พระอาจารย์คึกฤทธิ์ วัดนาป่าพง ใช้วิกฤตเป็นโอกาส

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 19 ธันวาคม 2010.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    ชาวพุทธที่สนใจการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของหลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ต้องได้ยินและรู้จักพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตถิพโล แห่งวัดนาป่าพง คลองสิบ จ.นครนายก ไม่มากก็น้อย.....

    ชาวพุทธที่สนใจการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของหลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ต้องได้ยินและรู้จักพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตถิพโล แห่งวัดนาป่าพง คลองสิบ จ.นครนายก ไม่มากก็น้อย เพราะท่านเป็นศิษย์รูปหนึ่งที่ปฏิบัติและสอนธรรมตามแนวทางหลวงพ่อชาองค์นั้น

    [​IMG]
    พระอาจารย์คึกฤทธิ์ ในพิธีสวดพระปาฏิโมกข์

    ท่านมีพื้นฐานความรู้ทางโลกระดับปริญญารัฐศาสตรมหาบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นฆราวาสรับราชการทหารมียศถึงพันตรีแห่งกองทัพบก เมื่ออุปสมบท นอกจากเป็นพระสุปฏิปันโนแล้ว ยังศึกษาค้นคว้าพระพุทธวัจนะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎก และจากหนังสือชุดจากพระโอษฐ์ 5 เล่มของพระอาจารย์พุทธทาสอีกด้วย ศึกษาแล้วนำมาเผยแผ่ ที่โด่งดังมากเมื่อท่านประกาศว่าศีลของพระตามพุทธวัจน์นั้นมีเพียง 150 ข้อ แต่ที่ถือปฏิบัติ 227 ข้อ เพราะเพิ่มเติมภายหลัง วัดนาป่าพงจึงสวดพระปาฏิโมกข์เพียง 150 ข้อ ทำให้สำนักวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นวัดต้นสังกัดไม่เห็นด้วย ขอให้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์หยุดเผยแผ่ดังที่ว่า แต่ท่านยึดความถูกต้อง วัดหนองป่าพงจึงตัดวัดนาป่าพงจากสาขา เมื่อเดือน มิ.ย. 2553

    ท่านไม่หมดกำลังใจเมื่อถูกสำนักต้นสังกัดตัดจากสาขา ตรงกันข้ามกลับเห็นว่าเป็นโอกาส ให้มีอิสระในการทำงานมากขึ้น จะเห็นว่าการเผยแผ่ผลงานจึงออกมาในหลายรูปแบบทั้งสื่อสมัยใหม่ และพิมพ์หนังสือพุทธวัจน์เป็นเล่มแจกจ่าย เดินสายแสดงธรรม ตอบปัญหาแก่ผู้สนใจ รวมทั้งการเปิดคอร์ส 10 วันอบรมวิปัสสนากรรมฐานที่วัดนาป่าพงด้วย

    ฉัตรฤดี เทพรัตน์ ผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ประจำทำเนียบรัฐบาล ไปเข้าคอร์ส 10 วัน อาศัยวิญญาณนักข่าวเต็มตัวจึงรายงานเรื่องนี้มาให้อ่าน

    10 วันที่วัดนาป่าพง
    “เธอทั้งหลายอย่าเป็นบุรุษพวกสุดท้ายของเราเลย” เป็นพระพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอานนท์ “อานนท์ ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลล่วงไปแห่งเราก็ดี ใครก็ตามจักต้องมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ มีธรรมเป็นประทีป มีธรรม เป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่น เป็นสรณะ อานนท์ ภิกษุพวกใดเป็นผู้ใคร่ ในสิกขา ภิกษุพวกนั้นจักเป็นผู้อยู่ในสถานะอันเลิศที่สุด” (มหา. ที.10/159/128)

    “อานนท์ การขาดสูญแห่งกัลยาณวัตรนี้ มีในยุคบุรุษใด บุรุษนั้นชื่อว่าเป็นบุรุษคนสุดท้ายแห่งบุรุษทั้งหลาย|เราขอกล่าวกับย้ำกะเธอว่า เธอทั้งหลายอย่าเป็นบุรุษพวกสุดท้ายของเราเลย” (ม.ม.13/427/463)

