เรื่องเด่น เปรตวิสัยภูมิ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย สรวงพิมาน, 30 เมษายน 2017.

  1. สรวงพิมาน

    สรวงพิมาน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2017
    โพสต์:
    326
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +267
    เปรตวิสัยภูมิ คือโลกที่อยู่ของสัตว์ผู้ห่างไกลจากความสุข เพราะอกุศลกรรมที่ทำด้วยโลภะนำมาเกิด

    ได้แก่ วิชชาตะเปรต,วิวิธเปรต, สูกรเปรต, ปรทัตตูปชีวีเปรต และทวาทสวิธเปรต ซึ่งอยู่ในโลกมนุษย์ คือ วันตาสาเปรต, กุณปขาทาเปรต, คูถขาทาเปรต, อัคคีชาลมุขาเปรต, สุจิมุขาเปรต, ตัณหาชิตาเปรต, นิชฌามักกาเปรต ฯ

    ในไตรภูมิ บรรยายรูปร่างของเปรตไว้ว่า เปรตบางชนิดมีตัวใหญ่ ปากเท่ารูเข็ม เปรตบางชนิดก็ตัวผอมไม่มีเนื้อหนังมังสา ตาลึกกลวง และร้องไห้ตลอดเวลา

    แต่ก็มีเปรตบางชนิด ที่ตัวงามเป็นทอง แต่ปากเป็นหมู และมีกลิ่นเหม็นมาก มนุษย์ที่ทำบาปกับบุพการี เช่น ด่าทอบุพการี และทุบตีบุพการี จะเกิดเป็นเปรต สรุปรวมๆ แล้วก็คือ เมื่อตอนเป็นคนแล้ว ทำบาปอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อตายไป ก็จะเป็นเปรตตามที่ทำบาปไว้

    เปรตนั้น มีโอกาสดีกว่าสัตว์นรก เนื่องจาก สามารถออกมาขอบุญกุศล จากการทำบุญของมนุษย์ได้

    องค์สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเล่าให้พระสารีบุตร เถระองค์อัครสาวกฟัง คราวครั้งหนึ่ง ในขณะที่พระองค์ประทบอยู่ ณ ราวป่าด้านตะวันตก นอกพระนครไพศาลี ได้มีพุทธฎีกาว่า.....

    “ดูกร ! สารีบุตร เราย่อมรู้ซึ่งเปรตวิสัย ทางไปสู่เปรตวิสัย และปฏิปทา อันจะยังสัตว์ให้ถึงเปรตวิสัย อนึ่ง สัตว์ผู้ดำเนินประการใด ?

    เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงเปรตวิสัย เราย่อมรู้ชัด ซึ่งประการนี้ด้วย”


    โลกเปรต เป็นโลกที่ห่างไกลจากความสุข ไม่มีสถานที่อยู่เฉพาะ แม้ความทุกข์น้อยกว่าสัตว์นรกทั้งหลายก็จริง แต่ก็เป็นผู้ห่างไกลจากความสุข อยู่เป็นอันมาก เพราะต้องทนทุกข์ทรมาน มีความอดอยาก หิวกระหายอย่างแสนสาหัส

    บางพวก มิได้บริโภคโภชนาหารเลย ตลอดเวลา ๒-๓ พุทธันดรก็มี ให้แสบร้อนในไส้ ในท้องแห่งตนยิ่งนัก เพราะถูกไฟไหม้เสียนักหนา เปรียบดังว่า ไฟอันไหม้อยู่ในโพรงไม้ ฉะนั้น เปรตทั้งหลาย ย่อมเสวยทุกขเวทนาใหญ่ ความอดอยากนั้น เหลือคณานับได้

    dark_world_wallpaper_019.jpg

    ชีวิตในโลกเปรต

    เมื่อจะกล่าวถึงชีวิตความเป็นอยู่ ของสัตว์ในเปรตวิสัยภูมิ หรือโลกเปรตแล้ว เปรตทั้งหลาย ย่อมมีชีวิตความเป็นอยู่ ต่างกันออกไปมากมายหลายประเภท สุดแต่อำนาจแห่งอกุศลกรรม ที่ตนทำไว้ จักบันดาลให้เป็นไป

    ฝูงเปรตทั้งหลายในเปรตโลก ยกเว้นแต่ ปรทัตตูปชีวีเปรต ประเภทเดียวเท่านั้น ที่สามารถจักรับส่วนนบุญส่วนกุศลที่มนุษย์เราอุทิศให้ได้ ส่วนเปรตพวกอื่นๆ ที่ปฏิสนธิเกิดขึ้นด้วย อำนาจแห่งอกุศลของตนเอง ต้องเสวยวิบากแห่งอกุศลกรรมของตน ไปจนกว่าจะหมดสิ้นกรรม

    รับส่วนบุญส่วนกุศลของใครไม่ได้ เพราะยังต้องเสวยทุกขเวทนาอยู่อย่างหน้าดำคร่ำเครียด หูอื้อ ตาลายจิตใจยังไม่มีความเลื่อมใส ใคร่จะรับส่วนบุญส่วนกุศลของใคร ถึงแม้ญาติในมนุษย์โลก จักทำบุญกรวดน้ำอุทิศให้สักเท่าใด ผีเปรตเหล่านี้ ก็ไม่สามารถจะรับส่วนบุญนั้นได้

    ต่อเมื่อใด สิ้นกรรมเวรแล้ว มาเกิดเป็นเปตรประเภทคอยรับส่วนบุญส่วนกุศลได้ ที่เรียกว่า "ปรทัตตูปชีวีเปรต" ซึ่งเป็นเปรตประเภทที่มีอกุศลบางเบา โมหะ ความโง่เขลา ไม่รู้จักบาป บุญ คุณโทษ ได้คลายออกจากจิตใจเป็นอันมากแล้ว จึงรับส่วนบุญได้

