วิถีแห่งสุขภาพองค์รวมของคลื่นพลังงานบำบัด

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 6 มีนาคม 2009.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    [​IMG]


    [FONT=arial,sans-serif]วิถีแห่งสุขภาพองค์รวมของคลื่นพลังงานบำบัด[/FONT]
    ที่มา: หนังสือ "ทางรอด" โดย คุณจีรพันธุ์ ประศาสน์วุฒิ


    <!-- /editable --><!-- /wrapper --><!-- /header -->องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ

    องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณที่ได้นำเสนอต่อสังคมเป็นแนวทางของการฝึกปฏิบัติตน จะแบ่งออกเป็น 2 แนวทางอย่างชัดเจน ได้แก่ สมาธิ-วิปัสสนา ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา และ ทางเลือกของสุขภาพ ที่พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ คิดค้นขึ้นเองด้วยญาณทัสนะ มุ่งส่งเสริมหลักของการพึ่งตนเอง โดยใช้พลังจิตและพลังพีระมิด ซึ่งทั้งสองแนวทาง เมื่อผู้ศึกษาได้ทดลองฝึกปฏิบัติดูแล้ว จะพบว่าแท้ที่จริงไม่ว่าจะศึกษาเรื่องของ "จิต" หรือ "กาย" ต่างก็มุ่งศึกษาสิ่งเดียวกัน คือเรื่องของ "วงกลม" เริ่มจากวงกลมที่มีจุดศูนย์กลางเล็กที่สุดในร่างกายมนุษย์ ที่เรียกว่า "นิวเคลียส" ไปจนถึงจุดศูนย์กลางของวงกลมที่ใหญ่ที่สุดของกาแล็คซี่ทางช้างเผือก การซ่อมแซมบำรุงรักษาจุดศูนย์กลางของวงกลมแต่ละวงให้มีความสมบูรณ์แข็งแรง การทำลายแรงยึดเหนี่ยวระหว่างวงกลมแต่ละวง หรือแม้กระทั่งในท้ายที่สุดแล้ว หน้าที่ที่สำคัญต่อตนเองที่มนุษย์ทุกคนพึงกระทำ คือการก้าวให้พ้นไปจากอำนาจแรงดึงของ "ใจ" ได้พบ "มรรค" หรือทาง และเจริญทางของตนต่อสู้กับกิเลสไปตามลำดับ จนสามารถดับเหตุได้หมดสิ้น เรียกได้ว่าเป็นผู้พ้นไปจากวงกลมของสังสารวัฏได้อย่างสิ้นเชิง


    "วิถีแห่งสุขภาพองค์รวมของคลื่นพลังงานบำบัด" เป็นองค์ความรู้ที่ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ คิดค้นขึ้นได้ด้วยตนเอง โดยอาศัยพื้นฐานมาจากพระพุทธศาสนาที่สอนเรื่อง เหตุ-ปัจจัยและเหตุ-ผล , กฏแห่งกรรม (การสะท้อนกลับของพลังงาน) , ความพ้นทุกข์ ฯลฯ เมื่อเกิดปัญหาของสุขภาพร่างกายที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของพลังงานในธรรมชาติ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จึงได้ประยุกต์หลักการของวิปัสสนากรรมฐานที่ศึกษา "การเคลื่อนที่ของจิต" เพื่อให้พ้นจากการครอบงำของขันธ์ 5 และประหารกิเลสของแต่ละบุคคล มาเป็น "การเคลื่อนที่ของ พลังจิต พลังงาน" เพื่อซ่อมแซมรักษาสิ่งที่หยาบกว่า คือ "กาย" ด้วยตนเอง โดยนำอุบายของวิปัสสนากรรมฐานมาดัดแปลงเพียงเล็กน้อย ทำให้เกิดการนำพลังงานเข้าสู่ร่างกาย เกิดกระบวนการขับสารพิษและฟื้นฟูเซลล์ แนวทางของพระพุทธศาสนามิได้แยกกายกับจิตออกจากกันโดยเด็ดขาด ทั้งสองอย่างจำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน จึงจะดำรงสภาพที่เรียกว่าเป็น "มนุษย์" ซึ่งประกอบด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ และ วิญญาณธาตุ ดังนั้นเมื่อร่างกายเจ็บป่วย การบำบัดรักษาจึงต้องบำบัดทั้งสิ่งหยาบ คือกาย และสิ่งละเอียด ซึ่งได้แก่พลังงานที่เชื่อมโยงอยู่ด้วยกัน ในอีกมุมหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า ความไม่เที่ยงของรูปกายและพลังงานในธรรมชาตินั้นเอง ที่เป็นเหตุให้เกิดเวทนาหรือความเจ็บป่วย จะเห็นได้ว่าถึงแม้จะเป็นการประยุกต์องค์ความรู้เพื่อมุ่งรักษาความเจ็บป่วย แต่ก็ยังคงมีความสอดคล้องกับหลักการของพระพุทธศาสนาในแง่ของการใช้ปัญญามาแก้ไขความทุกข์ที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง


    การใช้คลื่นพลังงานบำบัดทุกวิธี ช่วยรักษาโรคได้ทุกโรคทุกอาการ ไม่ว่าจะเป็น ภูมิแพ้ หัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง-ต่ำ อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคที่เกิดจาก ไวรัส, แบคทีเรีย ทุกชนิด มะเร็ง ฯลฯ


    [​IMG]


    พัฒนาการขององค์ความรู้ "วิถีแห่งสุขภาพองค์รวมของคลื่นพลังงานบำบัด" (Vibrational Medicine)

    มนุษย์ทุกคนในปัจจุบันนี้ ต้องรับพลังงานแม่เหล็กโลกที่ร้อนและหนักเข้าสู่ร่างกายตลอดเวลาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตามจังหวะของแรงดึงดูด (1 วินาที) ที่มีต่อกันระหว่างศูนย์กลางกาแล็คซี่ทางช้างเผือก สุริยจักรวาล และโลกของเรา เซลล์และเส้นเอ็นทั่วร่างกายจึงฝังและอัดแน่นเต็มไปด้วยพลังงานแม่เหล็กโลก จนทำให้การสั่นสะเทือนของนิวเคลียส (ศูนย์กลางของเซลล์) ลดต่ำลงไปตามลำดับ จนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต เนื่องจากภูมิต้านทานของร่างกายต่ำ ยิ่งไปกว่านั้น พลังงานแม่เหล็กโลกยังซ้ำเติมให้กระบวนการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ความเจ็บป่วยทุกชนิดมีอาการเรื้อรัง และเกิดการขยายตัวลุกลามอย่างรวดเร็ว จนแทบหมดทางแก้ไข ความเจ็บป่วยบางชนิดมีสาเหตุมาจากเชื้อโรค เช่น ไวรัส แบคทีเรีย ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้ต่างพัฒนาตัวเอง ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่หนาแน่นเต็มไปด้วยพลังงานเสียหรือมลภาวะ จึงเป็นสาเหตุให้อาการของแต่ละโรคยิ่งทวีความรุนแรงและซับซ้อน จนยากต่อการป้องกันและบำบัด

    วิถีแห่งสุขภาพองค์รวมของคลื่นพลังงานบำบัด ซึ่งเป็นทางเลือกของสุขภาพในปัจจุบัน ได้มีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องตามลำดับดังนี้

    พ.ศ. 2530-2535

    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ มุ่งสอนการฝึกปฏิบัติธรรม ประกอบด้วย สมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน 2 อุบายได้แก่ การเจริญสติให้เห็นอาการเกิด-ดับเป็นปัจจุบันขณะ (ลูกศิษย์จะเรียกวิธีนี้ว่า "การทำตึ๊บ" หรือ "การนับตัวเลขชน") และอีกอุบายคือ การหมุนธรรมจักร (ลูกศิษย์จะเรียกวิธีนี้ว่า "สมาธิหมุน") วัตถุประสงค์ของการฝึกจิตด้วยการนับตัวเลขชนเพื่อให้เห็นธรรมชาติการเกิด-ดับของขันธ์ 5 ที่ต้องรับการกระทบอยู่ทุกวินาที และสมาธิหมุนเพื่อให้เห็นความไม่เที่ยงของการรับการกระทบว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นการวนรอบของอายตนะภายนอก (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) ไปหาอายตนะภายใน คือตัวรู้ที่ใจอยู่ทุกวินาทีเช่นกัน

