เขียนให้Karmen Riderอ่าน "พุทธภูมิ"

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อนันตกาย, 29 มกราคม 2005.

  1. อนันตกาย

    อนันตกาย บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เห็นคาร์เมนไรเดอร์ ตั้งข้อสังเกตพุทธภูมิ 3 ประเภทไว้ ใจความย่อๆว่า

    " ในความเป็นจริง ผ่านมา พระสัมพุทโธประเภทวิริยาธิกะมีมากกว่าสัทธาธิกะ และสัทธาธิกะมีมากกว่าปัญญาธิกะ แต่ในบัดนี้ เท่าที่ปรากฏ มีผู้ปรารถนาสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะมากกว่าสัทธาธิกะ และสัทธาธิกะมากกว่าวิริยาธิกะ" ทำไมความปรารถนากับความเป็นจริงจึงได้สวนทางกันอย่างนั้น

    อ่านๆความคิดเห็นของมดเอกซ์จากข้อสังเกตนั้นแล้วก็นึกสนุก ใจไม่สุข จึงได้มาเขียนไว้ ดูจากลีลา แม้ไม่ออกชื่อ คาร์เมนและบางท่านก็คงรู้จักผมจากสำนวน เพราะผมชอบใช้หลายชื่อ และไม่ชอบเข้าหมู่เข้าพวกจึงไม่ชอบเขียนอะไรๆไว้ในกระทู้ของคนอื่น ไม่อยากตกอยู่ใต้อำนาจใคร เพราะไม่ได้ปรารถนาจะเป็นบริวารของใคร ในเว็บแห่งนี้ รู้สึกดีๆกับไอ้มดเอ็กซ์และโยทะกา ดูเหมือนว่า คำของไอ้มดเอ็กซ์ จะสามารถสะกิดต่อมตัณหาของผมให้กระเจิงได้ .

    ที่เขียนนี้ ก็เขียนให้ไอ้มดเอ็กซ์อ่าน ไม่ได้คิดจะเผื่อแผ่คนอื่น แม้จะรู้ว่า ไอ้มดเอ็กซ์ก็มีความรู้ของตนเองอยู่แล้ว มีความเห็นของตน ชอบใจในความเห็นของตนอยู่แล้วก็ตาม แต่ก็คิดว่า การได้อ่านข้อสังเกตนอกกรอบบ้าง จะเป็นเครื่องเติมเต็มปัญญา เพราะปัญญาบารมี เต็มได้เพราะไม่ดูหมิ่นความคิดเห็นของคนอื่น ย่อมเคารพธรรมของคนนั้นไปตามธรรม เมื่อฟังธรรมก็เคารพ บุคคลผู้เคารพธรรมนั้นจึงรู้ธรรมนั้น ไม่เคารพธรรมนั้นก็ไม่รู้ธรรมนั้น. ผมไม่ได้เขียนตอบกระทู้ หากแต่เขียนไปตามใจคิด เพราะอย่างนั้น จึงไม่ต้องยึดกระทู้นั้นเป็นหลัก. จะเริ่มสาธยายให้คาร์เมนอ่านธรรมที่ปรากฏแก่ผมในปัญหาเหล่านี้อย่างนี้

    ทำไมพระพุทธเจ้าประเภทปัณยาธิกะ จึงบำเพ็ญบารมีได้ยากกว่าเพื่อนครับ
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=753

    ท่านพุทธภูมิที่เข้ามาถาม....ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ ปัญญาธิกะ มากๆๆที่สุด
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=3193


    นิพพาน คือ ที่หมายของทั้งพุทธภูมิและสาวกภูมิ

    เนื่องจากสัตว์ผู้ปรารถนาจะตรัสรู้ธรรม คือ เข้าถึงนิพพานธรรม อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่าเป็นธรรมอย่างยิ่ง ไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า บุคคลใดรู้จบในธรรมนี้แล้ว เป็นอันไม่ต้องเรียนรู้สิ่งใดๆในธรรมอีก เพราะที่ธรรมนั้นเป็นเครื่องดับความไม่รู้ออกจากจิตของสัตว์ ทำให้ขาดจากความเป็นสัตว์หรือเป็นบุคคล ความนานช้าในการเข้าถึงนิพพานของแต่ละบุคคลนั้นมีต่างกันตามความชอบใจคืออัธยาศัยเฉพาะบุคคล บุคคลจึงถูกจำแนกออกเป็นประเภทต่างๆไปตามอัธยาศัย

    ความนานช้าในการเข้าถึงนิพพาน

    ความนานช้าในการเข้าถึงพระนิพพาน นับแต่ตั้งปรารถนาว่าจะขอบรรลุถึงนิพพานธรรมของแต่ละบุคคลนั้น มีต่างกันตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้ว่า ก่อนจะถึงนิพพาน ขอให้ได้ทรงธรรมอื่นๆก่อนตามความชอบใจ ตามความคิดเห็นว่า เมื่อตนถึงซึ่งธรรมนั้นแล้ว รู้สึกว่าตนเป็นผู้สูงสุดสมแก่ความชอบใจของตน ลงใจได้ที่จะยอมรับตนว่า ตนรู้แจ้งธรรม ธรรมตามรายทางเหล่านั้น เป็นต้นว่า ทิพพจักขุญาณ ทิพพโสตญาณ จุตูปปาตญาณ ปุพเพนิวาสญาณ ยถากัมมุตญาณ อิทธิวิธญาณ นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ อัตถปฏิสัมภิทาญาณ ธัมมปฏิสัมภิทาญาณ ปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณ.... ฯลฯ ว่าโดยย่อว่า เป็นญาณหนึ่งญาณใดใน 73 ญาณ ตามความในปฏิสัมภิทามรรคนั่นเอง

    เงื่อนไขของพุทธภูมิ สัมโพธิญาณ

    พุทธภูมิเองก็มุ่งหมายพระนิพพาน โดยมีเงื่อนไขว่า ขอรู้ธรรมทั้งปวงในโลกโดยไม่มีส่วนเหลือจริงๆ คือ ญาณใดๆอันมีอยู่ในโลก ขอทำให้แจ้งซึ่งญาณเหล่านั้น ทั้งให้ได้ความช่ำชองในญาณเหล่านั้นด้วย กล่าวโดยย่อ ญาณทั้งหมดที่มีในโลกนั้นควรแก่นามว่า
     
  2. phoenix

    phoenix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2004
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +144
    อ่านแล้วมีทั้งเห็นด้วย และเห็นแย้ง
    ที่เห็นด้วยคือไม่มีใครแนะนำทางไปสู่ความสำเร็จของพุทธภูมิได้เสมอพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเวลาที่ยาวนาน
    ที่เห็นแย้งคือสายปัญญาธิกะ น่าจะอยู่ในหมู่คนมากกว่าที่จะหลีกเร้นเพราะระยะเวลาในการสร้างบารมีมีน้อย จึงต้องอาศัยการศึกษาจากบุคคลรอบข้างมาวิเคราะห์ สังเคราะห์เป็นความรู้และภูมิปัญญา ส่วนสายวิริยาธิกะนั้นเวลาเหลือเฟือ จึงเรียนรู้ชาติละเล็กนอ้ยก็บารมีเต็มได้ไม่รีบร้อน แค่ทานบารมีอย่างเดียวจะเห็นความแตกต่างของการมีต้นกัลปพฤกษ์ ในยุคนี้ไม่มี ถ้าเป็นศรัทธาธิกะจะมี2 วิริยาธิกะจะมี4 จากความแตกต่างของระยะการสร้างทานบารมี
    ส่วนข้อความอื่นถือว่าเป็นความรู้ใหม่ ไม่มีความเห็นครับ
     
  3. ศดานัน

    ศดานัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    893
    ค่าพลัง:
    +651
    พี่มาสวัสดี...ดัวยความระลึกถึง น้องชาย และ น้องสาวค่ะ..
     
  4. มนต์ครุฑ

    มนต์ครุฑ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ระลึกถึงพี่สาวครับ

    ช่วงนี้พยายามจะหลีกเร้นครับพี่แก้ว แต่รสแห่งถ้อยคำมันยังสุมรุมอยู่ในปมเกี่ยวกับพุทธภูมิ อ่านหลายๆคนเขียนแล้ว มันไม่พอดีแก่ใจ ความอวดรู้มันก็ท่วมทับเอา เลยเขียนออกให้มันได้อายตัวเองครับ เหมือนกับการถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแก๊สหรือของหนืดเหนียวหรือเหลวแข็งก็ตาม ถ้อยคำในช่วงอย่างนี้ มีอาการอย่างนี้ล่ะครับ เลยไม่ค่อยอยากจะติดต่อใครๆ

    เมื่อวานนี้ พอเขียนเสร็จแล้ววางไว้ มันก็รู้สึกอายในทันที เกิดความรู้สึกว่า จะประโยชน์อะไรในการกล่าวถ้อยคำแก่หมู่ชนในเวลานี้เล่า ประโยชน์ที่พึงเกิดย่อมไม่เกิด หรือหากเกิดก็ไม่งอกงาม ไม่ไพบูลย์ เพราะถ้อยคำที่กล่าวในโอกาสอย่างนี้มันเบาต่อใจคนฟังครับ คิดว่า เขียนต่อในกระทู้นี้ได้ไม่ยาวนัก ก็จะเงียบหายไปอีก คือ เข้ามาอ่าน แต่ก็ไม่แสดงอะไรๆโต้ตอบกับใครอีกน่ะครับ บางทีเวลาเขียนก็รู้สึกหวั่นๆว่า หากมิตรของเรา สหายของเรามาทักทาย จะนิ่งเฉยเสีย ก็ไม่ควร ส่วนไอ้ที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ให้ยืดยาว มันก็จะมาขัดกัน เพราะยิ่งตอบโต้ยิ่งยืดยาว หาที่สุดมิได้ มีทางเดียวที่ควร เพื่อให้กระทำได้อย่างใจตั้งไว้คือ อดทน ตัดใจ เงียบ เหมือนคนใจดำ เหมือนไม่มีไมตรี เหมือนเป็นอยู่คนเดียวในโลก เขียนก็สักแต่ว่าบ่นให้เข้าหูตน ไม่ว่าเขียนอะไรๆมันก็เข้ามาต้องตนเองทั้งสิ้นครับ

    ไม่ได้ติดต่อพี่แก้ว ทั้งทางเมล์และเว็บบอร์ด พยายามจะไม่ตอบโต้ พยายามละถ้อยคำ ช่วงที่ผ่านมา รู้สึกว่า อดทนต่อการเขียนถ้อยคำได้มากกว่าก่อนนี้ และเชื่อว่า อีกไม่นานมันจะหายขาดจากการแถลงคารมทั้งทางเมล์และบอร์ดครับ

    การระลึกถึงพี่แก้วนั้น ระลึกไว้แต่ที่ใจ เวลาอ่านพบพี่แก้วเขียนๆไว้ในกระทู้ต่างๆแล้ว ก็ระลึกถึง แต่ไม่แสดงออกมานะครับ ตั้งใจว่า เมื่อละขาดจากรสแห่งถ้อยคำแล้ว จะทำกรรมฐานได้อย่างที่หวัง เมื่อกรรมฐานได้ผล จึงจะขวนขวายติดต่อพี่แก้วพี่พิท

    สิ่งที่ปรากฏแก่จิตในตอนนี้ ยังเป็นแค่ฝันที่ไม่อาจรู้ว่าจะจริงหรือเท็จ จึงต้องใช้เวลาตามพิสูจน์ พยายามหลีกเร้น หากพิสูจน์เห็นผลแน่ชัดแล้วในมุมที่น่ายินดี ก็จึงจะบอกกล่าวให้พี่แก้วพี่พิทได้ยินดีด้วย แต่หากว่า ปรากฏในมุมที่ควรวางเฉย ก็จะวางเฉยไป แล้วเริ่มต้นใหม่กับชีวิตที่สงบจากทิฏฐิในเก่าก่อนครับ

    ผมไม่ได้แสดงความระลึกถึงพี่แก้วบ่อยๆนะครับ กำลังพยายามฝึกตนครับ ใจนี้ประมาท และฝึกยากมากเลยครับพี่แก้ว

    น้องสาวของพี่ ก็สบายดีอยู่ครับ และเราสองคนก็ปรองดองกันดี รักใคร่กลมเกลียวกันครับ น้องสาวของพี่ตั้งอยู่ในโอวาท อยู่ในธรรมของคู่บารมีด้วยดี

    ผมเขียนสับไปสับมา เนื้อความอาจจะไม่สอดคล้องกันนะครับ คือ เขียนมาได้สี่ห้าย่อหน้าแล้ว ผมก็วนกลับไปเขียนแทรกระหว่างย่อหน้าบางแห่ง ทำให้เนื้อความไม่ต่อเนื่องกัน พี่แก้วอ่านแล้ว ก็คงไม่งง เพราะรู้ธรรมชาติของน้องพี่อยู่ว่า ออกจะป้ำๆเป๋อๆ ชื่อเสียงเรียงนามก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เพราะไม่ชอบเป็นตัวตนอันหนึ่งอันใดในตอนนี้ครับ จึงอาศัยนามหลายๆนามแล้วเที่ยวไปพบปะผู้คน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อ่านสำนวนเข้า พี่สาวแก้วก็แลดูออกว่า นี่เอกลักษณ์น้องชายเรา อ่านเข้าก็รู้เลย เพราะชอบเขียนอะไรเปิ่นๆแปลกๆเพี้ยนๆนะครับ

    เขียนยาวแล้ว
    ว่าจะระลึกถึงพี่แก้วสั้นๆ มันก็กลับระลึกยาวๆ นี่ล่ะครับธรรม ธรรมในภายในตอนนี้ มันตอบโต้ออกมา หากระลึกสั้นๆ ก็เขียนสั้นๆ หากระลึกยาวๆ ก็เขียนยาวๆ เพราะมีวัตถุอันเนื่องกับการระลึกถึงอยู่ให้ได้วิจารหว่านคำ

    พอแค่นี้นะครับ

    ระลึกถึงพี่แก้วพี่พิทครับ

    มนต์ครุฑ
     
  5. เอนกนาม

    เอนกนาม บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    กัลยาณมิตรในพุทธภูมิ

    กล่าวย้อนความไปถึงเรื่องการคบมิตร ฟีนิกซ์กล่าวไว้ดีว่า ปัญญาธิกะนั่นล่ะควรคลุกคลีกับหมู่มาก เพราะต้องรีบเรียนรู้ ความข้อนี้เป็นจริง เถียงไม่ได้

    ถามว่า หมู่แบบไหน ที่ควรแก่การคลุกคลีของปัญญาธิกะ เพื่อให้สิ่งที่ตนยังไม่รู้ พอกพูนขึ้นโดยเร็ว..

