เวทย์มนต์ - คาถาอาคม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 20 มิถุนายน 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,240
    [​IMG]
    " ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล ถ้าไม่ได้ด้วยกลก็
    ต้องเอาด้วยมนต์ คาถา " ท่านทั้งหลายเคยได้ยินคำกล่าวนี้บ้าง
    ไหม บางคนอาจจะตอบว่าเคย บางคนอาจจะตอบว่าไม่เคย
    บางคนนั้นอาจจะตอบว่า จะเคยหรือไม่เคย ในปัจจุบันนี้โลก
    มนุษย์ได้พัฒนาเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าไปทุกๆด้านแล้ว โดยเฉพาะ
    ทางด้านวิทยาศาสตร์และก็เทคโนโลยี สิ่งเหล่านี้ยังมีหลงเหลือ
    อยู่อีกเหรอ งมงายไม่มีหรอก มีแต่พวกหลังเขาเท่านั้นแหละที่
    พูดและเชื่อกันอย่างนี้ ถ้าหากคนที่อยู่หลังเขาหรือบนเขา เขา
    พูดบอกกับคุณว่า ที่บนเขามีต้นไผ่และก็มีหน่อไม้ด้วย ถ้าหาก
    คุณไม่รู้ไม่เคยไปก็จะต้องตอบว่า ไม่รู้ ไม่จริงโกหกใช่ไหม?
    หรือว่าเฉยๆ ตราบใดถ้าหากจิตใจของมนุษย์ยังมีความรัก มี
    ความโลภ มีความโกรธและมีความหลงอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่มี
    วันที่จะหมดไปจากโลกนี้ได้ มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นๆทุกๆวัน สิ่ง
    เหล่านี้เรื่องเหล่านี้ก็เป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่ง ที่พวกเราๆท่านๆ
    เรียกว่า " วิชาไสยศาสตร์ " เป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่
    พราหมณ์เขาเรียนและศึกษากัน เรียกว่า " เรียนคัมภีร์ไตรเพท
    และเพทางค์ " วิชาเหล่านี้ในทางหรือหลักของพระพุทธศาสนา
    นั้นไม่มีเลย แม้แต่พิธีกรรมต่างๆที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ที่
    เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่มีและไม่ใช่ หลักทางพระพุทธศาสนา
    คือ การปฏิบัติบูชา ไม่มีบนบาลศาลกล่าวกราบไหว้อ้อนวอน
    ขอ สาเหตุที่ต้องมีปนอยู่ในพระพุทธศาสนาก็เพราะว่า ก่อนที่
    องค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าประสูตรนั้น ในอินเดียมี
    ศาสนาและลัทธิต่างเกิดขึ้นมากมาย มีการนับถือลัทธิและศาสนา
    ของตนๆไปตามความเชื่อที่สืบทอดกันมา ในขณะนั้นศาสนา
    พราหมณ์มีความเจริญรุ่งเรืองและก็มีคนนับถือกันมาก แม้แต่พระ
    ราชบิดา พระราชมารดา เหล่าพระญาติของพระองค์ก็เป็น
    พราหมณ์ นับถือศาสนาพราหมณ์กันหมด พอพระพุทธองค์ประ
    สูตรเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็อยู่ในตระกูลพราหมณ์ หลังจากที่
    พระพุทธองค์ออกบวชแล้วก็ตรัสรู้บรรลุธรรม เป็นองค์สมเด็จพระ
    อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธศาสนาเกิดขึ้น พระ
    ธรรมเกิดขึ้น พระสงฆ์เกิดขึ้น ออกประกาศเผยแผ่พระพุทธ
    ศาสนาและพระสัจธรรมไปทั่วทุกทิศ โดยพระองค์เองและพระ
    อรหันต์สาวกทั้งหลาย ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์เอง ใน
    ระหว่างการออกเผยแผ่พระสัจธรรมนั้น หลังจากที่พราหมณ์เข้า
    มานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว พิธีกรรมต่างๆที่เขาเคยทำเคยมีอยู่
    แต่ดั้งเดิมนั้น จะให้เขาหยุดหรือเลิกทำหลังจากเข้ามานับถือพระ
    พุทธศาสนาแล้ว พราหมณ์เขาก็ไม่ยอมแน่ เช่น เวลาพราหมณ์
    จะทำพิธีบูชายันต์ จะฆ่าสัตว์ประกอบพิธีบูชา พระองค์ก็ให้
    เปลี่ยนเป็นเอาไขมันของสัตว์ที่ตายเองแล้วมาเผาแทน ก็พัฒนา
    จนมาเป็นเทียนไขในปัจจุบัน อีกพิธีหนึ่งเป็นพิธีบำเรอไฟ
    พราหมณ์ก็จะเอาข้าวของเงินทองที่มีค่ามาเผาเพื่อบูชา พระ
    พุทธองค์ก็บอกว่าต่อแต่นี้ไปถ้าทำพิธีนี้อีก ให้เอาเครื่องเทศของ
    หอมมาเผาแทน เพราะเห็นว่าทรัพย์สินข้าวของเหล่านั้นมีค่าควร
    ที่จะเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นมากกว่า ของหอมสมัยนั้นเรียก
    ว่า กำยาน พัฒนามาเป็นธูปจนถึงปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้ คำ
    สอนและหลักปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาก็ยังมีอยู่ ถึงแม้จะแยก
    แทบไม่ออกเลยว่าอะไรคือวิถีปฏิบัติแบบพุทธหรือแบบพราหมณ์
    หลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานแล้ว
    มหาวิทยาลัยนาลันทาถูกทำลาย ทำให้คัมภีร์วิชาต่างๆ ได้สูญ
    หายกระจัดกระจาย บางทีก็จดจำสืบถอดเล่าสอนกันต่อๆมา ซึ่ง
    ในปัจจุบันนี้เรามักจะได้ยินเรียกกันเป็นสายๆเช่น สายเขมร
    สายมอญ สายแขก สายพม่า สายกะเหรี่ยง เป็นต้น
    ปัจจุบันนี้แม้แต่ทางทวีปที่เจริญแล้วเช่น ทางยุโรป อเมริกา ก็มี
    ใช้ศาสตร์นี้มากขึ้นแล้ว ส่วนทางทวีปแอฟริกานั้นไม่ต้องพูดถึง
    มากกว่าและแรงกว่าของเขมรเสียอีก วิชาเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีอยู่
    กับชนพื้นเมืองเป็นส่วนมาก สิ่งที่จะประกอบกันเป็นวิชาไสย
    ศาสตร์ได้นั้น จะมีสิ่งต่างๆที่ประกอบกันคือ .........