    อานิสงค์ของการฝึกจิตทั้งสองวิธีนี้มีด้วยกันหลายระดับ ตั้งแต่ ขั้นมีจิตหลุดพ้น มีดวงตาเห็นธรรม , จิตเกิดปัญญารู้จักการปล่อยวาง ละโลภ โกรธ หลง ได้ตามลำดับ , ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น เลิกดื่มสุรา เลิกสูบบุหรี่ เลิกเล่นการพนัน ฯลฯ กลายเป็นคนดีของครอบครัวและสังคม ยิ่งไปกว่านั้น อานิสงค์ที่เกิดขึ้นกับรูปหยาบ(ร่างกาย)กลับมองเห็นได้ชัดเจนกว่า คือการที่แต่ละคนมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง หลายๆคนหายจากโรคภัยที่เบียดเบียนอยู่ เนื่องจากทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรมที่บ้านด้วยการเจริญสติ ให้เห็นอาการเกิด-ดับเป็นปัจจุบันขณะนั้น ในเบื้องต้นผู้ฝึกใหม่ย่อมจะไม่สามารถเห็นอาการเกิด-ดับได้ทัน อาการเกิด-ดับจะเกิดขึ้นเป็นจังหวะ 1 วินาทีตามจังหวะของแรงดึงดูดจาศูนย์กลางของกาแล็คซี่ทางช้างเผือกที่มีต่อระบบสุริยจักรวาลและโลก พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จึงให้อุบายโดยการ นับตัวเลข 1 2 3 ...100 เข้าไปแตะยังฐานที่ใช้ฝึกปฏิบัติ จนกว่าผู้ฝึกจะเห็นอาการตึ๊บๆหรือตัวสันตติที่เกิดขึ้นและดับไปเป็นอัตโนมัติ จึงจะหยุดนับตัวเลข ความรู้สึก(จิต) ในขณะนั้นจะตั้งมั่นอยู่กับอาการตึ๊บๆ แต่เพียงอย่างเดียว เนื่องจากผู้ฝึกส่วนใหญ่มักจะมีเวทนาคือความเจ็บปวดของร่างกายปรากฏขึ้น ดังนั้นความเจ็บปวดตามส่วนต่างๆของร่างกายจึงถูกนำมาใช้เป็นฐานทดลองฝึกการเจริญสติ ทุก 1 วินาทีที่ผู้ฝึกส่งความรู้สึกเข้าไปแตะที่จุดบกพร่อง นิวเคลียสจุดศูนย์กลางของเซลล์จะเกิดการสั่นสะเทือน เป็นการช่วยฟื้นฟูเซลล์ไปในตัว ความเจ็บปวดจึงค่อยๆคลายลงๆ จนกระทั่งหายเป็นปกติโดยไม่ได้เจตนาและสำหรับบางคนที่มีความเจ็บปวดทางกายมาก เมื่อเริ่มฝึกปฏิบัติในแต่ละครั้งการนับตัวเลขยังคงเป็นเพียงการแตะที่ฐาน แต่หลังจากฝึกปฏิบัติไปสักครู่หนึ่ง นิวเคลียสหรือจุดเจ็บปวดเกิดการสั่นสะเทือนสามารถดันระบายของเสียออกมาได้บ้าง ผู้ฝึกจะรู้สึกเจ็บมากขึ้น ฉะนั้นเมื่อยิ่งเจ็บการส่งความรู้สึกไปให้ถึงที่ฐานจึงมีเจตนาที่แรงขึ้น จนกลายเป็นการส่งจิตไปชนกระทบ แทนที่จะ"แตะ"ตามธรรมชาติ และในที่สุดได้กลายเป็นการกระตุ้นเซลล์ไป

    สำหรับการหมุนธรรมจักร ซึ่งเป็นวิธีฝึกปฏิบัติที่ไม่ให้ความรู้สึก(จิต) ติดอยู่ที่หนึ่งที่ใดระหว่างจุดบกพร่องเจ็บปวดภายนอกกับตัวรู้ว่าเจ็บปวดอย่างไรภายใน"ใจ" เมื่อผู้ฝึกไม่ติดทั้งสองส่วน ผู้ฝึกจะเห็นการวนรอบของจิตจากจุดบกพร่องเจ็บปวดภายนอกเข้าไปหาตัวรู้ภายในใจ เกิดการเหวี่ยงหมุนวนไปมาเป็นรอบๆ ตามจังหวะของแรงดึงดูดทุกๆ 1 วินาทีเช่นกัน ดังนั้นนิวเคลียสศูนย์กลางของเซลล์ ตลอดจนขอบนอกของเซลล์ จะหมุนวนเคลื่อนที่ เป็นการช่วยระบายคลายความเจ็บปวด สารพิษสารตกค้าง ออกจากร่างกายได้โดยอัตโนมัติ ยิ่งไปกว่านั้นตัวอนุมูลอิสระจะจัดเรียงโมเลกุลใหม่กลายเป็นเซลล์ที่ดีได้ดังเดิม แต่ละคนจึงสามารถดูแลสุขภาพได้ด้วยตนเอง

    จะเห็นว่าวิธีฝึกปฏิบัติทั้ง 2 อุบาย ซึ่งมีพื้นฐานความรู้มาจากหลักของพระพุทธศาสนาเมื่อถูกนำมารวมกับความอยากหายจากโรคภัยที่เบียดเบียนอยู่ จึงทำให้ "จิต" ของแต่บุคคลมีพลัง เกิดเป็นคลื่นพลังงาน ทำหน้าที่ทั้งกระทบชน หรือเหวี่ยงหมุน ช่วยดันระบายโรคภัยไข้เจ็บออกไปจากร่างกายได้