    ฟีนิกซ์จะสำคัญเรื่องนี้ว่าอย่างไร?
    ในบ้านเมือง ในบ้านนอก ในป่าชายบ้าน ในป่าใหญ่ ในป่าหิมพานต์ ในที่แห่งใดที่น่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของบุคคลผู้ทรงปัญญาอันยอดเยี่ยม จะสามารถพบบุคคลผู้ทรงปัญญาอันยอดเยี่ยมนั้นได้ง่ายกว่า

    แน่นอน
    หากมองที่ปริมาณจะรู้สึกว่า ในบ้านเมือง มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น เมื่อพระโพธิสัตว์แสวงหาอยู่ซึ่งกัลยาณมิตรผู้ทรงปัญญา ผู้ควรแก่การน้อมใจลงฟังธรรมของท่าน เพื่อฟังธรรมอันไม่เคยได้ยินได้ฟัง เพื่อพอกพูนให้ชำนาญในธรรมอันได้ยินมาแล้ว เพื่อทำให้ถึงตามเป็นจริงในธรรมอันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ การแสวงหานั้น พบปะใครเข้า ก็ต้องค่อยๆน้อมใจลงฟังถ้อยคำเขาก่อน จึงจะพอประมาณได้ว่า คนผู้นี้มีปัญญาควรแก่การฟังคำของเขา เพราะปัญญารู้ได้จากถ้อยคำ และปัญญานี้ล่ะ คือเครื่องนำพาไปสู่การบรรลุธรรมทุกประการที่ปรารถนาไว้ ไม่เว้นแม้แต่สัพพัญญุตญาณอันนั้น

    ฟีนิกซ์ลองนึกดูว่า ในบ้านเมืองนี้ เราพบปะผู้คนมาก เสียเวลาฟังคำของคนๆหนึ่ง อย่างน้อยอาจจะสิบนาที ยี่สิบนาที ก็พอประมาณได้ว่า นี่ไม่มีปัญญา สำหรับคนไม่มีปัญญา หรือปัญญาทราม

    หรืออาจจะใช้เวลาประมาณ 7วัน สิบวัน หนึ่งเดือนสนทนา กับท่านผู้มีปัญญาค่อนถึงกึ่ง ใช้เวลา สามปี ห้าปีกับท่านผู้มีปัญญากึ่งๆ เลยไปนิดๆ ใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อศึกษากับท่านผู้มีปัญญาสูงสุด และในบรรดาบุคคลในโลก พระสัมพุทธเจ้านั้น ชื่อว่า เป็นผู้มีปัญญาสูงที่สุด รองลงมาคือพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก มหาสาวก ปฏิสัมภิทัปปัตโต ฉฬภิญโญ เตวิชโช สุกขวิปัสสโก ผู้ทรงโลกียาภิญญา ......

    ถามว่า ในบ้านเมือง ต้องใช้เวลานานเท่าใดในการแสวงหากัลยาณมิตร กว่าจะได้พบผู้มีปัญญามากสักคนหนึ่ง คนมีปัญญามีในบ้านเมืองก็จริง แต่การได้โอกาสคลุกคลีด้วยผู้มีปัญญาในบ้านเมืองนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย

    พระพุทธเจ้าสอนว่า
    หากไม่ได้สหายผู้มีปัญญาเสมอตนหรือยิ่งกว่าตน พึงมีสติรักษาตนแล้วเที่ยวไปผู้เดียวดุจนอแรด หากได้สหายผู้มีปัญญา พึงยินดีในสหายนั้น คบหาสหายนั้น แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็กล่าวอย่างนี้

    ธรรมดา
    พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ยินดีในความสงัดวิเวก ยินดีในป่า การจะทำความคุ้นเคยกับใคร เราก็ต้องได้ประพฤติคล้ายอย่างเขา เขาถึงจะยอมรับ ถึงจะคุ้นเคย เขามีศีลอย่างไร เราก็ต้องมีศีลให้ได้อย่างเขา หากศีลเราน้อย เราก็ศึกษาว่าจะกระทำศีลให้เจริญไปจนเทียมถึงท่านผู้นั้น สมาธิเขามีอย่างไร เราก็ต้องพยายามทำจิตต์ให้ทรงสมาธิได้อย่างเขา หากยังไม่ถึง ก็พึงศึกษาเพื่อจะได้มีสมาธิอย่างนั้น ปัญญาเขามีอย่างไร เราพึงขวนขวายมีปัญญาเหมือนอย่างเขา หากยังมีไม่เท่าเขา เราก็พึงศึกษาในการเจริญปัญญา... ด้วยอาการอย่างนี้ ท่านเหล่านั้นย่อมยินดี ย่อมคุ้นเคยด้วยกับเรา การคบหาคนอย่างนั้น การปรารถนายินดีในบุคคลอย่างนั้น นำความเจริญมาสู่ตนอย่างนี้

    ธรรมดา พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายยินดีในป่า ยินดีในความสงัดวิเวก โดยมาก เมื่อบรรลุแล้ว ท่านหลีกเร้นเข้าสู่ป่าหิมพานต์ ไปอาศัยอยู่รวมกัน เคารพกันตามอาวุโส เสมือนว่าสถานที่แห่งนั้นคืออาวาสของท่าน

    ธรรมดา แม้พระอัครสาวก พระมหาสาวกก็ยินดีในความสงัดวิเวก

    ในระหว่างป่าหิมพานต์ ป่าใหญ่ ป่าชายบ้าน หมู่บ้านเล็กๆ เมืองกลางๆ เมืองใหญ่ ฟีนิกซ์ว่า ในที่แห่งไหนให้ความสงัดวิเวกด้วยกายได้มากกว่า? ความข้อนี้ แม้เมื่อเราเอง ปรารถนาความวิเวก เราก็ยังเลือกหลีกเร้นจากที่ชุมชน

    แม้หลวงพ่อฤาษีลิงดำเอง
    ท่านก็ยังกล่าวว่า พระอรหันต์ปฏิสัมภิทา ฉฬภิญญาเอง โดยมาก อาศัยอยู่ในป่ากัน ที่ผิดแปลกบ้าง เข้ามาอาศัยในเมืองนั้น มีน้อยกว่าน้อย ที่เข้ามาเพราะความจำเป็นต้องตามสงเคราะห์บริษัทบริวารที่เคยใช้สอยกันมา มันเป็นกฎของกรรม เป็นหนี้กรรมกัน


    การที่ปัญญาธิกะพึงเลือกหลีกเร้นก็ด้วยเหตุนี้
    คือเพราะรู้ว่า การหลีกเร้นเข้าที่สงัด เป็นที่ยินดีของท่านผู้ทรงปัญญา เมื่อท่านหลีกเร้นแล้ว ยินดีในความสงัด ท่านผู้ทรงปัญญาย่อมยินดีท่าน ย่อมเข้ามาหาท่านเพื่ออนุโมทนา เพื่อให้กำลังใจ เมื่อนั้น ปัญญาธิกะก็จะได้โอกาสไต่ถามถึงธรรม และได้ฟังธรรมที่ไม่เคยได้ฟัง เมื่อได้ฟังแล้ว ก็ขวนขวายฝึกฝนตนในที่สงัดวิเวกอีกเหมือนเคย คือโดยมากแล้ว อาศัยแต่ในที่วิเวก การเข้าสู่ที่ชุมชนของท่านปัญญาธิกะนั้น เข้ามาด้วยความจำเป็นคือ เพื่อสงเคราะห์หมู่คณะ บริษัทบริวารที่เกิดตายตามกันมา หากว่า ไม่มีบริษัทบริวารเหล่านั้นเป็นเครื่องกังวลแล้ว ท่านก็จะยินดีในป่า ยินดีในที่สงัดวิเวก คบหากับพวกฤาษีชีพราหมณ์ พระอรหันต์ต่างๆทั้งหลายในป่า ได้เห็นฤทธิ์ในวิสัยป่าที่แสดงออกแก่กันได้อย่างเปิดเผย ได้ฟังธรรมในวิสัยป่าที่แถลงออกต่อกันมาอย่างเปิดเผย เพราะในป่า ไม่ต้องกังวลด้วยธรรมเนียมของคนเมือง ไม่ต้องกังวลว่าใครจะมากล่าวหาว่ากล่าวเรื่องบ้าๆบอๆเพี้ยนๆ หรือว่า ไม่ต้องกังวลว่า ใครจะเผลอมาหาเรื่องลงนรกให้ตัวเองเหมือนในเมือง

    สิ่งที่หาฟังได้ยาก ไม่ได้มีอยู่ในเมือง สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องเฉพาะๆลงไป เป็นใบไม้ในป่า ไม่ใช่ใบไม้ในกำมือ

    ฟีนิกซ์จะคิดเห็นอย่างไร ปัญญาธิกะพึงคลุกคลีด้วยสหายในป่า หรือพึงคลุกคลีด้วยสหายในเมือง จึงจะเป็นอุปการะแก่โพธิญาณนั้นโดยตรง เข้มข้น ไม่เสียเวล่ำเวลามาก เพราะด้นเดาน้อย

    อาศัยวิธีการคิดอย่างนี้ อาศัยความเห็นอย่างนี้
    ปัญญาธิกะ เมื่อพิจารณาดูหมู่คณะในเมืองเปรียบเทียบกับความเจริญในที่สงัดแล้ว ย่อมเลือกเอาความเจริญของตนมาก่อนการสงเคราะห์คนอื่น เพราะเห็นว่า เมื่อตนข้ามไม่พ้นแล้ว จะพาคนอื่นข้ามพ้นได้ นั่นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้

    เหมือนอย่างว่า เมื่อตนไม่ร่ำรวยทรัพย์แล้ว จะช่วยแนะนำวิธีการทำให้ทรัพย์เจริญขึ้นแก่คนผู้ต้องการทรัพย์นั้น ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นได้ยากที่คนเหล่านั้นจะรับฟังไปปฎิบัติ หรือ แม้ว่าเขาจะรับฟังไปปฏิบัติ ก็จะไม่อาจถึงความสำเร็จตามปรารถนาได้ เหตุเพราะธรรมที่แสดงออก เกิดจากความด้นเดา คนไม่เคยรวย ย่อมไม่รู้ทางดำเนินเพื่อความร่ำรวย สิ่งที่แสดงออกทั้งสิ้น จึงเกิดจากความคิดเดาเอาทั้งนั้นว่า มันน่าจะ มันน่าจะอย่างนี้ คนผู้ไม่ร่ำรวย จะสงเคราะห์คนอื่นด้วยทรัพย์นั้น ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เหมือนคนไม่มีเงิน แล้วจะเอาเงินให้เพื่อน จะทำได้อย่างไรกัน...

    หากพิจารณาท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิที่ปรากฏในบัดนี้ ที่กำลังคลุกคลีกันอยู่ คลุกคลีเพื่อสิ่งใด
    เพื่อแสวงหาบริวาร? เพื่อสงเคราะห์บริวาร? บุคคลที่เขาคลุกคลีด้วย พูดคุยด้วย คือบริวารในพุทธภูมิของเขาหรือ?

    หากว่าคลุกคลีด้วยเหตุว่าจะสงเคราะห์สหายแล้ว พุทธภูมิมองย้อนเข้ามาในภายในของตนสิว่า แล้วเราจะเอาอะไรมาสงเคราะห์สหายร่วมทางเดิน... ศีลหรือ? สมาธิหรือ? ปัญญาหรือ? สมาบัติต่างๆหรือ?

    ตรวจสอบเข้ามาในหัวใจตน ในธรรมปัจจุบันว่า ในบัดนี้ ศีลที่ยังไม่บริบูรณ์บริบูรณ์แล้วหรือ ควรแก่การสงเคราะห์เพื่อนได้ละหรือ? สมาธิที่ยังไม่บริบูรณ์ บริบูรณ์แล้วหรือ ควรแก่การสงเคราะห์เพื่อนแล้วหรือ? ปัญญาที่ยังไม่บริบูรณ์ บริบูรณ์แล้วหรือ ควรแก่การสงเคราะห์เพื่อนได้แล้วหรือ? สมาบัติคืออภิญญาต่างๆ ที่ยังไม่มี ได้มีแล้ว ที่มีแล้ว ก็เจริญแล้วเข้าถึงความอิ่มตัวแล้ว ควรแก่การสงเคราะห์เพื่อนได้แล้วหรือ?

    หันไปดูพุทธภูมิที่คลุกคลีกันอยู่กับเรา เขาคลุกคลีกับเราเพื่ออะไร? เขาคลุกคลีเพื่อสอนธรรมเรา สงเคราะห์เราหรือ? เขาสงเคราะห์เราด้วยอะไร ด้วยศีลหรือ สมาธิหรือ ปัญญาหรือ สมาบัติหรือ?

    ก็หากว่าเขาสงเคราะห์เรา เรารับการสงเคราะห์ของเขาหรือ หรือว่า เราก็คิดว่าจะสงเคราะห์เขา ไม่คิดจะรับการสงเคราะห์เลย เพราะเราเห็นว่า เราพอแล้วเพียงเท่านี้ ศีลนี้เท่านี้พอละ บริบูรณ์ไม่บริบูรณ์ช่างมัน สมาธินี้ เท่านี้พอละ ปัญญาเท่านี้พอละ สมาบัติเท่านี้พอละ ใครจะหยิบยื่นอะไรๆให้ ก็ไม่เอา ไม่รับ มีแต่ว่า ให้เขามาเอาไปจากเรานี้ ศีลนี้ล่ะ เอาไปแบบไม่บริบูรณ์นี้ล่ะ ปัญญานี้ล่ะ เอาไปแบบไม่บริบูรณ์ไม่รัดกุมนี้ละ สมาธินี้ล่ะ ก็เอาไปอย่างนี้ล่ะ สมาบัติ มีไม่มีก็ช่างมัน หากเขาอยากได้สมาบัติ ก็จะด้นเดาเผาลวกให้เขาไป พอให้ได้ผ่านๆ หากคารมหวานก็จะได้คำชม...

    หันดูที่เราที่เขาแล้วจะเห็นว่า พุทธภูมิทั้งหลาย สั่งสมสุตตะมาไม่ได้ต่างกันนักเลย หนังสือมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง หนังสือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำหรือ พุทธภูมิทั้งหลายก็อ่านมาด้วยกันทั้งนั้น แต่ไม่ได้อ่านในที่เดียวกัน ในขณะอ่าน รู้สึกเหมือนรู้อยู่กับตัวคนเดียว เหมือนหมู่ไม่รู้ จึงอยากให้หมู่ได้รู้บ้าง

    ตัวหนังสือก็อันเดียวกัน หมู่ก็อ่านมาเหมือนกัน แล้วมันมีอะไรพิเศษนะกับสุตตะเพียงเท่านั้น พุทธภูมิภาคภูมิใจอยู่ได้กับธรรมเพียงเท่านี้ละหรือ ที่ปฏิญาณตนว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าผู้ค้นธรรมด้วยตนเอง

    พุทธภูมิเพ่งธรรมในตน เพ่งธรรมในคนอื่น นำธรรมในตนและคนอื่นมาเปรียบเทียบกัน ทำให้รู้ว่าธรรมใดอันเจริญและมีในตนด้วย มีในคนอื่นด้วย ธรรมใดเจริญมีเฉพาะในตนไม่มีในคนอื่น ธรรมใดเจริญมีเฉพาะในคนอื่น ไม่มีในตน ธรรมใดเสื่อมมีในตนด้วยมีในคนอื่นด้วย ธรรมใดเสื่อม มีเฉพาะในตนไม่มีในคนอื่น ธรรมใดเสื่อมไม่มีในตนแต่มีในคนอื่น ....

    เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว ธรรมใดเจริญและยังไม่มีในตนก็น้อมเข้าในภายใน ธรรมใดเสื่อมและมีในตนก็น้อมออกในภายนอก พอกพูนธรรมของตนไปโดยลำดับจนถึงความไพบูลย์

    ฟีนิกซ์จะเห็นว่าอย่างไร
    พุทธภูมิในเว็บบอร์ดพลังจิตนี้บ้าง คนเมืองบัวบ้าง ในเว็บอื่นๆบ้าง ในที่ๆไม่เข้าเว็บบ้าง
    ฟีนิกซ์ได้ยินได้ฟังถ้อยคำของท่านเหล่านั้นแล้ว เกิดความเห็นอย่างนี้ไหมว่า ท่านเหล่านี้โดยมาก มีปัญญาอันเยี่ยมยอด ยากจะแลเห็นได้ มีหลายอย่างที่ฟีนิกซ์มองไม่เห็น แต่ท่านเหล่านั้นมองเห็น หรือว่า ฟีนิกซ์เห็นว่า ปัญญาของคนเหล่านั้น ก็งั้นๆล่ะ ธรรมดาๆ ไม่มีอะไรพิเศษเลย

    สิ่งที่ฟีนิกซ์ได้จากการอ่านถ้อยคำของคนเหล่านั้นหลายๆคน ก็ได้เพียงแค่ความทรงจำ และเป็นความทรงจำที่ไม่อาจจะจำแนกออกได้ว่าไหนจริงไหนเท็จ เพราะในเรื่องบางเรื่องที่เรายังประพฤติไม่ถึง ไม่มีในตน เราก็ไม่รู้สภาพธรรมตามเป็นจริง เขาเล่ามาเราก็จำไว้เท่านั้น และสิ่งที่เขาเล่ามาเอง เขาก็แสดงธรรมนั้นออกมาอยู่ว่า ธรรมนั้นก็ไม่ได้มีอยู่ในเขา เขาก็จำขี้ปากคนอื่นมาเล่าอีกทีหนึ่ง คือ เขาก็ไม่ได้รู้เองเห็นเอง แม้เราก็ไม่ได้รุ้เองเห็นเอง

    ยิ่งสะสมข้อมูลมาก หากไม่ระวังก็จะรู้สึกเหมือนกับว่า เรารู้ไปเสียทุกเรื่อง นั่นเพราะยังไม่ได้ศึกษา

    ฟีนิกซ์อ่านธรรมของใคร ก็จะรู้วิสัยของเฉพาะคนกลุ่มนั้น แต่จะไม่อาจรู้วิสัยของท่านผู้อยู่นอกวิสัยนั้นเลย

    ฟีนิกซ์เห็นว่าอย่างไร? ในระหว่างพวกฤาษีผู้ทรงฌานอภิญญาในป่า พระอรหันปฏิสัมภิทาญาณในป่า วันๆหนึ่งไม่ได้ขวนขวายพูดคุยกับใครเท่าใดเลย กับคนผู้มากไปด้วยถ้อยคำในเว็บบอร์ดนี้ วิสัยไหนที่ฟีนิกซ์สามารถกำหนดรู้ได้โดยง่าย วิสัยไหนที่อยู่ภายนอกขอบเขตการรู้ของฟีนิกซ์

    ก็ฟีนิกซ์เอง เป็นนักท่องเว็บคนหนึ่ง ธรรมคือความเป็นผู้ยินดีในรสแห่งถ้อยคำ ฟีนิกซ์ทรงไว้ในตัวตนของตน ฟีนิกซ์ย่อมเห็นเพื่อนในเว็บบอร์ดทุกคนว่า มีธรรมคล้ายตน รู้สึกเข้าใจธรรมชาติของคนท่องเว็บว่า มีแต่คำคิดเพ้อไปตามประสาความด้นเดา คิดเอาแต่ไม่รู้เห็นตามเป็นจริงบ้าง ไปอ่านไปฟังแล้วจำขี้ปากคนอื่นเขามาเล่าต่อบ้าง โดยที่ยังไม่รู้เลยว่า นั่นจริงหรือเท็จ ข้อนี้ฟีนิกซ์รู้

    สวรรค์ นรก เทวดา อินทร์ พรหม ของคนในเว็บกับคนที่อยู่ในป่าคือพวกฤาษีทรงอภิญญา กับพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณมันจะมีความปรากฏเหมือนหรือต่างกันอย่างไรในวิสัยการรู้เห็น?

    ฟีนิกซ์ย่อมระลึกรู้ได้ว่า นรก สวรรค์ พรหม นิพพานของคนในเว็บ เป็นเพียงถ้อยคำ คนในเว็บ ที่ได้พบประสบสิ่งเหล่านั้นด้วยตนอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน หาได้น้อยมาก นรกสวรรค์ในเว็บจึงเป็นเพียงการด้นเดาจินตนาการ ส่วนท่านผู้อยู่ป่านั้น ประสบของจริง ไม่ติดรสของการด้นเดา เอาความจริงนั้นเป็นที่ยินดี

    ก็เมื่อเป็นแบบนี้
    การศึกษาของปัญญาธิกะ ควรคลุกคลีด้วยท่านผู้รู้ของจริง หรือว่าควรยินดีกับท่านผู้ด้นเดา? ปัญญาธิกะจึงมีนิสัยชอบหลีกเร้นจากหมู่เสียมาก ด้วยกรรมนั้น จะทำให้เขาได้เข้าถึงความเป็นสหายของท่านผู้บรรลุถึงของจริง แล้วเขาก็จะได้ประสบของจริงไปโดยลำดับ การปรารถนาพุทธภูมิของท่านผู้ยืนพื้นไว้ที่ความจริง ย่อมนำไปสู่ความสำเร็จได้ตามเป็นจริง ส่วนพุทธภูมิของท่านผู้ยินดีในการด้นเดา ย่อมมีความสำเร็จแบบด้นเดาเอาเช่นกัน

    อัธยาศัยของปัญญาธิกะ จึงเด็ดเดี่ยวอาจหาญกว่า เฉียบคมกว่า ส่วนมาก พวกนี้คิดจะเข้าป่าแล้วเข้าได้เลย เพราะใจเด็ด ส่วนสัทธาธิกะ วิริยาธิกะ ต้องทบทวนหลักการแล้วๆเล่าๆ จนกว่าใจจะกล้าพอ จึงจะเข้าป่าได้

    หากว่าการเข้าป่าเป็นของง่าย การได้สหายผู้ทรงปัญญาในป่าเป็นของง่าย พุทธภูมิที่กล่าวไว้ที่ปากของคนมากมายก็ย่อมสำเร็จได้ง่ายไปตามปากว่า แต่ เพราะความที่สหายในป่าผู้ทรงปัญญานั้นหาได้ยาก พุทธภูมิที่สำเร็จตามปากจึงหาได้ยากเช่นกัน

    ใจกล้านั้นเป็นเบื้องต้น ปากกล้านั้นเป็นท่ามกลาง กายกล้านั้นยาก

    แค่ทำใจให้กล้าปรารถนาพุทธภูมิก็ยากแล้ว การลั่นวาจาปรารถนาพุทธภูมิก็ยากยิ่งกว่า ส่วนการทำให้ได้อยากลั่นวาจานั้น ยากกว่ายากนั้นอีก

    อาจไม่ได้ข้อสรุปนะครับ

    เพราะผมบ่นเป็นตดเฉยๆ เห็นชื่อใครผ่านหูผ่านตาด้วยวัตถุไหน พอจะหยิบจับขึ้นมาเขียนบทนิยายได้ ก็เขียนไปตามเรื่อง อย่างนี่ก็ตั้งเป็นบทนิยายเหมือนแสดงธรรมให้ฟีนิกซ์ฟัง แต่ฟีนิกซ์ในที่ผมเขียนนี้ ไม่ใช่Phoenix ที่มาต่อกระทู้นะครับ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ต้องโต้ตอบ เพราะนี่แค่บทนิยายเฉพาะกิจของผมเท่านั้น
     
  6. เมธ

    เมธ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    คำถามโง่ๆ คำตอบเง่าๆ ความคิดเห็นเขลาๆ

    เมื่อครั้งที่พระพุทธโคดมเป็นพระโพธิสัตว์นามว่า สุเมธดาบส ในพุทธกาลพระทีปังกรพุทธเจ้า
    ในครั้งนั้น ท่านพระโคดมโพธิสัตว์ทรงโลกียาภิญญา เหาะมาในอากาศ ได้เห็นพระพุทธเจ้าแล้วปรารถนาโพธิญาณ

    พระทีปังกรพุทธเจ้า ตรัสพยากรณ์ท่านสุเมธดาบสว่า อีก 4 อสงไขยแสนกัปป์ จะได้สำเร็จสัพพัญญุตญาณ ในยามนั้นจะได้นามว่าพุทธโคดม

    เกิดปัญหาถามไถ่ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิว่า
    หากท่านเป็นสุเมธดาบส ท่านจะไต่ถามพระทีปังกรพุทธเจ้าหรือไม่ว่า?
    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาพุทธภูมิ ยังอีกนานเท่าใด ข้าพระองค์จึงจะได้สำเร็จเป็นพระสัมพุทธเจ้า และหากสำเร็จแล้ว จะได้นามอย่างไร จะได้สมบัติอะไรบ้าง"

    เมื่อท่านพุทธภูมิพิจารณาแล้ว ก็อาจจะเห็นว่า หากเป็นตัวท่านเอง ท่านจะไม่ไต่ถามอย่างนั้นเลย

    ก็ในชาตินั้น พระโคดมโพธิสัตว์ทรงอภิญญาญาณ อาจเพื่อจะรู้ได้ไหมว่า ความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าของตนจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ? ธรรมนั้นย่อมประกาศจ้าอยู่ในหัวใจท่านเองอยู่แล้วว่าสำเร็จแน่.. ไม่จำต้องถามใคร จะยาวนานเท่าใดก็ช่าง รู้ชัดล่ะว่าสำเร็จ นี่ดูจากธรรมของตนเอง ส่วนญาณทัสสนะนั้นมีกำลังไม่พอจะไปรู้ได้ ด้วยเหตุอย่างนี้ ท่านสุเมธดาบสจึงไม่ถามพระพุทธเจ้าว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ......

    คำถามว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จนี้ เป็นคำถามโง่ๆ ทั้งของพุทธภูมิและท่านผู้ปรารถนาถึงนิพพานในชาติปัจจุบัน

    พิจารณาต่อไปอีกว่า แล้วจะถามไหมว่า อีกนานเท่าใดจึงจะสำเร็จ? ในครั้งนั้น สุเมธดาบสก็ไม่ได้ถามพระพุทธเจ้า การพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่การตอบคำถาม ต่างคนก็ต่างแสดงธรรมของตนเอง สุเมธดาบสหากประกาศก็ประกาศธรรมของตนว่าปรารถนาพุทธภูมิ การขวนขวายนอนบนเปือกตมด้วยกำหนดใจนั้นไว้กับธรรม ก็เพื่อเป็นเหตุแห่งอธิการกุศลของตนเท่านั้น

    ธรรมดา บุคคลที่รู้สึกได้ว่า ตนจะสำเร็จในการงานที่ตนเพียรพยายาม ย่อมต้องรู้ธรรมชาติอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่ตนยังไม่เคยรู้ไม่เคยถึงนั้น อยู่นอกเหนือวิสัยที่จะตอบ จึงไม่สนใจจะรู้ หากได้รู้ ก็แค่ทรงจำไว้ เหมือนอย่างบุคคลปรารถนาจะเป็นเศรษฐี เขาย่อมไม่เที่ยวไปถามเศรษฐีทั้งหลายว่า ท่านครับ ผมจะได้เป็นเศรษฐีไหม? อีกนานเท่าใดจึงจะได้เป็นเศรษฐี?
    แม้เศรษฐีทั้งหลาย ก็จะเห็นอย่างนี้จากธรรมของตนว่า ในขณะพยายามเพื่อจะเป็นเศรษฐีนั้น ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกนานเท่าใดจึงจะได้สำเร็จเป็นเศรษฐี หากเมื่อมีคนมาไต่ถามว่า ท่านครับ ผมจะได้เป็นเศรษฐีไหม? คำถามอย่างนี้ มันพยากรณ์คนถามแล้วว่าจะไม่ได้เป็น ยิ่งถามต่อว่าอีกนานเท่าใดจึงจะสำเร็จ ท่านเศรษฐีเหล่านั้นก็จะได้แค่นิ่งเฉย เพราะรู้จากนิมิตแห่งถ้อยคำว่า ทิฏฐิอย่างนั้นไม่นำความสำเร็จมา

    คนที่คอยพะวงว่า เมื่อไรจะได้สำเร็จ เมื่อใดจะได้สำเร็จ อย่างนี้ มีธรรมดาที่จะรักษาความเพียรได้ไม่ทนทาน เหตุเพราะ การอยากรู้ผลสำเร็จ ก็คืออยากรู้ว่าอีกนานเท่าใดผมจึงจะได้หยุดพัก แต่ธรรมชาติของความเพียรนั้น ต้องเว้นจากคำว่าหยุดพักเสียโดยเด็ดขาด

    การถามถึงผลสำเร็จ เมื่อรู้ระยะเวลา เขาก็จะนำระยะเวลาที่ได้ยินนั้นเข้ามาเปรียบเทียบในใจตนว่า เขาจะอดทนต่อความลำบากต่างๆในระยะเวลานานอย่างนั้นได้ไหม? และคนที่คอยไต่ถามตนว่าจะทนได้ไหมนี้ มีคติคือ สุดท้ายจะไม่ทน ผลสำเร็จจึงไม่มีเป็นที่สุด...

    คิดดูสิว่า ธรรมดาความอดทนนั้น ตนก็รู้แล้วว่า ถึงเวียนว่ายตายเกิดไปอีกตลอด 16 อสงไขย ก็จะอดทนได้ หรือเวียนว่ายไปอีก 80 อสงไขยก็ทนได้... คำว่าอสงไขยคืออย่าไปนับ เพราะนับไม่ถึง คือ ไม่ต้องไปสนใจมันล่ะ... ตอนเริ่มแรกมันก็คิดว่ามันจะทนได้ มันจึงได้ปรารถนาพุทธภูมิ แต่การปรารถนานั้นไม่ประกอบไปด้วยความรู้ โดยเนื้อแท้คือ เขาไม่รู้ความยาวนานของระยะกาลว่า 16อสงไขยตามเป็นจริงนั้น มากมายปานใด การถามว่าอีกนานเท่าใดจึงจะสำเร็จนี้ จึงเป็นการบอกความโง่ของเขาในเรื่องระยะกาลว่า เขาไม่รู้ในเรื่องนั้น การปรารถนาพุทธภูมิของเขานั้น ปรารถนาไปตามกระแสแฟชั่น เห็นเพื่อนเขาปรารถนา เราก็ปรารถนาบ้าง เพราะตั้งแต่เพื่อนที่เราเห็นโง่ๆ เขายังเชื่อว่าเขาจะได้สำเร็จ ทำไมเราผู้ฉลาดๆจะไม่สำเร็จ

    ทีนี้ ในระยะกาลที่เขาพอจะรู้ได้อย่างยาวที่สุดคือชาติหนึ่งของตนเอง นับแต่เกิดถึงตาย หากในยุคนี้ก็ประมาณเสียว่า 70-80ปี เขาก็รู้ก็เห็นตามเป็นจริงว่า ในบัดนี้ คนที่มีอายุอยู่อย่างมากร้อยปี มีเกินกว่านั้นไปบ้างก็ไม่มากนัก เขารู้จักความทุกข์ ความลำบากนับแต่เกิดมาจนอายุได้ปัจจุบัน 15บ้าง 18บ้าง 25บ้าง 35บ้าง 50บ้าง 70บ้าง เขารู้ทุกข์ในระหว่างชาติว่า ยาวนานอย่างนี้ มีทุกข์ประมาณนี้ พอทนได้หรือทนไม่ได้

    แต่พอจะเทียบใส่อสงไขย จินตนาการไม่ออกว่าต้องได้วนเวียนทุกข์ๆสุขๆคล้ายอย่างชาตินี้ไปอีกกี่รอบ กี่ครั้งกี่คราว พอนึกไม่ออก เขาก็อยากรู้ เพราะเขารู้สึกว่า ขนาดทุกข์ในชาตินี้ไม่กี่สิบปี เขาก็ทนได้ยากแล้ว ขนาดได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดในตระกูลที่ไม่ได้เดือดร้อนด้วยโภคะ ยังลำบาก ส่วนในชาติต่อๆไป จะต้องได้เกิดเป็นหมูหมากาไก่ หันมองดูชีวิตสัตว์พวกนั้น วันๆมีแต่เกาเห็บเกาหมัด เห่าๆหอน นอนแล้วก็นั่ง นั่งแล้วก็นอนแล้วก็วิ่งเล่นไปหาเพื่อน ไปกัดกัน ไปติดสาว วิ่งตามตูดคอยสูดดมกลิ่นบั้นท้ายสาวๆ นอนทนหนาว นอนทนร้อน มีปัญญาบ้าง ไม่มีปัญญาบ้าง แต่โดยมากแล้ว จะทุกข์มากกว่าชีวิตมนุษย์ในปัจจุบันล่ะ นั่นเป็นคติสัตว์ฝ่ายทุคติ หากคิดเห็นตนในมุมนั้น มันรู้สึกได้ว่า ถ้าพบอย่างนั้นล่ะ ทนไม่ได้แน่ อย่าว่าแต่ชาติเดียวเลย แม้ในช่วงปีหนึ่ง เดือนหนึ่ง ก็ทนได้ยากแล้ว ประสาอะไรจะต้องวนเวียนไปอีกตั้ง 16 อสงไขย หันไปมองดูท่านผู้มีปัญญาอย่างเราสิ สมมติว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำก็แล้วกัน ท่านมีปัญญาแค่ไหน สุดท้ายมาเห็นทุกข์พวกนี้แล้วถอยเลย ไม่เอาเลย เปิดอ้าวๆเลย เพราะไม่เห็นประโยชน์ที่จะต้องทุกข์

    นี่ถ้าหากว่าเกิดอีกไม่นานเท่าไรก็จะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านะ ก็จะสู้ จึงอยากรู้ว่า อีกนานเท่าใดจึงจะสำเร็จ

    โดยนิมิตจากถ้อยคำก็บอกได้แล้วว่า บุคคลนี้เป็นผู้มีอินทรีย์อ่อน มีขันติอ่อน แม้ธรรมอื่นๆก็อ่อนไปด้วย จึงกล่าวได้ว่า คำถามว่า อีกนานเท่าใดจึงจะสำเร็จนี้ เป็นวาทะของท่านผู้ทุรพล จึงกล่าวว่า เป็นคำถามโง่ๆ แสดงออกมาเพื่อประกาศความเป็นผู้อินทรีย์อ่อนของตน

    พิจารณาวนรอบเข้าไปอีกทีสิน่าว่า จะทนไม่ได้หรือกับการเวียนว่ายตายเกิดเพียงเท่านี้ มันจะทุกข์สักเท่าใดกัน รู้ล่ะว่ามันไม่เหมือนใช้ชีวิตหน้าคอมฯ นั่งจิ้มแป้นดูดเป๊ปซี่หรือโคคาโคล่าไปพลาง บางเวลาก็ม่าม่าแทนข้าว....

