เงื่อนไขของชีวิตและสังคม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย wisarn, 15 เมษายน 2010.

  1. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    เงื่อนไขของชีวิตและสังคม
    ธรรมบรรยายโดย เขมานันทภิกขุ
    แสดงแก่คณาจารย์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ โรฒ บางเขน
    ๒๘ สิงหาคม ๒๕๑๘
    [​IMG]
    ท่านรองอธิการบดี ท่านคณาจารย์ และนักศึกษาผู้สนใจในธรรมบรรยายทั้งหลาย
    ถ้าเราจะเปรยขึ้นว่า เดี๋ยวนี้มนุษย์มิได้ต่างกับสัตว์เท่าใดเลยในด้านการบำบัดพื้นฐานของมนุษย์ เช่น การกิน การแสวงหาอำนาจอะไร ๆ ก็ดี และถ้าจะถามว่า เพราะเหตุใดเล่า มนุษย์จึงดูเสมือนวิวัฒนาการขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง จนได้แยกสายวิวัฒนาการแตกต่างจากสัตว์มากมาย เห็นปานนี้ มนุษย์มีวัตถุปัจจัย เครื่องอาศัย ที่เราเห็น ๆ กันอยู่ เช่น ตึกรามบ้านช่อง ในขณะที่สัตว์เหล่านั้นยังอยู่รูอยู่รังเหมือนเดิม เราอาจจะมีคำตอบหลาย ๆ ประเด็น แต่ว่าอาตมภาพขอชี้ให้ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลายได้สำนึก หรือย้อนไปถึงสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นอาวะวิเศษและร้ายกาจที่สุดในหมู่มนุษย์ สิ่งนั้นคือภาษา จริงอยู่สัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นก็มีภาษาของเขาเอง แต่ภาษาเหล่านั้นไม่อาจที่จะเทียบกับภาษาของมนุษย์ได้ เพราะว่ามนุษย์ก็มีภาษา มีความคิด มีมโนภาพ มีสัญลักษณ์ ซึ่งสิ่งที่เรียกว่า ภาษา ความคิด และมโนภาพ ไม่ใช่ของที่แตกต่างกัน แต่เป็นปฏิกิริยาเนื่องถึงกัน เช่นขณะที่เราพูด ขณะนั้นเรากำลังคิด หรือขณะที่เรากำลังคิดอยู่คนเดียว ในขณะนั้นเรากำลังพูดอยู่ข้างในด้วย ด้วยเหตุนี้ ทั้งภาษา ความคิด มโนภาพ ซึ่งอาตมภาพจะขอเรียกเพียงคำ ๆ เดียว เป็นภาษาที่ท่านทั้งหลายก็เคยชินอยู่แล้ว ขออภัยด้วยสำหรับท่านที่ไม่ประสงค์ให้ภาษาอังกฤษปะปนกับภาษาไทย แต่เราใช้ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เพื่อความหลงใหล แต่เพียงเพื่อย่นเวลาของท่านผู้คงแก่เรียน ก็คือว่า ภาษา - ความคิด - และมโนภาพนั้น เรียกรวมกันว่า concept
    มนุษย์มี concept และ concept นั้นวิวัฒนาการขึ้นตามกาลสมัยเรื่อยมา ด้วยเหตุนี้ สายวิวัฒนาการแห่งมนุษย์จึงแยกจากสัตว์อย่างรุนแรง และรวดเร็ว ภาษา ความคิด และมโนภาพ ซึ่งได้กระจายออกมาสู่ ภาษาพูด ภาษาสัญลักษณ์ในวิชาพีชคณิต หรือ เลขคณิต หรือเรขาคณิต และในที่สุด จึงเกิดเป็นวิทยาศาสตร์แห่งภาษา ที่เรียกกันว่า ตรรกเชิงคณิตศาสตร์ ซึ่งท่านทั้งหลายคงจะทราบกันดีอยู่แล้ว นั่นก็คือว่า วิทยาศาสตร์แห่งภาษา ภาษาไม่ได้เป็นเพียงอักษรศาสตร์สามัญเสียแล้ว ได้กลับกลายเป็นวิทยาศาสตร์ คือการหาข้อมูลที่เป็นญัตติ และมีบทสรุปเหมือนกับวิชาเลขคณิต ซึ่งเราท่านทั้งหลายคุ้นหูกันดี ในวิชาเรื่องของ computer หรืออะไรทำนองนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็พบว่า อาวุธที่ร้ายกาจที่สุดของมนุษย์ ถ้าได้เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ คือ ภาษา ความคิด มโนภาพ สัญลักษณ์ และไปรวมสรุปอยู่ที่ตรรกเชิงคณิตศาสตร์ (mathematical logic)
    มนุษย์มี concept มากเท่าใด มีตรรกเชิงคณิตศาสตร์มากเท่าใด มนุษย์ก้Hใช้ สิ่งนั้นเองเข้าไปวิเคราะห์ หรือตีความธรรมชาติ เหมือนดังที่อาตมภาพได้เคยอุปมาให้ฟังในธรรมบรรยายคราวที่แล้วว่า สิ่งที่เรียกว่า ธรรมชาตินั้น เราไม่อาจจัดได้เลยว่า มันเป็นอะไรหันแน่ เราไม่อาจให้ขีดจำกัดว่า ธรรมชาติคืออะไร อุปมาเหมือนกับระฆังใบหนึ่ง ซึ่งเสียงที่ถูกตีออกมานั้น ไม่อาจจัดได้ว่าเป็นเสียงของระฆังแต่ประการเดียว จะต้องสัมพันธ์อยู่กับไม้ที่ตีระฆังนั้นด้วย ถ้าเราใช้ไม้คอร์คตี เสียงก็ดังเป็นเสียงหนึ่ง ถ้าเราใช้เหล็ก เสียงก็คงเป็นอีกเสียงหนึ่ง นั้นก็เป็นอุปมา มนุษย์ใช้ concept ของมนุษย์เข้าไปวิเคราะห์ธรรมชาติ หรือตีความธรรมชาติ สิ่งที่ออกมานั้น ไม่ใช่ธรรมชาติบริสุทธิ์ แต่เป็นธรรมชาติที่ประสม หรือคลุกเคล้ากับ concept ของมนุษย์เสียแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เรียกว่า concept นั้นเอง จะปิดบังสัจจะในธรรมชาติเสียเอง ก็คือมนุษย์พบแต่การงอกงามของ concept ของตัว ที่แนบเนื่องหรือควบคู่กับธรรมชาติเท่านั้น อุปมาเหมือนแม่มุกตัวหนึ่งที่เม็ดกรวดเม็ดหนึ่งเข้าไปแหย่ข้างในให้มันรำคาญ แล้วมันก็พ่นน้ำเมือกออกมาหุ้มเม็ดกรวดนั้น แล้วก็ออกมาเป็นเม็ดมุกสวย ๆ ให้เราประดับ นั่นก็คือว่ามนุษย์ project concept เดิมของตัวออกมา ตามที่ตัวเองถูกปูบัญญัติเอาไว้ ผู้ใดเป็นหมอ ก็ปูบัญญัติด้วยลักษณะของหมอ ผู้ใดเป็นนักคณิตศาสตร์ ก็ถูกปูบัญญัตินั้นไว้ ผู้ใดเป็นนักอักษรศาสตร์ ก็ปูบัญญัติแห่งวิถีทางแห่งอักษรศาสตร์ไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อท่านทั้งหลายจะได้ยินเรื่องใหม่ ๆ ขึ้นมา ท่านต้องพ่นน้ำเมือกเดิม คือสิ่งที่เคยเรียนรู้เก่าขึ้นหุ้ม ในที่สุด การงอกงามของ concept เป็นไปอย่างเชื่อง ช้าที่สุด ไม่อาจที่จะลัดพรวดเดียว หรือฉับพลันเข้าไปสู่ตัวธรรมชาติ และตัวธรรมชาตินั้นไม่ได้ห่างจากตัวเลย ก็เพราะว่าความคิดก็เป็นธรรมชาติ มนุษย์ยิ่งเป็นธรรมชาติ ที่มาแห่งความคิดก็มาจากธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงคิดเก่งเท่าใด มนุษย์ยิ่งไม่รู้จักความคิดเท่านั้น เพราะว่าเมื่อมนุษย์กำลังคิด แม้กำลังคิดถึงตัวความคิด มนุษย์ไม่อาจรู้จักความคิด เพราะยิ่งคิดยิ่งถูกคิด เหมือนเราว่ายน้ำทวนกระแส ยิ่งว่ายขึ้นไป มันถูกแทงลงมา ว่ายขึ้นไป มันถูกแทงลงมา
    คราวนี้มาถึงวิธีเรียนของพระพุทธ หรือวิธีเรียนของบรรพชิตทั้งหลาย ไม่ใช่การคิด ท่านจะเรียกมันว่า วิธีโยนิโสมนสิการ คือ การระงับความคิดลง ระงับสำรวมลง จนเห็นกระแสแห่งความคิด เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงค่อย ๆ รู้จักความคิดที่สัมพันธ์กันอยู่กับสิ่งแวดล้อม และในที่สุดเรามาถึงบทที่ตัดสิน หรือวิเคราะห์ได้ว่า โลกทุกวันนี้ กำลังมุ่งไปสู่ปรัชญาการเรียนหรือการงอกงามของการศึกษา ชนิดที่นำไปสู่การยั่วยุอายตนะ ให้ฟุ้งเฟื่องมากมาย ซับซ้อนขึ้นอย่างไม่มีสิ้นสุด อาตมาจะเรียกปรัชญาการศึกษาปัจจุบันนี้ว่า ปรัชญาการศึกษาแห่งการยั่วยุอายตนะ ก็คือมนุษย์ยิ่งคิดเก่งขึ้น คิดเก่งขึ้น จนไม่รู้จักตัวเองในที่สุด
    ท่านทั้งหลายคงจะเห็นแล้วว่า เมื่อมนุษย์มีภาษาเท่าใด คิดเก่งเท่าใด มนุษย์ก็แผ่ขยายอายตนะมากขึ้นเท่านั้น การแผ่ขยายอายตนะนั้นเราตีความหมายคลุมไปถึงมนุษย์ค้นพบวิทยาการสมัยใหม่ กล้องจุลทัศน์ โทรศัพท์ โทรทัศน์ วัตถุที่เกิดจากวิทยาการเหล่านั้น มนุษย์นำเข้ามาประทับ ผนวกกับอายตนะเดิมของมนุษย์คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วมนุษย์จึงมีอายตนะที่ขยายออกอย่างฟุ่มเฟือย ที่สุดเรานั่งอยู่ที่นี่อาจรู้เรื่องราวในทวีปแอฟริกา หรืออาจจะได้ยินเสียงแม้ที่ดวงจันทร์ ซึ่งข้อนี้เราอาจจะวัดว่า นี่คือความเจริญของหมู่มนุษย์ แต่แล้วขอให้ท่านทั้งหลายรำลึกให้ดีสักหน่อย มนุษย์ยิ่งแผ่ขยายอายตนะออกไปเท่าใด มนุษย์ยิ่งสูญเสียชีวิตเชิงง่าย ชีวิตเชิงง่ายหมายความว่า ชีวิตที่อาจให้อายตนะดำเนินชีวิตอย่างง่ายดาย รวดเร็วฉับพลัน ในการสลัดออกจากอารมณ์ หรือความคุ้นคิดที่ฟุ้งซ่าน การแผ่ขยายอายตนะ เราจะเรียกว่า มันทำให้เกิดสวัสดิการ หรือสวัสดิการในสังคมขึ้นก็ได้เช่นวิทยาการสมัยใหม่ที่เกิดจากภาษา หรือตรรกเชิงคณิตศาสตร์ทำให้เราเกิดความอบอุ่นปลอดจากอันตรายหลายด้าน จากภัยธรรมชาติ นี่เป็นอย่างบวกที่มนุษย์หรือความเจริญในหมู่มนุษย์เกิดขึ้น และการแผ่ขยายอายตนขึ้นเองเป็นอาวุธร้ายของสังคมซึ่งเอามารวมกันอยู่ เช่น นาย ก. ปั่นด้ายด้วยเครื่องจักรชนิดใดชนิดหนึ่ง นาย ข. เป็นหมอ นาย ค. เป็นทนายความ นาย ง. เป็นครู ในที่สุดมนุษย์ทุกคนก็สูญเสียการดำเนินด้วยเอกสิทธิ์ในชีวิตของตัวเอง แล้วก็ต้องอิงกันอยู่ เกาะกลุ่มกันอยู่เพราะนาย ก. ไม่อาจไปปั่นฝ้ายได้ นาย ก. จึงต้องหาเงินเพื่อไปซื้อเสื้อมา และนาย ก. ก็มืดบอดต่อการปั่นฝ้าย นาย ข. ผู้ปั่นฝ้ายก็ไม่รู้จะรักษาตัวเองอย่างไร ก็ต้องพึ่งเงิน วัตถุที่เป็นกลาง สิ่งสมมุติที่เป็นกลาง เพื่อหายาและหมอมารักษาตัว
    สังคมไทย แต่เดิม มีภาษิตบทหนึ่ง หรือคำพังเพยหนึ่งว่า ลูกพ่อคนหนึ่งหุงข้าวเหนียวเหมือนนึ่ง ลูกพ่อคนหนึ่งถากไม้เหมือนหมาเลีย คำพูดนี้ดู ๆ คล้าย ๆ ตลก แต่ขอให้พิจารณาดูให้ดี ลูกสาวของพ่อคนหนึ่งนั้นหุงข้าวเหนียวเหมือนนึ่ง คือเก่งถึงขนาดเรียกว่า ข้าวเหนียวที่ต้องนึ่งจึงจะสุกดี เขาหุงเอา แล้วลกชายคนหนึ่งถากไม้เหมือนหมาเลีย หมายความว่าไม่ต้องใช้กบไส ลากเอาด้วยผึ่ง จนกระทั่งเกลี้ยงเหมือนสุนัขเลียจานข้าวและลูกชายลูกสาวเหล่านั้นรับใช้ตัว เองได้ คือเด็กหนุ่มคนหนึ่งจะต้องสร้างบ้านเป็นก่อนแต่งงาน และทำนาเป็น ทำอะไรสารพัดเป็นหมดทั้งสิ้น ในที่สุดอาตมาจะชี้ให้ท่านทั้งหลายเห็นว่า มนุษย์เมื่อรวมกันขึ้นเป็นสังคมแล้วมนุษย์ได้เกิดสวัสดิการอย่างใหญ่หลวง โดยมีเงินหรือเครดิตเป็นตัวกลางและมนุษย์เริ่มแผ่ขยายอายตนะขึ้นไป มนุษย์เริ่มแสวงหาอำนาจ เพื่อกักตุนวัตถุปัจจัย หรือแม้แต่ความรู้ที่เรากำลังเร่งเรียนกันทุกวันนี้แต่มนุษย์ได้สูญเสีย อย่างร้ายกาจ คือชีวิตเชิงง่ายที่รับใช้ตัวเอง หรือชีวิตเชิงง่ายที่พร้อมเสมอที่จะสลัดออกซึ่งอารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนา
    ขอให้ท่านทั้งหลายสังเกตสุนัขให้ดี เมื่อสุนัขนอนที่ที่หนึ่ง ถูกมดกัดก็ลุกขึ้นสลัดขนย้ายที่ และเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ แม้ต้องกัดกันยับเยิน แต่พอหมดฤดูแล้ว มันก็หลับสนิท และตื่นขึ้นอย่างง่ายดาย แต่มนุษย์ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ด้วยเหตุนี้ ในคัมภีร์ไบเบิล จึงเขียนไว้ว่า มนุษย์ถูกขับไล่ออกจากสวนสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าเพราะไปรู้จักแผ่ขยาย อายตนะ แยกแยะเรียกดี เรียกชั่ว เรียกสูง เรียกต่ำ ในขณะที่สัตว์ทั้งหลายนั้นพระผู้เป็นเจ้ายังเลี้ยงดูอยู่บนสวนสวรรค์ไม่ได้ ถูกขับออกไป นี่เองคือพี่ที่ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลายจำเป็นต้องทำความรู้จักเป็นประการ แรก ไม่เช่นนั้นแล้วการแผ่ขยายอายตนะนั้นเองกลับกลายมาเป็นหอก ที่ย้อนกลับเสียบแทงมนุษย์เหมือนที่พระคริสต์ท่านตรัสว่า พระบิดาในสวรรค์จะทำให้ผู้คงแก่เรียนวางกับไว้งับขาตัวของเขาเอง ทั้ง ๆ ที่เขาได้วางกับไว้เอง เพราะว่าผู้คงแก่เรียน มักจะขี้โมโหและจะต้องตายด้วยโรคเส้นโลหิตแตกในสมอง คือเขาไม่สามารถระงับความคิดของเขาได้ จะมีแต่ความหงุดหงิด ซึ่งเราพบความจริงว่า ชาวบ้านชาวสวนถึงเวลานอนก็หลับสนิท ทั้ง ๆ ที่เราคิดว่า เขาเห็นคนโง่เขลา นี่สิ่งแรกที่ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลายได้โปรดสำนึกให้ดี เพราะว่ามันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดในทางแห่งชีวิต ซึ่งอาตมภาพจะสรุปไว้เพียงแค่นี้ว่า ชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน โดยเฉพาะท่านที่เรียกตัวเองว่าปัญญาชนนั้น คือชีวิตที่เป็นcomplex existence เป็นอยู่อย่างซับช้อน และเต็มไปด้วยความขาดแคลนและรอคอย เรากำลังคิดว่า เราไม่พอ เรายังขาด เรายังพร่อง แล้วก็เรียกร้องนี่คือผลของการศึกษาของโลก หรือหลักสูตรการศึกษา ที่ทำให้นักศึกษาทุกคนรู้สึก หรือเรียกร้อง และในที่สุดไม่มีทางพ้นจากคำว่ารุนแรงเมื่อไม่ได้ดังใจ ส่วนชีวิตเชิงง่าย ขอให้ท่านทั้งหลายสังเกตดูให้ดี เด็กบ้านนอก เอาไปทิ้งไว้ในป่า ไม่เป็นไร หายอดผัก ยอดไม้ กินได้ ชีวิตเชิงง่ายจะเต็มไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า common sense สิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ นั้น ไม่ใช่อะไรอื่นคือเรื่อง common sense นี่เอง ธรรมะทั้งหมดเป็นระบบประพฤติเพื่อเรียกกลับมาซึ่งสัญชาตญาณอย่างง่ายในการ ดำเนินชีวิต ผู้ที่ประพฤติธรรมได้ผล หูของเขาจะเริ่มไวต่อธรรมชาติ จิตของเขาจะเริ่มไวต่อการตัดสิน ต่อทางแห่งการสลัดออกจากอารมณ์ ตาของเขาจะตัดสินอะไรอย่างง่ายดาย ตามธรรมชาติที่เป็นจริงไม่เกี่ยวด้วยเรื่องสมมุติหรือบัญญัติ แม้ว่าเขาจำเป็นต้องดำเนินชีวิตอยู่ในท่ามกลางของการสมมุติหรือบัญญัติแห่ง สังคมก็ตาม
