ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นครปฐม - หลวงปู่พุทธอิสระออกแถลงการณ์การผิดวินัยสงฆ์ของหลวงปู่เณรคำ พร้อมชี้ “ดร.สนอง” ทำเป็นขบวนการปั่้นอรหันต์ เผยพระเถระ และเจ้าคณะปกครองออกมาช่วยป้องเณรคำให้ดูเรื่องเบาลง เตรียมทนายฟ้องศาลปกครองเอาผิดเจ้าคณะปกครอง และมีฟ้องอาญา รอทนายดำเนินการรับการฟ้องจากฝั่งตรงข้ามเช่นกัน ส่วนกรณีพระเกษม ขอจบเรื่องใหญ่ได้ดีเบตกันแน่

    วันนี้ (30 มิ.ย.) ที่ศาลาอเนกประสงค์ วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม หลวงปู่พุทธอิสระ เปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ กรณีความเคลือบแคลงในสังคมเกี่ยวกับหลวงปู่เณรคำ แห่งวัดป่าสันติธรรม ที่ปรากฏภาพนั่งเครื่องบินเจ็ต และถ่ายภาพที่ไม่เหมาะสม ขณะยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าหลวงปู่เณรคำ จะเดินทางกลับมาจากประเทศฝรั่งเศสเมื่อไหร่ โดยมีคณะศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่พุทธอิสระเกือบ 1,000 คน ที่เข้ามาทำบุญ และปฏิบัติธรรมร่วมฟังการแถลงข่าวไปพร้อมกัน

    โดยหลวงปู่พุทธอิสระ ได้นำเอกสารที่ได้เรียบเรียงไว้กว่า 4 หน้ากระดาษ ออกมาแถลงโดยมีหัวข้อว่า “อรหันต์โปรโมชันแปลงร่างเป็นอรหอย ใครเป็นผู้ทำให้เกิดอรหันต์เณรคำ” โดยมีใจความว่า ต่อไปนี้เป็นคำพูดจากปากอรหอยที่พิมพ์จากหนังสือ เพชรน้ำหนึ่ง หน้า 402 ความว่า “เราได้ทำให้แจ้งแล้วซึ่งความหลุดพ้น ได้ทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน สงบแล้วจากกกิเลสแล้ว สงบจากวิบากกรรรมแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว ชาติภูมิการเวียนว่ายตายเกิดในเราไม่มีอีกต่อไป ชาติปัจจุบันนี้เป็นชาติสุดท้ายที่เพียงพอต่อการเวียนว่ายตายเกิด ภพชาติการเกิดจึงยุติแต่เพียงเท่านี้” (จากหนังสือเพชรน้ำหนึ่ง หน้า 402)

    “และจากการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ปรารถนาเพียรอย่างหนักหน่วงตลอด 7 วัน 7 คืน นับจากวันที่ 25 ธันวาคม จนถึงวันสุดท้าย ได้เกิดดวงตาเห็นธรรมอันพ้นโลก ตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม เวลาตี 2 เป็นคืนอัศจรรย์ยิ่งนัก ที่ผลแห่งการสร้างสมบุญบารมีมาหลายภพหลายชาติ มาในครั้งนี้การทำความเพียรภาวะที่ได้ทำให้แจ้งแล้วซึ่งนิพพาน สงบจากกิเลสแล้ว สงบจากวิบากกรรมแล้ว พรหมจรรย์ของเราอยู่จบแล้ว ชาติภูมิการเวียนว่ายตายเกิดในเราไม่มีอีกต่อไป ภาพชาติการเกิดจึงยุติแต่เพียงเท่านี้”

    “ค่ำคืนนั้นเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันสูงยิ่งแห่งบรมพระศาสดา พร้อมเหล่าอรหันต์สาวกจำนวนมากได้เสด็จมาทางอากาศ ในนิมิตที่สามเณรวิรพลได้เห็นภาพเสด็จมาบิณฑบาตเป็นทิวแถวยาว พระพุทธองค์เสด็จนำหน้า พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร และเหล่าอรหันต์มากมาย ตลอดจนคณะธรรมสายปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ดับขันธ์เข้าพระนิพพานไปแล้ว ต่างได้มาปรากฏ เดินมาในขบวน สามเณรวิรพลจึงได้ยกมือไหว้ พระพุทธองค์ท่านมีเมตตา แย้มโอษฐ์ที่มุมปากเล็กน้อย นี่เธอ ขึ้นมาสะพายบาตรของเธอสิ จงเดินเข้าแถวต่อท้ายเราแล้วไปบิณฑบาตด้วยกัน” (ถอดมาจากหนังสือเพชรน้ำหนึ่ง หน้า 103-104 บรรยายโดยอรหอย)

    เมื่อหลุดพ้นวิเศษศักดิ์สิทธิ์เห็นปานนี้ ขนาดอ้างว่าพระพุทธเจ้ามาชวนเดินบิณฑบาตร่วมแถวด้วย แล้วก็ยังมีคำสำรากอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตนออกมารอดหูชาวบ้านในที่ต่างๆ เป็นระยะทางมายาวนานกว่า 10 ปี จนเป็นเหตุให้ชาวบ้านหลงเชื่ออย่างงมงาย จนไม่ลืมหูลืมตา แล้วทำไมกระทำตนต่ำทราม ตรงกันข้ามกับที่พูดอย่างชนิดหน้ามือเป็นหลังตีน อย่างที่พฤติกรรมปรากกฏออกมามากมาย และยังมีที่ไม่ปรากฏอีก เช่น การ ขี่สกูตเตอร์ งมน้ำดำหอย เป็นต้น

    จนทำให้เสียหายต่อสถานะของพระอรหันต์ ซึ่งเป็นที่สูงสุดของพระพุทธศาสนา และพระธรรมคำสั่งสอนของพระศาสดา จนเป็นที่คลางแคลงเสื่อมศรัทธาของผู้ใหญ่ ผู้มีปัญญาอ่อนด้อย และผู้ไม่มีประสบการณ์ทางวิญญาณในการเข้าถึงพุทธรรม อีกทั้งยังจะเป็นที่ดูถูกเหยียดหยามของคนนอกศาสนาด้วย ตัวอย่างเช่น การ์ตูนล้อเลียนพระสงฆ์ไทยที่ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลก หลังจากกรณีพฤติกรรมอื้อฉาวของอรหอยปรากฏในโลกออนไลน์อย่างเสียๆ หายๆ ไม่ทราบว่าพวกเจ้าคณะปกครอง และมหาเถรฯ ได้มีความรู้สึกอะไรบ้างรึเปล่า หรือพวกท่านบรรลุได้หมดแล้ว

    สิ่งเหล่านี้มันจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าหากไม่มีขบวนการปั่นอรหันต์ ที่กระทำโด ดร.สนอง วรอุไร และพวก ซึ่งพวกเขามีการแสร้งเข้ามาพยายามเพื่อช่วยเหลือกิจกรรมพระศาสนาด้วยการเผยแผ่บรรยายธรรมแก่บุคคลทั่วไปในสถานที่ต่างๆ เริ่มต้นจากการไปตีสนิทกับพระผู้มีชื่อเสียง ให้เป็นที่รู้จักคุ้นเคยของศิษย์ยานุศิษย์ของพระดังนั้น แล้วก็ผันตัวเองเป็นผู้รู้ธรรม จนเป็นที่ยอมรับของบุคคลรอบข้างพระองค์นั้นๆ

    แม้แต่ฉันเองเขาก็เคยเทียวไปเทียวมาอยู่หลายครั้ง เมื่อสร้างความคุ้นเคยเชื่อมั่นได้แล้ว ก็พยายามพูดอวดตนว่าเป็นพระอริยเจ้าระดับโสดาบัน คนผู้นี้ไม่ว่าจะไปอยู่ที่แห่งใด ก็จะพยายามพูดกรอกหูผู้อื่นว่า ตนเป็นผู้บรรลุธรรม และเป็นพระโสดาบัน เป็นผู้มีญาณทัสสนวิสุทธิ เมื่อเห็นว่ามีผู้ศรัทธาได้ที่ก็พยายามยกบุคคลผู้หนึ่งขึ้นเป็นผู้วิเศษ ดั่งคำโปรโมตของพระโสดาบัน และแล้วก็ถึงเวลานำตัวละครสำคัญออกมาเปิดตัว พร้อมกับโต้โผนำอรหันต์ไปโปรโมตออกเดินสาย สร้างความหลงเชื่อในจังหวัดต่างๆ และ ดร.สนอง กับพวกจะได้อะไรในช่วงนั้นก็ไม่อาจคาดเดา แต่รู้แน่นอนว่าตอนจบจะได้ขึ้นศาล

    หลวงปู่เณรคำต้องอาบัติอะไร

    ปาราชิก เพราะอวดอุตริมน์สสธรรมที่ไม่มีในตัวตน (ปาริชิกกัณฑ์ ที่ 14 )

    ปาจิตตีย์ เพราะโกหก (มุสาวาทวรรค วรรคที่ 1 )

    ปาฏิเทสนียะ เพราะรับและยินดีในเงินทอง (ปาฎิเทสนียะ สิกชาบทที่ 1)

    ทุกกฎ เพราะไม่มีสมณสารูป และโลกะวัช ทำชาวโลกติเตียน (เสขิยกัณฑ์ หมวดสารูป)

    ส่วนปาราชิกข้อที่เสพเมถุน แม้จะมีรูปนอนผู้กับผู้หญิง แต่ต้องรอการพิสูจน์ แต่หากมีบุคคลควรเชื่อได้มากล่าวโจทย์ด้วยอาบัติอะไร เช่น ปาราชิก สังฆาทิเสส หรือถุลลัจจัย ก็ให้ปรับอาบัตินั้น ข้อนี้อยู่ในสิกขาบทที่ว่าด้วยอนิยตกัณฑ์ สิขาบทข้อที่ 1 อีกทั้งยังผิดจรรยาเพราะบวชชาวบ้านโดยยังไม่มิได้อุปัชฌาย์ (ผิด พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 42) ผู้ใดมิได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ หรือถูกถอดถอดจากความเป็นอุปัชฌาย์ ตามมาตรา 23 แล้ว กระทำการบรรพชาอุปสมบทแก่บุคคลอื่น ต้องระวางจำโทษคุกไม่เกินหนึ่งปี แล้วหลวงพ่อปานขาว ซึ่งมีสถานะเป็นถึงเจ้าอาวาสวัดไทยในฝรั่งเศส เป็นถึงพระครูฝ่ายวิปัสสนา เป็นเจ้าพนักงานตามกฏหมาย ไม่รู้หรือไงถึงอนุญาตได้ หรือให้ไอ้อรหอยนั่งอุปัชฌาย์ได้ ท่านเป็นเจ้าพนักงานแต่ปล่อยให้ไอ้อรหอยมันสวมเขาให้ น่าอายนัก

    เช่นนี้แล้ว เจ้าคณะผู้ปกครองยังคงต้อวรออรหอยกลับมาอีกทำไม เพราะหลักฐานมันชัดขนาดนี้ หรือว่ารอมันกลับมาจ่ายเงินงวดสุดท้าย ถวายรถอีกคัน

    เรียนท่าน คณะพระสังฆธิการ ผู้มีหน้าที่ดูแลปกครองคณะสงฆ์ในจังหวัดศรีสะเกษทราบ เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล พวกท่านเป็นเจ้าคณะปกครอง ออกมาให้สัมภาษณ์กล่าวอ้างว่าเข้าไปที่สำนักนี้บ่อยๆ ท่านไม่รู้หรือว่าสำนักนี้มันเถื่อน แถมยังทำผิดเห็นๆ โดยขึ้นป้ายสำนักว่า วัดป่าขันติธรรม เพื่อหลอกลวงชาวบ้านให้หลงเชื่อว่าเป็นวัด หรือพวกท่านก็รู้เห็นเป็นใจด้วยต่อการแสดงที่ทั้งเถื่อนแต่แสร้างทำถูก นี่เป็นความบกพร่องข้อที่ 1

    พวกท่านเข้าๆ ออกๆ ในสำนักเถื่อนนี้เป็นประจำ พวกท่านไม่รู้หรือไงว่าเจ้าสำนักมีประวัติความเป็นมาอย่างไร เวลาที่มีผู้ถูกถามท่านจึงโยนกันไปกันมาใครเป็นอุปัชฌาย์ ทั้งที่มันเป็นความรับผิดชอบของพวกท่าน พวกท่านเป็นเจ้าคณะปกครองตามระเบียบคณะสงฆ์ วัดต่างๆในเขตปกครอง จะต้องทำบัญชีแจ้งยอดรายรับรายจ่ายประจำปีให้แก่เจ้าคณะปกครอง พวกท่านเข้าออกสำนักนี้มาเป็นสิบปี ทำไม่ไม่ทวงถามถึงบัญชีรายรับรายจ่ายที่ต้องส่งตามระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ นี่ถือว่าเป็นความบกพร่องข้อที่ 2

    พวกท่านไม่เคยได้รู้ได้เห็น ได้ยิน ต่อพฤติกรรมที่จะละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ ตั้งแต่อาบัติอย่างหนัก อาบัติอย่างกลาง และอาบัติอย่างเบา ของเจ้าสำนักเถื่อนแห่งนี้เลยหรือ หรือว่าลาภสักการะมันปิดตาบังใจพวกท่าน จนทำให้พวกท่านหลงลืมคำสอนของพระบรมศาสดา ว่าภิกษุเมื่อรู้เห็นเพื่อภิกษุด้วยกันละเมิดวินัย จะด้วยเจตนาหรือไม่ ต้องกล่าวตักเตือนด้วจิตที่หวังดีและเอ็นดู นี้เป็นข้อบกพร่องที่ 3 (หากไสามารถกล่าวตักเตือนจะต้องอาบัติปาจิตตีย์ สัปปาณวรรค สิกขาบทที่ 4 )

    พวกท่านไม่รู้หรือไงว่า ภิกษุรับเงินทองด้วยความยินดี ต้องอาบัตินิสสัคคปาจิตตีย์ ต้องสละของนั้นจึงจะปลงอาบัติ แล้วยังมีหน้าออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ที่อรหันต์ถวายเป็นชื่อของอาตมาเอง ทั้งที่ตนมีสถานะเป็นถึงเจ้าคณะภาค แล้วจะไปปกครองผู้อื่นได้หรือ หากผู้ปกครองไม่รู้จักความละอาย เมื่อมีเรื่องฉาวต่อพระพุทธศาสนา และกระเทือนต่อศรัทธาของพุทธบริษัท แทนที่พวกท่านจะออกมาปกป้องพระพุทธศาสนา พระธรรมวินัย พวกท่านกลับออกมาให้สัมภาษณ์ปกป้องพวกมารศาสนาอย่าเอาสีข้างเข้าถู ยกย่องลาภสักการะมากกว่าพระธรรมวินัย