    ท่านว่ามาว่าอสงไขยประมาณว่า ฝนตกทั่วจักรวาลจนระดับน้ำท่วมขึ้นสูงได้ 84,000โยชน์ นับหยาดฝนและละอองฝนที่ทำให้เกิดน้ำขนาดนั้น ใส่หน่วยเป็นปีหรือเป็นกัปป์อันนี้จำไม่ได้ ก็ยังนับได้ว่า อสงไขยยังมากกว่านี้อยู่

    นิยามนี้ทำไมจะไม่รู้ เพราะก็ศึกษามาเหมือนกัน อ่านพบในหนังสือ ท่านก็ว่าไว้ ใจมันก็บอกว่าเล็กน้อยๆ อดทนได้ล่ะน่า

    ต่อมา มาดูคำว่ากัปป์ เห็นบอกว่าเขาศิลาแท่งทึบ ทุกร้อยปี เทวดานำผ้าขาวบางเท่าควันธูปมาปัด คือ มันสึกหรอเท่าความบางแห่งควันธูปในร้อยปี ปัดไปจนภูเขานี้เหี้ยนเสมอดิน หน่วยเป็นปี ภูเขาศิลาสิ้นไปก่อน กัปป์ยังไม่สิ้น ท่านว่าไว้

    นิยามนี้ก็เคยอ่าน ทำไมจะไม่รู้ เพราะศึกษามาเหมือนกัน อ่านวนตั้งหลายรอบ ใจมันก็บอกว่า ทนได้ๆ เล็กน้อยๆ จึงปรารถนาพุทธภูมิต่อไป

    แต่สิ่งที่อ่านแล้วอ่านอีกก็ยังไม่พบก็คือว่า อีกนานเท่าใด ตัวเรานี้จะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า หรือว่า ในอดีต ตัวเรานี้เคยได้รับพุทธพยากรณ์มาหรือไม่ ได้รับพยากรณ์มาในสำนักพระพุทธองค์ไหน? นี่นะ มันหาอ่านไม่ได้ ครั้นจะให้นั่งกรรมฐานจนญาณเกิดก็อดทนไม่ไหวเพราะใจร้อนอยากรู้เร็วๆ คืออยากเป็นพระพุทธเจ้าเร็วๆ นิมิตมันบอกอย่างนี้ ก็เลยแสวงหาว่า ใครหนา ที่เราพอจะไต่ถามได้..

    ความว่า ได้ยินว่า ปุถุชนมีความสามารถในการระลึกชาติได้ 80 กัปป์ คือ อดีต40 อนาคต40 อันนี้ได้อ่านมา พระสาวกบางรูประลึกได้พันกัปป์ พระมหาสาวกระลึกได้ไกลแสนกัปป์ พระอัครสาวกกับท่านผู้เป็นเอตทัคคะทางมหาอภิญญา ระลึกไปได้ไกล 1อสงไขยแสนกัปป์ พระปัจเจกพุทธเจ้ามีกำลังระลึกไปได้ไกล 2 อสงไขยแสนกัปป์ ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าระลึกไปได้ตามปรารถนา

    ความข้อนี้ก็เคยอ่านมาทำไมจะไม่รู้ แต่ก็ยังอยากจะถามดู เผื่อว่าเราจะเป็นผู้วิเศษ ได้รับพยากรณ์มาแล้วในพุทธกาลใกล้ๆนี้ เช่น ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า พระโกนาคมน์พุทธเจ้า พระกกุสันโธพุทธเจ้า พระเวสภู สิขีพุทธเจ้าเหล่านี้ อยู่ในระยะ 40 กัปป์ก่อนหน้านี้ทั้งนั้น ข้อนี้ถามปุถุชนได้ล่ะ มันคิด...

    ก็แสดงว่า ในใจนี้ รู้สึกว่าตนเองคือพระมหาโพธิสัตว์ล่ะ มันรู้สึกชัดเจนในหัวใจ แต่ครั้นจะพิสูจน์รู้ด้วยตนก็อดทนไม่ไหว จึงอยากให้คนที่ตาดีเขาช่วยดูให้ เขาว่าอย่างไรมาก็จะเอออวยเชื่อเอาหากว่ามันถูกกับใจ

    พิจารณาปัญหาข้อนี้สิว่า
    สมมติว่าเราเหลืออีก 16 อสงไขยจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า สมมติว่าเราได้รับพยากรณ์ในสำนักพระพุทธโคดมนี้ล่ะ ถามว่า เราต้องเกิดอีกกี่ชาติจึงจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าตามพุทธพยากรณ์

    อุตส่าห์เรียนวิศวะ เรียนแพทย์ เรียนวิทยาศาสตร์มา เก่งคำนวณอยู่แล้ว ก็เลยลองคำนวณดู หักลบกลบหนี้ เผื่อเหลือเผื่อขาด เกิดเป็นทั้งพรหมทั้งเทวดา ทั้งมนุษย์ ทั้งดิรัจฉาน ทั้งหญิงทั้งชาย ไปเกิดในนรกเปรตอสุรกาย สารพัดจะดำเนินไปตามยถา เฉลี่ยอายุสัตว์เหล่านั้นที่ว่ามากแล้วไปหารเข้ากับ 16 อสงไขย เห็นตัวเลขแล้วก็น่าใจหาย โอ้โห จะเรียกว่าเท่าไรล่ะนี่จึงจะบรรยายความยาวนานมันได้

    หรือว่า สมมติว่าเราเหลืออีก 4 อสงไขยแสนกัปป์ก็แล้วกัน คำนวณดูด้วยอุบายเดียวกัน ก็เห็นเป็นตัวเลขอันโอฬาร จะปัญญาธิกะ สัทธาธิกะ หรือวิริยาธิกะ พอเข้าหลักอสงไขยแล้ว นานทั้งนั้น เกิดตายจนไม่ต้องสนใจเลยว่าจะกี่ล้านกี่โกฏิชาติ หากเห็นอย่างนี้ โดยที่ยังไม่ไต่ถามใคร มันก็รู้แล้วว่า ยังไงๆก็จะอดทน รู้แล้วจะมีประโยชน์อะไรว่าจะสำเร็จเมื่อไร เพราะว่า มันนานเหลือเกินล่ะ

    แต่ ทีนี้
    ลืมไป ไม่ได้คำนวณ ที่อ่านมา ก็อ่านสักแต่ว่าผ่านๆ ไม่ได้ใส่ใจจะนำมาใช้พิจารณา จึงเที่ยวแสวงหาผู้พยากรณ์ว่า ท่านครับ อีกนานเท่าใดผมจึงจะสำเร็จ ผมได้รับพุทธพยากรณ์มาหรือยัง? เหตุเพราะ ถ้ายังไม่ได้รับพยากรณ์ ผมจะได้ลาความตั้งใจเสีย เพราะทุกข์ในบัดนี้มันแสดงตัวปรากฏว่าทนยากเหลือเกิน หากนานเกินไป เห็นทีจะไม่ไหว มันคิดว่า

    เมื่อเอ่ยปากไต่ถามไปตามแฟชั่นเข้า ก็มีผู้พยากรณ์มา
    เขาบอกว่า เออ ท่านเอ๊ย ท่านอั้น อันตัวท่านนั้นได้รับพยากรณ์มาแล้วแต่สำนักพระสิขีพุทธเจ้า อีก1500 ชาติ ท่านก็จะได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    นี่สมมติว่าเขาตรวจดูด้วยญาณของเขานะครับ เขาเห็นย้อนหลังไปได้จริงๆ40กัปป์นะ สมมติ (เพราะปกติ คนระลึกชาติ ปุถุชนระลึกชาติได้สักสิบสักร้อยชาติ ก็ยากแล้ว)

    ทีนี้ เราก็เชื่อเขาก่อนล่ะ สมมติว่าเราได้รับพยากรณ์ในเมื่อกัปป์ที่ 31 ก่อนภัททกัปป์นี้ ในสมัยพระสิขีพุทธเจ้า ก็ประมาณมันว่าอยู่ภายในแสนกัปป์ เทียบเข้าแล้ว 31กัปป์ก็ขี้ปะติ๋วเอง ก็ถือเสียว่า สมมติเราเป็นปัญญาธิกะพุทธเจ้า ชอบแบบรวบรัดตัดตอน รวมความว่า เราจะต้องเกิดอีก 4อสงไขยกับเกือบๆแสนกัปป์

    เราก็ลงมือคำนวณ สมมติว่าไปเกิดอยู่พรหมฌาน4 เวหัปผลา ไล่ลงมา สุภกิณหกา อัปปมาณสุภา ปริตตสุภา อาภัสสรา อัปปมาณาภา ปริตตาภา มหาพรหม ปโรหิตาพรหม ปาริสัชชพรหม นะ ไล่มาแต่ฌาน4มาถึง 1 ไล่ลงมา ปรนิมิตตวสวัสตี นิมมานรตี ตุสิตา ยามา ตาวติงสา จาตุมหาราชิกาก็เวียนเกิดในทั้ง4เหล่าเลย แล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นนิโกรบ้าง ฝรั่งบ้าง จีนบ้างลาวบ้างไทยบ้าง แขกบ้าง ไปเกิดแปลกๆในกอไผ่บ้าง เกิดจากดอกบัวบ้าง แล้วก็ไล่ลงไปเกิดเป็นช้างม้าวัวควาย ไปเป็นนกเล็กนกใหญ่สารพัดนะครับ จนลงไปเกิดเป็นอสุรกายพันธุ์ต่างๆ เปรตในบางเผ่าพันธุ์ สัตว์นรกบางเหล่า เอาตามตำราท่านว่าไว้เป็นข้อมูลในการคำนวณ ทำการรวบรวมอายุขัยของสัตว์ในภพต่างๆเหล่านั้นมารวมกัน แล้วก็เอาไปหาร 4 อสงไขยแสนกัปป์

    พอเห็นตัวเลขจำนวนชาติที่ต้องเกิดเข้าจริงใน 4 อสงไขยแสนกัปป์ จากการคำนวณของตนเอง ได้แต่ร้อง โอ๊ว...พระพุทธเจ้า... พุทโธ พุทโธ ทำไมมันถึงนานขนาดนั้นล่ะเนี่ย

    ทีนี้มันก็จะเกิดข้อสงสัยว่า
    เอ เราจะเชื่อผลการคำนวณของเราเองหรือว่าเชื่อคำทำนายของคนอื่น ที่เขาเองก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขารู้ถูกรู้ผิด เขาทายเรามาว่า 1500 ชาติ แต่เราคำนวณให้ตัวเรา มันได้ไม่รู้กี่ล้านล้านล้านล้าน...ชาติ ใครที่เราควรจะเชื่อถือ

    หากเราเอาตามคำคนพยากรณ์ให้เรา ก็แสดงว่าพระไตรปิฎกเขียนผิด ข้อมูลที่เราได้มาในตำรามันผิดล่ะ ทำให้เราคำนวณผิดไป เรื่องนี้เรื่องใหญ่ ถ้าเราได้พรรคพวกพระโพธิสัตว์เข้า เราจะเสนอให้แก้พระสูตรนั้นๆเสียที่พระพุทธเจ้ากล่าวอุปมาเรื่องกัปป์ เรื่องอสงไขย ว่าโกหก นั่นไม่ใช่พุทธพจน์ เพราะ เมื่อคำนวณแล้วไม่ตรงกับคำพยากรณ์ของท่านผู้ทรงอภิญญา

    หรือ หากเราจะยึดตำรา คำของคนที่พยากรณ์เราก็ไม่ควรแก่การเชื่อถือ ถ้อยคำนั้นก็เป็นอันบ่งบอกปัญญาของคนพยากรณ์เองว่า ไม่เคารพธรรม กล่าวธรรมเกินวิสัยตนเอง การพยากรณ์นั้นก็เป็นเพียงการด้นเดาเอาเท่านั้นเอง

    ก็เมื่อเห็นอย่างนั้นว่า นั่นคือคนเขลา เพื่อประโยชน์ของเรา เราพึงหลีกเว้นการคลุกคลีด้วยคนอย่างนั้นเสีย เหมือนอย่างม้าอาชาไนยได้คนฝึกขาเป๋ อีกไม่นานขาที่ดีๆอยู่ของตัวเองก็จะกลับเดินกะเผลกๆ แม้ไม่เป๋ก็กลายเป็นเป๋เพราะผู้ฝึกฝนเรามันเป๋

    แล้วก็มาทบทวนว่า โพธิญาณอันเราปรารถนาแล้ว จะอาศัยท่านผู้ใดนะ จึงจะรักษากำลังใจได้ตามเป็นจริง จึงจะเรียนรู้ธรรมในพุทธภูมิไปได้โดยลำดับตามเป็นจริง ไม่ใช่การด้นเดาหลอกหลอนตนเอง

    เมื่อพิจารณาอย่างนั้นก็จะเห็นว่า ผู้คนในโลกมากมาย เราจะรู้ได้ง่ายเสียที่ไหนว่าใครมีปัญญาในพุทธภูมิที่เราปรารถนา เอาเถอะ หากยังไม่อาจพบคนอย่างนั้น เราขอดำรงตนโดดเดี่ยว เป็นไปตามธรรมของตนไปก่อน ดีกว่าไปคบหาคนขาเป๋ จะทำให้เราเสียเวลาเปล่ายิ่งกว่าการอยู่ไปเพียงลำพังตน

    เมื่อคิดเห็นอย่างนั้น จึงหลีกเร้น และตามสังเกต ใคร่ครวญถ้อยคำของคนทุกคนที่ได้พบเห็น หากยังไม่พบบุคคลแปลก ก็จะไม่เข้าไต่ถามเพื่อหยั่งทราบธรรมว่า ท่านผู้นั้นรู้พุทธภูมิที่เราปรารถนาหรือไม่? การเป็นอยู่อย่างนี้ อยู่แบบจ้องๆ จ้องหากัลยาณมิตร ตอนไม่ได้มิตรก็ประคับประครองตนไปเรื่อยๆด้วยกำลังของตนเอง

    ทีนี้ มาพิจารณาคำตอบของคนพยากรณ์สิว่า การได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในภายใน 1500ชาติ ของผู้เพิ่งได้รับพยากรณ์จากพุทธสำนักนั้น เป็นสิ่งที่เป็นฐานะที่จะเป็นได้ไหม? ก็หากเป็นไม่ได้ คำตอบนี้ก็ชื่อว่า เป็นคำตอบเง่าๆ ไม่ประกอบด้วยปัญญา

    พิจารณาตัวอย่างสุเมธดาบส ได้รับพุทธพยากรณ์จากสำนักพระทีปังกรพุทธเจ้า ถามว่า ท่านต้องเวียนว่ายตายเกิดมานานเท่าใด จึงได้ความสำเร็จเป็นพระพุทธโคดม..... แน่นอน ไปอ่านพระไตรปิฎกเอา แล้วก็จะตอบได้อย่างไม่สงสัย เว้นเสียแต่จะไปสงสัยว่า พระไตรปิฎกเขียนถูกหรือผิดไปจากความจริงเท่านั้น...

