เรื่องเด่น อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๓๕ : ถูกเทวดาหลอก

ในห้อง 'อดีตที่ผ่านพ้น' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 13 สิงหาคม 2019.

  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,195
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +26,343
    35.jpg
    อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๓๕ : ถูกเทวดาหลอก

    เคยได้ยินแต่ถูกผีหลอก มีคนถูกเทวดาหลอกด้วยหรือ...? มีซีจ๊ะ...อาตมาเองนี่แหละที่ถูกหลอกอย่างจั๋งหนับเลย อะฮ้า...อะฮ้า...ไม่อยากคุยถึงความโง่ของตนเอง แต่เมื่อมันแพลมออกมาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่เล่าเดี๋ยวแม่ตีตายเลย...ฮึ...ฮึ...

    เทวดาเขาหลอกสนิทดีจริง ๆ ถือว่าศักดานุภาพมาก ปลอมตัวเก่งเลยหลอกต้มเขาเรื่อยไป กรรมสนองเข้าซักวันหนึ่งหรอกน่า (อาฆาตล่วงหน้าไว้เลยซิเอ้า...) "หลวงพ่อ" เอง ท่านโดนมาหลายวาระด้วยกันแล้ว ท่านเล่าให้ฟังว่า...

    ครั้งหนึ่ง ท่านไปธุดงค์กับ "หลวงพ่อ" อีกสององค์ ออกจากวัดบางนมโคตัดเข้าสุพรรณบุรี ปักกลดที่บ้านไร่รถ ๑ คืน รุ่งขึ้นตรงเข้ากาญจนบุรี (สมัยนั้นแค่สุพรรณก็ดงเสือดงช้างแล้ว ถ้าถึงเมืองกาญจน์แปลว่า ไม่ต้องการเห็นหน้ามนุษย์กันล่ะ...)

    ป่าเมืองกาญจน์นี่เองที่ "หลวงพ่อ" ท่านเจอดีเข้า พอพบที่เหมาะใจก็ปักกลดเจริญกรรมฐาน ตามแบบที่หลวงปู่ปานท่านสอนมา รุ่งเช้าออกบิณฑบาตกลางป่าดงดิบนั่นแหละ มีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อายุซัก ๑๓-๑๔ ปี (ถ้าเป็นสมัยนี้ ก็ดัดจริตเป็นสาวแล้ว...) มาใส่บาตรทุกวัน...

    อีหนูหน้ามอมมีแต่ข้าวกับดอกไม้เท่านั้น บ้านช่องของเธอก็ไม่เห็นว่าอยู่ทางไหน (ป่าตอนนั้นเป็นป่าดงดิบ ต้นไม้สูงลิบลิ่วมีใบแต่บนยอด ข้างล่างเหมือนเสาไปตั้งไว้ มองไปทีเห็นไกลเป็นกิโลเลย) หลวงพ่อเล็กลงทุนเดินหาบ้านของเธอก็ไม่พบ...

    วันที่สาม...หลวงพ่อเล็กทนสงสัยไม่ไหว ถามว่า “หนู...บ้านอยู่ไหนจ๊ะ...?” เธอไม่ตอบ หัวเราะเสียงดัง แล้วเดินหายไปในหมู่ไม้ ไม่ออกมาใส่บาตรอีกเลย "หลวงพ่อ" ทั้งสามอดแทบตาย ต้องฉันยอดต้นเปราะป่าประทังหิว...

    อดข้าวได้สามวัน ทุกองค์เห็นหลวงปู่ปานมาหา บอกว่าเด็กหญิงนั้นเป็นเทวดา ต่อไปจงอย่าสนใจเรื่องอื่น เขาจะมาจากไหนก็ช่าง ใส่บาตรให้เรามีข้าวกินก็พอแล้ว พรุ่งนี้ให้ออกบิณฑบาตใหม่ เธอกับเพื่อน ๆ จะมาใส่บาตรให้...

    รุ่งเช้าเธอมากับเพื่อนหลายคน แต่งตัวมอมแมมเหมือนเดิม พอเห็น "หลวงพ่อ" ทั้งสามเธอก็ยิ้ม (ยายนี่สมน้ำหน้าที่พระอดข้าว..!) แต่ "หลวงพ่อ" ท่านไม่ยิ้มด้วยแล้ว ก้มหน้าก้มตารับบาตรอย่างเดียว โดนเข้าไปครั้งหนึ่งเข็ดไปอีกนาน...

