ธรรมะ ณ วินาทีเฉียดตาย ของ 'พุดเดิ้ล' ปาจรีย์ ณ นคร

ในห้อง 'พุทธศาสนากับคนดัง' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 8 กันยายน 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=319><TBODY><TR><TD vAlign=top width=319 align=middle>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ยังคงได้เห็นบทบาทการแสดงของเธอผ่านละครหลายเรื่องและรายการตะลุยกองถ่ายทางช่อง 3 สำหรับนักแสดงอารมณ์ดี ‘พุดเดิ้ล’ปาจรีย์ ณ นคร แต่อาการป่วยจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงของเธอเมื่อปีก่อน ก็เกือบจะทำให้เราไม่ได้เห็นเธอคนนี้ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ เพราะเธอบอกเล่าว่าอาการหนักถึงขั้นลืมตาไม่ขึ้น หายใจไม่ออก เดินไม่ได้ จนต้องเบรกงานละครที่มีคิวถ่ายอยู่ 4- 5 เรื่อง ให้หมอทำการผ่าตัดหัวใจและพักรักษาตัวเองให้หายจากอาการป่วยนานถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ

    “ถือเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในชีวิต เพราะชีวิตของพุดเดิ้ลไม่ค่อยเจออะไรที่ผิด หวัง ค่อนข้างราบรื่น ทั้งเรื่องเรียนและการงานเป็นไปด้วยดี ครอบครัวอบอุ่น แม้แต่ละเรื่องมันจะไม่ดีมาก แต่ก็ไม่ได้แย่ เรียกได้ว่าชีวิตไม่เคยสะดุด แต่เรื่องป่วยทำให้ชีวิตช็อก”

    อย่างไรก็ตามวิกฤติมักจะมาพร้อมกับโอกาส เพราะอย่างน้อยๆเธอก็มีโอกาสได้เข้าใจว่า สุขภาพสำคัญมากกว่าทรัพย์สินเงินทอง และคำกล่าวที่ว่า “ความไม่ มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” เป็นจริงดั่งพุทธพจน์

    “เดิมทีพุดเดิ้ลเป็นพุทธศาสนิกชนในแบบที่พยายามอยู่ในศีล 5 ทำบุญเท่าที่ ทำได้ ไปวัด สวดมนต์ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งอะไรมาก ไม่เคยเข้าใจว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย คืออะไร มันดูเป็นเรื่องไกลตัว จนมาวันหนึ่งพุดเดิ้ลป่วยหนัก อาการเกือบตาย สัมผัสได้ว่า อ๋อ.. ความเจ็บ ความเฉียดตายมันเป็นแบบนี้ ทำให้รู้ว่าความตายมันอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด ถ้าถึงวินาทีที่เราต้องสิ้นใจ มันไม่มีอะไรที่สำคัญอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง สิ่งต่างๆที่เราเคยอยาก ได้ และต่อสู้มาด้วยความเหนื่อยยากเพื่อจะได้มันมา

    ตอนเราเด็กๆ พุดเดิ้ลไม่เคยเชื่อคำกล่าวที่ว่า การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เพราะพุดเดิ้ลเชื่อว่า ต้องรวยสิ มันถึงจะเป็นลาภอันประเสริฐ แค่ป่วยไม่เป็นไรหรอก มีโรคนิดหน่อยก็รักษาได้ เดี๋ยวก็ไปหาหมอ เคยคิดแบบ นี้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระพุทธองค์กล่าว มันไม่น่าจะใช่นะ ในใจเราไม่ได้รู้สึกเชื่อ มีแต่ข้อขัดแย้ง แต่ตอนนี้พุดเดิ้ลเข้าใจแล้วว่า เมื่อวันที่เราป่วย ต่อให้เรามีเงินมากสักแค่ไหน มันไม่สามารถช่วยชีวิตเราได้ นาทีนี้ขอแค่ให้เรามีสุขภาพแข็งแรง เงินทองเดี๋ยวค่อยหาใหม่ก็ได้”

    ในวันที่โรคซึ่งเคยคุกคามชีวิตเธอ หยุดแสดงอาการ แต่เธอก็ยังบอกเตือนตัวเองเสมอว่าห้ามประมาทกับชีวิต และเมื่อไหร่ที่ความป่วยมาเยือนก็จงเตรียมใจให้พร้อมเพื่อยอมรับกับความเป็นจริง

