เด็ก ๆ จำเป็นต้องทานเนื้อสัตว์จริงหรือ ?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย mossolo, 18 มิถุนายน 2008.

  1. mossolo

    mossolo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +101
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="icon" width="16">[​IMG]</td><td class="cattitle">เด็ก ๆ จำเป็นต้องทานเนื้อสัตว์จริงหรือ ?</td><td class="itemsubsub"><nobr></nobr></td></tr></tbody></table>
    บุตรของเธอ
    ไม่ใช่บุตรของเธอ
    เขาเหล่านั้น เป็นบุตรและบิดาแห่งชีวิต
    เขามาทางเธอ แต่ไม่ได้มาจากเธอ
    และแม้ว่าเขาจะต้องอยู่กับเธอ แต่ไม่ใช่สมบัติของเธอ
    เธออาจให้ความรักกับเขา แต่ไม่อาจให้ความนึกคิดได้
    เพราะว่าเขาก็มีความคิดของตนเอง
    เธออาจจะพยายามเป็นเหมือนเขาได้ แต่อย่าได้พยายามให้เขาเป็นเหมือนเธอ
    คาลิล ยิบราน


    [​IMG] ปัจจุบันความรู้ทางโภชนาการได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องความรู้เกี่ยวกับโปรตีนในอาหาร

    เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า โปรตีนเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกายของคนเรามากในหลาย ๆ เรื่อง
    ในอดีตนักวิทยาศาสตร์และนักโภชนาการได้ทำการค้นคว้าทดลองและมีการประกาศออกมาว่า “ร่างกายของคนเราต้องการโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่สำคัญ 8 ชนิด และโปรตีนจากเนื้อสัตว์เท่านั้นที่สามารถให้กรดอะมิโนที่สำคัญทั้ง 8 ชนิดแก่ร่างกายครบได้”

    ตั้งแต่นั้นมาโปรตีนจากเนื้อสัตว์กลายเป็นโปรตีนชั้นหนึ่ง (complete protein) และโปรตีนจากพืช (รวมทั้งอาหารอื่น ๆ ที่ไม่ได้ทำจากเนื้อสัตว์) กลายเป็น โปรตีนชั้นสอง (incomplete protein) ความเชื่อสืบต่อกันมานี้เอง เป็นสาเหตุสำคัญสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อาหารที่ทำขึ้นจากเนื้อสัตว์กลายเป็นอาหารที่จำเป็นสำหรับคนส่วนใหญ่ในโลก คนในหลาย ๆวัฒนธรรมจะถูกพ่อ แม่ คนเลี้ยง คูร อาจารย์ ฯลฯบังคับให้ทานเนื้อสัตว์มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เนื่องมาจากความรัก ความปรารถนาดี และความเชื่อถือเกี่ยวกับโปรตีนที่กล่าวมาข้างต้น บุคคลที่เคยชิน (ถูกcondition หรือโปรแกรม) กับการทานอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ก็มักจะถ่ายทอดความเชื่อเกี่ยวกับการทานเนื้อสัตว์ให้คนรุ่นต่อ ๆ ไป และนี่เอง คือที่มาของตำราสุขศึกษาหรือตำราโภชนาการ และสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนส่วนมากให้ความสำคัญอย่างยิ่งแก่การบริโภคอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์

    เราลองมาพิจารณาการค้นพบใหม่ ๆ ของนักวิทยาศาสตร์และนักโภชนาการกันดีกว่า ?


    ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์และนักโภชนาการ ยังคงยอมรับว่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์เป็นโปรตีนที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ร่างกายต้องการจนแทบจะไม่สามารถจะหาทดแทนจากอาหารพืชชนิดใดชนิดหนึ่งได้ แต่อาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์นอกจากจะมีคุณอนันต์ก็ยังมีโทษมหันต์แก่ร่างกายคนในหลาย ๆ ด้านอีกด้วย ฉะนั้นคนเราจึงควรพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ โดยเลือกทานอาหารชนิดอื่นที่สามารถให้โปรตีนที่สมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับเนื้อสัตว์ จากการวิจัยและการทดลอง นักวิทยาศาสตร์พบว่า การรับประทานอาหารที่ทำจากพืชหลาย ๆ ชนิดพร้อมกันในแต่ละมื้อก็สามารถให้โปรตีนที่สมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับเนื้อสัตว์ได้ เช่น ข้าว + ถั่ว นม + ขนมปัง + เนย , ข้าว + เต้าหู้ ,ข้าวโพด + ถั่ว ฯลฯ ยิ่งไปกว่านี้นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้ทำการทดสอบโปรตีนในอาหารที่ไม่ได้ทำขึ้นจากเนื้อสัตว์ พบว่า อาหารบางชนิด เช่น ถั่วเหลือง นมสด สามารถให้โปรตีนชั้นหนึ่ง (complete protein) ได้เช่นเดียวกับเนื้อสัตว์ทุกประการ ดังนั้นถ้าคนเรา (เด็กและผู้ใหญ่) ทราบถึงหลักการรับประทานอาหารที่ถูกต้องแล้ว เราจะสามารถเลือกรับประทานอาหารที่มีรสชาติดีและให้คุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ โดยไม่ต้องเสี่ยงต่ออันตรายของการบริโภคเนื้อสัตว์เลย ดังจากตัวอย่างรายการอาหารข้างล่างนี้

    อาหารหมู่ที่ 1 โปรตีน จาก ข้าว (โดยเฉพาะข้าวกล้อง) ขนมปัง (โดยเฉพาะจากขนมปัง whole wheat) นม เนย งา ถั่วต่าง ๆ โดยเฉพาะถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลือง เช่น โปรตีนเกษตร
    เต้าหู้ นมถั่วเหลือง ฟองเต้าหู้ ฯลฯ
    อาหารหมู่ที่ 2 คาร์โบไฮเดรต จากแป้ง ข้าว ขนมปัง เผือก มัน น้ำตาล ฯลฯ
    อาหารหมู่ที่ 3 ไขมัน จาก นม เนย น้ำมันพืช ฯลฯ
    อาหารหมู่ที่ 4 และ 5 เกลือแร่แลวิตามินจาก ผัก ผลไม้ ข้าว เมล็ดถั่ว และอาหารจากธรรมชาติแทบทุกชนิด

    การเลือกทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ จากรายการอาหารข้างบนนี้ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็สามารถทานอาหารให้ครบคุณค่าอาหารที่ร่างกายต้องการในราคาที่ประหยัด และไม่ต้องเสี่ยงต่ออันตรายจากการบริโภคเนื้อสัตว์ที่นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้ค้นพบดังต่อไปนี้

    สารที่เป็นพิษ

    ก่อนที่สัตว์จะถูกฆ่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ใหญ่ ๆ ที่มีจิตสำนึกค่อนข้างสูง เช่น วัว หมู จะเกิดความกลัวอย่างสุดขีด และพยายามดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์เพื่อปกป้องชีวิต ชีวเคมีในตัวสัตว์เคราะห์ร้ายเหล่านี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ ฮอร์โมนที่เป็นพิษจะถูกขับออกมามากอย่างน่าตกใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งฮอร์โมนแอดรีนาลีนปริมาณฮอร์โมนที่เป็นพิษนี้ยังคงอยู่ในเนื้อสัตว์ที่ตายแล้วนั่นเอง และผู้ที่บริโภคเนื้อสัตว์นั้นก็จะได้รับสารที่เป็นพิษต่างๆ อย่างเต็มที่


