บริโภคอย่างมีสติ ชีวิตปลอดภัย

<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500><TBODY><TR><TD>บริโภคอย่างมีสติ ชีวิตปลอดภัย

</TD><TD vAlign=top width=155></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500><TBODY><TR><TD>รายงานโดย :วรธาร ทัดแก้ว:
</TD><TD>วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553
</TD></TR></TBODY></TABLE>
ไปเห็นผู้คนที่สังสรรค์ หรือจัดปาร์ตี้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2553 หลายที่หลายแห่งและเป็นเวลาหลายวัน แล้วอดเป็นห่วงสุขภาพของนักบริโภคทั้งหลายไม่ได้

เพราะเท่าที่สังเกตดูเหมือนว่านักบริโภคเหล่านั้นจะมุ่งที่ความสนุกสนาน ความอิ่มหนำสำราญมากกว่าการคำนึงถึงสุขภาพของตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นพฤติกรรมและค่านิยมผิดๆ ที่เป็นกันทั่วโลกไม่เฉพาะเมืองไทย ไม่เพียงเท่านี้อาหารที่นำมาเลี้ยงกันนั้นส่วนใหญ่จะเป็นพวกน้ำตาลและไขมันสูง ซึ่งก็รวมถึงแอลกอฮอล์ต่างๆ ที่มักจะมีแทบทุกวงสังสรรค์
การที่คนเรามักรับประทานอาหารแบบตามใจปากตามค่านิยมแบบผิดๆ และอาหารที่รับประทานไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายนั้น ได้ส่งผลให้คนไทยมีอัตราเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเพิ่มมากขึ้น เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง คอเลสเตอรอลสูง ความดันสูง และเบาหวาน เป็นต้น
เพื่อความปลอดภัยในการจัดเลี้ยงสังสรรค์หรือปาร์ตี้ในโอกาสต่างๆ ที่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ “กัญชลี ทิมาภรณ์” หัวหน้าแผนกโภชนาการ โรงพยาบาลพระรามเก้า จะมาแนะนำวิธีจัดสังสรรค์หรือปาร์ตี้สุขภาพที่ควรทำเพื่อที่เมื่อถึงเทศกาลแห่งความสุขอะไรก็ตามจะได้มีสติระมัดระวังในการบริโภคโดยไม่เห็นแก่ความอร่อยจนมองข้ามเรื่องสุขภาพ
เปลี่ยนเมนูอร่อย (อย่างเดียว) มาเป็นเพื่อสุขภาพ
หัวหน้าแผนกโภชนาการ โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า ควรเปลี่ยนเมนูอร่อยอย่างเดียวมาเป็นเมนูเพื่อสุขภาพและคงความอร่อยด้วย และต้องมีแคลอรีต่ำโดยการอบ นึ่ง ย่าง เป็นต้น เช่น ไก่ไร้หนังอบ หมูย่างไม่ติดมันปลานึ่งมะนาว ที่สำคัญควรลดอาหารประเภทแป้ง หรือไม่ก็ใช้แป้งโฮลวีตแทน เน้นเมนูผักให้มากขึ้น เช่น สลัดผักน้ำใสแบบใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันเมล็ดชา ผัดผักน้ำมันน้อย ผักนึ่ง เป็นต้น
หากต้องการอาหารทอดให้ใช้น้ำมันเมล็ดชา น้ำมันคาโนล่า หรือน้ำมันคาโนล่าผสมน้ำมันทานตะวันแทนน้ำมันอื่นๆ เพราะว่าน้ำมันเหล่านี้มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูง และมีจุดเดือดเป็นควันสูงเหมาะกับการทอด
ส่วนน้ำผลไม้ ให้ใช้น้ำผลไม้คั้นสด น้ำสมุนไพรและน้ำเปล่า แทนน้ำหวาน น้ำอัดลม และแอลกอฮอล์ ควรเน้นผักและอาหารประเภทที่ไม่หวาน ไม่มัน และไม่เค็ม
