เคล็ดลับแห่งความแข็งแรง รูปร่างดี และ มีอายุยืน

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 16 พฤศจิกายน 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    [​IMG]

    <!--images-->
    มีคำกล่าวอมตะที่กล่าวไว้ตั้งแต่โบราณแล้วว่า we are what we eat ซึ่งพอจะแปลง่าย ๆ ได้ว่าเซลล์ทุกเซลล์ อวัยวะทุกอวัยวะ ที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเรานี้เป็นส่วนประกอบของอาหารที่เรารับ ประทานเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นกระดูก เลือด เนื้อ สมอง หรืออวัยวะใด ๆ ก็ตาม ดังนั้น การที่เราจะแข็งแรง อ่อนแอ มีพลังมาก มีพลังน้อย ว่องไวปราดเปรียว หรือช้าอืดอาด อายุยืนหรืออายุสั้น ขึ้นอยู่กับอาหารที่ เรารับประทานแทบทั้งสิ้น
    คนที่รับประทานอาหารถูกต้องและเพียงพอจะมีสุขภาพอนามัยแข็งแรง สดชื่น ร่าเริง น่าคบหาสมาคม ในทางตรงกันข้ามกับผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารที่ถูกต้องและเพียงพอ มักมีสุขภาพที่ไม่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ อ่อนเพลียเหนื่อยง่าย และเจ็บป่วยอยู่เสมอ การรับประทานอาหารที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญต่อชีวิตของคนเราเป็นอย่างยิ่งเรามาศึกษาหลักการสำคัญในการรับประทานอาหารกันดีกว่า
    - เราควรรับประทานอาหารแค่เกือบอิ่ม แพทย์ในปัจจุบันมักจะกล่าวเตือนอยู่เสมอว่า อย่าทานอาหารในแต่ละมื้อมากเกินไป การทานอาหารมากเกินไปจะทำให้ระบบย่อยอาหารของเราต้องทำงาน หนักและไม่สามารถย่อยอาหารได้จนหมด อาหารที่ย่อยไม่หมดนี้ จะกลายเป็นของเสียตกค้างอยู่ในระบบโลหิตที่จะเป็นพิษต่อร่างกาย และในที่สุดจะทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายอ่อนแอลง อาหารที่เรารับประทานเข้าไปไม่ว่าจะเป็นอาหารที่มีประโยชน์แก่ร่างกายมากแค่ไหน แต่ถ้าทานมากเกินไปส่วนที่เกินนั้นจะกลายเป็นอาหารที่ไม่มีประโยชน์ และให้โทษต่อร่างกายทันที การทานอาหารที่ถูกต้องจึงควรมีสัดส่วนดังนี้ ครึ่งหนึ่งของกระเพาะอาหารควรเป็นส่วนของอาหารที่ทานเข้าไป เศษหนึ่งส่วนสี่ของกระเพาะอาหารควรเป็นที่สำหรับน้ำ และส่วนที่เหลืออีกเศษหนึ่งส่วนสี่ของกระเพาะอาหารควรปล่อยให้ว่างไว้สำหรับเป็นที่ของอากาศ เราจึงควรฝึกนิสัยการเลิกรับประทานอาหารในขณะที่เรายังไม่รู้สึกอิ่มดีและอีกสักครู่เราจะรู้สึกอิ่มจริงๆ เมื่อน้ำตาลและสารอาหารอื่นๆ ได้ไหลเวียน สู่กระแสโลหิตและสมองของคนเรา
    - เราควรรับประทานอาหารที่เป็นธรรมชาติให้มากที่สุด อาหารที่เป็นธรรมชาติหมายถึง อาหารที่ผ่านการดัดแปลงจากคนน้อยที่สุด คนเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอย่างแท้จริง ดังนั้น อาหารที่เหมาะสมแก่คนเรามากที่สุด จึงได้แก่ อาหารจากธรรมชาตินั่นเอง อาหารธรรมชาติจึงเป็นอาหารที่มีคุณภาพสูง ราคาถูกและหาง่าย เช่น ผักสด ข้าวกล้อง เราจึงควรรับประทานอาหารธรรมชาติต่อไปนี้ให้มากในแต่ละมื้อ