    พ.ศ.2536-2539

    องค์ความรู้ได้พัฒนาเพื่อเป็นทางเลือกของสุขภาพมากขึ้น ใช้หลักของการพึ่งพลังจิตของตนเอง ทั้งช่วยรักษาและช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณได้ประยุกต์อุบายของวิปัสสนากรรมฐานทั้ง 2 อุบาย คือ ประยุกต์การเจริญสติให้เห็นอาการเกิด-ดับเป็นปัจจุบันขณะให้เป็นการกระตุ้นและฟื้นฟูเซลล์ และการหมุนธรรมจักรถูกประยุกต์เป็นการระบายของเสียและการจัดเรียงโมเลกุลในร่างกายใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น ได้เริ่มสอนให้ใช้พลังจิตดึงพลังงานที่มีคุณประโยชน์จากธรรมชาติเช่น พลังงานแสงกลางวัน พลังงานเส้นแสง เข้าสู่ร่างกาย เพื่อช่วยแก้ปัญหาของผู้ป่วยเอดส์,มะเร็ง ฯลฯ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เพื่อช่วยรักษาโรคและสร้างภูมิต้านทานให้กับตนเองนั้น เป็นหลักของการใช้คลื่นพลังงานบำบัดทั้ง 3 ด้าน คือ แต่ละบุคคลใช้พลังจิตดึงพลังงานเข้าสู่ร่างกาย แสงกลางวันและเส้นแสงเป็นพลังงานที่ทรงคุณค่าจากธรรมชาติ พลังงานทำงานช่วยรักษาร่างกายด้วยการเคลื่อนที่ไปมา ขึ้น-ลง หรือหมุนเหวี่ยง

    จากปากต่อปาก ทำให้วัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ที่มีพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เป็นเจ้าอาวาสอยู่นั้น มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่าเป็นสถานที่สอนการฝึกปฏิบัติเพื่อรักษาโรค จนสังคมทั่วไปรู้จักพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณในฐานะพระสงฆ์ที่สอนการรักษาโรคแต่เพียงอย่างเดียว ทั้งๆที่อุบายเรืองปัญญาวิปัสสนากรรมฐาน (การเจริญสติเกิด-ดับและการหมุนธรรมจักร) ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เป็นแนวทางที่เรียนรู้ตามได้ง่ายและมีความชัดเจน เนื่องจากคำสอนของพระอาจารย์จะอธิบายเรื่องของ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ฯลฯ ให้เป็นวิทยาศาสตร์ เรียกได้ว่าเป็นเส้นทางลัดตัดตรงจริงๆ

    วัดดอยเกิ้งได้รับงบประมาณจากกองควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุขให้เป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเอดส์ ระหว่างปีพ.ศ.2536-2543 แนวทางของการฝึกปฏิบัติจึงได้ปรับปรุงเพิ่มเติมเทคนิควิธีการให้เหมาะกับโรคและผู้ป่วย และแยกให้เห็นแนวทางของการฝึกปฏิบัติที่แตกต่าง ระหว่างการฝึกจิตเพื่อแสวงหาธรรม กับการฝึกจิตเพื่อรักษาโรคด้วยตนเอง

    พ.ศ.2540-2545

    ตั้งแต่ พ.ศ.2540 เป็นต้นมา สภาพของชั้นบรรยากาศโลกถูกทำลายมากยิ่งขึ้น เกิดผลกระทบต่อสภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเห็นได้ชัดเจน เริ่มต้นจาก ควันน้ำมัน , สาร CFC ทำลายชั้นบรรยากาศและแกนพลังงานโลก ทำให้พลังงานแม่เหล็กโลกแปรปรวนจนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต ทางเลือกของสุชภาพที่ใช้ "พลังจิต" เพื่อนำ "พลังงาน" มารักษาร่างกายต้องพบกับอุปสรรค ไม่สามารถฝึกปฏิบัติได้ดีดังเช่นแต่ก่อน เพราะพลังงานทุกชนิดในโลกทั้งที่ให้ประโยชน์และให้โทษ จะเปลี่ยนแปลงไปตามภาวะการแปรปรวนของปรากฏการณ์สำคัญตามธรรมชาติ 3 อย่างคือ การหมุนของโลก พลังกระแสลมปราณ และพลังงานแม่เหล็กโลก องค์ความรู้จึงได้พัฒนาเพื่อหาอุปกรณ์มาเสริมเพิ่มพลังจิต

    ด้วยญาณทัสนะ (ความรู้ที่ได้มาโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการนึก-คิด) พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จึงได้นำรูปทรงสามเหลี่ยมพีระมิดมาใช้เป็นอุปกรณ์เสริม รูปทรงสามเหลี่ยมพีระมิดมีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างไปจากรูปทรงอื่นๆคือ การไม่มีจุดศูนย์กลาง (นิวเคลียส) มีศักยภาพช่วยสะเทินพลังงานแม่เหล็กโลกซึ่งเป็นพลังงานที่ทำลายและย่อยสลายโมเลกุลในวัตถุหรือสสารทุกชนิด

    องค์ความรู้ได้มีการพัฒนาขึ้น เริ่มมีเทคนิควิธีการใหม่ โดยใช้พลังจิตร่วมกับพลังพีระมิด เช่นการเผา (เปรียบได้กับการฉายแสง) , การถู (การแต่งเซลล์) และนอกเหนือไปจากพลังงานแสงกลางวันและพลังงานเส้นแสงแล้ว ยังได้นำพลังงานอื่นๆมาใช้ให้เป็นประโยชน์อีกด้วย เช่น พลังงานกระแสลมปราณ พลังมโนธาตุ และโอโซน