    ๑. ตัวมนต์ ตัวคาถาอาคม

    ๒. ตัวพลังจิตของหมอผู้ทำ ตัวพลังจิตนี้จะได้มาจากการฝึก
    จิต ฝึกสมาธิ

    ๓. ตัวดวงจิตหรือดวงวิญาณของคนที่ตาย ส่วนใหญ่จะใช้
    ดวงจิตดวงวิญญาณของคนที่ตายโหงและตายท้องกลม
    (ตายมีลูกในท้อง) เพราะเวลาทำพิธีเสร็จของที่ทำจะแรง
    หรือเฮี้ยนมาก

    ๔. ตัววัตถุสิ่งของต่างๆ ที่สามารถมองเห็นและจับต้องได้

    สิ่งเหล่านี้มีความจำเป็นอย่างมากสำหรับศาสตร์นี้
    โดยเฉพาะตัวดวงจิตดวงวิญญาณ เขาทำกันอย่างไร เมื่อหมอผู้
    ทำไสยศาสตร์ ได้รู้หรือเห็นการตายของคนไม่ว่าจะตายโหง
    ตายท้องกลมหรือแบบอื่นที่น่าสนใจของหมอแล้ว จะทำการเรียก
    ตรึงสะกดวิญญาณนั้นไว้ ด้วยคาถาอาคมและพลังจิต หลังจาก
    นั้นก็เอามาเก็บไว้ที่บ้าน ตำหนักหรือกุฏิของตน เรียกว่า " การ
    เลี้ยงผี " หรือ " เลี้ยงพราย " เวลามีลูกค้าหรือคนที่เขาต้อง
    การให้ทำของ ทำเกี่ยวกับวิชาไสยศาตร์ ก็จะใช้และบังคับให้
    วิญญาณนี้แหละไปทำงานให้ โดยการใช้มนต์และพลังจิตเพิ่ม
    มากขึ้นเรียกว่า " การเติมของ " แล้ววิญญาณมนุษย์นี้ก็จะกลาย
    ร่างเป็นสัตว์ดิรัจฉานหรือที่เราเรียกว่า " ดิรัจฉานวิชา " สัตว์ที่
    กลายเป็นส่วนใหญ่จะเป็นพวกตระกูลลิงทั้งหลาย สุนัข ( ส่วน
    ใหญ่จะเป็นสีดำ ) แมว พวกนก เป็นต้น พอกลายร่างแล้ว
    จิตแท้จิตเดิมหรือจิตใต้สำนึกของวิญญาณนั้นจะถูกสะกดและควบ
    คุม จะทำตามคำสั่งอย่างเดียว แล้ววิญญาณนี้จะถูกส่งไป
    แทรกร่างของคนอื่น บ้าน โรงงาน ร้านค้า สำนักงาน
    ฯลฯ ตามที่ผู้ว่าจ้างต้องการที่จะทำ ไม่ว่าจะเป็นชีวิต
    สุขภาพ ธุรกิจการงาน ครอบครัวมีปัญหา ฯลฯ
    วิชาไสยศาสตร์นี้ เราเจอกันแทบทุกคนและแทบจะ
    ทุกวันก็ว่าได้ แต่เป็นพลังที่ไม่รุนแรงเพราะคนที่ให้ทำและเอามา
    ใช้นั้น เขาไม่ได้มีแรงอาฆาตและพยาบาทอะไร เพียงต้องการ
    แค่ให้คน ลูกค้าหรือแขกเข้ามาใช้บริการ มาอุดหนุนหรือกลับมา
    อีก ที่บริษัท ที่โรงงาน ที่ร้านค้า ที่สถานบริการของตน
    ฯลฯ จะอยู่ในรูปแบบของ นะเมตตามหานิยม ทำให้คนติดคน
    หลง ถ้าหากพลังจิตของคนที่เข้าไปใช้บริการอ่อนก็จะถูกควบคุม
    ได้ง่าย รู้สึกตัวเองว่าติดว่าชอบขึ้นมา จะอยู่ในรูปแบบของ