    เงิน และรถมันคงบังหูตาของท่านอยู่ ท่านจึงได้พยายามปกป้อง ทั้งที่ความผิดมันชัดเจน แทนที่พวกท่านจะดำเนินตามวิถีทางการระงับอธิกรณ์ เพราะเรื่องทั้งหมดเป็นอนุวาทาธิกรณ์ เป็นเรื่องของศีลวิบัติ อาจารย์วิบัติ และอาชีววิบัติ เมื่อจำเลยไม่อยู่ หรือไม่ยินยอมมาให้พิจารณาคดี พระบรมศาสดาก็ทรงให้ใช้ตัสสปาปิยสิกา คือการลงโทษแก่ผู้กระทำผิด มี 5 องค์ คือ เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ เป็นผู้ไม่ละอาย เป็นผู้มีโจทก์ฟ้อง ให้สงฆ์ลงมติลงโทษ และลงโทษโดยหลักธรรมวินัย แล้วยังมีประกาศแถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่มที่ 3 ตอนพิเศษ มาตรา 15 ตรี และมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ข้อ 3 ความว่า

    (1) ในกรณีพระภิกษุรูปใดประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเรื่องเดียวกัน หรือหลายเรื่องเป็นอาจิณ ให้เจ้าอาวาสซึ่งภิกษุนั้นสังกัดอยู่หรือพำนักอาศัยมีอำนาจ หน้าที่ แนะนำ ชี้แจงตักเตือนให้พระภิกษุนั้นประพฤติตามพระธรรมวินัยเป็นลายลักษณ์อักษรโดยกำหนดให้ปฏิบัติหน้าที่ หากพระภิกษุนั้นไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ ชี้แจง ตักเตือน ภายในเวลาที่กำหนด ให้เจ้าอาวาสซึ่งพระภิกษุนั้นสังกัดอยู่รายงานโดยลำดับ จนถึงเจ้าคณะอำเภอสังกัด เพื่อวินิจฉัยให้สละสมณเพศต่อไป

    กระบวนการทั้งหมดนี้ พวกท่านที่เป็นเจ้าคณะปกครองได้กระทำแล้วหรือยัง หากยังถือว่าพวกท่านละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งมันจะเข้าข่าย “ผู้บังคับบัญชารูปใดไม่จัดการลงโทษผู้อยู่ในบังคับบัญชาที่ละเมิดจริยา หรือจัดการลงโทษโดยไม้สุจริตถือว่า ผู้บังคับบัญชารูปนั้นละเมิดจริยา”

    โทษฐานละเมิดจริย

    1.ถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่

    2.ปลดจากตำแหน่งหน้าที่

    3. ตำหนิโทษ

    4. ภาคทัณฑ์

    ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ได้มุ่งหวังว่าจะทำร้าย หรือทำลายใคร แต่ต้องการคงรักษาไว้ซึ่งพระสัจธรรมอันบริสุทธิ์ บริบูรณ์ มีประโยชน์ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด หากผมไม่กระทำก็อาจเข้าข่ายได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีจิตเมตตา หวังดี เอ็นดู ก็ถือว่าผิดพระวินัยต้องอาบัติเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เพราะผมต้องการจะรักษาตัวเอง แต่สิ่งที่ผมรักและต้องการรักษาด้วยชีวิต คือ พระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราฉะนั้นไม่ว่าไอ้อี และมันผู้ใด บังอาจมาทำให้พระธรรมวินัยมีมลทิน เป็นข้อกังขาต่อมหาชน ผมจะสู้กับมันแม้นชีวิตจะหาไม่ก็ตาม

    พระพุทธอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ)

    29 มิถุนายน 2556

    (อาตมามิใช่เจ้าอาวาสนะจ๊ะ)

    จากนั้น หลวงปู่พุทธอิสระ กล่าวว่า ตอนนี้ได้มีทนายอาสาจะดำเนินการให้ในเรื่องการฟ้องไปยังศาลปกครองเพื่อฟ้องร้องต่อเจ้าคณะปกครอง ฐานละเลยและเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และจะฟ้องทางอาญาด้วย ด้วย ดร.สนอง วรอุไร จัดว่าเป้นพวกซ่องโจร รวมตัวกันเพื่อปันอรหันต์ และทราบว่าตอนนี้ ทางนั้นหลวงปู่เณรคำ มีลูกศิษย์ ได้รวมเงินกันเพื่อจะจ้างทนายระดับประเทศจะมาฟ้องร้องซึ่งตอนนี้ก็รับทราบ และเตรียมตัวรอแล้ว และมีทนายอาสาจะเข้ามาช่วย ตอนนี้ก็เตรียมขายพริกในวัดมาใช้จ้างทนาย

    และเรื่องนี้ต้องฝากสื่อมวลชนต้องช่วยกันติดตามเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด และที่มีลูกศิษย์เป็นห่วงจะจัดกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ มาดูแล ยืนยันว่าฉันมาคนเดียวอย่าให้ใครต้องเดือดร้อน ฉันตั้งใจคิดคนเดียว ทำคนเดียว ที่เหลือก็ขอให้เป็นกำลังใจให้กันไม่อยากให้ลูกศิษย์เคลื่อนไหวอะไร ทางกฎหมายก็ว่ากันไป

    วันเดียวกัน นายวรัญชัย โชคชนะ ประธานกลุ่มพุทธศาสนิกชนไทย ได้แจ้งว่า ทางกลุ่มได้มีหนังสือเรียกยืนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)แล้ว มี 3 เรื่อง คือ 1.ให้เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ สอบสวน และลงโทษการกระทำความผิดของหลวงปู่เณรคำทันที 2.ให้กองปราบตรวสอบโดยด่วน พร้อมทั้งอออกหมายเรียก และออกหมายจับทันที ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ถ้าหากพบการกระทำความผิดตามข้อกล่าวหา 3.ให้ ปปง.ออกหมายอายัดทรัพย์และเงินสดในธนาคารทุกแห่งทันที พร้อมผู้ร่วมขบวนการทุกคน พร้อมทั้งยึดทรัพย์สินและอสังหาริมทรัพย์ หากปล่อยเวลาให้เนิ่นนานไปจะมีการยักย้าย ถ่ายเท ปิดบัง ซ่อนเร้น เงินทอง และทรัพย์ต่างๆ ซึ่งจะยากต่อการตรวจสอบ

    ทั้งนี้ หลวงปู่พุทธอิสระ ได้กล่าวถึงกรณีหลวงพ่อเกษม แห่งสำนักป่าสามแยก จ.เพชรบูรณ์ ว่ายังไม่ลืมนัดถกปัญหาทางธรรมกัน แต่ขอจบเรื่องนี้ก่อน และกำลังจะจัดสถานที่ให้ บอกหลวงเฮียไม่ต้องกลัว ยังยืนยันจะถกปัญหาด้วยแน่ ถือเป็นการดีเบทตทางธรรมไม่ได้คิดเป็นศัตรูกัน
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผมว่าน่ะครับภัยพิบติบนโลกเราคงพึ่งแค่อาหารกระป๋องก็พอ ไม่ต้องพึ่งอาหารอวกาส หรอกครับ แต่อาจหามาลองชิมดู สำหรับคนที่อยากลองของแปลก

    ประวัติย่อของ 'อาหารอวกาศ'

    แม้ว่าปัจจุบันอาหารอวกาศกับอาหารบนโลกมีความคล้ายคลึงกันมาก แต่ข้อแตกต่างประการสำคัญอยู่ที่การออกแบบภาชนะบรรจุ อาหารอวกาศจะต้องถูกบรรจุอย่างดีเพื่อไม่ให้ล่องลอยไปมาภายใต้สภาพแรงโน้มถ่วงที่น้อยมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อแผงวงจร หรืออุดตันช่องเปิดเล็ก ๆ บนยานได้ เครื่องดื่มเช่นชาและกาแฟ หรือแม้แต่อาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำจำเป็นต้องถูกทำให้แห้ง (dehydrate) หรือทำให้เป็นผงก่อนที่จะนำขึ้นไปบนอวกาศ เมื่อถึงเวลารับประทานจึงค่อยเติมน้ำเพื่อคืนสภาพเดิม (rehydrate) แต่กว่าอาหารอวกาศจะถูกพัฒนามาถึงวันนี้ เราลองมาดูเรื่องราววิวัฒนาการของอาหารอวกาศตั้งแต่ยุคแรกเริ่มกัน...

    ตัวอย่างอาหารอวกาศโครงการ Mercury และ Gemini ยุคปี 1961-1966
    (ภาพจาก camilla-corona-sdo.blogspot.com)
    ในยุคแรกนักบินอวกาศไม่จำเป็นต้องพกอาหารติดตัวระหว่างปฏิบัติภารกิจเพราะต้องอยู่ในอวกาศเพียงไม่กี่นาที อย่างไรก็ตามช่วงต้นทศวรรษของปี 1960 นักบินอวกาศ John Glenn และลูกเรือภายใต้ Mercury Project [1] ถูกมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจที่ยาวนานขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการคิดค้นอาหารสำหรับรับประทานในอวกาศ โดยอาหารอวกาศยุคแรกจะมีลักษณะกึ่งของเหลวบรรจุอยู่ในภาชนะคล้ายหลอดยาสีฟัน นักบินอวกาศจะต้องบีบหลอดยาสีฟันนั้นและดูดอาหารผ่านหลอดดูด อาหารอวกาศอีกรูปแบบหนึ่งของยุคนี้คืออาหารที่ถูกทำให้แห้งและบีบอัดจนเป็นทรงลูกบาศก์ขนาดเหมาะกับการกินเป็นก้อน ๆ ซึ่งตัวอาหารจะคืนสภาพโดยน้ำลายภายในปากของมนุษย์อวกาศนั่นเอง

    ปี 1965 ภายใต้ภารกิจ Gemini มนุษย์อวกาศมีทางเลือกมากขึ้นสำหรับสิ่งที่พวกเขาจะรับประทาน เช่น ค๊อกเทลกุ้ง ไก่งวงชิ้น ครีมซุปไก่ และพุดดิ้งเนย ซึ่งล้วนถูกปรุงให้สุกและแช่แข็งอย่างรวดเร็วบนโลก หลังจากนั้นจึงนำเข้าสู่กระบวนการทำให้แห้งด้วยการแยกน้ำออกจากอาหารภายในห้องสุญญากาศ เมื่อถึงเวลารับประทานมนุษย์อวกาศจะใช้ปืนฉีดน้ำเพื่อฉีดน้ำคืนสภาพให้กับอาหารดังกล่าว

    ตัวอย่างอาหารอวกาศโครงการ Apollo ยุคปี 1968-1972
    (ภาพจาก camilla-corona-sdo.blogspot.com)
    ปี 1969 องค์การนาซ่า (NASA) ได้ส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์ภายใต้โครงการ Apollo โดยได้มีการจัดเตรียมน้ำร้อนไว้บนยาน ทำให้การคืนสภาพอาหารเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น มนุษย์อวกาศโครงการ Apollo ยังเป็นมนุษย์อวกาศกลุ่มแรกที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกใช้รับประทานอาหาร เช่น spoon bowl หรือชุดภาชนะพลาสติกสำหรับใส่อาหารแห้งพร้อมช้อน โดยหลังจากอาหารแห้งภายใน spoon bowl ถูกคืนสภาพด้วยน้ำ ความเปียกของอาหารจะช่วยยึดอาหารนั้นเข้ากับช้อนไม่ให้ล่องลอยออกไป อาหารใน spoon bowl จึงสามารถรับประทานด้วยช้อนได้เลยเมื่อถูกเปิด นอกจากนี้พวกเขายังมีอุปกรณ์ wet packs (ถุงพลาสติกหรืออลูมิเนียมฟอยล์ประสิทธิภาพสูง) ที่สามารถกักเก็บความชื้นได้ดี อาหารภายใน wet packs จึงไม่จำเป็นต้องถูกคืนสภาพก่อนรับประทาน เป็นการเพิ่มความสะดวกให้กับมนุษย์อวกาศ ตัวอย่างเมนูอาหารของภารกิจ Apollo ประกอบด้วย เบคอน แซนวิชเนื้อ พุดดิ้งช็อกโกเลต สลัดทูน่า และเค้กผลไม้ เป็นต้น

    ตัวอย่างอาหารอวกาศโครงการ Skylab ยุคปี 1973-1974
    (ภาพจาก camilla-corona-sdo.blogspot.com)
    ปี 1973 วิธีการรับประทานอาหารในอวกาศดูคล้ายบนโลกมากขึ้น ภายใต้ภารกิจ Skylab [2] มนุษย์อวกาศมีห้องอาหารขนาดใหญ่พร้อมด้วยโต๊ะสำหรับนั่งรับประทาน นอกจากนี้ Skylab ยังมีตู้เย็นที่ทันสมัยซึ่งแม้แต่กระสวยอวกาศยุคใหม่ก็ยังไม่มี อาหารของ Skylab จึงมีความหลากหลายมากถึง 72 เมนู แถมในยานยังมีถาดให้ความร้อนไว้อุ่นอาหารก่อนรับประทานด้วย

    อาหารอวกาศยุคใหม่ (ภาพจาก NASA)
    ต้นทศวรรษของปี 1980 เมื่อกระสวยอวกาศลำแรกทะยานขึ้นจากผิวโลก อาหารอวกาศถูกพัฒนาจนแทบจะไม่ต่างจากอาหารบนโลก มนุษย์อวกาศสามารถเลือกออกแบบเมนูอาหารของตนเองตลอด 7 วันใน 1 สัปดาห์จากอาหารทั้งหมด 74 ชนิดและเครื่องดื่มอีก 20 ชนิด พวกเขาสามารถเตรียมอาหารแต่ละมื้อในห้องครัวของยานที่มีทั้งก๊อกน้ำและเตาอบ และในปี 2006 เมื่อกระสวยอวกาศดดิสคัฟเวอร์รี่ถูกปล่อยขึ้นฟ้า นับเป็นจุดเปลี่ยนของอาหารอวกาศยุคใหม่อย่างชัดเจน เมื่อมีพ่อครัวชื่อดังอย่าง Emeril Lagasse มาช่วยออกแบบเมนูอาหารสำหรับมนุษย์อวกาศ เป็นการเพิ่มรสชาติและสีสันของอาหารอวกาศให้ใกล้เคียงกับอาหารบนโลก

    เครื่องดื่มอวกาศยุคใหม่ในสภาพของเหลว (ภาพจาก A children's guide to astronaut food, ideal research for space projects or homework!)
    นอกจากนี้เครื่องดื่มอวกาศยังถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมนุษย์อวกาศสามารถดื่มน้ำอัดลมสภาพของเหลวที่ถูกบรรจุในกระป๋องควบคุมความดันได้อีกด้วย (ไม่ต้องคืนสภาพให้น้ำอัดลมก่อนดื่ม)

    [1] Mercury Project เป็นโครงการทดสอบการบินอวกาศในยุคแรก
    [2] Skylab เป็นสถานีอวกาศแห่งแรกของสหรัฐฯ

    เรียบเรียงจาก:
    HowStuffWorks "How Space Food Works"
    Camilla Corona SDO - NASA Mission Mascot: Astro Munchies - It's out of this World
    welcome to spacekids online shop - spacekids - space toys, dressing up costumes, kids spacesuits, astronaut food, cool space stuff!
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จากข้อมูลที่อาจารย์ปิยะชีพให้ไว้ว่าระวังน้ำท่วม ภายในอาทิตย์หน้าน่าจะมาจาก

    ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา
    "พายุ “รุมเบีย” "
    ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2556(าภพเมื่อเวลา 21.00น)
    เมื่อเวลา 19.00 น. วันนี้ (30 มิ.ย. 56) พายุโซนร้อน “รุมเบีย” (RUMBIA) บริเวณทะเลจีนใต้จีนตอนกลาง หรือทางด้านตะวันตกของประเทศฟิลิปปินส์ มีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 16.4 องศาเหนือ ลองจิจูด 117.2 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง ประมาณ 75 กม./ชม. และกำลังเคลื่อนที่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือด้วยความเร็วประมาณ 18 กม./ชม. คาดว่าพายุนี้เคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศจีนตอนใต้บริเวณระหว่างเกาะฮ่องกง กับเกาะไหหลำ ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2556 ซึ่งพายุนี้ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปประเทศจีนตอนใต้ ขอให้ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางไว้ด้วย

    อนึ่ง มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย เริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มมากขึ้น ในช่วงวันที่ 1-5 กรกฎาคม 2556

    ประกาศ ณ วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 22.00 น.
     
