ความแตกต่างและประทับใจในพม่า

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย aprin, 7 มีนาคม 2011.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    โดย...พระครูวินัยธรธีรวิทย์ ฉนฺทวิชฺโช ผู้ช่วยเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนา แห่งประเทศไทย วัดราชาธิวาสวรวิหาร

    ประเทศพม่า นับถือพระพุทธศาสนา มีความสัมพันธ์กับประเทศไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน แต่ถ้าศึกษาตามประวัติศาสตร์แล้วทั้งสองประเทศมักทำสงคราม เป็นคู่รักคู่แค้นกันมาหลายยุคหลายสมัย มีหลายเรื่องที่คาใจกันอยู่ แต่หากเรายังหลงผูกพันกับอดีตที่ขมขื่น ทั้งๆที่ปัจจุบันเข้าสู่ยุคของการอยู่ร่วมกันของสังคมโลกแล้ว ก็จะทำให้เราก้าวไปไหนไม่ได้ เหมือนคนบางกลุ่มพยายามจะเอาอดีตอันเจ็บปวดของตนมาปลุกระดมให้เยาวชนคนรุ่นใหม่รับรู้ แล้วนำมาเป็นเงื่อนไขในการที่จะแยกบ้านแยกเมือง หรือทวงคืนเอกราชตามที่ตนต้องการ หากวันนี้ไทยกับพม่ายังอยู่ในมิติของความขัดแย้งในอดีต เราคงอยู่กันอย่างไม่เป็นสุขแน่นอน

    [​IMG]

    เมื่อพูดถึงมิติที่เราน่าจะศึกษา เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาตนเองและส่วนรวม ต้องนึกถึงบทประพันธ์ของหลวงพ่อพุทธทาสที่ว่า “เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาส่วนที่ดีเขามีอยู่ เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย...”

    การมาเยือนพม่า 7 วันของคณะเราประกอบด้วยพระ 3 รูป ฆราวาส 4 คน ได้เดินทางไปยังเมืองและรัฐสำคัญๆ ของพม่าดังนี้คือ เมืองย่างกุ้ง เมืองพะโค (หงสาวดี) รัฐมอญ เมืองบากัน (พุกาม) เมืองมัณฑะเลย์ เมืองสะกาย และรัฐฉาน

    เรื่องที่ได้ฟังสิ่งที่ได้เห็นทำให้เปลี่ยนความคิดหลายอย่างที่มีต่อพม่าในอดีตได้มากทีเดียว โดยเฉพาะที่มองว่าพม่าเป็นประเทศที่ปิดตนเองไม่ยอมรับมติของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง ทำให้มองว่าเป็นประเทศที่ตกขบวนของการเข้าสู่โลกยุคใหม่ดังเช่นอารยประเทศต่างๆ กำลังดำเนินอยู่

    แต่ทันทีที่ได้เหยียบลุ่มแม่น้ำอิรวดี (ชาวพม่าจะเรียกว่าเอยาวดี) จึงรู้ว่าพม่าไม่ใช่ว่าเขาจะปิดรับทุกอย่างโดยสิ้นเชิง เพียงแต่มีการกลั่นกรอง และเลือกใช้ในสิ่งที่คิดว่าจำเป็นกับประเทศต่างหากจะเห็นสนามบินเม็งกะลาดง (ย่างกุ้ง อินเตอร์เนชันแนล แอร์พอร์ต) ที่ถูกพัฒนาพร้อมรับการขยายตัว และการเติบโตของประเทศนี้ เมื่อไปดูสนามบินนานาชาติของเมืองมัณฑะเลย์ก็ยิ่งเห็นได้ถึงการเตรียมที่จะตื่นตัวขึ้นมาของยักษ์ของเอเชียคือพม่าที่หลับมานาน
    เรื่องที่จะเขียนเล่าสำหรับผู้อ่าน เป็นสิ่งที่ได้พบเห็น และข้อมูลที่ได้พูดคุยกับมัคคุเทศก์ หรือคนในพม่า ซึ่งอาจจะตรงหรืออาจจะคลาดเคลื่อนกับสิ่งที่ได้ศึกษาบ้าง ก็เอาเป็นว่าเรามองพม่าจากสายตาคนพม่า นำเสนอโดยคนไทยก็แล้วกัน