    น้ำมนต์ บางครั้งพ่อค้าแม่ค้าหรือเจ้าของสถานบริการเขาก็ใช้
    พรมหรือใส่ลงไปในอาหาร ของกินของใช้นั้นเลย หลีกเลี่ยงได้
    ก็ให้หลีกเสีย โดยเฉพาะน้ำที่เราได้ยินกันติดหูว่า " น้ำพุทธ
    มนต์ หรือ น้ำมนต์ " เสน่ห์ยาแฝก ก็เป็นเกี่ยวกับเรื่องความรัก
    ความใคร่ เรื่องของชู้สาว เรื่องของหนุ่มๆสาวๆ ที่ความรักไม่
    สมหวัง ก็ต้องใช้วิธีนี้ บางทีก็จะเป็นของให้กินเข้าไป บางที่ก็
    เป็นขี้ผึ้งหรือน้ำมันใช้ป้ายหรือทา บางทีก็ใช้พวกภูตพรายเข้า
    ครอบงำจิต อีกอย่างก็คือพวก เครื่องรางของขลัง อยู่ในกลุ่ม
    เมตตามหานิยม สิ่งนี้จะสังเกตุได้ง่ายกว่าที่เป็นน้ำมนต์เพราะ
    จะมีตัววัตถุสิ่งของต่างๆมาทำเป็นตัวหลักๆ ที่เชื่อว่าเป็นของ
    มงคลทำให้เรามองเห็น เช่น ไม้ของต้นดอกรัก ไม้ของต้น
    มะยม ไม้กาฝาก ไม้งิ้วดำ ฯลฯ เอามาทำเป็นหุ่นกุมาร
    ทอง กุมารี รักยม นางกวัก ปลัดขิก ( ทำเป็นอวัยวะเพศ
    ชาย ) สาริกา เต่าหรือสัตว์ชนิดอื่น น้ำมัน ขี้ผึ้งสีนวด ผ้า
    ยันต์ ตระกุด ฯลฯ แล้วแต่จะคิดแล้วแต่จะทำกันให้แปลก
    แหวกแนวออกไป แล้วก็ประกาศบอกสรรพคุณกันไปต่างๆนาๆ
    ลมพัดลมเพ หรือ ลมเพลมพัด ส่วนใหญ่แล้วจะ
    เกิดจากการฝึกฝนเล่าเรียนตำหรับตำราของหมอหรืออาจารย์
    ไสยเวทมากกว่า ทั้งมือใหม่และมืออาชีพ พอทำออกไปแล้วก็
    ไม่ได้เรียกกลับหรือถอนสิ่งที่ตัวเองได้ทำไป พลังหรือสิ่งเหล่านี้
    ก็จะล่องลอยไปทั่วในอากาศไม่มีทิศทาง ส่วนมากจะเป็นเวลา
    ตอนกลางคืน ฉะนั้นถ้าหากไม่มีความจำเป็นอย่าออกนอกบ้านใน
    เวลากลางคืน คนที่ถูกลมเพลมพัดมีทั้งอาการหนักและเบา
    อาการไม่เหมือนกัน อาการหนักก็ต่อเมื่อตัวอาจารย์หรือหมอ
    ไสยเวทย์ทำการเติมมนต์หรือเรียกของ คุณจะทรมานมากน้อย
    อยู่ที่เขาจะทดลองวิชาเขาอย่างไร
    แรงอาฆาต แรงพยาบาท แรงรักแรงสวาท
    แรงอิจฉาริษยา ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็น
    สาเหตุไปสู่ความรุนแรงของวิชาไสยศาสตร์ ทำให้เกิดมี การว่า
    จ้าง กันขึ้น ความรุนแรงนี้ ก็เริ่มจากการตักเตือนก่อน ตาม
    ด้วยความรุนแรงขั้นเจ็บป่วยพิการ ครอบครัวแตกแยก การงาน
    และการเงินมีปัญหา สุดท้ายก็ทำกันจนเกิดความเสียหายและเสีย