  4. komsant

    komsant เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +262
    พายุรุมเบีย

    ศูนย์ใต้ฝุ่นสหรัฐฯ เผยด้านตะวันออกของไทย จะได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นรุมเบีย 1-4 กค. นี้
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 30 มิถุนายน 2556 เวลา 9.32 น.
    Piyacheep S.Vatcharobol
    9 hours ago.ขอยกระดับการเตรียมพร้อมในที่ตั้งขึ้นมาระดับ ๓ DEFCON III นะครับ
    ประกาศแต่วันศุกร์ก่อนกรมอุตุนิยม ต้นเดือนกรกฏาคมฝนตกถล่มทลาย
    โดยเฉพาะบางกอก รถติด น้าท่วมรถ เตรียมะร้อมกันให้ดีนะครับ
    น้ำมันเต็มถัง สเปรย์ไล่ความชื้น Max Power หรืออุปกรณ์สตาร์...ทแบตแบบอื่นๆ
    อาหาร น้ำ คอมฟอร์ด 500

    สัญญาณเตือนทางธรรมชาติไม่สู้ดีนะครับ สนามแม่เหล็กโลกถูกบีบอัด ๒ ด้าน
    ทั้งด้านหน้าที่ตรงกับเวงอาทิตย์เวลากลางวัน อละด้านตรงข้ามดวงอาทิตย์
    สนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่หลุดเข้ามาในชั้นบรรยากาศภายใน
    ทำให้ฟ้าใสสว่างทั้งกลางวันและกลางคืนนี่อันตรายมากนะครับ สังเกตุดูดีๆ
    กลางวันท้งฟ้าสีฟ้าชัด กลางคืนยิ่งเห็นดาวชัดมาก แม้นอยู่ในเขตเมือง
    ที่ปกติแสงไฟฟ้ามีส่วนรบกวนสะท้อนไปบนฟ้าให้เห็นดาวยาดในเมืองใหญ่

    น้ำจะหนักแบบปี ๕๔ แต่ไม่ใช่ไหลมาจากตอนเหนือไกลๆ จะมาจากฝนเท่ใกล้ๆ
    ปริมาณน้ำฝนเกิน ๒๐๐ มิล/ชั่วโมง ระบายน้ำไม่ทัน ฝนตกน้ำขึ้นแบบ ๒๖-๒๗
    ขนของขึ้นที่สูงแบบมดขนไข่ก่อนที่จะสายเกินไปนะครับ
    ถือว่าเตือนย้ำแม้นจะโดนสบประมาทกันอีกครั้งนะครับ
    untitled.jpg

    ในเฟสอาจารย์มีเสนอ ขายสินค้าเช่นอาหารอวกาศ ผมขอแสดงความเห็นน่ะครับ ไม่ต้องไปซื้อหรอก เช่นอาหารอวกาศ ถึงจะเกิดอะไรร้ายแรง ยังมีพื้นดิน และน้ำ
    เมล็ดพันธ์อยู่ปลูกพืชผักยังขึ้น ถ้าน้ำท่วมก็ยังมีปลาว่ายอยู่ เอาเบ็ดตกก็ได้ สนใจแต่ความรู้ที่ได้รับแต่ก็ต้องคิดด้วย น้ำท่วมล่ะผมว่าเพราะพายุก่อตัวคลุมทั้งฟิลิปปินส์ ก้อนขนาดนั้นและกำลังเคลื่อนตัวมาแถบประเทศไทย ถ้าเคลื่อนมาแล้วผ่านไปก็ดี แต่ถ้าเคลื่อนตัวมาและไม่ผ่านไปแต่โดนความกดอากาศสูงกด ก็ตกแต่ตรงจุดนั้นน้ำก็ท่วม เรื่องปรกติครับ
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผมยังไม่เข้าใจว่าที่อาจารย์ปิยะชีพบอกว่าฝนจะมาและไปติดความกดอากาศสูง (น้ำจะหนัก) แต่ผมไปได้ภาพของคุณ engineer03 ซึ่งตรงบริเวณประเทศไทยเป็นความกดอากาศต่ำ จะสูงไปได้ยังไง งง ครับ
    969861_624487827570726_119527022_n.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2013
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Data is valid for June 29, 2013
    Capture.JPG

    Capture1.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2013
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พระสูตรที่ว่าด้วยสุญญตา ๑ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร
    บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ ท่าน ตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม ปัญญาในธรรม นั้นเป็นความรู้ในสัจจะคือความจริง ซึ่งมีอยู่เป็นไปอยู่ในตนรวมเข้าก็ในสัจจะทั้ง ๔ คือ ในทุกข์ ในสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ ในนิโรธความดับทุกข์ และในมรรคทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ล้วนเป็นสัจจะคือความจริงที่มีอยู่ในตน ทุกข์ก็มีอยู่ในตน สมุทัยก็มีอยู่นิโรธและมรรคก็มีอยู่ เมื่อปฏิบัติให้มีขึ้นก็มีอยู่ในตน แต่ในขณะที่ยังมิได้ปฏิบัติใน มรรค คือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ยังไม่พบนิโรธความดับทุกข์ ทุกข์และสมุทัยก็ย่อมปรากฏอยู่ เป็นไปอยู่ในตน ดังจะพึงเห็นได้ในเมื่อพินิจพิจารณาดู ก็จะพบสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ เอาจำเพาะที่พระพุทธเจ้าทรงยกขึ้นไว้ คือตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากต่าง ๆ ก็มีอยู่เป็นไปอยู่ปรากฏให้เห็นได้ และทุกข์อันเป็นผล เป็นความทุรนทุรายเดือดร้อนต่างๆ เป็นความไม่สบายกายไม่สบายใจต่างๆ ก็ปรากฏให้เห็นได้

    สุขในทุกข์
    แต่ว่าอาศัยที่สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ ยกเอาตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากนั้น ก็เป็นสิ่งที่มีเกิดมีดับ ถึงจะไม่ได้ปฏิบัติธรรมะก็มีเกิดมีดับ เมื่อเป็นดั่งนี้จึงได้พบความดับซึ่งเป็นคติธรรมดา ดั่งนี้ สลับกันไปอยู่เสมอความไม่สบายกายไม่สบายใจอันเป็นผลที่เกิดขึ้นก็ดับไปอยู่เสมอ แต่แล้วก็เกิดขึ้นอีก กับทั้งบุคคลได้รับความสุขโสมนัสอันเป็นผลของการได้ในสิ่งที่ปรารถนาต้องการ จึงทำให้รู้สึกสบายกายสบายใจในคราวหนึ่ง ๆ ความสบายกายสบายใจนั้นก็หายไปก็ได้ความไม่สบายกายไม่สบายใจมาเกิดสลับ เพราะต้องพบกับความปรารถนาไม่สมหวัง ก็เป็นอันว่าได้สุขได้ทุกข์สลับกันไป ทำให้ไม่มองเห็นในสัจจะ ซึ่งความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงชี้ในทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์ ยังมองเห็นเป็นความสุขและก็ติดอยู่ในสุขที่ได้นั้นเป็นครั้งเป็นคราวความยากในการที่จะเห็นสัจจะ คือความจริงว่าเป็นทุกข์จึงอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่เพลิดเพลินยินดีติดอยู่ในสุขโสมนัส หรือความสุขที่ได้เพราะสมหวัง เพราะสมปรารถนาในบางครั้งบางคราว สลับกันไปกับที่ไม่สมหวังอันเป็นทุกข์เดือดร้อนแต่เพราะตัวตัณหานี้เองที่ทำให้มีความหวัง แม้จะอยู่ในทุกข์เดือดร้อนแต่ก็มีความหวัง หวังในความสุขที่จะได้ต่อไป หวังว่าความทุกข์เดือดร้อนจะหายไป ซึ่งทุกข์เดือดร้อนนั้นก็หายไป คือดับไปตามคติของธรรมดาบ้างกับได้รับความสุขขึ้นมาใหม่ อันเป็นผลที่ได้จากการได้มาทดแทนบ้าง เมื่อเป็นดั่งนี้จึงมองไม่เห็นทุกข์เหมือนอย่างร่างกายอันนี้เมื่อเกิดหิวขึ้นมาจึงรู้สึกเป็นทุกข์ เมื่อบริโภคอาหารเข้าไปก็อิ่มหนำสำราญก็รู้สึกเป็นสุข และเพราะเหตุที่ได้มีอาหารบริโภคอิ่มหนำสำราญกับทั้งได้รับกายบริหาร ทั้งที่เป็นไปโดยธรรมชาติ และทั้งที่การบำรุงให้มีขึ้นร่างกายมีอนามัยมีผาสุข ก็รู้สึกว่าเป็นสุข

    อโรคยา ปรมาลาภา
    เพราะฉะนั้นในสมัยพุทธกาลนั้นจึงได้มีแสดงถึงพราหมณ์ผู้หนึ่งได้เอามือลูบกายของตนซึ่งเป็นกายที่มีอนามัยจึงมีความแข็งแรง ไม่รู้สึกว่าเป็นโรคอะไร ว่านี่แหละคือนิพพาน ก็คือหมายเอาความที่ไม่มีโรคทางกายปรากฏ กายจึงแข็งแรง
    พราหมณ์ก็ถือว่านี่แหละคือนิพพาน ฝ่ายพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสเป็นพระพุทธภาษิตไว้ว่า อโรคยะ ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง หรือลาภทั้งหลายมีความไม่มีโรคเป็นอย่างยิ่งแต่ว่าทรงมุ่งหมายเอาถึงโรคคือกิเลส เป็นต้นว่าความดิ้นรนทะยานอยากของจิตใจสิ้นกิเลสจึงจะเป็น อโรคยะ คือความไม่มีโรคความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่งทางพุทธศาสนาจึงมุ่งถึงความไม่มีโรคคือกิเลสก็คือจิตว่างกิเลส ที่เรียกว่าจิตว่าง อันความว่างกิเลสนี้ได้มีพระพุทธภาษิตแสดงไว้เช่น นิพพานัง ปรมัง สุญญัง นิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง ก็หมายถึงความว่างกิเลส

    สุญญตาคือความว่าง
    และได้มีศัพท์ธรรมะอีกคำหนึ่งเรียกว่า สุญญตา คือความว่าง อันสุญญตาคือความว่างนี้พระบรมศาสดาก็ได้ทรงแสดงไว้นับตั้งแต่สุญญตาคือความว่างตั้งแต่เบื้องต้น อันเป็นขั้นสมาธิขึ้นไปโดยลำดับจนถึงที่สุด ดังที่มีเรื่องที่แสดงไว้ในพระสูตรที่แสดงถึงสุญญตาคือความว่าง รวมความเข้ามาตั้งแต่เบื้องต้นว่า สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าได้ประทับอยู่ในบุพพาราม ของนางวิสาขามิคารมารดาในกรุงสาวัตถี ท่านพระอานนท์ได้เข้าเฝ้าในเย็นวันหนึ่ง และได้กราบทูลว่า เมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ในสักกะชนบท ในนิคมแห่งศากยะทั้งหลายอันชื่อว่านครกะ ท่านพระอานนท์ได้ฟังพระพุทธดำรัสที่ตรัสไว้ว่าเราก็คือพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าได้ประทับอยู่โดยมากในบัดนี้ด้วยสุญญตาวิหาร อันแปลว่าธรรมะเป็นเครื่องอยู่คือสุญญตาความว่าง

    พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสรับรองว่า เมื่อก่อนนี้ก็ดี ในบัดนี้ก็ดี พระองค์คือพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ได้ทรงอยู่โดยมากด้วยสุญญตาวิหาร ธรรมะเป็นเครื่องอยู่คือสุญญตาความว่าง ต่อจากนั้นก็ได้ตรัสแสดงถึงการปฏิบัติธรรมสุญญตาคือความว่างไปโดยลำดับตั้งแต่ในเบื้องต้นเป็นข้อๆไปโดยลำดับ

    สุญญตาข้อแรก
    ข้อแรกได้ทรงแสดงว่า ในปราสาทคือในสิ่งก่อสร้างที่เป็นชั้นๆในบุพพาราม ของนางวิสาขามิคารมารดานี้ เป็นที่ว่างจากช้างม้าโคกระบือ จากเงินทอง จากสันนิบาตคือความประชุมของชายหญิงทั้งหลาย ก็คือว่าว่างจากบ้าน ว่างจากมนุษย์ทั้งหลาย เพราะเป็นอารามฉันใด ก็ให้ปฏิบัติมนสิการทำไว้ในใจกำหนดไว้ในใจเหมือนอย่างนั้น กล่าวคือไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นบ้าน ไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นป่า ไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นมนุษย์ ไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นบ้าน ไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นมนุษย์คือผู้คน แต่ว่ามนสิการใส่ใจกำหนดเสียว่าเป็นป่าปราศจากบ้าน ปราศจากมนุษย์ผู้คน เมื่อกล่าวโดยอุปมาข้างต้น บุพพารามนั้นว่างจากบ้าน ว่างจากมนุษย์คือผู้คนดังกล่าว แต่ว่าไม่ว่างอยู่สิ่งหนึ่งก็คือภิกษุสงฆ์ เพราะภิกษุสงฆ์อาศัยอยู่ในบุพพารามนั้น แม้ความที่ไม่ใส่ใจว่าเป็นบ้านว่าเป็นมนุษย์ผู้คน แต่ว่าใส่ใจว่าเป็นป่าดังกล่าวนั้น ก็เป็นสุญญตาคือความว่าง เป็นความที่หยั่งจิตลงสู่สุญญตาคือความว่าง แต่ว่าก็ยังไม่ว่างอยู่อีกสิ่งหนึ่งเช่นเดียวกัน ก็คือว่ายังมีแผ่นดินที่ประกอบไปด้วยที่ลุ่มที่ดอน ต้นไม้ภูเขา ห้วยหนอง เป็นต้น อันรวมเรียกว่าเป็นป่านั้นนั่นเอง นี้เป็นข้อแรกของการปฏิบัติหัดทำจิตที่ทรงสั่งสอน
    และเป็นข้อที่ผู้ปฏิบัติธรรมะทางสมาธิพึงถือเป็นหลักปฏิบัติได้ กล่าวคือแม้จะอยู่ในบ้าน อยู่ในหมู่มนุษย์ที่เป็นชาวบ้านด้วยกันก็สามารถทำสมาธิได้ กล่าวคือไม่ใส่ใจกำหนดหมายว่าเป็นบ้าน ไม่ใส่กำหนดหมายว่าเป็นหมู่คน แต่ว่าใส่ใจกำหนดหมายว่าเป็นป่า เหมือนอย่างไม่มีบ้าน เหมือนอย่างไม่มีผู้คน ป่านั้นก็เป็นสถานที่ประกอบด้วยต้นไม้ภูเขาห้วยหนองคลองบึงที่ลุ่มที่ดอน ตลอดจนถึงสัตว์ป่าทั้งหลาย ไม่มีบ้านไม่มีผู้คน ใส่ใจกำหนดลงว่าเป็นป่าดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าได้ปฏิบัติหยั่งจิตลงไปสู่สุญญตาคือความว่างขั้นแรก และเมื่อเป็นดั่งนี้ก็สามารถทำจิตให้สงบได้เหมือนอยู่ในป่า ก็เป็นสุญญตาคือความว่าง
    เพราะว่างจากความกำหนดหมายว่าเป็นบ้าน ว่าเป็นหมู่คนนั้นเอง เป็นสุญญตาในข้อนี้ ฉะนั้น จึงแสดงว่าความสำคัญนั้นอยู่ที่จิตใจเมื่อจิตใจไม่กำหนดไม่ใส่ใจถึงสิ่งอันใด สิ่งอันนั้นก็ว่างไปเหมือนไม่มี แม้จะมีก็เหมือนไม่มี แม้ว่าจะเข้าไปอยู่ในป่าจริงๆ ไม่มีบ้านไม่มีผู้คน ถ้าจิตใจยังคำนึงถึงบ้านคำนึงถึงผู้คน บ้านและผู้คนก็มาตั้งอยู่ในจิตใจแม้กายจะอยู่ในป่าก็ตาม ก็เป็นอันว่าจิตใจก็คงไม่สงบอยู่นั่นเองกลับตรงกันข้ามกายอยู่ในบ้านอยู่กับผู้คนทั้งหลาย แต่ว่าจิตใจไม่ใส่ใจ ถึงกำหนดว่าเป็นป่า ป่าก็ตั้งขึ้นในจิตใจ จิตใจก็มีความสงบได้ เพราะฉะนั้นข้อที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติเป็นข้อแรกนี้ ... (จบ ๑/๑ ) ( ข้อความขาดนิดหน่อย )