    คณะของเราก็คงคล้ายๆ กับคณะอื่นๆ คือจะต้องไม่พลาดสถานที่สำคัญที่ถือว่าเป็นหัวใจทางพระพุทธศาสนาของชาวพม่า และชาวพุทธทั่วทิศานุทิศ นั่นคือพระธาตุอินทร์แขวน ที่ตั้งของพระธาตุนี้มีความมหัศจรรย์จนกระทั่งทำให้เชื่อว่าพระอินทร์ได้มีส่วนร่วมในการสรรหาก้อนหินและนำมาวางไว้บนยอดเขาเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งภูเขานี้ตั้งอยู่ในเมือง ไจ้โถ่ มีลักษณะเป็นเจดีย์องค์เล็กๆ สูงเพียง 5.5 เมตรบนก้อนหินกลมๆ ที่ตั้งอยู่บนยอดผาอย่างหมิ่นเหม่ดูแล้วให้หวาดเสียวว่าจะกลิ้งตกลงไปยังก้นหุบเขาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ชาวพม่ามักยืนกรานว่าไม่มีทางตก เพราะพระเกศาธาตุที่บรรจุอยู่ภายในพระเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์นั้น ย่อมยังหินก้อนนี้ให้ทรงตัวอยู่ได้อย่างสมดุลเรื่อยไป

    เนื่องจากพระธาตุอยู่ที่สูง คณะของเราได้เลือกวิธีขึ้นพระธาตุอินทร์แขวนโดยการเดินเท้าเป็นระยะทางประมาณ 3.6 กม. (ถ้าท่านใดไม่เดินก็มีเสลี่ยงไว้บริการ)

    ตลอดทางมีทั้งชาวพม่าทุกวัยตั้งแต่ลูกเด็กเล็กแดง วัยรุ่น จนถึงผู้เฒ่าผู้แก่ ชาวพุทธไทย จีนญี่ปุ่น ฯลฯ แม้แต่คนต่างศาสนาอย่างอเมริกันหรือยุโรป ก็มาเยือนสถานที่แห่งนี้ เพื่อมาชมอัศจรรย์แห่งพลังศรัทธาที่มีต่อองค์สมเด็จพระสัมมา|สัมพุทธเจ้า อีกทั้งยังมีทิวทัศน์ที่งดงาม

    รอบๆ บริเวณลานของพระธาตุอินทร์แขวนจะเห็นประชาชนชาวพุทธสวดมนต์ ภาวนา บูชาดอกไม้ธูปเทียน ปิดทององค์พระธาตุ โดยชาวพม่าเชื่อว่าผู้ที่มานมัสการพระธาตุต่อเนื่องกันตลอด 3 ปี จะเป็นมงคลในชีวิตอย่างยิ่ง เมื่อเสร็จการบูชาแล้วก็จะจับกลุ่มกันนั่งพักผ่อน บางคณะก็เอาข้าวปลาอาหารมารับประทานกัน เห็นแล้วก็ชื่นชมที่ชาวพม่าสืบทอดวิถีชีวิตเรียบง่ายสมถะ ต่อเนื่องจากอดีตถึงปัจจุบัน

    นอกจากพระธาตุอินทร์แขวนแล้วยังมีพระมหาเจดีย์ชเวดากองในย่างกุ้ง(เมืองหลวงอันดับสองของพม่า) ซึ่งเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดของพม่า ที่คนพม่าเชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่ต่อเนื่องมาจากพุทธประวัติ นั่นคือพ่อค้าที่ชื่อว่า ตปุสสะกับภัลลิกะ ที่ได้ถวายข้าวสัตตุก้อนสัตตุผงแด่พระพุทธองค์ หลังการตรัสรู้ และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประทานพระเกศาจำนวน 8 เส้นให้ทั้งสองคน ความเชื่อนี้เป็นอมตะนิรันดร์กาล ทำให้ชาวพม่าศรัทธาเลื่อมใสนำสิ่งของที่มีค่า มาเป็นเครื่องบูชาพระเจดีย์แห่งนี้ตลอด อีกทั้งชาวพม่าถือว่าการกราบไหว้บูชา เจดีย์ชเวดากองเป็นนิตย์ จะนำมาซึ่งบุญกุศล อันเป็นหนทางสู่การหลุดพ้นจากทุกข์โศกโรคภัยทั้งมวล