    มาพิจารณาคำตอบเง่าๆนั้นต่อสิ
    เมื่อบุคคลรู้ว่าตัวเอง แม้จะทรงอภิญญา ระลึกชาติไปได้ตลอด40กัปป์ในอดีต 40กัปป์ในอนาคต ควรหรือที่จะพยากรณ์ว่าบุคคลใดจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในเมื่อใด?

    ก็ความสำเร็จนั้นจะปรากฏในระยะ 16อสงไขยแสนกัปป์บ้าง 8อสงไขยแสนกัปป์บ้าง 4อสงไขยแสนกัปป์บ้าง ในวิสัยของปุถุชนนั้น หากระลึกชาติได้ ก็ไม่อาจจะก้าวเข้าไปรู้ได้แม้กระทั่งในเศษแสนกัปป์นั้น จะกล่าวไปใยกับความว่าอสงไขย การพยากรณ์ความสำเร็จในสัมโพธิญาณจึงไม่ใช่ปัญหาของปุถุชนใดๆที่จะตอบ

    ทีนี้มาดูวิสัยพระอรหันตสาวกบางรูประลึกไปได้ พันกัปป์ นี่ก็เหมือนเอาไม้เมตรไปหยั่งมหาสมุทร
    มาดูวิสัยพระมหาสาวก ที่ระลึกไปได้แสนกัปป์ นี่ก็เอาลำไผ่ไปวัดมหาสมุทร
    มาดูวิสัยพระอัครสาวก ระลึกไปได้ 1 อสงไขยแสนกัปป์ นี่ก็เอาสายวัดร้อยเมตรไปวัดพันเมตรไปวัดมหาสุทร

    มาดูวิสัยพระปัจเจกพุทธเจ้า ระลึกได้ 2อสงไขยแสนกัปป์ นี่ก็เอาไม้วัดหมื่นเมตรไปวัดมหาสมุทรว่ากว้างไกลแค่ไหน

    ส่วนพุทธวิสัยนั้น ระลึกชาติไปได้อย่างไม่มีที่สุด ระลึกได้ตามประสงค์ การพยากรณ์พุทธภูมิว่าจะสำเร็จหรือไม่ จึงเป็นวิสัยพระสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ปัญหาในวิสัยผู้อื่น

    บุคคลผู้เคารพธรรม นับแต่พระปัจเจกพุทธเจ้าลงมา ท่านแม้รู้อยู่บ้างในพุทธภูมิบางท่านที่บารมีมากแล้ว แต่ท่านก็ไม่พยากรณ์ เพราะท่านรู้ว่า ไม่ใช่วิสัยของท่านที่จะมาพยากรณ์พุทธภูมิ

    บุคคลที่มาพยากรณ์พุทธภูมิในผู้อื่น เว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ชื่อว่า เป็นคำตอบแบบเง่าๆ ง่าวๆไปตามส่วนแห่งญาณของตนๆไปด้วย ด้วยเหตุนี้ ปุถุชนผู้ทำการพยากรณ์อยู่ จึงชื่อว่า เป็นเหมือนจะเอาแสงระยิบในเสี้ยที่ล้านของหิ่งห้อย ไปเปรียบกับดวงอาทิตย์อันแผดแสงกล้าไปทั้งจักรวาล ควรแก่การตำหนิว่าเป็นพาลชนได้ทีเดียว

    หน้านี้ เขียนมาได้แค่คำถามโง่ๆ คำตอบง่าวๆ ส่วนทิฏฐิเขลาๆนั้น ต้องได้ยกยอดไปกล่าวไปหน้าถัดไปแล้วล่ะ
     
  7. kiatkiat

    kiatkiat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +826
    ขอบคุนสำหรับแง่คิดดีดี นะคับ
     
  8. อาวรณะ

    อาวรณะ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ความเห็นผิดๆ ทิฏฐิเขลาๆ 1

    เรื่อง อากาศ น้ำ เน่า เงา และจันทร์


    เปรียบพระจันทร์ที่ทอแสงในเวลามืดมิด ยังจิตสัตว์ให้เกิดความยินดี มีฉันทะ ทำให้สัตว์เรียกมันว่า จันทะ เปรียบจันทะนี้เหมือนพระสัมโพธิญาณที่เหล่าพุทธภูมิปรารถนา

    ก็พระจันทร์นั้น โดยธรรมของมัน มันตั้งอยู่ในอากาศ มิได้ตั้งในน้ำ
    ส่วนเงาของจันทร์นั้น มันตั้งอยู่ในน้ำ มิได้ตั้งอยู่ในอากาศ

    เปรียบพุทธภูมิเป็นเหมือนบุคคลผู้ปรารถนาจะเข้าถึงซึ่งดวงจันทร์ (ดวงจันทร์คือสัมโพธิญาณ)

    พุทธภูมิบางเหล่า แยกแยะออกว่า จันทร์ที่ปรากฏในน้ำนั้น เป็นแต่เพียงเงา ไม่ใช่จันทร์ตามเป็นจริง
    ส่วนจันทร์ตามเป็นจริงนั้นปรากฏอยู่ในอากาศ เมื่อเขาแยกแยะออกอย่างนั้น เขาย่อมรู้ว่า ทางดำเนินของบุคคลผู้ปรารถนาลุถึงดวงจันทร์นั้น พึงไปสู่จันทร์กลางอากาศ ไม่ใช่จันทร์ในน้ำ ทั้งเขาก็แยกแยะออกว่า จันทร์ในอากาศปรากฏเป็นของไกล เป็นของยากที่จะเข้าถึง เพราะการล่องลอยไปในอากาศนั้น เป็นสิ่งที่ยากกว่าการล่องลอยแหวกว่ายไปในน้ำ อีกประกาศหนึ่ง การเข้าถึงจันทร์ในอากาศ ย่อมเข้าถึงได้ตามเป็นจริง ส่วนจันทร์ในน้ำนั้น ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ก็เข้าถึงตามเป็นจริงไม่ได้

    พุทธภูมิเหล่านี้ย่อมระลึกรู้ถึงจันทร์ที่ตนยังเข้าไม่ถึงนั้นว่าอย่างนั้น คือเป็นของไกล แต่ก็ตอบไม่ได้ว่าไกลแค่ไหน? เพราะยังไม่เคยเข้าถึง เหมือนกับว่า การได้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ยังอีกไกลแค่ไหนเขาไม่รู้ แต่เขารู้อยู่อย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าจะไกลอย่างไร ก็สามารถจะเดินทางไปถึงได้ ด้วยตาแลเห็นที่หมายอยู่ เพราะจันทร์นั้นปรากฏชัดว่าเป็นของที่ไม่เกินความเพียรพยายามในการเข้าถึง เมื่อนั้น เขาจึงขวนขวายหาหนทางในการจะเดินทางไปในอากาศเพื่อจะไปยังดวงจันทร์นั้นให้สำเร็จให้จนได้

    เขาเที่ยวไต่ถามผู้คนถึงวิธีเดินทางไปดวงจันทร์ ไม่ว่าพบใครๆ เขาก็ถามว่า จะไปได้อย่างไร? มีใครเคยไปถึงแล้วบ้าง เพราะเขาจะไปดวงจันทร์

    ผู้คนโดยมากที่แลเห็นจันทร์ ต่างก็คิดเห็นว่า จันทร์นั้นเป็นของไกล ทั้งเขาเองก็ไม่รู้วิธีจะเดินทางไปด้วย ทั้งไม่เคยมีในความคิดว่าเขาจะไปสู่ดวงจันทร์ ตั้งแต่จะเดินทางข้ามเขาสักลูกหนึ่ง เขาก็แสนยาก แล้วนี่จะเดินทางข้ามอากาศอันไม่รู้ที่กำหนดแน่นอนไปได้อย่างไรกัน... คนเหล่านั้นได้ยินคำถามเข้า ก็คิดเห็นว่า ไอ้หมอนี่ท่าจะบ้า คิดจะไปดวงจันทร์

    คนที่ปรารถนาพุทธภูมิเองก็เป็นอย่างนั้น ปรากฏในโลก ย่อมต้องประสบกับคำก่นด่าดูหมิ่นว่าบ้า ว่าเพี้ยนเป็นธรรมดา ความอดทนเท่านั้นที่เป็นเครื่องรักษาใจ

    เขาคนนั้นเที่ยวแสวงหาทางไปดวงจันทร์

    วันหนึ่ง เขาไปพบคนกลุ่มหนึ่งเข้า คนกลุ่มนั้นมีท่าทีแปลก รวมกลุ่มกันอยู่ขอบสระ ริมหนองน้ำแล้วเพ่งมองเงาจันทร์ เขาก็คิดว่า คนเหล่านี้มีอาการแปลกๆ คล้ายอย่างว่าปรารถนาจะไปดวงจันทร์เหมอืนกัน อาจบางที คนเหล่านี้จะพอมีคนรู้วิธีเดินทางไปดวงจันทร์ตามเป็นจริง เขาก็เลยเข้าไปถามว่า

    ท่านครับ ท่านปรารถนาพุทธภูมิหรือ? ท่านรู้วิธีเข้าถึงความสำเร็จในพุทธภูมิไหมครับ ผมปรารถนาจะไปเช่นกัน?

    คนเหล่านั้นที่เฝ้ามองจันทร์ในหนองน้ำก็กล่าวว่า
    ท่านเอ๊ย นั่นไงพระจันทร์ จันทร์บนฟ้านั้นปรากฏเป็นของไกล ยากจะไปถึง แต่ท่านแลดูนั่นสิ นั่นจันทร์ในน้ำ มีรูปทรงทุกอย่างเหมือนอย่างดวงจันทร์ แม้นั่นก็คือดวงจันทร์เหมือนกันนะ

    ท่านแลดูสิ จันทร์ในน้ำ ปรากฏแก่เราว่าอยู่ห่างจากเราเพียงไม่กี่วา เรารู้ว่า การเข้าถึงดวงจันทร์นี้เป็นของไม่ลำบาก ไม่รู้สึกว่าจะลำบาก ไม่รู้สึกว่าเป็นของไกล พวกเราพากันจับกลุ่มเพ่งมองดวงจันทร์นั้นอย่างชื่นชม และพยายามเพื่อจะเข้าถึงดวงจันทร์นั้นเช่นกัน

    หนุ่มคนนั้นผู้ปรารถนาถึงจันทร์ในอากาศ มาพบกลุ่มคนที่ปรารถนาถึงจันทร์เหมือนกัน แต่เป็นจันทร์ในน้ำ ก็สนใจสังเกตดู เผื่อว่า การเดินทางไปดวงจันทร์ จะไปได้ด้วยอาการนี้ คือ ทะลุไปทางน้ำ

    เขาก็มองดูคนบางคนในกลุ่มนั้น แลเห็นเงาจันทร์ในน้ำนิ่งอย่างเด่นชัด คนๆนั้นเหน็บเตี่ยวลุยน้ำลงไป ทันที่ที่กายแตะน้ำ ผิวน้ำเป็นคลื่นๆ เงาจันทร์ในน้ำก็แตกกระจัดพลัดพรายไป คนที่เหน็บเตี่ยวไม่รู้จุดหมายปลายทางว่าจันทร์หายไปไหน เมื่อกี้นี้ยังเห็นมันอยู่ใกล้ๆนี่นา พอลงน้ำปั๊ป กลับมองไม่เห็น คนๆนั้นก็เลยถอยกลับเข้าฝั่งไปอีก กะว่า จะกะตำแหน่งให้ถูก แล้วจะลงไปสู่ดวงจันทร์

    ชายหนุ่มแลดูคนเหน็บเตี่ยวเทียวลงน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็วกกลับครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเห็นแล้วก็สังเกตว่า
    เอ.. ทำไมจันทร์ที่ปรากฏนั้น ยามน้ำนิ่งมันเด่นชัด แต่พอคนลงน้ำ ผิวน้ำกระเพื่อมเข้า กลับอันตรธาน หาที่หมายไม่พบล่ะ

    แล้วเขาก็เห็นว่า อ๋อ ก็จันทร์นั้นมันไม่ใช่จันทร์จริง มันเป็นเพียงเงาจันทร์นี่ ส่วนจันทร์จริงอยู่บนฟ้า ไม่เคยแปรเปลี่ยน ไม่เคยกระเพื่อม นิ่งสงบอยู่อย่างนั้น

    แล้วชายหนุ่มก็เห็นว่า
    เออนะ คนเหล่านี้มากมาย รายล้อมสระน้ำเน่า ปรารถนาจะไปให้ถึงดวงจันทร์ คนเหล่านั้นเห็นจันทร์ในน้ำอันเป็นเพียงเงาว่าเป็นจันทร์จริง ยามน้ำนิ่งก็เด่นชัด พอน้ำไหวก็โอนเอนอันตรธานไป เป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าถึงได้ตามเป็นจริง แม้จะเพียรพยายามอยู่ตลอดร้อยกัปป์ พยายามไปอย่างไม่สิ้นสุดอย่างไร ก็เข้าถึงไม่ได้ เพราะนั่นไม่ใช่ฐานะไม่ใช่โอกาสที่จะเข้าถึงได้

    ก็จันทร์ในน้ำนั้น ปรากฏเป็นของใกล้ เหมือนกับว่า จะเข้าถึงได้ภายในชั่วโมงเดียวหรือคืนเดียว ส่วนจันทร์ในอากาศนั้นปรากฏเป็นของไกล เหมือนจะเข้าถึงไม่ได้ในร้อยปีพันปี แต่เมื่อบุคคลเพียรพยายามอย่างเหมาะสมแล้ว ในร้อยหรือพันปีที่พึงถึงจันทร์ตามเป็นจริงนั้น หากเขาตั้งใจไว้ถูก มุ่งหมายในจันทร์ในอากาศ เขาก็จะไม่เพียรพยายามเปล่า ย่อมเข้าถึงจันทร์ได้ตามเป็นจริง เปรียบกับร้อยปีพันปีของคนที่ยืนรอบสระที่หมายจะจับจันทร์ในน้ำนั้น แม้พยายามในร้อยปี ก็จะลำบากเปล่า จะได้แต่ความเสียใจในภายหลังแล้วกลับท้อถอยได้

    จันทร์ในน้ำมีมณฑลแค่คืบแค่ศอก แม้จันทร์ในอากาศก็ปรากฏเพียงเท่านั้น จันทร์ในน้ำ เข้าใกล้ไปก็ไม่ได้ขยายออกใหญ่มาก ส่วนจันทร์ในอากาศยิ่งใกล้ ยิ่งใหญ่เกินคาดเดา

