วัดไผ่ล้อมกับความเปลี่ยนแปลง ๑ ปีหลัง หลวงพ่อพูล มรณภาพ

วัดไผ่ล้อมกับความเปลี่ยนแปลง ๑ ปีหลัง 'หลวงพ่อพูล' มรณภาพ


วันอาทิตย์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๔๘ เวลา ๑๔.๕๕ น. หลวงพ่อพูล อัตตรักโข (พระมงคลสิทธิการ วิ.) พระอมตเถราจารย์ เทพเจ้าแห่งเมตตาบารมี ได้ละสังขารอย่างสงบแล้ว ทิ้งไว้เพียงเสียงธรรมคำสั่งสอนและคุณงามความดีที่สั่งสมมาตลอด ๙๓ ปี แห่งอายุขัย

หนึ่งปีแห่งการละสังขารของหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ "หลวงพี่น้ำฝน" ศิษย์เอกหลวงพ่อพูล รักษาการเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้พยายามสานต่อเจตนารมณ์ของหลวงพ่อพูล ซึ่งท่านได้มีโครงการก่อนมรณะ ๒ โครงการ คือ
๑.โครงการจัดสร้างเมรุไร้มลพิษสำหรับให้บริการญาติโยมที่เสียชีวิตฟรีๆ และ
๒.โครงการพัฒนาโรงเรียนวัดไผ่ล้อม ซึ่งเป็นโรงเรียนที่หลวงพ่อพูลสร้างขึ้นและให้ความอุปถัมภ์ตลอดมาทั้งชีวิต
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทางวัดจะจัดเตรียมเครื่องดอกไม้ หมากพลู ธูป เทียนไว้ แต่ทางวัดก็ไม่เคยกำหนดราคาอย่างใด ขึ้นอยู่กับความศรัทธาของญาติโยม การไม่กำหนดราคา หลายคนอาจจะคิดว่าวัดไม่ได้อะไร แต่แท้ที่จริงแล้วการทำบุญด้วยความศรัทธา วัดได้มากกว่าการตั้งราคา ในที่นี้รวมถึงการทำบุญถวายสังฆทานก็ไม่มีการกำหนดราคาด้วย ศรัทธาเท่าไรก็ทำเท่านั้น
หลวงพี่น้ำฝน บอกว่า หลังหลวงพ่อพูลมรณภาพ ตลอดทั้งปีที่ผ่านมานั้น ศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนเดินทางมาวัดเพื่อกราบไหว้สรีระของหลวงพ่ออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ วัดหยุดนักขัตฤกษ์ และเทศกาลสำคัญๆ ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่า มากกว่าช่วงที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ
แม้ว่าจะมีผู้คนหลากหลายอาชีพเดินทางมาวัดเป็นจำนวนมาก แต่วัดไม่ได้ละเลยเรื่องความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในวัด โดยทางวัดได้นำนโยบายของพระพรหมสุธี กรรมการมหาเถรสมาคมที่มอบให้ไว้ ซึ่งทุกวันนี้จะเห็นได้ทุกบริเวณของวัด โดยเฉพาะห้องน้ำซึ่งคนมาวัดมักจะถามถึงห้องน้ำเป็นอันดับแรกก่อนที่ไหว้พระด้วยซ้ำไป โดยสร้างห้องน้ำใหม่กว่า ๒๐ ห้อง ใช้สุขภัณฑ์อย่างดี

