การทำบุญ ทาน ศีล ภาวนาเหตุใดจึงได้บุญไม่เท่ากันเพราะอะไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย สุรีย์บุตร, 9 กุมภาพันธ์ 2008.

  1. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +2,122
    มีความสงสัยว่า ทำไม การทำบุญจึงได้บุญไม่เท่ากันครับ
    ทำไม การทำทานไห้ทาน จึงเป็นการทำบุญที่ได้บุญน้อยที่สุด
    ทำไม การถือศีล จึงเป็นการทำบุญ ที่ได้บุญมากกว่าการไห้ทานทำทาน
    ทำไม การภาวนา วิปัสนา จึงได้บุญมากที่สุด แม้นทำเพียงแค่วันละนิดเดียว
    ผมอ่านเจอเรื่องการทำบุญจากหนังสือพระไตรปิฎกเล่มหนึ่งครับ
    แต่ไม่มีบอกว่าเพระเหตุใด จึงได้บุญไม่เท่ากันอย่างนั้น

    ผมก็พอรู้คำตอบมันปิ๊งขึ้นมาเองตอนที่สงสัยครับ
    แต่อยากทราบว่าคนอื่นคิดยังไงครับ ขอความเห็นครับ
     
  2. คนมีกิเลส

    คนมีกิเลส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    3,973
    ค่าพลัง:
    +19,431
    อานิสงส์จากการทำบุญต่างๆ เรียงจากน้อยไปมาก
    ๑.การให้ทาน (สังฆทานประเภทเสนาสนะทานมีอานิสงส์มากที่สุดในบรรดาทานทุกประเภทที่เป็นอามิสทาน)
    ๒.การถึงไตรสรณคมน์
    ๓. การรักษาศีล ๕
    ๔. การเจริญเมตตา
    ๕.การเห็นพระไตรลักษณ์
    ๖. การสิ้นกิเลส
     
  3. เกสรช์

    เกสรช์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +1,401
    การทำบุญ ทาน ศีล ภาวนา เหตุใดจึงได้บุญไม่เท่ากันเพราะอะไร

    อนุโมทนา สาธุ

    (i) การให้ทาน เป็นบุญรองลงมาจากการสวดมนต์ ถ้าจะเปรียบเทียบก็คือ ถ้าเราทำทานอย่างเดียว ไม่สวดมนต์ ไม่ปฏิบัติกรรมฐาน เหมือนกับเรามีแต่ทรัพย์ แต่ไม่มีสติและปัญญาคอยนำทาง และถ้าเราสวดมนต์และปฏิบัติกรรมฐานแต่ไม่ทำทานเลย ก็จะมีแต่ปัญญาแต่ไม่มีทรัพย์สิน คือยากจนมีแต่ปัญญา

    (rose) ถ้าจะให้เป็นคะแนนก็จะให้การทำทานนั้นได้ ๑ คะแนน สวดมนต์จะได้ ๒ คะแนน และถ้าปฏิบัติกรรมฐานจะได้ ๔ คะแนน กรรมฐานเป็นบุญที่ให้ผลดีที่สุด เหมือนกับเราส่งจดหมาย=ถ้าเราส่งจดหมายย่อมถึงช้า๒-๓ วันถึงจะถึงที่หมาย แต่ถ้าเราปฏิบัติกรรมฐานเหมือเราโทรศัพท์จะถึงที่หมายเร็วกว่า

    (^) การที่เราปฏิบัติกรรมฐานนั้น เราใช้หนี้กรรมได้ เราจะรู้กฏแห่งกรรมได้ ถ้าใครนั่งกรรมฐานแล้วไม่มีความเจ็บปวดไม่มีความรู้สึกไม่ดี แต่ถ้าใครนั่งกรรมฐานแล้วปวดเมื่อยปวดขารู้สึกว่าทรมานมากนั้น เป็นการดีเพราะเรานั่งกรรมฐานเพื่อใช้หนี้กรรมและฝึกการอดทนของเรา ถ้าเราเคยทำกรรมสิ่งใดไว้จิตจะบอกเรา เราจะได้ใช้หนี้ให้เขาไป สมมติเราเคยตีขาหมาเราก็ปวดขาเรานึกออกเลยเราเคยตีขาหมา เราก็ปวดขาเหมือนกันเรายอมใช้หนี้กรรมให้เขาไปเราก็จะดีขึ้น ทำให้เรารู้ดีรู้ชั่วรู้กฏแห่งกรรมนั้นมีจริง เราจะได้ไม่สร้างเวรสร้างกรรมอีกต่อไป