    อาหารตามธรรมชาติ
    อาหารที่ผ่านการดัดแปลง

    1. ข้าวกล้อง 1. ข้าวขาว (ข้าวที่คนส่วนใหญ่รับประทานที่ถูกขจัดสีจนแทบไม่มีคุณค่าอาหารเหลืออยู่เลย)
    2. ผักสดหรือผลไม้สด 2. ผักดองหรือผลไม้ดอง
    3. น้ำผลไม้สด 3. น้ำผลไม้กระป๋อง น้ำหวาน น้ำอัดลม ไวน์ เหล้า เบียร์
    4. อาหารสด 4. อาหารกระป๋อง (นักโภชนาการเรียกอาการเหล่านี้ว่า dead food ซึ่งหมายความว่าเป็นอาหารที่หมดคุณภาพแล้ว แต่ยังรักษาสภาพภายนอกไว้ได้ ด้วยสารกันบูด )
    5. มะนาว
    5. น้ำส้มสายชู
    6. นมถั่วเหลือง นมสด 6. นมกระป๋อง
    7. ขนมปังที่ไม่ได้ขัดสี(whole wheat bread) 7. ขนมปังขาว (white bread ที่คนส่วนใหญ่รับประทาน)
    8. ถั่วต้ม 8. ถั่วเคลือบน้ำตาล
    9. วิตามินจากผักสด ผลไม้

    9. วิตามินจากยาเม็ด
    ฯลฯ

    ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสมัยปัจจุบันทำให้คนได้ทำลายสารอาหารที่มีอยู่ในธรรมชาติ โดยการผลิตอาหารสำเร็จรูปที่มีการดัดแปลงจากอาหารธรรมชาติไปมากมาย สารอาหารที่มีคุณค่าแก่ร่างกายได้สูญหายไปมากมาย เช่น เรานิยมทานข้าวที่ขัดสีจนขาว ซึ่งได้เสียคุณค่าทางอาหารไปถึง 1 9 ชนิด นอกจากนี้ อาหารชนิดต่างๆยังถูกนำมาดัดแปลงตกแต่งใส่สารเคมี และใช้เวลาในการหุงต้มอาหารนานเกินไปจนทำลายคุณค่าอาหารตามธรรมชาติไปโดยไม่จำเป็น
    แพทย์และนักโภชนาการเป็นจำนวนมากยอมรับแล้วว่า การที่คนเราในปัจจุบันมีร่างกายอ่อนแอลง มีโรคภัยไข้เจ็บมากขึ้น เช่น มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ ความดัน ฯลฯ ก็เนื่องมาจากคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันละเลยการรับประทานอาหารธรรมชาติ และทานอาหารสำเร็จรูปที่มีการตกแต่งดัดแปลงใส่สารเคมีมากเกินไป เช่น อาหารกระป๋อง ผลไม้กระป๋อง อาหารที่ใส่ผงชูรส อาหารที่มีดินประสิวเจือปน อาหารที่ใส่สีหรือสารกันบูด เป็นต้น เราจะยังไม่หันกลับมารับประทานอาหารธรรมชาติ เพื่อสุขภาพของร่างกายเราเองให้มากขึ้นกันอีกหรือ ?
    - เราควรทานอาหารหลาย ๆ ชนิดหมุนเวียนกันในแต่ละมื้อ เพื่อที่จะได้แน่ใจว่า เราทานอาหารที่มีสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ อาหารพอจะแบ่งออกได้ง่าย ๆ เป็น 5 หมู่ ดังนี้
    คาร์โบไฮเดรต มีในแป้ง ข้าว ขนมปัง เผือก มัน
    โปรตีน มีในถั่วต่าง ๆ นม ไข่ เนื้อสัตว์
    ไขมัน มีในนม เนย ไข่แดง* น้ำมันพืช น้ำมันสัตว์(แม้ว่าจะเป็นอาหารที่มีคุณค่าอนันต์ แต่ก็มีโทษมหันต์ เช่น มีไขมันคอเลสเตอรอลสูง มีสารพิษต่างๆ จึงควรหลีกเลี่ยงหรือทานให้น้อยที่สุด แพทย์เป็นจำนวนมากแนะนำใหัคนเราบริโภคโปรตีนที่บริสุทธิ์จากพืชแทนโปรตีนที่มีพิษจากเนื้อสัตว์)
    เกลือแร่ มีในพืช ผัก ผลไม้ ข้าว เมล็ดถั่ว
    วิตามิน มีในอาหารตามธรรมาติแทบทุกชนิด
    อย่างไรก็ตามเราไม่ควรทานอาหารหลาย ๆ ชนิดในมื้อเดียว เพราะอาหารแต่ละชนิดต้องการน้ำย่อยต่างกัน เราจึงไม่ควรทานอาหารเกิน 3-4 ชนิดในมื้อเดียว อาหารที่เราท่านในแต่ละมื้อควรมีคุณ
