลูก ๆ ของพี่ใหญ่ ซึ่งก็คือลูกพี่ลูกน้องของตัวเองว่า "พี่ใหญ่น่าจะเป็นคนกลัวความเจริญ พอความเจริญมาถึง ทนความวุ่นวายไม่ไหว ก็หนีเข้าป่าลึกไปเรื่อย ๆ" ยังดีที่ว่าสุดใจนั้นก็คือสุดเขตจังหวัดจันทบุรีแล้ว ถ้าหากว่าขืนหนีต่อไปก็ต้องข้ามเขาบรรทัด ทะลุเข้าไปเป็นประชากรชาวเขมรอย่างแน่นอน..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เมื่อเดินทางมาถึง กระผม/อาตมภาพขึ้นไปกราบหลวงพ่อมนัส รายงานตัวเรียบร้อยแล้วก็ลงมาเดินดูบริเวณมณฑลพิธี ซึ่งพระสมุห์สุกฤษฎิ์ ประธานที่พักสงฆ์ฯ ตัวเล็กกะเปี๊ยกเดียว ดูลักษณะเหมือนกับเณรก็ไม่ปาน แต่ว่าบวชพระมา ๑๐ พรรษาแล้ว ท่านเป็นคนที่นี่เอง หลวงพ่อมนัสเมื่อสร้างที่พักสงฆ์แห่งนี้ จึงได้มอบหมายให้ท่านเป็นผู้ดูแล ท่านเองก็มีปฏิปทาเลื่อมใสในแนวปฏิบัติของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงเหมือนกัน แต่เนื่องจากว่าครูบาอาจารย์หลักก็คือหลวงพ่อมนัสนั้น ท่านศึกษาวิชาการอื่น ๆ มามากแล้ว

    ในสมัยที่ท่านยังเป็น "หลวงพี่มนัส" ของพวกกระผม/อาตมภาพอยู่นั้น วิชาที่ท่านถนัดที่สุดก็คือการตั้งธาตุ ปลุกธาตุ เดินธาตุทั้ง ๔ ที่ท่านได้แอบ ๆ หลวงพ่อฤๅษีฯ ถ่ายทอดให้พวกกระผม/อาตมภาพแบบ "ปิดกันให้แซ่ด" เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าท่านชอบในแนวนี้ จะให้ไปสายวิสุทธิมรรคตรง ๆ อย่างที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสอนให้ ท่านเองก็รู้สึกว่าไม่ถนัดใจ เพราะว่าจิตชอบมาทางด้านฤทธิ์ด้านเดชมากกว่า

    ลูกศิษย์สองท่านก็คือหลวงพี่ไพบูลย์ คุณวิปุโล (ไพบูลย์ จั่นแจ่ม) อีกท่านหนึ่งก็คือสิบเอกเสริมชัย จั่นแจ่ม ทั้งสองท่านนี้ต้องบอกว่ามีความคล่องตัวมาก ๆ ในวิชาการที่หลวงพ่อมนัสท่านถ่ายทอดให้ สมัยที่บวชอยู่นั้น หมู่เสริมชัยของเราคล่องตัวในสมาบัติ ๘ เป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งกระผม/อาตมภาพต้องพยายาม "เร่งสปีด" ไล่กวดกันอุตลุด ส่วนหลวงพี่ไพบูลย์นั้น ท่านได้เมตตาสอนวิธีเขียนอักขระเลขยันต์ต่าง ๆ ให้กระผม/อาตมภาพ ที่ขอเรียนต่อจากท่านบ้าง

    แต่ว่าญาติโยมทั้งหลาย ถ้าเป็นคนนอกวัด โอกาสที่จะได้พบหลวงพี่ไพบูลย์ของกระผม/อาตมภาพนั้นน้อยมาก เพราะว่าท่านเป็น "พระค้างคาว" ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านเรียกเอาไว้ เนื่องเพราะว่าท่านนอนกลางวัน ตื่นกลางคืน มีเวลาตื่นกลางวันอยู่แค่ไม่กี่นาที ตอนที่ออกมาฉันเพลมื้อเดียวเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นไปเจออีกทีก็ตอน ๖ โมงเย็น ที่ท่านมารับเวรต่อจากกระผม/อาตมภาพ แล้วก็เหมายาวไปจนถึง ๖ โมงเช้า..!

