หลวงพ่อคืน ปสันโน คืนสิ้น ไม่ข้องเปล่า(1)

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 5 ธันวาคม 2010.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    สาแหรกแห่งพระอริยะที่แตกแขนงไปใน‌ฝั่งอีสานใต้ โดยมี หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ‌เป็นองค์ประธานนั้น มีมากกว่าการรับรู้ของคน‌ทั่วไป หนึ่งในนั้นคือ หลวงพ่อคืน ปสันโน วัดป่า‌บวรสังฆาราม (วัดหน้าเรือนจำ) อ.เมือง ‌จ.สุรินทร์

    สาแหรกแห่งพระอริยะที่แตกแขนงไปใน‌ฝั่งอีสานใต้ โดยมี หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ‌เป็นองค์ประธานนั้น มีมากกว่าการรับรู้ของคน‌ทั่วไปที่มักคุ้นแต่ชื่อ หลวงปู่ดูลย์และหลวงปู่‌สาม อกิญจโน ยังมีอีกไม่น้อยที่อยู่ในสายธรรม ‌ตามหลวงปู่ดูลย์ไปได้

    หนึ่งในนั้นคือ หลวงพ่อคืน ปสันโน วัดป่า‌บวรสังฆาราม (วัดหน้าเรือนจำ) อ.เมือง ‌จ.สุรินทร์

    หลวงพ่อคืน ปสันโน เกิด ณ ชุมชนตรอก‌โพธิ์ร้าง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ เมื่อวัน‌พฤหัสบดี เดือนอ้าย ปีมะแม พ.ศ. 2462 เป็น‌บุตรคนที่ 4 จากทั้งหมด 6 คนของนายทูลและ‌นางเกียม เทียบทอง

    ในวัยเด็กนั้นมีเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่ง‌ซึ่งมีผลต่อชีวิตท่านอย่างใหญ่หลวงนั่นคือ วัน‌หนึ่งหลังจากเล่นกระโดดค้ำถ่อกับเพื่อนๆ ‌แล้ว ขณะไปอาบน้ำที่สระน้ำวัดพรหมสุรินทร์‌ก็เกิดอาการคล้ายเป็นตะคริว เมื่อมีคนช่วยนำ‌ตัวส่งกลับบ้านก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นอนอยู่‌บนแคร่ใต้ถุนบ้านจนแขนขาข้างขวาลีบเล็กลง ‌รักษาด้วยวิธีการอย่างไรก็ไม่หาย บัดมันจะดี‌ขึ้นก็ประหลาดคือ มีเรี่ยวแรงขึ้นจน‌กระทั่งสามารถลุกขึ้นเดินได้เอง แต่‌แขนและขาซีกขวาที่ลีบลงนั้นเสีย‌ไป ไม่อาจจะกลับมาเป็นดั่งเดิมได้‌อีกแล้ว

    เมื่อเจริญวัยขึ้น ท่านได้แต่งงาน‌มีบุตรหนึ่งคน ประกอบอาชีพหาอยู่‌หากินด้วยการเป็นคนเลี้ยงเป็ด

    วันหนึ่งในฤดูแล้งปี 2500 ซึ่ง‌เป็นช่วงกึ่งพุทธกาลพอดิบพอดีนั้น ‌ชีวิตนายคืนซึ่งดำเนินมา 38 ปี ก็‌พลิกผัน วันเกิดเหตุนั้นมีชาวบ้าน 6 ‌คน ซึ่งดูแล้วเป็นคู่สามีภรรยากัน 3 ‌คู่พากันหาบคอนสิ่งของผ่านหน้า‌คนเลี้ยงเป็ดผู้นี้มุ่งหน้าไปทางวัดป่า‌โยธาประสิทธิ์ หนึ่งในนั้นแม้จะผิว‌พรรณดำๆ แต่แลดูผ่องใสมีสง่าราศี‌ยิ่งนัก เลยอดถามขึ้นไม่ได้ว่า ทำไม‌มาทำบุญแถวนี้ที่บ้านไม่มีวัดไม่มี‌พระหรือไง

    ชายผู้นั้นซึ่งต่อมาทราบชื่อว่า ‌กำนันแปกตอบว่า มีเหมือนกันแต่‌ไม่เหมือนกัน
    คำอรรถาธิบายตามมาคือ พระ‌ทั่วไปนั้นเป็นเพียงแต่สมมติสงฆ์ ‌และกัลยาณสงฆ์ ยังไม่ใช่พระแท้ ‌สงฆ์สาวกที่แท้นั้นถ้าเป็นพระสุปฏิ‌ปันโน หมายถึงประโสดาบัน พระ‌อุชุปฏิปันโน คือ พระสกิทาคามี ‌พระญายะปฏิปันโน หมายถึงพระ‌อนาคามี พระสามีจิปฏิปันโน ‌หมายถึงพระอรหันต์

