เรื่องเด่น รวมธรรมะครูบาอาจารย์ ตอน พระพุทธเจ้าทรงสอนวิธี "พยากรณ์โสดาบัน"

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 2 สิงหาคม 2017.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    รวมธรรมะครูบาอาจารย์ ตอน ทรงสอนวิธี "พยากรณ์โสดาบัน"
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘
    สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
    คหบดีวรรคที่ ๕
    หลักเกณฑ์พยากรณ์ภาวะโสดาบันของตนเอง
    20449221_10213897663545414_8434072304381228452_o.jpg

    คหบดี ! ในกาลใด ภัยเวร ๕ ประการ
    อันอริยสาวกทำให้สงบรำงับได้แล้ว ด้วย, อริยสาวกประกอบ
    พร้อมแล้วด้วยโสตาปัตติยังคะสี่ ด้วย, อริยญายธรรม
    เป็นธรรมที่อริยสาวกเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดี
    ด้วยปัญญา ด้วย;
    ในกาลนั้น อริยสาวกนั้น เมื่อหวังอยู่ก็พยากรณ์
    ตนด้วยตน นั่นแหละว่า
    “เราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดเดรัจฉานสิ้นแล้ว
    มีเปรตวิสัยสิ้นแล้ว มีอบายทุคติวินิบาตสิ้นแล้ว, เราเป็น
    ผู้ถึงแล้วซึ่งกระแส (แห่งนิพพาน) มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
    เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมเป็นเบื้องหน้า”
    ดังนี้.
    คหบดี ! ภัยเวร ๕ ประการ เหล่าไหนเล่า
    อันอริยสาวกทำให้สงบรำงับได้แล้ว ?
    (๑) คหบดี ! บุคคลผู้ฆ่าสัตว์อยู่เป็นปกติ
    ย่อมประสบภัยเวรใดในทิฏฐธรรม (ปัจจุบัน) บ้าง, ย่อม
    ประสบภัยเวรใดในสัมปรายิก (ในเวลาถัดต่อมา) บ ้าง,
    ย่อมเสวยทุกขโทมนัสแห่งจิตบ้าง เพราะปาณาติบาต
    เป็นปัจจัย; ภัยเวรนั้น ๆ เป็นสิ่งที่อริยสาวกผู้เว้นขาดแล้ว
    จากปาณาติบาต ทำให้สงบรำงับได้แล้ว.
    (๒) คหบดี ! บุคคลผู้ถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้
    ให้อยู่เป็นปกติ ย่อมประสบภัยเวรใดในทิฏฐธรรมบ้าง,
    ย่อมประสบภัยเวรใดในสัมปรายิกบ ้าง, ย่อมเสวยทุกขโทมนัส
    แห่งจิตบ้าง เพราะอทินนาทานเป็นปัจจัย; ภัยเวรนั้น ๆ
    เป็นสิ่งที่อริยสาวกผู้เว้นขาดแล้วจากอทินนาทาน ทำให้สงบ
    รำงับได้แล้ว.
    (๓) คหบดี ! บุคคลผู้ประพฤติผิดในกาม
    ทั้งหลายอยู่เป็นปกติ ย่อมประสบภัยเวรใดในทิฏฐธรรมบ้าง,
    ย่อมประสบภัยเวรใดในสัมปรายิกบ ้าง, ย่อมเสวย
    ทุกขโทมนัสแห่งจิตบ้าง, เพราะกาเมสุมิจฉาจารเป็นปัจจัย;
    ภัยเวรนั้น ๆ เป็นสิ่งที่อริยสาวกผู้เว้นขาดแล้วจาก
    กาเมสุมิจฉาจาร ทำให้สงบรำงับได้แล้ว.
    (๔) คหบดี ! บุคคลผู้กล่าวคำเท็จอยู่เป็นปกติ
    ย่อมประสบภัยเวรใดในทิฏฐธรรมบ้าง, ย่อมประสบภัยเวรใด
    ในสัมปรายิกบ ้าง, ย่อมเสวยทุกขโทมนัสแห่งจิตบ้าง เพราะ
    มุสาวาทเป็นปัจจัย; ภัยเวรนั้น ๆ เป็นสิ่งที่อริยสาวกผู้เว้นขาด
    แล้วจากมุสาวาท ทำให้สงบรำงับได้แล้ว.
    (๕) คหบดี ! บุคคลผู้ดื่มสุราและเมรัยอันเป็น
    ที่ตั้งของความประมาทอยู่เป็นปกติ ย่อมประสบภัยเวรใด
    ในทิฏฐธรรมบ้าง, ย่อมประสบภัยเวรใดในสัมปรายิกบ้าง,
    ย่อมเสวยทุกขโทมนัสแห่งจิตบ้าง, เพราะสุราและเมรัย
    เป็นปัจจัย ภัยเวรนั้น ๆ เป็นสิ่งที่อริยสาวกผู้เว้นขาดแล้ว
    จากสุราและเมรัยทำให้สงบรำงับได้แล้ว.
    คหบดี ! ภัยเวร ๕ ประการเหล่านี้แล
    อันอริยสาวกทำให้สงบรำงับได้แล้ว.
    … … … …
    คหบดี ! อริยสาวก เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว
    ด้วย องค์แห่งโสดาบัน ๔ ประการ เหล่าไหนเล่า ?
    (๑) คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้
    ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น
    ไม่หวั่นไหว ในพระพุทธเจ้า ว่า “เพราะเหตุอย่างนี้ ๆ
    พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้
    โดยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
    เป็นผู้ไปแล้วดว้ ยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถ
    ฝึกคนที่ควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูของเทวดา
    และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยธรรม
    เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์” ดังนี้.
    (๒) คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้
    ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น
    ไม่หวั่นไหว ในพระธรรม ว่า “พระธรรม เป็นสิ่งที่
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและ
    ปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และ
    ให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า
    ท่านจงมาดูเถิด เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่งที่
    ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน” ดังนี้.
    (๓) คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้
    ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่น
    ไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ ว่า “ สงฆ์สาวกของพระผู้มี
    พระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว
    เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว เป็นผู้
    ปฏิบัติสมควรแล้ว ได้แก่บุคคลเหล่านี้ คือ คู่แห่งบุรุษสี่คู่
    นับเรียงตัวได้แปดบุรุษ นั่นแหละคือสงฆ์สาวกของ
    พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา
    เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ เป็นสงฆ์
    ควรรับทักษิณาทาน เป็นสงฆ์ที่บุคคลทั่วไปจะพึงทำอัญชลี
    เป็นสงฆ์ที่เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า” ดังนี้.
    (๔) คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้
    ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยศีลทั้งหลายในลักษณะเป็นที่
    พอใจของพระอริยเจ้า : เป็นศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง
    ไม่พร้อย เป็นศีลที่เป็นไทจากตัณหา วิญญูชนสรรเสริญ
    ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิลูบคลำ เป็นศีลที่เป็นไปพร้อมเพื่อ
    สมาธิ ดังนี้.
    คหบดี ! อริยสาวก เป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว
    ด้วยองค์แห่งโสดาบัน ๔ ประการ เหล่านี้แล.
    … … … …
    คหบดี ! ก็ อริยญายธรรม เป็นสิ่งที่อริยสาวก
    เห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดีด้วยปัญญา เป็น
    อย่างไรเล่า ?
    คหบดี ! อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมทำไว้
    ในใจโดยแยบคาย เป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว
    ดังนี้ว่า “เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี; เพราะความเกิดขึ้น
    แห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี;
    เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป : ข้อนี้ได้แก่
    สิ่งเหล่านี้คือ เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย;
    เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; ...ฯลฯ... ...
    ฯลฯ... ...ฯลฯ... เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ
    โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้น
    ครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ย่อมมี
    ด้วยอาการอย่างนี้.
    เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งอวิชชา
    นั้นนั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งสังขาร; เพราะมีความดับ
    แห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ; ...ฯลฯ... ฯลฯ...
    ฯลฯ... เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ
    โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น :
    ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้”.
    คหบดี ! อริยญายธรรม๑ นี้แล เป็นธรรมที่
    อริยสาวกนั้นเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดีด้วยปัญญา.
    คหบดี ! ในกาลใดแล ภัยเวร ๕ ประการ
    เหล่านี้ เป็นสิ่งที่อริยสาวกทำให้สงบรำงับได้แล้วด้วย,
    อริยสาวกเป็นผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยโสตาปัตติยังคะ
    สี่เหล่านี้ ด้วย, อริยญายธรรมนี้ เป็นธรรมอันอริยสาวก
    ในกาลนั้น อริยสาวกนั้นปรารถนาอยู่ ก็พยากรณ์ตน
    เห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดี ด้วยปัญญาด้วย;
    ด้วยตนนั้นแหละว่า “เราเป็นผู้มีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิด
    เดรัจฉานสิ้นแล้ว มีเปรตวิสัยสิ้นแล้ว มีอบายทุคติวินิบาต
    สิ้นแล้ว, เราเป็นผู้ถึงแล้วซึ่งกระแส (แห่งนิพพาน) มีความ
    ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสรู้
    พร้อมเป็นเบื้องหน้า” ดังนี้.