    พ.ศ.2546-ปัจจุบัน

    การกระดกของแผ่นหินเปลือกโลกบนเกาะสุมาตราจนนำไปสู่ความเสียหายอย่างใหญ่หลวงทั้งชีวิตและทรัพย์สินเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 ยังคงเป็นจุดที่สร้างปัญหาบานปลายให้แก่โลกใบนี้ สภาพของแผ่นหินเปลือกโลกแผ่นนี้ยังคงกระดกเปิดอ้า กลายเป็นแหล่งที่ไหลลงของพลังงานแม่เหล็กโลก สะสมพลังงานแม่เหล็กโลกไว้ในช่องว่างใต้พื้นโลกอยู่ทุกวินาที เพิ่มความหนาแน่นรุนแรงมากขึ้นตามลำดับอย่างไม่หยุดยั้ง จนเกิดภัยพิบัติตามมาอย่างต่อเนื่อง เช่นแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เมื่อพลังงานแม่เหล็กโลกและมลภาวะมีความหนาแน่นมากขึ้นจนถึงระดับที่เรียกว่า "ท่วมโลก" มนุษย์เราจะรู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่เข้า เจ็บหัวใจแปล๊บๆ มึนศีรษะ หงุดหงิด โกรธง่าย รู้สึกปวดเมื่อยทั่วร่างกายโดยเฉพาะตามเอ็น ตามข้อ กระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูก ฯลฯ ความเจ็บป่วยทุกชนิดจะทวีอาการรุนแรงและเรื้อรังมากขึ้นกว่าเดิม แม้กระทั่งโรคธรรมดา เช่นไข้หวัด ต้องใช้เวลารักษานานจึงจะหายเป็นปกติ อาการผิดปกติของเซลล์(มะเร็ง)กลายเป็นปัญหาใหญ่ของชาย-หญิงในสังคมไทย ยิ่งไปกว่านั้น โรคที่เคยหายไปและเชื่อว่าจะไม่แพร่ระบาดอีก เช่น กาฬโรค ไข้กาฬหลังแอ่น ก็ยังหวนคืนกลับมา โรคร้ายบางชนิด เช่นวัณโรค ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก ฯลฯ หรือกล่าวโดยรวมว่าโรคที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ได้วิวัฒนาการปรับเปลี่ยนสายพันธุ์เพิ่มความซับซ้อนของโรคจนยากแก่การป้องกันรักษา

    เมื่อเกิดการสะสมจนพลังงานแม่เหล็กโลกท่วมโลก นอกจากทำให็นิวเคลียสจุดศูนย์กลางเซลล์สั่นสะเทือนน้อยลงแล้ว ยังเกิดผลกระทบต่อพลังงานที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย เช่นพลังกระแสลมปราณ ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานตามธรรมชาติให้แก่ร่างกาย , พลังงานแสงกลางวัน , พลังงานเส้นแสง , พลังมโนธาตุ ฯลฯ พลังงานที่ดีเหล่านี้มีเหลืออยู่ในชั้นบรรยากาศปกติน้อยมาก พลังงานที่ดีต่างลอยตัวขึ้นไปอยู่บนชั้นบรรยากาศระดับสูง เกินกว่าจะนำเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยการหายใจตามปกติ มนุษย์จึงเจ็บป่วยกันถ้วนหน้า เพราะภูมิต้านทานของร่างกายลดต่ำลง

    หลักการของการใช้พลังจิตร่วมกับพลังพีระมิดถึงเวลาต้องปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่อีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้ได้อาศัย "น้ำ" เข้ามาช่วย องค์ความรู้จึงได้ก้าวไปสู่ "วิถีแห่งสุขภาพองค์รวมของคลื่นพลังงานบำบัด" อย่างเต็มรูปแบบ เป็นทางเลือกของสุขภาพที่ใช้วิธีบำบัดทั้งจากขอบนอกของเซลล์จนลงลึกในระดับเซลล์ , จากนิวเคลียสศูนย์กลางเซลล์ออกมาสู่ขอบนอกของเซลล์ , การซ่อมแซมฟื้นฟูเซลล์ จนกระทั่งถึงการแต่งนิวเคลียสของเซลล์ที่ผิดปกติให้มีลักษณะกลมดังเดิม