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เวรยามที่เฝ้าดูแลหน้าตึกถวายความปลอดภัย และรับติดต่อการงานต่าง ๆ ให้กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีนั้น ถ้าหากว่าเป็นเวรเช้าก็เข้าตั้งแต่ ๖ โมงเช้าถึงเที่ยง ถ้าเป็นเวรบ่ายก็เข้าตั้งแต่เที่ยงถึง ๖ โมงเย็น ส่วนเวรกลางคืนนั้น หลวงพี่ไพบูลย์ของกระผม/อาตมภาพท่านเหมารูปเดียวทั้งคืน เอาแต่นั่งเขียนเลขเขียนยันต์ ภาวนาอยู่ตลอดเวลา บางทีก็ลืมโกนหนวดโกนเครา แม้กระทั่งการโกนศีรษะก็ลืมไปด้วย จนกระทั่งต้องคอยเตือนกันว่า "พี่..พี่..วันพระใหญ่แล้วครับ" เหล่านี้เป็นต้น
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    ทั้งสองท่านนี้ก็คือชาวจังหวัดจันทบุรีนี่เอง เมื่อถึงเวลาหลวงพ่อมนัสนำไปฝากบวชไว้กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ที่วัดท่าซุง พวกเราเองก็จะเคยชินกับสำเนียงเหน่อ ๆ ของทางด้านตะวันออกนี้ ซึ่งเขาเรียกกันง่าย ๆ ว่า "เหน่อระยอง เหน่อจันท์" เหล่านี้เป็นต้น

    ถ้าหากว่าเป็นคนที่อื่นฟังก็จะรู้สึกแปลก ๆ เนื่องเพราะว่าคนทางจันทบุรีนั้น หลายต่อหลายคำที่พูดกันติดปากก็เป็นภาษาจีน อย่างเช่นเรียกพี่ชายว่า "เหีย" ถ้าเป็นบ้านเราก็เรียกกันว่า "เฮีย" เป็นต้น หรืออย่างการจัดทุเรียนขึ้นรถ ใช้คำว่า "เที้ยบ" ซึ่งคำว่าเที้ยบก็คือเทียบแล้วก็ใส่ไม้โทไปนั่นเอง เป็นภาษาจีนแคะที่แปลว่า "จัดเรียง"

    หรือที่เรียกโรงเก็บทุเรียนว่า "ล้ง" ซึ่งในภาษาจีนแต้จิ๋วก็คือโรงงานนั่นเอง ถ้าหากว่า "กงซีล้ง" ก็คือโรงงานที่ตั้งเป็นบริษัท แล้วมาภายหลังก็แผลงคำว่า "กงซีล้ง" แปลว่า "ส้วม" ขึ้นมาอีกคำหนึ่ง ซึ่งภาษาพวกนี้ถ้าหากว่าเราไม่เคยชิน นอกจากจะฟังสำเนียงเหน่อตะวันออกไม่ทันแล้ว บางทีก็ยังนึกว่า "ไอ้คำนี้แปลว่าอะไรวะ ?"

    เมื่อออกมาเดินดูความเรียบร้อยแล้ว เห็นท่านสมุห์สุกฤษฎิ์จัดงานทุกอย่างได้เป็นระเบียบ ก็ยังรู้สึกชื่นชมว่าถึงท่านจะตัวเล็ก แต่มีความคล่องตัวมาก แล้วก็ยังมีลูกศิษย์อยู่ด้วยอีก ๔ รูป แต่ละรูปก็ล้วนแล้วแต่มากราบรายงานตัว แล้วก็ช่วยกันต้อนรับครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ที่มาร่วมในพิธีหล่อพระสีวลีและเทวดานางฟ้า ซึ่งใส่บาตรพระสีวลี ตลอดจนกระทั่งปลุกเสกวัตถุมงคล

    โดยที่พระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งที่หลุดวงโคจรไป ก็คือพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณหลวงตา - พระราชภาวนาพัชรญาณ วิ. ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสระบุรี เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) ซึ่งถ้าหากว่าท่านมาในวันนี้ กระผม/อาตมภาพจะ "เกทับ" ว่า "พี่ไปไหนไม่รอดแล้ว เนื่องเพราะว่าผมก็เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดแล้วเหมือนกัน..!"

    เรื่องพวกนี้ พี่ ๆ น้อง ๆ มักจะล้อกันเล่นอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าในเรื่องของการปฏิบัติธรรม เราก็แข่งขันกันว่าใครจะไปได้ไกลกว่า ในเมื่อแข่งด้านปฏิบัติกันมานาน ถึงเวลามีเรื่องของทางโลก ๆ เข้ามา ก็เอามา "เกทับ" กันเล่น หัวเราะกันเล่น ในเวลาที่นั่งฉันน้ำร้อนน้ำชากันนั่นเอง แต่ว่าท่านเจ้าคุณหลวงตาท่านไปติดภารกิจที่อื่น ไม่ได้มาร่วมงานในวันนี้ด้วย
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    ทางด้านพระเกจิอาจารย์ส่วนใหญ่ก็เป็นสายตะวันออกในจังหวัดจันทบุรีนี่เอง มีที่หลุดมารายหนึ่งก็คือ ท่านเจ้าคุณพระวชิรสีลาจารย์ (บุญมี กมโล) หรือที่เขาเรียกกันว่าหลวงปู่ใหญ่ มาจากวัดเขาพนมทองคีรีเขต จังหวัดพิษณุโลกโน่น