    ค่าอาหารเป็นสัดส่วนพอประมาณ ดังนี้
    คาร์โบไฮเดรต 60-70%
    โปรตีน 10-15 %
    ไขมัน 20-30 %
    - ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว นักโภชนาการส่วนใหญ่ไม่นับว่าน้ำเป็นอาหาร แต่น้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งของร่างกาย ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำประมาณร้อยละ 70 เราอาจมีชีวิตอยู่โดยขาดอาหารได้นานนับเดือน แต่ถ้าขาดน้ำเราอาจมีชีวิตอยู่ไดhไม่เกิน 3 วัน น้ำจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อสุขภาพของคนเรา
    น้ำมีความสำคัญต่อร่างกายของเราในหลาย ๆ ด้าน เช่น เป็นตัวปรับอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ ช่วยให้เลือดหมุนเวียนได้ดี และช่วยขับถ่ายสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย ถ้าร่างกายขาดน้ำ ไตซึ่งเป็น
    อวัยวะที่ขับถ่ายของเสีย และเป็นตัวช่วยในการปรับระดับน้ำในร่างกายให้สมดุล จะต้องทำงานหนักและเสียเร็ว การที่เราไม่ได้ดื่มน้ำมากเท่าที่ควรในแต่ละวัน จึงเป็นบ่อเกิดของโรคไต ท้องผูก ปวดหัว ปวดหลัง ฯลฯ หากเราพบว่าปัสสาวะของเรามีสีเหลืองเข้ม และมีกลิ่นค่อนข้างแรง แสดงว่าไตของเรากำลังทำงานหนัก เนื่องจากเราดื่มน้ำน้อยเกินไป สัสสาวะของผู้ที่ดื่มน้ำเพียงพอจึงจะมีสีขาวใสและไม่
    ค่อยมีกลิ่น ร่างกายของเราเสียน้ำไปวันละประมาณ 10 แก้ว ซึ่งน้ำจะถูกขับออกมาทางอุจจาระ ปัสสาวะ เหงื่อ ฯลฯ อาหารที่เรารับประทานเข้าไปมีน้ำอยู่ประมาณ 4 แก้ว ดังนั้นเพื่อให้ร่างกายได้สมดุลกับน้ำที่เสียไป เราจึงควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว นักกีฬาหรือผู้ที่ต้องใช้แรงงานมากมีเหงื่อออกมาก ควรดื่มน้ำเพิ่มจากนี้อีกวันละ5-6 แก้ว
    เราจะดื่มน้ำเวลาไหน จึงจะเป็นประโยชน์แก่สุขภาพเรามากที่สุด ?
    เราควรดื่มน้ำ 2 แก้วเวลาตื่นนอน อีก 2-3 แก้วเวลาสาย ๆ อีก 2-3 แก้วเวลาบ่าย ๆ เวลาที่ดีที่สุดที่จะดื่มน้ำคือ 15-30 นาทีก่อนอาหารและ 1 5-30 นาทีหลังอาหาร เราไม่ควรดื่มน้ำในขณะที่รับ
    ประทานอาหาร เพราะน้ำจะทำให้น้ำย่อยจากในปากและในกระเพาะอาหารของเราเจือจางลง ทำให้กระเพาะอาหารของเราต้องทำงานมากขึ้น และย่อยอาหารได้ช้าลง
    อานิสงส์ของการดื่มน้ำสะอาดอย่างถูกต้องและพอเพียงยังมีอีกมากมาย เช่น มีผู้กล่าวไว้ว่า ถ้าคนเราดื่มน้ำเพียงพอในแต่ละวัน เราแทบจะไม่มีโอกาสน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนได้เลย การดื่มน้ำอย่างพอเพียง 2-3 แก้วก่อนเวลาอาหาร จะทำให้เราไม่ทานอาหารมากเกินไป บูร๊ค ชีลด์ ดาราสาวสวยชื่อก้องโลก เผยเคล็ดลับของการรักษารูปทรงของเธอว่า เธอจะดื่มน้ำแก้วโต ๆ ก่อนทานอาหารมื้อเย็นทุกครั้งโดยเฉพาะเวลาที่จะไปรับประทานอาหารอร่อย ๆ นอกบ้าน การกระทำเช่นนี้บังคับให้เธอไม่ทานอาหารมื้อเย็นมากเกินไป