    ชาวพม่าบางท่าน บางคณะมานั่งทำสมาธิเจริญสติภาวนา นับลูกประคำ และบ้างก็ประทักษิณารอบองค์เจดีย์ วันที่คณะได้เดินทางมาถึงชเวดากอง พบว่ามีคลื่นมหาชนทั้งคนพม่าและคนต่างชาติต่างภาษา ที่หลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสายเพื่อสักการ|บูชามหาเจดีย์

    เราสามารถเห็นการบูชาดังที่กล่าวมาแล้วในทุกที่ไม่ว่าจะเป็นพระมหามุนี ที่เมืองมัณฑะเลย์ และที่ทะเลย์เจดีย์ที่มีกว่า 3,000 องค์ ที่พุกาม หรือแม้แต่ในทะเลสาบที่ห่างไกลอย่างทะเลสาบอินเลย์ในรัฐฉาน ชาวบ้านทำการบูชาด้วยศรัทธาจริงๆ เพราะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน

    สิ่งที่เราได้ประสบก็คือความมั่นคงของพระพุทธศาสนาที่ประดิษฐานบนดินแดนแห่งนี้มายาวนานหลายศตวรรษ ก่อนไทยจะมีอาณาจักรที่ชื่อว่าสุโขทัยเสียด้วยซ้ำไป

    [​IMG]

    จากประสบการณ์ระยะสั้นๆ พอพูดได้ว่าโลกที่พม่าหมุนช้ากว่าประเทศไทยเรามาก เช่น พวกเราต้องแปลกใจในตอนเที่ยง ที่เราเห็นรถจอดเต็มหน้าโรงเรียน ถามมัคคุเทศก์ก็ได้ความว่าเขามารับบุตรหลานเพื่อกลับไปรับประทานอาหารกลางวันที่บ้านแล้วจะนำมาส่งใหม่ในช่วงบ่าย (โอ้โฮ.. ถ้ากรุงเทพฯ เราต้องปฏิบัติอย่างนี้นึกภาพไม่ออกจริงๆ)

    อีกเรื่องที่ช้ากว่าไทยคือ ปีพุทธศักราช พม่าช้ากว่าไทยอยู่ 1 ปี ส่วนวันสำคัญทางศาสนา เช่น มาฆบูชา วิสาขบูชา หรืออาสาฬหบูชา ก็จะช้ากว่าเราอยู่ 1 เดือนด้วย

    ที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งคือตามวัดวาอารามต่างๆ ที่ได้ไปเยือนเราจะเห็นตู้รับบริจาคเงินเพื่อบำรุงรักษาวัดต่างๆ โดยปราศจากเครื่องป้องกันขโมยดังที่เราเห็นในเมืองไทย ที่เป็นเช่นนี้ได้คำตอบว่าที่พม่าไม่มีการลักขโมยเงินทำบุญ (เหมือนเช่นบางประเทศ) ตู้จะเต็มจะล้นอย่างไรก็อยู่อย่างนั้นแหละ เพราะคนที่นี่เขากลัวบาปกลัวกรรมมากกว่ากลัวความลำบากของตนเอง

    ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้นับถือพระพุทธศาสนา

    ปัจจุบันประชากรของประเทศพม่า ประมาณ 50 ล้านคน มีพระสงฆ์อยู่ประมาณ 5 แสนกว่ารูป ยังไม่รวมแม่ชี ซึ่งที่นี่มีระบบดูแลแม่ชีกันอย่างจริงจังถึงขั้นมีสถานศึกษาเฉพาะแม่ชีต่างหาก ในขณะที่บ้านเรามีประชากรกว่า 60 ล้านคน แต่เรามีพระสงฆ์แค่เพียง 2 แสนกว่ารูปเท่านั้นเอง (ลองคิดสัดส่วนกันดูเถิด) ที่เป็นแบบนี้เพราะชาวพม่านิยมให้ลูกบวชเป็นสามเณร ตั้งแต่อายุน้อยๆ เพื่อสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้ยืนนาน ไม่ได้บวชกันแค่ 3 เดือน หรือ 15 วัน 7 วัน หรือแค่บวชหน้าไฟเท่านั้น

    ที่สำคัญและยิ่งใหญ่สำหรับชาวพุทธ พม่ากล้าที่จะประกาศว่าประเทศนี้มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ไม่กล่าวเฉพาะวาจาเท่านั้น แต่พม่ายังได้ประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรว่าพระพุทธศาสนาอยู่ในฐานะศาสนาประจำชาติ เมื่อปีพุทธศักราช 2504 และรัฐบาลพม่ายังได้ออกกฎหมายรับรองว่าเป็นศาสนาประจำชาติ และกฎหมายอื่นๆ อีกมากเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และจากวันนั้นถึงวันนี้ก็ไม่มีปรากฏการณ์ความเหลื่อมล้ำของศาสนาอื่นๆ แต่อย่างใด
    น่าสงสารที่บางประเทศประกาศว่าเป็นเมืองพุทธ แต่แค่ประกาศว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญก็ยังกระทำมิได้

