อยากรู้ว่า ขั้นแรกของการฝึก จิต ให้แข็งั้นทำอย่างไรครับ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย yurawet, 22 สิงหาคม 2005.

  1. yurawet

    yurawet สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +4
    ผมอยากรู้ว่าฝึกจิตให้เข้มแข็งทำอย่างไรครับ[b-wai]
     
  2. Vayokasinung

    Vayokasinung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +117
    1.ตั้งจุดประสงค์ จุดม่งหมายไว้ว่าจะฝึกจิตนานเท่าไร
    2.ทำตัว และเลือกสถานที่ๆเหมาะสม ชำระกายให้สะอาด สวดมนต์(ถ้ากลัว) แผ่เมตตา
    หายใจเข้าลึกลึ้ก 3-4ครั้ง(เพื่อปรับตัว)
    3.ปฏิบัติเลยทีนี้ คุณต้องการให้จิตแข็งนะ ตอนฝึกจิต ให้คุณลองนึกถึงสิ่งที่คุณกลัวที่สุด
    ตลอดเวลา จนคุณเลิกหรือหายกลัวได้ แล้วจะทำให้คุณรู้แจ้งด้วยปัญญาเองครับ
    ***ผมน่ะจะนึกถึงพวกผีปีศาจ ผมกลัวมากแรกๆ ผมกลัวจนไม่กล้านอนเลย ทีนี้ผมมาคิดว่า "เราจะกลัวไปไย สักวันเราก็ไม่พ้นความตาย สุดท้ายก็กลายเป็นแบบพวกมัน สักแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น" พอคิดได้อย่างนี้แล้วผมก็ทำสมาธิ(ฝึกจิต)ได้นานขึ้นครับ
     
  3. mini

    mini Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +35
    ถ้าหากเราจะฝึกจิต ไม่ใช่เพื่อความสงบ
    แต่เพื่อต้องการติดต่อกับผู้ที่อยู่อีกโลกนึง
    จะเป็นไปได้รึป่าวคะ
     
  4. Vayokasinung

    Vayokasinung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +117
    ไม่ทราบแน่ชัดครับ ผมว่าฝึกไปเรื่องๆ มันก็จะเกิดปรากฏการทางจิตคือ ติดต่อจากต่างดาวได้ หูทิพย์ ตาทิพย์ เป็นต้น...ครับ
     
  5. potisad

    potisad เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +103
    ผมอยากรู้ว่าฝึกจิตให้เข้มแข็งทำอย่างไรครับ

    ลองไปหาหนังสือ ของ พลตรีท่านหลวงวิจิตรวาทการ
     
  6. แคท

    แคท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +1,666
    การฝึกจิต มันมีขั่นตอน
    ใช้เวลา ค่ะ
    ส่วน ที่จะตามมา...คุณ จะรู้อดีต และอนาคต ติดต่อ กับสิ่งที่คนมองไม่เห็น
    แต่ทุกสิ่ง มันเป็นผล..พลอย ได้..
    จิต จะแข็ง หรือ ไม่ ขึ้นอยู่กับความอดทน
    หลวงตา ..สังวาล ขอโทษ หากเขียนชื่อ หลวงตาผิด ท่านฝึกในป่าช้า ใช้เวลา หกปี สำเร็จ
    แล้ว คุณ ..จะใช้เวลาเท่าไร สุดแล้ว แต่ วาสนา กับความ อดทน
    ขออนุโมทนา กับ ความ ตั่งใจ สาธุ
     
  7. sphvii

    sphvii สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +5
    จิตแข็งเป็นคำที่เรียกกันโดยทั่วไป แต่อันที่จริงจิตแข็งนั้นคือจิตที่อ่อนโยน อ่อนนุ่ม จนกระทั่งสามารถแทรกซึมไปในทุกสิ่งทุกอย่างได้ เท่าที่จิตนั้น ๆ จะสามารถแทรกซึมเข้าไปได้ และหากจิตมีความอ่อนโยนหรืออ่อนนุ่มจนสามารถบังคับได้ และแทรกซึมเข้าไปในสิ่งใดได้ ก็จะมีอิทธิพลเหนือสิ่งนั้น ๆ จะเข้าใจในสิ่งที่จิตเข้าไปถึง และเมื่อจิตมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นดีแล้วและมีอิทธิพลเหนือสิ่งนั้นแล้วจิตก็จะไม่กลัวโดยอัตโนมัติ รวมทั้งสามารถบังคับสิ่งนั้นๆ ให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ด้วยหากบารมีมากพอ
    วิธีฝึกก็คือ ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ คนโดยทั่ว ๆ ไปจะมาฝึกให้จิตแข็งกันได้ง่าย ๆ หากสภาพของจิตยังไม่พร้อมที่จะถูกบังคับได้ วิธิฝึกพื้นฐานคือคุณต้องกระทำการรักษาศิล (ไม่เบียดเบียนทุกชนิด) รวมทั้งการให้ทานเท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งทำให้คุณมีบารมีถึงแล้วคุณจะรู้ว่าร่างกายหยาบของคุณได้สัมผัสกับความละเอียดและจากนั้นพยายามบังคับร่างกายหยาบให้ละเอียดลงไปเรื่อย ๆ หรืออาจกระทำการฝึกจิตฝึกสมาธิกับสำนักใดหรือวิธีใดก็ได้ให้ถูกกับจริตของคุณ จะพบกับความละเอียดและความอ่อนนุ่มอย่างที่ไม่เคยพบในโลกวัตถุมาก่อน ถึงตอนนี้แม้คนที่ไม่เคยสนใจเรื่องสมาธิ จิตวิญญาณ นรกสวรรค์ ก็ตาม จะได้รับรู้ขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่จะสามารถมองเห็นหรือไปได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าบารมีและสมาธิที่สั่งสมมาว่ามีเพียงพอและละเอียดเท่ากับภพนั้น ๆ แล้วหรือไม่
     