    จากพระพุทธวัจน์นี้ทำให้คาดการณ์ว่าการขาดสูญแห่งกัลยาณวัตร อาจเห็นได้ในไม่ช้า ด้วยว่ามีการแต่งเติมคำสอนของพระพุทธองค์ จนทำให้ผิดเพี้ยนไปจากพุทธบัญญัติ อันการแต่งเติมพุทธธรรมคำสอนเหมือนกับการนำลิ่มไม้ตอกเติมลงไปในรอยแตกของกลอง ซึ่งจะทำให้มีรอยแตกมากขึ้น

    การเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม 10 วัน ระยะเวลาสั้นๆ ทำให้ได้แสงสว่างทางปัญญา เมื่อพระอาจารย์คึกฤทธิ์ยกพุทธวัจน์ชี้แนะและสอนในหลายๆ เรื่อง รวมทั้งบอกว่าการหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสเกิดได้ตั้งแต่ได้ชั้นปฐมฌาน หาใช่ถึงขั้นจตุตถฌานตามที่เข้าใจกันไม่ เพราะปฐมฌานคือการทำอาณาปาณสติ สามารถละนันทิ คือความเพลิดเพลินได้

    [​IMG]
    พระอาจารย์คึกฤทธิ์ กำลังบิณฑบาต

    นอกจากได้ความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตถิพโล ยังให้ท่องสายการเกิดและดับตามแนวปฏิจจ สมุปปบาท เพื่อให้พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจและการเกิดขึ้นของสังขาร ปฏิจจสมุปปบาทนี้ถือว่าเป็นหลักการที่โยงเหตุและปัจจัยที่ทำให้สัตวโลกเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ โดยมีอวิชชาเป็นตัวสำคัญที่ปิดหูปิดตาสรรพสัตว์ ไม่ให้เห็นความจริง แต่ยึดติดในชีวิต ก่อให้เกิดทุกข์ ทั้งๆ ที่ชีวิตไม่มีอะไรทั้งสิ้น แม้แต่ตัวเราเอง

    การสัมผัสกับพุทธวัจน์ที่พระอาจารย์แนะนำ ทำให้ตื่นตัวเพื่อศึกษาคำสอนที่แท้จริงของพระองค์มากขึ้น เพราะเป็นของจริงและสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้

    ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มีภาระหนักมากขึ้นหลังจากจุดประกายและเผยแผ่พุทธวัจน์ เพราะชาวพุทธจำนวนมากทั้งในประเทศและต่างประเทศสนใจการทำงานของวัดนาป่าพงและสถาบันพุทธวัจน์ตลอดเวลา

    ในขณะนี้ท่านอาจารย์อุปสมบทมาได้ 18 พรรษา แต่การศึกษาพุทธวัจน์จากงานของท่านพุทธทาสเริ่มเมื่ออุปสมบทได้พรรษาที่ 4

    เมื่อศึกษาแล้วนำมาเผยแผ่เมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมาในวงแคบๆ และนำออกสู่สาธารณชนเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา

    “คิดว่าเป็นเรื่องของกรรมนะ ที่อาตมาต้องมาศึกษาเรื่องนี้ หลังจากออกจากวัดป่าบุญญาวาส ชลบุรี ที่เคยตั้งใจว่าจะถวายตลอดชีวิตที่นั่น เมื่อมาอยู่วัดนาป่าพงกับสหธรรมิก 2 รูป ก็มีเหตุให้ต้องอยู่รูปเดียวอีก เพราะอีก 2 รูปนั้นปลีกวิเวก” การอยู่รูปเดียวเป็นโอกาสให้ทุ่มเทกับการศึกษาพุทธวัจน์มากขึ้น

    ท่านเล่าว่าเมื่อเป็นทหารมีลูกน้อง 500 คน บวชพระอยู่ที่วัดนาป่าพง มีลุงช่วยอายุ 60 ปี เพียงคนเดียว ช่วยปลูกต้นไม้ วันละ 200-300 ต้น ตอนนี้กลายเป็นวัดป่าไปแล้ว