    ขอสรุป ว่า สังคมให้สวัสดิการพร้อม ๆ กันนั้น สังคมให้วิกฤตการณ์ในชีวิตขึ้นมา แม้ว่ามนุษย์จะแผ่ขยายอายตนะขึ้น และประดิษฐ์เครื่องจักรกล ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตในวงกว้างเพื่อรับใช้หมู่มนุษย์ แต่ขอให้ท่านทั้งหลาย หลับตานึกดูให้ดี ปัญหาของโลกก็เกิดขึ้น การผลิตวัตถุปัจจัย ที่จะมาเป็นการบำบัดขั้นพื้นฐานนั้นเอง ได้กลับกลายมาเป็นวิกฤตการณ์ในหมู่มนุษย์ เพราะว่ามนุษย์ได้แผ่ขยายอายตนะขึ้น และเต็มไปด้วยความรู้สึกว่าไม่พอ ไม่พอ ไม่พอ ด้วยเหตุนี้วิชาการต่าง ๆ เช่นวิชาเศรษฐศาสตร์ก็ดี วิชาอื่น ๆ ก็ดี จะให้คำนิยามเพื่อสนองตอบต่อปัญหาที่ไม่พอ ไม่รู้จักพอของมนุษย์ เช่น วิชาเศรษฐศาสตร์ให้คำนิยามว่า คือการเพิ่มผลผลิตให้พอเพียงแก่ความต้องการมนุษย์ ซึ่งเราไม่ได้ตอบว่า แค่ไหนมนุษย์จึงจะพอเพียง และเมื่อ concept เป็นผลิตผลของยุคสมัยด้วยแล้ว มนุษย์อีกร้อยศตวรรษข้างหน้า คำว่า พอ ของเขาจะแผ่ขยายออกไปอีกสักเท่าไร ขอให้ท่านทั้งหลายหลับตาตรองดู และวิกฤตการณ์จะเกิดขึ้นอย่างไรแค่ไหนและไม่มีทางทางหลีกเลี่ยงได้เลย
    อาตมภาพขอสรุปหัวข้อแรก ที่ได้ตั้งต้นของคำบรรยายนี้ว่า สังคมสร้าง concept หรือถ้าเรียกเป็นภาษาสันสกฤต และบาลี ก็เรียกว่า อธิพจน์อธิวัจนะขึ้นมา ในทำนองที่ ให้มนุษย์สัมผัสกับสิ่งรอบตัว และเกิดความหมายในทางกระตุ้นชีวิตให้วิ่งไปข้างหน้า คือการปลุกเร้าอายตนะ ชีวิตทุกชีวิตที่ถูกโปรยลงมาในลู่กรีฑาแห่งชีวิตนี้ เด็กหนุ่มสาวทุกคน จะถูกสูตรสำเร็จบีบให้วิ่งอย่างสุดแรงเกิดด้วยคำนิยามที่เรียกว่าปรัชญา เงิน เกียรติ ที่ดิน คู่ครองอย่างชนิดที่เขาจะไม่มีโอกาสที่จะหยุด แม้แต่คิดว่า สิ่งนั้นคืออะไร ในที่สุดท่านทั้งหลายก็พบด้วยตนเองว่า ชีวิตเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย เหนื่อยเหลือที่จะกล่าวได้ ทั้งนี้เพราะอะไรเล่า เพราะว่าการแสวงหาที่ไม่รู้จักเงื่อนไขของชีวิตนั่นเอง บางคนหาเงินแทบล้มประดาตาย จนในที่สุดตายแล้วยังไม่รู้ว่า จะเอาเงินไปใช้ทำอะไร บางคนหาความรู้จนท่วมท้นไปทั้งชีวิต แต่ไม่อาจจะช่วยชีวิตให้พ้นจากอารมณ์ร้ายแม้แต่สักวินาทีเดียว เราจะเรียกบุคคลชนิดนี้ว่าอย่างไร ก็เห็นจะต้องใช้คำของบรรพบุรุษที่ว่า รู้มากยากนาน นั่นเอง คือ ยิ่งรู้ ยิ่งไม่รู้ ยิ่งมีแต่ความบอดใบ้เข้าทุกที เพราะความรู้ที่แท้จริงนั้นจะต้องหมายถึงรู้เงื่อนไขของชีวิต และเป็นอันทำให้การแสวงหานั้นพอดิบพอดีที่จะรับใช้ชีวิต เพื่อจะมุ่งเข้าไปสู่เป้าหมาย ที่เราได้สนทนาหรือบรรยายกันแล้วในคราวก่อนถึงเรื่อง ความหมาย จุดหมาย ปมปัญหาของชีวิต แม้จะเป็นการบรรยายที่กระท่อนกระแท่น เนื่องจากความไม่ปกติบางประการก็ตาม
    อาตมภาพขอเลื่อนมาถึงสิ่งที่เรียกว่า การแสวงหาของมนุษย์ ในขณะที่คนคนหนึ่งกำลังแสวงหากามอย่างตามืดตามัวในสังคม อีกคนหนึ่งกำลังแสวงหาเกียรติอย่างคิดเอาชีวิตเข้าแลก และมีคนอีกประเภทหนึ่งกำลังเพียรพินิจเพ่งกัมมัฎฐานเพื่อแสวงหาวิมุตติอย่าง สุดแรงเกิด ทั้ง ๓ ประเภทนี้มุ่งแสวงหาอย่างสุดแรงเกิดเหมือนกัน เขาแสวงหากาม ก็เพราะเขาคิดว่ากามเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ฝ่ายที่แสวงหาเกียรติ ก็เพราะเห็นว่า เกียรติประเสริฐกว่ากาม ฝ่ายที่แสวงหาพรหมจรรย์ คือวิมุตติ หรือทางหลุดรอดหรืออิสรภาพอย่างแท้จริง ก็เหยียดหยามกามและเกียรติว่า เป็นเรื่องยังต่ำนักการแสวงหาทั้ง ๓ นี้เอง เป็นจริงอยู่ทุกยุคทุกสมัย นี่คือเงื่อนไขของสังคม
    ท่านทั้ง หลาย มัวประเมินภาวะหรือวิกฤตการณ์แห่งลังคมที่ไหนเล่าท่านไปดูที่ปลายเหตุ เข่นการเดินขบวน การปาระเบิด การโต้เถียง การต่อสู้ทางรัฐสภา แต่อาตมภาพขอร้อง ให้ท่านดูไปที่รากเหง้าของการต่อสู้ให้ดีว่า คือการแสวงหา เขาอาจจะสมาทานอุดมคติของผู้แทนราษฎร แต่ในส่วนล้ำลึกของเขานั้น เขากำลังแสวงหากาม เพื่อลูกเพื่อเมียของเขา หรือบางคนไม่แสวงหาถาม เพราะเหนื่อยหน่าย หรือเห็นว่ากามเป็นของต่ำ แต่เขาแสวงหาเกียรติยศชื่อเสียงเพื่อตัวเอง แต่ยังมั่นอยู่ไม่ใช่น้อยในโลกนี้ ที่เห็นความเหลวไหลไร้สาระของกามและเกียรติ มุ่งแสวงหาวิมุตติ หรือพรหมจรรย์ ขอให้ท่านทั้งหลายจำให้ดีว่า คำว่า พรหมจรรย์ ไม่ได้หมายความตามภาษาไทยที่หมายถึงว่า หญิงสาวที่ยังไม่มีคู่ แต่กลับหมายถึงความประพฤติอันประเสริฐที่มุ่งถึง วิมุตติภาวะ คืออิสรภาพที่แท้จริง
    ที่จริง แล้ว การแสวงหาทั้งสามนั้น ก็คือการแสวงหาวิมุตตินั่นเอง แต่ว่าคนที่แสวงหากามสำคัญผิดว่า อิสรภาพอยู่ที่มีกามอย่างฟุ่มเฟือย และสิ่งนี้ถูกเข้าใจผิดมาก่อนพุทธกาลด้วยซ้ำไป เขาถือว่ากามนี้เองเป็นนิพพาน เมื่อเกิดความรุ่มร้อน กระสับกระส่ายในจิตใจ ระหกระเหินขึ้นมาแล้ว ก็ให้แสวงหาวัตถุกามให้เพียงพอ นี่แหละ เรื่องของ กามสุขัลลิกานุโยค บุคคลประเภทนี้ แสวงหาฮาเร็มขึ้นมา เพื่อนิพพานลงของความทุกข์ เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายอย่าพึงประณามผู้แสวงหากาม โดยไม่รู้มูลฐานของเขา แต่เพราะความสำคัญผิด คิดว่ากามเป็นเครื่องระงับทุกข์ได้เด็ดขาด เขาจึงแสวงหามันเพื่อนิพพานลงของความเร่าร้อนของชีวิต จนกระทั่งมีพวกอีกพวกหนึ่งถือว่าเกียรติยศ หรือภพใดภพหนึ่งในสังคม เกียรติยศที่ตัวเองรู้สึกเป็นความประเสริฐที่สำคัญกว่ากาม ก็สำคัญสิ่งนั้นว่าเป็นนิพพาน ส่วนบุคคลอีกประเภทหนึ่งนั้น ถือว่าความสงบเย็น ซึ่งเป็นภพอีกภพหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งเรียกว่า พรหม รูปพรหม อรูปพรหม อะไรก็ตาม สิ่งนั้นเป็นสภาวะในใจ มีใช่อยู่ที่บนท้องฟ้า บนสวรรค์ ดังที่เขาอธิบายกัน มันคือสถานภาพของจิต ที่ควบคุมให้ระงับจนเยือกเย็นขึ้นมาระดับหนึ่ง เช่น ปฐมฌาน ทุติยฌานตติยฌาน เรื่อย ๆ ไป อย่างนี้เรียกว่า สถานะ หรือภพใดภพหนึ่ง และสำคัญกันว่าเป็นนิพพานหรือวิมุตติ พระผู้มีพระภาคเจ้าเคยทรงแสวงหาวิมุตติชนิดนี้มาแล้วจากสำนักของอาจารย์ของ ท่าน ในที่สุดก็ไม่อาจที่จะทำให้ทรงพอพระทัยได้เลย เพราะว่า นิพพานเหล่านั้นเป็นนิพพานที่ไม่จริง คือมันเกิด ๆ ดับๆ เมื่อออกจากฌานเมื่อใด เมื่อนั้นก็เป็นทุกข์เร่า ๆ อีก เมื่อมีกามพร้อมพรั่งขึ้นมาแล้วก็เกิดเบื่อกามขึ้นมาอีก และความเบื่อนั้นเองเป็นปัญหา
    ชีวิตของมนุษย์ปัจจุบันนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายสังเกตดู แม้เขาจะมีวัตถุกามพรั่งพร้อม เบ็ดเสร็จทุกเรื่อง สามารถบำบัดกามได้ทุกขณะก็ตาม แต่อุปสรรคในหมู่มนุษย์ก็มีอยู่ ก็คือว่าความซ้ำซาก จำเจ ระหกระเหินของจิตใจไม่อาจที่จะวางใจเชื่อได้ว่าตัวเองถึงซึ่ง สรณะ หรืออิสรภาพที่เด็ดขาดสิ้นเชิงไม่มีข้อสงสัยอีก ด้วยเหตุนี้จึงมีคนอีกกลุ่มหนึ่ง จึงเอาเป็นเอาตายกับการแสวงหาวิมุตติ อิสรภาพที่เด็ดขาด ที่ไม่เกี่ยวกับกามและเกียรติ แต่ก็ใช่ว่าบุคคลเหล่านี้จะปฏิเสธกามหรือเกียรติ ขอให้ท่านทั้งหลายระลึกให้ดี กามมิได้หมายถึงเรื่องเซ็กส์เพียงอย่างเดียว กามแปลว่าใคร่ กามมันยังหมายถึงทางลิ้น ทางหู ทางตา แต่กามแท้ต้องหมายถึงจิตที่กำหนัด ไม่ได้หมายถึงตัววัตถุ ก็เพราะว่า ผู้หลุดพ้นแล้ว ยังต้องกินอาหาร เรียกว่าวัตถุ แต่ท่านกินด้วยจิตที่ไม่เป็นกาม เพราะฉะนั้นเอง กามที่แท้ต้องหมายถึงจิตที่กำหนัดมัวเมา เท่านั้น
    การแสวงหาของมนุษย์ ถ้าเกิดความเข้าใจถูกต้อง กาม เกียรติ และพรหมจรรย์แล้ว จะนำไปสู่การร่วมมือ เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายมีหัวอกอันเดียวกัน คือระหกระเหินในด้านจิตใจ คนรวยก็ดี นายทุนก็ดี กรรมกรก็ดี คนเหล่านั้นร้องไห้เป็น คร่ำครวญกระเสือกกระสน เมื่อลูกของตัวเองต้องวายชนม์ลง หน้าตาของกรรมกรกับหน้าตาของนายทุน ไม่ต่างกันเลย ก็คือออกมาจากความคับแค้นใจ เสียดแทง ไม่ได้ดังใจโดยประการทั้งปวง การแสวงหาด้วยตัณหาเท่านั้น จะนำไปสู่วิกฤตการณ์ คือความขัดแย้งและปะทะกัน แต่การแสวงหาด้วยการรู้จักเงื่อนไขของการแสวงหาอย่างถูกต้อง จะเกิดการร่วมมือกันทั้งนายทุนและกรรมกร เมื่อนั้น concept ของนายทุนและกรรมกรจะเปลี่ยนไป เราไม่ควรจะเรียกนายทุนว่านายทุนอีก หากได้เกิดการแสวงหาชนิดร่วมมือ เราควรจะให้สมญา ท่านผู้มีเงินหรือสถานะเหล่านั้นว่า ทานบดี คือผู้เป็นใหญ่ในการให้ทาน และเราอาจจะต้องเรียกพวกกรรมาชีพว่า ชนผู้เข็ญใจ ซึ่งจะเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจจากคนรวย ซึ่งคนร่ำรวยควรจะนึกถึงคนเหล่านี้ขึ้นมาในฐานะที่เป็นหน้าที่ของตัว ไม่ใช่กดลงไป และพวกชนชั้นกรรมาชีพ หรือที่ท่านคานธีเรียกว่า พวกหริชน คือชนของพระผู้เป็นเจ้า ชนของพระผู้เป็นเจ้าหรือผู้ที่เข็ญใจนั้นจำเป็นที่จะต้องมีความเห็นอกเห็นใจ ตัวทานบดี อย่างนี้จึงจะเกิดการร่วมมือ ไม่เช่นนั้นแล้ว สังคมของเราจะนำไปสู่วิกฤตการณ์ และถ้าอาตมาภาพจะถามท่านทั้งหลายว่า บัดนี้สังคมไทยกำลังรออะไรอยู่ อาตมาคิดว่าท่านทั้งหลายคงจะสำนึกขึ้นมาได้ว่ากำลังรอถึงจุดเดือด ที่จะฆ่าฟันกันให้ถึงที่สุด และเคราะห์กรรมอันนี้จะถึงลูกเล็กเด็กแดง ที่เกิดมาไม่ทันรับรู้รับชี้กับเรื่องทั้งปวง นี่คือความไม่ยุติธรรม และท่านทั้งหลายก็กำลังสะสมกันขึ้นทุกวันนี้ด้วยโดยไม่สำนึกก็เป็นได้ การแสวงหาที่นำไปสู่การขัดแย้งจะสร้างบุคลิกภาพของบุคคลในสังคมนั้น สังคมใดที่เป็นสังคมแห่งการขัดแย้งแก่งแย่ง แย่งชิงกันแล้ว บุคลิกภาพของมนุษย์ในสังคมนิยมจะเต็มไปด้วยมายาสาไถย ไม่ซื่อตรงต่อจิตใจของเขา เขาจะพูดปากอย่างหนึ่ง แล้วใจเขาทำอีกอย่างหนึ่ง มายาสาไถยนั้นแปลว่า เสแสร้งแกล้งทำอวดโอ่ เขาอาจพูดว่า แหม ผมสงสารท่านจริงที่เกิดเคราะห์กรรม แต่ข้างในเขาอาจจะขบเขี้ยวเคี้ยวกราม หรือหัวเราะร่าว่า นี่สมน้ำหน้าแกแล้วที่เคราะห์กรรมนั้นได้เกิดขึ้น มนุษย์เรากำลังเป็นอยู่อย่างนี้ จริงหรือไม่จริงขอให้ผู้คงแก่เรียนได้โปรดสำนึกให้ดี เราเรียนกันมาก เราได้ปริญญากันมากนั้น จิตใจของเราอ่อนโยนต่อเพื่อนมนุษย์ขึ้นกี่มากน้อย ส่วนใหญ่แล้วยิ่งเรียนมาก ก็คือมีโอกาสที่จะตักตวงกอบโกยเอาเปรียบ เพราะว่าฉลาดที่จะเอาเปรียบ ความรู้ชนิดนี้นั้นเป็นความรู้ที่เกิดขึ้น เพื่อสะสมความเคียดแค้นชิงชัง แต่ความรู้ที่แท้จริงจะต้องหมายถึงยิ่งรู้เท่าใดแล้ว สถานะของผู้รู้จะต้องน้อยลง นอบน้อมต่อเพื่อนมนุษย์ คือมันรู้ถึงเงื่อนไขของชีวิตว่า ชีวิตของมนุษย์ในสังคมนั้นเป็นเกสรหรือเป็นกลีบของดอกไม้แห่งมนุษยชาติดอก เดียวกัน