    เพราะฉะนั้นท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย มาร่วมกันหมั่นทำทาน รักษาศีล สวดมนต์ภาวนา เจริญสมาธิพระกรรมฐาน ให้ถึงพร้อมกันด้วยเทอญ


    สาธุ!!!!

    (อ้างอิงโดย : เปิดบุญ เปิดกรรม บันทึกธรรมชีวประวัติ แม่มณีจันทร์ เลิศหิรัญปัญญา)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2008
  4. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +2,122
    งั้นลองมาอ่านคำตอบที่ผมปิ๊งขึ้นมามั่งนะครับ
    ผมจะเปรียบ ทาน ศีล ภาวนา เป็นโลก3โลกนะครับ
    โลกที่1 ทาน ที่นี่มีแต่คนชอบทำทาน บริจาคทรัพย์แต่ คนที่นี่ไม่ถือศิลครับสมมุตินะครับ เมื่อ คนที่นี่ไม่ถือศีล คืออย่างน้อยศีล5
    ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ดื่มสุรา ไม่ผิดลูกผิดเมีย ไม่โกหก
    โลกแห่งทานที่คนชอบแต่ทำทาน ไม่ถือศิล เอาแค่เรื่องไม่ถือศีล5เรื่องเดียวก่อนนะครับ คิดว่าโลกทานนี้ จะวุ่นวายสับสน ยุ่งเหยิงขนาดไหนครับ

    ต่อไปโลก ศีล. คนที่นี่ถือศีล เอาแค่ศีล5พอ แต่ไม่ชอบทำทาน อย่างน้อยๆคนที่โลกถือศีลนี้ก็ถือศีล5 ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ผิดลูกผิกเมีย ไม่ลักทรัพย์ ไม่ดื่มสุรา ไม่โกหก โลกนี้ก็มีแต่ความสงบครับ แต่ . . . ถึงจะถือศีล แต่ไม่ภาวนาไม่เจริญสติ ซึ่งการเจริญภาวนา ทำไห้คนมีสติมากขึ้น เมื่อคนถือศีล แต่ไม่ภาวนา
    ย่อมมีสติน้อย เมื่อมีสติน้อย ย่อมถูกกิเลสครอบงำได้ง่ายๆ
    เมื่อถูกกิเลสครอบงำง่ายๆ ย่อมไม่สามารถรักษาศีลที่ตนเองอยากรักษาเอาไว้ได้ เพราะงั้น คนที่ถือศิลแต่ไม่ภาวนา ย่อมศีลขาดเป็นประจำครับเพราะขาดสติคอยมาคุมกิเลสครับ เหตุนี้จึงได้บุญมากกว่าการทำทานครับ

    ต่อไป โลกที่3 โลกของการภาวนา โลกนี้คนชอบภาวนา เจริญสติ เมื่อคนเราภาวนาเจริญสติแล้ว ย่อมเกิดปัญญา เมื่อเกิดปัญญา มีความสงสัย เมื่อสงสัย ย่อมหาคำตอบ
    ผมหมายถึงเกิดปัญญาสงสัยอย่างน้อยเรื่อง>คนเราเกิดมาทำไม<สมมุตินะครับอาจสงสัยเรื่องอื่นก็ได้
    เมื่อมีปัญญาสงสัยเรื่องคนเกิดมาทำไม ย่อมมีปัญญาศึกษาและเข้าใจคำตอบ
    เมื่อศึกษาและเข้าใจก็จะมีความเกรงกลัวต่อบาป และไม่กล้าทำบาป เมื่อไม่ทำบาป ก็ไม่ผิดศิล เมื่อไม่ผิดศีลและยังมีสติมากกว่าคนปรกติย่อม ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสง่ายๆสังคมก็สงบ และย่อมส่งผลไห้รู้จักบุญและสนใจการทำทานต่อไปเองด้วยครับ
    เพราะเหตุนี้พระพุทธเจ้า จึงสรรเสริญการภาวนา เจริญสติว่าเป็นการทำบุญที่ได้บุญมากที่สุดครับ