  8. RYO

    RYO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2005
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +456
    ออกกำลังจิตสิ
     
  9. พลังเก่ง

    พลังเก่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +230
    ทำยังไงครับ
     
  10. พลังเก่ง

    พลังเก่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +230
    ทำยังไงครับ
     
  11. Nan Kulasart

    Nan Kulasart Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +34
    แล้วการที่เราสามารถรับรู้ หรือสัมผัส สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านี่ล่ะคะ เค้าจัดว่าอยู่ในระดับไหนแล้ว....มักจะรู้สึกว่ารับรู้ได้ถี่ขึ้น หลังจากที่ฝึกสมาธิมาึคะ
     
  12. นิรมิต

    นิรมิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +171
    เวลาทำงานวางแผนการทำงาน จิตกำหนดที่งาน...
    จิตอ่อน ฟุ้งซ่าน
    เดินจงกลม ก็ดีนะ หายไว
    จิตกำหนดที่เท้า
    พูดว่าซ้ายย่างหนอ....ก้าวเท้าซ้าย
    พูดว่าขวาย่างหนอ....ก้าวเท้าขวา
    ....................เดินไปเรื่อย ๆ ในบ้านก็ได้.....กี่รอบตามคุณต้องการ.....เดินเสร็จแผ่เมตตาด้วยนะ...
     
  13. vichian

    vichian เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2005
    โพสต์:
    8,164
    ค่าพลัง:
    +41,921
    ผมว่า ที่แนะนำมา ไม่น่าจะตรงประเด็นของการฝึกจิตนัก ก่อนการฝึกจิต ต้องมีองค์ประกอบดังนี้ครับ

    1.ผู้ฝึกจิต จะต้องหาจิตมาก่อน ถ้าไม่มีจิต แล้วจะฝึกอะไร จริงมะ
    2.เมื่อหาจิตพบแล้ว ก็ดูว่าจิตของเรา มีจริตอย่างไร ซึ่งมี 6 อย่าง คือ
    -ราคะจริต
    -โลภะจริต
    -โทษะจริต
    -วิตกจริต
    -ศรัทธาจริต
    -พุทธะจริต
    แต่ละจริตจะมีวิธีการฝึกโดยเฉพาะ จึงจะได้ผล ไม่ฝึกส่งเดช เอะอะก็นั่งสมาธิ เอาวิธีไหนมากำหนดก็ไม่รู้ แล้วจะไปได้มรรคผลอย่างไร ส่วนรายละเอียดการฝึกแต่ละจริต
    มีอยู่ในหมวดกรรมฐาน40 ซึ่งมีอยู่ในเวปนี้แล้ว
    3.กำหนดระดับหรือเป้าหมายในการฝึกว่าจะเอากันขั้นไหน เช่น แค่จิตเป็นสุขสงบหรือขั้นท่องเที่ยวไปทั้ง3ภพ หรือขั้นดับกิเลสโดยไม่มีเชื้อ
    4.องค์ประกอบอื่นๆในการฝึก เช่น ต้องมีอิทธิบาท4 มีศีลบริสุทธ์ มีพรหมวิหาร4 และอื่นๆที่จำเป็นครับ ซึ่งรายละเอียดก็มีในเวปนี้แล้วเช่นกัน
    5.ต้องมีกำลังใจ(บารมี)เต็มในการฝึก ตั้งแต่บารมีต้น อุปบารมี ปรมัตถบารมี จะให้ถึงบารมีขั้นใดก็เลือกเอาตามใจชอบ

    และขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านจงใคร่ครวญพิจารณาคำสอนของพระฯท่านให้ดี อย่าให้ขาดตกบกพร่อง ทั้งสมถะและวิปัสนา และขอให้ทุกท่านสมความปรารถนาในการปฎิบัติ

    สวัสดีที่ยังมีผู้อยากฝึกจิต
    จากคนที่ยังไม่เต็มบาท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2005
  14. slogan

    slogan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +46
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=549 align=center bgColor=#ffffcc border=0><TBODY><TR><TD colSpan=4>พรหมวิหาร 4