    คำอธิบายนั่นสั่นสะเทือนหัวใจ‌นายคืนชายเลี้ยงเป็ดยิ่งนัก เลยถาม‌ต่อว่า แล้วถ้าคนอย่างเราปฏิบัติ‌อย่างเอาจริงเอาจัง จะเป็นพระสุปฏิปันโนได้ไหม?
    คำตอบที่ตามมานั้นเองที่ทำให้‌ชีวิตของท่านเปลี่ยนไป

    ทั้งสองมิได้สนทนากันหนเดียว การได้พบ‌กันในชั้นหลังๆ นายคืนก็ได้รับความรู้ทาง‌ธรรมจากกำนันแปกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็‌ตัดสินใจขายเป็ดทิ้งทั้งหมดหันมาประกอบ‌อาชีพปลูกผักแทน เพราะเห็นว่าเป็นการขโมย‌ชีวิตคนอื่น

    จากการสนทนากันริมทาง ขยับเข้าไปสู่‌เขตวัดป่าโยธาประสิทธิ์ ณ ที่นั่น นายคืนเริ่ม‌หัดนั่งสมาธิ จากคนไม่รู้จักศีลไม่รู้จักธรรม ‌กลายเป็นวันพระไปถือศีลที่วัด วันธรรมดา‌ปฏิบัติอยู่บ้าน

    ท่านเล่าในกาลต่อมาว่า ที่วัดสอนให้‌ภาวนาโดยบริกรรมพุทโธ ธัมโม สังโฆ ซึ่งทำ‌แล้วก็ไม่มีผลปรากฏนัก แต่มาพบหนทางที่ถูก‌จริตตนเองเมื่อวันหนึ่งขุดดินยกร่องแปลงผัก‌แล้วนั่งพักเหนื่อยอยู่ ขณะมองดูเนินดินที่ยก‌ร่องขึ้นนั้น จิตเกิดเป็นสมาธิขึ้น นับแต่นั้นมา‌ท่านจึงชอบยกดินขึ้นเป็นอารมณ์กรรมฐาน
    วิธีการของท่านคือ “ให้จิตจดจ่อกับดิน ไม่‌ต้องสนใจลมหายใจ นานเข้าจิตนิ่งพอสมควร‌ให้ดึงจิต ซึ่งติดอยู่กับดินนั้นมาไว้ที่ปลายจมูก‌แล้วมาหยุดเลย”

    เมื่อสอบอารมณ์กับตาแปกว่า ผลที่เกิดขึ้น‌นั้นคืออะไรก็ได้ความว่า เกิดปีติขึ้น
    คำถามต่อมาคือ ปฏิบัติได้อย่างนี้หากตาย‌ไปจะไปสู่หนไหน ตาแปกว่า “วิตก วิจาร ปีติ‌นี้ตกสวรรค์ชั้น 4 คือ ดุสิต”

    คำตอบนี้ทำให้ท่านมีกำลังใจที่จะปฏิบัติ‌มากขึ้น ประจวบกับต่อมามีผู้ใฝ่ธรรมในชุมชน‌ตรอกโพธิ์ร้างได้รวมกลุ่มกันปฏิบัติภาวนา วัน‌พระก็พากันไปรักษาศีล หาโอกาสตระเวนไป‌กราบครูบาอาจารย์ วันธรรมดาก็มาปฏิบัติที่‌บ้านท่าน โดยกางมุ้งหลังใหญ่ๆ เอาไว้เป็น‌หลังๆ แยกปฏิบัติ ชาย หญิง

    ตัวท่านเองปฏิบัติโดยใช้วิธีการปฐวีกสิณอยู่ทุกวัน จนเกิดสุข เอกัคคตา และฌาน 4 ‌อยู่มากระทั่งวันหนึ่งจิตเป็นเอกัคคตา และ‌อุเบกขา แล้วทรงอยู่ พักหนึ่งก่อนผุดหายเงียบ‌ไปในอากาศ แล้วนิ่งเฉยอยู่ มองไปทางไหนก็‌ไม่มีอะไรเลย บ้านเมืองก็ไม่มี เมืองสุรินทร์ก็ไม่‌มี หันมาดูตัวเองก็ไม่มี
    ถึงจุดนี้เลยคิดว่า บรรลุพระอรหันต์แล้ว