    การบำบัดด้วยคลื่นพลังงาน

    ศาสตร์การบำบัดด้วยคลื่นพลังงานไม่ใช่ของใหม่ มีมาตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาล ฤาษี นักบวชส่วนใหญ่ ใช้พลังจิตดึงพลังงานจากธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ มาช่วยรักษาร่างกายและแม้แต่ในสมัยพุทธกาล อริยบุคลต่างใช้วิธีดูแลสุขภาพอย่างคล้ายคลึงกัน พุทธศาสนามองร่างกายมนุษย์มองร่างกายมนุษย์เราทุกคนว่าประกอบขึ้นด้วยสสาร คือรูป (ร่างกาย) และพลังงาน (จิตวิญญาณ) และบางทฤษฎีมองว่ามนุษย์เป็นสนามพลังงานที่มความซับซ้อน ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นคือสภาวะขาดความสมดุลของพลังงานในร่างกาย หากมีวิธีปรับเปลี่ยนให้พลังงานเหล่านี้กลับเข้าสู่สภาวะสมดุลได้ ระบบการทำงานของเซลล์และระบบภูมิคุ้มกันร่างกายจะกลับคืนเป็นปกติได้ด้วย ในขณะที่ทฤษฎีของวิทยาศาสตร์การแพทย์มองความเป็นมนุษย์ว่าเป็นเพียงส่วนประกอบของสสาร ที่มีอวัยวะ เช่น แขน ขา หัวใจ ปอด ฯลฯ และมีสารเคมีไหลเวียนอยู่ มีประสาทและสมองควบคุมการทำงาน มีระบบการทำงานเหมือนเครื่องจักรกล เพียงแต่มีความละเอียดและซับซ้อนกว่า ดังนั้นเมื่อเกิดโรคหรือมีความเจ็บป่วย จึงมีสาเหตุมาจากการทำงานผิดปกติของอวัยวะ หรือความไม่สมดุลของสารเคมีภายในร่างกาย วิธีรักษาจึงต้องปรับปรุงการทำงานของอวัยวะเหล่านั้นใหม่ โดยการใช้ยา เพื่อมุ่งทำลายเชื้อโรค ผ่าตัดและใส่อวัยวะอันใหม่แทนที่อันเก่าที่ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ

    ในปัจจุบันนี้ มนุษย์เริ่มเข้าใจแล้วว่า "ยา" บางชนิดนอกจากใช้บำบัดโรคไม่ได้ผลแล้ว ยังเกิดผลข้างเคียงต่อเซลล์อื่นๆในร่างกายและมีราคาแพงเกินจริง ทางเลือกของสุขภาพมีด้วยกันหลายทางเลือก และวิถีแห่งสุขภาพองค์รวมของคลื่นพลังงานบำบัดหรือที่เรียกสั้นๆว่า การบำบัดด้วยคลื่นพลังงาน เป็นทางเลือกที่ไม่ใช้ยา หากแต่ใช้พลังจิต พลังพีระมิด พลังงานจากน้ำและอาหาร เป็นอุปกรณ์ช่วยในการบำบัดรักษา

    พลังจิต

    พลังจิตเป็นพลังงานที่ทุกคนมีอยู่แล้วในตนเอง ในแต่ละวันพลังจิตถูกนำไปใช้เพียงเล็กน้อย เพื่อการกินอยู่ หลับนอน พักผ่อน สืบพันธุ์ นึกคิด เพียง 7% เท่านั้นเอง หากได้รู้วิธีการนำส่วนที่เหลืออีก 93% มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการบำบัดดูแลสุขภาพด้วยตนเองได้ นอกจากจะเป็นการปลูกฝังให้แต่ละบุคคลรู้วิธีของการพึ่งตนเองแล้ว ยังช่วยส่งเสริมแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงอีกด้วย มนุษย์ทุกคนจะมีอาการเจ็บป่วยหรือไม่ก็ตาม ไม่มีใครอยากตาย เพราะแต่ละคนต่างถูกผูกและดึงไว้ด้วยความรักชีวิต รักและผูกพันกับบุคคลในครอบครัว ความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน ฯลฯ ความรู้สึกทั้งหมดเหล่านี้ หากสามารถนำมารวมเป็นหนึ่งเดียวได้ จะมีกำลังมหาศาลมากพอที่จะต่อสู้กับโรคภัยที่เบียดเบียน และช่วยสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
    ด้วยศักยภาพของพลังจิต จึงสามารถนำพลังพีระมิดมาใช้เป็นประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย

    พลังพีระมิด

    ศาสตร์ความรู้เกี่ยวกับพีระมิดและพลังพีระมิดมีให้ค้นคว้าหาอ่านได้หลายภาษา และให้ความรู้แตกต่างกันไปหลายทฤษฎี สำหรับองค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตณญาโณ ด้านพลังพีระมิดนั้น เป็นความรู้ที่ได้มาจากการใช้พื้นฐานความรู้หลักของพุทธศาสนา คือการทำลายอวิชชา 8 ซึ่งผู้ฝึกปฏิบัติจักต้องผ่านให้ได้ตามลำดับ ตั้งแต่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค การรู้จักอดีต การรู้จักอนาคต การผูกโยงอดีตกับอนาคตเข้าด้วยกัน และอันดับสุดท้ายคือการเห็นการวนรอบของปฏิจจสมุปบาท พระอาจารย์รัตน์ รตณญาโณ ได้ใช้พลังจิตย้อนอดีตเข้าไปศึกษาความรู้เดิมของท่านในสมัยอาณาจักรแอตแลนติสและอียิปต์ นำคุณสมบัติพิเศษของรูปทรงสามเหลี่ยมคือการไม่มีจุดศูนย์กลางหรือนิวเคลียส นำมาประยุกต์ใช้เป็นอุปกรณ์เสริมช่วยมนุษย์ทั้งที่ป่วยและไม่ป่วย ให้สามารถฝึกปฏิบัติ ดูแลสุขภาพได้ด้วยตนเอง ในภาวะที่ร่างกายของทุกคนถูกอัดและฝังแน่น จนนิวเคลียสจุดศูนย์กลางเซลล์แทบจะไม่สั่นสะเทือน ภูมิต้านทานร่างกายลดต่ำลงมาก จากสาเหตุที่พลังงานแม่เหล็กโลกและมลภาวะกำลังท่วมโลกอยู่ในขณะนี้
    พลังพีระมิดถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในช่วงปลายปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นช่วงต้นๆของการเริ่มเกิดสภาพโอโซนโหว่ และพลังงานแม่เหล็กโลกเริ่มแปรปรวน ตลอดระยะเวลาร่วม 10 ปี การนำพลังพีระมิดมาใช้ได้มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ เพื่อให้เป็นประโยชน์สมตามเจตนารมณ์ของพระอาจารย์รัตน์ รตณญาโณ ผู้คิดค้นพลังพีระมิดมาใช้เพื่อช่วยชีวิตมนุษย์
    พีระมิดของพระอาจารย์รัตน์ รตณญาโณ ทำมาจากแร่มโนธาตุ อาจจะมีสีที่แตกต่างกัน เช่น ดำ น้ำตาล ขาว ทุกสีสามารถตอบสนองธาตุรู้ในใจได้เหมือนกัน และไม่สามารถลอกเลียนแบบได้
    พลังงานและพลังน้ำ
    ร่างกายของมนุษย์นอกจากจะประกอบด้วยธาตุหยาบ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้ว ในการดำรงชีวิตอยู่ จำเป็นต้องอาศัยธาตุละเอียดที่สำคัญอื่นๆอีก อันได้แก่ อากาศธาตุ และ วิญญาณธาตุ
    อากาศธาตุ ได้แก่ ก๊าซต่างๆที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี เช่น ออกซิเจน ไนโตรเจน ฯลฯ นอกจากนี้แล้วยังมีธาตุละเอียดอีก 2 ธาตุที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อร่างกายมนุษย์ ได้แก่ กระแสลมปราณ และ ธาตุว่าง
    กระแสลมปราณเป็นพลังงานที่โลกของเราได้รับมาจากดวงอาทิตย์ ตามอิทธิพลของแรงดึงดูดที่ดวงอาทิตย์มีต่อโลก ตามปกติแล้วกระแสลมปราณจะมีอยู่ในแกนพลังงานโลกเหมือนกับมโนธาตุและพลังงานแม่เหล็กโลก เป็นพลังงานที่มนุษย์ทุกคนได้รับอย่างเท่าเทียมกัน ทุกลมหายใจเข้าเรียกว่าเป็นพลังแห่งชีวิต อาจจะเรียกว่า ชี่ หรือ ปราณะ เป็นพลังภูมิต้านทานของร่างกายทุกคน ช่วยหล่อเลี้ยงเส้นเลือด หลอดเลือดไม่ให้ตีบตัน เมื่อแกนพลังงานโลกถูกสาร CFC ทำลาย พลังกระแสลมปราณจึงแพร่กระจายอยู่ทั่วไปในบรรยากาศ และค่อยๆลอยขึ้นไปอยู่บนบรรยากาศชั้นสูงๆ พ้นไปจากมลภาวะ จนกระทั่งไม่สามารถไหลเข้าสู่ร่างกายมนุษย์พร้อมกับลมหายใจเข้าได้เหมือนดังในอดีต มนุษย์จึงมีสุขภาพถดถอยลงไปตามลำดับ