    “เวลานี้อาการมันก็ดีขึ้นเมื่อเราไม่เครียด หรือจะเรียกว่าหายก็ได้ค่ะ แต่ก็ไม่กล้าจะพูดอย่างนั้น เพราะไม่กล้าจะประมาทกับชีวิตอีกแล้ว จริงๆแล้วการรักษากายมันไม่ยากเท่ารักษาใจ ตอนช่วงที่ป่วย จิตตกมาก ทุกข์ใจมาก อาการป่วยมันทำให้ร่างกายเจ็บปวดอยู่แล้ว แต่สิ่งที่มันทำให้ชีวิตเราเจ็บปวดมากกว่าก็คือจิตใจที่มันหดหู่ เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะป่วยหนักขนาดนี้ แล้วเป็นคนที่ไฮเปอร์มาก เมื่อวันหนึ่งป่วยถึงขนาดลืมตาไม่ขึ้น หายใจไม่ออก เดินไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ทุกข์มากสำหรับคนที่ไฮเปอร์ และยิ่งเราไม่ยอมรับ ถามอยู่นั่นแหละว่าทำไมฉันป่วย ฉันไม่เคยป่วยนี่ ฉันต้องไม่ป่วยสิ มันยิ่งทุกข์

    แต่เมื่อวันหนึ่งที่ยอมรับตามความเป็นจริง เรียนรู้ว่า ร่างกายเราต่างหากที่เจ็บป่วย แต่ใจเราไม่ได้เจ็บป่วยไปด้วย มันทำให้ความทุกข์น้อยลงเยอะ ทำให้พุดเดิ้ลผ่านความทุกข์ ตรงนั้นมาได้ และได้เข้าใจว่า หลายคนที่อกหัก และประสบกับปัญหาต่างๆนานาในชีวิต จริงๆแล้วความทุกข์มันจะมาทำร้ายเราไม่ได้เลย ถ้าเกิดว่าใจเราไม่รับมันเข้ามา ซึ่งสิ่งเหล่า นี้พระพุทธเจ้าได้สอนไว้หมดแล้ว จึงไม่แปลกใจเลยที่หลายๆคนพูดว่า เมื่อไหร่ที่ เห็นทุกข์แล้วจะเห็นธรรม บางทีเรามีความสุข เรามักจะไม่ได้สนใจธรรมะ เพราะเรารู้สึกว่าเรามีความสุขอยู่แล้ว แต่เมื่อไหร่ที่เราทุกข์ เราจะต้องการอะไรสักอย่างที่มาช่วย จากประสบการณ์ที่เจอไม่ว่าจะกับตัวเองและคนรอบข้าง ที่สุดแล้วสิ่งที่ช่วยเราได้จริงๆก็คือธรรมะ เพราะธรรมะก็คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นตามความเป็นจริง”

    ธรรมะที่เธอค้นพบในระหว่างที่ล้มป่วยลงไม่เพียงแต่เปลี่ยนความคิดภายในของเธอ แต่เวลานี้ยังเปลี่ยนให้เธอเป็นคนที่ยืดหยุ่นกับงานที่ทำและคนรอบข้าง

    “เห็นในทีวีคนอาจคิดจะว่าพุดเดิ้ลเป็นคนอารมณ์ดี แต่จริงๆแล้วพุดเดิ้ลเป็นคนซีเรียสค่ะ จริงจังกับการทำงานมาก หลังจากที่ป่วยทำให้เรียนรู้ว่าบางอย่างมันต้องยืดหยุ่น เพราะชีวิตมันก็แค่นี้ ไม่ใช่ไม่สนใจงาน ยังอยากจะทำงานให้ดีที่สุด แต่ว่าจะทำอย่างไรที่จะทำงานให้ดีและใจของเราไม่ทุกข์ไม่เครียด ไม่สร้างความ เครียดให้กับเพื่อนร่วมงาน คนที่ร่วมงานด้วยค่อนข้างจะเครียด เพราะพุดเดิ้ลเป็นคนไม่ค่อยยืดหยุ่น ถ้าเป็นเรื่องงานก็ต้องการที่จะทำให้มันได้ 100 เปอร์เซ็นต์ หรือเกิน 100 แค่ 99 ไม่โอเคสำหรับพุดเดิ้ล

    แต่เมื่อวันหนึ่งที่เราป่วย ก็ได้เรียนรู้ชีวิตมันก็แค่นี้ บางอย่างมันต้องยืดหยุ่น มันจะเอาเท่าที่ใจเราอยากได้ มันคงไม่ได้ เพราะว่ามันจะทำให้ใจของเรามันทุกข์เอง แล้วก็สร้างความทุกข์ให้กับคนอื่นด้วย พุดเดิ้ลยืดหยุ่นมากขึ้น ปล่อยวางมากขึ้น หลังจากการป่วยที่ผ่านมา”