    “มาอยู่วัดนาป่าพงตอนแรกลำบากพอสมควร มีแต่ทุ่งนา นอกนั้นไม่มีอะไรเลย ต้องสร้างกันใหม่ ยังถูกไล่อยู่ 2-3 รอบ หาว่าเป็นพระเถื่อน ต้องใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะตั้งวัดได้ โดยมีผู้คนมาช่วยเรื่อยๆ”

    ส่วนเรื่องที่วัดนาป่าพงถูกตัดจากการเป็นวัดสาขาของวัดหนองป่าพงนั้น คิดเป็นบวกเท่ากับช่วยให้ท่านมีความเป็นอิสระในการประกาศพุทธวัจน์ ที่ได้ศึกษาและค้นคว้ามา

    พร้อมกับเล่าว่าท่านไม่มีโอกาสชี้แจงกับพระผู้ใหญ่ของวัดหนองป่าพง ด้วยว่าพระผู้ใหญ่ไม่ให้เอาทฤษฎีไปอ้าง จุดนี้ทำให้ท่านคิดว่าโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดในวงการพระด้วยกันนั้นยากเย็นแสนเข็ญ

    ท่านจึงกำหนดแนวการเผยแผ่ใหม่ โดยมุ่งไปในหมู่อุบาสก อุบาสิกา และกลุ่มพระบางส่วน ซึ่งเชื่อว่าเมื่อกลุ่มนี้ขยายตัวมากขึ้น จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เปลี่ยนแปลงการศึกษาและปฏิบัติของคณะสงฆ์ของไทย ที่มีประมาณ 3 แสนรูป

    คนภายนอกอาจจะไม่ทราบว่าพระสงฆ์ 3 แสนรูป ไม่ได้เป็นสังฆตามชื่อ เพราะแบ่งเป็นธรรมยุตกับมหานิกาย พระป่ากับพระบ้าน แต่ละฝ่ายแยกทำอุโบสถสังฆกรรมกันเด็ดขาด

    พระป่านั้นยึดถืออาจาริยวาทเหนียวแน่น จึงทำให้บดบังพุทธวัจน์ในบางครั้งบางคราวอีกด้วย ที่ว่ามานี้ไม่ใช่ปฏิเสธอาจารย์ ยังเคารพครูบาอาจารย์ในสายพระป่า เช่น หลวงพ่อชา และพระอาจารย์ตั๋น (เจ้าอาวาสวัดป่าบุญญาวาส ชลบุรี) แต่ยืนหยัดว่าคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าว่าสำคัญที่สุด เพราะบวชเป็นบุตรของสมณะศากยะ”

    “ปัญหาในที่เกิดขึ้นในพระศาสนาคือมีการบัญญัติคำศัพท์ใหม่ อธิบายใหม่ ทำให้คลาดเคลื่อน และสับสนในหมู่พระ และนักปฏิบัติ เพราะไม่ยึดพระธรรมวินัยเป็นหลัก ทำให้ชาวพุทธเสื่อมศรัทธา พระสงฆ์บางส่วนยังมัวเมาในลาภยศ สรรเสริญ ไม่แสวงหาความหลุดพ้น ทำให้หาพระอริยสงฆ์ยากยิ่ง”

    เมื่อทำงานมาถึงขั้นนี้ ท่านมั่นใจว่าจะพบความสำเร็จในอนาคต แม้จะว่าใช้เวลานาน แนวโน้มที่ทำให้คิดเช่นนั้น เพราะชาวพุทธหลายฝ่ายให้ความสนใจและสนับสนุน ทำให้ท่านต้องเดินสายบรรยายธรรมและพุทธวัจน์แทบทุกวัน ในขณะเดียวกันยังมีพระสงฆ์ทั่วประเทศ 350 รูป สมัครเป็นสมาชิกของสถาบันพุทธวัจน์ เพื่อช่วยเผยแผ่พุทธวัจน์ให้ทั่วถึง