    ขอให้ท่านทั้งหลายรำลึกให้ดี ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนและสังคม เอกชนมีเงื่อนไขสำคัญคือว่า เราจะต้องตายอีก ขอให้ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลายสำนึกให้ดี ถึงขนาดเขียนที่หัวนอนว่า เราจะต้องตายอีก แต่สังคมจะอยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อรำลึกถึงเงื่อนไขข้อนี้ขึ้นมาได้แล้ว การแสวงหาจะถูกเงื่อนไขนี้กำกับไว้เมื่อเราจะต้องตาย การแสวงหาก็จะพอดิบพอดีเท่านั้น เพียงเพื่อจะรับใช้ เพียงเพื่อจะให้เกิดคุณค่าในชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง ๆ ใช่ว่าเราจะปฏิเสธคุณค่าของชีวิตก็หาไม่ แต่เราพึงแสวงหาคุณค่าของชีวิตตามเงื่อนไขของธรรมชาติ เงื่อนไขที่หยาบที่สุด ที่มองเห็นได้ง่าย ก็คือว่า คุณจะต้องตายอีก ขอให้รำลึกถึงข้อนี้ให้ดีเถิด ทุกคนจะต้องล่วงลับเหมือนกลีบของดอกไม้จะต้องร่วงโรยไป เมื่อถึงขวบกาลอันนั้น
    สังคมคือการสืบต่อของเอกชน จากอนุชนถึงอนุชน เพราะว่าเอกชนในยุคสมัยของเรานี้ได้เพาะเชื้อแห่งความเคียดแค้นชิงชังขึ้นมา แล้ว สิ่งนี้จะหยั่งลงสู่กระแสแห่งวัฒนธรรม จะเป็นการสืบต่อไปกี่ชั่วช่วงของมนุษย์ ขอให้ท่านระลึกให้ดีก็แล้วกัน หลังสงครามโลกครั้งที่แล้ว มนุษย์เริ่มเห็นแก่ตัวขึ้น เพาะเชื้อสิ่งนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ เราไม่มีทางที่จะผุดฟื้นขึ้นมาได้อีก ท่านทั้งหลายเป็นผู้มีสิทธิรับรู้หรือรับผิดชอบกับสังคม ถ้าเกิดการฆ่ากันตายที่จังหวัดสงขลา เกิดการปล้นกันที่เชียงใหม่ ท่านทั้งหลายมีผิดด้วย ไม่ใช่ว่าท่านเองไม่มีผิด ถ้าท่านทั้งหลายอ่านคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ เห็นการข่มขืนชำเราขึ้นแล้ว นึกกำหนดในกามหรือหัวเราะเยาะหรือขบขัน ท่านเองมีโทษ เพราะได้ร่วมกันสร้าง concept ขึ้น ให้เป็นบาปในหมู่มนุษย์ ซึ่งมันจะหยั่งลงสู่กระแสวัฒนธรรม สิ่งที่เรียกว่าความชั่ว หรือความชังนั้นเกิดขึ้นได้ง่ายที่สุดในหมู่มนุษย์ แล้วออกไปยากที่สุด เลิกยากที่สุด เพราะว่ามันหยั่งลงสู่กระแสแห่งความช้ำชอก ถ่ายทอดไปสู่อนุชน เด็กหนุ่มสาวทุกคนจะถูกสูตรสำเร็จอันผิด ๆ นั้นครอบงำ เด็กทุกคนจะถูกตัดคอให้ไม่ได้คิด เขาไม่ทันได้คิดว่าเขาเกิดมาเพื่ออะไร เขาคิดว่าความรุนแรงนี้ เป็นความถูกต้องของสังคม เขาคิดว่า การที่เขาได้หยาบคายต่อผู้สูงอายุ คือความชอบธรรมแล้ว นี่เองคือสิ่งที่ท่านทั้งหลายกำลังร่วมรับผิดชอบ แต่เราไม่สำนึก ตราบใดที่ท่านเห็น หรือได้ยินได้ฟัง ความชั่วร้ายนี้เกิดขึ้น คือ วิหิงสา เกิดขึ้นในสังคมแล้ว ถ้าท่านไม่เกิดการต่อต้านในจิตใจ ไม่เกิดการรณรงค์ที่แท้จริงแล้ว ท่านเองมีบาปร่วมกับทุก ๆ คน ท่านเองร่วมมือกับอาชญากรทุกคนด้วยเพราะอะไร ก็เพราะว่า อนุชนต่ออนุชนนั้นมันถ่ายทอดข้อมูลและ concept ถ้าท่านสร้าง concept ผิด ๆ ขึ้นในยุคสมัยนี้ เด็กรุ่นหลังจะผิด ๆ ไปด้วย ถ้าท่านเห็นด้วยกับการแต่งกายที่เปลือย อุจาด อนาจาร และยิ่งเห็นด้วย สนับสนุนเข้า และเป็นเคราะห์ร้ายเหลือเกิน ที่ผู้คงแก่เรียนของเราหันไปสนับสนุนเรื่องนั้นขึ้นมา นั้นเขากำลังฆ่าเยาวชนของเรา เด็กหนุ่มสาวหมดโอกาสที่จะเกิดขึ้นมาและใช้ความคิดของตัวเอง และใช่ว่าเพียงใช้ความคิดของตัวเองอย่างเตียวเท่านั้น ก็คือว่า เขาควรจะสืบต่อวัฒนธรรม หรือกระแส concept ที่ถูก ต้อง concept ที่หยั่งลงสู่กระแสแห่งวัฒนธรรมนั้น ถ้าว่าเป็น concept ที่ผิด นั้นคือเด็กหนุ่มถูกฆ่า เหมือนกับดอกไม้ดอกตูมทุกดอกแกร็นหมดตายหมด แต่ว่าสูตรสำเร็จที่ถูกสร้างถูกต้อง คิดค่านิยมในสังคมที่ถูกต้องจะทำให้ดอกตูมเหล่านั้นอวบอ้วนขึ้นทุกที ๆ และเบิกบานถึงที่สุด ขอให้ท่านทั้งหลายรำลึกถึงอนุชนของเราที่ล่วงลับไปก่อนกาล เขาเหมือนดอกตูมเล็ก ๆ ของดอกมะลิ แล้วมันหลุดจากขั้วเสียก่อน หรือถูกจับฉีกให้บาน ด้วยความเข้าใจผิดของคนรุ่นเรา ระหว่างเอกชนกับสังคมนั้นมีอยู่ เงื่อนไขอยู่ตรงนี้ ตรงที่ว่า เอกชนนั้นต้องตายอีก และสังคมเป็นความสืบต่อแห่งเอกชน แห่งเยาวชน แต่ละรุ่นไป เรื่อยไป ฉะนั้นเองเราอาจจะต้องระลึกถึงเงื่อนไขสิ่งนี้อยู่ทุกค่ำคืน เพื่อว่าเราจะได้ไม่เผลอกระทำบาปร่วมกับคนสมัยเรา และในที่สุดเราอาจจะต้องมาถึงสิ่งที่เรียกว่าสังคมและเอกชนนั้น อาจจะอธิบายได้ด้วยคำคำเดียวเท่านั้น คือคำว่า สันตติ หรือ continuum ของธาตุตามธรรมชาติ ดูเหมือนอาตมภาพกำลังจะใช้ศัพท์ภาษาวัดเกินไปเสียแล้ว ก็คือว่าเอกชนคนหนึ่ง อาตมภาพขอร้องให้ท่านนึกถึงวันที่บรรยายถึงเรื่อง มิติแห่งชีวิต ก็คือว่าคนหนึ่ง ๆ นั้นมันเป็น continuum หรือสันตติของนามรูป คือวัตถุและจิต ซึ่งมีกฎเกณฑ์อันเดียวกัน สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น และคุณค่าสังคมนั้นก็คือ สันตติของ concept แต่ละรุ่นของอนุชนรวมเป็นกระแสแห่งวัฒนธรรม
    จากเงื่อนไขอันนั้นเอง เราก็มาถึงการกำหนดค่าของเอกชนตามเงื่อนไขมันจากัด และคุณค่าของสังคม หรือเป้าหมายของสังคม และต่อจากนั้นเราพึงกำหนดบทบาทของเอกชนที่พึงกระทำต่อตนเอง และสังคมขึ้นมาได้อาตมภาพจะใช้คำอีกคำหนึ่ง ขอให้ท่านทั้งหลายถือเสียว่า เราตกลงกันใช้ ณ ที่นี้ก็คือ วิมุตติภาวะ แห่งเอกชน คืออิสรภาพที่แท้จริง เมื่อตะกี้นี้ อาตมภาพให้ตั้งต้นว่า เมื่อเรามารวมกันอยู่ในสังคมนั้น ฝ่ายบวก คือเราได้สวัสดิการฝ่ายลบ เราได้วิกฤตการณ์ของชีวิต เช่นว่า เมื่อเรารวมกันอยู่แล้ว ความทุกข์เกิดขึ้น ก็ต้องอิจฉากันด้วยอาฆาตจองเวร คนหนึ่งทำให้ลูกหลานเราตายโดยที่เขาไม่มีความผิด นี่คือวิกฤตการณ์ สิ่งหนึ่งเราได้ แต่สิ่งหนึ่งเราเสียอย่างย่อยยับ เรามาเสียภาษีร่วมกันอยู่ ถ้าว่าสังคมไม่อาจที่จะรับใช้ ตอบสนองต่อเป้าหมายที่สูงสุดของเอกชนแล้ว เราจะต้องรวมอยู่กันทำไมให้เสียเวลา เราไปอยู่ในป่าในเขา ระหว่างลูกระหว่างเมีย ผัวเมียของเรา ที่รักใคร่เข้าใจกันมิดีกว่าหรือ แต่การที่เรามารวมกันอยู่ในสังคมนี้ก็หมายความว่า สังคมจะต้องกำหนดค่าหนึ่งขึ้นมา เพื่อให้สอดคล้องกับคุณค่าของเอกชน นั่นก็คือวิมุตติภาวะของสังคม จริงอยู่เรามิอาจที่จะเกณฑ์ให้ สังคมหรือเอกชนสมาชิก หรือกลีบของดอกไม้ของสังคมนั้น เป็นพระอรหันต์ หรือเป็นพระอริยเจ้าทุกคนได้เลย ถ้าเป็นไปได้ ก็ขอให้เราหวัง และควรที่จะหวังเป็นอย่างยิ่งด้วย นั่นแหละสังคมของยูโธเปีย (Uthopia) หรือพระศรีอาริย์ของพวก นักคิดฝ่ายพุทธ ซึ่งเป็นเพียงอุดมคติเท่านั้น แต่บัดนี้เรากำลังพูดถึงเป้าหมายตามขั้นตอน ไม่ได้พูดถึงอุดมคติ เดี๋ยวนี้เรากำลังคลั่งไคล้อุดมคติ ดูเหมือนกำลังคลั่งไคล้อุดมคติ เกินกว่าเป้าหมายตามขั้นตอน และขออภัยด้วยอาตมภาพกำลังขอใช้คำหยาบคายคือกำลังบ้าอุดมคติ ที่จริงแล้วอุดมคติไม่จำเป็นต้องไปบ้ากับมัน เป็นเพียงการมองปราดเดียว เหมือนศิลปินที่เขียนภาพ เมื่อถอยและหรี่ตาดู เพื่อหาเป้าหมายที่สูงสุด เช่นเราอาจจะตั้งอุดมการณ์ที่สูงสุดไว้ได้ ต่อจากนั้นเราควรจะมากำหนดบทบาท และเป้าหมายขั้นตอนซึ่งยืนพื้นอยู่บนความเป็นจริงของชีวิต เพราะฉะนั้นเองวิมุตติภาวะของสังคมเราไม่อาจกำหนดว่า คือทุกคนของสังคมเป็นพระอริยเจ้าได้ แต่ขอให้เราหวังเถิด หวังไว้จะเป็นมงคลอันสูงสุด แต่โดยสภาพที่แท้จริง โดยภาวะวิสัยแล้ว เราต้องกำหนดว่า วิมุตติภาวะของสังคมต้องหมายถึงอหิงสา คือเกิดการไม่เบียดเบียนกันอย่างราบคาบสิ้นเชิงในสังคม ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเอกชนหรือสมาชิกของสังคม จะต้องถูกปลุกเร้า ให้รู้สำนึกถึงเงื่อนไขเรื่องชีวิต ว่าตนจะต้องตายอีกนะ เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจะสำนึกได้ทันที เพราะฉะนั้น สำนึกจะเกิดขึ้นว่า การเบียดเบียนนั้นไม่จำเป็น เดียวนี้อหิงสาประสบความสำเร็จน้อยที่สุด นักอหิงสาทุกคนจะต้องถูกสังหารด้วยเหตุผลที่ว่าขัดกับผลประโยชน์ทุกฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างรุนแรงฉับพลัน ฝ่ายหนึ่งต้องการตรึงผลประโยชน์ให้นานที่สุด เพื่อผลประโยชน์ของพรรคพวกและตัวเอง นักอหิงสามีศัตรูอยู่ที่ มิจฉาทิฐิ ไม่มีอยู่ที่คน ตรงนี้ขอให้ท่านทั้งหลายรำลึกให้ดีว่า คนทุกคนนั้นไม่มีใครที่เป็นคนเลวที่แท้จริงได้ ตราบใดที่เขายังไม่สมาทานมิจฉาทิฐิเข้า เมื่อเป็นเช่นนั้น นักอหิงสาไม่มีศัตรูที่เป็นคน เขาเป็นมิตรกับทุกคน แต่เขาเป็นศัตรูกับระบบที่ผิด ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ซ้าย และขวา จะไม่เข้าใจ หาว่าฝ่ายนี้เป็นประเภทกลับกลอก ลิ้นสองแฉก ซึ่งภาวะของนักอหิงสานั้นยากที่จะอธิบายได้ ก็คือว่า เขารักความเสมอภาคในสังคม แต่เขาเกลียดวิธีการของการเข่นฆ่า เขาไม่อาจจะร่วมมือได้ ที่จะให้ทุกคน ไม่ว่าคนรวยหรือนายทุนขนาดไหนจะถูกสังหารไปต่อหน้า แต่เขาสู้ให้ตัวเองถูกสังหารเสียดีกว่า เพราะต้องการรณรงค์เพื่อสันติสุข เมื่อเป็นเช่นนี้ เราอาจจะกำหนดได้ว่า อหิงสานั้นแหละคือบรมธรรมของสังคม เหมือนที่พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า อหิงฺสา ปรโม ธมฺโม อหิงสาคือบรมธรรม สังคมจะบรรลุถึงวิมุตติภาพได้ก็ด้วยสิ่งนี้ ก็คือธงชัยที่บรรพบุรุษของเรา ได้พูดกันมาติดปากจนทุกวันนี้ ซึ่งกำลังจะลางเลือนไปแล้ว สัตว์ทั้งหลายเป็น เพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ฯลฯ นี่แหละคือเงื่อนไขที่สำคัญที่สุด ที่ท่านทั้งหลายจะต้องจำใส่ใจ ไม่ว่าท่านจะเป็นปัญญาชนหรือเป็นนักศึกษา หรือเป็นซ้าย หรือขวา หรือกลาง อะไรทั้งสิ้น เพราะว่าต้องรำลึกว่า เราต้องตายอีก