    หลังจากนั้นก็ปักกลดแถวนั้นแหละ (มีคนเลี้ยงแล้วนี่ จะดิ้นรนไปไหนล่ะ...) อยู่ตามถ้ำบ้าง อยู่ตามโคนไม้บ้าง ตั้งแต่เดือนอ้ายจนใกล้ถึงกลางเดือนหก วันหนึ่ง...มีผู้ชาย ๔ คน รูปร่างล่ำสัน ผิวดำ ผมหยิก ตรงเข้ามาหา ร้อยวันพันปีไม่เคยเจอ อยู่ ๆ ก็โผล่มาดื้อ ๆ...

    พวกเขาบอกว่า บริเวณนี้จะมีฝนตกหนัก ๓ วัน ๓ คืน นิมนต์ "หลวงพ่อ" ทั้งสาม ย้ายไปพักที่ภูเขาด้านทิศตะวันตก ที่นั่นมีถ้ำใหญ่น้ำท่วมไม่ถึง เรื่องอาหารการกินไม่ต้องห่วง พวกเขาจะหามาให้ (รู้ด้วยว่าห่วงเรื่องกิน น่าขายหน้า แฮ่...!)

    คราวนี้ "หลวงพ่อ" ทั้งสามไม่ยอมให้หลอกง่าย ๆ อีกแล้ว สังเกตว่าพวกเขาตาแดงและไม่กระพริบตา ก็มั่นใจว่าเป็นบริวารท้าวเวสสุวรรณปลอมตัวมา จึงแกล้งถามว่า รู้อย่างไรว่าฝนจะตก เขาบอกว่า อยู่แถวนี้มานานจนรู้ดี (ไปได้ลื่น ๆ เลย...)

    "หลวงพ่อ" ทั้งสามตามไปก็พบถ้ำใหญ่ อยู่ใต้ผาชะโงก พอเข้าไปฝนก็ตกพอดี มันตกสามวันสามคืนจริง ๆ หนักบ้างเบาบ้างสลับกันไป ไม่มีขาดเม็ด...พอเวลาเช้าก็มีคนมา บ้างก็หญิง บ้างก็ชาย หนุ่มสาว เฒ่าชะแรแก่ชรา มีครบ ลุยน้ำมาใส่บาตร...

    หลังฉันแล้วเขาก็ชวนคุย สารพัดเรื่องที่จะสรรหามา ตอนหนึ่ง..."หลวงพ่อ" ถามเขาว่า “บ้านอยู่แถวนี้กันทุกคนเลยหรือ...?” เขารับคำว่าใช่ "หลวงพ่อ" อดรนทนไม่ไหวเลยพูดตรง ๆ ออกไปว่า “นี่คุณ...ตั้งแต่คุณมาจนบัดนี้ คุณยังไม่กระพริบตาเลยนะ...”

    พวกเทวดาเขาไม่ต้องกระพริบตากันหรอก (แต่ถ้าไปจ้องจริง ๆ เดี๋ยวพวกกระพริบให้ดูซะอย่างนั้นแหละ...) พวกเขาร้องว่า “อ้าว...ท่านรู้แล้วก็ไม่บอก เล่นเอาพวกผมหลงแสดงฟรีซะตั้งนาน...” เลยได้หัวเราะกันครื้นเครง แต่คราวนี้ไม่อดข้าวแฮะ...

    นี่เป็นลวดลายที่เทวดาเขาหลอกต้มกัน อีกครั้งหนึ่ง "หลวงพ่อ" ท่านโดนที่ป่าเมืองกาญจน์เช่นเคย ท่านเล่าว่า...ประมาณหกโมงเย็นก็ปักกลด ปรากฏรัศมีสีเขียวจัดจ้ามาก ครอบคลุมไปทั่วบริเวณ ทั้งกลดทั้งจีวรดูเขียวไปหมด กินเวลานานทีเดียวกว่ารัศมีสีเขียวจะจางไป...

    "หลวงพ่อ" ถามพระภูมิเจ้าที่ว่าเป็นแสงอะไร ท่านบอกว่าเป็นแสงของเหล็กไหล ที่อยู่ในถ้ำใกล้ ๆ นี่เอง "หลวงพ่อ" ขอให้นำไปดูหน่อย ท่านบอกว่าพรุ่งนี้เช้าจะพาไป หลังฉันเช้าจะมารับ ขอให้ "หลวงพ่อ" เตรียมตัวตัวให้พร้อมก็แล้วกัน...

    ถึงเวลามีชายชาวป่าคนหนึ่ง นุ่งกางเกงขาสามส่วน มีผ้าขาวม้าพันหัว ถือมีดขอมาหนึ่งด้าม มาถึงก็ชวนว่า “ไปกันเถอะ...” "หลวงพ่อ" ถามว่าจะให้ไปไหน เขาว่า “อ้าว...ก็จะพาไปดูเหล็กไหลอย่างไรเล่า...”

