เรื่องเด่น คุณค่าที่สำคัญที่สุด ของมโนมยิทธิที่หลวงพ่อวัดท่าซุงที่ท่านเมตตาสอนมา

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 27 กรกฎาคม 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,019
    123-พลังจิต.jpg

    "มโนมยิทธิที่หลวงพ่อวัดท่าซุงที่ท่านเมตตาสอนมานั้น
    คุณค่าที่สำคัญที่สุด คือ รู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง
    ถ้าเราจดจำอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นเอาไว้ได้
    ตอนที่เรากลับลงมาแล้วประคับประคองรักษาเอาไว้
    เท่ากับว่าเราเข้าถึงอารมณ์ความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง
    ถ้าสามารถทำได้บ่อย ๆ เข้า ระยะเวลาที่เราทรงอารมณ์แบบนั้นได้ก็จะนานขึ้นไปเรื่อย ๆ
    ท้ายที่สุดสภาพจิตที่ชินกับการหมดกิเลส ก็จะเข้าถึงความหมดกิเลสไปจริง ๆ

    นั่นคือเป้าหมายหลักที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเมตตาสอนให้กับพวกเรา"

    "ส่วนเป้าหมายรองลงไปก็คือ พิสูจน์ว่าบรรดาภพภูมิต่าง ๆ
    ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้นั้นมีจริงหรือไม่ ?
    ดูว่าผลของกรรมดีกรรมชั่วที่เราทำมาจะส่งผลอย่างไร ?
    ถ้าเห็นชัดเจนขนาดนั้นแล้วยังเลือกที่จะทำชั่ว ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรแล้ว


    แต่พวกเรามักจะเอาไปใช้ผิด ก็คือไประลึกชาติว่าคนโน้นเป็นอย่างนั้นกับเรา
    คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา แทนที่จะเข็ดว่ากี่ชาติ ๆ ก็เกิดมาลำบากอยู่อย่างนี้ แต่ก็ไม่เข็ด
    แถมไปฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่อีกต่างหาก ที่อาตมาเคยเปรียบว่า เราลอยคออยู่ในทะเลทุกข์ แทนที่จะรีบว่ายขึ้นฝั่ง กลับไปกอดคอกันเป็นพรวน ก็จมน้ำตายกันทั้งหมดนั่นแหละ..!"

    "สาเหตุที่อาตมาไม่สอนมโนยิทธิให้กับใคร ยกเว้นว่าติดขัดแล้วมาสอบถามได้ ก็เพราะกลัวว่าพวกเราจะเอาไปใช้ผิด ๆ
    ในปัจจุบันนี้เท่าที่เห็น ร้อยละ ๙๙ ใช้กันผิดหมด
    แม้กระทั่งอาตมาเอง ก็เกือบจะหลงทางไปเป็นหมอดูอยู่แล้ว

    ถามว่าการเป็นหมอดูดีหรือไม่ ? ดี...แต่เป็นขี้ข้าชาวบ้าน
    ถ้าคิดจะซักซ้อมมโนมยิทธิให้ดี มีวิธีที่ดีกว่านั้นเยอะแยะ
    การเป็นหมอดูต้องไปยุ่งกับกรรมชาวบ้าน
    ถ้าเราไม่เข้าถึงยถากัมมุตาญาณจริง ๆ มีสิทธิ์ที่จะเดี้ยงได้ เพราะกรรมชาวบ้านบางคน ก็หนักเกินกว่าที่เราจะควรไปยุ่งด้วย

    บุคคลที่ได้มโนมยิทธิแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ต้องซักซ้อมให้ชัดเจนเหมือนกับตาเห็น และจะยุ่งเกี่ยวกับคนรอบข้างไม่ได้ เพราะไปยุ่งเกี่ยวเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้น สภาพจิตก็จะเฝือ เพราะความผ่องใสหมดไป ความชัดเจนก็จะไม่มี แต่พวกเราก็ชอบกันจัง...ยุ่งเรื่องของชาวบ้าน

    บางคนก็เอาไปใช้ประโยชน์ในด้านผิดอีกต่างหาก เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสุบินนิมิต ๑๖ ประการของพระเจ้าปเสนทิโกศล ที่มีคนเอาถาดทองคำมีค่าแสนกหาปณะไปให้สุนัขจิ้งจอกเยี่ยวรด ก็คือเอาสิ่งที่พระองค์ท่านตรัสสอนไปใช้ในทางที่ผิด ๆ"

    "อาตมาเล็งดูแล้วว่า ขนาดตัวเราเองค่อนข้างจะรู้ตัวเร็ว ผิดพลาดอะไรก็แก้ไขได้เร็ว ก็ยังไปติดอยู่ตรงนี้ถึงสามปีเศษ ๆ เวลาไปดูอะไรให้ใครเขาชมแล้วก็ฟู อยากจะได้รับคำชมอีก ก็เที่ยวไปเป็นขี้ข้ารับใช้เขาอีก คำพูดประเภท "รู้ได้ชัดเจนเหลือเกิน" "เหมือนกับตาเห็นเลย" "ทำไมแจ่มใสอย่างนี้" ฟังแล้วฟูฟ่อง ตัวจะลอย หารู้ไม่ว่าตายตอนนั้นก็ไม่ได้ไปพระนิพพานอย่างที่ต้องการหรอก

    พอได้สติขึ้นมาก็ทิ้งเรื่องหมอดูหมดเกลี้ยงเลย เลิกดูกันที แต่ถ้าไม่หลง ไม่พลาด ก็ไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน บางทีเราบอกคนอื่นเขายังไม่รู้ตัว บอกไปก็เท่านั้น ฟังแล้วก็ผ่านหูไปเฉย ๆ จนกว่าจะเจ็บจนพอนั่นแหละ จึงจะรู้สึกตัว

    อาจารย์เอเจอรุ่นหลัง ๆ แล้วรู้สึกเบื่อบ้างไหม ? แต่ละคนเก่งฉิ..หายเลย อาตมาขอยืนยันว่าใช้คำพูดถูกต้องนะ ...(หัวเราะ)... ไม่ได้เก่งแล้วดีหรอก"


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐
    เว็บวัดท่าขนุน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 กรกฎาคม 2017
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...