สำหรับผู้เดินทางมาวัดนั้นมีจุดประสงค์ ๔ อย่าง คือ ๑.มากราบขอพรจากสังขารหลวงปู่ ๒.มาเจิมแป้งเมตตามหานิยม และทำพิธีสะเดาะเคราะห์เสริมบารมี ๓.บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด เช่น พระประธานในอุโบสถ โดยเปิดให้กราบไหว้ตั้งแต่ ๐๗.๐๐-๑๙.๐๐ น. ซึ่งวัดทั่วๆ ไปจะปิดโบสถ์เฉพาะช่วงมีการบวชเท่านั้น โดยสร้างไปหลายสิบล้านบาท ปิดตายไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์ และ ๔.มาไหว้ท้าวเวสสุวรรณ เท้ากุเวรมหาราช กุมารทอง และเจ้าแม่ตะเคียน ซึ่งแกะสลักจากต้นตะเคียนแท้ๆ จาก อ.กำแพงแสน ซึ่งได้จากนิมิตของหลวงพ่อพูล ระหว่างมีชีวิตอยู่
รักษาการเจ้าอาวาสยังพูดถึงการใบ้หวยให้เลขเด็ดของหลวงพ่อพูลไว้อย่างน่าคิดว่า "ถ้ารู้เลขจริงป่านนี้คงไม่ต้องมานั่งเจิมนะเมตตามหานิยม สะเดาะเคราะห์ รวมทั้งสร้างวัตถุมงคล เอาเงินไปซื้อหวยเลยดีกว่า ไม่เฉพาะพัฒนาวัดไผ่ล้อมเท่านั้น จะพัฒนาวัดทั้งประเทศเลย เรื่องโชคลาภขึ้นอยู่กับวาสนาของแต่ละบุคคล อย่างกับกรณีเลขที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อพูลมีเกือบ ๓๐ ตัว ใครชอบเลขไหนก็เลือกซื้อเอา คนที่ถูกก็กลับมาทำบุญ ส่วนคนไม่ถูกก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่กลับมา เพราะคิดว่างวดนี้ไม่ถูก งวดหน้าก็ยังมี หลวงพ่อพูลน่าจะเมตตาสักงวด"

ส่วนความคืบการก่อสร้างเมรุปลอดมลพิษและศาลาบำเพ็ญกุศล ๓ หลัง (ศาลาสวดศพ) นั้น ขณะนี้การก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ใช้งบประมาณกว่า ๔๕ ล้านบาท และตามปณิธานหลวงพ่อพูลที่เคยให้ไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ โดยต่อไปนี้ถ้ามีญาติโยมท่านใดจะนำศพมาบำเพ็ญกุศลที่วัด จะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ทางวัดจะนำเงินทำบุญส่วนหนึ่งมาตั้งเป็นกองทุนเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ที่นำศพมาบำเพ็ญกุศลที่วัด ส่วนญาติผู้เสียชีวิตจะมีความศรัทธาทำบุญก็จะนำเข้ากองทุนเพื่อช่วยเหลือญาติผู้เสียชีวิตรายต่อไป
"แม้ว่าอาตมาจะมีอายุเกิดและอายุพรรษาน้อย แต่อย่ามองว่าทำงานบริหารจัดการวัดไม่ได้ โปร่งใสหรือไม่โปร่งใส ให้ดูผลงานภายในวัดและนอกวัด ซึ่งน่าจะเป็นเครื่องชี้บอกได้อย่างเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกันวัดไผ่ล้อมก็มีไวยาวัจกรณ์ ดูแลบัญชีของวัดอยู่ตลอดเช่นเดียวกับวัดอื่นๆ" หลวงพี่น้ำฝน กล่าวพร้อมกับบอกด้วยว่า
ปณิธานที่หลวงพ่อพูลฝากไว้อีกข้อหนึ่งคือ การพัฒนาโรงเรียนวัดไผ่ล้อม ซึ่งหลวงพ่อเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๒ ปัจจุบันมีนักเรียนประมาณ ๒,๐๐๐ คน ทั้งนี้จะมีการสร้างอาคารเรียน ๔ ชั้น โดยใช้งบประมาณกว่า ๒๐ ล้านบาท และอาคารพลศึกษามูลค่า ๕ ล้านบาท รวมทั้งปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในโรงเรียนให้เหมาะสมกับการเป็นสถานที่ศึกษา
สำหรับการจัดสร้าง "เหรียญนพรัตน์นพคุณ" นั้น พระครูน้ำฝนบอกว่า จัดสร้างขึ้นเพื่อน้อมระลึกวันละสังขารของ หลวงพ่อพูล อัตตรักโข พระอมตเถราจารย์ เทพเจ้าแห่งเมตตาบารมี โดยอัญเชิญยันต์พระคาถาที่มีตำนานเล่าขานว่า