    คราวนี้ก็ขอเลื่อนมาถึงวิมุตติภาวะของเอกชน เอกชนจะบรรลุถึงวิมุตติภาวะหรืออิสรภาพที่แท้จริงได้นั้น จะต้องมีพื้นฐานที่ดี คือวิมุตติภาวะของสังคมรองรับ เมื่อสังคมไม่มีการเบียดเบียนกันแล้ว เอกชนย่อมได้ฐานที่ดีที่สุด เขาจะไปที่ไหน ๆ เกิดสวัสดิภาพอย่างแท้จริง เหมือนที่บรรพบุรุษของเราฝันไว้ว่า เมื่อลงจากบ้านแล้ว ขึ้นบ้านใคร กินข้าวบ้านนั้น หรือเหมือนที่ธอมัส มอร์ (Thomas Moore) ได้ฝันไว้ถึงสังคมยูโธเปีย แม้ว่าจะเป็นเพียงความฝัน ก็ควรที่จะฝันเป็นอย่างยิ่ง หมายความว่าไปที่ไหน เราลงไร่ทำงานและกินที่ไหนก็ได้ หญิงทุกคนเป็นมารดาของเรา หญิงทุกคนที่อายุน้อยเป็นน้องสาวของเรา ชายทุกคนเป็นพี่ของเรา เป็นพ่อของเรา เมื่อเป็นเช่นนั้นมนุษย์จะเป็นกลีบแห่งดอกไม้ดอกเดียวแห่งมนุษยชาติ สังคมเช่นนั้นจะอำนวยแก่ทางแห่งวิมุตติ ขอให้ผู้ฟังทำความเข้าใจให้ดีว่า คืออิสรภาพที่แท้จริงมิใช่อิสรภาพจอมปลอม อิสรภาพจอมปลอม หมายถึงว่า มีกามให้มากที่สุด นั่นคืออิสระ แล้วสักเดี๋ยวหนึ่งก็ต้องหน้าเหี่ยวเพราะกามมันขบเคี้ยวเอา หรือมันตอดเอาหรือมันฆ่าเอา หรือมันเสียดแทงเอา ก็คือมันจิตเสียอีกเหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย คุณของกามมีอยู่ก็คือ บีติโสมนัสใดที่อาศัยกาม นั้นคือคุณของกาม บีติโสมนัสใดที่อาศัยรูป นั้นคือคุณของรูป แต่เพราะกามไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นั้นคือโทษอันต่ำทรามของกามเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าเกิดเข้าใจผิดต่ออิสรภาพ เข้าใจว่ากามนี้มีแต่คุณอย่างเดียวคือ ถึงกับคลั่งหลงใหลกามหรือเกียรติ กามและเกียรตินั้นเองจะเป็นกับงับขาของผู้ที่หลงใหลเข้า เพราะเขาผู้นำไม่รู้จักอิสรภาพที่แท้จริง อิสรภาพที่แท้จริงต้องเกิดจากมีจิตที่เหนือกามหรือเกียรติ และเหนือคุณความดีโดยประการทั้งปวง ไม่ว่าเขากำลังจะทำความดี ไม่ว่าเขากำลังแสวงหาวัตถุเพื่อจุนเจือกับครอบครัว ไม่ว่าเขากำลังหาเกียรติเพื่อเป็นฐานกำลังในการกระจายความรู้ หรือกระทำงานเพื่อสังคมก็ดี เขาจำเป็นต้องมีความรู้อีกชนิดหนึ่ง คืออยู่เหนือสิ่งนั้น ประหนึ่งว่าสิ่งนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์ ไม่ใช่เป้าหมาย มนุษย์จำเป็นจะต้องบรรลุถึงเป้าหมายก่อนบทบาท ข้อนี้ขอให้ท่านทั้งหลายกำหนดให้ดี เพราะว่าท่านทั้งหลายคิดว่าเราต้องกระทำ แล้วจึงบรรลุเป้าหมาย ถ้าเช่นนั้น ท่านไม่รู้เงื่อนไขของชีวิต เพราะว่าเป้าหมายนั้น ท่านอาจจะไม่บรรลุก็ได้ ถ้าพรุ่งนี้เกิดขาดใจตายเสียก่อน เช่นหาเงินสัก ๑๐๐ ล้าน มีโครงการว่า เมื่อมีเงินมาก เราก็จะบรรลุถึงสันติสุข แต่พรุ่งนี้เกิดตาย สิ่งที่ทุ่มลงทุนไปนั้นเกิดเสียเปล่า นี่คือว่าท่านทั้งหลายคิดว่า บทบาทต้องกำหนดโดยยังไม่ต้องรู้เป้าหมาย เป้าหมายค่อยรู้ทีหลัง ข้อนี้เป็นไปไม่ได้เลย ส่วนผู้ที่รู้เงื่อนไขของชีวิตนั้น เขาต้องกำหนดเป้าหมายก่อนตามขั้นตอน และกำหนดบทบาทตามขึ้นมา เมื่อเป็นเช่นนั้น บทบาทจะพาลิ่วไปสู่เป้าหมายชนิดไม่วกวนหรือเนิ่นช้า
    สิ่งที่ เรียกว่า เป้าหมาย คืออิสรภาพนั้น ไม่ใช่ความเพ้อฝัน ไม่ใช่สิ่งที่เป็นปรัชญา อย่างว่ามีคนหนึ่งมาถามว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด แล้วเราก็ตอบว่านิพพานหรือพระผู้เป็นเจ้า อย่างนั้นเป็นปรัชญา ซึ่งถ้าท่านเชื่อก็คงจะดีอยู่หรอก แต่ว่าความเชื่อเช่นนั้น ยังต้องอิงอยู่บนความงมงายหาน้อยไม่ ความเชื่อที่แท้จริงที่เรียกว่าวางใจลงนั้น ต้องหมายถึงผู้นั้นบรรลุถึงเป้าหมายแล้ว ในปัจจุบันนี้คือบทบาทจะต้องสอดคล้องกับเป้าหมาย และเพื่อเป้าหมายนั้นเอง และเป้าหมายนั้นบรรลุอยู่ในบทบาททุกขณะ ซึ่งอาตมภาพเคยอุปมาว่าเหมือนผึ้งตัวหนึ่งกำลังจะจิบน้ำหวาน ในขณะที่ดอกไม้กำลังปลิวไปตามกระแสลม ตัวเองก็กำลังบิน แต่ขณะนั้นก็จิ้มเข้าไปดื่มด้วย และจิ้มเข้าไปทุกครั้ง เพราะว่าไม่มีใครรับประกันว่า ท่านจะอยู่ได้ถึงพรุ่งนี้
    อาตมภาพจะถามท่านทั้งหลายว่า ท่านเชื่อได้อย่างไรว่า หลังจากคำบรรยายนี้แล้วท่านจะลุกขึ้นยืนได้ ท่านอาจจะตอบว่า ทำไมจะลุกขึ้นยืนไม่ได้ เมื่อตะกี้ข้าพเจ้านั่งลงอยู่เมื่อครู่นี้นี่เอง นั่นเป็นอดีต สักเดี๋ยวหนึ่งอาจจะลุกไม่ได้ก็ได้ เพราะว่าท่านลืมเงื่อนไขเสียแล้วว่า ชีวิตตนมันยืนอยู่ได้ด้วยทีละขณะ-ขณะ-ขณะ เท่านั้นเอง ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่า บ้านที่มีคุณแม่อยู่ไม่ถูกไฟไหม้เสียแล้ว ท่านก็ต้องเถียงว่า ก็เมื่อกี้ออกมาจากบ้าน ท่านยังมาส่งถึงประตูบ้านเลย แต่ถ้าเดี๋ยวนี้ ล่วงลับไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่เป็นเพียงความคิด หรือความจำของอดีตเท่านั้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่าอนาคตนั้นคืออดีตเท่านั้นเอง เป็นภาพสะท้อนของอดีตและมนุษย์อาศัยอดีต และผงกหัวเชื่อต่ออดีต นั้นคือ ผู้ที่ไม่รู้เงื่อนไขของชีวิตที่สำคัญที่สุดว่าชีวิตเหมือนกับเส้นด้ายเท่า นั้น เหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสว่า อดีตํ นานวาคเมยฺย นปฺปฏิกํเข อนาคตํ อย่างนี้เป็นต้น หมายความว่า บุคคลไม่ควรตามคิดถึงอดีตด้วยอาลัย ไม่ควรพะวงถึงอนาคต ยืนชีวิตอยู่บนปัจจุบันทีละขณะแล้วเห็นเงื่อนไขของมัน จะบรรลุถึงเป้าหมาย ในขณะที่เห็นเงื่อนไขนั้นนั่นเองเช่นเงื่อนไขที่ว่า มันเกิดดับ เกิดดับ นามรูปนี้เกิดดับ ทุกสิ่งเพิ่งเกิด และทุกสิ่งต้องดับลงไป ส่วนภาวะที่ก่อนหน้าที่เกิดดับ นั่นแหละคือภาวะที่สูงสุด เพราะนั่นคือเป้าหมาย เหมือนกับว่าผืนผ้าใบที่ขาวสะอาด ก่อนที่จะเขียนภาพลงไปในนั้น ถ้าบุคคลไปดูสีสัน เขาก็ไปดูที่สิ่งซึ่งเกิด และกำลังจะจางลงไปเมื่อเกิดน้ำฝนชะ แต่ท่านผู้ ใดได้บรรลุถึงเป้าหมายในปัจจุบันนั้นแล้ว แม้ขณะเขียนรูปอยู่ แม้ขณะดำเนินไปมรรควิถีชีวิต เขาเห็นผืนผ้าใบ แทงทะลุแหวกหรือเปิดสี ออกไปไปสู่ภาวะที่ไม่เกิด ไม่ดับ และภาวะเช่นนี้แหละ คืออิสรภาพที่แท้จริง จากปรากฏการณ์ซึ่งเพิ่งเกิดและเพิ่งดับ คุณสมบัติของสังสารวัฏเพิ่งเกิดและดับ ภาวะแห่งหญิงและแห่งชาย เพิ่งเกิดและดับ ท่านทั้งหลายไม่มีใครเลย ที่มีความเป็นหญิงและชายที่แท้จริงได้ นอกจาก concept ของท่านเองว่า เป็นหญิงและเห็นชาย และความเข้มข้นของความเป็นหญิง และเป็นชายนี้ขึ้นกับกาลสมัย ท่านผู้ชราผมขาวแล้วคงไม่ปฏิเสธว่า เมื่อ ๒๐ ปีก่อนเด็กสาว ๆ อายุ ๑๔ ขวบ เปลือยกายกระโดดเล่นน้ำกับเด็กผู้ชาย โดยไม่มี concept ว่าเป็นเรื่องกามเรื่องเพศใด ๆ ทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ถูกสอนถูกสร้างเพราะว่า concept ของกาม ถูกหยั่งลง ๆ จนกระทั่งอายุ ๗ ขวบ เริ่มรู้สึกในเรื่องเพศนี่ คือความเป็นไปของมนุษย์ ซึ่งความสำคัญของมนุษย์อยู่ที่ concept concept ของมนุษย์จะย้อนมากำกับมนุษย์ให้ถูกสร้างขึ้น เขาจะรู้สึกเป็นหญิงอย่างรุนแรง เพราะแม่สอนความเป็นหญิงให้เขา เขาจะรู้สึกความเป็นชายอย่างรุนแรง เพราะแม่สอนความเป็นชายให้เขา
    พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อชายรักความเป็นชายของตนในตน จึงสนใจในหญิง สนใจเสียงของหญิง สนใจเสื้อผ้าของหญิง และไม่มีวันพ้นจากหญิง เมื่อหญิงรักความเป็นหญิงของตนในตน หญิงจึงสนใจชาย สนใจเสียงของชาย สนใจเสื้อผ้าของชาย และไม่มีวันพ้นจากชาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลายหญิงใดไม่รักความเป็นหญิงในตัว ชายไม่รักความเห็นชายในตัว เมื่อนั้นหญิงจะพ้นจากชาย ชายจะพ้นจากหญิงข้อนี้อาตมภาพจะชี้ให้ท่านทั้งหลายเห็นว่า วิมุตติภาพครั้งแรกสุด จำเดิมแต่มนุษย์ยังไม่สร้างภาวะแห่งหญิง-ชาย หรือสถานภาพใด ๆขึ้น ขอท่านทั้งหลายระลึกว่า คำว่าจำเดิม ไม่ได้หมายถึงอดีตกาลครั้งปุริมกาล หรือ primitive แต่หมายถึงเดี๋ยวนี้ ที่นี่ ก่อนหน้าที่จิตจะถูกสร้างอะไรขึ้นมา ก่อนหน้าที่ concept ช่วง continuum จะเกิดขึ้น เรียกว่าปุริมกาล หมายความว่า ก่อนหน้านั้นนั้นเอง คือ สวนสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าและสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ นั่นแหละคือภาวะแห่งความแยกแยะ การแผ่ขยายของอายตนะ เพราะฉะนั้นทีแรกเดิมสุด มนุษย์บรรลุถึงวิมุตติอยู่ในตัวของมันเองแล้ว เราไม่อาจจัดเป็นการบรรลุ เพราะฉะนั้น อาตมภาพจะพูดให้ท่านทั้งหลายฟังว่า การที่บรรลุธรรมไม่มี ที่เราเรียกว่า บรรลุ นั้นเป็นเพียงแต่ภาษาสมมุติเท่านั้น เพราะว่าพื้นฐานของทุกคนมีสภาวะเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่มนุษย์มาสร้าง concept ผิด ๆ ขึ้น เมื่อเกิดทำลาย concept ผิด ๆ ลงได้ แล้วสภาวะเดิม คือจิตเดิมแท้ก็โผล่ออกมา ไม่อาจเรียกว่าบรรลุหรืออะไรได้ นอกจากบรรลุถึงสภาวะเดิมเท่านั้น และสิ่งนี้เป็นอิสรภาพครั้งแรกและครั้งสุดท้ายด้วย เพราะฉะนั้นพระศาสดาผู้รู้แจ้งจึงตรัสตรงกันทุกพระองค์ว่า ถ้าจะดูพระอรหันตขีณาสพแล้ว ให้ดูฉายาของท่านที่เด็กทารก วันหนึ่งที่เด็ก ๆ เข้ามารบกวนพระเมชู และเซนต์บีเตอร์ขับไล่เด็กเหล่านั้นว่า อย่ามารบกวนพระองค์ พระเยซูท่านอุ้มเด็กขึ้นนั่งบนตักแล้วบอกว่า ผู้ใดยอมรับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ผู้นั้นก็รับรองเราไม่ได้ เพราะเด็กเหล่านี้เป็นสมาชิกของสวรรค์ สวรรค์ของคริสเตียนนั้นหมายถึงภาวะแห่งความหลุดรอด ส่วนสวรรค์ของพุทธนั้นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นภาวะแห่งความสุข ซึ่งไม่ใช่ความหลุดรอด แต่เกี่ยวกับความหมายแล้วเราต้องไปหาคำนิยามให้ดีไม่ใช่ขัดกัน
    พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ในสูตรสูตรหนึ่งว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย กุมารที่เกิดขึ้นมานั้น ถ้ากุมารนั้นไม่ยินดี ไม่กำหนัดในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ไม่ติดใจในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความขัดใจแล้ว กุมารนั้นย่อมรู้ เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติตามที่เป็นจริง ข้อนี้คำยืนยันของพระศาสดาว่า บุคคลเมื่อไม่ยินดี ไม่ยินร้ายต่ออารมณ์ใหม่ ๆ ที่เข้ามาปะทะนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นสภาวะจิตเดิมจะเปล่งออก และเปล่งอยู่นานแล้วด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น เจโตวิมุตติ ซึ่งเป็นคุณสมบัติเดิมจะปรากฏออกมา ก็เห็นจะเป็นคราวเคราะห์ร้ายหรืออย่างไร ในฝ่ายเถรวาทโดยเฉพาะในประเทศไทยนี้เกิดสอนกันคลาดเคลื่อนว่า มนุษย์นี้มีกิเลสดองสันดานมาแสนกัปป์แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นขอให้ขูดเถิด แล้วอย่าขวนขวายที่บรรลุถึงนิพพาน หรือวิมุตติเลย ให้ทำบุญเถิด นี่เป็นประโยชน์ของฝ่ายผู้สอน เพราะว่าถ้าเผื่อการสอนที่แท้จริง ให้การประพฤติเพื่อบรรลุถึงอิสรภาพที่แท้จริง การทำบุญชนิดที่ผิดๆ จะน้อยลง แต่การบุญที่แท้จริงจะเกิดขึ้น บุญที่แท้จริงนั้น เราจะต้องชี้แจงไปถึงบุญชนิดที่เป็นบุญแท้ บุญหาได้อยู่ที่ขึ้นสวรรค์ไม่ หาได้อยู่ที่การขึ้นสวรรค์บนฟ้าไม่ บาปหาได้อยู่ที่ตกลงนรกใต้ดินไม บุญก็คือภาวะที่ได้ทำลายความตระหนี่ออกไป ความตระหนี่ทำจิตให้คับแคบไม่อิสระ เมื่อได้ให้ทานออกไป จิตเริ่มเป็นอิสระจากวัตถุภายนอก เช่นนั้นแหละคือ บุญ บุญเป็นเพียงเครื่องประคับประคองหาใช่วิมุตติเด็ดขาดไม่ แม้บาปจะเป็นอุปสรรค ทั้งบุญทั้งบาปนั้นเป็นเพียงวิกฤตการณ์ แต่วิกฤตการณ์ที่เรียกว่าบุญนั้น เป็นวิกฤตการณ์ฝ่ายสวัสดิการ ดูเหมือนอาตมภาพกำลังใช้คำพูดที่สับสน แต่ขอให้เราตกลงกันในความหมายในที่นี้เท่านั้น เพราะว่าในความหมายสูงสุดพระพุทธองค์ท่านตรัสว่า บาปปุญฺญ ปหินสฺส นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต เมื่อเพิกถอนทั้งบุญและบาปได้แล้วจักปรินิพพาน คือจะถึงซึ่งวิมุตติ หรืออิสรภาพโดยสิ้นเชิง ผู้ที่อยู่เหนือบุญ เหนือบาปแล้ว ใช่ว่าท่านจะไม่ทำบุญ แล้วย้อนไปทำบาปเข้าอีก แต่คำว่าอยู่เหนือ หมายความว่าท่านรู้สมมติและบัญญัติ เห็นเงื่อนไขอันเด็ดขาดของธรรมชาติ และท่านยังทำเนินชีวิตในวิถีทางที่จะเป็นประโยชน์แก่สังคม ด้วยการทำบุญนั้นแหละ แต่ท่านไม่ติดบุญ ไม่เมาบุญ ท่านจึงไม่อาจตกเป็นทาสของบุญได้เลย นี่คือคุณค่าของผู้ที่บรรลุถึงซึ่งวิมุตติ ซึ่งเรากำลังสงสัย และเป็นข้อสงสัยที่ค่อนข้างจะเขลาสักหน่อยด้วย เช่นมักจะสงสัยกันว่าขืนให้ทุกคนเป็นพระอรหันต์แล้วใครจะมาขับแท็กซี่ ใครจะมาเป็นคนกวาดถนนเล่า นี่เป็นคำพูดที่ผิด ๆ เพราะว่าเขาเข้าใจว่า พระอรหันต์นั้นคือผู้ที่ไม่อาจจะอยู่ในสังคมได้ แต่โดยเนื้อหาแล้ว ผู้ที่บรรลุถึงจักษุแห่งธรรมนั้นนั่นแหละ คือหลักชัยที่พึ่งของสังคม บรรพชิตโดยเนื้อแท้ก็คือผู้ตรึงสันติสุขในสังคม ไม่ใช่ผู้ตรึงผลประโยชน์เพื่อตัวเอง บรรพชิตเป็นผู้นำของสังคมมาแต่เดิม ซึ่งเดี๋ยวนี้กำลังเลอะเลือนเสียแล้ว กลายเป็นผู้ตามไป