    ชีวิต จะเป็นพวก ยาสั่ง ปั้นหุ่น ฝังเข็ม ฝังตะปู เสกของ
    เข้าตัว วัวกระทิง ฯลฯ ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ภูตพรายหรือวิญ
    ญาณมากกว่า
    คนที่ถูกคุณไสยมนต์ดำนี้ จะมีอาการและความ
    รุนแรงไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับหลายเหตุหลายปัจจัย แต่อาการ
    ในเบื้องต้นจะรู้สึกเวียนศีรษะ มึนงง ปวดศีรษะ บางรายก็เบื่อ
    อาหาร ร่างกายจะซุบผอม เบ้าตาจะคล้ำรอบดวงตา เวลานอน
    จะฝันเห็นพวกซากผีน่าเกลียดหรือวิญญาณ ฝันเห็นพวกสัตว์
    ดิรัจฉานพวกตระกูลลิง หมาหรือหมาดำ สัตว์พวกนกเป็นต้น
    ร่างของคคุณ จิตของคุณจะถูกเบียดออกจากร่าง ทำให้จิต
    วิญญาณอื่นที่ถูกมนต์สะกดเข้ามาอยู่แทน ทำให้ตัวของเราเพ้อ
    ไม่มีสติคุมตัวเองไม่ได้ เจ็บป่วยทุกทรมาน สุดท้ายก็เสียชีวิต
    หรือไม่ก็ฆ่าตัวตาย
    อันที่จริงแล้วเรื่องเกี่ยวกับวิชาไสยศาตร์มนต์ดำนี้มี
    มาก ทั้งวิธีการและความรุนแรง ก็แตกต่างกันออกไป แล้วแต่
    ว่าอาจารย์คนไหน หมอไสยเวทย์คนไหนใครจะเล่าเรียนหรือได้
    รับการสืบถอดมาแบบไหนกัน แต่สิ่งเหล่านี้จะแอบแฝงอยู่ในรูป
    ของ พระพุทธคุณ แอบอ้างให้มีความรู้สึกว่าเป็นของดี
    ของบริสุทธิ์ เราจะดูตรงไหนว่าสิ่งนั้นเป็นของที่ดี ให้ดูที่หมอ
    หรืออาจารย์คนนั้นว่า ศีล เคร่งและบริสุทธิ์แค่ไหน ถ้าเป็น
    ฆราวาสก็ศีล ๕ ถ้าเป็นพราหมณ์และแม่ชีก็ศีล ๘ ถ้าหากเป็น
    เฌรก็ศีล ๑๐ ส่วนพระก็ศีล ๒๒๗ ( ผู้ทรงศีลจะทำกิจเกี่ยวกับ
    วิชาหรือพิธีกรรมเหล่านี้ไม่ได้เลย ) ทางที่ดีแล้วเราควรออกให้
    ห่างเอาไว้ดีที่สุด
    รูปถ่าย วัน-เดือน-ปีเกิด ของใช้ส่วนตัว ไม่มี
    ความจำเป็นอย่าเอาให้ใครเด็ดขาดเพราะ มันจะเป็นตัวนำหรือ
    เป็นสื่อให้กับดิรัจฉานวิชาเหล่านี้เข้าตัวของเรา เวลาได้ยินเสียง
    ใครร้องทักหรือเรียกชื่อของเรา อย่าขานรับถ้าหากไม่เห็นตัว
    ถึงแม้จะเห็นตัวแล้วก็ให้แน่ใจก่อนเพราะสิ่งนั้นอาจเป็นอมนุษย์
    แปลงเป็นมาก็ได้ ถึงแม้อะไรมากระทบบ้าน ฝาบ้าน หลังคา
    บ้านก็อย่าทักเด็ดขาด ถ้าเป็นของวิชาที่เขาส่งมามันจะเข้าตัวเรา
    ทันที
    ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิบกว่าปี ที่อาจารย์ได้ปฏิบัติธรรม