นอกจากนี้การไม่ดื่มน้ำหลังจากรับประทานอาหารอย่างน้อย 15-30 นาที จะเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีว่า อาหารที่เรารับประทานในแต่ละมื้อนั้นเหมาะสมหรือไม่เพียงใด ถ้าเรารู้สึกหิวน้ำมากหลังจากรับประทานอาหารแสดงว่าอาหารที่เรารับประทานในมื้อนั้นเป็นอาหารที่ปรุงแต่งมาก มีไขมันมากเกินไป หรือมีรสชาติจัดเกินไป และมีผักสดผลไม้น้อย ผู้ที่รับประทานอาหารที่เป็นธรรมชาติมาก จะไม่ค่อยรู้สึกหิวน้ำหลังอาหารมากนัก นอกจากนี้ ทางการแพทย์ยังได้พบอีกว่ามีผู้ที่เป็นโรคไต ปวดหลัง ปวดหัว ตะคริว ฯลฯ เป็นจำนวนมากมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงแค่เปลี่ยนนิสัยการดื่มน้ำให้มากขึ้นในแต่ละวันเท่านั้น เราจะไม่ลองดื่มน้ำในแต่ละวันให้มากขึ้นหรือ ?
    - เราควรรับประทานอาหารเป็นเวลาทุกมื้อวันละสองถึงสี่มื้อ และไม่มีการทานอาหารระหว่างมื้อ การทานอาหารเป็นเวลาไม่ได้หมายความว่า เราต้องทานอาหารตรงตามเวลาทุกวัน แต่หมายถึง การที่เราทานอาหารในเวลาที่เรารู้สึกหิวจริง ๆ เท่านั้น เช่น เราไม่จำเป็นต้องทานอาหารเช้าเวลา 7.00 น. ทุกวัน หรือต้องทานอาหารกลางวันเวลา 1 2.00 น. ตรงทุกวัน เพราะบางมื้อเราอาจรู้สึกหิวเร็วหรือช้ากว่าปกติไปบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรทานอาหารช้าหรือเร็วกว่าปกติเกินหนึ่งหรือสองชั่วโมง
    เราจึงควรทานอาหารแต่ละมื้อในเวลาใกล้เคียงกันในแต่ละวันและไม่ควรทานเกินสี่มื้อ ไม่ควรมีการทานจุบจิบระหว่างมื้ออย่างเด็ดขาด เพื่อให้กระเพาะอาหารของเราที่ต้องทำงานหนักอยู่แล้วมีเวลาพักผ่อนบ้าง กระเพาะอาหารใช้เวลาย่อยอาหารในแต่ละมื้อประมาณ 3-5ชั่วโมง ซึ่งแล้วแต่ปริมาณและชนิดของอาหารที่เราทานเข้าไป ในทางการแพทย์พบว่า ในระหว่างการย่อยอาหารระหว่างมื้อ ถ้าเราทานอาหารว่าง หรือทานอะไรจุบจิบ 1 ครั้งในระหว่างมื้อที่ย่อยไม่เสร็จกระเพาะของเราจะต้องใช้เวลาย่อยนานขึ้นอีกหลายๆ ชั่วโมง ทุกครั้งที่เราอยากหยิบอะไรใส่ปากในระหว่างมื้อเราจึงควรคิดถึงการทำงานของกระเพาะอาหารของเราบ้างว่า จะต้องทำงานหนักขึ้นเพียงใด ผู้ที่ต้องการมีสุขภาพดีจึงควรงดเว้นอาหารจุบจิบระหว่างมื้อ เช่น กาแฟ เค้ก ของขบเคี้ยวเล่น ของหมักดอง ไอศครีม ของว่าง ฯลฯ อย่างเด็ดขาด เพราะอาหารจุบจิบหรืออาหารว่างระหว่างมื้อเหล่านี้ มักจะมีแคลอรี่สูง และมีน้ำตาลสูง การทานอาหารว่างเหล่านี้มาก ๆ จะทำให้มีน้ำหนักขึ้นเร็ว และมีน้ำตาลในเลือดสูง การทานจุบจิบระหว่างมื้อด้วยอาหารทานเล่นรสหวานต่างๆ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้เราเป็นโรคฟันผุ เป็นโรคเบาหวาน เป็นโรคอ้วน และโรคขาดสารอาหารอื่นๆอีกมากมาย