สำหรับพฤติกรรมการรับประทานเป็นปัจจัยสำคัญ ถ้าเน้นเพื่อบำรุงบำเรอหรือเพื่อความสนุกสนานก็จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ เพราะฉะนั้นการรับประทานต้องรู้จักประมาณ กล่าวคือควรรับประทานในปริมาณที่พออิ่ม รับประทานอาหารช้าๆ ค่อยๆ เคี้ยว ตักอาหารทีละน้อยๆ และดื่มน้ำเปล่า
“อย่านั่งคุยอยู่กับโต๊ะเพราะจะทำให้เพลินจนรับประทานแบบไม่ยั้ง แต่ว่าควรที่จะลุกเดินหรือออกไปเต้นเพื่อขยับร่างกายบ้าง”
สำรวจตัวเองหลังงานสังสรรค์ทุกครั้ง
การรับประทานอาหารประจำวันก็เป็นเรื่องสำคัญแม้จะผ่านเทศกาลสนุกสนานแล้วก็ควรให้ความสำคัญกับการบริโภค ดังนั้นเทศกาลที่สนุกสนานควรเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานเพื่อสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจโดยเริ่มจากการสำรวจตัวเองว่าเริ่มอ้วนหรืออ้วนเกินไปเพื่อจะได้ควบคุมการเลือกรับประทานอาหารได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ จงทำความรู้จักกับชนิดของไขมันทั้งชนิดดีและไม่ดี หรือใช้น้ำมันพืชที่มีกรดโอเมกา 3, 6 และ 9 สูง เช่น น้ำมันเมล็ดชา และน้ำมันมะกอก ลดการใช้เนย เนยเทียม เลือกรับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลน้อย เช่น แกงจืด ผัดผัก ส้มตำ ข้าวขาหมูไม่ติดมัน น้ำพริกผักลวก เป็นต้น แล้วเปลี่ยนน้ำดื่มน้ำตาลสูงให้เป็นน้ำสมุนไพรแบบหวานน้อย
ส่วนของว่างอาจารย์กัญชลีแนะนำให้หลีกเลี่ยงขนมอบนานาชนิด ให้หันมารับประทานของว่างแบบไทยๆ ที่มีแคลอรีต่ำ เช่น สาคูไส้หมู ข้าวเกรียบปากหม้อ หรือช่อม่วง เพราะของว่างจำพวกนี้จะรับประทานพร้อมผักสดต่างๆ ช่วยให้เราสามารถรับประทานผักได้ง่ายและมากขึ้นนอกจากนี้ผลไม้อบแห้ง ผลไม้สด ก็เป็นอาหารว่างที่ดีเช่นกัน
ถ้าเป็นไปได้ให้ทำอาหารด้วยตนเอง
หัวหน้าแผนกโภชนาการ โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า ถ้าเป็นไปได้อยากให้ทำอาหารรับประทานเองให้มากขึ้น เพราะอาหารที่ปรุงเองจะมีไขมัน น้ำตาล เกลือ คอเลสเตอรอลและแคลอรีน้อยกว่าอาหารที่ซื้อจากร้านค้า เพราะเราสามารถเลือกวัตถุดิบและปรุงรสชาติได้ตามความชอบได้
“โดยเริ่มทำอาหารแบบง่ายๆ แต่ครบทั้ง 5 หมู่ เช่น ผัดผัก ยำ แกงจืด ไข่ดาว เป็นต้น วัตถุดิบที่ใช้ต้องคำนึงถึงความสะอาดด้วย ปลอดภัย เช่น ผักปลอดสารพิษ เนื้อไม่ติดมัน น้ำมันประเภทมี MUFA ซึ่งจะช่วยเพิ่มเอชดีแอล และลดแอลดีแอล เช่น น้ำมันเมล็ดชา น้ำมันคาโนล่าผสมน้ำมันทานตะวัน น้ำมันมะกอก เป็นต้น และตบท้ายด้วยผลไม้”
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่ควรปฏิบัติจะต้องพยายามเคลื่อนไหวร่างกายให้มากเท่าที่จะมากได้ เดินให้มากขึ้น และหมั่นออกกำลังกายสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 20-30 นาที เพียงเท่านี้ก็จักสุขภาพดีทั้งกายและใจตลอดไป
นี่คือคำแนะนำจากหัวหน้าแผนกโภชนาการ โรงพยาบาลพระรามเก้า ที่ปรารถนาให้คนไทยได้รับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการและอร่อยอย่างมีสติเพื่อความปลอดภัยของสุขภาพของทุกคน