ลัทธิผี ..

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย paang, 31 กรกฎาคม 2005.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,328
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="49%"><DL><DD>[​IMG]ลัทธิผี บรรดานักคิดสมัยบรรพกาลสรุปว่า มนุษย์ทุกคนมีสองสิ่งอยู่ในความเป็นตัวตน คือ ชีวิต และเจตภูต (spirit: วิญญาณ) ทั้งสองสิ่งนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดอยู่ในร่างกายของคนเรา ชีวิตทำให้มีความรู้สึก มีความคิด เจตภูต ก็คือ ร่างที่สองที่เป็นเงา</DD><DD>

    โบราณเชื่อว่า เมื่อร่างกายของคนเราตายลงไปแล้ว วิญญาณหรือเจตภูต ในร่างกายของคนเราจะแยกตัวออกไปสิงสู่อยู่ในร่างคนอื่น หรือในร่างของสัตว์ หรือในสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในธรรมชาติ และนี่เองจึงทำให้เกิดลัทธินับถือวิญญาณ หรือผี ขึ้น เพราะเชื่อว่า วิญญาณเหล่านั้นจะบันดาลสิ่งต่าง ๆ ขึ้นได้
    </DD></DL>

    <DL><DD>
    ลัทธินับถือผี จะติดต่อกับวิญญาณเฉพาะกลุ่มหรือเจาะจงลงไปว่า เป็นวิญญาณของใคร ซึ่งวิธีนี้ต่างกับ การนั่งเรียกวิญญาณของลัทธิ หมอผี ที่ไม่เจาะจงวิญญาณที่ติดต่อด้วย ลัทธินี้เกิดขึ้นจากความอยากรู้เกี่ยวกับชีวิตหลังความตายและวิธีที่ดีที่สุดก็คือ การติดต่อกับดวงวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว

    ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 24 ยุโรปตะวันตกและสหรัฐอเมริกาได้ตกอยู่ใต้อำนาจความสนใจในการที่จะติดต่อกับวิญญาณของคนตาย แม้พวกเขาจะไม่ปักใจเชื่อว่า วิญญาณจะมีอำนาจเหนือชีวิตมนุษย์ แต่ก็เชื่อว่า คนตายสามารถปรากฏกายในรูปของภูตผีได้ ในยุคต้น ๆ นั้น การติดต่อกับดวงวิญญาณไม่ได้มีขึ้นอย่างจริงจังหรือเป็นระเบียบแบบแผน วิญญาณปรากฏในรูปแบบที่ไม่แน่นอน อาจเป็นภาพหรือเสียง และโดยมากจะมารบกวนผู้ที่พบเห็นหรือได้ยิน

    ตัวอย่างการหลอกหลอนมีบันทึกไว้มากมาย แต่การติดต่อกับดวงวิญญาณที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพียงการหลอกหลอนเท่านั้น จนกระทั่งกลางพุทธศตวรรษที่ 24 ความคิดที่จะพูดคุยสื่อสารกับคนตายจึงเกิดขึ้นจริง ๆ การสื่อสารไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะเคยมีเกิดขึ้นมาแล้ว

    การติดต่อกับวิญญาณได้มีการพัฒนาอย่างจริงจังในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตระกูลฟอกซ์ที่ นิวยอร์ก

    ในปี พ.ศ. 2391 ตระกูลฟอกซ์ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหม่ใน นิวยอร์กหลังจากย้ายเข้ามาได้ไม่นานครอบครัวนี้ก็เริ่มได้ยิน เสียงเคาะที่เกิดจากวิญญาณ สองสาวพี่น้องตระกูล ฟอกซ์ พบวิธีติดต่อกับวิญญาณ โดยพบว่าเสียงเคาะมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับเสียงปรบมือตามด้วยการถามคำถาม จากการถาม-ตอบ โดยใช้รหัสดังที่กล่าว ก็พบว่า วิญญาณที่ปรากฏเป็นผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกฆาตกรรมและถูกฝังหมกไว้ใต้บ้านหลังนั้นเอง การขุดค้นเริ่มขึ้นและสิ่งที่พบก็สร้างความแตกตื่นให้กับชุมนุม สิ่งที่พบก็คือ โครงกระดูกของผู้เคราะห์ร้าย ซึ่งเป็นจริงตามข้อความที่ได้ใช้รหัสติดต่อกับดวงวิญญาณไว้