    การรับประทานอาหารมื้อเย็นมากเกินไป การรับประทานอาหารใกล้เวลาเข้านอนมากเกินไปซึ่งเป็นความเคยชินที่คนส่วนใหญ่ได้กระทำจนเป็นนิสัย จะทำให้กระเพาะอาหารของเรายังคงต้องทำงานอยู่ในขณะที่เราหลับ เวลานอนหลับเป็นเวลาที่เราควรได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่ถ้ากระเพาะอาหารของเรายังคงต้องทำงานอยู่ เรามักจะตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย และรู้สึกเหมือนกับว่าเราไม่ได้รับการพักผ่อนเท่าที่ควร ดังนั้น เวลาที่เราเข้านอนควรเป็นเวลาที่กระเพาะอาหารได้ทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว คือหลังจากอาหารมื้อสุดท้ายอย่างน้อย 1 -2 ชั่วโมง ร่างกายของคนเราจึงจะได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ในขณะที่เรานอนหลับ
    - อาหารมื้อเช้าควรเป็นอาหารที่หนักที่สุดของเราในแต่ละวัน คนส่วนใหญ่ในสังคมไม่ค่อยเห็นความสำคัญของอาหารมื้อเช้าซึ่งอาจเนื่องจากนิสัยที่เคยซินมาตั้งแต่เล็กๆ ค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง ภาวะ
    เศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมที่ทำให้ทุกคนต้องรีบเร่งออกจากบ้านแต่เช้า เพื่อไปทำงานให้ทัน ฯลฯ คนส่วนใหญ่จึงมักจะละเลยอาหารมื้อเช้าและให้ความสำคัญอย่างยิ่งแก่อาหารมื้อเย็น ความจริงแล้วอาหารมื้อเช้าเป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุด เพราะหลังจากร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่จากการนอนหลับแล้ว ร่างกายต้องทานอาหารเพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานให้สามารถปฏิบัติภารกิจได้ตลอดวัน มีนักโภชนาการได้กล่าวถึงความสำคัญของอาหารในแต่ละมื้อไว้ดังนี้
    อาหารเช้ามีความสำคัญต่อร่างกายประดุจ พระราชา
    อาหารกลางวันมีความสำคัญต่อร่างกายประดุจ เจ้าชาย
    อาหารเย็นมีความสำคัญต่อร่างกายประดุจ ยาจก
    คนที่ไม่รับประทานอาหารเช้า หรือทานอาหารเช้าน้อยเกินไปจะมีน้ำตาลในเลือดต่ำทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพต่ำ อารมณ์เสียง่าย มีหลักฐานแสดงว่า กลุ่มคนที่ไม่ทานอาหารมื้อเช้า จะมีการทำงานผิดพลาดได้มากกว่า มีอุบัตเหตุสูงกว่า การให้ความสำคัญกับอาหารมึ้อเช้ายังมีประโยชน์อีกนานาประการ เช่น ทำให้เราไม่อยากรับประทานระหว่างมื้อ ทำให้เรามีพลังงานสูงไปตลอดวัน ทำให้สมองปลอดโปร่งไม่หงุดหงิดและอารมณ์เสียง่าย อาหารมื้อเที่ยง (ห่างจากอาหารมื้อเช้า 3-5 ชั่วโมง) เราอาจลดปริมาณลงบ้างเล็กน้อย ซึ่งถ้าเรารับประทานอาหารมื้อเช้ามากพอ เราจะไม่ค่อยรู้สึกหิวมากในมื้อเที่ยงส่วนในมือเย็นหรือมื้อค่ำ ซึ่งเป็นช่วงใกล้เวลาพักผ่อนและเตรียมตัวเข้านอน เราไม่จำเป็นตัองใช้พลังงานมากหลังจากรับประทานอาหารมื้อนี้เราจึงไม่ควรทานมากเกินไปในอาหารมื้อสุดท้ายนี้
    - เราควรทานอาหารช้า ๆ และเคี้ยวให้ละเอียด การรับประทานช้า ๆและเคี้ยวให้ละเอียดมีประโยชน์ต่อสุขภาพของเราหลายประการ เช่น
    ... การเคี้ยวช้าๆ และพยายามเคี้มวอาหารให้ละเอียดจะทำให้น้ำย่อยในปากได้ช่วยย่อยอาหารครั้งหนึ่งก่อน ซึ่งทำให้กระเพาะอาหารของเราไม่ต้องทำงานหนักโดยไม่จำเป็น