    วิญญาณธาตุ คือธาตุรู้ หรือมโนวิญญาณ หรือมโนธาตุ เป็นธาตุประกอบสำคัญที่เสริมสร้างความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ เป็นเวไนยสัตว์ที่สามารถรับความรู้ เรียนรู้ได้อย่างกว้างขวาง แตกต่างไปจากสัตว์ทั่วๆไป จุดศูนย์กลางเซลล์หรือนิวเคลียสในร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยมโนธาตุ และศูนย์กลางของมโนธาตุหรือธาตุรู้ที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายอยู่ที่หัวใจ เหมือนกับมโนธาตุเป็นธาตุประกอบสำคัญอยู่ชั้นในสุดของแกนพลังงานโลก เมื่อแกนพลังงานโลกถูกสาร CFC ทำลาย มโนธาตุซึ่งเป็นธาตุละเอียดเช่นเดียวกับกระแสลมปราณ ได้ลอยตัวสูงขึ้นพ้นไปจากสภาพของมลภาวะ มโนธาตุในร่างกายมนุษย์กำลังถูกพลังงานแม่เหล็กโลกทำลาย จึงมีอาการ เจ็บ เสียวแปล๊บๆ ที่หัวใจ คล้ายถูกช็อต หากมนุษย์เหลือมโนธาตุน้อยลง จะส่งผลกระทบต่อจิตใจ กลายเป็นคนโหดร้าย อำมหิต ขาดเมตตาธรรม
    ด้วยศักยภาพของพลังพีระมิด วิธีดึงพลังกระแสลมปราณ พลังมโนธาตุ และธาตุว่าง จากชั้นบรรยากาศระดับสูงเพื่อเข้าสู่ร่างกายให้ได้เหมือนเดิม จึงได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ
    พลังพีระมิดในช่วงเริ่มต้น ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2541 - 2548 มีหลักของการใช้พลังพีระมิดเพื่อนำพลังกระแสลมปราณ พลังมโนธาตุเข้าสู่ร่างกาย โดยอาศัยการหมุนเหวี่ยง ซึ่งมีหลักของการจัดวางพีระมิดเลียนแบบการหมุนของโลกรอบดวงอาทิตย์ คือจัดวางก้อนพีระมิดประกอบขึ้นเป็นแกนกลางศูนย์กลางแรงดึงดูด อยู่ในบ้าน ห้องพัก และวางก้อนพีระมิดที่มีขนาดเล็กกว่าอยู่ตามมุมบ้านหรือมุมห้องทั้ง 8 ทิศ
    เมื่อไม่มีแกนพลังงานโลก การหมุนของโลกจึงผิดปกติมาตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2544 และเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากการซ้ำเติมของพลังงานแม่เหล็กโลกซึ่งท่วมโลก โลกถูกกาแล็คซี่ทางช้างเผือกดึงไปทางทิศเหนือจนติดขอบของสุริยจักรวาล แต่ทว่าไม่สามารถหลุดพ้นออกไปจากแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์ที่ยังคงมีอิทธิพลต่อโลกอยู่ ลมหายใจของมนุษย์ที่เคยหายใจได้ลึก และนำกระแสลมปราณเข้าไปกระทบกับฐานของกายที่ท้องทุกครั้ง ซึ่งช่วยทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายตามธรรมขชาติสูงขึ้นนั้นกลับลดลง เพราะหายใจได้สั้นลง หายใจลึกได้เพียงแค่คอ หลักของการใช้พีระมิดจึงต้องเปลี่ยนจากแรงหมุนเหวี่ยง เป็นแรงดึงดูดเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยนำก้อนพีระมิดประกอบขึ้นเป็นแท่งเพื่อสร้างแกนโลกเทียม และอาศัยพลังจากน้ำเพื่อเพิ่มแรงดึงดูดให้มีมากขึ้นพอที่จะเหนี่ยวนำพลังงานที่ดีและมีประโยชน์เข้าสู่ร่างกายได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
    น้ำเป็นสสารที่มีอยู่ทั่วไป ทั้งในดิน อากาศ หรือแม้แต่ในร่างกายมนุษย์ยังประกอบด้วยน้ำ เช่น โลหิต นำเหลือง ตลอดจนน้ำและอาหารที่รับประทาน ยิ่งไปกว่านั้น ในชั้นบรรยากาศระดับสูงยังพบสายน้ำในอากาศกลุ่มใหญ่จำนวนมากมีทิศทางการเคลื่อนที่ไปในทางเดียวกัน ฉะนั้นหากสามารถทำโมเลกุลของน้ำให้มีความเข้มข้นสูงมากขึ้น โดยมีถังใส่น้ำ มอเตอร์ปั๊มน้ำ เสียบปลั๊กไฟให้มอเตอร์ทำงาน เกิดการหมุนเวียนของน้ำ และใช้พลังพีระมิดที่มีศักยภาพสามารถส่งแรงดึงดูด เหนี่ยวนำพลังงานและธาตุละเอียดที่มีประโยชน์ เช่น กระแสลมปราณ มโนธาตุ ธาตุว่าง จากน้ำในอากาศลงมาสู่น้ำในถังที่มีความเข้มข้นสูงกว่า และปล่อยน้ำเจือพลังงานเหล่านั้นให้ไหลไปตามท่อหรือสายยางและแทรกเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ตามวัตถุประสงค์ของอุปกรณ์แต่ละชนิด


    -----------------
    ขอขอบคุณที่มาของข้อมูล:
    http://santati2007.googlepages.com/vibration
     

แชร์หน้านี้

Loading...