    เพราะรู้ตัวเองดีว่า เป็นคนค่อนข้างเจ้าอารมณ์ ตลอดมาเธอจึงเพียรพยายามที่จะใช้สติควบคุมอารมณ์ไม่ให้อยู่เหนือเหตุผล

    “พุดเดิ้ลถือได้ว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์ เมื่อมาทำงานในวงการ มันยิ่งเป็นการทำงานที่ต้องใช้อารมณ์ และบางทีมันมีความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน อาชีพนักแสดง คนภายนอกมองอาจจะดูเหมือนสบาย แต่คนในจะรู้ดีว่ามันเป็นการทำงานที่ไม่มีเวลาพักเหมือนคนอื่น บางทีพักกองตีสามตีสี่ ถ่ายต่างจังหวัดถึงดึกดื่น ต้องเดินทาง มันจะมีความบีบคั้นทางอารมณ์ค่อนข้างเยอะก็เลยทำให้เราค่อนข้างเครียด เพราะฉะนั้นจึงพยายามที่ทำอย่างไรให้เราเอาชนะอารมณ์ของตัวเองให้ได้ ที่พยายามทำ คงเป็นเรื่องของการมีสติอยู่เหนืออารมณ์ เป็นเรื่องที่พยายามทำมาก เพราะเรารู้ว่าเมื่อเราทำได้เราจะมีความสุข

    การที่พุดเดิ้ลพยายามทำ ไม่ได้ทำเพื่อชาติหน้าเลยนะ เพราะชาติหน้ายังไกล แต่อยากให้ชาตินี้เรามีความสุข เพราะทุกครั้งที่เราเครียด เราก็ทุกข์ใจเอง ทุกข์ครั้งที่เราโกรธใคร เกลียดใคร โมโหใคร เราเสียใจ คนที่เจ็บก่อนก็คือเรา เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่จะทำให้เราไม่เจ็บ ไม่ทุกข์ ไม่โกรธ ก็คือการอยู่เหนืออารมณ์ของตัวเอง ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ได้แนะนำหนทางเอาไว้แล้ว แต่ว่ามันยาก ต้องใช้การฝึกฝน เพราะมันคือการหักห้ามกิเลส หักห้ามอารมณ์”

    บ่อยครั้งที่เธอสนใจไปเข้าคอร์สปฏิบัติตามวัดต่างๆเพื่อฝึกฝนและขัดเกลาตัวเอง ตามที่เพื่อนๆและพี่ๆนักแสดงแนะนำ แต่จนบัดนี้เธอก็ยังไม่พบแนวทางที่ใช่สำหรับตัวเอง และยอมรับว่าการไปปฏิบัติธรรมยังเป็นเรื่องทรมานสำหรับเธอ

    “กำลังหาที่ที่คลิ๊กกับเราอยู่ ชื่นชมมากสำหรับคนที่มีความรู้สึกว่า อยากจะไปปฏิบัติธรรมจังเลย ไปแล้วดี เพราะไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลย เวลามีใครชวนรู้สึกแต่ว่า ต้องไปอีกแล้วเหรอ(ทำเสียงเศร้า) แต่ที่สุดก็ต้องไป เพราะอยากมีความสุขกับชีวิตมากกว่านี้”

    เหตุเพราะอยากมีความสุขกับชีวิตมากกว่านี้ และเชื่อว่าน่าจะได้พบกับความสุขที่แท้จริง นักแสดงวัย 36 ปี ซึ่งเปรียบตัวเองเป็นแฟนคลับของพระพุทธเจ้าจึงใช้เวลาที่เหลือจากการแสดงไปเข้าชั้นเรียนในระดับปริญญาโท ที่ภาควิชาบาลีและสันสกฤต คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อที่จะได้ศึกษาธรรมะที่ถูกบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

    “จากที่เคยศึกษาพระไตรปิฎกมาอย่างคร่าวๆ พุดเดิ้ลรู้สึกว่าพระพุทธเจ้าเป็นบุคคลที่ฉลาด จึงตัดสินใจไปเรียนวิชาบาลีและสันสกฤตเพิ่มเติม ที่ผ่านมาพุดเดิ้ลพยายามที่จะทำให้ได้ อย่างที่พระพุทธเจ้าสอน แม้มันจะไมใช่เรื่องง่าย แต่อย่างน้อยๆพุดเดิ้ลศรัทธาในคำสอนก็แล้วกัน ไม่ได้คิดถึงพระพุทธเจ้าในแง่ปาฏิหาริย์ แต่ศรัทธาในแง่ที่ว่าท่านเป็นมนุษย์ที่ฉลาดมากคนหนึ่ง ยิ่งเมื่อเราโตขึ้น ผ่านชีวิตมากขึ้น ได้ศึกษาธรรมะและอ่านจากพระไตรปิฎก หลายๆอย่างมันจะประจักษ์กับใจเราเองว่า ธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้เมื่อนานมากแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นความจริง”