    ( เริ่ม ๑/๒ ) ...ก็ย่อมมาเป็นนั่นเป็นนี่ ตั้งอยู่ในจิตใจ จิตใจก็ไม่ว่างจากสิ่งเหล่านั้นหากจิตใจวางได้ ไม่ใส่ใจถึง ไม่หมกมุ่นถึง ไม่คิดถึง ไม่ดำริถึง สิ่งนั้นๆก็ไม่มาตั้งอยู่ในจิตใจเพราะฉะนั้นการปฏิบัติรักษาจิตใจนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ อยู่ที่ไหนๆ เมื่อปฏิบัติ
    รักษาจิตใจได้ก็ปฏิบัติในศีลได้ ในสมาธิได้ ในปัญญาได้

    สุญญตาข้อ ๒
    ต่อจากข้อนั้นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าก็ได้ตรัสสอนต่อไปให้ไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นป่า ซึ่งประกอบไปด้วยต้นไม้ภูเขาห้วยหนองคลองบึงที่ลุ่มที่ดอนเป็นต้น ซึ่งรวมเรียกว่าป่านั้น แต่ให้ใส่ใจกำหนดว่าเป็นแผ่นดินล้วนๆ ปราศจากต้นไม้ภูเขาห้วยหนองคลองบึงที่ลุ่มที่ดอน เป็นแผ่นดินที่ราบเรียบไปทั้งหมด เหมือนอย่างแผ่นหนังสัตว์ที่ได้มาจัดการทำให้ราบเรียบดีแล้ว
    เหมือนอย่างหนังหน้ากลองผืนใหญ่ราบเรียบไปตลอดทั้งหมด ดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าได้หยั่งลงสู่สุญญตาคือความว่างขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแต่ว่าก็ยังไม่ว่างอยู่อีกสิ่งหนึ่งก็คือตัวแผ่นดินนั้นเอง ยังมีอยู่ในข้อนี้เป็นอันได้ตรัสสอนให้กำหนดทำสุญญตาคือความว่างที่สูงขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งสูงขึ้นมาจากป่ามาเป็นกำหนดว่าเป็นแผ่นดินที่เรียบราบไปตลอดทั้งหมด เหมือนอย่างหนังหน้ากลองดังกล่าวนั้น เมื่อเป็นดั่งนี้จิตก็ย่อมจะได้ความสงบเป็นสมาธิขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง แม้ในข้อนี้ก็ย่อมเป็นข้อที่ผู้ต้องการปฏิบัติสมาธิพึงเห็นว่าปฏิบัติได้ในที่ทุกสถานเช่นเดียวกัน และเมื่อได้หัดปฏิบัติใส่ใจกำหนดให้ได้ว่าเป็นป่าซึ่งเป็นข้อที่ ๑ นั้นแล้ว ก็ให้มาใส่ใจกำหนดให้เห็นว่าเป็นแผ่นดินที่ราบเรียบไปตลอดทั้งหมดต่อไป และในสองข้อนี้ก็ควรที่จะทำความเข้าใจเพิ่มเติมอีกว่า ข้อแรกความตั้งใจกำหนดว่าเป็นป่า ไม่มีบ้านไม่มีผู้คนนั้น ย่อมรวมถึงไม่มีรูป ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีโผฏฐัพพะ อันเป็นกามคือกามคุณ หรือวัตถุกาม คือเป็นสิ่งที่รักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย เพราะว่ากามหรือกามคุณ หรือวัตถุกามทั้งปวงนี้ ย่อมรวมอยู่ในคำว่าบ้านรวมอยู่ในคำว่าผู้คน ฉะนั้นเมื่อจิตใจไม่กำหนดถึงว่าเป็นบ้าน ไม่กำหนดถึงว่าเป็นผู้คนก็คือไม่กำหนดว่าเป็นรูป เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นโผฏฐัพพะ ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย อันรวมทั้งที่ไม่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลายด้วย คือไม่มีอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดีไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยินร้ายทั้งปวง อันอารมณ์ทั้งปวงดังกล่าวนี้ย่อมรวมอยู่ในคำว่าบ้าน รวมอยู่ในคำว่าผู้คน รวมอยู่ในคำว่าเงินทองทรัพย์สินเป็นต้น ซึ่งเป็นบ้านนั้นเองเพราะฉะนั้นเมื่อไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นบ้าน ก็คือไม่ใส่ใจกำหนดไปในอารมณ์ทั้งหลาย อันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดีความยินร้ายทั้งสิ้น มากำหนดหมายว่าเป็นป่า คือว่าเห็นต้นไม้เห็นภูเขาเห็นบึงคลองหนองที่ลุ่มที่ดอนต่างๆ
    อันรวมความว่าเป็นป่า ไม่มีรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะเป็นต้น ทั้งที่น่ารักใคร่ ทั้งที่ไม่น่ารักใคร่ อันเป็นเรื่องของบ้าน อันเป็นเรื่องของผู้คน เมื่อเป็นดั่งนี้จึงจะเรียกว่าใส่ใจกำหนดหมายว่าเป็นป่า จิตจึงสงบจากกามฉันท์ จากพยาบาทเป็นต้น อันเป็นนิวรณ์ ดั่งนี้ จึงเป็นสมาธิ และกรรมฐานที่เป็นอารมณ์ของสมาธินั้นก็คือว่าป่านั้นเอง ฉะนั้นจะต้องทำจิตกำหนดในบ้านในผู้คนเป็นต้นนี่ว่าเป็นป่าให้ได้ จึงจะได้สมาธิตั้งแต่ในขั้นต้น ถ้าหากว่ายังสงบกำหนดลงไปว่าเป็นป่าไม่ได้ ใจยังฟุ้งซ่านไปในนิวรณ์ทั้งหลาย เรื่องนั้นเรื่องนี้ คนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ ชอบใจบ้าง ไม่ชอบใจบ้างดั่งนี้แล้ว ก็แปลว่ายังกำหนดอยู่ในบ้านในผู้คน ทรัพย์สินทั้งหลาย อันเป็นที่ตั้งของยินดียินร้าย ตลอดถึงหลงซึ่งเป็นตัวนิวรณ์ ก็เป็นสมาธิไม่ได้ จะต้องกำหนดลงไปว่าเป็นป่าให้ได้ เห็นแต่ต้นไม้ภูเขาห้วยหนองคลองบึงที่ลุ่มที่ดอน ล้วนเป็นป่าทั้งนั้น ไม่มีอารมณ์อันเกี่ยวกับบ้านเกี่ยวกับผู้คน ที่น่าชอบใจบ้าง ไม่น่าชอบใจบ้าง นี่คือป่าที่ให้กำหนดให้ตั้งอยู่ในจิตใจ ก็สงบนิวรณ์ได้ จิตก็รวมเข้ามาเป็นสมาธิได้
    กำหนดให้เห็นธรรมชาติธรรมดา
    เพราะฉะนั้นแม้การปฏิบัติในสติปัฏฐานกาย เวทนา จิต ธรรม ว่าเป็นกายเป็นเวทนาเป็นจิตเป็นธรรมนั้นคือกำหนดให้เห็นว่าเป็นธรรมชาติธรรมดา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ถ้ายังเห็นว่าเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาอยู่ ก็ไม่เป็นกาย ไม่เป็นเวทนา ไม่เป็นจิต ไม่เป็นธรรม ยังไม่เป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน เพราะว่ายังเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ยังเป็นตัวเราเป็นของเรา เป็นตัวเขาเป็นของเขา เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าการพิจารณากายเวทนาจิตธรรมข้อใดข้อหนึ่งก็ตาม มองเห็นเป็นตัวเราเป็นของเรา เป็นตัวเขาเป็นของเขา เป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ก็เท่ากับว่าเป็นบ้านเป็นหมู่คน ยังเป็นกาม เป็นกามคุณ เป็นวัตถุกามต่อเมื่อมามองเห็นว่าเป็นสักแต่ว่ากาย เป็นสักแต่ว่าเป็นเวทนา เป็นสักแต่ว่าเป็นจิตเป็นสักแต่ว่าเป็นธรรม เป็น
    ธรรมชาติธรรมดาที่ปรากฏที่ประกอบกัน ดั่งนี้ก็คือว่า เท่ากับว่ากำหนดใส่ใจเห็นว่าเป็นป่า ป่ากาย ป่าเวทนา ป่าจิต ป่าธรรม
    เหมือนอย่างเป็นป่าต้นไม้ชนิดนั้น ชนิดนี้ ชนิดโน้น เป็นภูเขาเป็นห้วยหนองคลองบึงที่ลุ่มที่ดอนเป็นต้น ไม่มาเป็นที่ตั้งของสัตว์บุคคล หรือตัวเราของเราอันที่จริงนั้นบ้านก็มาจากป่านั้นเอง คนก็ไปตัดเอาไม้มาจากป่าเอามาสร้างเป็นบ้าน เป็นวัตถุเครื่องใช้ต่างๆสำหรับอยู่อาศัยต้นไม้นั้นเองเมื่อเอามาสร้างเป็นบ้านก็กลายเป็นบ้านขึ้น แต่อันที่จริงก็มาจากต้นไม้ยกเป็นตัวอย่าง คือป่านั่นเองแล้วมาเป็นบ้านขึ้นตามที่บุคคลมาปรุงแต่งขึ้นฉันใดก็ดีป่ากายป่าเวทนาป่าจิตป่าธรรมนี้ ก็เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาเหมือนอย่างต้นไม้ภูเขาในป่านี้แหละ แต่ว่าบุคคลนี้เองเอากายเวทนาจิตธรรมนี้มาแต่งตั้งขึ้นว่าเป็น นาย ก. นาย ข. นาง ก. นาง ข. เป็นเราเป็นของเราคนเราทั้งนั้นมาแต่งตั้งขึ้น แต่งตั้งให้ป่านี้มาเป็นบ้านขึ้น ก็มาเป็นบ้าน เป็นตัวเราเป็นของเราเพราะฉะนั้น ในการปฏิบัติสติปัฏฐานนั้น ข้อแรกจึงต้องให้เป็นป่าเสียก่อนให้เป็นป่ากาย กับป่าเวทนา ป่าจิต ป่าธรรม แล้วจะได้สติปัฏฐานเป็นความสงบสงบกาม สงบอกุศลธรรมธรรมทั้งหลาย สงบนิวรณ์
    ธาตุข้อเดียว
    คราวนี้เมื่อต้องการให้ความสงบยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ก็กำหนดป่านั่นแหละ ว่าเป็นแผ่นดินที่ราบเรียบไปทั้งหมด ต้นไม้ก็ไม่มี ภูเขาก็ไม่มีเป็นแผ่นดินที่ราบเรียบไปทั้งหมด ดั่งนี้ก็คือว่าเมื่อยังมีการจำแนก เป็นกาย เป็นเวทนา เป็นจิต เป็นธรรมอยู่ ก็ง่ายที่จะยึดถือไปเป็นบ้านเหมือนอย่างเมื่อยังมีต้นไม้อยู่ ก็ยังง่ายที่จะตัดต้นไม้ไปสร้างเป็นบ้าน เมื่อยังมีกายมีเวทนามีจิตมีธรรมอยู่ ก็เป็นการง่ายที่จะยึดถือเอาไปเป็นตัวเราเป็นของเราฉะนั้นในขั้นต่อไปที่ตรัสสอนให้ใส่ใจกำหนดว่าเป็นแผ่นดินผืนเดียวที่ราบเรียบไปทั้งหมด ต้นไม้ก็ไม่มี ภูเขาก็ไม่มี ห้วยหนองคลองบึงก็ไม่มีดั่งนี้ ก็เท่ากับว่าไม่ต้องคำนึงว่าเป็นกาย เป็นเวทนา เป็นจิต เป็นธรรม แต่สักแต่ว่าเป็นธาตุเป็นธาตุข้อเดียว และยกเอามาเป็นประธานก็คือว่าเป็นธาตุดินไปทั้งหมด
    หากว่าจะรวมเข้าก็เป็นธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ดั่งนี้ ก็ทำให้จิตสงบยิ่งขึ้นและก็ไกลจากที่จะน้อมน้าวไปเป็นบ้าน เป็นกาม ดังกล่าวนั้น ด้วยต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