    ชาวพม่ายังเล่าให้ฟังว่า ท่านนายพลผู้นำของพม่า ครั้งคราใดที่จะต้องทำการอะไรที่สำคัญๆหรือเมื่อถึงวันสำคัญในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ท่านนายพลจะไปยังที่สำคัญๆ ของศูนย์รวมชาวพุทธในพม่าและจะเป็นประธานในการนำชาวพุทธสวดมนต์ นั่งสมาธิ เป็นพุทธบูชาตลอด

    เมื่อมาถึงตรงนี้ก็ทำให้ถึงบางอ้ออีกครั้งว่านี้ไงกุญแจของความเจริญของพระพุทธศาสนาในประเทศนี้ ที่ผู้นำท่านทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี

    สำหรับประเทศไทยแล้วเมื่อถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาก็อยากจะขอวิงวอนท่านผู้มีอำนาจทั้งหลายได้ใช้เวลาเช่นนี้ปฏิบัติตนเป็นพุทธบูชา ให้สมกับเป็นเมืองพุทธบ้างก็ดีไม่น้อย และยังจะเป็นแบบอย่างให้คนในชาติ ลูกหลานของเราปฏิบัติตามอีกด้วย

    การได้มาเยือนพม่าแม้จะเป็นเวลาแค่สัปดาห์เดียว แต่ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความเป็นไปของวัฒนธรรมที่หล่อหลอมมาจากพระพุทธศาสนาที่เข้มแข็งได้ดี ทำให้ประเพณี วิถีชีวิตของคนที่นี่อยู่กับพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์

    ยังคาดเดาไม่ถูกเหมือนกันว่า ถ้าพม่าเปิดรับกระแสโลกาภิวัตน์เหมือนประเทศอื่นๆ จะสามารถดำรงพุทธวิถีเช่นนี้ได้อีกหรือไม่ จึงได้แต่หวังว่าพม่าจะเลือกสรรและนำสิ่งดีๆ มีสาระมาประยุกต์ใช้อย่างลงตัวกับวิถีชีวิต ไม่เช่นนั้นจะเหมือนหลายๆ ประเทศที่คนในประเทศลืมรากเหง้าของตน ลืมไปว่าชาติที่เขาอาศัยนั้น บรรพชนได้สร้างชาติมาจากอะไร และอะไรคือจิตวิญญาณของประเทศ ศาสนานิยม และชาตินิยมของพม่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์

    โพสต์ทูเดย์ ธรรมะ-จิตใจ : ความแตกต่างและประทับใจในพม่า
     
  2. นายสาธิต

    นายสาธิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2008
    โพสต์:
    409
    ค่าพลัง:
    +1,066
    คนไทยสมควรกลับมาดูตัวเองกันได้แล้วว่าเลวไปแค่ไหนแล้ว บ้ากันตั้งแต่ปีสามศูนย์จนจะเป็นบ้ากันทั้งประเทศ บ้าแตกปีสี่ศูนย์อีกรอบ บ้าจนควรกลับมาดูได้แล้วว่าเราทำพลาดอะไรกันไปบ้าง คิดว่าชาติอื่นจะบ้าตาม ก้อเห็นๆๆกันอยู่ว่าไม่มีใครบ้าตาม ไอ่พวกบ้าตามก้อบ้าจนประเทศล่มจมกันหมด
     
  3. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    อ่านแล้วได้ความรู้ในมุมมองใหม่ของพม่าอีกมายมาก กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ
     
  4. daeng007

    daeng007 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2009
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +84
    พม่าไม่ควรเปิดประเทศ แต่ควรมีการปรับปรุงคณะทหารให้รู้จักรับผิดชอบสังคม ไม่รังแกสังคม สุจริต ยุติธรรม หากทำได้ประชาธิปไตยก็ไม่มีความหมาย เช่น เมืองไทย ประชาธิปไตย แต่การเมืองเละ มีความหมายมั้ย
    ประเทศไทยของเราเปิดประเทศ เด็กปัจจุบันพากันนุ่งสั้นห่มสั้น ยั่วยวนผู้ชาย
    ยังมีอีกมาก จริงหรือไม่........?!!!!
    ช่วยกันแสดงความคิดเห็นหน่อยว่าผมคิดถูกหรือผิด
     