    “พระบางรูปเช่นอาจารย์สุจินต์ จิณณธัมโม ดูแลศูนย์เผยแผ่ภาคอีสาน และพระไพบูลย์ อภิปุณโณ วัดดอนหายโศก ต่างมีความมุ่งมั่นมากเช่นท่านสุจินต์เดินธุดงค์พบปะกับชาวบ้าน แจกหนังสือและซีดีในการเผยแผ่พุทธวัจน์ เมื่อต้นปีท่านเดินจากน่านไปถึงโคราช”

    บริษัทเอกชนหลายแห่ง รวมทั้งสถาบันการศึกษา และประชาชน ร่วมกันเป็นพุทธวจนสถาบัน ได้พิมพ์หนังสือออกเผยแผ่ถึงเล่มที่ 10 และมีการแจกจ่าย MP3 ไปทั่วประเทศ หนังสือเสียงที่ทำขึ้นมาได้แจกจ่ายไปในที่ต่างๆ บ้างแล้ว

    ด้านต่างประเทศสนับสนุนมาทั้งในรูปจดหมายและอีเมล ทางสถาบันจึงมีโครงการแปลหนังสือเป็นภาษาอังกฤษ และภาษาอื่นๆ ในอนาคต

    “อาตมาไม่ได้รู้สึกท้อแท้ หรือหมดกำลังใจเมื่อมีการต่อต้าน เพราะอาตมาไม่ได้เผยแผ่ผลงานของตัวเอง แต่เผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า พระธรรมต้องทนต่อการพิสูจน์ เพราะฉะนั้นผู้ที่ต่อต้านต้องตระหนักว่ากำลังต่อต้านคำสอนของพระของศาสดา อาตมาจะทำงานนี้ไปเรื่อยๆ เท่าที่จะทำได้ แม้ว่าต้องใช้เวลา 5-10 ปี จึงจะเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อกลุ่มที่เห็นด้วยใหญ่ขึ้น กลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ก็จะเล็กลง การเปลี่ยนแปลงก็ตามมา อาตมาเชื่อมั่นในบารมีของพระพุทธเจ้า”

    พร้อมกับอ้างพุทธวัจน์ว่า “หิ่งห้อยนั้น ย่อมส่องแสงอยู่ได้ตราบใดที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์สาดแสง หิ่งห้อยจะอับแสง เดียรถีย์ก็เป็นเช่นนั้น มีโอกาสได้ชั่วเวลาที่ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยตนเองยังไม่เกิดขึ้น ผู้ที่ได้แต่นึกๆ เอา (คือไม่ตรัสรู้) ย่อมบริสุทธิ์ไม่ได้ ถึงแม้สาวกของเขาก็เหมือนกัน ผู้ที่มีความเห็นผิด จะไม่พ้นทุกข์ไปได้เลย”

    พระอาจารย์คึกฤทธิ์ วัดนาป่าพง ใช้วิกฤตเป็นโอกาส
     
  2. จิตสดใส

    จิตสดใส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +1,260
    [FONT=ArialUnicodeMS,Bold].[/FONT]พระองค์ทรงสามารถกำหนดสมาธิเมื่อจะพูดทุกถ้อยคำจึงไม่มีผิดพลาด

    อัคคิเวสนะ ! เรานั้นหรือ, จำเดิมแต่เริ่มแสดง กระทั่งคำสุดท้ายแห่งการกล่าวเรื่องนั้นๆย่อมตั้งไว้ซึ่งจิตในสมาธินิมิตอันเป็นภายในโดยแท้ ให้จิตดำรงอยู่ ให้จิตตั้งมั่นอยู่ กระทำให้มีจิตเป็นเอก ดังเช่นที่คนทั้งหลายเคยได้ยินว่าเรากระทำอยู่เป็นประจำ ดังนี้.
    มหาสัจจกสูตร มู.ม. ๑๒ / ๔๖๐ / ๔๓๐
    พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ น. ๒๔๗
    [FONT=ArialUnicodeMS,Bold].[/FONT]แต่ละคำพูดเป็นอกาลิโก คือถูกต้องตรงจริงไม่จำกัดกาลเวลา


    ภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลายเป็นผู้ที่เรานาไปแล้วด้วยธรรมนี้อันเป็นธรรมที่บุคคลจะพึงเห็นได้ด้วยตนเอง (สนฺทิฏฐิโก), เป็นธรรมให้ผลไม่จำกัดกาล (อกาลิโก), เป็นธรรมที่ควรเรียกกันมาดู (เอหิปสฺสิโก), ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว (โอปนยิโก), อันวิญญูชนจะพึงรู้ได้เฉพาะตน (ปจฺจตฺต เวทตพฺโพ วิญฺญูหิ).

    มหาตัณหาสังขยสูตร ม. ม. ๑๒/๔๘๕/๔๕๐.
    ปฎิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ น.๔๓๑
    [FONT=ArialUnicodeMS,Bold].[/FONT]คำพูดที่พูดมาทั้งหมดนับแต่วันตรัสรู้นั้น สอดรับไม่ขัดแย้งกัน


    ภิกษุทั้งหลาย ! นับตั้งแต่ราตรี ที่ตถาคตได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จนกระทั่งถึงราตรีที่ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ, ตลอดเวลาระหว่างนั้นตถาคตได้กล่าวสอน พร่าสอน แสดงออก ซึ่งถ้อยคำใด ถ้อยคำเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมเข้ากันได้โดยประการเดียวทั้งสิ้น ไม่แย้งกันเป็นประการอื่นเลย.

    อิติว[FONT=ArialUnicodeMS,Italic].[/FONT]ุ ขุ[FONT=ArialUnicodeMS,Italic]. [/FONT]๒๕ [FONT=ArialUnicodeMS,Italic]/ [/FONT]๓๒๑ [FONT=ArialUnicodeMS,Italic]/ [/FONT]๒๙๓

    พุทธประวัติจากพระโอษฐ ์ น[FONT=ArialUnicodeMS,Italic]. [/FONT]๒๘๕

     
  3. hooook

    hooook สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +7
    อยากจะขอปรับความเข้าใจนิดนึงนะครับ

    ศีลหรือวินัยของพระ จริงๆแล้วไม่ได้มีแค่ 150 หรือ 227 ข้อนะครับ มีมากกว่าพันข้อด้วยซ้ำ ซึ่งพระทุกรูปควรปฏิบัติตาม เพียงแต่ที่พระอาจารย์คึกฤทธิ์ท่านชี้ให้เห็นว่าปาฏิโมกข์นั้นมีเพียง 150 ข้อ ก็ไม่ได้แปลว่าอีก 77 ข้อที่เหลือไม่ใช่วินัยของพระ

    77 ข้อนั้น และอีกกว่าพันข้อที่เป็นวินัยย่อยๆของพระ ล้วนเป็นพุทธบัญญัติที่พระควรปฏิบัติตามทั้งสิ้น

    ขอให้เข้าใจว่า ปาฏิโมกข์ จะ 150 ข้อ หรือ 227 ข้อก็ตาม เป็นเพียงพระวินัยหลักที่พระสงฆ์ถ้าอยู่ด้วยกันเกิน 4 รูปต้องนำมาสวดทบทวนทุกกึ่งเดือน ส่วนวินัยนอกปาฏิโมกข์ ไม่ต้องนำมาสวดก็จริง แต่ก็ยังเป็นวินัยที่พระต้องปฏิบัติตาม ไม่ใช่จะตัดทิ้งไปเลยนะครับ

    ถ้าอ่านบทความข้างบนโดยไม่ได้ศึกษาอย่างถี่ถ้วน อาจจะเกิดการเข้าใจผิดได้ครับ
     
  4. isayan

    isayan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +95
    ทุกๆท่านจะไม่มีความขัดแย้งกัน ถ้าทุกๆท่านนำคำของพระตถาคต มาปฏิบัติ ไม่ใช่การมานึกคิดเอาเองบ้าง จำจากการปฏิบัติต่อๆกันมาบ้าง เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกๆอย่างจบลงที่คำของพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น ทุกๆท่านจึงจะหลุดพ้นจากกองทุกข์ เมื่อน้อมนำมาปฏิบัติด้วยตนเอง
     