    มะเร็ง
    เนื้อของสัตว์ที่ตายแล้ว จะคงความสดอยู่ได้ไม่นานก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นสีเทาอมเขียว ดังนั้น ผู้ที่ขายเนื้อจึงพยายามกลบเกลื่อนสีที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยพวกสารไนเตรต พวกสารไนเดรต(ดินประสิว)ที่จะช่วยทำให้เนื้อเหล่านี้คงสภาพสีแดงสดน่ารับประทานอยู่ได้นานนั้น จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์พบว่า สารเคมีต่าง ๆเหล่านี้เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งในร่างกายของคนเรา จึงไม่น่าประหลาดใจเลยว่า ทำไมคนในสังคมไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีคนรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณที่สูงจึงมีคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปริมาณสูงทุกปี ดร. วิลเลียม ลิยินสกี ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคมะเร็ง

    ของสหรัฐอเมริกาถึงกับกล่าวว่า “ผมไม่ยอมแม้แต่จะให้แมวของผมได้กินอาหารที่มีสารไนเตรตปนอยู่” (เรายังจะให้ลูกหลานของเราทานอาหารทีมีสารเคมีเหล่านี้ผสมอยู่อีกหรือ ? ? )

    โรคหัวใจ

    พวกไขมันจากเนื้อสัดว์ เช่น โคเลสเตอรอล ไม่สามารถสลายตัวได้ดีในร่างกายของคนเรา ไขมันเหล่านี้จะเริ่มเกาะเป็นแนวบางๆตามผนังด้านในของหลอดเลือดของผู้บริโภคเนื้อสัตว์ เมื่อเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า ไขมันเหล่านี้ก็จะมีการสะสมมากขึ้นทีละน้อย ช่องในหลอดเลือดก็จะแคบลงแคบลง ซึ่งหมายความว่า หลอดเลือดเหล่านี้ยอมให้เลือดไหลผ่านไปได้น้อยลง น้อยลง สภาวะนี้เองทำให้หัวใจต้องทำงานหนักในการสูบฉีด เพื่อให้เลือดสามารถเคลื่อนผ่านพวกหลอดเลือดที่บอดและอุดตันนี้ไปได้ จากสภาพร่างกายแบบนี้เองจึงทำให้คนเราเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และทำให้เกิดอาการหัวใจวายได้

    โรคไต โรคเก๊าท์ และโรคไขข้ออักเสบ

    ของเสียจากเนื้อสัตว์ที่ผู้บริโภคเนื้อจะต้องได้รับก็คือ ยูเรียและกรดยูริค ในเนื้อสันของวัวหนึ่งกิโลกรัมจะมีกรดยูริคอยู่ประมาณ 30 กรัม แพทย์อเมริกันได้วิเคราะห์น้ำปัสสาวะของผู้บริโภคเนื้อเปรียบเทียบกับพวกไม่บริโภคเนื้อ พบว่า ไตของผู้ที่บริโภคเนื้อต้องทำงานหนักเป็น 3 เท่าของผู้ที่ไม่บริโภคเนื้อ เพื่อที่จะพยายามกำจัดสารที่เป็นพิษนี้ออกจากร่างกาย การทำงานอย่างหนักของไตนี้เป็น สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคเนื้อสัตว์ในปริมาณมากเป็นโรคไตได้ง่าย

    เมื่อใดที่ไตไม่สามารถขจัดกรดยูริคที่เกิดจากการบริโภคเนื้อในประมาณมากได้ กรดยูริคนี้จะถูกส่งไปทั่วร่างกาย กรดเหล่านี้จะเริ่มแข็งตัวและก่อรูปเป็นผลึก ซึ่งมักจะเกิดขึ้นตามข้อต่อของกระดูก ในไม่ช้าผู้ที่บริโภคเนื้อเป็นจำนวนมากนี้จะเกิดอาการเจ็บปวดตามข้อ ตามกล้ามเนื้อ อันเป็นอาการของโรคเก๊าท์ หรือโรคข้ออักเสบ แพทย์จึงมักเรียกโรคหัวใจ โรคเก๊าท์ โรคข้ออักเสบ ว่าเป็น “โรคของคนมีเงิน” (อาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ มีราคาแพงกว่าอาหารชนิดอื่นมาก) และแนะนำให้ผู้ป่วยด้วยโรคเหล่านี้งดหรือลดการบริโภคเนื้อสัตว์และไขมันที่ทำจากสัตว์ลง