    "หลวงพ่อ" บอกว่าเสียท่าเขาจนได้... นึกว่าจะมาเป็นเทวดา เล่นมาซะสุดโทรมแบบนี้ใครจะไปจำได้ ถูกต้มสุกสนิทไปเลย เขาถางต้นไม้ที่ขึ้นรกใกล้ ๆ ที่ปักกลด เห็นมีปากทางเข้าไป ได้พบโคตรเหล็กไหลก้อนเท่าหม้อข้าว ลองเอาเทียนลนมันก็ยืดลงมา พอเอามือแตะมันหดปั๊บกลับไปเป็นก้อนอย่างเดิม...

    "หลวงพ่อ" ถามว่ามีวิธีตัดมั้ย...? เขาบอกว่ามี ใช้คาถาตัด “แต่ผมบอกท่านไม่ได้หรอก เพราะผมมีหน้าที่รักษาเหล็กไหลก้อนนี้ครับ...” เป็นอันว่าไม่ต้องคุยกันต่อ จากที่เล่ามาแสดงให้เห็นว่า ถ้าเทวดาจะหลอกใครละก็ พ่อหลอกได้สนิทนักแล...

    อาตมาเคยถูกแม่ยายแจ๋ว (เด็กในร้านอาหารที่วัด) ต้มซะเปื่อยเหมือนกัน ตอนนั้นอาตมาเพิ่งบวชได้ไม่นาน ได้รับนิมนต์ไปงานทำบุญ ๗ วัน หรือ ๑๐๐ วัน ก็จำไม่ถนัด กำลังสวดมนต์อยู่ เห็นอทิสมานกายของหญิงชราคนหนึ่ง รูปร่างท้วมเล็กน้อย แต่งเนื้อแต่งตัวซะสุดโทรมเลย มาถึงก็ขอส่วนกุศลเอาดื้อ ๆ...

    อาตมาบอกเขาไปว่า “เจ้าของบ้านกำลังทำบุญเลี้ยงพระ เดี๋ยวโมทนาบุญกับเขาซิ” ผียายแก่ตอบไปคนละเรื่องว่า“ไก่ที่เขาแกงเลี้ยงท่าน มันไม่ได้ตายเองเจ้าค่ะ”...

    อาตมางงไปครู่หนึ่งจึงนึกออกว่า "หลวงพ่อ" เคยสอนว่า... “งานบุญใดก็ตาม ถ้าเจ้าภาพเริ่มต้นด้วยบาป เช่น มีการฆ่าสัตว์เพื่อทำอาหาร หรือมีการเลี้ยงเหล้า เป็นต้น ผีเขาไม่ยอมโมทนาด้วยอย่างเด็ดขาด เพราะนอกจะไม่ได้บุญแล้ว ยังจะเดือดร้อนเพราะโมทนาบาปซะอีก...”

    อาตมาจึงอุทิศส่วนกุศลให้ ยายผีนั่นโมทนาปุ๊บ กลายเป็นนางฟ้าสวยแพรวพราว หายตัวแว่บไปทันที อาตมาเพิ่งรู้ว่าถูกหลอกอย่างจังเบอร์ เพราะถ้าแกลำบากจริงจะมาไม่ได้ ภายหลังสอบถามดูจึงรู้ว่า ลักษณะอย่างนั้นคือแม่ของยายแจ๋วเอง...

    นี่ยังจับได้แม้จะไล่ไม่ทัน ครั้งที่โดนต้มเปื่อยจริง ๆ คือ ครั้งที่พระองค์ที่ ๑๐ เสด็จมางานวัดท่าซุงนั่นแหละ มีชายหนุ่มตามมาด้วย ๓ คน มีคนหนึ่งที่อาตมาตามพบทีหลัง แสดงว่าไม่ใช่พ่อเทวดาตัวดี แต่อีกสองคนนี่ซิ...

    คนหนึ่งหุ่นแบบอาเสี่ยเลย ใส่เสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีเทา อีกคนหนึ่งนุ่งกางเกงสีเขียวขี้ม้า ใส่เสื้อยืดลายพรางเหมือนทหาร นั่งรวมกลุ่มกับนายหนุ่มที่เป็นคนแท้ ๆ ดูอาตมาปะทะคารมกับพระองค์ที่ ๑๐ ท่าน...

    ขณะที่ทุกคนเกิดความมันในอารมณ์ ส่งเสียงเฮฮาชอบใจ มีแต่พ่อสองคนที่นั่งยิ้มอยู่เฉย ๆ (มาตอนนี้เพิ่งนึกได้ เขายิ้มเยาะเรานี่หว่า..!) คงจะสมเพชเวทนาที่อาตมาหูหนวกตาบอด ไปดวลกับพระชั้นบรมครูอยู่ได้ (มันน่า...นัก...!)