    คนเหล่านี้ที่รายรอบสระ จะรู้อะไรกับจันทร์แท้และเงาจันทร์ แม้แต่แยกเงาออกจากจันทร์ยังไม่สามารถ จะสามารถเพื่อเข้าถึงจันทร์ได้อย่างไร? วาจาของคนเหล่านี้เป็นเพียงวาจาเปล่า ไม่มีประโยชน์อันใด ปรากฏเป็นเพียงความคะนองเท่านั้น แม้จะมีหมู่คณะเป็นร้อยเป็นพัน ก็ปรากฏเหมือนไร้ค่า ข้อนี้เพราะเห็นผิด

    ความสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ในร้อยชาติพันชาติของคนกลุ่มใหญ่นั้น ก็เป็นเหมือนคนยืนรอบสระเห็นจันทร์ปรากฏไกลเพียงสิบวา เห็นว่าพยายามไม่มากก็จะถึง คนเหล่านี้ย่อมไม่รู้ถึงมณฑลแห่งจันทร์ที่แท้จริง

    มณฑลแห่งจันทร์อันแท้จริง แม้อยู่ห่างตั้งพันโยชน์ ก็เห็นปรากฏยิ่งใหญ่เสมอภูเขา ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งใหญ่และโอฬาร กาลเวลาที่ใช้ดำเนินถึง ไม่ใช่ปรากฏเป็นของง่ายๆ แต่ก็ไม่ได้เกินความเพียร ท่านผู้เข้าถึงแล้วทั้งหลายก็กล่าวไว้ให้ได้ฟังกันอย่างนั้น

    คนผู้ปรารถนาพุทธภูมิที่มีจิตยินดีเพียงเงาพุทธภูมินั้นจึงมีคติเป็นคนเขลา เหตุเพราะเห็นผิด ความพยายามของคนเหล่านี้ มีความล้มเหลวเป็นที่สุด เว้นแต่ว่า จะละความคิดเห็นเดิมนั้น ละจันทร์ในน้ำ ไม่ยินดีเงา ยินดีในสิ่งที่เป็นจริง ตั้งใจใหม่ จึงจะควรแก่การเข้าถึงสิ่งนั้นได้ตามเป็นจริง

    พุทธภูมิในเว็บบอร์ดต่างๆ โดยมาก มีคติเป็นคนผู้ยินดีในเงาจันทร์ ส่วนพุทธภูมิในป่า ในที่สงัด ที่หลีกเร้น เป็นพุทธภูมิผู้ยินดีจันทร์ในอากาศ

    พุทธภูมิผู้ยินดีในเงาจันทร์ ปรากฏแก่พุทธภูมิผู้ยินดีจันทร์ในอากาศว่าเป็นคนเขลา แม้ปราชญ์ทั้งหลายก็กล่าวอย่างนั้น

    ความข้อนี้ เขียนเล่าไปให้ได้พิจารณาตน ว่า ตนเองนี้ ยินดีเพียงเงาจันทร์เท่านั้นหรือ? แม้รู้ว่าตนดำรงในฐานะคนเขลาก็พอใจแล้วหรือ? หากพอใจในความเขลาก็จะได้ผลอย่างคนเขลา

    การยืนนิ่งอยู่บนฝั่ง ผิวน้ำไม่กระเพื่อมแล้วเห็นเงาจันทร์นั้น ก็เปรียบเหมือนการได้ยินได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังเข้าก็เห็นเงาจันทร์ในน้ำ รู้สึกเหมือนเป็นของใกล้ แลเห็นชัดเจน แต่เมื่อใดก้าวลงน้ำ คือ เวียนเกิดไป ไม่มีพุทธศาสนาให้ได้ยินได้ฟัง เงาจันทร์ที่ชัดเจนในภพนี้ จะปรากฏเป็นความเอนไหวและอันตราธานไป ตราบที่ยังไม่เปลี่ยนทิฏฐิเสียใหม่ ก็จะวนเวียนพบผลอย่างนั้นเสียเท่านั้นคือความล้มเหลว

    เขียนไว้เผื่อท่านผู้จะได้สติแล้วเปลี่ยนทิฏฐิทัน ส่วนท่านผู้ยืนกรานว่าตนวิเศษนั้น ไม่ใส่ใจจะให้ธรรมเหล่านี้ เพราะหูอันนั้น มันสกปรกเกินกว่าจะฟังธรรม
     
  9. ศดานัน

    ศดานัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    893
    ค่าพลัง:
    +651
    ทราบว่าน้องชาย น้องสาวพี่ สบายทั้งกายและใจกันดีอยู่
    เท่านั้น พี่ก็พลอยสบายใจไปด้วยแล้ว

    ส่วนเรื่องอื่นๆประสาอะไรก็ตาม น้องจะระบายสิ่งใดทางตัวอักษรก็ตามแต่ใจ
    พี่ก็ตามอ่านเงียบๆบ้างและให้กำลังใจดังที่แล้วๆมาบ้าง

    ปรารถนาจะทำสิ่งใด ก็เป็นสิทธิโดยปัจเจกทุกประการ
    หากตั้งอยู่ในธรรมไม่เบียดเบียน ทางกาย วจี และใจแก่ผู้ใด
    หรือแม้กระทั่งตนเองก็เพียงพอแล้วจ้ะ....

    ขอให้ธรรมคุ้มครองรักษาน้องๆของพี่โดยตลอดนะคะ
     
  10. รณภพ

    รณภพ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ขอต่อนิดนึงเรื่อง อากาศ น้ำ เน่า เงา และจันทร์

    และแล้วชายหนุ่มผู้ปรารถนาจะเข้าถึงซึ่งดวงจันทร์ ก็มาถึงยังจุดหมายปลายทาง แต่เขาผู้นั้นก็ได้พบกับความผิดหวัง พระจันทร์ที่เขาหวังไขว่คว้ามาตลอดจนกระทั่งมาในวันนี้ เขาได้มายืนเหยียบอยู่ภายใต้ฝ่าเท้าทั้งสองของเขาเอง เป็นแค่ดวงดาวที่แห้งแล้งมืดมิดไร้ความสว่างสวยงามน่าชม ไม่เหมือนกับจันทร์ในอากาศที่เฝ้ามองดูอยู่ทุกคืน

    และเขาก็พบว่าตัวเองก็ไม่ได้ต่างอะไรกับบุคคลคนที่เฝ้ามองจันทร์ในหนองน้ำเลย คาดหวังกับสิ่งที่ผิดๆ คุณค่าและความสวยงามที่แท้จริงของดวงจันทร์ไม่ได้อยู่ที่ตัวมันเอง แต่อยู่ที่แสงของมันต่างหาก และไม่ใช่แสงของตัวมันเองแต่เป็นแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ที่ส่องมากระทบกับพื้นผิวของดวงจันทร์

    เฉกเช่นวิธีการที่จะเข้าถึงพุทธภูมิหรือทำอย่างไรเพื่อจะเป็นพุทธภูมิ จะมีประโยชน์อันใดเล่าที่มาถกเถียงถึงวิธีการที่จะไขว่คว้าไปให้ถึงสิ่งที่คาดหวัง ประโยชน์อันใดที่ว่ากล่าวว่าผู้อื่นเป็นคนเขลาและยกตนเป็นปราชญ์

    โดยที่แท้จริงก็เป็นคนตาบอดคลำช้างเหมือนกัน ตนเองยังไม่รู้ ว่าสิ่งนั้นจริงๆมันคืออะไร จะมีประโยชน์อันใดที่กล่าวข้อความอันสวยหรูเพียงเพื่อให้ฟังคล้ายกับพุทธพจน์ ในเมื่อความจริงมันไม่ใช่

    เปรียบเมื่อกับน้ำเน่าที่ส่องสะท้อนแสงจันทร์ จนตัวของน้ำเน่าเองคิดว่ามันก็คือพระจันทร์อีกดวง ซึ่งก็พออนุโลมได้หากมองแต่ไกลๆ ก็ดูสวยสดงดงามดีเสมือนกับมีพระจันทร์ 2 ดวงจริงๆ แต่เวลาเข้าใกล้ก็จะรู้ว่าไม่ใช่เพราะมัน....เหม็นเหลือเกิน
     
  11. phoenix

    phoenix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2004
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +144
    มนุษย์เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ โดยเฉพาะพุทธภูมิต้องเรียนรู้ทั้งด้านดีและด้านเลวเนื่องจากในชาติสุดท้าย จะเป็นครูที่ต้องสอนให้ละชั่ว กระทำดี ที่สุดคือการกำจัดอาสวะเพื่อหลุดพ้น การที่จะบอกว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนเลวต้องมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งนั้นอย่างแตกฉาน โดยเฉพาะสายปัญญาธิกะที่มีเวลาสร้างบารมีน้อย จึงต้องคลุกคลีทั้งคนดีและคนเลว การหลีกเร้นเพื่อพบผู้มีปัญญาในป่าหรืออยู่ในเมืองเพื่อเรียนรู้เป็นกิจที่ต้องทำทั้งสิ้น ถามว่าคนในเมืองหรือในป่าใครหลุดพ้นง่ายกว่ากัน ในเมืองย่อมหลุดพ้นได้ยากกว่าและมีจำนวนมากกว่า ภาระที่สำคัญของพระพุทธเจ้าคือสอนให้คนทำดี ละชั่ว กำจัดอาสวะให้สิ้นไป หากการสร้างบารมีส่วนใหญ่อยู่ในป่า จะเรียนรู้ว่าคนในเมืองมีความคิดความเชื่ออย่างไร จะต้องสอนอย่างไรจึงตรงกับจริตของมนูษย์ที่มีมากมายให้เขาเหล่านั้นหลุดพ้นได้ในที่สุด ผมว่าการปรารถนาในพุทธภูมิก็เหมือนกับการที่เราอยากเรียนเป็นแพทย์ วิศวะ ฯลฯ ซึ่งแต่ละสาขาก็มีหลักสูตรของตนเองที่อาจเหมือนและแตกต่างกัน พุทธภูมิเช่นกันต้องมีหลักสูตรในการเรียนรู้ มิฉะนั้นจะแบ่งเป็น๓สายได้อย่างไร ยกเว้นไว้แต่พระพุทธเจ้าพระองค์แรกเท่านั้น(องค์ปฐม)ที่เรียนรู้อย่างยาวนาน แต่เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว จึงกำหนดแนวทางการสร้างบารมีเป็น๓แนว มีวิริยธิกะเป็นต้น แต่ละแนวทางมีหลักสูตรเป็นของตนเอง และมีการสอนโดยครูที่ดีที่สุดในโลกตามที่ท่านกล่าวไว้และผมเห็นด้วย ท่านเหล่านั้นจะเป็นผู้ที่ให้คะแนนว่าในชาติต่างๆที่มาสร้างบารมีนั้นผ่านหรือไม่ ถ้าไม่ผ่านก็มาสร้างใหม่ในชาติต่อมาจนกว่าจะผ่าน อันมีบารมี๓๐ทัศ เป็นแกนหลักคู่กับการเรียนรู้อุปนิสัยของสรรพสัตว์ บางท่านว่ามี ๘๔๐๐๐ อูปนิสัยหลัก มีทั้งด้านดีและชั่ว ทุกข์และสุข พระองค์เล่าให้สาวกฟังอยู่เสมอว่าแพระองค์เป็นพระโพธิสัตว์แต่พระองค์ก็ตกนรกอยู่หลายชาติ และล่วงเกินพระพุทธเจ้าบางพระองค์ทำให้พระองค์แม้จะตรัสรู้แล้วก็ยังได้รับผลกรรมอยู่ (หาอ่านได้ในพระไตรปิฏก)
    ทุกคนปรารถนาในพุทธภูมิได้ แต่จะมีสักกี่คนที่ทนต่อการเรียนรู้ในบารมี เมื่อมีคนปรารถนาในพุทธภูมิย่อมกระเทือนถึงพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วในอดีต พระองค์ย่อมทรงทราบโดยอนาคตังสาญาณของพระองค์ว่าผู้นั้นที่สุดแล้วจะบรรลุหรือไม่ ถ้าบรรลุก็จะมีผู้ที่จะดูแลประคับประคองจนสำเร็จ แต่ถ้าดูแล้วไม่สำเร็จก็อาจให้พระอรหันต์ที่มีเวรกรรมเกี่ยวพันกับผู้นั้นดูแลจนบรรลุอรหันต์ในยุคพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เราอาจได้ยินว่าคนนั้นลาพุทธภูมิ คนนี้ลาแล้ว แท้จริงแล้วลาได้ จริงหรือในเมื่อผู้นั้นแค่เป็นคนที่อยากเป็นพระพุทธเจ้าแต่ไม่สามารถที่จะเป็นได้ตั้งแต่ต้น เหมือนคนที่อยากเป็นแพทย์ แต่สอบเข้าเรียนไม่ได้หรือเรียนไม่จบแต่มาบอกว่าจะลาออกจากการเป็นแพทย์ ฟังแล้วคิดอย่างไร กับคนที่เรียนจบแพทย์แต่เจองานหนักก็อาจบ่นว่าลาออก แท้จริงแล้วก็ไม่สามารถลาออกจากการเป็นแพทย์ได้
    คุณอาวรณะกล่าวไว้ว่าพุทธภูมิเหมือนจันทร์บนฟ้าและในน้ำ พุทธภูมิแท้จริงย่อมค้นพบได้ว่าจันทร์แท้จริงอยู่บนฟ้าผมว่ากว่าจะคิดได้อาจโดดลงน้ำหลายรอบแล้วจึงพิจารณาที่สุดพบว่าแท้จริงอยู่บนฟ้า ผู้มีปํญญาแก่กล้าเท่านั้นที่เห็นคนโดดน้ำแต่ไม่ได้จันทร์จึงมาพิจารณาจึงพบว่าจันทร์อยู่บนฟ้า เช่นเดียวกับพระมโหสถที่พบว่า แก้วมณีอยู่บนต้นไม้ไม่ใช่ในน้ำ หลังจากดูพราหมณ์ทั้ง๔วิดน้ำอยู่หลายรอบ ดังนั้นจึงเป็นข้อสรุปได้ว่าการอยู่ในหมู่คนไม่ว่าจะในเมืองหรือในป่าก็เกิดปัญญาได้อยู่ที่ว่าเราจะใช้หรือเห็นประโยชน์ของสภาวะนั้นๆหรือไม่ ทำวิกฤติเป็นโอกาสหรือไม่ พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า สิ่งที่พระองค์รู้เหมือนใบไม้ในป่า แต่ที่พระองค์สอนเหมือนใบไม้ในมือ พระองค์สอนเฉพาะธรรมะที่ทำให้หลุดพ้น แต่ไม่สอนใบไม้ในป่าเพราะไม่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น ซึ่งมีมากมาย ไม่มีใครทราบว่าทำไมพระองค์ต้องเรียนรู้ใบไม้ในป่าที่ไม่ทำให้หลุดพ้นตั้งมากมายเช่นนั้น??
    หากลำดับจาก ข้อมูลมาสังเคราะห์เป็นข่าวสาร จากข่าวสารมารวบรวมเป็นความรู้ จากความรู้เมื่อมีมากใช้บ่อยเกิดเป็นปัญญา จะเห็นได้ว่ากว่าจะเกิดปัญญาได้ต้องใช้ข้อมูลอย่างมากมาย ในที่สุดก็จะรู้ว่าข้อมูลไหนมีประโยชน์เพียงใด ทุกปัญหาเป็นที่เกิดของปัญญาทั้งสิ้น ปัญหายิ่งมากหากแก้ไขได้ปัญญายิ่งเกิดและเป็นตัวรู้ที่ติดอยู่ในวิญญาณไปทุกภพทุกชาติ
    ผมยังยืนยันว่าการอยู่ในคนหมู่มากย่อมเกิดการเรียนรู้และปัญญา การโต้ตอบแลกเปลี่ยนความคิดย่อมทำให้เกิดปัญญาเหมือนกับผมซึ่งอาจไม่รู้จักใครเลยในเว็บนี้ แต่ผมก็ได้แสดงความเห็นแลกเปลี่ยนความคิดกับใครก็ไม่รู้ แต่สุดท้ายผมได้ปัญญา เพราะผมไม่คิดจะเอาชนะในความคิด แต่ผมเลือกที่จะเรียนรู้ แม้ว่าความคิดบางคนอาจแตกต่างกับความคิดของคนส่วนใหญ่ เช่น คุณtelwada หรืออีกคนหนึ่งที่ใช้ชื่อว่าศรีอาริยะ (ทำนองนี้จำไม่ได้) ซึ่งหลายท่านก็โต้ตอบอย่างดุเดิอด อ่านแล้วสนุกดี แต่ถ้าพิจารณาตามทั้งหมดก็อาจได้ความคิดดีๆได้ จริงไหม
    ใครมีความเห็นแย้งหรือความเห็นอื่นใดก็ขอให้แสดงความเห็นได้เลย ยินดีรับฟังครับผม
     