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ดึงดูดความสนใจของสาธารณชนอย่างมากและความยุ่งเหยิงที่เกิดจากเสียงเคาะก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุด พี่น้องตระกูลฟอกซ์ ก็ออกจากบ้านหลังนั้นและแยกกันไปอาศัยกับญาติพี่น้องคนอื่น หลักการย้ายออกไปของพวกตระกูลฟอกซ์ เสียงเคาะในบ้านไม่ได้หยุดหรือหายไป แต่ถูกครอบงำด้วยพิธีกรรมทางวิญญาณอื่น ๆ ผู้คนเริ่มทำพิธีเรียกวิญญาณและได้รับข้อความจากวิญญาณพร้อมด้วยปรากฏการณ์อื่น ๆ เช่น การสั่นของโต๊ะ สิ่งของลอยได้ ฯลฯ ที่จะมีขึ้นทุกครั้ง ที่มีการ เรียกวิญญาณ ซึ่งแพร่หลายต่อมาใน สหรัฐอเมริกาเหนือ และยุโรป ความสนใจยังคงมุ่งไปที่พี่น้องตระกูล ฟอกซ์ ที่ต่อมากลายเป็น ร่างทรงวิญญาณ การเรียกวิญญาณ มีเพิ่มมากขึ้น จำนวนของร่างทรง เพิ่มขึ้นเพื่อสนองความต้องการของประชาชน ระหว่างการเรียกวิญญาณนั้นจะมีปรากฏการณ์ที่มักจะเกิดขึ้น คือ โต๊ะสั่น วัตถุเลื่อนได้ เสียงประหลาด ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นข้อพิสูจน์ว่าการติดต่อกับวิญญาณได้เกิดขึ้นแล้ว

    ความนิยมในการนั่งเรียกวิญญาณ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากความสงสัยอยากรู้เป็นความต้องการที่ติดต่อกับผู้เป็นที่รักซึ่งตายจากไป ด้วยความห่วงหาอาทรว่าชีวิตหลังความตายของคนที่รักนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นหรือไม่

    เมื่อความนิยมเพิ่มมากขึ้น การเรียกวิญญาณก็เริ่มมีการแสดงโดยไม่จุดประสงค์เพื่อหลอกลวงเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้ที่ไม่เชื่อใน การเรียกวิญญาณ เริ่มออกมาเรียกร้องหาข้อพิสูจน์ว่า การเรียกวิญญาณ นี้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติจริงหรือไม่ ส่วนผู้ที่เชื่อเรื่องนี้อย่างฝังใจก็ไม่ได้สะทกสะท้านกับข่าวที่ออกมาต่อต้านแต่อย่างใด

    พี่น้องตระกูล ฟอกซ์ ยอมรับว่าได้มีการแสดงลวงหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการที่โต๊ะสั่น หรือเสียงประหลาดต่าง ๆที่ได้ยิน ก็ล้วนเกิดจากการแสดงประกอบขึ้นทั้งสิ้นแต่ผู้ที่มีความเชื่อและเห็นเหตุการณ์ยังคงคิดว่า ปรากฏการณ์นั้น ๆ ไม่น่าจะเกิดจากการกระทำของมนุษย์ได้ เองจากต้นเหตุของสียง ความแรง และการกระจายของเสียงที่มาจากทิศทาง ไม่น่าจะแสดงได้แนบเนียนพร้อม ๆ กัน เสียงที่ได้ยินน่าจะเป็นเสียงที่มาจากวิญญาณมากกว่า ต่อมาสองพี่น้อง ฟอกซ์ เริ่มมีปัญหาทางการเงินและได้ออกมากลับคำสารภาพว่า ที่ทำไปก็เพื่อเงินเท่านั้น เป็นเหตุให้ความน่าเชื่อถือของสองพี่น้องลดลงตามลำดับ