    </TD></TR><TR><TD> </TD><TD colSpan=4>ความหมายของพรหมวิหาร 4
    - พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมของพรหมหรือของท่านผู้เป็นใหญ่ พรหมวิหารเป็นหลักธรรมสำหรับทุกคน เป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์ หลักธรรมนี้ได้แก่
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=301 align=center border=0><TBODY><TR><TD width=55>เมตตา</TD><TD width=246>ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข</TD></TR><TR><TD width=55>กรุณา</TD><TD width=246>ความปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์</TD></TR><TR><TD width=55>มุทิตา</TD><TD width=246>ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี</TD></TR><TR><TD width=55>อุเบกขา</TD><TD width=246>การรู้จักวางเฉย</TD></TR></TBODY></TABLE>
    คำอธิบายพรหมวิหาร 4
    1. เมตตา : ความปราถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ความสุขเกิดขึ้นได้ทั้งกายและใจ เช่น ความสุขเกิดการมีทรัพย์ ความสุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์เพื่อการบริโภค ความสุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้
    และความสุขเกิดจากการทำงานที่ปราศจากโทษ เป็นต้น 2. กรุณา : ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ความทุกข์ คือ สิ่งที่เข้ามาเบียดเบียนให้เกิดความไม่สบายกาย
    ไม่สบายใจ และเกิดขึ้นจากปัจจัยหลายประการด้วยกัน พระพุทธองค์ทรงสรุปไว้ว่าความทุกข์มี 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
    - ทุกข์โดยสภาวะ หรือเกิดจากเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย เช่น การเกิด การเจ็บไข้ ความแก่และ
    ความตายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เกิดมาในโลกจะต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรวมเรียกว่า กายิกทุกข์
    - ทุกข์จรหรือทุกข์ทางใจ อันเป็นความทุกข์ที่เกิดจากสาเหตุที่อยู่นอกตัวเรา เช่น เมื่อปรารถนาแล้วไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ รวมเรียกว่า เจตสิกทุกข์
    3. มุทิตา : ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี คำว่า "ดี" ในที่นี้ หมายถึง การมีความสุขหรือมีความเจริญก้าวหน้า ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีจึงหมายถึง ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น ไม่มีจิตใจริษยา ความริษยา คือ ความไม่สบายใจ ความโกรธ ความฟุ้งซ่านซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีกว่าตน เช่น เห็นเพื่อนแต่งตัวเรียบร้อยแล้วครูชมเชยก็เกิดความริษยาจึงแกล้งเอาเศษชอล์ก โคลน หรือหมึกไปป้ายตามเสื้อกางเกงของเพื่อนนักเรียนคนนั้นให้สกปรกเลอะเทอะ เราต้องหมั่นฝึกหัดตนให้เป็นคนที่มีมุทิตา เพราะจะสร้างไมตรีและผูกมิตรกับผู้อื่นได้ง่ายและลึกซึ้ง
    4. อุเบกขา : การรู้จักวางเฉย หมายถึง การวางใจเป็นกลางเพราะพิจารณาเห็นว่า ใครทำดีย่อมได้ดี ใครทำชั่วย่อมได้ชั่ว ตามกฎแห่งกรรม คือ ใครทำสิ่งใดไว้สิ่งนั้นย่อมตอบสนองคืนบุคคลผู้กระทำ เมื่อเราเห็นใครได้รับผลกรรมในทางที่เป็นโทษเราก็ไม่ควรดีใจหรือคิดซ้ำเติมเขาในเรื่องที่เกิดขึ้น เราควรมีความปรารถนาดี คือพยายามช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ในลักษณะที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม

    </TD></TR></TBODY></TABLE>http://www.learntripitaka.com/scruple/prom4.html
     
  15. countdown

    countdown เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +3,165
    countdown

    ผมก็กลัวครับเวลาปิดไฟก่อนนอน และระหว่างขึ้นบันไดไปนอน จิตจะหลอนว่ามีครัยเดินตามหลัง ถ้าวันนั้นดูหนังผีละก้อสุด ๆ ครับจิตหลอนไปว่ามีผีคอยตามหลังแต่ มีวิธีนึงครับ ระหว่างเดินถ้ากลัวสุด ๆ อย่าหันไปมองข้างหลัง ให้หยุดแล้วบอกกับจิตตัวเองว่ามาบีบคอเราเลยให้รู้แล้วรู้รอดไป มันจะเป็นไงให้รู้กันไปเลย แต่ก็ไม่เกิดไรขึ้น ไม่มีอะไร มันจินตนาการไปเอง นั้นละครับ การข่มจิตตัวเอง คนเราเมื่อโกรธ ผีก็ไม่กลัวละอิอิ...
     
  16. countdown

    countdown เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +3,165
    กลัวทำไมเล่าผีเมื่อเราเคยเป็นผีมาก่อนเป็นคน ทำไมหมอผีไม่กลัวผีละ ทำไมเราไม่หาเพื่อนเป็นผีละ จะได้ไม่กลัว เราเองก็เป็นผีในร่างคนมีวิญญาณก็คือผี ผีก็คือวิญญาณ สรุปทั้งโลกคือผี แต่เราเป็นผีมีที่มีตัวตน ถ้าร่างสินสังขาร ก็เป็นผีวันยังค่ำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2005

แชร์หน้านี้

Loading...