    รุ่งขึ้นท่านตื่นแต่เช้าไปนั่งดื่มกาแฟ แล้ว‌เดินดุ่มเข้าวัดบูรพาราม เพื่อพบหลวงปู่ดูลย์ ‌ท่านก็ทักว่า “ว่ายังไงโยมคืน มาแต่เช้า มี‌อะไรว่ามา”

    “ผมมาบอกหลวงพ่อครับว่า เมื่อคืนผมไป‌นิพพาน”

    แล้วท่านก็เล่าให้หลวงปู่ดูลย์ฟังถึงการ‌ดำเนินจิตเมื่อคืนที่ผ่านมา หลวงปู่ดูลย์ก็ฟังนิ่ง‌อยู่จนจบแล้วถามว่า “ขณะนั้นโยมยังจำได้‌หรือไม่ว่า บ้านอยู่ที่ไหน เมืองสุรินทร์อยู่ที่‌ไหน ลูก-ภรรยาโยมชื่ออะไร”

    “จำได้โดยตลอดครับ”

    “ยังงั้นไม่ใช่นิพพานหรอก เคยได้ยินเขา‌สวดกันไหมว่า ขันธ์หนึ่ง ขันธ์สี่ มิมีประมาณ ‌ท่องเที่ยวในภพพิเศษโอฬาร ภพน้อยกันดาร‌ก็ดุจกัน...ยังมีเวทนา สัญญา สังขาร ‌วิญญาณ จึงเป็นเพียงขันธ์สี่ ไม่ใช่นิพพาน”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่สิหลวงพ่อ”

    “ก็มันไม่ใช่นั่นแหละ มันแค่ขันธ์สี่ที่ทิ้งแต่‌รูปเท่านั้น...จิตอย่างนี้ยังออกนอกอยู่นะ จิต‌ออกนอกเป็นตัวสมุทัยนะ มันจะเสียเวลา‌เปล่า ให้พยายามหยุดอีก อย่าให้มันออกนอก‌นะ”

    การปฏิบัติของท่านมาเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยว‌หัวต่ออีกครั้ง เมื่อได้รับผลสั่นสะเทือนจากการ‌ปฏิบัติของกัลยาณมิตรธรรมนาม “โบว์ ยิ่งรุ่ง‌โรจน์”

    นายโบว์ผู้นี้อยู่บ้านใกล้กับท่าน เป็นหนึ่ง‌ในคณะปฏิบัติธรรมตรอกโพธิ์ร้าง เดิมบวช‌เป็นผ้าขาวปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่สาม ที่วัด‌ป่าไตรวิเวกอยู่ถึง 7 ปี แต่เพราะสุขภาพไม่ดี‌จึงกลับมาปฏิบัติธรรมที่บ้าน แต่ไม่ได้สึกจาก‌การเป็นผ้าขาว
    วันหนึ่งผ้าขาวโบว์ก็บอกกับท่านว่า หากมี‌โอกาสได้พบหลวงปู่ดูลย์ช่วยกราบเรียนท่าน‌ให้มาโปรดที่บ้านด้วย เพราะมีเรื่องจะถาม‌เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม ต่อมาบ้านหลังหนึ่ง‌ในชุมชนจัดทำบุญขึ้นบ้านใหม่ โดยนิมนต์หลวงปู่ดูลย์มาทำพิธีเพียงรูปเดียว พอเสร็จ‌งานแล้วท่านจึงกราบเรียนหลวงปู่ตามที่ผ้า‌ขาวโบว์ขอไว้

    เมื่อหลวงปู่ดูลย์ไปถึงบ้านพ่อขาวโบว์ก็เข้า‌มากราบแล้วเรียนให้หลวงปู่ทราบว่า “ผม‌ภาวนาไป จิตก็นิ่งดูแต่สว่างๆ ขาวๆ ข้างหน้า ‌ไม่ทราบว่า จะอย่างไรต่อไป”
    หลวงปู่ดูลย์ก็ว่า “ให้ใช้ปัญญาแทงติดตรง‌ไป ให้พยายามแทงตรงนั้น แทงจากบนลงมา‌ข้างล่าง ให้พยายามทำไป ได้ผลอย่างไรให้ไป‌บอก ถ้าไปไม่ได้ ให้ฝากโยมคืนไปก็ได้”

    หลังจากนั้นเพียง 2-3 วัน โยมคืนก็ได้ยิน‌ข่าวว่า พ่อขาวโบว์ตกกระแสธรรม ท่านจึงไป‌สอบถามถึงที่บ้าน

    ท่านเล่าว่า เมื่อไปถึงนั้นบ้านเงียบสงัดพอ‌พ่อขาวโบว์เห็นก็เรียกว่า “โอ๊ว น้าคืนมา มา ‌มานั่งสมาธิกัน” โยมคืนก็ใช้โอกาสนั้นกำหนด‌จิตดูพ่อขาวโบว์ทันทีผลปรากฏว่าจิตของท่าน‌โดนผลักออกมา
    ทดลองอีกครั้งผลก็เป็นเช่นเดียวกัน!