    เมื่อพระองค์ที่ ๑๐ จะกลับ ท่านให้เรียกหา “คน” ทั้งสอง อาตมาเห็นแต่นายหนุ่มคนที่มาพบทีหลังเท่านั้น อยู่ ๆ อีกสองคนก็เดินออกมาจากหลังต้นโพธิ์ ทำท่าเหมือนกับเพิ่งได้ยินเสียงเรียก (ตีหน้าตายสนิทเป็นบ้าเลย...)

    ตอนขึ้นรถอาจารย์ประเสริฐนั่นเอง พ่อเทวดาเห็นอาตมาไม่หายโง่ซักที จึงออกลายให้เห็น โดยอาตมาเห็นแต่พระองค์ที่ ๑๐ กับพระสมานเท่านั้น อีกสองพระหน่อไม่ทราบว่าไปอยู่ซะที่ไหน “เอ๊ะ...ลูกศิษย์หลวงปู่หายไปไหน...?”

    อาตมาถามเพื่อน ยายติ๋ว (ปัจจุบันคือ น.ต.หญิงอริศรา กิติธีระกุล) ตอบว่า “อยู่ในรถนั่นไง แน่ะ...เขายิ้มให้ฉันด้วยล่ะ...” อาตมามองจนตาแทบประทุก็ไม่เห็นใครซักคน ฝ่ายยายติ๋วก็ยืนยันเสียงแข็งว่ามีแน่ ๆ (ยายนี่เขาโกหกไม่เป็นหรอก โง่กว่าอาตมาตั้งเยอะ...ฮิ...ฮิ...) พออาจารย์ประเสริฐถูกพระองค์ที่ ๑๐ เล่นกลทิ้งไปดื้อ ๆ กลับมาถึงวัด จึงมีการสอบถามกันเป็นการใหญ่...

    อาตมาถามพระสมาน (ลาสิกขาไปแล้ว) ท่านก็ยืนยืนว่า ทั้งสอง “คน” นั่งไปด้วยกันแน่ รถของอาจารย์ประเสริฐคันแค่แมวดิ้นตาย เบาะหลังถ้านั่งสามคนก็แทบจะขี่คอกัน อาตมาถามว่า “เบียดกันมั้ยครับ...?” ท่านว่า “หลวม ๆ นั่งสบาย ๆ...!”

    เมื่ออาตมากราบเรียนถาม "หลวงพ่อ" ท่านหัวเราะอย่างอารมณ์ดี บอกว่าทั้งสององค์เป็นอินทกะของท้าวเวสสุวรรณ นั่งมองอาตมาตาไม่กะพริบเป็นชั่วโมง ๆ ทนความโง่ของอาตมาไม่ไหว ก่อนจากเลยทิ้งท้ายให้รู้ตัว (แต่ก็ยังไม่หายโง่ แฮ่...)

    อาตมากับธรรมนูญ (อาจารย์ธรรมนูญ นาคส่องแสง) ถูกคนเข้าใจผิด คิดว่าเป็นท่านอินทกะทั้งสองอยู่นานนับเดือน กว่าเขาจะยอมรับว่า อาตมาเป็นคนปกติเหมือนพวกเขา ส่วนพ่อเทวดาทั้งสองสบายไปเลย ยายติ๋วเขาอุทิศส่วนกุศลให้ทุกครั้งที่ทำบุญ แถมยังมาคุยจ้อว่า “เทวดานะเหรอ...ฉันเคยคุยด้วยมาเป็นวัน ๆ เลยล่ะ...” เอากับแม่ซิ...!

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสถึงเทวดาอยู่บ่อย ๆ บรรดาพระอรหันตสาวกก็พบกับเทวดาเป็นประจำ แต่ยังมีท่านที่เขายกย่องว่าเป็นปราชญ์ พยายามบิดเบือนคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมครู ว่าเทวดาไม่มี พรหมไม่มี นิพพานสูญ...

    พวกนี้ต้องให้ยายติ๋วเจริญพรให้ซักชุด จะได้ไม่ขยายความโง่ของตนออกมาอีก เลวซะเทวดาไม่มอง ดันมาหาว่าท่านไม่มี น่าจะโดนบาทาของท่านซักฉาด จะได้รู้สำนึก แต่ก็นั่นแหละ คนเราจะโง่หรือฉลาด อยู่ที่ครูบาอาจารย์อบรมสั่งสอน ท่านได้รับการอบรมมาอย่างนั้น ท่านก็ต้องเชื่ออย่างนั้น เป็นเรื่องน่าสงสารมากกว่า...!

    ๑๐ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ที่มา www.watthakhanun.com
    ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...