    อาตมภาพจะให้ท่านทั้งหลายได้ฟังคำพูดที่ค่อนข้างตลกขบขัน อาจจะต้องหัวเราะครืนขึ้นมาก็ได้ว่า ถ้าท่านจะถามว่า เดี๋ยวนี้เราจะให้ใครนำสังคม อาตมภาพจะบอกว่าให้ฤๅษีนำ เพราะว่าฤๅษีนั้นแหละเป็นผู้รู้แจ้งมนต์ ฤๅษีคำพูดภาษาสันกฤต หรือ มนตราวิต หรือ มนตรา ทฺรษฏ ผู้เห็นมนต์ ผู้รู้มนต์ มนต์คืออะไร มนต์ก็คือศีล เรื่องราวของชีวิตที่ต้องเห็นมาจากข้างใน ถ้าท่านทั้งหลายไม่รู้จักสถานภาพเดิม ไม่รู้จักสถานภาพใหม่ ซึ่งเป็นสถานภาพแห่งมายาสาไถยแล้วจะไปรู้จักพฤติกรรมของสังคมนั้น เป็นไปไม่ได้ เมื่อคนไม่รู้จักตัวเอง นำสังคมก็คือนำสังคมไปลงเหวเท่านั้นเอง ในที่สุดสังคมฝ่ายซ้ายหรือขวาไม่อาจจะเป็นที่พึ่งของเราได้ ในเรื่องการเมืองมันพิสูจน์ว่าไม่ใช่เครื่องส่องวิถีของชีวิต ระบบการเมืองที่จะมานำสังคมนั้น ไม่ว่าระบบการเมืองเศรษฐกิจ ระบบการเมืองล้วน ๆ ของมันก็ตาม เป็นเพียงระบบที่ปฏิเสธระบบเดิมเท่านั้นเอง เป็นความหวาดระแวงต่อระบบเก่าที่ผิดพลาดเท่านั้นเองไม่ได้ชี้ทิศไปสู่เป้า หมายอันสูงสุดของมนุษย์ เมื่อเป็นเช่นนั้น เป้าหมายของสังคมยังไม่มีจนปัจจุบันนี้ สังคมไม่มีดวงตา ไม่มีเป้าหมาย มีแต่บทบาทที่กำลังรุนแรง และไม่รู้ไปสู่ที่ไหนแน่
    ส่วนผู้ที่กำหนดรู้เป้าหมายของสังคมได้แล้ว หรือพึงกำหนดขึ้นว่าสันติสุขอันถาวรคืออะไรแล้ว ต่อจากนั้นบทบาทจะสอดคล้องไปสู่เป้าหมายนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จำเป็นเหลือเกิน ที่จะต้องนำวิถีของสังคมหรือเอกชนไป ด้วยวิธีการที่จะให้เกิดคุณค่า หรือค่านิยมชนิดที่เรียกว่า สำรวมอายตนะไม่ใช่แผ่ขยายอายตนะ อาตมภาพได้ตั้งต้นว่า การแผ่ขยายอายตนะนำไปสู่วิกฤตการณ์ ส่วนการสำรวจอายตนะลงจะนำไปสู่สวัสดิการที่แท้จริง และจะเป็นพื้นฐาน รากฐาน ที่จะให้เอกชนดำเนินชีวิตเพื่อบรรลุถึงคุณธรรมอันสูงสุด สังคมฝ่ายซ้ายเราไม่อาจจะพึ่งได้ทั้งหมด แม้ว่าเราจะรักฝ่ายซ้ายเหลือเกิน เพราะช่วยขจัดความเหลื่อมล้ำออกไป รวมทั้งอบายมุขทั้งหลายเพราะว่าสังคมฝ่ายซ้ายจะกระทำให้มนุษย์เป็นเพียง สัตว์เศรษฐกิจเท่านั้น ถ้าหากเขาไม่คำนึงถึงอิสรภาพอันสิ้นเชิง เขานึกเพียงแต่ว่าให้ปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องหมดไปเท่านั้น ส่วนสังคมฝ่ายขวาเราไม่อาจจะชื่นชมยินดีได้เพราะว่าเขายั่วยุอายตนะ ให้เกิดการที่เรียกว่า มือใครยาวสาวได้สาวเอา ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ที่ร้ายกาจที่สุด แต่แม้กระนั้นก็ดี ดูให้ดีเถิดว่า ทั้งซ้ายทั้งขวาไม่อาจเป็นเครื่องส่องวิถีชีวิตของเอกชนได้ สังคมมีเพียงไว้เพื่อสังคมเท่านั้นถ้ารัฐเข้าไปจัดการสังคมนับตั้งแต่การวาง หลักสูตรให้การศึกษา รัฐจะละเลยต่อเอกชนทันที เพราะว่ารัฐวางหลักสูตรเพียงเพื่อให้เอกชนสนับสนุนเสถียรภาพของรัฐ เมื่อเป็นเช่นนั้น หลักสูตรการเรียนทั่วทั้งโลกจะเน้นไปที่ให้ทุกคนมีสมรรถนะในวิทยาการเพื่อ รับใช้รัฐ โดยไม่ไยดีต่อเอกชน ไม่ว่าเอกชนเหล่านั้นมีนิสัยเยี่ยงสัตว์ป่าก็อาจจะเป็นครูสอนหนังสือได้เช่น กัน ไม่ว่าคนเหล่านี้จะเป็นอาชญากรที่อำมหิต เขาอาจจะเป็นนายแพทย์ได้เหมือนกัน นี่คือการศึกษามาจากรัฐ ซึ่งจะเรียกว่า มองข้ามคุณค่าของเอกชน สิ่งเดียวเท่านั้นที่จะพึ่งได้ สิ่งเดียวเท่า นั้น ที่จะเป็นสรณะแก่เอกชน และรัฐ และสังคมก็คือศาสนาเท่านั้น ศาสนาไม่เคยละเลยเอกชน ศาสนาพร้อมเสมอที่จะรับใช้เอกชน และศาสนาเท่านั้นที่เป็นปัญญาที่แท้จริง ที่รู้เงื่อนไขของชีวิต และสังคมศาสตร์ ที่เรียกว่า วิทยาการทั้งปวงนั้น ไม่เคยพูดถึงเรื่องราวของชีวิต หรือเป้าหมายที่ชัดเจนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกนักวิชาการที่เรียกว่า specialist ทั้งหลายนั้น ดู ๆ จะมืดบอดต่อเรื่องราวของชีวิต แต่จะสว่างไสวจนมืดมัวต่อวิชาการของตัว คือรู้จนกระทั่งไม่รู้ จะรู้ไปเพื่ออะไร และนั้นคือความไม่รู้นั้นเอง ส่วนความรู้ที่แท้จริงนั้น จะต้องหมายถึงรู้แจ้งต่อเรื่องราวของอิสรภาพของตนและท่าน นี่แหละเงื่อนไขของสังคม
    อาตมภาพจะสรุปถึงตอนนี้ว่า สังคมจะต้องเกิดค่านิยมชนิดที่สำรวมอายตนะด้วยคำของบรรพชนของเราเอง ไม่ใช่ว่าเราจะต้องตามหลังฝรั่งไปเสียเลย เพราะว่าฝรั่งนั้น ขออภัยเถิดไม่ได้หมายถึงฝรั่งทุกท่าน เพราะฝรั่งบางท่านสำนึกขึ้นมาแล้ว บรรพบุรุษของเราได้พูดด้วยคำอันยิ่งใหญ่ ที่เป็นเครื่องส่องวิถี หรือค่านิยมในสังคมชนิดนี้ว่า ฟ้าแจ้งเมื่อค่ำ ขอท่านทั้งหลายโปรดรำลึกให้ดี นี้มีพร้อมบริบูรณ์ ในเพลงเสียวสวาสดิ์ วัฒนธรรมอันเลอเลิศของภาคอีสาน ซึ่งถูกละเลย จะมีคำพูดว่า ฟ้าแจ้งเมื่อค่ำ หมายความว่าญาณทัสสนะจะเกิดขึ้นเมื่ออัสดงลงของอายตนะหรือกิเลสหมายความว่า เมื่อกิเลสร่อยหรอลง ญาณทัสสนะที่แท้จริงจึงเกิดขึ้น ใครกิเลสไม่ร่อยหรอ ความรู้นั้นเป็นอวิชชาเท่าเดิม แม้เขาจะรู้สารพัดทั้งหมดทั้งปวง มนุษย์ไม่อาจที่จะแสวงหาความรู้อะไรมาได้ เพื่อที่จะให้เกิดสันติสุข มนุษย์ยังไม่รู้อะไรเลยสักนิดเดียวต่อเรื่องราวของชีวิต แม้นขาจะรู้เรื่องราวของดวงจันทร์ของห้วงอวกาศก็ไม่อาจพิสูจน์ หรือยกย่องสรรเสริญได้ว่ามนุษย์บรรลุถึงซึ่งความรู้ ตราบใดที่เขาไม่รู้ว่าราคะเกิดขึ้นได้อย่างไร ตราบใดที่เขาไม่รู้ว่า ราคะดับลงได้อย่างไร ตราบใดที่เขายังไม่รู้ว่า เขาคือใคร ตราบใดที่เขายังไม่รู้ว่าเป้าหมายของเขาที่เขาต้องบรรลุถึงให้ทันตาม เงื่อนไขของชีวิตนั้นคืออะไรแล้วเขาไม่อาจจัดเป็นผู้รู้ได้ อย่างดีที่สุดเราก็อาจ เรียกว่า นักวิชาการหรือลูกจ้างของรัฐ เท่านั้น
    ขออาตมภาพเลื่อนมาถึง สิ่งที่เรียกว่าสูตรสำเร็จของสังคม ถ้าเราวางไว้ถูกต้องแล้ว อนุชนของเราที่เหมือนกับเมล็ดพืช อนุชนของเราเหมือนพืชอ่อน ๆ จะงอกขึ้นมาอย่างถูกต้องภายใต้การแผ่คลุม อนุรักษ์คุ้มครองของค่านิยมที่ถูกต้อง เหมือนชาวปักษ์ใต้ ที่จะปลูกสวนยางทำสวนยาง ก่อนปลูกยางอ่อนขึ้น เขาจะปลูกกล้วยไว้ก่อนฉันใด อนุชนรุ่นก่อนจำเป็นต้องสร้างค่านิยมที่ดี เข้าสู่กระแสวัฒนธรรม เพื่อจะปกปัก คุ้มครอง ให้เกิดค่านิยมนั้นหยั่งลงสู่กระแสความสืบต่อไม่รู้จักหยุดแก่อนุชนรุ่นถัด ไป อย่างนี้แล้วเราจะเรียกว่าเป็น พันธสัญญา ระหว่างเอกชนถึงเอกชน ไม่เช่นนั้นแล้ว เราไม่อาจจัดได้ว่าสังคมเป็นสังคม ถ้าไม่มีสิ่งนี้ สังคมมนุษย์ไม่ห่างจากสังคมของสัตว์เดรัจฉานใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะมันถ่ายทอดกันได้แต่สัญชาตญาณอย่างสัตว์เท่านั้น และอาตมาขอร้องให้ดูให้ดี สัตว์เหล่านั้นยังจะซื่อกว่ามนุษย์อยู่หลายแง่หลายประการนัก มันจะเข่นฆ่าต่อเมื่อแย่งชิงอาหาร แต่ว่าเมื่อหมดเรื่องนั้นแล้ว สัตว์เหล่านี้จะไม่มีปัญหาอะไร แต่มนุษย์ ขอให้ดูให้ดี เงื่อนไขของกามารมณ์มนุษย์ไม่เลือกฤดูกาลใด ๆ ทั้งสิ้น ธรรมชาติกำหนดให้เรื่องเพศเรื่องเซ็กส์ต่าง ๆ ต้องทำกันถูกต้องตามฤดูกาล เพื่อสืบต่อวงศ์วานของสัตว์นั้น ๆ เรียกว่ารสอร่อยของกามารมณ์ก็ดี การสืบพันธุ์ก็ดี เป็นค่าจ้างของธรรมชาติที่จะให้มนุษย์ หรือสัตว์สืบวงศ์วาน เพื่อด้วยประสงค์ของธรรมชาติเอง แต่มนุษย์ได้ทรยศหรือหักหลังต่อธรรมชาตินั้น ก็คือว่าเขาปฏิเสธที่จะรับผิดชอบต่อลูกของเขาที่ออกมา แต่เขายินดีที่จะเสวยรสอร่อยจากกามารมณ์และสร้าง concept ทางกามยิ่ง ๆ ขึ้นในเวลาที่ไม่ต้องสร้าง สัตว์ทั้งหลายนั้นเมื่อถึงฤดูกาล จึงแสวงหากามารมณ์ตามสัญชาตญาณต้องการ แต่มนุษย์ไม่มีกาลสมัย หมายความว่าเขาเกิดอารมณ์เมื่อใด และสังคมสร้าง concept เรื่องกามมากเท่าไร มนุษย์จะสับสนเท่านั้น เราจะพบความจริงว่าเหมือนที่นักวิทยาศาสตร์ ทดลองกับหนูตะเภา มาขังรวมไว้ในที่จำกัด ในช่วงเวลาหนึ่ง หนูทุกตัวจะเริ่มเป็นบ้า เรื่องกามารมณ์จะกลับหมดสิ้นฉันใด สังคมเป็นฉันนั้น เราพบคนพิกลพิการ วิกฤตการณ์ทางเพศมากขึ้นทุกที ๆ และสิ่งนี้ที่จะต้องแก้ด้วยศาสนาเท่านั้น
    นี่หมาย ความว่า ศาสนาไม่ได้ห้ามไม่ให้ท่านแต่งงานทางโลก แต่อาตมภาพจะบอกว่า ท่านต้องแต่งงานอีกหนหนึ่งในชีวิต ชีวิตคนต้องแต่งงาน ๒ ครั้งหรืออย่างน้อยที่สุด ๑ ครั้ง สำหรับคนคนที่ต้องการแต่งงานทางโลกกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็จงแต่งเถิด แต่จงแสวงหาความรู้เงื่อนไขของความรักให้ดี เพื่อจะให้ความรักนั้นงอกงาม ไปสู่เป้าหมายเหมือนที่ท่านผู้รู้พูดว่าความรักอาจบรรลุถึงซึ่งวิมุตติ แต่ว่าผู้ที่รักชีวิตเดี่ยว ก็จำเป็นต้องแต่งงานก็คือต้องแต่งงานกับพระธรรมเจ้า มนุษย์ถ้าไม่แต่งงานจะว้าเหว่ ระหกระเหินจนกระทั่งไม่อาจจะเป็นมนุษย์ได้ ฉะนั้นท่านแต่งงาน ๒ ครั้ง ครั้งแรกกับคู่รักบนโลกนี้ ครั้งหลังกับคู่รักบนสวรรค์เหมือนที่ในรามายณะ หรือรามเกียรติ์แต่งไว้ พระรามกับสีดา แต่งงานครั้งหนึ่งบนพื้นโลก ครั้งหลังไปแต่งงานต่อหน้าพระอิศวร
    อาตมภาพขอเลื่อนมาถึง สิ่งที่จำเป็นจะต้องพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตและสังคม ก็คือการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเรากำลังประจันหน้าอยู่ และเรากำลังพบปัญหาที่สำคัญที่สุด เพราะว่าสังคมไทยกำลังรอจุดเดือดหรือจุดระเบิดเรากำลังสะสมแรงอัดแห่งความ ระแวงสงสัย เราทั้งหลายกำลังอยู่ในท่ามกลางความมืดมัว และความเคียดแค้น ระแวง ที่จะห้ำหั่น ที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวกรามเข้าหากัน เราอาจจะต่อสู้กันด้านลัทธิ ด้านทฤษฎี แต่ว่าถ้าสัญชาตญาณอย่างสัตว์ยังไม่ถูกเห็นและระงับลงแล้ว เงื่อนไขที่จะต่อสู้กันด้านความคิด หรือด้านปัญญานั้นเป็นไปไม่ได้ เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น มนุษย์อาจจะสู้กันด้านวาทะ ด้านความคิด แต่เมื่อลงมือประหัตประหาร มนุษย์ใช้สัญชาตญาณอย่างสัตว์เท่านั้น