    ความเชื่อในวิญญาณนั้นไม่ได้ลดน้อยลงตามชื่อเสียงของพี่น้อง ฟอกซ์ประชาชนชายหญิงต่างเข้าร่วมพิธี เรียกวิญญาณ มากขึ้นตามกระแสนิยม แม้จะมีการแสดงลวงอยู่บ้างผู้คนก็ไม่ได้สนใจกลับมีความกระตือรือตร้นที่จะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ การแสดงลวงจึงมักเป็นส่วนประกอบสำคัญของการเรียกวิญญาณ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เพียงแค่ต้องการเห็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติและความต้องการนั้นก็เป็นแรงกดดันให้ผู้ประกอบพิธีสร้างสิ่งเหนือธรรมชาติขึ้น

    การเรียกวิญญาณ มักจัดขึ้นในห้องมืดจึงง่ายต่อการแสดงลวง เหตุการณ์จริงและการแสดงมีขึ้นคละเคล้ากันไป คนทรง อ้างว่า การแสดงลวงต้องมีขึ้นบ้างเพื่อล่อให้มีเหตุการณ์จริงเกิดขึ้น ความสามารถของ คนทรงนั้นไม่คงที่ เขาไม่สามารถเรียกสิ่งประหลาดให้เกิดขึ้นในการชุมนุมทุกครั้งและนั่นเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการแสดงลวง

    ผู้เข้าร่วม เรียกวิญญาณ นั้นมีทุกประเภท มีทั้งผู้ที่เชื่อและไม่เชื่อในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้ที่คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องหลอกลวงก็จะพยายามหาหลักฐานมาพิสูจน์ให้เห็นว่ามันเป็นเพียงการแสดง มีคนทรงหลายคนที่ถูกจับได้และโดนข้อหาหลอกลวงประชาชนและต้องติดคุกหลายปี เมื่อโดนจับได้ยังต้องทนกับคำครหาเยาะเย้ยต่าง ๆ นานาจากผู้คนด้วย ถึงกระนั้น ก็ยังมีร่างทรงอีกหลายคนที่กลุ่มผู้ต่อต้านไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้

    เชอร์โอลิเวอร์ ลอดจ์ (Sir Oliver Lodge) มีความเป็นกลางในความเชื่อนี้และได้ถูกขอให้ทำการค้นคว้าทดลองให้กับองค์กร หนึ่งในผู้ถูกทดลอง คือ คนทรงชาว สหรัฐอเมริกา ชื่อลีโอโนรา ไปเปอร์ (Leonora Piper) ผู้ที่เชี่ยวชาญในการติดต่อกับวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ไปเปอร์ ในฐานะร่างทรง มีความสามารถในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง สร้างความประหลาดใจให้กับ เซอร์โอลิเวอร์ และผู้สืบสวนคนอื่น ๆ ที่คอยวางกับดักจับผิดเธอตลอดเวลาหลายปี มีการจ้างนักสืบติดตามดูว่า เธอได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ มาก่อนหรือไม่ ผลปรากฏว่า เธอไม่ทำการสืบเสาะค้นคว้าแต่อย่างใด ผู้ที่เข้าร่วมในพิธีในการเป็นร่างทรงของ ลีโอโนรา จะเป็นใครก็ได้และถ้อยคำที่หลุดออกมาจากปากของร่างทรง ลีโอโนรา ก็ยังสามารถตอบคำถามและให้ข้อมูลเกี่ยวกับญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้วของคนผู้นั้นได้อย่างถูกแม่นยำ บ่อยครั้งที่การสื่อสารที่ดำเนินไปนั้นเสียงที่เปล่งออกมามีสำเนียงและลักษณะเดียวกับเสียงของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

    ผู้ที่ทำการสืบสวนพยายามอธิบายว่า การทำนายที่เกิดขึ้นอาจจะมาจากการใช้กระแสจิต หรือ การอ่านจิตใจ ไม่ใช่การติดต่อกับวิญญาณของคนตายโดยตรง บางครั้งคำอธิบายนี้ก็ใช้ไม่ได้ผลเนื่องจากข้อมูลที่ ลีโอโนรา ให้นั้นผู้ที่ถามไม่ทราบมาก่อน ต้องกลับไปสอบถามจากญาติคนอื่น ๆ จึงจะทราบได้


    [​IMG]



    </DD></DL></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2005

แชร์หน้านี้

Loading...