    ก็มีเท่านี้หละครับ ที่ผมปิ๊งขึ้นมาคำตอบนี้ไม่ได้อ่านมาจากไหนนะครับ:d
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2008
  5. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +750
    การให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ต่างเป็นไปเพื่อการละกิเลศ
    ทาน ละกิเลศได้ในเบื้องต้น
    ศีล ละกิเลศในเบื้องกลาง
    ภาวนา ละกิเลศในเบื้องสูง

    ทานส่งผลให้ได้มนุษย์สมบัติ
    ศีลส่งผลให้ได้สวรรค์สาบัติ
    ภาวนาส่งผลให้ได้นิพพานสมบัติ
     
  6. เด็กใหม่คับ

    เด็กใหม่คับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +152
    ก็เพราะความยากมันต่างกัน จิงไหม
     
  7. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
    [​IMG]

    ธมฺมกาโม ภวํ โหติ</SPAN>
    ผู้ฝักใฝ่ในธรรมเป็นผู้เจริญ
    ธมฺมเทสฺสิ ปราภโว

    ผู้ชังธรรม เป็นผู้เสื่อม
    นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ

    สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี.
    ...............................................................
    อย่างไรก็หมั่นทำบุญทำทาน ไหว้พระ สวดมนต์ รักษาศีล เจริญภาวนาพระวิปัสสนากรรมฐานกันทุกคนนะครับ เราจะได้ไปแดนทิพย์นิพพานบรมสุขกัน

    ขออนุโมทนากับทุกท่านนะครับ สาธุๆ
     
  8. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,409
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,434
    อนุโมทนาครับ ทำดีเพื่อนิพพานเป็นที่ไป

    [​IMG]
     
  9. วิทย์

    วิทย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    2,036
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,439
    ความจริงแล้วคือพระพุทธองค์ท่านทรงได้ญาณหรืออภิญญาการหยั่งรู้กรรมและการกำเนิดจุติของสรรพสัตว์ทั้งหลายน่ะครับ ว่าทำดีทำไม่ดีอย่างไรจะได้รับผลอย่างไร หรือไปเกิดในภพภูมิไหน

    ถ้าแบ่งลำดับจากความประณีตของรูปกาย ความสุขที่ได้รับ ทิพยสมบัติต่างๆ และอายุ ที่ได้รับในแต่ละภพภูมิ ผลแห่งการทำความดีก็จะเป็นดังที่พระพุทธองค์ตรัสบอกไว้น่ะครับ เช่น พรหมกับเทวดา ถ้าเปรียบเทียบกัน พรหมก็จะมีรูปกายที่ประณีตกว่า มีความสุขมากกว่า มีอายุมากกว่าเทวดาทั้งหลาย ฯลฯ

    ซึ่งความดีในแต่ละประเภทนั้นก็จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในภพภูมิต่างๆกันไปน่ะครับ

    ปล.แต่ถ้าวิเคราะห์จากสภาพจิตใจในปัจจุบันในการทำความดีแต่ละประเภทก็แสดงให้เห็นได้ว่า ยิ่งจิตมีคุณธรรมสูงมีกิเลสเบาบางมีความกว้างขวางเท่าไหร่ ความประณีตของรูปกายและทิพยสมบัติต่างๆ ก็จะยิ่งสูงและดีประณีตมากขึ้นตามไปด้วยน่ะครับ
     
  10. Karz

    Karz Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2005
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +96
    เหตุที่บุญไม่เท่ากันเพราะ "ความห่างจากกิเลส" ไม่เท่ากันครับ บุญ-บาป จะมากจะน้อย เค้าใช้ "กิเลส" เป็นตัววัดครับ