    และได้มารับรู้มีประสบการณ์และเรียนรู้เกี่ยวกับที่เขากระทำวิชา
    ไสยศาสตร์มนต์ดำต่อกันและเห็นผู้ที่ถูกกระทำมามากพอสมควร
    อาจารย์ไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้เพราะ เราถือศีลปฏิบัติธรรม
    มุ่งสู่ความพ้นทุกข์และหลุดพ้น ก็ถือว่าอยู่ในสายขาว จึงทำการ
    แก้ ป้องกันและรักษา ให้กับผู้ที่มีเคราะห์กรรมเกี่ยวกับเรื่อง
    เหล่านี้แต่เพียงอย่างเดียว ไม่รับทำของมนต์ดำหรือเสน่ห์ยา
    แฝก การทำลายล้าง การฆ่าด้วยวิชาไสยศาศตร์ ไม่มีหลัก
    ฐานทางโลกทิ้งไว้ให้ดำเนินคดีได้ ฉะนั้นจึงไม่มีวันที่จะหมดไป
    จากโลกนี้ มันมีมากและพัฒนาแฝงตัวไปพร้อมๆกับความเจริญ
    ทางวัตถุและเทคโนโลยีเหมือนเงาตามตัว ตราบใดที่จิตใจของ
    คนไม่มีศีลและขาดหลักธรรม อาฆาตพยาบาทก็ทำของมนต์ดำ
    ใส่กัน อิจฉาริษยาก็ทำของมนต์ดำใส่กัน เกลียดกันก็ทำของ
    มนต์ดำใส่กัน รักกันก็ทำของมนต์ดำใส่กัน แล้วคนที่อยู่ใกล้ตัว
    ของเราละ จะรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ใช้หรือเป็นผู้สืบทอดวิชาไสย
    ศาสตร์มนต์ดำ .........