    เวลาที่เหลืออยู่ ต่อไปนี้เธอรู้แล้วว่าสมควรจะพาชีวิตเดินไปในทิศทางไหนและทุ่มเทให้กับอะไร

    “พุดเดิ้ลคิดว่าโลกปัจจุบันนี้มันยุ่งจัง เพราะว่าคนหลายๆคนคงลืมไปว่าตัวเองจะต้องตาย บางครั้งพุดเดิ้ลรู้สึกว่า อยากให้คนที่กำลังทำเรื่องที่ไม่ดี อยากให้ลองผ่านชีวิตแบบเฉียดตายดูบ้างจัง ถ้าเกิดเขาเคยผ่านประสบการณ์ตรงนั้น เขาจะรู้เลยว่าไม่มีอะไรหรอก ชีวิตมันสั้นมาก มันสั้นจริงๆ แล้วเราไม่รู้ว่าเราจะไปวันไหน เมื่อถึงวันนั้นอะไรก็มาแลกไม่ได้ เกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง อำนาจ มันปลอม เมื่อถึงวันนั้นคุณจะรู้ว่ามันไม่มีค่าสำหรับคุณเลย พุดเดิ้ลรู้สึกว่า อยากจะทำอะไรที่เมื่อถึงนาทีสุดท้ายของชีวิตแล้วยังมีความสุข

    ชีวิตที่ผ่านมาพุดเดิ้ลคิดว่าพุดเดิ้ลได้มาเยอะแล้วค่ะ ตั้งใจว่าชีวิตที่เหลือต่อจากนี้อยากจะให้บ้าง ให้ในกำลังที่เราจะให้ได้ แม้พุดเดิ้ลอาจจะไม่ได้รวยเป็นหมื่นแสนล้าน เพราะพุดเดิ้ลคิดว่าเงินทองไม่ใช่ทั้งหมดที่จะช่วยเราได้ และไม่ได้เป็นอย่างเดียวที่จะทำให้คนมีความสุข การให้มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ บางทีการที่เราช่วยเหลือใครเล็กๆน้อยๆ อาจจะมีใครบางคนที่เขากำลังมีทุกข์อยู่ แล้วเขาอยากจะเล่าให้เราฟัง เราเพียงแต่เต็มใจรับฟังเขา เป็นที่ปรึกษาให้เขา นั่นคือเราได้ให้ความสุขกับเขาแล้ว ตั้งใจเอาไว้ว่าชีวิตนับจากนี้ที่เหลืออยู่ จะตั้งใจเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ”

    อาชีพนักแสดงยังคงเป็นอาชีพที่ทำให้เธอมีความสุขกับการทำงาน และอยากจะพัฒนาฝีมือการแสดงของตัวเองต่อไป แม้เวลานี้จะไม่ได้เตรียมอาชีพอื่นสำรองไว้ แต่เธอก็ไม่ได้ประมาทต่ออนาคต เพียงแค่อยากตั้งใจทำสิ่งที่มีอยู่ในวันนี้ให้ดีที่สุด ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไร เวลาจะช่วยตัดสินใจ

    “ก่อนหน้านี้เคยคิดเหมือนกันว่าเราน่าจะต้องเตรียมอาชีพสำรองไว้หรือเปล่า แต่ตอนนี้คิดแค่ว่าอยู่กับปัจจุบันดีกว่า ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทก็โอเคแล้ว ถ้าเราพยายามร้อนรนว่า เดี๋ยวเราจะลำบากหรือเปล่า ต้องเตรียมทำไอ้โน่นไอ้นี่ บางทีมันทำให้เราทุกข์ใจ ตอนนี้พยายามทำวันนี้ให้ดีก่อน พยายามเก็บออมไว้บ้าง เผื่ออนาคต ถ้ามันมีลู่ทางหรือจังหวะพุดเดิ้ลคิดว่าเมื่อถึงเวลาของมัน เราจะเห็นหนทางเอง”



    http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9520000088322
     
  2. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,255
    เมื่อเราเกิด แล้วเราต้องเจ็บ เราต้องแก่ เราต้องตาย เวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ เพราะกามตัณหา ความไม่รู้แต่เรานึกว่าเรารู้ พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้ทันธรรมชาติ แล้วปล่อย ปละ ละ วาง เสีย การเกิดทุกครั้งก็ทุกข์ ทุกครั้ง
     

แชร์หน้านี้

Loading...