    พระสูตรที่ว่าด้วยสุญญตา ๒
    บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิตในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
    พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ
    ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟังเพื่อให้ได้ปัญญาในธรรมได้แสดงสติปัฏฐาน ทั้ง ๔ กาย เวทนา จิต ธรรมก็กายเวทนาจิตธรรมนี้เองเมื่อยังมีความยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรา ก็เท่ากับว่าเป็นบ้านเป็นหมู่คนชายหญิง เป็นกามคุณ หรือวัตถุกามที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลายแต่เมื่อได้ใส่ใจกำหนดว่าเป็นสักแต่ว่ากาย สักแต่ว่าเป็นเวทนา สักแต่ว่าเป็นจิตสักแต่ว่าเป็นธรรม ระงับความใส่ใจกำหนดยึดถือต่างๆดังกล่าวกายเวทนาจิตธรรมนี้ก็เท่ากับว่าเป็นป่า ป่ากาย ป่าเวทนา ป่าจิต ป่าธรรม
    กายเวทนาจิตธรรมสักแต่ว่าเป็นธาตุ
    และเมื่อได้กำหนดละลายกายเวทนาจิตธรรมลงไปว่าสักแต่ว่าเป็นธาตุ ยกเอาปฐวีธาตุ ธาตุดิน เป็นที่ตั้ง แต่อันที่จริงก็รวมทั้ง ดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ยกเอาธาตุดินขึ้นเป็นที่ตั้ง สักแต่ว่าเป็นธาตุดิน ที่เป็นแผ่นดินราบรื่นเป็นหน้ากลอง ไม่มีต้นไม้ ไม่มีภูเขาเป็นต้น อันเรียกว่าป่า เมื่อเป็นดั่งนี้จิตก็ได้สมาธิกับทั้งปัญญาที่สงบยิ่งขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง ดังที่ได้แสดงแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนให้ใส่ใจกำหนดว่าเป็นป่าก็ย่อมได้สุญญตาคือความว่าง ว่างจากความกำหนดหมายว่าเป็นบ้าน ว่าเป็นผู้คน ว่าเป็นวิญญาณกทรัพย์ทั้งหลายเป็นต้น และเมื่อได้ใส่ใจกำหนดว่าเป็นแผ่นดินที่ราบรื่นเป็นหน้ากลอง ไม่กำหนดว่าเป็นป่าก็ย่อมได้สุญญตาคือความว่างที่ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก แต่ว่าในชั้นแรกเมื่อตั้งใจกำหนดว่าเป็นป่า แม้จะได้สุญญตาคือความว่าง
    ว่างจากความกำหนดหมายว่าเป็นบ้าน ว่าเป็นผู้คน แต่ก็ยังมีไม่ว่างอยู่คือยังมีป่า และเมื่อไม่กำหนดหมายว่าเป็นป่า กำหนดหมายว่า ปฐวี ปฐวี เป็นแผ่นดินที่ราบเรียบไปเป็นหน้ากลอง ก็ได้สุญญตาคือความว่างจากความกำหนดหมายว่าเป็นป่า ว่างจากป่าแต่ก็มาเหลือไม่ว่างอยู่ คือเหลือเป็นแผ่นดินที่ราบเรียบเป็นหน้ากลองนั้น

    สุญญตาข้อที่ ๓
    เพราะฉะนั้นพระบรมศาสดาจึงได้ตรัสสอนให้ไม่กำหนดหมายว่าเป็นแผ่นดิน แต่ใส่ใจกำหนดหมายว่าเป็นอากาศคือช่องว่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่กำหนดหมายว่าเป็นป่า ไม่กำหนดหมายว่าเป็นแผ่นดิน ความใส่ใจกำหนดหมายว่าเป็นอากาศไม่มีที่สุดนี้ ก็คือเป็นช่องว่างไม่มีที่สุด คือเป็นช่องว่างไปทั้งหมด ว่างจากแผ่นดิน หรือจะกล่าวว่าว่างจากปฐวีคือแผ่นดิน
    อาโปคือแผ่นน้ำ เตโชคือไฟ วาโยคือลม ว่างจากดิน จากน้ำ จากไฟ จากลม ทั้งหมด มาเป็นอากาศคือเป็นช่องว่าง ไม่มีดิน ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ไม่มีลม ทั้งหมด ความใส่ใจกำหนดลงไปว่าอากาศคือช่องว่างดั่งนี้ ย่อมจะทำให้จิตสงบตั้งมั่น
    ละเอียดขึ้นอีกชั้นหนึ่งคือว่างไปทั้งหมด จิตที่กำหนดว่าอากาศไม่มีที่สุดคือเป็นช่องว่างไปทั้งหมดดั่งนี้ ย่อมห่างไกลจากวัตถุอันจะดึงจิตใจให้ยึดถือยิ่งขึ้น ... ( จบ ๑/๒ )
    (ข้อความขาดไปนิดหน่อย)
    ( เริ่ม ๒/๑ ) ...ก็ย่อมมีต้นไม้มีภูเขา มีห้วยหนองคลองบึงเป็นต้น อันรวมเรียกว่าเป็นป่านั้น ใจก็จะน้อมไปสู่ป่า และเมื่อใจน้อมไปสู่ป่าอีกขั้นหนึ่งก็น้อมไปสู่บ้าน เป็นบ้านเป็นหมู่คน เมื่อใจเข้าบ้านใจเข้าหมู่คน กามและอกุศลธรรมทั้งหลายก็บังเกิดขึ้นได้ง่าย ฉะนั้น เมื่อได้หัดกำหนดให้ละเอียดขึ้นโดยลำดับ มากำหนดว่าเป็นป่า มากำหนดว่าเป็นแผ่นดินจึงเพื่อที่จะให้ความกำหนดของจิตนี้ ห่างไกลจากวัตถุซึ่งเป็นเครื่องดึงไปสู่นิวรณ์ คือกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย ให้ห่างไกลยิ่งขึ้น จึงได้ตรัสสอนให้ไม่กำหนดว่าเป็นแผ่นดิน มากำหนดว่าเป็นอากาศคือเป็นช่องว่าง ว่างไปทั้งหมดไม่มีที่สุด ไม่มีแผ่นดิน ไม่มีป่า เมื่อเป็นดั่งนี้จึงได้สุญญตาคือความว่าง ว่างจากป่า ว่างจากแผ่นดิน แต่ว่าก็ยังมีความไม่ว่างคือยังมีอากาศนั้นเอง ช่องว่างไม่มีที่สุดนั้นเองยังเป็น อสุญญตา คือเป็นความไม่ว่างอยู่

    สุญญตาข้อที่ ๔
    เพราะฉะนั้นจึงได้ตรัสสอนยิ่งขึ้นไปอีก ให้ไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นป่า ไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นแผ่นดิน ไม่ใส่ใจกำหนดว่าเป็นอากาศคือเป็นช่องว่าง ว่างไม่มีที่สุด ว่างไปหมด มาใส่ใจกำหนดว่าวิญญาณไม่มีที่สุด อันวิญญาณนั้นกล่าวเข้าใจง่ายๆ ก็คือตัวรู้ หรือความรู้ วิญญาณที่ตรัสแสดงไว้ในที่ต่างๆ เช่นวิญญาณในธาตุ ๖ ได้แก่ธาตุรู้ วิญญาณธาตุ ธาตุรู้ วิญญาณในขันธ์ ๕ ได้แก่รู้เห็น รู้ได้ยิน เป็นต้น ในเมื่ออายตนะภายใน อายตนะภายนอก มีตากับรูป หูกับเสียง เป็นต้นมาประจวบกัน ก็เห็น ก็ได้ยิน อันการเห็นการได้ยินนั้นก็คือตัวความรู้อย่างหนึ่งนั้นเอง เห็นก็คือรู้เห็น ได้ยินก็คือรู้ได้ยิน เป็นความรู้ของวิญญาณธาตุ คือธาตุรู้ ที่รู้ทางอายตนะ เพราะฉะนั้นในที่นี้วิญญาณจึงหมายถึงตัววิญาณธาตุ คือธาตุรู้ นั้นเองก็ได้ หมายถึงความรู้ของวิญญาณธาตุคือธาตุรู้นั้น ซึ่งรู้ทางอายตนะ อันมีลักษณะเป็นเห็นเป็นได้ยิน ดังกล่าวเป็นต้นนั้นก็ได้ แต่เพื่อให้รวบรัดก็แสดงว่า ความรู้ หรือตัวรู้ ความรู้หรือตัวรู้ไม่มีที่สุด อันอากาศคือช่องว่างไม่มีที่สุด คือว่างไปทั้งหมดนั้น ก็จะพึงกล่าวได้ว่าเป็นความว่างในภายนอก คราวนี้จึงไม่ใส่ใจกำหนดถึงตัวความว่างซึ่งเป็นภายนอกนั้น มากำหนดตัวความรู้ในภายในว่าไม่มีที่สุด เพราะว่าอันความว่างหรือช่องว่างไม่มีที่สุดอันเป็นภายนอกนั้น ก็เพราะมีตัวรู้หรือมีความรู้ อันกำหนดอยู่ในช่องว่างอันไม่มีที่สุดนั้นเอง ถ้าไม่มีตัวรู้ หรือไม่มีความรู้ซึ่งเป็นภายในแล้ว ก็เป็นอันว่าไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น แม้ว่าจะมีทุกๆสิ่งทุกๆอย่างในภายนอก จะมีป่าจะมีแผ่นดิน ตลอดจนถึงมีอากาศคือช่องว่าง แต่ว่าถ้าไม่มีวิญญาณธาตุ ซึ่งเป็นธาตุรู้ เป็นตัวรู้
    เป็นความรู้ ของแต่ละบุคคลอยู่แล้ว ก็รู้อะไรไม่ได้ทั้งนั้น แต่ว่าที่รู้อะไรได้นั้นก็เพราะมีธาตุรู้ มีตัวรู้ มีความรู้อยู่ จึงรู้อะไรๆได้ และเมื่อธาตุรู้ หรือตัวรู้ หรือความรู้มากำหนดอากาศคือช่องว่าง ว่าไม่มีที่สุด คือเป็นช่องว่างไปทั้งหมด จึงรู้ รู้ว่าเป็นช่องว่างไปทั้งหมดไม่มีที่สุด ฉะนั้นจึงไม่กำหนดสิ่งที่รู้ คืออากาศนั้น มากำหนดตัวความรู้ข้างใน คือนำสติมากำหนดตัวรู้ความรู้ซึ่งเป็นภายในนี้ ไม่กำหนดสิ่งที่รู้คืออากาศ มากำหนดตัวความรู้ หรือตัวรู้ ซึ่งตั้งอยู่ในภายใน และแม้ตัวรู้ หรือความรู้นี้ก็ไม่มีที่สุดเช่นเดียวกันกับอากาศที่ไม่มีที่สุด เพราะมีตัวรู้ หรือมีความรู้ที่ไม่มีที่สุด จึงกำหนดอากาศคือช่องว่างว่าไม่มีที่สุดได้ อากาศคือช่องว่างที่ไม่มีที่สุดนั้น จะรู้ได้ก็เพราะมีตัวรู้ หรือมีธาตุรู้ มีความรู้ ที่ครอบคลุมอากาศคือช่องว่างไม่มีที่สุดนั้น เพราะฉะนั้น แม้ตัวความรู้ก็เป็นสิ่งไม่มีที่สุดเช่นเดียวกัน เช่นเดียวกับอากาศที่ไม่มีที่สุด เมื่อเป็นดั่งนี้ ความใส่ใจกำหนดจึงน้อมเข้ามาถึงตัวรู้ หรือธาตุรู้ ความรู้ที่เป็นภายใน ว่าไม่มีที่สุด ดั่งนี้ก็เป็นสมาธิจิตอันประกอบด้วยญาณคือความหยั่งรู้
    หรือปัญญาซึ่งเป็นตัวรอบรู้ที่สูงขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง

    สุญญตาข้อที่ ๕
    เมื่อกำหนดได้ดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าได้สุญญตาคือความว่าง ว่างจากบ้าน ผู้คน ว่างจากป่า ว่างจากแผ่นดิน ว่างจากอากาศไม่มีที่สุด แต่ว่าก็ยังมีความไม่ว่าง คือตัววิญญาณ คือตัวรู้หรือธาตุรู้นั้นเอง เพราะฉะนั้น พระบรมศาสดาจึงได้ตรัสสอนให้ไม่ใส่ใจกำหนด แม้ว่าวิญญาณ ธาตุรู้ ตัวรู้ หรือความรู้ไม่มีที่สุด มากำหนดว่าน้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มี ความกำหนดดั่งนี้ เป็นความกำหนดที่ทำให้ไม่มีกังวลห่วงใย เพราะว่าเมื่อเพ่งดูเข้าไปในอากาศที่ไม่มีที่สุดก็ดี ในตัวรู้ ธาตุรู้ หรือความรู้ที่ไม่มีที่สุดก็ดี ย่อมไม่พบว่ามีอะไรแม้แต่น้อยหนึ่งนิดหนึ่ง ไม่มีแผ่นดิน แผ่นน้ำ ลม ไฟ อันเป็นวัตถุแม้แต่น้อยหนึ่งนิดหนึ่ง ไม่มีป่าแม้แต่น้อยหนึ่งนิดหนึ่ง ไม่มีบ้านไม่มีผู้คนแม้แต่น้อยหนึ่งนิดหนึ่ง เพราะว่าเป็นอากาศคือช่องว่าง ว่างไปทั้งหมด และแม้อากาศคือช่องว่างนั้นก็ไม่มีอีกเหมือนกัน เพราะว่ามีแต่ตัวธาตุรู้ หรือตัวรู้ หรือความรู้ อันไม่มีที่สุด และแม้ตัวธาตุรู้ ความรู้ ตัวรู้ นั้นก็ไม่มีอีกเหมือนกัน เพราะเป็นความว่าง อะไรสักน้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มี เมื่อกำหนดเข้ามาถึงขั้นนี้ ก็เป็นอันว่าได้ความว่างอันเรียกว่าสุญญตา คือความว่าง ว่างจากบ้าน ว่างจากผู้คน ว่างจากป่า ว่างจากแผ่นดิน ว่างจากอากาศที่ไม่มีที่สุด ว่างจากวิญญาณที่ไม่มีที่สุด แต่ว่าก็ยังมีไม่ว่างอยู่ที่ว่าอารมณ์ที่ว่าน้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มีนั้น เพราะฉะนั้นพระบรมศาสดาจึงได้ตรัสสอน ให้ไม่กำหนดอารมณ์ว่าน้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มีนั้น มาตั้งทำความสงบอยู่ในภายใน ไม่ต้องกำหนดว่าน้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มี เพราะความกำหนดว่าน้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มีนั้น ก็ยังเป็นตัวอารมณ์ อารมณ์ที่กำหนด