    อาหารที่ทำขึ้นจากเนื้อสัตว์มีสารที่เป็นสิ่งเสพติด

    นักวิทยาศาสตร์และนักโภชนาการในสมัยปัจจุบันยังได้ค้นพบอีกว่า คาวจากเลือดของอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์เป็นสารเสพติดอย่างแรงต่อร่างกายมนุษย์ นักโภชนาการชาวอเมริกันได้ทำการทดลองกับกลุ่มคนที่บริโภคเนื้อสัตว์มาตั้งแต่กำเนิด และบริโภคเนื้อสัตว์ในปริมาณที่มากในแต่ละมื้อ โดยให้หยุดการบริโภคเนื้อสัตว์อย่างกะทันหันและเด็ดขาด โดยให้ทานอาหารที่ทำจากพืชที่มีรสชาติ รูปร่างหน้าตาคล้ายกับอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์และมีคุณค่าอาหารครบ ปรากฏว่าคนในกลุ่มที่ทดลองเกิดอาการคล้าย ๆ กับคนลงแดงเหมือน ๆ กัน คือ ทานอาหารไม่อร่อย รู้สึกไม่อิ่ม ร่างกายอ่อนแอ ไม่มีเรี่ยวแรง และอยากแต่จะทานอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ นักวิจัยกลุ่มนี้ถึงกับกล่าวว่า “นอกจากเนื้อสัตว์จะมีอันตรายอย่างยิ่งแก่คนเราแล้ว เนื้อสัตว์ยังเป็นอาหารเสพติดที่เลิกได้ยากยิ่งอีกด้วย”

    เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าเนื้อสัตว์มีอันตรายต่อร่างกาย ในเมื่อเราเองก็ทานเนื้อสัตว์มาเป็นเวลานาน (ร่างกายก็ยังดูแข็งแรงดี) และแพทย์ส่วนใหญ่ก็ลงความเห็นว่าเนื้อสัตว์มีประโยชน์ต่อร่างกาย นักโภชนาการสมัยใหม่ได้เสนอวิธีการง่ายที่สุดให้คนเราได้พิสูจน์คุณหรือโทษของเนื้อสัตว์ ด้วยการตรวจสารเคมีในเลือด ในปัจจุบันมีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สามารถตรวจสารเคมีใน เลือดที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายคนเราได้เป็นอย่างดี เช่น ถ้าเราเจาะเลือดตรวจแล้วพบว่า มี Total cholesterol สูงแสดงว่าเรามีไขมันในเลือดสูง โอกาสที่จะเป็นความดันโลหิตสูง หรือ เป็นโรคหัวใจ หรือหัวใจวายก็มีมาก วิธีพิสูจน์ด้วยตนเองสามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้ เริ่มจากการเจาะเลือดเพื่อตรวจสารเคมีในเลือด หลังจากนั้นพยายามทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ โดยงดหรือลดการบริโภคเนื้อสัตว์ (โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ ๆ เช่น หมู เนื้อ รวมทั้งไข่ทุกชนิด) เป็นเวลา 3-4 สัปดาห์ แล้วตรวจสารเคมีในเลือดตามรายการข้างล่างอีกครั้งหนึ่ง จะพบว่า สภาพสารเคมีในเลือดที่เป็นตัวบ่งชี้ถึงความแข็งแรงของร่างกาย จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นจนเราต้องตกใจ (ถ้างดเนื้อสัตว์ทุกชนิด รวมทั้งไข่จะเห็นผลภายใน 1 -2 สัปดาห์เท่านั้น)
     

แชร์หน้านี้

Loading...