จิตที่ติดสุข

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 22 พฤศจิกายน 2009.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    จิตที่ติดสุข

    เหตุแห่งการเกิดของมนุษย์เรานั้นประกอบไปด้วยกรรมดีที่เรียกว่า "บุญ" และกรรมชั่วที่เรียกว่า "บาป" กรรมทั้งสองประเภทนี้ล้วนส่งผลที่ได้รับแตกต่างกัน โดยกรรมดีหรือบุญจะส่งผลในด้านบวกต่อจิตใจ คือ ความสุข ความสบาย ความร่ำรวย ความพึงพอใจ ส่วนกรรมชั่วหรือบาปย่อมต้องส่งผลในทางกลับกัน คือ ความทุกข์ ความไม่สบายใจ ความยากจน ความลำบากขัดสน แต่สุดท้ายแล้วกรรมทั้งสองประเภทนี้ก็สามารถเป็นเหตุปัจจัยในการเกิดได้เท่าๆ กัน
    มีผู้ปฏิบัติเคยตั้งคำถามกับผมว่า "หากมั่นใจว่าในชาตินี้เขาไม่ได้กระทำกรรมชั่วเพิ่มเติม และหมั่นทำบุญสร้างกุศลไม่ได้ขาด เพื่อที่ชาติหน้าเขาจะได้เกิดมาเสวยสุข ความเข้าใจเช่นนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือไม่"
    ความเข้าใจข้อนี้ถูกต้องในแง่ที่ว่า การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบย่อมต้องได้รับอานิสงส์ผลบุญจากการกระทำนั้นๆ โดยในเบื้องต้นจะเห็นได้จากความรู้สึกสบายใจที่บังเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อเราได้ทำบุญ ทำความดี หรือประกอบกรรมดีใดๆ แต่ถึงกระนั้นทั้งกรรมดีและกรรมชั่วต่างก็สลับสับเปลี่ยนกันเข้ามาส่งผลต่อชีวิตของเราอยู่ดี ทำให้เราได้รับทั้งความสุขและความทุกข์สลับกันไป เพราะสุขกับทุกข์นั้นเป็นของคู่กัน เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้าน มีขาว-มีดำ มีกลางวันก็ต้องมีกลางคืน เราจึงไม่สามารถที่จะเลือกเอาแต่เฉพาะสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียวได้ดั่งที่ใจเราต้องการ
    คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธความจริงที่ว่า ไม่ว่าเราจะเกิดมาร่ำรวย มีความสุข มีความสบายกว่าคนทั่วๆ ไปอย่างไร สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถหลีกหนีจากความทุกข์ไปได้ บ้างก็ต้องทุกข์ใจเพราะลูก เพราะทรัพย์สมบัติ เพราะสังขาร (โรคภัย) หรือไม่ก็เรื่องความรัก เรื่องคู่ครอง เป็นต้น
    ดังนั้น ถึงแม้ว่าผู้ปฏิบัติที่เพียรสร้างกรรมดีจะมีความมั่นใจว่า ตนไม่มีกรรมชั่วหลงเหลืออยู่อย่างแน่นอน แต่หากยังมีความยึดติดในความสุขบังเกิดขึ้นภายในจิต กรรมดีอันเป็นเหตุแห่งการเกิดนั้น ก็ยังสามารถทำให้พบกับความทุกข์ได้เช่นกัน นั่นคือทุกข์ที่เกิดกับสังขารด้วย เพราะเมื่อเริ่มต้นจากการเกิดแล้วก็ต้องมีการแก่ ตามมาด้วยการเจ็บ และจบลงที่การตาย อันเป็นความทุกข์ตามธรรมชาติซึ่งผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ทุกคนจะต้องได้รับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    นอกจากนั้น ก็ยังมีทุกข์ทางใจอันได้แก่ การพลัดพรากจากสิ่งของหรือบุคคลที่ตนรัก และการที่ต้องจากสมมติโลกที่ตนคิดว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของไป สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความทุกข์อันเนื่องสืบมาจากการเกิดทั้งสิ้น
    ถึงตรงนี้ผู้ปฏิบัติคงพอเข้าใจกันมากขึ้นแล้วว่า หากเรายังคงต้องเกิด ไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องได้พบกับความทุกข์เป็นแน่ เพราะการเกิดนั้นมันเป็นทุกข์ ทุกข์จากสิ่งที่ไม่จีรัง มีความเปลี่ยนแปลง และไม่อาจคงทนต่อการเปลี่ยนแปลงได้
    แต่ทั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่า โดยพื้นฐานตามธรรมชาติของนิสัยมนุษย์นั้น หากจะให้เปรียบเทียบระหว่างความตั้งใจที่จะละเว้นจากการสร้างกรรมเลว กับการทำบุญหรือทำความดีแล้ว ไม่ยึดติดในบุญที่ได้กระทำลงไปนั้น ประการหลังคงจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยากกว่ามากมายนัก
    คนปกติทั่วไปเมื่อทำบุญก็ย่อมต้องมุ่งหวังในอานิสงส์ผลบุญนั้นเป็นธรรมดา เพราะเราทุกคนต่างก็ถูกปลูกฝังความเชื่อนี้สืบทอดต่อๆ กันมาตั้งแต่เราเริ่มจำความได้ และเราก็มีพัฒนาการกันอย่างรวดเร็วในการเรียนรู้ที่จะอธิษฐานขอสิ่งต่างๆ ตามที่ใจเราปรารถนา เริ่มจากเรื่องการเรียน การงาน ความรัก ความร่ำรวย โชคลาภ สุขภาพ และอีกมากมาย ฯลฯ ซึ่งเมื่อความเชื่อดังกล่าวนี้ได้ถูกหล่อหลอมเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเรา จึงส่งผลทำให้จิตของเรารู้สึกพึงพอใจในความสุขที่บังเกิดจากการทำบุญ กลายเป็นจิตที่ติดสุข และในที่สุดก็กลายเป็นความยากที่จะปล่อยวางไม่ให้จิตไปยึดติดในบุญที่เราได้กระทำ
    ผู้ปฏิบัติจึงต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาให้เกิดภูมิความรู้แจ้งว่า แท้ที่จริงแล้วการเกิดนั้นสำคัญกว่ากรรมที่เราจะได้รับจากการเกิดมากมายนัก ในการเกิดแต่ละครั้งมีความเสี่ยงสูงมากที่จิตจะต้องมาแปดเปื้อนเพราะกิเลส เสี่ยงต่อการหลงอยู่กับมายาความคิดและความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งจะเป็นเหตุที่นำพาให้ดวงจิตที่หลงนั้นห่างไกลออกไปจากพระนิพพานมากขึ้นทุกทีๆ
    การเกิดจึงเป็นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวง ถ้าหยุดการเกิดได้ เมื่อไรความทุกข์ทั้งปวงก็จะหมดลงตามไปด้วย รู้เช่นนี้แล้วผู้ปฏิบัติจึงต้องรีบเร่งทำความเพียรและอย่ายึดติดในความสุข จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปอีกชาติหนึ่ง จิตที่สามารถปล่อยวางได้จากกิเลสมายาทั้งปวงบนโลกสมมติใบนี้จึงเป็นจิตที่สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้อย่างแท้จริง.

    อ.บูรพา ผดุงไทย


    สมาธิชาวบ้าน | ไทยโพสต์
     

แชร์หน้านี้

Loading...