    ... การเคี้ยวช้า ๆ เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ทำให้เราไม่ทานอาหารมากเกินไป อวัยวะที่บอกความรู้สึกอิ่มของคนเราจะทำงานไม่ทันถ้าเรารับประทานอาหารเร็วเกินไป ด้วยเหตุผลนี้เองเราจึงจะไม่ค่อยพบคนอ้วนที่มีนิสัยเคี้ยวอาหารช้า ๆ และเคี้ยวอย่างละเอียด
    - เราควรรับประทานอาหารในขณะที่มีอารมณ์ขันมีจิตใจปลอดโปร่งแจ่มใส ในขณะที่เราโกรธมีความตึงเครียด หรือเหนื่อยเกินไป หรือมีอารมณ์ที่ไม่ปกติ ร่างกายของเราจะขับสารพิษบางอย่างซึ่งสารเหล่านี้จะทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายมีการทำงานผิดปกติ เช่น การขับน้ำย่อย ระบบย่อยอาหาร อาหารที่เรารับประทานเข้าไปจึงไม่ได้รับการย่อยอย่างสมบูรณ์ และไม่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายอย่างเต็มที การทำตามคำสอนที่มีมาแต่โบราณที่ให้ล้างมือ ล้างหน้า ทำจิตใจให้สบายก่อนการรับประทาน จึงเป็นสิ่งที่เราควรปฏิบัติจนเป็นนิสัย
    - นั่งหลังตรงขณะที่รับประทานอาหาร เราไม่ควรนอน ยืน เดิน หรือวิ่งรับประทานอาหาร การนั่งหลังตรงในขณะที่รับประทานอาหารนี้ จะทำให้พลังงาน ต่าง ๆ ในร่างกายไหลเวียนได้อย่างอิสระไปตามกระดูกสันหลังของคนเรา เลือดจะได้ไปเลี้ยงที่ระบบย่อยอาหาร ช่วยให้กระเพาะอาหารได้ย่อยและดูดซึมอาหารไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างสมบูรณ์
    - ควรพักสักครู่หลังการรับประทานอาหาร เราไม่ควรออกกำลังกายหรือใช้พลังสมองอย่างมากหลังอาหาร ในเวลานี้พลังต่าง ๆของร่างกายและเลือดจะถูกส่งไปที่ระบบย่อยอาหาร ร่างกายและจิตใจ
    ของคนเราจึงไม่เหมาะที่จะใช้งานหนักในเวลานี้ นอกจากนี้การใช้พลังงานหรือพลังสมองอย่างหนักหน่วงหลังอาหาร ยังทำให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานได้ไม่เต็มที่อีกด้วย
    - ควรออกกำลังกายและได้รับอากาศบริสุทธิ์ทุกวัน ร่างกายของคนเราต้องการการออกกำลังกาย เพื่อที่จะกระตุ้นและเพิ่มความแข็งแรงของระบบย่อยอาหาร นอกจากนี้ ระบบย่อยอาหารของคนเรายังต้องการอ๊อกซิเจนในปริมาณที่มากในการย่อยอาหาร ร่างกายของคนเราจะรู้สึกอืดอาด ไม่กระฉับกระเฉง เมื่อขาดการออกกำลังกาย ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกายลดถอยลง วิธีแก้ท้องผูกที่ง่ายที่สุดของคนเรานอกจากทานอาหารที่ย่อยง่ายแล้วก็คือ การได้สูดอากาศบริสุทธิ์และออกกำลังกายทุกวันอย่างน้อยเราควรได้ออกกำลังกายด้วยการเดินกลางแจ้งทุกวัน
    ถ้าหากเราสามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยของเราได้ และปฏิบิตตัวตามหลักการรับประทานอาหารที่กล่าวมานี้ได้ เราจะแข็งแรง สมบูรณ์ มีจิตใจร่าเริง แจ่มใส แทบจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเลย นับ
    วันเราจะพึ่งตัวเองได้มากขึ้นทุกที เราจะห่างไกลจากหมอและจากยาออกไปทุกที เราจะยังไม่ให้ความสนใจเรื่องการรับประทานอาหารกันอีกหรีอ?
     

แชร์หน้านี้

Loading...