    ฉะนั้น จึงควรอุทิศส่วนบุญกุศล ให้ปรทัตตูปชีวีเปรต ที่มีความหิวโหย เพราะอดข้าว อดน้ำมานานแสนนานนักหนา เดินโซซัดโซเซ เปะปะ เร่ร่อนไปมา พร้อมกับพยายาม นึกนึงหมู่ญาติของตน ด้วยความคิดอันสับสน เลอะเลือนว่า เป็นใคร อยู่ที่ไหนบ้าง

    ครั้นนึกได้ ก็ค่อยพยุงกาย เซซังไป จนกระทั่ง ถึงบ้านญาตินั้นแล้ว ก็คอยอยู่ใกล้ๆ อุตสาห์รอคอยอยู่หลายวัน หลายเดือน หลายปี โดนมีความหวังว่า.....

    " เมื่อญาติของเราทำกุศลแล้ว เขาคงจักอุทิศให้เราบ้างกระมัง"

    ครั้นเห็นเหล่าญาติ มัวนั่ง เดิน ยืน นอน ทำอะไรต่อมิอะไรให้ยุ่งไปตามประสามนุษย์ ก็สุดที่จักกลุ้มใจ ได้แต่เฝ้ารำพึงอยู่ว่า.....

    " เมื่อใดเล่าหนา มนุษย์เหล่านี้ จึงจะมีจิตเป็นกุศล ทำที่พึ่งอันแท้จริงแห่งตน ด้วยการทำบุญให้ทาน แล้วอุทิศส่วนกุศลนั้น ให้แก่เราเสียสักที มัวแต่วุ่นวาย ทำอะไรอยู่อย่างนี้ ไม่เห็นจะเป็นแก่นสารเสียเลย"

    เฝ้ารำพึงด้วยความน้อยใจอยู่อย่างนี้แล้ว ก็รอคอยต่อไป ครั้นญาติทั้งหลายทำบุญกุศลแล้ว แต่ลืมอุทิศส่วนกุศล คือ ไม่กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ หรือว่า ได้ทำการกรวดน้ำอุทิศ ให้เปรตชนเหมือนกัน แต่อุทิศให้แก่คนอื่น ไม่ได้อุทิศให้ตน

    ปรทัตตูปชีวีเปรต ที่น่าเวทนา ก็ได้แต่เดินวนเวียนไปมา อยู่ ณ บริเวณนั้น ด้วยความเศร้าสร้อย ผิดหวัง บางครั้ง ยังเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ถึงกับล้มซบ สลบลง ด้วยความหิวโหยสุดประมาณ พอได้ลืมตาขึ้น ก็ได้แต่เฝ้าหวังอยู่อีกต่อไปว่า.....

    "ครั้งต่อไป เขาคงไม่ลืมเรา เขาคงจะมีจิต คิดถึงเรา และอุทิศส่วนกุศลให้เรา บ้างเป็นแน่"

    แล้วก็เฝ้าแต่แลดูว่า เมื่อใด ญาติของตน จักเกิดจิตเป็นกุศล ทำบุญทำทานอีกสักครั้ง ความหวังของเขา บางทีก็สำเร็จ บางทีก็ไม่สำเร็จ ดังที่กล่าวมานี้

    แต่ถ้าเป็นเปรต ที่มีญาติเป็นมิจฉาทิฐิ ความหวังของเขา ที่ว่าจะคอยอนุโมทนาส่วนกุศลนั้น ย่อมไม่มีวัน ที่จักสำเร็จลงได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่า พวกมิจฉาทิฐิทั้งหลาย แม้จะได้ชื่อว่า ทำบุญ ทำทานอยู่บ้างก็จริง แต่ส่วนกุศลผลทาน ที่เขาทำภายนอกพระบวรพุทธศาสนานั้น ไม่มีพลังแรงพอ ที่จักอุทิศส่งไป ให้ถึงปรทัตตูปชีวีเปรตได้

    แท้จริง การที่เหล่าปรทัตตูปชีวีเปรต จักได้รับส่วนกุศลผลทาน ที่เหล่าญาติและมิตร อุทิศให้แก่ตนได้นั้น ย่อมเป็นการยากยิ่งนักหนา เพราะว่า จะต้องประกอบพร้อมไปด้วยเหตุสำคัญ ๓ ประการ คือ.....

    ๑. ทานที่เหล่าญาติ และมิตร ในมนุษย์โลกนี้กระทำนั้น ต้องเป็นทานที่ได้ถวายแก่ พระภิกษุ สงฆ์ ผู้ทรงศีลในพระพุทธศาสนา ซึ่งเรียกว่า "สังฆทาน"

    ๒. เมื่อเหล่าญาติ และมิตร ถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเรียกว่า สังฆทานแล้ว ต้องมีใจผ่องแผ้ว ตั้งจิตอุทิศส่วนกุศล ที่ตนได้บำเพ็ญทานนั้น มุ่งไปให้แก่ ปรทัตตูปชีวีเปรต

    ๓. ปรทัตตูปชีวีเปรตนั้น ต้องคอยรับ และคอยอนุโมทนา ด้วยความตั้งอกตั้งใจ เป็นหนักหนาหากว่า ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่มีใจเลื่อมใส ในการอนุโมทนา ก็หาได้รับส่วนกุศลผลทานนั้นไม่


    .......................................................................................................................................

    http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=21375.0
     
  2. สรวงพิมาน

    สรวงพิมาน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2017
    โพสต์:
    326
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +267
    "เปรตวิสัย"

     

แชร์หน้านี้

Loading...