  12. อาลยะ

    อาลยะ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ทิฏฐิเขลาๆ

    พระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย

    ในเรื่องความเห็นผิดๆที่จะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในระยะเวลาอันใกล้ในก่อนนั้นก็กล่าวไปแล้วว่าเป็นความปรารถนาของคนเขลา ส่วนความเขลาอีกอย่างหนึ่ง ก็คือการปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย

    ผมเคยได้ยินได้ฟังมามากหลายคนอยู่ที่ปรารถนาจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายก็เลยเกิดปัญหาเข้ามาว่า

    เอ... ในคนเหล่านั้น ต่างคนก็ต่างจะเป็นองค์สุดท้ายกันทั้งนั้น แล้วใครจะได้สำเร็จเป็นองค์สุดท้ายกันนี่ เพราะ ไอ้คนโน้นก็คิดว่าให้แกตรัสรู้ก่อน อีกคนก็ว่าแกก่อนๆ มัวแต่เกี่ยงกัน ที่สำคัญ เท่าที่ได้ยินมา ไม่ได้มีแค่สองคน หากแต่มีมากกว่านั้นเสียด้วย

    สมมติว่า ท่านผู้ปรารถนาสำเร็จเป็นองค์สุดท้ายนี้ เอาปัญหาไปไต่ถามท่านพุทธภูมิผู้คล่องมโนมยิทธิซึ่งสามารถขึ้นไปถามพระพุทธเจ้าในนิพพานได้ว่า ท่านองค์นั้น อีกกี่ชาติจึงจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า แต่เว้นคำว่าองค์สุดท้ายไว้ในใจนะครับ...จะได้คำตอบอย่างไร

    น่าสนุกเหมือนกันนะ บังเอิญว่าผมไม่ได้เป็นคนผู้นั้น จึงไม่อาจจะพิสูจน์ได้ว่า คนที่พยากรณ์นั้น จะพยากรณ์ออกมาเป็นประการใด..

    สมมติว่า เขาพยากรณ์ว่า ความปรารถนาของคุณ ไม่สำเร็จหรอก.... จะคิดเห็นอย่างไรต่อไปดี
    หรือ
    หาก เขาพยากรณ์ว่า ความปรารถนาของคุณจะสำเร็จแน่ คือ คุณเหลืออีก 2,000 ชาติ ก็จะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า และ ทีนี้ ก็มีอีกคนหนึ่ง ไต่ถามไปเหมือนกัน แล้วคนนั้นถูกพยากรณ์มาว่า เหลืออีก 3,000 ชาติก็จะสำเร็จ.... นี่จะหมายความว่าอย่างไร ก็ย่อมหมายความว่า คุณไม่ได้สำเร็จตามปรารถนาน่ะสิ เพราะที่ในใจ จะขอเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย แต่ในความพยากรณ์ กลับเห็นตนเอง ตรัสรู้ก่อนอีกคนตั้งนาน นั่นแสดงว่า ในภายหลัง คุณก็ต้องได้เปลี่ยนอธิษฐานสินะ ไม่งั้น คงไม่ตรัสรู้ในอีกสองพันชาติ

    บังเอิญว่า ไม่มีผู้ที่มีคุณสมบัติอย่างนี้เข้ามาเปิดเผยธรรมนี้ให้ได้รู้ว่า ท่านลองไต่ถามคนเมืองบัวดูนะครับ คือ ท่านที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายน่ะครับ ให้ไต่ถามคนเมืองบัวว่า ท่านอาจารย์ช่วยถามพระพุทธเจ้าให้หน่อย ว่า ความปรารถนาของผมจะสำเร็จไหม? และอีกนานเท่าใด ผมจะได้เป็นพระพุทธเจ้า... คนเมืองบัวตอบมาว่าอย่างไร ก็ให้ท่านทรงจำมาอย่างนั้น แล้วนำมาโพสต์ให้สหธรรมิกพุทธภูมิได้อ่านกันว่า ท่านทั้งหลาย ผมปรารถนาจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้าย จึงไปไต่ถามอาจารย์คนเมืองบัวมา ได้ความว่า ความปรารถนาของผม สำเร็จ/ไม่สำเร็จ ที่ว่าสำเร็จคือ จากนี้ไปอีก ....... ชาติ ผมจะได้เป็นพระพุทธเจ้า.

    มีปัญหาถามพระโพธิสัตว์องค์สุดท้ายว่า เอ... ในยุคของท่านนั้น จะมีสัตว์ผู้บังเกิดในนรกในโลกไหมครับ? จะมีสัตว์ดิรัจฉานไหม? จะมีมนุษย์ทุคตะ ยากจนเข็ญใจไหม? จะมีคนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิบ้างไหม? จะมีพระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าภายหลังจากท่านอีกไหม? จะมีภพภูมิต่างๆครบถ้วนเหมือนยุคสมัยนี้ไหม? จะมีสัตว์ในจักรวาลอื่น แกแล็กซี่อื่นอยู่ไหม? สัตว์ในเวลานั้นทั่วทั้งธรรมธาตุ มีอยู่กี่มากน้อยครับ....?

    ในปัญหาแรก หากท่านตอบว่า ในสมัยนั้น ยังมีสัตว์ผู้บังเกิดในนรกอยู่ ท้ายที่สุดแม้โลกันตนรกก็มิได้ว่างเว้นจากสัตว์ผู้ไปเกิดอยู่เลย...... ผมก็จะถามว่า แสดงว่า ในยุคนั้น ท่านมีปัญญายิ่งทีเดียวใช่ไหมครับ คือ สามารถจะสั่งสอนสัตว์ในนรก ให้ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้เสียทุกตัวตน เหตุเพราะว่า หากยังหลงเหลือสัตว์ค้างโลกไว้อยู่ตราบใด สัตว์ผู้ปรารถนาพุทธภูมิก็จะยังมีปรากฏอยู่ตราบนั้น เมื่อเป็นอย่างนั้น ความเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายของท่านก็จะไม่ปรากฏเป็นจริงได้เลย..

    แม้ปัญหาทำนองนี้ ก็ไต่ถามมาโดยลำดับว่า แล้วสัตว์ในอเวจีมหานรกล่ะ ในนรกขุมอื่นๆล่ะ มีไหม? ท่านจะสอนเขาให้เข้านิพพานได้จนหมดใช่ไหมครับ? แล้วจะสอนเขาอย่างไร? คือว่า จะสอนให้เขาพ้นจากนรกก่อน แล้วก็รอคอยให้เขามาเกิดในมนุษย์นี้ ให้เขาเปลี่ยนจากมิจฉาทิฏฐิก่อน แล้วจึงจะแนะนำใช่ไหมครับ? แล้วท่านต้องมีอายุขัยรอคอยสัตว์ตัวนั้นๆ นานแค่ไหนครับ? ท่านดำรงอยู่ตลอดกัปป์ จะสามารถรื้อขนสัตว์ในนรกได้ทั้งสิ้นไหม? หากขนได้แล้ว เขาจะเวียนไปสู่ความเป็นคนเลวได้อีกไหม? หากว่าเขายังจะเวียนไปสู่ความเป็นคนเลวได้อยู่ ก็มีหวังที่เขาจะลงสู่นรกได้อยู่อีก แล้วแบบนี้ อีกนานเท่าใด ท่านจึงจะขนสัตว์ไปหมดโลก เพื่อให้ได้เป็นพระสัมพุทธะองค์สุดท้ายล่ะครับ

    เมื่อพิจารณาด้วยปัญญาในปัญหาเหล่านี้แล้ว เพียรพยายามอยู่เพื่อจะตอบปัญหาอันยังไม่เกิดนั้นให้สอดคล้องรัดกุม ไม่ขัดแย้งในเหตุในผลได้ ก็เป็นอันว่า เป็นฐานะที่จะทำให้สำเร็จได้ แต่เมื่อพิจารณาแล้วอย่างนี้ไปโดยลำดับ ท่านก็จะเห็นอย่างชัดเจนว่า มันเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้เลย ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ที่จะขนสัตว์ทั้งนรกให้ขึ้นนิพพานได้ ... แล้วประสาอะไรกับสัตว์หมดวัฏฏสงสาร ทั่วทั้งธรรมธาตุอันนี้

    ด้วยเหตุอย่างนี้ ทิฏฐินี้ จึงนับเป็นเพียงทิฏฐิเขลาๆเท่านั้น ไม่มีเหตุปัจจัยเลยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้ตามเป็นจริง บุคคลใด แม้พิจารณาเห็นความเป็นไปไม่ได้อยู่ แล้วยังทะลึ่งปรารถนา ชื่อว่าเป็นความปรารถนาของคนเขลา คนเช่นนั้น ไม่ควรแก่คำยกย่องสรรเสริญเลยว่าประกอบไปด้วยปัญญา แม้แต่ตนเองยังไม่มีปัญญาจะแยกแยะฐานาฐานะแล้ว จะแยกแยะของจริงออกจากสิ่งลวงได้อย่างไร แล้วจะเข้ารู้อริยสัจจ์อันเจริญได้ตามเป็นจริงได้อย่างไร? เมื่อไม่รู้ความจริงอันเจริญแล้ว จะถืออะไรมาปฏิญาณตนว่าเป็นพระพุทธเจ้าได้ แล้วจะเอาอะไรสอนโลก ....

    เปรียบโพธิญาณเหมือนต้นไม้ที่จะออกดอกออกผลได้ในระยะกาลอันหนึ่งนับแต่เมล็ดงอกรากหยั่งดินแล้ว สมมติว่า พืชชนิดนั้น อย่างเร็ว 4ปีให้ผล อย่างกลาง 8ปี อย่างช้าสุด 16ปีก็จะออกผล หากยาวนานไปกว่านั้น ทำนายได้เลยว่า พืชชนิดนั้นไม่ออกผล ทำนองนี้ หรือว่า หากเร็วกว่านั้น ก็ทำนายได้ว่า พืชต้นนั้นไม่ออกผลแน่ ทำนองนี้ สมมติเป๊ะๆนะครับ

    การปรารถนาสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าของบุคคลบางเหล่า ด้วยหมายว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าเสียเร็วๆ เร็วกว่าระยะกาลที่สัพพัญญุตญาณจะออกเป็นผล ผลสำเร็จนั้นก็จะไม่ปรากฏได้เลย ความเห็นของบุคคลอย่างนั้น นับเป็นความเขลาประการแรก

    ส่วนการปรารถนาสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในระยะที่ช้ากว่านั้นมากๆ ก็นับเป็นความเห็นผิดประการที่สอง

    ธรรมดา เวลาพระพุทธเจ้าพยากรณ์พระโพธิสัตว์ ท่านย่อมตรวจดูในระยะเวลาประมาณนั้นเองว่า บุคคลนี้ จะสำเร็จได้ในอีก 16อสงไขยแสนกัปป์ไหม? 8อสงไขยแสนกัปป์ไหม? 4อสงไขยแสนกัปป์ไหม? เมื่อเห็นว่าไม่ปรารกฏความสำเร็จในระยะนั้นๆ ท่านก็จะไม่พยากรณ์ เหมือนกับว่า เมล็ดพืชนั้นแม้แต่จะปักลงดินอันเหมาะแก่การงอก ก็ยังไม่ปรากฏคือ ยังเก็บเมล็ดไว้ในยุ้งฉางอยู่เลย หรือ ถึงจะปักลงดินแล้ว ก็ยังไม่งอกรากออกมาให้ปรากฏ เมื่อนั้น จึงไม่อาจจะทำนายได้ว่า ความสำเร็จจะมีแน่นอนหรือไม่?

    พระโพธิสัตว์ผู้ยืนล้อมสระน้ำเน่าเฝ้าจะถึงเงาจันทร์ ทั้งๆที่จริงปรารถนาจะถึงซึ่งดวงจันทร์ตามเป็นจริงนั้น ก็อุปมาเหมือนเมล็ดพืชที่ยังไม่ได้งอกราก ไม่ว่าเก็บไว้ในฉางหรือปักลงดินแล้ว หรือวางไว้บนแผ่นหินก็ตาม ล้วนแต่ยังเป็นแต่นามว่า เป็นเมล็ดพืชเท่านั้น ยังไม่รู้ความสืบต่อว่า เมล็ดพืชนั้นจะเจริญเติบโตไปจนถึงวาระที่จะออกดอกออกผลแล้วผลิตเมล็ดพืชรุ่นต่อๆไปหรือไม่...

    ส่วนพระโพธิสัตว์เหล่าใด ไม่ว่าในอดีตจะเคยยินดีในสระน้ำเน่านานเท่าใดก็ตาม นับแต่การผละออกจากสระน้ำเน่ากับเงาจันทร์แล้ว ใจเขาก็มุ่งตรงต่อจันทร์กลางฟ้า ชื่อว่า เป็นเมล็ดพืชที่รากงอกในผืนดินอันอุดมแล้ว นั่นคือ พระพุทธเจ้าก็พยากรณ์เขาแล้ว เมื่อพยากรณ์ไว้ เหล่าสัตว์โลกก็จะบำรุงเลี้ยงพืชต้นนั้นให้เติบโตไปโดยลำดับ ด้วยน้ำด้วยปุ๋ยคือศรัทธาและความช่วยเหลือทุกประการ ประคับประครองกันไป จนพืชนั้นเพิ่มใบเพิ่มกิ่ง ใหญ่โตไปเป็นลำดับ จนออกดอกออกผล ให้ร่มเงาแก่ผู้ต้องการร่มเง ให้อาหารแก่ผู้ต้องการอาหาร และผลิดเมล็ดพืชรุ่นถัดไปอีก คือการทำพุทธพยากรณ์แก่พระโพธิสัตว์รุ่นต่อๆไป

    พระโพธิสัตว์ผู้ผ่านพุทธพยากรณ์มาตามเป็นจริงแล้ว จะมีทิฏฐิอย่างนั้น แม้เดินผ่านหนองน้ำ แลเห็นเงาจันทร์ เขาก็จะเกิดสติว่า เขาจะไปให้ถึงจันทร์บนฟ้า ส่วนจันทร์ในหนองน้ำ เป็นแต่เพียงเงา เมื่อเห็นแล้วเกิดสติ ให้ระลึกถึงการงาน ทำให้เกิดอุตสาหะเท่านั้นเอง

    บุคคลผู้ปรารถนาพุทธภูมิท่านใดก็ตาม จะยืนรอบหนองน้ำหรือว่า มุ่งไปสู่จันทมณฑลตามเป็นจริงก็ตาม เมื่อได้อ่านธรรมเหล่านี้แล้ว หากปรารถนาให้เกิดผลสำเร็จในปรารถนาของตนจริง พึงสอบทานธรรมภายในของตน หากเปลี่ยนทิฏฐิให้ถูกให้ตรง ก็แสดงว่าเมล็ดพืชท่านงอกแล้ว หากท่านยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์มาแต่พุทธสำนักไหน ท่านจะได้รับพุทธพยากรณ์ในสำนักพระเมตไตรยพุทธเจ้าแน่นอน