    ณ บัดนั้นเอง โยมคืนก็สรุปกับตัวเองได้ว่า ‌จิตของพ่อขาวโบว์ถึงโลกุตระแล้ว จิตของ‌ท่านเองยังอยู่ในโลกียะ

    ท่านดูจิตพ่อขาวโบว์ไม่ได้แล้ว!

    โยมคืนจึงก้มลงกราบพ่อขาวโบว์แล้วขอ‌ให้แนะนำว่า ใช้อุบายในการปฏิบัติอย่างไรถึง‌ตกกระแสธรรม

    “พ่อขาวโบว์ก็เล่าให้ฟังว่า ท่านไม่ได้แทง‌อย่างที่หลวงปู่ดูลย์สอน แต่พิจารณาว่า ไม่ว่า‌เรื่องอะไรที่เกิดขึ้น มันล้วนมีเหตุมาจากรูปทั้ง‌สิ้น ถ้าหมดรูป เรื่องก็หมดเท่านั้น เราไปยึด‌รูปเองต่างหาก ดังนั้นท่านจึงกำหนดรูปนิมิต‌ของตัวเองขึ้นแล้วทำลายทิ้งเสีย โดยกำหนด‌เอาเชือกมาขันชะเนาะตามข้อพับ ขาและ‌แขน หมุนชะเนาะ จนขาและแขนนั้นหลุด‌ออก แล้วเอาวางเป็นแถวบนพื้นดิน จากนั้น‌ก็ถลกเอาหนังออกมา แล้วคลี่ออกลงบนพื้น ‌ผ่าหน้าท้องดึงเอาปอด ตับ หัวใจ และ‌กระเพาะอาหารออกมาหมด และผ่ากะโหลก ‌เอาสมองออกมาดู ท่านว่ามันเหมือนก้อน‌กะทิ แล้วเอามาวางบนหนัง

    จากนั้นท่านพิจารณาว่า ของทั้งหมดนี้‌แหละเป็นของทุกขัง อนิจจัง ไม่เที่ยง เอาไว้‌ทำไม เผาทิ้งให้หมด

    พอท่านเพ่งให้เป็นไฟ ไฟก็ลุกพรึบๆ ขึ้นมา‌ทันที และเผารูปทั้งหลายนั้นหมด แล้วกำหนด‌เป็นมือกวาดๆ เอาจอบมาขุด แล้วกลบเหลือ‌แต่ขี้เถ้า
    แล้วท่านก็ถามอีกว่า ใครเป็นผู้รู้
    ท่านตอบเองว่า ก็พุทโธเป็นผู้รู้

    จิตท่านก็ระเบิดทันที พร้อมทั้งเกิดความ‌ว่างมหาศาลตามมา”

    โยมคืนฟังทั้งหมดแล้วกลับมาพิจารณาได้‌ความว่า ผ้าขาวโบว์ถือศีล 8 มา 8 ปี ปฏิบัติ‌มาเรื่อยถึงตกกระแสธรรม ตัวเองถือแค่ศีล 5 ‌ถ้าอยู่ในสภาพนี้เห็นทียากที่จะได้มรรคผล เมื่อ‌ก่อนตัวเองเป็นคนสอนพ่อขาวโบว์ บัดนี้พ่อ‌ขาวโบว์ก้าวหน้าไปชนิดที่มิอาจ‌เทียบกันได้แล้ว ท่านจึงทั้งละอาย‌และตกใจ
    นั่น ทำให้ดำริที่จะไปบวชเป็นผ้า‌ขาว ปฏิบัติธรรมที่วัดทั้งพรรษา เมื่อ‌พิจารณาแล้ว เห็นว่าถ้าอยู่กับหลวง‌ปู่ดูลย์ก็ดี แต่วัดบูรพารามเป็นวัด‌กลางเมือง อาจจะไม่ถูกจริตเวลา‌ปฏิบัติภาวนา สุดท้ายท่านตัดสินจึง‌มุ่งหน้าไปหาหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ‌ณ วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย

    ปีที่ท่านไปสู่วัดหินหมากเป้งคือ ‌พ.ศ. 2518

    ปฐมบทของการฝึกจิตที่วัดหิน‌หมากเป้งนั้น เริ่มจากกราบเรียนให้‌หลวงปู่เทสก์ทราบถึงวิธีการที่ผ่าน‌มาว่า “นั่งจนนิ่ง แล้วก็ออกพิจารณา‌แต่ผมมองไม่เห็น ผมเพียงแต่คิดเดา‌ว่า เกิดมาแล้วต่อไปก็ต้องแก่ ต่อไป‌ก็ต้องตาย กลายเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ‌แล้วก็กลับมาหยุดอีก แล้วก็‌พิจารณาอีก ทำกลับไปกลับมาอย่าง‌นี้ แต่กระผมไม่เห็น”

    “เอ้า จิตคุณเป็นเอกัคคตารมณ์‌แล้วนี่ พระบวชเป็นสิบปีนะถึงจะ‌ได้ขั้นนี้”

    หลวงปู่เทสก์ว่า

    แล้วท่านก็แนะอุบายการ‌พิจารณาให้ว่า “คุณทำแบบนี้ไม่เอา‌หรอก ให้ดูกรรมฐานห้าคือ ผม ขน ‌ฟัน เล็บและหนัง เลือกดูอย่างใด‌อย่างหนึ่งแล้วแต่จริตของคุณ ดู‌เฉยๆ หลับตาแล้วดูเฉยๆ เข้าใจ‌ไหม อย่างนี้?”
    ผ้าขาวคืน เริ่มด้วยการดูผม

    ดู 2 วันแรกไม่เห็น วันที่ 3 เห็น‌ลางๆ วันที่ 4 ค่อยชัดขึ้น วันที่ 5 ‌ชัดแจ๋ว
    ท่านว่า ชัดยิ่งกว่าดูด้วยตาเนื้อ‌เสียอีก ดูๆ ไปหลายวันเข้าก็เห็นผมร่วงหมด‌ศีรษะ เหลือแต่หนังศีรษะ แล้วก็ดูหนังต่อ พอ‌หนังละลายหายไปเหลือแต่กะโหลกก็ดูกะโหลก

    ถึงขั้นนี้ไปกราบเรียนหลวงปู่เทสก์ หลวงปู่‌ท่านก็ว่า “ตอนนี้จิตมีพลังมากแล้ว ดูอะไรก็‌หมด ไม่ต้องทำอย่างนั้นอีก แต่ให้วกกลับมา‌หาที่ตน เพราะทั้งสามอย่างคือ ผม หนัง ‌กะโหลกถูกดู ของที่ถูกดู ไม่จริง ผู้ดูแหละจริง ‌ให้น้อมมาหาผู้ดูและหยุดกับผู้ดู”

    ผ้าขาวคืนดำเนินตามบทเรียนที่สองที่พ่อ‌แม่ครูอาจารย์ชี้แนะ หลังน้อมมาหาผู้ดูหยุดอยู่‌กับผู้ดูอยู่หนึ่งเดือน วันหนึ่งขณะพักกลางวัน‌อยู่ก็ฝันไปว่า หลวงปู่ดูลย์มาหา มีตาแปกเดิน‌ตามมาด้วย พอตกใจตื่นก็พักอยู่ในท่าสีห‌ไสยาสน์ ในหูนั้นนึกถึงคำเตือนของพ่อขาว‌โบว์ก่อนมาวัดหินหมากเป้งว่า ระวังจะกลับมา‌จะข้องเปล่าเน้อ คำว่า “ข้องเปล่า” ก้องอยู่ใน‌หูอยู่อย่างนั้น

    ต่อเมื่อกำหนดจิตหยุด ปรากฏว่า “มันพุ่ง‌ขึ้นมาเลย จิตมันยิ้มออกมาจากภายในเป็น‌หสิตุปบาท เป็นกิริยาจิตยิ้มเอง โดยปราศจาก‌เหตุ แต่เป็นการยิ้มเยาะกิเลส”

    ถึงตรงนี้เกิดรู้สึกดีใจ ร้องอยู่ในใจว่า “เลิก‌ข้องเปล่าแล้ว เราเลิกข้องเปล่าแล้ว”
    เมื่อนำความไปกราบเรียนหลวงปู่เทสก์

    “กิเลสมันยังไม่หมดหรอก...” หลวงปู่เทสก์ท่านว่า

    (อ่านต่อสัปดาห์หน้า)

    หลวงพ่อคืน ปสันโน คืนสิ้น ไม่ข้องเปล่า(1)
     

แชร์หน้านี้

Loading...