  5. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,255
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  6. T.cha

    T.cha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2010
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +641
    คนพม่าที่เคยรู้จัก เค้านิสัยดีนะ สมัยผมวัยรุ่น มีเรื่องจะตีกันนี่ ก็เพื่อนพม่านี่แหละ ที่ห้ามศึกเอาไว้ เพราะคนไทยจะตีกันเอง ...
     
  7. อุทยัพ

    อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112
    เมืองไทยคงจะทำอย่างพม่าไม่ได้หรอกครับ เพราะหากดูจากการกระทำต่างๆของชาวพม่าแล้ว ผมเชื่อเลยว่าพระพุทธศาสนาในพม่านั้นเข้มแข็งเหลือเกิน แต่ดูในเมืองไทยก็น่าจะรู้แล้วนะครับ ถ้าัวัยรุ่นสนใจศึกษาธรรมะ+ปฎิบัติธรรม = บ้า แต่ถ้าหากวิ่งไล่ตามลัทธิวัตถุนิยม+ยอมรับวัฒนธรรมต่างๆของต่างๆประเทศที่ไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อน = ฉลาด
    ก็คิดเอาเองเถิดครับว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร ไม่แน่อาจจะเหมือนลังกาก็ได้ที่ต้องขอพุทธศาสนาของเราไปเนื่องจากในลังกาพุทธศาสนาเสื่อมลงเนื่องจากตอนที่อังกฤษเข้ามารุกราน ได้บังคับให้ภิกษุสึก เวนคืนที่วัด และไม่ให้ชาวพุทธแต่งงาน หรือ แต่งงานแล้วก็ไม่ให้มีลูก จนทำให้พุทธศาสนาในลังกาเสื่อมลง ฉะนั้นแล้วในลังกาจึงเกิดลัทธิสยามวงศ์ ไม่แน่นะครับ รุ่นลูกรุ่นหลานเราอาจจะเกิดศาสานาพุทธลัทธิพม่าวงศ์ก็เป็นได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มีนาคม 2011
  8. Tom & Jerry

    Tom & Jerry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +536
    อยากไปท่องแดนธรรมพุทธสถานที่พม่ามานานแล้วค่ะ
    วางแผนไว้อย่างดี พอเจอพายุนากีสเท่านั้น แผนพังไม่เป็นท่าเลย จนบัดนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปเลยค่ะ กำลังวางแผนไปใหม่ แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่า จะไปกับทัวร์ (ซึ่งสะดวกสบาย แต่อาจไม่เข้าถึงจิตวิญญาณของพม่า) หรือจะไปแบบสะพายเป้ลุยเอาเอง (ซึ่งเป็นอิสระกว่าและเข้าถึงความเป็นพม่าพุทธได้ดีกว่า) ยิ่งอ่านกระโถนข้างธรรมมาศน์ของพระอาจารย์เล็ก เรื่องของพม่า ยิ่งอยากไปจนใจสั่นเลยค่ะ
     
  9. Phuket

    Phuket เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    499
    ค่าพลัง:
    +877
    Korean <<< บ้าหนัดเด็กไทย
     
  10. จ๊ะโอ๋

    จ๊ะโอ๋ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ไปประเทศพม่ามาสองครั้งแล้วค่ะ ประทับใจมากค่ะ วัดในประเทศของเค้าสามปีจะมีการบูรณะทีด้วยเงินที่สาธุชนได้บริจาคใส่ตู้นั่นแหละค่ะ และก่อนจะเข้าไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดทุกคนจะต้องถอดรองเท้าเดินเข้าไปถึงจะเข้าได้ อย่างที่พระธาตุอินทร์แขวนจะต้องถอดรองเท้าตั้งแต่หน้าวัดเลยค่ะ แสดงให้เห็นถึงความเคารพศรัทธาที่พวกเค้ามีต่อพระพุทธศาสนาอย่างมากเลยค่ะ :cool::cool::cool:
     