    กระผม/อาตมภาพถ้านับว่าเดินทางจากวัดท่าขนุนมาถึงที่นี่ใช้เวลา ๘ ชั่วโมง คาดว่าพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณหลวงปู่ก็คงจะมาเกิน ๘ ชั่วโมงแน่นอน ยังดีที่ว่าท่านใช้วิธีไปขึ้นเครื่องบินกลับไปพิษณุโลก ไม่เช่นนั้นคนแก่อายุ ๙๘ ปีแล้ว ก็คงนั่งรถจนหลังเดี้ยงเหมือนกระผม/อาตมภาพนี่เอง

    ครั้นถึงเวลา กระผม/อาตมภาพก็ร่วมพิธีบวงสรวง ซึ่งเป็นการเริ่มพิธีในตอนบ่ายโมงกว่า แต่ก็ยังดีที่มีเทวดาเจ้าที่เจ้าทางอุตส่าห์เมตตามาให้การสงเคราะห์ ความจริงการบวงสรวงนั้น ถ้าหากว่าต้องการผลอย่างแท้จริง อย่าให้สายเกิน ๙ โมงครึ่ง ขอให้ทำในช่วงเช้าแต่ไม่เกิน ๙ โมง ๓๐ นาที เพราะว่าถ้าสายกว่านั้น เทวดาท่านจะไปฟังธรรมที่เทวสภา หรือว่าถ้ามีงานประชุมก็ประชุมกันที่เทวสภาอีกเช่นกัน ไม่มีเวลาที่จะมายุ่งวุ่นวายกับพวกเรา นอกจากบรรดาเจ้าที่เจ้าทางที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลแต่ละพื้นที่ เหมือนอย่างกับตำรวจเจ้าของท้องที่ ซึ่งไม่สามารถจะไปไหนได้ ยกเว้นในช่วงวันพระใหญ่ ถึงจะมีโอกาสขึ้นไปฟังเทศน์กับท่านอื่นเขาบ้าง

    แต่ว่าถ้าหากว่าพื้นที่ไหนมีเทวดาชั้นจาตุมหาราชดูแลอยู่ ก็ถือว่าเป็นโชคดีมาก เนื่องเพราะว่าในเรื่องของฤทธานุภาพต่าง ๆ นั้น ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่พระภูมิเจ้าที่ซึ่งเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ก็ต้องยกให้บรรดา "พี่ใหญ่" ที่เป็นชั้นจาตุมหาราชนี่เอง กระผม/อาตมภาพเคยเจอเจ้าที่ซึ่งเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชแล้ว โดยเฉพาะที่ต่างประเทศบางแห่ง โดนกลั่นแกล้งเสียจนหัวหมุนมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่าพอมาที่จังหวัดกาญจนบุรี เจอเจ้าของที่ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า "เจ้าพ่อหลักเมือง" เป็นพรหมเสียอีก..! กลายเป็นว่าสถานที่สำคัญมาก ๆ บรรดาเทวดาหรือพรหมชั้นผู้ใหญ่ ก็ได้รับมอบหมายมาให้ดูแลสถานที่เหล่านั้นได้เช่นกัน
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,893
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,575
    ค่าพลัง:
    +26,418
    ครั้นทำพิธีบวงสรวงปลุกเสกเรียบร้อยแล้ว จึงได้มีการเททองหล่อพระสีวลี ครั้นเสร็จสรรพเรียบร้อย กระผม/อาตมภาพก็ได้รับอาราธนาให้เป็นผู้ดับเทียนชัยในพิธี รับไทยธรรมแล้วก็ต้องรีบเผ่นหนีอย่างเร่งด่วน เนื่องเพราะว่าญาติโยมชาวจังหวัดจันทบุรีนั้นใจใหญ่มาก ถวายแต่ของใหญ่ ๆ มาให้จนแทบจะไม่มีปัญญาขนกลับ ต้องออกปากให้ถวายไว้กับพระสมุห์สุกฤษฎิ์ เจ้าสำนักที่นี่แทน

    เนื่องเพราะว่ามีทั้งพัดลมตั้งพื้น มีทั้งกล้วยหอมทั้งเครือ เหล่านี้เป็นต้น ขอรับเอาไว้แต่น้ำใจของโยมเท่านั้น ปัจจัยทั้งหมดก็ได้ถวายเอาไว้ให้กับพระสมุห์สุกฤษฎิ์ เพื่อให้ท่านบริหารจัดการที่พักสงฆ์แห่งนี้ให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป กระผม/อาตมภาพในระหว่างเดินทางกลับ จึงได้ทำการบันทึกเสียง เพื่อญาติโยมทั้งหลายจะได้ไม่ขาดช่วงในการฟัง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...