    ถ้าจะถามท่านทั้งหลายว่า ใครบ้างไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ทุกคนจะต้องชอบ คนไหนไม่ชอบ หรือไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง คนนั้นไม่อาจอยู่รอดในชีวิตนี้ได้ เพราะกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลง เป็นกระแสของธรรมชาติเป็นอนิจจลักษณะ ซึ่งเป็นกฎอันเฉียบขาด เป็นธรรมนิยาม คือกฎเฉียบขาดของธรรมชาติ สังคมต้องเปลี่ยนแปลง แต่ว่าท่านรำลึกถึงฐานรองรับแห่งความเปลี่ยนแปลงแล้วหรือยัง การที่เราจะโค่นต้นไม้ใหญ่ลงมาต้นหนึ่งนั้น สิ่งแรกที่จะต้องระลึก คือ ทิศทางที่จะให้มันโค่นล้มลงมาต่างหาก ถ้าท่านไม่คำนึงถึงฐานรองรับมันแล้ว การโคนจะทำความล้มละลาย วอดวายให้แก่บ้านเรือนน้อย ๆ ของเรานั้นเอง จำเป็นต้องกำหนดทิศทางแห่งท่อนซุงหรือต้นไม้ใหญ่ ๆ ที่จะถูกโค่น ให้ถูกทิศที่เราประสงค์ ถ้าลงมือโดยการประสงค์แต่ความเปลี่ยนแปลง ต้องการจะตอบสนองแต่ความรุนแรงของตัวที่จะเห็นอะไรเปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยน ถ้าเช่นนั้นตัวเราอาจจะวินาศลงเสียด้วยและสถาบันที่ดีงามของเราก็ต้องล้ม ละลายลง การเปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ดังที่ท่านทั้งหลายทราบนั้น มีความหายนะเกิดขึ้นชนิดมองไม่เห็นตัว เช่น หลักคารวตาได้สาบสูญ หรือกำลังสาบสูญแล้วจากสังคมไทย หลักคารวตา คือ หลักที่คารวะต่อกันและกัน จริงอยู่เราอาจจะพูดได้ว่าหลักประชาธิปไตยนี้ เราต้องเคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน แต่ขอให้ท่านทั้งหลายฟังให้ดี เมื่อถกเถียงกันด้วยทฤษฎีแล้ว คารวตามีไม่ได้ จริงอยู่อาจจะพูดว่า ฉันเคารพความคิดของท่านนะ แต่ข้างในก็กัดกรามอยู่ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าเห็นด้วยกับความคิดของท่าน แต่ถึงเวลาทำงานไม่ร่วมมือ หลักคารวตานั้นต้องหมายถึงอาการที่นอบน้อม รับฟัง และเมื่อเห็นดีด้วยแล้วยินดีอย่างยิ่งที่จะทำตาม และความรักกำลังสาบสูญไปจากสังคมไทย เรากำลังมีความเกลียดหยั่งลงสู่จิตใจ ระหว่างศิษย์กับครู ครูกำลังเกลียดศิษย์อาตมาใช้คำว่า ครูกำลังเกลียดศิษย์ ในฐานะที่ครูไปยอมรับสภาวะที่ครูจะต้องเข้าไปคลุกกับศิษย์ ที่จะทำอะไรตามศิษย์ได้ แต่การที่ครูแยกตัวจากศิษย์ในฐานะที่เหยียดถึงอย่างนี้ ไม่อาจจะเป็นความรักได้ ความรักที่แท้จริง ไม่ใช่ลดตัวเข้าไปเสมอ แต่ความรักที่แท้จริงนั้น ต้องเกิดจากความเปี่ยมของใจที่กรุณา ซึ่งเหนือกว่าคนที่บกพร่อง ท่านทั้งหลายจะไปเสมอศิษย์ไม่ได้ และศิษย์ทั้งหลายไม่ควรให้อาจารย์ของท่านเสมอกับท่านเลย จงกีดกันอาจารย์ของท่านที่ลดตัวลงมาเสมอศิษย์ อย่าให้ครูของท่านทำเช่นนั้นเป็นอันขาดเพราะเมื่อเป็นเช่นนั้น สังคมไทยจะขาดคารวตา และคุณธรรมที่สำคัญที่สุดคือสิ่งที่เรียกว่า คารวะซึ่งกันและกันเช่นนี้ เป็นของที่สำคัญที่สุดในการที่จะกระทำงานใดงานหนึ่งให้ลุล่วงไปด้วยดี การงานของมนุษย์จะลุล่วงไปได้ ขอให้สังเกตดูให้ดี หลักประชาธิปไตยนั้น เหมือนที่เขาล้อเลียนว่า เหมือนเต่าหลายหัว ไม่รู้จะคลานไปทางทิศไหน หัวนี้จะไปทางทิศนี้ หัวโน้นจะไปทางทิศโน้น หลักเกณฑ์ที่วางไว้ อุดมการณ์ของประชาธิปไตยจะดีเลิศ แต่ว่าภาคปฏิบัติแทบเป็นไปไม่ได้ คือมันเป็นนามธรรมเกินไป
    ส่วนสิ่งที่เรียกว่า การก้าวกระชับของรัฐ ของสังคม หรือที่เรียกว่า capacity นั้น จะเกิดขึ้นได้เพราะสิ่งเดียวเท่านั้น คือความรัก ความเห็นใจร่วมมือ แม้ผิดบ้างก็จงร่วมมือกันเถิด เราค่อย ๆ แก้กันไป
    ประการที่สำคัญที่สุด ความร่วมมือจะต้องเกิดจากการบันดาลใจเท่านั้น ครูสอนศิษย์ดีที่สุดนั้น ไม่ใช่ครูที่ทรงความรู้ แต่เป็นครูที่ให้ความบันดาลใจแก่ศิษย์อย่างลึกซึ้ง แม้ความรู้จะน้อยกว่าศิษย์ สิ่งที่เรียกว่าความบันดาลใจนี้ไม่อาจเกิดจากความรู้ได้ ต้องเกิดจากความรักเท่านั้น แม่ต้องให้ความบันดาลใจแก่บุตร แม้แม่จะรู้น้อยกว่าลูก แต่จะปลุกเร้าสิ่งนี้เข้าไปให้ลูกแสวงหาคุณธรรม เพราะฉะนั้นครูที่บริสุทธิ์ หรือหลวงตาแก่ ๆ บ้านนอกที่บริสุทธิ์ อย่างพระครูบาศรีวิชัย ก็อาจจะเอาชนะรัฐบาลได้ ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม รัฐบาลได้เคยใช้เวลาสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพตั้งเวลาเท่าใดก็ไม่เคยสำเร็จ งบประมาณไม่มี อะไรก็ไม่มี พระครูบาศรีวิชัยใช้เวลา ๘ เดือน ด้วยอำนาจของความรัก ด้วยอำนาจของความบันดาลใจ ที่คนชาวเหนือศรัทธาของชาวเหนือนั้น ได้ไปจองที่กัน ไม่มีแม้แต่ตารางวาเดียวที่จะให้คนอื่นจอง ทำเอง เขาห่อข้าวไปกินเอง
    สังคมไทย ในอดีต มีสิ่งนี้แหละ คือความบันดาลใจ ที่ศิษย์รู้สึกว่าแม้ครูจะโง่กว่าเรา แต่ก็คารวะ จนกระทั่งสิ้นชีวิตจากกันไป ไม่เคยเอาความรู้มาข่มครู แม้ตัวเองจะเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย หรืออะไรก็ตามพบครูเดิมของตัวก็กราบไหว้ คารวะ สิ่งนี้เริ่มวอดวายแล้วจากสังคมไทย และสิ่งนี้เป็นคุณค่าที่เกิดยาก แต่ถ้าเกิดแล้วก็หายได้ยาก แต่ถ้าหายแล้วก็เกิดยากอีกเช่นกัน แต่ความเกลียดชังนั้นเกิดง่ายที่สุด แต่หายยากที่สุด เราอาจจะใช้เวลา ๕ นาที ปลุกเร้าระดมมวลชนให้เกลียดชังใครก็ได้ แต่เราอาจจะใช้เวลาเป็นปี ที่จะปลุกสำนึกให้เขาเกิดรักเห็นใจเพื่อนมนุษย์ ซึ่งอหิงสาไม่เคยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่ไม่ใช่อหิงสาไร้ค่า นักอหิงสาวอดวายลง แต่ตัวอหิงสานั้นเป็นตัวคุณธรรมแท้ ในระหว่างมนุษย์เราไม่อาจที่จะดับประทีปดวงนี้ลงได้ แม้จะริบหรี่เท่าใด เราต้องรอการจุดประทีปนี้ให้สว่างโชติช่วงขึ้นอีก
    ถ้าสมมุติว่าเราจะให้สังคมเปลี่ยนแปลงแล้ว ถ้าไม่ปูพื้นฐานรองรับให้ดี คือ เห็นลู่ทาง เห็นภัยแก่สถาบันที่จะพินาศลง ถ้าไม่สร้างค่านิยมให้ดี เราอาจจะต้องรอ แม้ฝ่ายหนึ่งต้องถูกสูบเลือด ฝ่ายนายทุนจะดูดเลือดจากกรรมกรก็ตาม เราก็พึงเข้าไปเยียวยาช่วยเหลือกัน เรียกร้องให้เห็นใจซึ่งกันและกันแล้วรอระบบที่ดี สันติภาพต้องเกิดจากสันติวิธีเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง ไม่อาจเกิดสันติภาพที่ถาวรได้ มันอาจจะหยั่งลงสู่กระแสวัฒนธรรมแห่งการเปลี่ยนแปลงไม่รู้จักหยุด ถ้าว่าท่านทั้งหลายคิดว่า เราจะเปลี่ยนอย่างรุนแรงที่สุด เพื่อให้เกิดสันติสุขอย่างฉับพลันหรือเฉียบพลันขึ้นมาแล้ว ถ้าว่าอนุชนรุ่นถัดไป เขาเกิดไม่ชอบสังคมชนิดนั้น ก็เปลี่ยนอีก เพื่อหวังให้อนุชนรุ่นถัดไปเขาเห็นดีด้วย แล้วอนุชนรุ่นถัดไปไม่เห็นดีด้วยอีก เขาก็เปลี่ยนอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ สังคมนั้นก็คือวิกฤตการณ์อันถาวร เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วสังคมรับใช้ใคร สังคมไม่เห็นสังคมแห่งความเสียดแทงเอกชน สังคมนั้นไม่เป็นสังคมแห่งสังคมมาร ไม่เป็นสังคมแห่งสังคมบาปละหรือ เพราะฉะนั้นเอง สมมุติว่าเอกชนคือผึ้ง ที่เราร่วมสร้างสมน้ำผึ้งกันขึ้นมา ผึ้งตัวไหนจะได้กินน้ำผึ้ง สังคมจะต้องอยู่ในฐานะรวงผึ้งที่จะบีบน้ำหวานให้ผึ้งทุกตัว ที่แสวงหามาสะสมไว้ได้ลิ้มรส เรื่อยไป เรื่อยไป แล้วสิ่งนั้นจะร่ำรวยขึ้น และเข้าถึงคุณค่าของทุก ๆ สิ่งรอบด้าน เมื่อเราไม่ได้คำนึงถึงฐานรองรับช่วงนานขึ้นมาแล้ว เราต้องรอก่อนเสมอไป แม้เราอาจจะต้องรอบุคคลที่เปลี่ยนได้หรือรอจิตใจที่จะเข้าใจถึงสภาวะที่สูง สุดของมนุษย์ ก็คือว่า เราจำเป็นต้องรอให้ทุกคน อย่างน้อยเข้าใจเงื่อนไขของชีวิต หรืออย่างน้อยผู้ที่เข้ามากำหนดเงื่อนไขของความเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีจำนวนน้อยนั้น จะต้องระลึกรู้ถึงเงื่อนไขของชีวิตการเปลี่ยนแปลง สังคมที่ไหนก็ตามเงื่อนไขนั้นจะต้องถูกกำหนดจากบุคคลภายใน ซึ่งเราทำได้ ถ้าเราทุกคนร่วมมือกัน หมายความว่าเซลล์ทุกเซลล์ของสังคม เอกชนทุกเอกชนเริ่มไหวตัวในทางที่ต่อสู้ จากปากถึงปาก จากพี่ถึงน้อง จากป้าถึงอา จากลูกถึงแม่ ปลุกเร้าสำนึกที่จะให้รู้ว่า การฆ่ากันไม่พึงปรารถนา เราทั้งหลายอย่าฝากความเชื่อไว้กับนักวิชาการ ที่หัวรุนแรง ที่หมิ่นคุณค่าของเอกชน หมิ่นเอกสิทธิ์ของปัจเจกบุคคล คนเหล่านี้ไม่รู้จักคุณค่าของมนุษย์ แต่ใช้ความรู้เหยียดคุณค่าของมนุษย์ เราไม่อาจที่จะฆ่านก ถ้าเราจะสร้างรังให้นกอยู่ เราคิดว่าเราจะฆ่าคนให้มาก เพราะเราคิดจะเปลี่ยนแปลงสังคมเหมือนจะสร้างรังนกให้นกอยู่ แล้วทำไมเราจะต้องไปยิงนกให้ตาย ถ้าเราจะสร้างบ้านให้ลูกหลานเราอยู่ ทำไมเราจะต้องตัดคอลูกเสียก่อน เพื่อจะสร้างบ้าน เพราะคิดว่ามันจะรบกวนเราเล่า นี่เป็นเพียงสำนึกเท่านั้น ดังที่เรียกว่า ศาสนาจะปลุกเร้าสำนึก ไม่ใช่ปลุกปัญญาเฉโก ปัญญาเฉโกนั้นมันต้องเลี้ยวมาที่จะงับขาตัวเอง และพาลไปงับขาเพื่อนมนุษย์และพาลไปให้สังคมมันล้มครืนลง และค่านิยมที่ดี สถาบันที่ดีก็วอดวายลงเมื่อเป็นเช่นนั้นแหละ วิกฤตการณ์ กลียุคจะเกิดขึ้น แล้วอะไรจะเกิดขึ้น เด็กตาดำๆ หญิงชราที่ไม่รู้เรื่องด้วย เด็กที่เกิดมาใหม่ ดอกตูมของดอกมะลิที่ควรจะบาน กลับไม่ได้บาน ส่วนบานแล้ว ก็ถูกจับฉีกให้วอดวาย ถูกบังคับให้เป็นอย่างนักวิชาการเหล่านั้นต้องการให้เป็น เราจะต้องให้พระธรรมเท่านั้นนำทางของชีวิต เราจะต้องให้เงื่อนไขที่รู้เห็นคุณค่าของชีวิตเท่านั้นนำทาง และอาตมภาพจึงพูดให้ท่านทั้งหลายตลกขบขัน ชนิดหัวเราะไม่ออกว่าต้องให้ฤๅษีเท่านั้นนำวิถีทางแห่งสังคม และเราอาจจะต้องยอมให้การก้าวหน้าทางวิทยาการชะงักงันเป็นสิบศตวรรษเพื่อรอ ให้ระลึกถึงเงื่อนไขนี้ให้ดี
    ศาสนาเป็นสิ่งที่เป็นสรณะที่แท้จริง การเมืองเป็นของสับปลับ เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แล้วแต่นักวิชาการ และเป็นระบบที่หวาดระแวงซึ่งกันและกันเรื่อยไป แต่ศาสนาเท่านั้นจะอยู่ เพราะมันเป็นเรื่องราวของชีวิต มันเป็นเรื่องราวที่มนุษย์ไม่อาจปฏิเสธได้ กิเลส ราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นกับคนสมัยบรรพกาลอย่างไร มันก็เกิดกับคนสมัยนี้อย่างนั้น แม้ว่ามันรุนแรง หรือแรงหรือง่ายขึ้นก็ตามใจ แต่ระบบของศาสนาเท่านั้น ที่จะเข้ามายกชีวิต ยกจิตวิญญาณของปัจเจกชนขึ้นให้สูงขึ้น เพื่อจะได้บรรลุถึงซึ่งวิมุตติภาพ หรืออิสรภาพอย่างแท้จริง ขึ้นมาได้
    ในที่สุดนี้อาตมภาพขอให้ท่านทั้งหลาย รำลึกถึงเงื่อนไขสำคัญอีกครั้งหนึ่งของบรรพชนของเรา ก็คือว่า สัตว์ทั้งหลายเห็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่ามีเวรซึ่งกันและกันเลย อย่ามีภัยซึ่งกันและกันเลย แต่ใช่ว่าคำขวัญนี้จะให้หยุดชะงัก หรือวางอุเบกขา แต่มันหมายถึงการต่อสู้ชนิดหนึ่งที่จะปลุกเร้าสำนึก ให้ทุกคนรำลึกถึงเงื่อนไข ส่วนการเปลี่ยนแปลงนั้นจะต้องมาโดยแง่หนึ่ง การเปลี่ยนแปลงที่จะมีมานั้น ถ้าเราได้ฝากสำนึกที่ถูกต้องให้แก่บุคคลกลุ่มน้อย ที่จะกำหนดเงื่อนไขของความเปลี่ยนแปลงแล้ว การเปลี่ยนแปลงนั้นแหละคือการสร้างสรรค์ที่แท้จริง ไม่เช่นนั้นแล้ว การเปลี่ยนแปลงชนิดนั้น คือการทำลายมนุษย์อย่างย่อยยับ เป็นการตั้งไข่ล้มต้มไข่ลุกแห่งอารยธรรมของมนุษย์ และเราไม่อาจจัดว่า เราเจริญกว่าสัตว์ เหมือนที่ได้ตั้งต้นพูดว่า การที่มนุษย์แผ่ขยายอายตนะขึ้นนั้น ดูแง่หนึ่งเกิดสวัสดิการขึ้น คล้าย ๆ มนุษย์เจริญ แต่ว่าขอให้ดูให้ดี ถ้าความเจริญอันนั้นย้อนมาทำลายมนุษย์ สังคมหรือเผ่าพันธุ์มนุษย์หาได้เจริญกว่าสัตว์เดรัจฉานเท่าไหร่ไม่
    ในที่สุด นี้ ถ้าสำนึกของเราต่อสังคมได้เกิดขึ้น ที่สอดคล้องกับคุณค่าของเอกชนแล้ว เมื่อนั้นแหละ อย่าได้ฝันถึงสวรรค์ที่บนฟ้าที่ไหนเลย จงฝันถึงสวรรค์ในท้องถนน ที่เดินไปทางไหน มีแต่บุคคลเห็นอกเห็นใจ เข้าใจซึ่งกันและกัน เมตตา ปราณี กรุณา เกื้อกูลซึ่งกันและกัน เพราะทุกคนได้สำนึกถึงเงื่อนไขว่า เราจะต้องตายอึก ชีวิตเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วสมัย แล้วก็ล่วงลับไป เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่เราจะฝากสำนึกไว้ให้อนุชนให้ถ่ายทอดกันไปก็คือพันธสัญญา ถึงวิมุตติภาวะทั้งของฝ่ายสังคม และเอกชนสิ่งซึ่งเรียกพันธสัญญานี้ท่านจะลืมไม่ได้ เพราะพันธสัญญานี้ ท่านจะต้องถ่ายให้ลูกของท่าน ลูกของท่านต้องถ่ายให้หลานของท่าน อย่าให้ถ่ายบาปแก่กันและกันเลย จงถ่ายถึงความรู้ที่แท้จริง เราควรจะเสียสละ ที่ตัดขาดจากบาปกรรมที่มนุษย์ได้ถ่ายทอดกันมากันเสียที
    ในที่สุด นี้ อาตมภาพขอน้อมอำนวยพร ให้ท่านทั้งหลายจงประสบสันติสุขทุกทิพาราตรีนับตั้งแต่บัดนี้จนตราบเท่าเข้า สู่พระนิพพานอันถาวรสิ้นเชิงเด็ดขาดในชีวิตที่ทันตาเห็นเถิด ขอให้สวัสดี
     