  5. khumkoy098

    khumkoy098 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +78
  6. ธรรมแท้

    ธรรมแท้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +200
    ควรจะบอกว่า ใช้วิกฤติเป็นโอกาสในการสร้างมหาวิกฤติ และวิปริตยิ่งกว่าเดิมมากกว่า

    เป็นเพราะพระคึกฤทธิ์ไม่ศึกษาให้ถ้วนถี่ จึงทำให้มีข้อผิดพลาดในการเข้าใจธรรมะ

    ซึ่งเป็นอกุศลกรรมอย่างยิ่งเพราะไปบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้าและเผยแพร่มิจฉาทิฏฐิ
    แก่คนจำนวนมาก

    การสวดปาติโมกข์ 150 ถ้วนนั้น ผิดพระวินัย
    เพราะไปตัดสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงให้ยกขึ้นแสดงในปาติโมกข์ออกไปถึง 77 ข้อ

    ขอให้จำไว้ว่า ให้เชื่อพระพุทธเจ้ามากกว่าพระคึกฤทธ์ ไม่ควรไปล้มล้างในสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤศจิกายน 2014
  7. bluesman2014

    bluesman2014 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    ผมก็ไม่ได้เชียร์ใครนะ
    แต่เท่าที่ตามดูทั้ง 2 ฝ่าย ก็เห็นว่า
    1.คำแปลในพระไตรปิฎกทุกฉบับ(หลัก) ฉบับหลวง ฉบับมหามกุฎ ฉบับมหาจุฬา ก็แปลตรงกัน 150 ถ้วน และก็ใช้เป็นตำราเรียนกันอยู่ทุกวันนี้
    2.พระที่สังคมยกย่องให้ความเคารพนับถือ(อดีตสมเด็จพระสังฆราชท่านมหาสมณเจ้าวชิรญาณวโรรส และท่านพุทธทาส)ก็แปลว่า 150 ถ้วน
    3.ยังไม่มีพระสูตรไหนออกมายืนยันอย่างชัดเจนเลยว่า พระพุทธเจ้าให้สวด 227 ข้อ


    คำถามคือ
    1.มีความเห็นอย่างไรกับคำแปลของพระผู้ใหญ่ 2 รูปดังกล่าว(150 ถ้วน)
    2.มีความเห็นอย่างไรกับคัมภีร์พุทธศาสนา(พระไตรปิฎก) แปล 150 ถ้วน
    3.หากเราไม่อ้างคัมภีร์สูงสุดของพุธศาสนา เราจะอ้างอะไรเป็นแนวทางปฏิบัติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2014
  8. ธรรมแท้

    ธรรมแท้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +200
    1.2. แปลผิด แน่ๆว่า 150 ถ้วน
    ลองไปเช็คให้ดี บางสำนักเขาแปล ที่สำเร็จประโยชน์ 150 ข้อ
    บางสำนัก ทำหมายเหตุ ไว้ว่า เลข ๑๕๐ นั้นเป็นเหตุการณ์สมัยกลางพุทธกาล
    หลักจากนั้นพระพุทธเจ้าบัญญัติเพิ่มเป็น 227

    3. คัมภีร์พระไตรปิฎกไม่ได้มีแค่พระสูตร ยังมีพระวินัย กับพระอภิธรรมด้วย
    ถ้ายึดแค่พระสูตร แล้วศีลภิกษุณีจะมีกี่ข้อเพราะไม่มีระบุในพระสูตร

    ถามกลับ บ้าง
    แล้วรู้ไหมที่ว่า 150 ข้อมีอะไรบ้าง
    ในพระสูตรไม่ได้บอกข้อเอาไว้ แล้วคึกฤทธ์เก่งมาจากไหนถึงมากำหนดว่าเป็นข้อนั้นข้อนี้
    มีพุทธวจนะยืนยันไหม?
     

แชร์หน้านี้

Loading...