    สุญญตาข้อที่ ๖
    เพราะฉะนั้นจึงไม่กำหนดอารมณ์ว่าน้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มีนั้น มากำหนดตั้งสงบอยู่ในภายใน ความสงบที่ตั้งอยู่ในภายในนี้ก็ละเอียดประณีต ไม่มีอารมณ์ว่ารูป ไม่มีอารมณ์ว่าเสียง ไม่มีอารมณ์ว่ากลิ่น ไม่มีอารมณ์ว่ารส ไม่มีอารมณ์ว่าโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้อง และยังมีธรรมารมณ์ อารมณ์คือธรรมะเป็นที่ตั้งอยู่เป็นอย่างละเอียด ไม่ใช่รูป ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่รส ไม่ใช่โผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้นอาการของจิตที่เป็นสัญญาคือความกำหนดหมาย จึงสงบลงไปเป็นส่วนมาก ไม่มี รูปสัญญา ความกำหนดหมายว่าเป็นรูป สัทสัญญา ความกำหนดหมายว่าเป็นเสียง ฆานสัญญา ความกำหนดหมายว่าเป็นกลิ่น รสสัญญา ความกำหนดหมายว่าเป็นรส โผฏฐัพพะสัญญา ความกำหนดหมายว่าเป็นโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้อง และตลอดจนถึง ธรรมสัญญา ความกำหนดหมายว่าเป็นธรรมารมณ์ อย่างหยาบก็ไม่มี เป็นอย่างละเอียด สำหรับเป็นที่หมายอยู่ ตั้งอยู่ในจิตใจ และเมื่อเป็นดั่งนี้ จึงเรียกว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ มีสัญญาก็ไม่ใช่ก็คือว่า ไม่มีรูปสัญญา สัทสัญญาเป็นต้น ไม่มีก็ไม่ใช่คือว่ายังมีอยู่แต่ว่าน้อย ละเอียดมากเป็นธรรมสัญญาอย่างละเอียดที่กำหนดอยู่ เมื่อกำหนดถึงขั้นที่ตรัสสอนไว้นี้ ก็เป็นอันว่าได้สุญญตาคือความว่างมาโดยลำดับ ว่างจากบ้าน ว่างจากผู้คน ว่างจากป่า ว่างจากปฐวีแผ่นดิน ว่างจากอากาศ ว่างจากวิญญาณ ว่างจากอารมณ์ที่ว่าน้อยหนึ่งนิดหนึ่ง มาตั้งสงบอยู่ในภายใน เหมือนอย่างไม่มีสัญญาอะไร
    แต่ว่าก็มีสัญญา คือความที่กำหนดหมายอยู่ดั่งนี้ อันเป็นตัวสัญญาความกำหนดหมาย กำหนดหมายอยู่ว่าไม่มีอะไร ตั้งสงบอยู่ในภายใน ก็เป็นความว่างที่ตรัสสอนอีกชั้นหนึ่ง
    เพราะฉะนั้นตามที่ตรัสสอนไว้นี้ เป็นการตรัสสอนให้ฝึกหัดปฏิบัติทำสมาธิ พร้อมทั้งได้ปัญญาคือความรู้ไปด้วยกัน
    จิตก็ได้สมาธิที่เป็นตัวความสงบตั้งมั่น และได้ปัญญาที่เป็นตัวความรู้ และเมื่อละเอียดยิ่งขึ้นสติก็ตื่นสว่างโพลงยิ่งขึ้น ปัญญาก็รู้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น จิตก็ตั้งมั่นสงบ และผ่องใสแจ่มใสยิ่งขึ้นไปโดยลำดับ ปราศจากนิวรณ์ทั้งหลาย เป็นความสว่างโพลง เป็นความตื่น เป็นความผ่องใสใจอยู่ภายใน เป็นความตั้งมั่นสงบอยู่ในภายใน ยิ่งๆขึ้นไป ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยการปฏิบัติทางสติปัฏฐาน กายเวทนาจิตธรรมมาโดยลำดับนั้นเอง ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข้อมูลจากเว็บ ติดตามสถานการณ์โลก วันที่ 1 กรกฏาคม 2556
    พายุโซนร้อน รุมเบีย ขึ้นฝั่งที่ เมือง Maoming บริเวณเกาะไหลหลำ ในคืนนี้ และจะอ่อนกำลังลง

    พายุนี้ไม่มีผลกระทบต่อประเทศไทย สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปประเทศจีนตอนใต้ ขอให้ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทางไว้ด้วย

    ถ้ารุมเปียไม่มีผลกับไทยตาม แล้วอะไรจะมีผลกับไทยครับ รอดูดีกว่าครับ ว่าข้อมูลอาจารย์ปิยะชีพจะตรง ไหม ถ้าไม่ตรงอาจเป็นเพราะอะไรลองมาวิเคราะห์ดู
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    1 กรกฎาคม 2556 เรื่องเล่าเช้านี้

    รมว.คลัง ย้ำการลงนามสัญญากู้เงิน 3.24 แสนล้านบาท กับ 4ธนาคาร เพื่อใช้ในโครงการบริหารจัดการน้ำ เป็นการทำตามกฎหมาย พ.ร.ก.กู้เงินบริหารจัดการน้ำ และจะไม่เป็นภาระดอกเบี้ยต่อรัฐบาล เพราะไม่ได้กู้ทั้งก้อน



    นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า แม้ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้รัฐบาลเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน กรณีการก่อสร้างโครงการบริหารจัดการน้ำ แต่ในส่วนของกระทรวงการคลัง ก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม พรก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 ต่อไป เพื่อเตรียมเงินงบประมาณใช้ในการลงทุนโครงการ เพื่อออกแบบและก่อสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทยวงเงิน 350,000 ล้านบาท ซึ่งในเบื้องต้นได้มีการกู้เงินแล้วประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท เพื่อให้สามารถลงทุนตามแผนที่วางไว้ ในการพัฒนาโครงการที่มีความจำเป็นได้ทันที



    ส่วนโครงการที่ผ่านการจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ และการทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ หรือ เอชไอเอ ที่เปิดให้บริษัทเอกชนดำเนินงาน ศาลได้สั่งให้ดำเนินการขั้นตอนเพิ่มเติม ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ย้ำว่า การจัดเตรียมการวงเงินงบประมาณตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 3.24 แสนล้านบาท ด้วยการลงนามในสัญญาเงินกู้ กับ สถาบันการเงิน 4 แห่ง คือ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ และ ธนาคารกสิกรไทย ไม่ใช่เรื่องที่เป็นภาระให้กับรัฐบาล เนื่องจากไม่ได้มีการกู้เงินทั้งก้อน โดยเสียอัตราดอกเบี้ยอย่างเปล่าประโยชน์ ซึ่งหากโครงการล่าช้า ก็จะไม่กระทบต้นทุนต่อภาครัฐ ทั้งนี้ จะสามารถเบิกจ่ายเงินได้เมื่อมีการอ้างอิงขั้นตอนการดำเนินการต่างๆ ตามคำสั่งศาลปกครองกลางครบแล้ว
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาค่า Bz ได้เกิดความผิดปรกติจนเกิดพายุสนามแม่เหล็กโลกระดับ G3 ผมจึงขอนำข้อมูลค่า Bz มาให้ทุกท่านเรียนรู้ครับ

    ค่า Bz (สนามแม่เหล็กโลกในแนวตั้งฉากกับลมสุริยะ) มีค่าเป็น nanoTeslas (nT) ถ้าชี้ไปทาง +50 จะโน้มไปทางเหนือ, แต่ถ้าไปทาง -50 จะเอนไปทางใต้ ถ้ายิ่งติดลบมากเท่าไหร่ ก็จะเห็น Aurora ที่ขั้วโลกได้ง่าย และถ้ายิ่งชี้ไปทางใต้ก็เท่ากับว่ายิ่งเปิดประตูให้พลังงานจากลมสุริยะเข้ามาที่ชั้นบรรยากาศโลกได้มากขึ้น
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คาถามหาโพธิสัตว์เอาแม่ข้ามน้ำ

    พุเทาธฯ เพาเธยฯยํ มุเตาตฯ เมาเจยฯยํ ติเนาฯ ตาเรยฯยํ

    "พุทโธ โพเธยยัง มุตโต โมเจยยัง ติณโณ ตาเรยยัง"
    "เมื่อรู้แล้ว จักช่วยผู้อื่นรู้ด้วย เมื่อพ้นทุกข์แล้ว จักช่วยผู้อื่นพ้นทุกข์ด้วย เมื่อข้ามโอฆะแล้ว จักช่วยผู้อื่นข้ามโอฆะด้วย"

    คนโบราณใช้ภาวนากันภัยพิบัติ มีฟ้าผ่า ลมหลวง และป้องกันอันตรายภัยพิบัติทั้งปวงแลฯ

    ในกาลครั้งนั้น ท้าวมหาพรหมอันอยู่ชั้นพรหมโลก ก็เล็งดูบุรุษทั้งหลายในโลก ที่จะเหมาะแก่การตั้งปณิธานปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณแม้คนหนึ่งก็หาไม่พบ

    บังเอิญเล็งเห็นมาตุธารกมาณวะ ผู้กำลังเอามารดาแห่งตนขี่คอว่ายน้ำอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร เห็นว่าเป็นบุรุษผู้ประกอบด้วยความเพียรพยายามเป็นอันมาก

    ท้าวมหาพรหมจึงเสด็จลงมาจากพรหมโลกมา บันดาลใจมาตุธารกมาณวะผู้นั้น ให้บังเกิดความเอ็นดูกรุณาสรรพสัตว์ทั้งหลาย และให้มีใจมุ่งปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายเป็นอันมาก

    มาตุธารกมาณวะจึงมีวิตกรำพึงว่า “พุทโธ โพเธยยํ มุตโต โมเจยยํ ติณโณ ตาเรยยํ” ดังนี้....
    พุทโธ อันว่าบุคคลผู้ได้ตรัสรู้ธรรมทั้งมวล
    โพเธยยํ พึงยังบุคคลอื่นให้ตรัสรู้ธรรมอันนั้นเหมือนดังที่ตนได้ตรัสรู้แล้ว
    ติญโณ อันว่าบุคคลใดข้ามพ้นแล้ว จากมหาสมุทรกล่าวคือ วัฏฏสงสาร
    ตาเรยยํ พึงยังบุคคลอื่นให้ข้ามพ้นจากวัฏฏสงสาร เหมือนดังที่ตนข้ามพ้น ดังนี้

    มาตุธารกะครุ่นคิดรำพึงอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา ในขณะที่ให้มารดาขี่คอว่ายอยู่ในน้ำ มหาสมุทรตลอด ๗ วัน

    ฝ่ายว่านางมณีเมขลาผู้เป็นเทวดามีหน้าที่รักษาน้ำมหาสมุทร มีความกลัวคำตำหนิติเตียนจากพระอินทร์ และพระพรหมทั้งหลาย จึงไปช่วยมาตุธารกมาณวะพร้อมทั้งมารดาให้พ้นจากน้ำมหาสมุทร

    มาตุธารกมาณวะ ก็ยิ่งบังเกิดมีใจใคร่ปรารถนาซึ่งสัพพัญญุตญาณมากขึ้น จึงกราบมารดาแห่งตน แล้วตั้งใจระลึกสมาทานอธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้า

    ด้วยคิดแต่ในใจ ว่า....
    “ด้วยเดชผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ให้มารดาขี่คอพาว่ายน้ำข้ามน้ำมหาสมุทรพ้นจากภัยทั้งมวลนี้ จงเป็นปัจจัยอุดหนุนให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ในกาลที่จักมาภายหน้า ให้ข้าพเจ้าได้ช่วยเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายเทอญ”

    เมื่อรำพึงเช่นนี้แล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็อยู่อุปัฏฐากมารดาแห่งตน จนตราบสิ้นอายุ เมื่อจุติจากชาตินั้นก็ได้บังเกิดในเทวโลก

    นับตั้งแต่ชาตินั้นเป็นต้นมา มาณะวะ ผู้นั้น จะเกิดมาในชาติใดก็ดี ก็ปรากฏชื่อว่า
    “เป็นโพธิสัตว์” ทุกชาติ อันว่าพระโพธิสัตว์นั้น หากว่าเกิดมาเป็นเทวดาก็ดี พระอินทร์ ก็ดี พระพรหมก็ดี เป็นมนุษย์ หรือแม้สัตว์เดรัจฉาน ก็ย่อมประกอบไปด้วยญาณปัญญาอันพิเศษ ย่อมรู้เหตุและผลทั้งสิ้น โดยแจ่มแจ้งยิ่งนัก

    ย่อมบำเพ็ญบารมีธรรมสะสมไว้เสมอ นานได้ ๗ อสงไขย กับแสนมหากัป ได้พบพระพุทธเจ้า 125,000 พระองค์ โดยเป็นแต่คิดไว้ในใจ ยังไม่เปล่งวาจาออกจากปาก (พุทธดำริได้ ๗ อสงไขย)

    ครั้นเมื่อหมดสิ้น ๗ อสงไขยกับแสนมหากัปป์นั้นแล้ว....

    พระโพธิสัตว์ก็ได้มาบังเกิดเป็นพระมหาจักรพรรดิ พระองค์หนึ่งพระนามว่า....
    “มหาสาครจักกวัตติราช” ในศาสนาของพระพุทธเจ้าทรงพระนาม โปราณโคตมะ
    พระมหาสาครจักกวัตติราช ก็ทรงให้สร้างปราสาทด้วย ไม้จันทน์แดง รวมทั้งสิ้น ๑๐๐,๐๐๐ หลัง ให้เป็นที่สถิตอยู่แห่งพระรัตนตรัย

    แล้วได้เปล่งวาจา ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ให้ปรากฏแก่คน แลเทวดาทั้งหลาย (ผ่านพุทธดำริ ๗ อสงไขย แล้ว จึงเปล่ง พุทธวาจา)

    ตั้งแต่ชาตินั้น แม้นว่าพระโพธิสัตว์เกิดมาในชาติใดก็ตาม ย่อมบำเพ็ญบารมีธรรมเป็นนิจ นานได้ ๙ อสงไขย กับแสนมหากัป ได้เกิดพบพระเจ้าทั้งหลายนับได้ ๓๘๗,๐๐๐ องค์

    พระโพธิสัตว์ก็ได้กราบไหว้บูชา เปล่งวาจาปรารถนาพุทธภูมิ
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยอดธรรม ยอดคาถา
    ความเป็นมาแห่งยอดธรรม ยอดคาถานั้นค่อนข้างจะยาวมากผมจึงไม่สะดวกที่จะเล่ารายละเอียดให้ฟังได้ทั้งหมด จึงได้ยกมาเฉพาะบางส่วน เพื่อให้ผู้ที่ยังลังเลและสงสัยในยอดธรรม ยอดคาถานี้ได้เข้าใจโดยทั่วกัน


    ความเป็นมาแห่งยอดธรรมยอดคาถา

    พระคุณเจ้าดาบส สุมโน ได้แสดงธรรมคาถาเทศนา ณ ที่ถ้ำเจดีย์แก้วหรือที่อาศรมวิเวกเจดีย์แก้ว(ถ้ำผาตูบ) จังหวัดน่าน ในพรรษาศีลที่ ๖ เดือน ๑๑ เหนือ ตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น ๘ ค่ำ วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๗ ปีมะโรง มีความสำคัญดังต่อไปนี้..

    ก่อนที่จะกำเนิดมาเป็นพระคาถา ยอดธรรม ยอดคาถานี้ขึ้นมาได้นั้น มีสาเหตุเกิดขึ้นจาก ณ บนสวรรค์คือกาลนั้น ได้มีเทพบุตร ๒ ตน คือ
    ตนหนึ่ง มีเครื่องทรงเศร้าหมอง อีกตนหนึ่งมีทิพย์อาสน์ร้อน เพราะใกล้ถึงเวลาจุติ ก็ให้บังเกิดความกลัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่อยากจุติจากทิพย์สมบัติในสวรรค์ ภายหลังได้รับการอนุเคราะห์จาก "ธรรมโฆษเทพบุตร" ธรรมโฆษเทพบุตร จึงได้เล่าประวัติความเป็นมาแห่งตนจากการที่ดำรงไว้ซึ่งยอดธรรม ยอดคาถาให้เทพบุตรเหล่านั้นฟัง มีความว่าดังนี้...