  11. สี่จุด

    สี่จุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    705
    ค่าพลัง:
    +3,659
    เราเองไปพม่ามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ปีนี้ยังไม่ได้เหยียบไปเลย ทุกครั้งเราจะจัดไปกันเอง
    เรื่องที่นำมาลงนั้นก็มีส่วนจริง แต่ยังไงเหรียญก็มีสองด้านนะจ๊ะ กลุ่มคนมีอำนาจมีเงินในพม่าก็จะเป็นพวกนายพล นอกนั้นจนหมด จิตใจดีมั๊ย ก็เป็นคนดีส่วนใหญ่เหมือนทุกเมืองในโลกนี้แหละ พระจริงพระอริยะสงฆ์ก็เยอะ พระเก๊ก็ไม่น้อย แต่ไปพม่าแล้วจะอยากไปอีก ทั้งที่ครั้งหนึ่งเราเคยปรามาสว่า จ้างให้ก็ไม่ไป เข้าวัดต้องถอดรองเท้า อาหารก็สกปรก แต่แล้วเราก็ติดใจซะแล้ว ในมุมไม่ดี เราก็ไม่มองของเขา เอาส่วนดีเขามาคุยดีกว่า หนุ่มสาวบ้านเขาก็ดีนะ รักกันชอบกันก็ชวนกันไปไหว้พระ แต่ที่เอาร่มกางนั่งในสวนสาธารณะก็ไม่น้อย ก็เป็นธรรมดานะ ความเจริญยังไปไม่ถึง การปรุงแต่งก็ยังไม่เกิดขึ้น เมื่อไรที่ทหารไม่เหยียบไว้ ก็จะยังไม่รู้หรอกว่า ประเทศเขาจะหันไปทิศไหน ฉะนั้น การเปรียบเทียบประเทศปิดกับประเทศเปิด มันไม่สามารถวัดได้ว่า แบบไหนดีกว่า อนุโมทนา....สาธุ
     
  12. turtohnual

    turtohnual เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +232
    น่าเสียดายนะครับที่มีคำทำนายว่า ในอนาคตข้างหน้าศาสนาพุทธ

    จะเสื่อมถอยความนับถือไปจากคนไทย ดูแนวโน้นก็น่าจะเป็นจริง

    และประเทศพม่าจะเป็นประเทศที่ศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรืองมาก

    ถ้าชาติหน้ามีจริง ขอเกิดในประเทศที่นับถือพุทธ(อาจไม่ใช่ไทย)นะครับ
     
  13. SitOrahan6

    SitOrahan6 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2009
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +56
    แต่ทหารพม่าก็ไล่ฆ่าพระ จนนองเลือดไปทั้งแผ่นดิน!! และถึงทหารจะอุปถัมภ์ศาสนา

    แต่เรามีพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่เป็นเสาหลักในการอุปถัมภ์ศาสนา บ้านเราอาจจะ

    เพี้ยนๆไปมากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็แค่คนกลุ่มเดียว!! ที่คุณมองเห็น หาใช่ทุกคนไม่

    บ้านเค้าต่างหากที่คุณอาจจะไม่ได้สัมผัสลึกซึ้งอย่างที่สุดแต่คิดว่าดี..ก็เป็นได้

    เราควรจะมองสิ่งดีดีบ้านอื่น แล้วนำมากอบกู้ สร้างบ้านเมืองเราให้ดี ให้สมกับที่

    บรรพบุรุษหลั่งเลือด เสียเนื้อให้พวกเรามีที่ทำมาหากิน มีที่นอนหลับ...เช่นทุกวันนี้

    ส่วนใครที่เชื่อคำทำนายว่าศาสนาพุทธในประเทศไทยจะเสื่อมถอย คงแล้วแต่ความเชื่อ

    แต่ถ้าเป็นผม ผมเอาเวลา แรงกาย แรงใจ มารักษาพุทธศาสนาในประเทศไทยให้สืบต่อไป

    จะดีกว่า(เยอะ)

    บางครั้งลูกหลานเราไม่ดี อย่าเพิ่งโทษแต่เด็ก ผู้ใหญ่ห่วยๆ ก็เยอะมากนะครับ

    แต่ด้วยบ้านเราผู้ใหญ่ไม่เคยผิด เด็กเลยรับกรรมไป

    ขออภัย ที่เหมือนแย้งๆ แต่ให้ผมชื่นชมกับสิ่งที่พิจารณาแล้วไม่ได้ใกล้เคียงความจริง

    สักเท่าไหร่นัก ผมรู้สึกแปลกๆครับ....
     

แชร์หน้านี้

Loading...