  2. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    741
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,505
    เงื่อนไขของชีวิตและสังคม
    ภาคคำถาม - คำตอบ
    (ธรรมบรรยายโดย เขมานันทะ)
    [​IMG]
    ถาม ทำอย่างไรจึงจะให้การแสวงหา ความรู้ทางโลก เพื่อ ให้ดำเนินชีวิตทางกายภาพ และการเสาะแสวงหาสันติสุข จะไม่ได้ขัดต่อกัน
    ตอบ นี่เป็นคำถามที่ดีมาก ขอชมเชยว่า เป็นคำถามที่แท้จริง ซึ่งก็คงเป็นเรื่องราวยืดยาวมากมาย อาตมาขอเป็นหนไว้ ในหนังจะพูดเรื่อง ชีวิตและการเรียนรู้ของมนุษย์ และขอตอบสั้นๆ ว่า ในชีวิตนี้ มันจะมีอยู่ ๒ สิ่งคือ ความรู้ เรียกว่า knowledge หรือ pure knowledge ที่เกิดจากการฟัง การคิดด้วยวิธีทางแห่งปรัชญา ที่เขานิยมเรียกกันว่าแบบ rationalism คือคิดไปเรื่อย เทียบเคียงไปเรื่อย เรียนไปเรื่อย งอกงามไปเรื่อย ซึ่งเป็นหลักปรัชญาการศึกษาของโลก แม้จะลังเลสงสัย กระแสนี้แรงมาก พอที่จะไม่อาจที่สกัดให้หยุดได้ เพราะมันสามารถรับใช้สังคมได้ดี คือคัดคนเข้าทำงานนั้นเอง โดยได้พูดแล้วว่า คนเหล่านั้นอาจจะไม่เป็นผู้คนก็ได้ เป็นเครื่องจักรชนิดหนึ่งของรัฐ
    สิ่งที่สองที่จะต้องรำลึกก็คือว่า ก่อนที่มนุษย์จะมีความรู้นั้น มันเกิดประภัสสรจิตขึ้นก่อน คือจิตที่ซ่านแสง นักอภิธรรมเขาเรียกว่าโสภณจิต คือจิตที่พร้อมที่จะเรียนรู้
    ที่จริงนี่สำคัญมาก ประการแรกเรียกว่าการเลียนแบบ rationalism ประการหลังซึ่งถ้าไม่เข้าใจมันแล้ว ฝ่ายพวก rationalist จะเรียกมันว่า เรียนแบบรหัสนัย ที่จริงมันหมายถึงว่า. ทำให้เกิดภาวะที่พร้อมจะรู้ คือจิตเดิมแท้ปรากฏ จากนั้น ใช้จิตที่มีคุณสมมติพิเศษสุด คือมันเป็นสัพพัญญู อยู่ในตัวของมัน คำว่า สัพพัญญู ไม่ได้หมายถึงรู้แจ้งพรุนไปหมด แต่หมายถึงว่า มีคุณสมบัติที่จะแทงตลอด ตัดปัญหาเหมือนแสง X ที่ฉายผ่านร่างของคน ไม่อาจบอกรายละเอียดอะไรได้ แต่เห็นโครงสร้างทั้งหมด เพราะฉะนั้น การเรียนชนิดที่ทำให้เกิดแสงสว่างขึ้น และโน้มคุณสมบัติชนิดนั้น ไปเรียนความรู้ทางโลก นี่แหละ แนวร่วมที่จะเกิดสันติสุขที่แท้จริง เพราะแสงสว่างของจิตนั้น มันไม่สร้างตัวตนหรือที่ พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ที่สวนโมกข์ท่านเรียกว่า “ตัว กู“ ขึ้นได้ เพราะขณะที่แสงสว่างนั้นเกิด คือจิตเป็นประภัสสร กิเลสมันไม่มี กิเลสมันดับลง เมื่อเป็นเช่นนั้นมันบรรลุถึงเป้าหมายแล้ว ในขณะที่ยังพึ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง มันบรรลุถึงความรู้ที่แท้จริงก่อน ต่อจากนั้นโน้มความรู้ชนิดนี้ไปสู่ความรู้ ซึ่งเป็นเพียงองค์ประกอบเล็ก ๆ น้อยๆ สำหรับทำงานรับใช้สังคมหรือเพื่อสถานะทางกายภาพเท่านั้น
    อาตมภาพจะสรุปให้ง่ายกว่านั้นอีก ก็คือว่า สภาวะหรือสถานะของจิตเดิมแท้จะต้องปรากฏ แล้วจึงใช้ภาวะที่มันเห็นตัวความรู้แจ่มแจ้ง ทำไมจึงเรียกว่าสัพพัญญู หรือความรู้ เพราะมันสิ้นสงสัย ทำไมจึงเรียกว่าสิ้นสงสัย ทั้ง ๆ เรามีเรื่องที่จะให้สงสัยเยอะแยะ ก็เพราะความสงสัยของมนุษย์มันเกิดจาก concept ของมนุษย์ ที่ไปสร้างความสงสัยขึ้น เมื่อเรียนด้วยวิธีสงสัยความสงสัยไม่รู้จักจบ เหมือนกับเราไปเขย่าต้นไม้ ใบมันร่วงเป็นปุ๋ย แล้วใบใหม่มันก็ออกมาอีก เขย่าอีก ก็งอกอีก เพราะฉะนั้น การเรียนแบบนั้นจบลงไม่ได้ ส่วนการเรียนชนิดจี้เข้าไปที่จิตเดิมนั้น ต้องผ่านทางการสำรวมอายตนะ ที่จริงหลักสูตรการศึกษานี้จะต้องวางไว้อย่างนี้ ต้องเน้นหนักอย่างน้อยครึ่งต่อครึ่ง ๕o% ต่อ ๕๐% หรือมากกว่านั้น เพื่อความปลอดภัย ก็คือเน้นเรื่อง สมาธิ ภาวนา ศีล เพื่อให้สภาวะเดิมของจิตปรากฏก่อน คงเป็นคราวเคราะห์ร้ายของหลักสูตรของไทยที่ตามหลังพวกเรียนนอก. อาตมาไม่ได้รังเกียจฝรั่ง แต่รังเกียจวิธีเรียน หรือวัฒนธรรมบางชนิดของฝรั่งเท่านั้น ซึ่งเขาไม่สนใจเรื่องนี้ เพราะหลักสูตรของเราก้าวตามหลังเขา เมื่อเป็นเช่นนั้น เด็กของเราเมื่อเรียนมาแล้ว ไม่อาจใช้ความรู้ที่ตัวเรียนมา ระงับความฟุ้งซ่านของจิตสักนิดเดียว แล้วได้ปริญญาต่อท้ายนามสกุลตั้งคืบหนึ่ง จะใช้สักหนึ่งมิลลิเมตร เข้ามาขจัดความโกรธไม่ได้ ในขณะที่ชาวนาอาจทำได้ก็มี
    เพราะฉะนั้นเอง ขอให้คำตอบนี้สรุปว่า ที่จะไม่ขัดกันนั้น ก็ต้องพุ่งไปสู่ความพร้อมที่จะรู้ก่อน คือสถานะที่มันไม่มีปัญหาก่อน แล้วคอยเรียนไต่เป็นลำดับ ส่วนพวกโยคี ที่เน้นหนักเรื่องจิตอย่างเดียว เขาไม่ใส่ใจเรื่องความรู้ rational เขาไม่ใส่ใจเรียนความรู้ทางโลก นั้นเป็นเรื่องของเขาไม่ใช่ทางของพุทธธรรม พระพุทธองค์นั้นท่านไม่ประสงค์อย่างนั้น ท่านให้เกิดความพอดิบพอดีขึ้นมา เพื่องอกงามซึ่งความรู้ทางด้านเหตุผลด้วย พร้อมกันนั้นจิตก็สิ้นอาสวะด้วย พร้อมๆ กันไป เป็นอย่างนั้น
    ถาม ขอทราบแนวทางปฏิบัติเพื่อจะได้ไม่ร่วมทำบาป กับบุคคลในร่วมสมัยของเรา
    ตอบ ก็ขอชมเชยอีกว่า คำถามเป็นคำถามที่ดีมากเหลือเกิน
    บาปที่แท้จริงนั้น คนบางคนเข้าใจว่า ตบยุงบาป จะเถียงกันใหญ่ว่าเหยียบมด บาป-ไม่บาป แต่เขาลืมคิดว่า ความโลภนั้นเป็นยอดบาป ไม่ได้คิดว่าความโลภนั้นบาปที่สุด เพราะเป็นมโนกรรม บางทีคนขูดรีดเพื่อนมนุษย์ กดขี่ ขออภัย ใช้สำนวนเด็กหนุ่ม ๆ สมัยนี้ เจาเรียกคำว่า กดขี่ เอาเปรียบนี่บาปที่สุด ยิ่งกว่าตบยุงหนึ่งตัวเสียอีก แต่ว่า บาปชนิดนั้นคือ การที่ไม่ทำบาปชนิดตบยุง ดูมันได้เครดิต หรือสถานะทางสังคม ที่ไปนั่งแล้วทำเป็นเคร่ง ไม่ตบยุง รู้สึกเขาเลื่อมใส แต่อิตคิดประทุษร้ายนี่บาปที่สุด พระคริสต์ท่านตรัสว่าการสะสมเกินจำเป็นเป็นบาปที่สุด ทีนี้เราจะเห็นได้ว่า สังคมเป็นสังคมบาปฝ่ายหนึ่งตบยุง กระทั่งอีกฝ่ายหนึ่งเจ็บปวด แล้วมันก็บาปซ้ำ คือมันเคียดแค้น ทั้งคู่จึงร่วมกันทำบาป ความเคียดแค้น อาฆาต นั้นเป็นมโนกรรม พยาบาท นี่ยอดบาปที่สุด คือทำให้ตนเอง เกิดตัวตนขึ้นมา ตั้งอยู่คนเดียว นั่ง ๆ นี่ปรุงแต่งอะไรขึ้นมา จนเกิดตัวกูขึ้นมา ขออภัย ไม่ใช่คำหยาบ แต่คำนี้ดูเหมือนจะรู้จักกันทั่วขึ้นแล้ว พอมดกัดแล้วโกรธ นั่นแหละคือบาป ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ดี บาปเสียแล้ว
    เพราะฉะนั้น สรุปได้ว่า พอเห็นแก่ตัวขึ้นมา โลภขึ้นมา โกรธขึ้นมา บาปมันกินเข้าไป พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อติโลโภหิ บาปโก โลภมากนั้นบาป ผู้โลภมากเป็นผู้บาป เพราะฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายไม่อยากจะร่วมทำบาป ก็รีบทำบุญ คือรีบทำสิ่งที่ตรงกันข้าม แต่ระวังให้ดี บุญที่ผู้แสวงหาผลประโยชน์อธิบายไว้นั้น มันจะทำให้ท่านเกิดบาปโดยไมรู้ตัว เช่น บุญชนิดที่ค้าขาย เพื่อเกิดในสวรรค์ มันเป็นโลภ แล้วกลายเป็นบาปไปทันควันที่ทำบุญ เช่นทำบุญเพื่อให้พระชอบ อย่างนี้ระวังให้ดีแล้วก็ทำบุญเพื่อหาพรรคพวก ก็ระวังให้ดี มันจะกลายเป็นบาปขึ้นมาทันที หรือทำบุญเลี้ยงพระ เพื่อให้พระเสียความเห็นพระขึ้นมามันจะกลายเป็นบาปขึ้นมาทันที นั้นระวังให้ดี
    บุญหมายความว่า ผู้นั้นเมื่อทำบุญจิตใจต้องปลื้มปีติ ความปลื้มปีติที่แท้จริงนั้นจะล้างความเศร้าหมอง เพราะฉะนั้น ถ้ากลัวความเศร้าหมองรีบทำให้เกิดปีติ แล้วปีติจะเกิดจากปัญญาทั้งนั้น ปีติชนิดที่เกิดจากความโง่เขลา เป็นบุญปลอม แล้วสลับกับบาป ปีติจริงนั้นต้องเกิดจากความรู้สึกว่าเราได้ทำสิ่งหนึ่ง ที่ไม่ขัดกับมนุษยธรรม หรือสำนึกเบื้องลึกซึ้งที่สุดของเรา เช่นเราช่วยคนขอทานคนหนึ่งขึ้นมาแล้วหรือเราสงเคราะห์เด็กนักเรียนของเรา แล้ว เขาไม่เข้าใจ และเกิดต่อต้านขึ้นมา เราไม่ยอมให้มีความโกรธตอบ นี่แหละคือ บุญที่จะคุ้มไว้เพราะฉะนั้น บุญเป็นอุปกรณ์เข้ามาประคับประคอง จนกว่าจะบรรลุถึงสภาวะจิตที่บุญและบาปเข้ามาไม่ได้อีก เหมือนที่พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้ ซึ่งเป็นหลักใหญ่ของพุทธธรรมที่ว่า ทำดีให้ถึงที่สุด เพียรละบาปและทำจิตใจให้ผ่องแผ้วถึงที่สุด ที่ทั้งบุญและบาปเข้ามาไม่ติด
    ถาม อหิงสาในทางการเมืองนั้น เป็นวิธีการเช่นเดียวกับของท่านคานธี ใช่หรือไม่
    ตอบ อหิงสานี้ อย่าไปคิดว่า เป็นของคานธีขึ้นมาเป็นอันขาด อย่างดีที่สุด เราจะเรียกว่าคานธีเป็นนักอหิงสาผู้หนึ่งเท่านั้น อหิงสาเป็นระบบ สอนกันมาก่อน ปู่ของปู่ ของปู่ ของปู่ ของคานธีเกิดโน้น ก่อนพระพุทธองค์ อหิงสา ปรโม ธมฺโม พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นธรรมะเก่า ทั้งพระศาสดาหรือพระพุทธเจ้าองค์ไหน ๆ ตรัสไว้แล้ว วันหนึ่งท่านเปล่งอุทานว่า เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวรเลย แต่เวรระงับด้วยการไม่จองเวร อหิงสานั้นพระศาสดาองค์ก่อนสอนไว้นานแล้ว ส่วนเราจะมาประยุกต์หรือ apply อหิงสา มาเรื่องการเมืองนั้น ไม่ได้หมายถึงเรื่องวางเฉย การวางเฉยไม่อาจจัดเป็นอหิงสา อหิงสาหมายถึงการต่อสู้ชนิดหนึ่ง และเป็นการต่อสู้ด้วยสันติวิธี ด้วยเผด็จการกับกิเลสของตัวเองเป็นอันแรกสุด ขอให้ท่านทั้งหลายจับประเด็นให้ดีว่า อหิงสาเป็นการต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อให้เกิดสันติและด้วยสันติวิธี แต่บทบาทครั้งแรกสุดนั้น ต้องเผด็จการกับกิเลสของตัวเรา ไม่ใช่เผด็จการกับเพื่อนเข้า หมายความว่าต้องบังคับกิเลสของตัวเราไม่ให้โกรธ ไม่ให้เกลียด ไม่ให้อะไรเกิดขึ้นซึ่งจะสูญเสียอุดมคติ แล้วอหิงสามีกำลังชนิดประหลาด ลึกซึ้งที่สุดเหมือนที่เราพบว่า คนที่มีคุณธรรม แม้ทีแรกประชาชนจะลืม แต่พลังอันนี้มันเก็บช่อนไว้ ถ้าคำพูดสัก ๑๐๐ หรือ ๑,๐๐๐ คำ ของผู้ที่มีวิหิงสาในใจ ไม่อาจเทียบกับคำพูดคำเดียวของผู้ที่มีอหิงสา พอพูดออกมาแล้ว มันแสดงถึงอาการของความเมตตากรุณา นั่นคือพลังที่จริง อย่าเพ้อฝันถึงพลังของการโหดร้าย ทิ่มแทงผู้อื่น หรือยกมือขึ้น ตี หรือ ตบ นั่นไม่ใช่พลังมันเป็นเรี่ยวแรงของสัตว์ป่าต่างหาก พลังที่แท้จริงหมายความว่า มันเกิดโน้มเข้ามาสู่ด้วยสำนึก และยอมศิโรราบเพราะสำนึกในมนุษยธรรมหรือคุณธรรมที่แท้จริง
    ฉะนั้นท่านทั้ง หลายจงแสวงหาอำนาจเถิด แต่ต้องเป็นอำนาจของอหิงสา ไม่ใช่ว่าเราไม่ควรแสวงหา ถ้าจะตั้งกลุ่มขึ้น ก็ตั้งกลุ่มของความรัก ยอมให้ตัวเองถูกตี ดีกว่าที่จะตีเขา และยอมให้ตัวเองถูกตี และคุมอย่าให้ข้างในคิดพยาบาท อย่างนี้จะเป็นพลังอหิงสาขึ้นมาได้ และอย่าคิดว่า คานธีเท่านั้น เป็นนักอหิงสา พระศาสดาทุกพระองค์ พระพุทธองค์ท่านปรารถนาไว้ พระไครสต์ และพระศาสดาทุกพระองค์ แม้แต่คุณครูที่กำลังเพียรที่จะระงับโทสะต่อศิษย์ที่ต่อต้านที่ตัวเองทำด้วย ความหวังดีแล้วนี่เรียกว่า อหิงสา และสิ่งที่เรียกว่า อหิงสานั้น ลึกซึ้ง ละเอียด ถึงขนาดที่เรียกว่า จะต้องฝึกตั้งแต่เด็ก ๆ ชนิดที่ไม่ให้ตามใจตัวเอง แต่ต้องทำตามความถูกต้อง ไม่ใช่ ถูกใจ