    เมื่อก่อนธรรมโฆษเทพบุตรตนนี้ชื่อว่า "อุโปสถะเทพบุตร" เมื่อใกล้จะจุติจากสวรรค์(เรียกว่าหมดบุญ) จึงระลึกได้ว่า เมื่อตนหมดบุญแล้วจะต้องไปเกิดยังยมโลก เป็นสัตว์นรกอยู่ถึง ๘ แสน ๔ หมื่นกัลป์ จากนรกแล้ว จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดียรฉานอีก ๗ จำพวก จำพวกละ ๕๐๐ ชาติ เมื่อพ้นวิบากจากเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็ต้องไปเกิดเป็นมนุษย์พิกลพิการ หูหนวก ตาบอด ง่อยเปลี้ย เสียขา ไม่ครบอาการ ๓๒ อีก ๕๐๐ ชาติ เพราะกรรมวิบากของตนที่ได้กระทำไว้แล้ว ความชั่วในปางก่อนติดตามทัน เมื่ออุโปสถะระลึกได้ดังนั้น ก็ตกใจมีความกลัวเป็นกำลัง ขณะนั้นพอได้ทราบว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าขึ้นมาโปรดสัตว์ชั้นดาวดึงส์ ประทับอยู่ใต้ต้นปริชาติ อุโปสถะจึงน้อมเกล้าเข้าไปขอธรรม เพื่อให้ระงับการจุติเสียในขณะนั้น เพื่อจะได้บำเพ็ญกุศลสืบต่อไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้เทศนายอดธรรม ยอดคาถา โปรดอุโปสถะเทพบุตร เมื่ออุปโปสถะเทพบุตรได้ยอดธรรม ยอดคาถามาดำรงไว้ในตน จึงบันดาลให้อุโปสถะเทพบุตรกลับมีสภาพใหม่และได้นามว่า "ธรรมโฆษเทพบุตร" แต่นั้นมา และมีอายุยืน ไม่ได้จุติลงไปยังยมโลกและโลกมนุษย์ตราบเท่าทุกวันนี้

    ยอดธรรมยอดคาถามี ๑๖ คำดังนี้

    "ยโขธมฺมํ วรํตสฺส เยชนาเต ชนาวรํ"
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยอดธรรม ยอดคาถาแบ่งออกเป็น ๒ ตอน ๆ ละ ๔ บท ท่านแสดงว่าไว้
    ยะโขธัมมัง ประกอบไปด้วยพยัญชนะบทความ ๖๔ คำ
    วะรังตัสสะ " ๖๔ คำ
    เยชะนาเต " ๑๓๕ คำ
    ชะนาวะรัง " ๔๗๒ คำ
    รวมเป็นพยัญชนะบทความ ๗๓๕ คำ

    ความเป็นมาแห่งยอดธรรม ยอดคาถา

    วรรคที่ ๒ คือ "เยชนาเต ชนาวรํ"

    สมเด็จพระอริยะเมตตรัยเจ้าให้ยอดธรรม ยอดคาถา วรรคที่ ๒ แก่ธรรมโฆษเทพบุตรในชั้นดาวดึงส์ แล้วจึงเล่าชาติกำเนิดของพระองค์
    ปางเมื่อเกิดเป็นกษัตริย์ชื่อว่า "สังขะจักร" มีปราสทาทประดับไปด้วยแก้ว ๗ ประการ มีจักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปรินายกแก้ว มณีแก้ว มาในวันหนึ่งจึงใคร่ได้ยินคำว่า "พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์" เมื่อผู้ใดบอกข่าวคำนี้ให้ทราบข้าพเจ้าจะยกราชสมบัติทั้ง ๔ ชมภูทวีปให้ครอบครอง มีวันหนึ่งได้มีเณรน้อยองค์หนึ่งเดินเข้ามาในพระราชวังที่กษัตริยสังขะจักรประทับอยู่ระหว่างทางมีชาวเมืองทั้งหลายกล่าวร้ายหาว่า เป็นบ้าบ้าง เป็นยักษ์บ้าง เป็นอมนุษย์บ้าง และตามที่กล่าวร้าย เณรน้อยเข้าไปในพระราชฐาน กษัตริย์สังขะจักรจึงได้ห้ามไว้แล้ว จึงไต่ถามเณรว่า

    กษัตริย์สังขะจักร เณรเป็นยักษ์จริงหรือ หรือเป็นมนุษย์เราชาวเมืองไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
    เณร ตอบว่า เป็นมนุษย์
    กษัตริย์สังขะจักร ถามว่า เป็นลูกเต้าเหล่าใคร
    เณร ตอบว่า เป็นลูกของพระสงฆ์
    กษัตริย์สังขะจักร ได้ฟังคำที่ต้องการมานั้น จึงบังเกิดความปิติยินดี สลบไปนาน เมื่อฟื้นขึ้นมาแล้ว จึงไต่ถามเณรต่อไปว่า พระสงฆ์เป็นลูกของใคร
    เณร ตอบว่า เป็นลูกของพระพุทธ
    กษัตริย์สังขะจักร เมื่อได้ยินคำนี้อีกก็บังเกิดความปิติยินดียิ่งขึ้น จึงสลบไปอีกเป็นครั้งที่ ๒ เมื่อฟื้นขึ้นมาก็ถามต่อไปว่า พระพุทธเป็นลูกของผู้ใด
    เณร ตอบว่า พระพุทธเป็นองค์สัมพพัญญูตรัสรู้ด้วยตนเอง
    กษัตริย์สังขะจักร ได้ยินดังนั้นก็สลบไปเป็นครั้งที่ ๓ เพราะได้ยินคำที่กล่าวจริงของเณรน้อย เป็นความต้องการตามที่ตนปรารถนา อยากจะได้ยินได้ฟังมาครบถ้วน เมื่อฟื้นขึ้นมาแล้วก็ขอยกเอาราชสมบัติให้เณรน้อยครอบครอง

    ตัวกษัตริย์สังขะจักรก็ออกเดินทางด้วยเท้าเข้าป่า เพื่อไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่ปุพผารามวิหาร เป็นระยะทาง ๖๐ โยชน์ จนเท้าแตกเดินไม่ได้ จึงคลานไปด้วยเข่าต่อไป จนเข่าและเนื้อแตกสุก คลานไม่ได้ จึงกลิ้งไป ถัดไป จนหน้าอกแตกเป็นเลือด จึงร้อนไปถึงเทวราช พระเทวราชจึงได้นิมิตรแปลงตัวลงมาขับข้อสวนทางมา แล้วคนขับล้อก็บอกให้กษัตริย์สังขะจักรหลีกทางไป กษัตริย์สังขะจักรก็ไม่ยอมหลีกกลับบอกให้คนขับล้อว่า ท่านจงหลีกไปเถิด คนขับล้อก็ไม่ยอมหลีกแล้วก็ถามว่า ท่านจะไป ณ ที่ใด คนที่คลานก็ตอบว่า ข้าพเจ้าจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านจงหลีกไปเถิด เมื่อคนขับล้อได้ยินดังนั้น จึงบอกให้กษัตริย์ผู้คลานและเลือดเต็มตัวนั้นขึ้นล้อไปด้วย จะไปส่งถึงที่ ๆ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ระหว่างทาง มีผู้หญิงนำเอาอาหารมาให้บริโภคเมื่อบริโภคแล้วแผลตามเนื้อตามตัวก็กลัวหาย โดยผู้ขับล้อคือ พระอินทร์ ผู้ที่นำเอาอาหารที่เป็นทิพย์มาให้บริโภคก็คือ พระนางสุชาดา พระมเหสีของพระอินทร์นั่นเอง ซึ่งจากนั้นได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าองค์ชื่อ " พระศิริมามิ่งโมรี" พระพุทธเจ้าศิริมามิ่งโมรี จึงเทศนาธรรมอันมีชื่อว่า "ยอดธรรม ยอดคาถา" มีเนื้อความว่า

    ยโขธมฺมํ วรํตสฺส ซึ่งแปลเป็นภาษามนุษย์ว่าดังนี้
    ยะโขธัมมัง ธรรมใดแล เป็นธรรมที่ไม่มีภายใน ๑
    และที่ภายนอก ๑ ไม่มีที่ล่วงมาแล้ว ๑
    และที่ยังไม่มาถึง ๑ ไม่มีกำลังเป็นอยู่ ๑
    เป็นธรรมกวมทั่ว ๑ ผ่องใสปราศจากอารม์ต่าง ๆ
    กอันจักถึงติดต้อง ๑ เป็นธรรมว่างเปล่า จากปวงสังขตะที่เกิดดับ ๑
    วะรังตัสสะ ธรรมนั้นแลเป็นธรรม จักพึงประจักษ์เฉพาะตน ๑
    อันบุคคลจักพึงเห็นเอง ๑ เป็นธรรมประเสริฐ ๑
    อันพระตถาคตเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว ๑
    วรรค ๔ ตัวแรก ยะโขธัมมัง แปลได้ ๖๔ คำ
    วรรค ๔ ตัวที่สอง วะรังตัสสะ แปลได้ ๖๔ คำ

    ภาคที่ ๒

    เมื่อกษัตริย์สังขะจักรได้ฟังและได้นำยอดธรรม ยอดคาถา นี้มาคิดทบทวนดูคำแปลดังนี้แล้ว ก็ได้มาคิดคำนึงถึงยอดธรรม ยอดคาถาที่พระพุทธเจ้าเทศนามานี้เป็นยอดธรรม ยอดคาถา อันหาค่ามิได้จึงคิดว่าจะหาสิ่งใดมาถวายเป็นพุทธบูชายิ่งกว่านี้มิได้ อันธรรมนี้สูงสุดยิ่งกว่าศีรษะของตนเอง เมื่อเปรียบเทียบศีรษะกับยอดธรรม ยอดคาถานี้แล้ว ศีรษะของตนไม่มีอะไรจะมีค่าเทียบได้ จึงสละตัดศีรษะของตนเองถวายเป็นพุทธบูชาแก่พระพุทธเจ้าในกาลนั้น
    เมื่อกษัตริย์สังขะจักรสิ้นชีวิตแล้ว ก็ได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรโพธิสัตว์อริยเมตตรัย สถิตย์อยู่ในชั้นดุสิตสัคคาลัยพิภพ ขณะที่เล่าให้ธรรมโฆษเทพบุตรฟัง ณ บัดนั้น พระโพธิสัตว์อริยเมตตรัยจึงได้ต่อพระคาถาให้อีก ๘ คำ คือ เยชะนาวะรัง รวมเป็น ๑๖ คำ เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่ได้ท่องบ่นในธรรมคาถาที่เพิ่มอีก ๘ คำหลังนี้ ก็จะได้ถึงความหลุดพ้นจากทุกข์นานาประการ หรือมิฉะนั้นจะได้ไปเกิดในศาสนาที่ท่านลงมาตรัสเป็นพระอริยเมตตรัยเจ้า (ศรีอารย์) นั่นเอง (รวมความยอดธรรม ยอดคาถา ๑๖ คำนี้ ทั้งหมดได้ ๗๓๕ คำ ซึ่งรวมอยู่ในหนังสือยอดธรรม ยอดคาถา ที่ท่านพระคุณเจ้าดาบส สุมโน ได้จัดให้ศรัทธา ณ ที่ถ้ำจักรพรรดิ์ (ผากั๊บ) บ้านอิม ตำบลเวียงต้า อำเภอลอง จังหวัดแพร่ นั้นแล้ว หรือทีได้นำมาจัดพิมพ์รวมไว้อยู่ในข้างหน้าเล่มนี้แล้ว

    ภาคที่ ๓

    พระศรีอริยเมตตรัยเล่าให้ธรรมโฆษเทพบุตร ตอนที่จะมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า
    ธรรมโฆษเทพบุตรได้นำเทพบุตรทั้งหลาย เข้าไปหาพระศรีอริยเมตตรัยโพธิสัตว์ ณ ลานพระเจดีย์เกษแก้วจุฬามณี เพื่อสังสรรค์สนทนาในพระธรรมคาถาอยู่เสมอ จึงในวันพระหนึ่งธรรมโฆษเทพบุตรได้ถามถึงการตัดศีรษะถวายพระพุทธเจ้า เพื่อเป็นพุทธบูชานั้นคงจะมีแต่พระศรีอริยเมตตรัยพระองค์เดียวไม่มีผู้ใดอีกหรืออย่างไร พระโพธิสัตว์ศรีอริยเมตตรัย จึงตอบว่าหามิได้ สุระคิระสุทธิเทพบุตรก็ได้ตัดศีรษะถวายพระพุทธเจ้าที่ทรงพระนามว่า "กกุสันโธ" ด้วยเหมือนกัน
    ธรรมโฆษเทพบุตรจึงใคร่ได้ฟังเรื่องราวของสุระศิระสุทธิเทพบุตร พระศรีอริยเมตตรัยโพธิสัตว์จึงได้เล่าความเป็นมาแห่งเทพบุตรสุระศิระสุทธิเทพบุตรให้ธรรมโฆษเทพบุตรฟังดังนี้
    ปางเมื่อพระสุระศิระสุทธิเทพบุตรเป็นกษัตริย์ครองชมภูทวีปทั้ง ๔ และกอรปไปด้วยทวีปน้อยใหญ่ ๒,๐๐๐ (สองพัน) ทวีป ทรงพระนามว่ามหาปนารถบรมจักรพรรดิ์ มีรัตนะ ๗ ประการคือ มี จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว นางแก้ว (เบญจกัลนาณี) ทรงโฉมอันเลอเลิศ ปรินายกแก้ว คฤหบดีแก้ว มณีแก้ว
    วันหนึ่งมหาปนารถบรมจักรพรรดิ์ได้สั่งให้ จักรแก้วไปนำมณีแก้วยังท้องสมุทรมาพันหนึ่ง และแก้วอื่น ๆ ไปนำเอาแก้วชนิดนั้น ๆ แต่ละอย่างจากที่ต่าง ๆ มาเช่นเดียวกัน ได้มาทุกอย่างทุกแห่ง เว้นแต่ขุนคลังแก้วได้ไปพบพระพุทธเจ้า ซึ่งพระนามว่า "กกุสันโธ" เมื่อขุนคลังแก้วได้เข้าไปหาพระพุทธเจ้า ก็เห็นลักษณะรปร่าง ผิวพรรณ สง่าผ่องใส น่าเคารพรักใคร่นับถือ จึงถามว่า "มา น เว" ท่านเป็นใครจึงได้มีลักษณะผิวพรรณงดงามอย่างนี้ พระพุทธเจ้ากกุสันโธก็ทรงตอบว่า เราคือ กกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้ามีคุณวิเศษอย่างไร กกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงตอบว่ามี "พุทธคุณ" แล้วก็ทรงแสดงพระพุทธคณคือว่า "อิติปิโส ภควาติ" ขุนคลังได้ยินดังนั้นจึงได้จารึกพระพุทธคุณลงในแผ่นทอง พร้อมด้วยรูปของกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้านำมาถวายพระมหาปนารถบรมจักรพรรดิ์ พระมหาปนารถบรมจักรพรรดิ์ก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงมอบราชสมบัติพร้อมทั้งรัตนะ ๗ ประการ และทวีปใหญ่น้อยให้ขุนคลังครอบครองต่อไป แล้วมหาปนารถบรมจักรพรรดิ์ก็ออกเดินทางด้วยเท้า ไปเฝ้าพระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเดินทางเข้าป่าไปถึงต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งจึงได้พักอย่ ณ ที่นั่นทรงตั้งสัตย์อธิฐานเป็นพระภิกษุ เพื่อเข้าไปเฝ้าพระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า และอธิฐานขอให้มีเครื่องบริขารพร้อม เครื่องบริขารก็ตกลงมาจึงได้กระทำการบวชตนเองเป็นพระภิกษุ ปฎิบัติธรรม ภาวนา มหาสติปัฎฐาน ๔ จนได้สำเร็จญาณเหาะได้เหาะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่อง "พระพุทธคุณ" ตามที่ขุนคลังได้จารึกไปให้นั้นตรงกัน และรูปที่จารึกนั้นก็เหมือนกัน จึงเกิดความปิติเห็นคุณประโยชน์ยอดยิ่ง จึงได้ตัดศีรษะถวายเป็นพุทธบูชา และเมื่อพระมหาปนารถบรมจักรพรรดิ์สิ้นชีพก็ได้มาเกิดเป็นสุระศิระ สุทธิเทพบุตรอยู่ในชั้นดุสิตนี้เช่นเดียวกันกับพระศรีอริยเมตตรัยโพธิสัตว์ ด้วยองค์หนึ่ง