    แต่ เมื่อท่านระลึกรู้ถึงความเขลา ความไม่รอบคอบของตนแล้ว ยังคงยินดีอยู่กับทิฏฐินั้น ท่านก็พยากรณ์ตัวท่านได้ว่า เมื่อท่านเกิดไปในภพหน้า ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็จะยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์ จนกว่าจะประกอบด้วยทิฏฐิอันตรง บ่ายหน้าให้ถูกให้ตรงเสียก่อน

    ท่านทำความเพียรทุกประการโดยอิงความปรารถนานั้นมิใช่หรือ? หากท่านไม่ต้องการความสำเร็จ แล้วจะปรารถนาไปเพื่อประโยชน์อันใด? หากท่านปรารถนาความสำเร็จแล้ว สิ่งใดที่ท่านปรับเปลี่ยนแล้วจะนำไปสู่ความสำเร็จ ก็ควรแก่การปรับเปลี่ยนไม่ใช่หรือ? การถือตัวถือตนว่าตนเยี่ยมยอดแล้ว ไม่ฟังคำของใครๆเลย ยึดมั่นถือมั่นอยู่แต่กับเฉพาะบุคคลคนเดียวว่า คนนี้เท่านั้นรู้จริง เหตุเพราะเขาประกาศว่าเขาได้อภิญญา และปากกล้าพอจะกล่าวสิ่งอันเกินวิสัยตนอยู่.. ส่วนคนอื่นๆ ไม่รู้จริง อย่างนี้ชื่อว่าเป็นทิฏฐิที่นำความเจริญมาสู่ตนละหรือ

    ผมจะวิเศษหรือไม่วิเศษไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สำหรับสิ่งอันควรแก่ผู้ปรารถนาพุทธภูมิคือการเรียนรู้ธรรม การแสดงธรรมของผม ก็เพื่อประโยชน์นั้น ท่านฟังธรรมของผมแล้วเกิดสติ ก็ไม่ได้หมายว่าท่านมาซูฮกผม มาเป็นสาวกผมก็หามิได้ เพราะผมไม่ได้ต้องการบริวาร ผมไปแต่ตัวเองคนเดียวเท่านั้น เอาใครไปด้วยไม่ได้ หากใครจะไปก็ไปใครไปมัน

    พิจารณาดูว่า คนที่ทรงอภิญญานั้น ที่เขารู้จริงเห็นจริงนั้น เขาโอ้อวดว่าเขามีเขาเป็นเสียโดยมาก หรือว่าเขาเก็บเงียบไว้เสียโดยมาก

    วันดีคืนดี หากท่านพุทธภูมิทั้งหลายได้พบกับพระอภิญญาผู้มีกำลังมาก หรือว่าโยมอภิญญาผู้มีกำลังมากแล้ว ท่านจะรู้แยกแยะหรือว่า ท่านเหล่านั้นทรงญาณอันยิ่ง จะมารอให้เขาป่าวประกาศว่า ท่านเอ๊ย ผมมีฤทธิ์ ผมมีตาทิพย์หูทิพย์ ระลึกชาติได้ตลอดร้อยกัปป์ร้อยกัลป์หรือเป็นอสงไขยๆ สามารถไปนิพพานได้ คลุกคลีกับพระพุทธเจ้าประดุจเพื่อนสนิทหรือว่าดุจพี่กับน้อง พ่อกับลูก ศิษย์กับอาจารย์..แล้วจึงจะเชื่อหรือว่า เขารู้ นั่นจะไม่โง่เขลาไปหน่อยหรือ?

    วันดีคืนดี หากท่านได้พบกับพระมหาโพธิสัตว์ผู้มีบารมีมาก ท่านจะถามหาฤทธิ์จากเขาก่อนหรือจึงจะเชื่อธรรมที่เขากล่าว ความฉลาดในการแยกแยะบุคคล นั่นเป็นกิจของท่านเองต่างหาก ไม่ใช่กิจของผู้แนะนำ ปัญญามีประโยชน์แก่พุทธภูมิก็ตรงนี้ล่ะ คือแยกแยะสิ่งต่างๆได้มแม่นยำไปตามธรรม

    ถามเอาจริงๆเถอะว่า ในโลกนี้ ในบรรดาพระโพธิสัตว์ คนเมืองบัวนั้นเลิศที่สุด ญาณของคนเมืองบัว ไม่มีผิดเพี้ยนผิดพลาดไปได้เลยหรืออย่างไร?

    ก็หากว่า คนเมืองบัวไม่ผิดพลาดผิดเพี้ยนได้เลยแม้แต่นิดเดียว ก็ควรจะเรียกว่า คนเมืองบัวพุทธะได้ และก็ควรจะประกาศความต่อคนเมืองบัวว่า คนเมืองบัวพุทธัง สรณัง คัจฉามิได้

    แต่ เพราะความที่ธรรมในปัจจุบัน คนเมืองบัวยังมีความรู้ไม่เต็ม ยังมีความรู้บางส่วนผิดพลาด บางส่วนถูกตรง

    การพยากรณ์จากคนเมืองบัว หากว่าพยากรณ์แล้ว มาถูกส่วนที่เป็นข้อผิดพลาดของญาณของคนเมืองบัวเอง แล้วมันควรแก่ความเชื่อถือหรือ? หากว่าผิดพลาดในข้อนั้น มันเป็นข้อที่น่าติเตียนสำหรับคนเมืองบัวไม่ใช่หรือ?

    ผมฟันธงได้ว่า คนเมืองบัวไม่ใช่พระสัมพุทธเจ้า คนเมืองบัวมีความรู้แต่ก็ ยังมีส่วนแห่งความผิดพลาดของความรู้อยู่ การพยากรณ์ความสำเร็จในพุทธภูมิใดๆจากคนเมืองบัว จึงไม่สมควรแก่ฐานะของคนเมืองบัว จะกล่าวว่าคนเมืองบัวกำลังเหยียบหัวพระพุทธเจ้าก็กล่าวได้ด้วย เพราะอาการอย่างนั้นมันคือการวางท่าเสมอพระพุทธเจ้า

    แต่หากกล่าวอย่างนี้กับเขา เขาก็ว่า เขาไม่ได้ตีเสมอ เพราะเจตนาสักนิดก็ไม่มี นั่นจริงๆล่ะ เขาก็กล่าวแล้วว่า เขาไปถามพระพุทธเจ้ามาจากนิพพาน เพราะอาศัยมโนมิยิทธิพาไป .... นั่นก็แสดงว่า เขากล่าวตู่ไปยังพระพุทธเจ้า เพราะความที่ปัจจุบัน ไม่มีใครรู้ว่าพระพุทธเจ้าไปอยู่ไหน? ครั้นจะนำคำพยากรณ์ของคนเมืองบัวไปตรวจทานกับพระพุทธเจ้า ก็ทำไม่ได้อีก.... จึงไม่รู้ว่า คนเมืองบัวกล่าวตู่ไหม?

    เขาก็แนะนำมาอีกว่า ให้ฝึกมโนมยิทธิ แล้วไปถามพระพุทธเจ้าในนิพพาน นั่นล่ะ ข้ออ้างอันควรเชื่อถือ..

    จะกล่าวไปจริงๆแล้ว หากว่ามีผู้ได้มโนมยิทธิ แล้วพยากรณ์มาไม่ตรงกับคนเมืองบัว คนๆนั้นก็เป็นอันว่าได้มโนมยิทธิปลอมสิ เป็นการคิดเองเออเองสิ

    ปัญหาอย่างนี้ คนที่จะโง่ก็โง่อยู่ หลับหูหลับตาเชื่อไปอย่างไม่อาศัยเหตุอาศัยผลให้สมกับการเกิดเป็นคนพุทธ หลับตาเอาหัวชนฝาไปอย่างนั้นเอง ขนาดเกิดมาพบธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังเห็นอย่างนี้ ในอัตภาพต่อๆไป ไม่มีพระพุทธศาสนาเข้า จะยิ่งไม่แย่หรือ?

    กล่าวรวมๆก็คือว่า ผู้เขียนนี้ ไม่ได้ตำหนิเฉพาะคนเมืองบัว คือ ตำหนิคนที่มาพยากรณ์พุทธภูมิทั่วๆไปด้วยว่า ท่านผู้นั้นจะสำเร็จๆในอีกเท่านั้นเท่านี้ชาติ เพราะเป็นการไม่สมควรแก่ฐานะแห่งธรรมของตน

    เรื่องของผู้ปรารถนาพุทธภูมิ เรื่องของสัตว์โลก ใครจะปรารถนาอย่างไร มันก็ไม่ใช่เรื่องของผม ก็อย่างที่กล่าวไว้แล้ว ถ้อยคำเหล่านี้มีคติเป็นเหมือนตด ผมเคยกล่าวว่าคำของคนเมืองบัวในบางเรื่อง เป็นเหมือนผายลม แม้คำของผมก็ไม่ได้ต่างกันเลยในบางเรื่อง สิ่งใดผมกล่าวหาคนเมืองบัว สิ่งเหล่านั้นก็มีอยู่ในผมอยู่ ตำหนิคนเมืองบัวไป มันก็ย้อนเข้าผมเอง คนเมืองบัวไม่เดือดร้อน เพราะอย่างนั้น คนที่รักคนเมืองบัว ก็อย่าได้มาถือนามนี้เลย อาจบางที คำว่าคนเมืองบัวของผม ไม่ได้มุ่งหมายว่าเป็นบุคคลที่ชื่อคนเมืองบัวคนเดียวกับท่าน จุดมุ่งหมายผมก็ประกาศไว้แล้วว่า เขียนให้คาร์เมนไรเดอร์อ่าน ส่วนคนอื่นๆที่เข้ามาอ่านนั้น จะชอบใจไม่ชอบใจก็ดี ไม่ใช่เรื่องของผม เพราะไม่ได้เข้ามาเพื่อเถียงกับใคร เขียนขึ้นมาก็เพื่อให้ตนเองอาย คนอื่นทำผมให้อายไม่ได้ มีแต่ตัวผมเองนี้ล่ะที่จะทำให้ผมอายได้นะ

    ใครเขียนอะไรๆมา ย้อนเข้าตัวเองนะ จะบอกให้

    ตดที่จะตดก็ตดหมดแล้ว แม้มีเหลืออยู่ข้างใน ก็ไม่เกิดประโยชน์ที่จะกล่าวในที่นี้ ตดระลอกต่อไป จะไปตดในที่อื่นๆ ให้คนที่เขาชื่นชมในลมตดได้ดมตดไปทั่วกัน ให้มันสลบสไลไปทั่วเมืองเลย เพราะโลกอันนี้มันยินดีแต่ในมูตรในคูถ ตดก็เป็นเบื้องต้นแห่งคูถ แม้จะไม่ถึงใจเหมือนให้คูถ แต่ก็พอประทังความกระวนกระวายในเบื้องต้นไปได้

    ความจริงคิดว่า เขียนวางไว้ได้สักระยะจะเข้ามาลบออก แต่รู้สึกว่า เหมือนจะลบออกไม่ได้ จึงจำใจต้องได้วางไว้

    ไม่อยากวางไว้นานเลยธรรมของผม ตดมันก็ควรจะเป็นตด ระบายออกแล้ว ตั้งอยู่ระยะหนึ่ง ก็ควรจะให้สลายหายไป ไม่ควรให้ค้างวางไว้

    ขอร้องคาร์เมนไรเดอร์ก็ได้ นะไอ้มดเอกซ์นะ วางกระทู้นี้ไว้สัก 15 วัน แล้วช่วยลบออกให้หน่อยนะ

    วันนี้วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 ขอให้ลบให้ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2548 ได้ไหมครับ อย่าให้ใครๆได้เห็นรอยผมเลย เห็นเท่าที่เห็น อ่านเท่าที่อ่าน พอแล้ว

    ครุฑ
     
  13. ตัวเน่าแต่ไม่รู้

    ตัวเน่าแต่ไม่รู้ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ไร้สาระ

    หลงอ่านกระทู้ที่เขียนแบบอ่านไม่เข้าใจตั้งนาน สุดท้ายก็รู้จนได้ว่า เขียนกระทู้ขึ้นมาเพื่อว่าคนอื่นนั่นเอง คงไม่ต้องสรุปอะไร เพราะพฤติกรรมของเจ้าของกระทู้สรุปทุกอย่างอยู่ในตัวแล้ว คนมีปัญญาอย่างแท้จริงคงเห็นอยู่
     
  14. mikky

    mikky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    892
    ค่าพลัง:
    +577
    อืม อาจหักมุมเป็นองค์สุดท้าย ของแต่ละกัปป์ แต่ละอสไขย์
     
  15. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,763
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    สิ่งที่ไม่รู้ ก็ ได้ รู้
    สิ่งที่รู้ ก็ รู้ยิ่งขึ้น ได้เน้นย้ำ เทียบเคียง ขยาย
    สิ่งที่กังขา ก็ พิจารณาต่อไปครับ

    คำพูดข้อเขียนเป็นตดสำหรับบางคน และ เป็นอาหารเลิศรสสำหรับบางคน
    เวลาคนกินข้าว กระดูก เปลือก ก้าง ก็ต้องทิ้ง พอเคี้ยว กลืนสู่ท้อง ดูดซึมสารอาหาร ที่เหมาะกับตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2005
  16. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,763
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    ครับ 15 วัน ลบแน่ ที่เหลือ ก็เขียนเต็มที่เลย ครับ ไม่ต้องกังวล เอาแบบ สุดๆ ไปเลย ผมชอบ (bb-flower
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2005
  17. ammytr

    ammytr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +301
    http://www.konmeungbua.com/webboard/aspboard_Question.asp?GID=2994

    สังสัยจะคนเดียวกันนะครับ แยกร่างได้หลายชื่อ หลายนาม ตด ก็คือตด ครับ อย่าเอาธรรมของพระพุทธเจ้ามาอ้าง

    ธรรม เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์

    ตด ของคุณ ถ้ามันเป็นไปด้วยความเหม็น คุณก็อย่าเอา "ธรรม" ของพระพุทธเจ้ามาอ้าง


    "ไม่อยากวางไว้นานเลยธรรมของผม ตดมันก็ควรจะเป็นตด ระบายออกแล้ว ตั้งอยู่ระยะหนึ่ง ก็ควรจะให้สลายหายไป ไม่ควรให้ค้างวางไว้"

    สรุปก็คือมันเป็นตดของคุณเอง ธรรมที่คุณอ้างนั้นเป็นของคุณ คุณตรัสรู้เอง คุณก็อย่าอย่าพระพุทธเจ้ามาอ้างเลยครับ จะเป็นการปรามาส... เปล่า ๆ...
     
  18. รณภพ

    รณภพ บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ฝากให้อ่าน

    ฝากให้อ่าน กันลืม เพราะรู้สึกเจ้าของกระทู้จะมีครบ

    พระสูตร อจินติตสูตร

    [๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด

    เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการ เป็นไฉน

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ฌานวิสัย ของผู้ได้ฌาน ๑ วิบากแห่งกรรม ๑ ความคิดเรื่องโลก ๑

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความ
    เป็นบ้า เดือดร้อน ฯ

    ***********************
    ต่ำเตี้ยดอก จึงต่อ ให้ตีนสูง
    มิใช่ยูง อย่ามาเขียน ให้เห็นขัน
    เป็นหิ่งห้อย อย่าหมายแข่ง กับแสงจันทร์
    อย่ามาปั้น ให้หลงตะลึงเงา
     
  19. เถรี

    เถรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +6,511
    พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย....นิพพาน
    (f) หลวงปู่ทวด(f)
     
  20. Solotel

    Solotel Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +38

แชร์หน้านี้

Loading...