    หากบุญที่เยอะที่สุดคือบุญที่ได้จากการทำให้ตนหมดกิเลส การภาวณาเปรียบเสมือนกับการแกะกิเลสออกจากตัวเราครับ เราต้องการดับกิเลส ต้องต่อสู้กับความต้องการ ต้องใช้ความอดทน ต้องใช้ความเพียร ในการภาวนาจึงเต็มไปด้วยคุณธรรมมากมายประกอบอยู่ในนั้นครับ คุณธรรมฝ่ายกุศลทั้งหลายนั้นก็เป็นบุญอยู่ในตัวอยู่แล้วครับ และการภาวนานั้นเปรียบเหมือนกับการทำสงครามกับกิเลสโดยตรงครับ ความพยายามประกอบความเพียรระดับนี้จึงได้บุญเยอะที่สุด

    บุญที่รองลงมาคือศีล เพราะศีลมีเพียงห้าข้อเท่านั้นที่ต้องระวังรักษาครับ อย่าคิดว่าการถือศีลนี่ใช้สติน้อยนะครับ ถ้าคุณเคยถือศีลจะทราบว่าต้องใช้สติเยอะพอสมควรในการที่จะรักษาให้มันบริสุทธิ์ อย่างน้อยก็ต้องใช้สติประคองไปจนกว่าคุณจะคุ้นเคยกับการมีศีลเป็นปกติซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นคุณก็ไม่ต้องรักษาศีลแล้วครับ แต่ศีลจะรักษาคุณเอง ซึ่งอย่างน้อยศีลก็ป้องกันคุณจากการเล่นงานของกิเลสได้ห้าประการครับ ดังนั้น ที่ศีลให้บุญได้เยอะกว่าทานเพราะว่าต้องมีความเพียรสูงขึ้น มีคุณธรรมมาประกอบมากขึ้น และต้องมีสติมากขึ้นด้วย ถ้าคุณถือศีลได้บริสุทธิ์ และไม่ด่าง ไม่พร้อย คุณก็จะภาวนาได้ดีขึ้นเพราะความเพียรในการถือศีลนั้นได้ปรับพื้นฐานที่สำคัญในการภาวนาให้กับคุณแล้ว

    ส่วนการให้ทานนั้นที่ได้บุญน้อยที่สุดเพราะมันตัดกิเลสได้น้อยที่สุดครับ (การให้ทานนั้นตัดโลภเพียงอย่างเดียว) คุณอาจให้ทานได้สบายๆโดยที่ความโลภ โกรธ หลง ในอย่างอื่นๆของคุณไม่ลดลงไปเลย (เช่นความอยากรู้วิชาการ ความอยากเป็นเลิศในสายงาน ความไม่ประมาณในอาหาร ฯลฯ) ถ้าคุณไม่เดือดร้อนเรื่องทรัพย์สินเงินทอง การให้ทานเพียงเล็กน้อยไม่ทำให้ใจฟูได้เท่ากับรบชนะกิเลสได้ยกนึงหรอกครับ

    แม้จะเห็นว่าการภาวนาให้บุญเยอะที่สุด แต่ภาวนาจะทำได้ดีไปไม่ได้ถ้าพื้นฐานอย่างศีลไม่แน่น และจะทรงตัวไปไม่ได้ถ้าไม่ได้พื้นฐานคุณธรรมอย่างเมตตา-กรุณาที่มีได้จากการให้ทานมาเป็นตัวพยุง (การไม่ฆ่า ไม่ขโมย ไม่ข่มเหงน้ำใจกัน ไม่บิดเบือนความจริงกัน ไม่ทำให้ตนขาดสตินั้น ต้องใช้พื้นฐานจิตใจจากความเมตตา-กรุณาครับ)

    ดังนั้นท่านจึงให้เราทำให้ทาน ศีล สมาธิ (ภาวนา) เจริญไปด้วยกันครับ

    เจริญในธรรมครับ
     
  11. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    ดูที่บุญเต็ม คือถ้าเต็มก็ไม่ต้องทำอีก

    คนเข้านิพพานก็เต็มเลย .. คือเน้น ภาวนาไงครับ .. ถ้ายังเกิด ก็ยังต้องสร้างต่อ
     

แชร์หน้านี้

Loading...