    อาตมาขอยก ตัวอย่างอีกอัน ที่อาจจะหัวเราะกันครืน หรือขบขัน หรืออาจจะหาว่าหยาบคายก็ ได้ การเข้าไปในห้องน้ำ ขออภัย แล้วเบ่งอุจจาระ นี่นิสัยของความวิหิงสา คือจะเอาให้ได้ดังใจท่าเดียว ส่วนผู้ที่มีอหิงสานั้นต้องถูกต้อง เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์ท่านจึงปรับอาบัติแต่ภิกษุผู้เข้าห้องน้ำแล้วเบ่ง อุจจาระ ปรับอาบัติ เพราะมันจะเพาะนิสัยรุนแรงขึ้นทุกที ๆ แล้วทนไม่ได้ทุกที ๆ เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจะต้องสอนลูกให้เปิดจุกขวดอย่างถูกวิธี ไม่ให้ใช้กำลังเกินจำเป็น จะต้องใช้ให้ทำพอดิบดี เพื่อให้เกิดรู้เห็นว่า สัมฤทธิผล หรือประสิทธิผลนั้นจะต้องเกิดจากการรู้เห็นปัจจัยที่จะออกมาสู่สัมฤทธิผล ก่อน และกระทำด้วยประสิทธิ์ภาพที่พอดิบพอดีเพื่อประสิทธิผล
    อหิงสาหมายความว่าต้องรู้จักเงื่อนไขที่ถูกต้องของชีวิตของเรื่องราว ของสิ่งที่จะผลิตผลออกมาเป็นสัมฤทธิผล คือ ประสิทธิผลนั้นเอง เดี๋ยวนี้เราฝันถึงประสิทธิผลแล้วดู ๆ นักวิชาการทั้งหมดท่าทางท่าที คล้ายๆ มีประสิทธิ์ภาพ แต่พอถึงเวลาแล้ว โครงงานต่าง ๆที่สัมมนากันไม่มีประสิทธิผลเพราะเขาไม่มีนิสัยของอหิงสาที่จะยอมได้ แม้เราเสียประโยชน์บ้าง แม้เล็กน้อย เพื่อให้เกิดประสิทธิผลออกมา คนทุกคนป้องกัน คนทุกคนแสวงหาประโยชน์ เพราะฉะนั้นอหิงสาเกิดขึ้นไม่ได้ด้วยเหตุนี้ ถ้าว่าเด็กของท่านเกิดมา และถูกอบรมด้วยอหิงสาแล้ว แม้การผูกเชื่อกรองเท้าไปโรงเรียน ต้องผูกถูกต้องเพื่อที่จะดึงออกในตอนเย็นที่เขากลับมาบ้าน ไม่ใช่ไปผูกเงื่อนตายขึ้นมา ถ้าอย่างนี้เป็นผู้ไม่รู้เงื่อนไขและจะเพาะนิสัยทนไม่ได้ แล้วจะพาลโมโหดึงเชือกผูกนั้นขาด เมื่อได้รับของขวัญส่งมาก็ฉีกกระดาษห่อทิ้ง แม้กระดาษนั้นจะห่ออย่างอื่นได้ ก็ฉีกทิ้ง หรืออย่างมากเมื่อส่งของขวัญมาแล้ว ก็ดึง ดึงด้วยเรี่ยวแรง จนกระทั่งเชื่อกขาดหมด แทนที่จะทำอย่างอื่นได้ ก็ขาดออก นิสัยเช่นนี้ ไม่เป็นนิสัยอหิงสาได้ แม้การเปิดจดหมาย หรืออ่านหนังสือ สิ่งสำคัญที่สุดที่เขาจะต้องรู้ว่าทุกเรื่องที่จะสัมฤทธิผลมา ต้องออกมาจากการรู้จักเงื่อนไขที่ถูกต้อง ของกฎเกณฑ์ของมันอย่างมีประสิทธิภาพ
    ขอชมเชยว่า ท่านผู้ถาม ถามได้มีประโยชน์มาก แล้วก็แต่ละข้อมีประเด็นที่สำคัญพอสมควร
    ถาม ท่านบอกความรุนแรงของสังคมจะมากขึ้นทุกที แล้วเราจะช่วยได้อย่างไร ให้ทันควันกับวิกฤตการณ์ทั้งหลายได้ และจะนำศาสนาเข้ามาช่วยได้อย่างไรในเมื่อเขาชวนกันหันหลังให้ศาสนา
    ตอบ เห็นทีอาตมาจะต้องถามผู้ถามนั่นเองว่า จะทำอย่างไร เพราะถ้าท่านเองหันหลังให้ศาสนาแล้ว ท่านจะเคี่ยวเข็ญผู้อื่นให้หันหน้าเข้ามาอย่างไรได้ ถ้าผู้สอนศาสนาเอง เช่น บรรพชิต ขออภัยที่ต้องพูดอย่างนี้ หันหลังให้ศาสนาแล้วตะโกนให้เพื่อนหันหน้าเข้า อย่างนี้เป็นเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราเองยังสกปรกเหมือนที่ท่านคานธีพูด จะรบเร้าให้เพื่อนสะอาด นี่ตลกมาก เพราะฉะนั้นปัญหานี้ มันต้องมาถึงสิ่งที่เรียกว่า ผู้พูดจะต้องเชื่อเป็นครั้งแรกและคนแรก ท่านพูดเรื่องใด จะต้องพิสูจน์ทันควันว่า ตัวเองเชื่อ เพราะฉะนั้น ปัญหานี้มันต้องมาถึงสิ่งที่เรียกว่า ผู้พูดจะต้องเชื่อเป็นครั้งแรกและคนแรก ท่านพูดเรื่องใด จะต้องพิสูจน์กันก่อนว่า ตัวเองเชื่อ เพราะฉะนั้น ปากพูดเพื่อให้หูตัวเองเชื่อเท่านั้น ทุกวันทุกครั้งที่ทำงาน เดี๋ยวนี้ท่านเพาะนิสัยเช่นนี้ได้แล้วยังเล่า ครูที่สอนเด็กอย่าให้สูบบุรี่ ครูสูบหรือเปล่าเล่า เมื่อสอนนิสิตอย่าให้เที่ยวเตร่ ครูเที่ยวหรือเปล่า เมื่อสอนคนอื่นให้สนใจในศาสนา ตัวเองสนใจหรือเปล่าเล่า ถ้าท่านสนใจแล้ว ทุ่มชีวิต สุดขั้วหัวใจ ไม่ต้องพูดกันอีก เพราะว่า ความบันดาลใจนั้นจะปลุกลิ้นให้พูดไม่รู้จักหยุด แม้ในไนท์คลับหรือในบาร์ สิ่งนี้เองจะเป็นเครื่องมือของศาสนา ไม่รู้จักหยุด ผู้ที่เห็นคุณค่าของศาสนาแล้ว จะถูกปลุกเร้าชนิดหยุดไม่ได้ นิ่งไม่ได้ ที่จะกระจายกรุณานั้นออกไป ท่านจะต้องถามตัวเอง และตอบตัวเอง ด้วยตัวของตัวเอง
    ถาม เราจะให้เด็กของเราเห็นว่า สัตว์ทั้งหลายล้วนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นได้อย่างไร ดิฉันกำลังจะหมดกำลังใจยิ่งขึ้นทุกที
    ตอบ อาตมาขอแสดงความเห็นใจอย่างลึกซึ้งต่อผู้ที่ถาม เพราะเป็นเรื่องจริงที่สุด เมื่อ ๒-ด วันก่อนั้น คุณโยมผู้ชราคนหนึ่ง ไปคร่ำครวญที่วัดชลประทาน ฯ ว่ากำลังถูกลูกหลานประณามว่า ไม่ช่วยเหลือสังคม และเจ็บใจปวดร้าว นอนไม่หลับ เพราะตัวเองมีงานต้องล้างจาน ซักผ้าเพื่อลูก แล้วลูกยังมาพูดว่า ทำไมแม่ไม่ช่วยสังคมบ้าง อย่างนี้คนแก่กำลังได้รับความอยุติธรรมขึ้นทุกวัน อย่างน้อยที่สุดเราควรจะรำลึกว่าท่านช่วยเลี้ยงดูเรามาแล้วตลอดอายุสมัยของ ท่าน จนแก่ปานนี้แล้ว สังคมที่เรากำลังคลั่งไคล้ เราคิดว่ากิจกรรมในสังคมกำลังรุ่งเรือง เช่นประเทศที่เป็นอภิมหาอำนาจ ที่มีสมาคมสงเคราะห์คนชรา หรือแก่เฒ่าอะไรนั้น ถ้าท่านทั้งหลายดูให้ดี ก็คงพบแง่หนึ่งว่ามันเป็นเครื่องหมายของความอกตัญญูของคนในสังคมนั้นนั่นเอง สังคมไทยไม่เคยมี ยังไม่จำเป็นต้องมี เพราะลูกทุกคนต้องเลี้ยง และที่ว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์นั้น แม่ก็เป็นเพื่อนทุกข์ของเรา ลูกเองจะต้องฝึกให้ช่วยน้องของตัว
    อาตมภาพเคยรับ ทราบจากคุณแม่คนหนึ่งว่า เมื่อได้ลูกคนใหม่เผลอนิดเดียว ลูกคนเก่าผู้เป็นพี่หยิกหน้าน้องที่นอนแบเบาะเพราะรู้สึกอิจฉาว่าแม่โอ๋น้อง คนเล็ก อย่างนี้ต้องรีบสอนเรื่องสัตว์ทั้งหลายร่วมทุกข์ ร่วมสุขกับเรา แม่จะต้องสอนตั้งแต่ครั้งแรกให้ช่วยแม่ในฐานะที่ปลุกปลอบให้ลูกเป็นเพื่อน ของแม่ด้วย และอย่ารักลูกชนิดอวิชชาครอบงำ รักที่จะเห็นหน้าของลูกสวย ๆ อิ่มเอิบ เพราะอ้วนท้วน แต่จะฝึกให้จิตแกร่งขึ้น ๆ แม้จะซูบผอม ดำคล้ำ ด้วยการเสียสละทำงานเพื่อเพื่อนมนุษย์ อาจจะต้องบังคับ เอาเงินให้ ๒๐ บาท แล้วบอกว่า ไปซื้อขนมให้เพื่อนเดี๋ยวนี้ และลูกกินแต่เพียง ๕ บาทพอ เด็กจะเริ่มต่อสู้ทันที ถ้าสิ่งนี้คุณแม่ได้ชัยชนะ จนกระทั่งลูกได้อุทานว่า ไม่เป็นไรแม่ หนูทนได้ ถ้าอย่างนั้นจงปลื้มปีติเถิดว่า คุณแม่ได้ฝึกให้เขาเริ่มมีอหิงสาขึ้นแล้ว ถ้าเขาพูดว่าไม่เป็นไรแม่ หนูทนได้ หิวก็ไม่เป็นไร นี่แหละเด็กจะเริ่มสำนึกถึงความทุกข์ยากของคนอื่น เมื่อตนเองหิว ก็ต้องรู้ว่าผู้อื่นก็หิวอย่างไร เดี๋ยวนี้เราฝึกเด็กให้เป็นเทวดา ร่ำรวย อิ่มเอิบ แล้วมานั่งวินิจฉัยแบบนักวิชาการว่า แหม ชาวนายากจนอย่างโน้นอย่างนี้ นี่เป็นเรื่องตลกขบขัน มันต้องหมายถึงความรู้สึก ไม่ใช่ความรู้ ถ้าท่านอยากรู้ว่า ถนนตอนเที่ยง ๆ เมื่อเดินไปแล้ว มันร้อนอย่างไร จงลองถอดรองเท้าเดิน ถ้าอยากจะรู้ว่า พระบ้านนอกลำบากอย่างไรจงไปลองบิณฑบาตดูสักหนหนึ่ง ถ้าไปด่าพระว่า บวชไม่เห็นทำอะไร ลองไปบวชดูสัก ด วัน จะรู้ว่าอะไรมันต้องต่อสู้กันอย่างลึกซึ้งที่สุด ขอให้ผู้ถามมีกำลังใจเถิด เพราะกำลังใจนั้นแหละ จะช่วยให้ลูกค่อย ๆ เข้าใจแม่ ขึ้น
    ถาม กระผมมีความเข้าใจว่า การทำสงครามเอาชนะกิเลสภายในของจิตให้ได้ ก่อนที่จะทำสงครามภายนอก ก็คือฆ่ากันนั้น การฆ่ากันจึงจะยุติลงได้
    ตอบ นี่ก็ถูกต้องแล้ว
    ถาม แต่ธรรมะจะเข้าถือได้อย่างไร เมื่อท้องกำลังหิว
    ตอบ ขอให้รู้ว่า ธรรมะ ไม่ได้เข้าไปทางท้อง ขอให้ท่านทั้งหลายทราบว่าธรรมะ ไม่ได้กินเข้าไปทางปาก เข้าไปทางท้อง แต่มันเข้าไปที่สำนึกหรือจิตเดิมที่มีออยู่แล้ว ไม่ใช่เรียนธรรมะ ธรรมนั้นแบ่งเป็น ๒ สิ่ง คือหมวดจริยธรรม เป็นเครื่องแวดล้อมให้จิตเหมาะสม แต่ที่เรียกว่าธรรมหวือธรรมะจริงนั้น คือสภาวะเดิมของจิต ไม่ว่าคนที่หิวหรือที่อิ่มอยู่แล้ว จริงอยู่คนที่หิวมาก ไม่อาจที่จะประพฤติธรรมได้อย่างสะดวก พระพุทธองค์ท่านไม่เห็นด้วย เพราะมันเป็นทานองอัตตกิลมถานุโยค แต่เราไม่อาจที่จะพูดได้ว่า ตราบใดที่ท้องยังหิวแล้ว เราจะไม่ประพฤติธรรม ถ้าเช่นนั้น ผู้นั้นจะเป็นแต่เพียงสัตว์เศรษฐกิจ เหมือนสัตว์ที่ผอมโซเหมือนงูเหลือมที่ไม่ได้กินเหยื่อมาแรมเดือน เหมือนกับกบ เหมือนกับเขียด แล้วท่านจะยินดีเป็นเช่นนั้นละหรือ อย่างน้อยที่สุด ระลึกถึงอาหารอีกชนิดหนึ่ง มันเป็นน้ำทิพย์ เมื่อขณะที่ท้องหิว จะจิบมันอิ่มได้ นั้นคือพระธรรม เมื่อขณะที่ท่านหิวข้าว ทำไมรอคู่รักด้วยจิตที่อิ่มเอิบได้เล่า ขอให้สังเกตภาวะจิตนี้ให้ดี ขณะที่ง่วงนอนในคืนปกติเลยเวลานอนปกติ ๕ นาที ก็ไม่ค่อยจะได้ ถ้าคอยหญิงหรือชายคู่รักบางทีสว่างคาตาด้วยจิตที่ไม่กระสับกระส่าย เมื่อเป็นเช่นนั้น ขอสังเกตให้ดี จริงอยู่ รัฐจำเป็นต้องเข้าไปจัดการ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม เพื่อกระจายผลผลิต เพื่อช่วยวิญญาณที่กำลังหิวโหย แต่ที่อิ่มเอิบนั้น มันเป็นอยู่เองแล้ว แล้วผู้นำเองจะต้องฟันฝ่าเข้าไปไม่ว่าจะจนหรือรวย
    ถาม กระผมคิดว่า จะต้องให้สังคมมีหลักประกันในชีวิตเสียก่อน แล้วธรรมะจึงจะเบ่งบาน.
    ตอบ นี่ก็ถูกต้อง แต่ว่าก่อนที่เบ่งบานนั้น อย่าลืมว่า ต้องลงราก ปลูก พรวนดินไปก่อน อยู่ดี ๆ จะฝันให้บาน เห็นไปไม่ได้ ดอกกุหลาบไม่อาจงอกและบานในแจกันได้เลย จะต้องปลูกลงดินก่อน คนรวยก็ต้องศึกษาธรรมะจนก็ต้องศึกษาธรรมะนี้เป็นการเพาะเชื้อของธรรมะ ในขณะที่หิวโหยอาจจะต้องปลอบประโลมด้วยความรู้ทางธรรม คำว่าปลอบประโลม ไม่ใช่หลอกลวง แต่หมายความว่า ถ้ายังไม่มีระบบที่ดีกว่าน เราไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงชนิดที่มีฐานรองรับที่จะให้เกิดสันติสุขที่ดีกว่านี้ เราทนหิวไปเถิด แล้วเจ้าหน้าที่หรือผู้ที่ทำได้ ช่วยได้ จงรีบกันเรียกร้อง กระจายผลผลิตมาสู่คนที่หิวให้เร็ว ให้ทันด้วยและเจ้าหน้าที่ประเภทนั้นองค์กรนั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือบรรพชิตซึ่งเราไม่อาจที่จะพูดได้ว่า ท่านละเลย เพราะบางท่านทำอยู่แล้ว แต่ว่า ส่วนใหญ่นั้นท่านละเลยเสียแล้ว
    อาตมาจะชี้ให้เห็น พิธีกรรมอันหนึ่ง ที่เรียกว่า วันสารท หรือสาระทะ ซึ่งเป็นพิธีเพื่อการสังคมสงเคราะห์ ที่มาจากบรรพชิตที่จะให้ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยลดลงบ้าง ด้วยวิธีหนึ่ง เช่นให้คนรวยมาทำบุญในวันนั้นอย่างเอิกเกริก ทางปักษ์ใต้เรียกว่า วันหาบ คือหาบของมากินกันในวัด ในวันนี้คนกินเดน คนที่ยากจน ชาวไร่ ชาวนาก็มาร่วมกันกิน ของแห้งที่เหลือก็เก็บไว้ที่วัด แล้วกระจายไปสู่คนจน นี่วิธีการของสังคมสงเคราะห์ เมื่อเราไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ เราก็ต้องใช้วิธีของมนุษย์ธรรม การเมืองนั้นอาจจะเป็นเรื่องเปลี่ยนแปลงและไม่มีหลักประกัน แต่มนุษยธรรมนี้ต้องทำอยู่เสมอในหัวใจของคน เพราะฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายมีเสื้อ ๕ ตัว รีบให้เพื่อน ๑ ตัว มีเงิน๑๐๐ ล้าน รีบสละออกไป อย่างน้อยที่สุดครึ่งหนึ่ง มีดินสอ ๒ แท่งให้เพื่อน ๑ แท่ง ทำอย่างนี้เข้าไปทุก ๆ ที นี่แหละคือเรื่องของศาสนา ส่วนจะพูดว่าเราจะต้องฆ่ากันก่อนแล้วค่อยเรียนธรรมะทีหลัง อย่าได้กล่าวเช่นนั้น และอย่าได้เชื่อเช่นนั้นเป็นอันขาด เพราะว่าหลังจากการฆ่าแล้ว ศาสนาจะงอกขึ้นยากที่สุด เพราะมันหยั่งความเกลียดชังลงสู่กระแสแห่งวัฒนธรรม ไม่อาจที่จะเกิดขึ้นได้ จะเป็นภาวะที่นักศาสนาของเราเรียกว่า พุทธันดร หรือว่างศาสนาขึ้นมา
    อาตมาเห็นว่า ปัญหาทั้ง หมดนี้ก็พอสมควรแก่เวลา หวังว่าท่านผู้ถาม คงให้อภัยในคำตอบที่ไม่อาจขยายรายละเอียดไปได้มากกว่านี้
    ขออำนวยพรให้ท่านทั้งหลายประสบสันติสุขตลอดกาลนาน ขอจบเพียงนี้
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...