    ที่มาของ คนตาทิตย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2009
  2. สัพเพ ธัมมา อะนัตตา

    สัพเพ ธัมมา อะนัตตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    337
    ค่าพลัง:
    +104
    ต้องขออนุโมทนาสาธุในผลบุญที่ทำไว้ดีแล้วด้วยครับ

    เรื่องนี้ถ้าใครไม่เจอกับตัวไม่รู้หลอกครับ มันเป็นเรื่องของอวิชา คือความไม่รู้ มันเป็นบาปเป็นกรรมครับ กับพวกที่เรียนวิชาพวกนี้

    ไม่เห็นน่าเรียนเลย ถ้าเรียนมาช่วยคนก็ว่าไปอย่างยังพอว่ากันได้ แต่ถ้าเรียนมาทำร้ายคนไม่น่าเรียนมันเป็นบาปครับ

    ชื่อก็ไม่น่าเรียนแล้วอ่ะ อวิชา แปลว่า ความไม่รู้
    ไสยศาสตร์ แปลว่า ศาสตร์แห่งความหลับไหล

    แล้วจะเรียนกันไปทำไมครับ เรียนแล้วหลับแล้วก็ไม่รู้ (อิอิ เลยไม่รู้เรื่องกันพอดี)

    เกียวกับ อวิชา๘

    ๑ ไม่รู้จักทุกข์
    ๒ ไม่รู้จักเหตุเกิดแห่งทุกข์
    ๓ ไม่รู้จักความดับทุกข์
    ๔ ไม่รู้จักทางถึงความดับทุกข์
    ----------------------
    ๕ ไม่รู้จักอดีต
    ๖ ไม่รู้จักอนาคต
    ๗ ไม่รู้จักอดีตเชื่อมโยงอนาคต
    ๘ ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท


    เมื่อเราปฎิบัติธรรมอย่างแท้จริง เราจะเข้าใจกฎแห่งกรรม
    ละเอียดขึ้นละเอียดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงต้นจอของมัน
    อะไรคือต้นตอแห่งมูลเหตุการเวียนว่ายตายเกิดทั้งปวง

    _________________________________________

    สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่เป็นสังขาร และมิใช้สังขาร ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ใช้ตัวไม่ใช้ตน ไม่ควรถือว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา

     
  3. murano

    murano Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2009
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +57
    เราเข้าใจว่า เรื่องพวกนี้มันต่อเติมเสริมแต่งจนเกินความจริง เข้าใจว่า มาจากพวกพระ พราหมณ์ ฤาษีต่างๆ ที่มีกำลังจิตสูงมากๆ ทีนี้พอคนเห็นก็เอาไปเล่าขาน เกิดเป็นอาชีพขึ้นมา
    วิชาพวกนี้ น่าจะอิงอยู่กับอภิญญา เช่น หากมีเจโตปริยญาณ ก็สามารถดลใจคนหรือสัตว์ได้ คนที่เห็นก็มีจิตคิดว่า ถ้าเอาไปดลใจสาวก็น่าจะดี จึงเกิดพวกทำเสน่ห์ขึ้น พวกที่คิดร้ายกับอริ ก็คิดว่า น่าจะดลใจสัตว์ไปทำร้าย เกิดเป็นการเสกสัตว์ขึ้นมา เป็นต้น

    คือเรื่องจริงมี 1 แต่ต่อเติมกลายเป็น 10
    ถ้ามีจริง ทหารก็ไม่ต้องมี มีกองทัพหมอผี (ก็ตั้งตนกันได้ง่ายๆ นี่) เสกช้างเสกควายสักล้านตัว โผล่กลางค่ายข้าศึก เหยียบเละไปแล้ว ประเทศไหนเป็นศัตรู ก็เสกเมาส์เข้าแก้มก้น ชนะโดยไม่ต้องรบ อิอิ
     
  4. minidog

    minidog Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    266
    ค่าพลัง:
    +91
    ชอบคาถาเรียกทรัพย์ (เรียกได้จริงหรือไม่ก็ท่องเอาไว้ก่อนละ)
     
  5. kosit25

    kosit25 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +438
    ได้ความรู้ดีครับ ผมเชื่อว่ามีจริงนะครับ อิทธิฤทธิ์มีจริงแล้วทำไม คุณไสยจะไม่มี
     

แชร์หน้านี้

Loading...