    หมายเหตุผู้รวบรวม : ยังมีสูตรอีกสูตรหนึ่งข้อความอย่างเดียวกัน
    กับสูตรนี้ ผิดกันแต่เพียงตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย แทนที่จะตรัสกับ
    อนาถบิณฑิกคหบดี, คือสูตรที่ ๒ แห่งคหปติวรรค อภิสมยสังยุตต์
    นิทาน .สํ.๑๖/๘๕/๑๕๖; และยังมีสูตรอีกสูตรหนึ่ง (เวรสูตรที่ ๒
    อุปาสกวรรค ทสก. อํ. ๒๔/๑๙๕/๙๒) มีเค้าโครงและใจความของสูตร
    เหมือนกันกับสูตรข้างบนนี้ ต่างกันแต่เพียง ในสูตรนั้นมีคำว่า
    “ย่อมพิจารณาเห็นโดยประจักษ์” แทนคำว่า “ย่อมกระทำไว้ในใจ
    โดยแยบคายเป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว” แห่งสูตร
    ข้างบนนี้ เท่านั้น
    ทสก. อํ. ๒๔/๑๙๕/๙๒

    อ้างอิง
    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ บรรทัดที่ ๑๘๑๒ - ๑๘๘๓. หน้าที่ ๗๕ - ๗๗.
     

แชร์หน้านี้

Loading...