    ภาคที่ ๔

    ธรรมโฆษเทพบุตร เห็นว่าพระศรีอริยเมตตรัยมีพระบารมียอดยิ่ง จึงมีความเคารพสักการะยิ่ง และในวันพระต่อมาก็ได้นำเทพบุตรทั้งหลายเพื่อเข้าไปสังสรรค์สนทนาธรรม โดยธรรมโฆษเทพบุตรถามว่า เมื่อใดพระองค์จึงตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศรีอริยเมตตรัยตอบว่า ยังอีกนานคือ จะต้องสร้างบารมีนับอสงไขย คือว่า เมื่อใดเมืองพาราณสี เปลี่ยนชื่อเป็น "มัณฑนคร" และมัณฑนครเปลี่ยนชื่อเป็น "เกตุมลดีศรีมหานคร" แล้วจึงบำเพ็ญพระองค์ให้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศรีอริยเมตตรัย
    ธรรมโฆษเทพบุตร ถามต่อไปว่าจะเสด็จลงไปเกิดในตระกูลไหน พระศรีอริยเมตตรัยตอบว่า จะกำเนิดในตระกูลพราหมณ์คือ "สุพรหมพราหมณ์" เป็นพระราชบิดา และ "พรหมวดีพราหมมณี" เป็นพระราชมารดา พระองค์จะสร้างบารมีโดยการครองคฤหัสถ์ ๔ หมื่นปีก่อน จึงจะได้ตรัสเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระองค์จะมีพระชนมายุ ๘ (แปด) หมื่นปี จึงจะได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน ประชาชนก็มีอายุ ๘ หมื่นปีเหมือนกัน
    (สมัยของกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอายุ ๔ หมื่นปี)
    พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๘๐ ปี
    "พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราแสดงปรารถให้พระอานนท์เห็นว่า จะปลงสังขาร ๑๖ ครั้ง ๑๖ แห่ง แต่พระอานนท์ไม่เห็นใจ จึงไม่ได้ขออาราธนาให้อยู่ต่อไปเพื่อสั่งสอนสัตว์โลก มาขอตอนใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน แต่พระองค์ทรงปลงสังขารเสียแล้ว

    ยอดธรรม ยอดคาถา

    เวลาจะภาวนา ให้ว่ายอดธรรม ยอดคาถานี้ก่อนถ้าหลายคนว่าพร้อมกัน

    (ยะโขธัมมัง วรังตัสสะ เยชะนาเต ชะนาวะรัง โกจิตตังสัง ขะตังมุตโต เอโสปาระโม ทุกขังขะโย)

    ยะโขธัมมัง ธรรมใดแล, เป็นธรรมไม่มีที่ภายในและที่ภายนอก, ไม่มีที่ล่วงมาแล้วและที่ยังไม่มาถึง, ไม่มีทั้งที่กำลังเป็นอยู่, เป็นธรรมกวมทั่ว(คงที่), ผ่องใสปราศจากอารมณ์ต่างๆอันจักพึงติดต้อง, เป็นธรรมว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับ ฯ

    วะรังตัสสะ ธรรมนั้นแล, เป็นธรรมพึงประจักษ์เฉพาะตน, อันบุคคลจักพึงเห็นเอง, คือพระนิพพาน เป็นที่หลุดรอด, ที่เรียกว่าฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยาก, เป็นธรรมประเสริฐ, อันพระตถาคตเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว ฯ

    เยชะนาเต บรรดามนุษย์ทั้งหลาย, ชนเหล่าใดที่เป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยาก ชนเหล่านั้นมีประมาณน้อย, ส่วนหมู่สัตว์ คือ ชนนอกจากนี้ๆ, ย่อมเลาะเลียบไปตามชายฝั่ง, คือไปแล้วในอารมณ์ต่างๆ, ตามเห็นรูป รส โผฏฐัพพะ เสียงกลิ่น อยู่นั่นแหละ เหมือนหลับอยู่, ก็ชนทั้งหลายเหล่าใดประพฤติตามธรรม, ในธรรมที่พระตถาคตเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว, ชนทั้งหลายเหล่านั้น จักเป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ฯ

    ชะนาวะรัง ก็ชนใดทำจิตของตน, ไม่ให้มีที่ภายในและที่ภายนอก, ไม่ให้มีที่ล่วงมาแล้วและที่ยังมาไม่ถึง, ไม่ให้มีทั้งที่กำลังเป็นอยู่, ไม่ให้ตามเห็นอารมณ์ต่างๆ, ให้ผ่องใสปราศจากอารมณ์ต่างๆ อันมาติดต้อง, ให้ว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับ, ชนนั้นจักเป็นผู้พ้นทุกข์ เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ฯ
    หรือมิฉะนั้นชนใด, เป็นผู้กำหนดรู้อารมณ์ อันใดอันหนึ่งเป็นที่ตั้ง, (มีรูปอารมณ์ เป็นต้น) โดยความแยบคายแห่งจิตอยู่เฉพาะ, ชนนั้นก็จักประจักษ์แจ้งอารมณ์ต่างๆ, ตามความเป็นจริงที่มันไม่จริง, คือว่างเปล่า, แล้วระอาท้อถอย, เหนื่อยหน่ายคลายวาง, เป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ฯ

    โกจิตตังสัง ก็จิตของเรานี้เล่า, มันเพลินเที่ยวไปแล้วในอารมณ์ต่างๆ, ตามเห็นรูป รส โผฏฐัพพะ เสียง กลิ่นอยู่ เหมือนหลับอยู่,

    ขะตังมุตโต ไฉนเล่า เราจักเป็นผู้พ้นทุกข์, จิตของเราจักเข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้นได้ ฯ

    เอโสปาระโม เหตุนั้นกาลบัดนี้, เราจักทำจิตของเราไม่ให้มีที่ภายในและที่ภายนอก, ไม่ให้มีที่ล่วงมาแล้วและที่ยังไม่มาถึง, ไม่ให้มีทั้งที่กำลังเป็นอยู่, ไม่ให้ตามเห็นอารมณ์ต่างๆ, ให้ผ่องใส ปราศจากอารมณ์ต่างๆ อันมาติดต้อง, ให้ว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับฯ

    ทุกขังขะโย เป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น หรือมิฉะนั้น, เราจักกำหนดรู้อารมณ์อันใดอันหนึ่งเป็นที่ตั้ง, (มีรูปารมณ์ เป็นต้น) โดยความแยบคายแห่งจิตอยู่เฉพาะ, เพื่อประจักษ์แจ้งอารมณ์ต่างๆ, ตามความเป็นจริงที่มันไม่จริง, คือว่างเปล่า, แล้วระอาท้อถอย, เหนื่อยหน่ายคลายวาง, เป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น, ซึ่งเป็นธรรมประเสริฐ, คือพระนิพพานเป็นที่หลุดรอด, ตามที่พระตถาคตเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว...นั้น นั่นแล

    "บุคคลใดแม้มาเจริญ คือสาธยายยอดธรรมยอดคาถานี้อยู่เนืองๆ บุคคลนั้นจักสบประโยชน์ใหญ่หลวง เป็นผู้มีโชคใหญ่ จักไม่เข้าถึงความตาย ความตายจักไม่แลเห็นผู้นั้น จักบรรลุคุณวิเศษอันหาค่ามิได้"
    พระดาบส สุมโน
    อาศรมไผ่มรกต อ.เมือง จ.เชียงราย

    อานิสงส์

    ยอดธรรม ยอดคาถา มีอานิสงส์ อันกล่าวไว้ในกาลก่อน ดังนี้
    ๑. ผู้ใดศรัทธา ดำรงไว้ในตนโดยเคารพ ไม่ไปอบายภูมิ คือ ไม่ไปนรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
    ๒. มีอายุยืน มีความสุข ถึงแม้เป็นเทวดาแล้ว ก็ไม่พลันจุติ
    ๓. ตายจากมนุษย์ ย่อมไปเกิดสวรรค์ เสวยความสุข เลิศล้ำนักหนา
    ๔. จะเป็นอริยบุคคลในชาติปัจจุบัน หรือมิฉะนั้น จะได้สดับธรรมในสำนักพระอริยเมตตรัยสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วได้บรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลในศาสนาของพระองค์

    อีกประการหนึ่งว่าผู้ปฏิบัติตามแนวยอดธรรม ยอดคาถา
    ๑. จะเป็นอริยบุคคลในชาติปัจจุบัน
    ๒. ถ้าชาติปัจจุบันยังไม่บรรลุเป็นอริยบุคคล ตายจากชาตินี้จะไปเกิดในแดนสวรรค์ เสวยสุขอยู่จนกว่าพระเมตตรัยสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัส จึงจะจุติลงมาเกิด แล้วได้สำเร็จมรรคผลในพระศาสนานั้น
    ๓. ผู้ท่องจำได้ สวดได้ รู้ความหมาย เจริญอยู่เนืองๆ จะมีความสุขสวัสดีมีอายุยืน
    ๔. ผู้ท่องจำได้ สวดได้ แต่ไม่รู้ความหมาย ดำรงไว้ในตนด้วยศรัทธาความเคารพ จะไม่ไปอบาย
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คาถาวันโลกดับ

    เป็นคาถาที่พบในศิลาจารึก ในวัดเชตวันวิหาร ประเทศอินเดีย
    ที่เขียนโดยพระอานนท์ ตามพุทธทำนาย
    ให้ชาวพุทธไว้สวดป้องกันอันตราย
    ยามที่โลกมีภัยสงคราม ภัยอันตรายต่างๆ

    ฉบับเต็มนี้คัดลอกมาจากคัมภีร์ใบลานเก่าแก่ ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่พบมา

    คาถาวันโลกดับ ฉบับสมบูรณ์ (Full version)
    สุสุสุ ละละละ ทาทาทา โออัสสะ
    อะอะอะ โสโสโส โนโนโน
    นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ
    มะอะอุ อุอะมะ
    นะมะสัจจัง มะราตะมะมะ
    ระสะมะยัง หิริโอตัปปะ สัมปันนา
    สุกกะธัมมะสะมาหิตา สันโต
    สัปปุริสา โลเก เทวะธัมมาติ วุจจะเรติ
    มาระสัจจัง มาระสัจจัง มารัตตะนัง
    มาระสุทธัง มาระเตชัง มาระสิทธิกัมมัง
    ทิตะทิรา มันทะโล กะสิลา
    กะละลาสะติ โสจะถิโหคะนะตะเน
    พุทธะเยจะมังมาพิโธ ทานะโส ปัตตะโส
    สัตถาคารังโช โสอะจะนัง ตะโตกันนัง
    เถริยะมาเห มะระกะตา มาระกะตะเล
    ระวะชาตา ปุระปุรา

    ฉบับย่อ
    ทิตะทิรา มันทะโล กะสิลา
    กะละลาสะติ โสจะถิโหคะนะตะเน

    ฉบับย่อ ของครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ

    หลวงพ่อลี วัดอโศการาม
    ทิตะทิลาทัน มันทะโล กะลิกะลา สะติโถคะหะตะเน

    หลวงพ่อโอภาสี
    ถิตะถิรามันทะโร กะสีราคะ ระราสะติโสจะ

    หลวงปู่ขาว อนาลโย
    ทิตะศีลาคันธะมังกะโร กะระกะรา สาสะติ โสตะถิโหคะหะคะเน

    ข้อมูลจาก "สืบหาพระเครื่องดี" เขียนโดย คุณอำพล เจน
    นิตยสารศักดิ์สิทธิ์ ๑ เม.ย.
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มะกันร้อนตับแลบอุณหภูมิทะลุ54องศา
    View: 46
    Text size:

    ภาพประกอบข่าว
    หลายรัฐของสหรัฐเผชิญสภาพอากาศอนจัด อุณหภูมิพุ่งสูงเกือบ 54 องศา เสียชีวิตแล้ว 1 คน

    วันนี้ (1ก.ค.56) หลายรัฐทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐกำลังเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนจัด อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 46-49 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะในเขต เดธ วัลเลย์ ซึ่งเป็นพื้นที่ทะเลทรายในรัฐแคลิฟอร์เนีย อุณหภูมิเพิ่มสูงสุดถึงระดับ 53.3 องศาเซล เซียส และอาจเพิ่มสูงขึ้นเป็น 54 องศาเซลเซียส แต่ยังไม่สูงเท่ากับช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ที่เคยมีอุณหภูมิสูงสุดถึง 56.7 องศาเซลเซียส ส่วนที่เมืองลาสเวกัส รัฐเนวาด้า มีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 คน เสียชีวิตอยู่ภายในบ้านพักซึ่งไม่มีเครื่องปรับอากาศ ประกอบกับมีโรคประจำตัว อากาศร้อนจัดส่งผลให้อาการกำเริบจนเสียชีวิตดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีประชาชนอีกกว่า 40 คน ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เนื่องจากมีอาการขาดน้ำอย่างรุนแรง

    ทั้งนี้ คาดว่าคลื่นความร้อนจะทำให้อุณหภูมิในรัฐยูทาห์, ไวโอมิง และไอดาโฮ เพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับรัฐวอชิงตันซึ่งเป็นเมืองหนาว จะมีอุณหภูมิเกิน 32 องศาเซลเซียสในสัปดาห์หน้า

    ส่วนทวีปเอเซีย ที่เขตปกครองตนเองมองโกเลียในของจีนต้องเผชิญกับฝนตกหนักและพายุลูกเห็บเมื่อวานนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 คน และสูญหายอีก 1 คน ฝนที่ตกหนักทำให้เกิดน้ำท่วมบ้านเรือนประชาชนและถนนหนทาง ขณะที่พายุลูกเห็บที่เกิดอยู่ประมาณ 10 นาทีทำให้ยานพาหนะและเรือนกระจกพังเสียหาย

    ด้านศูนย์อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของจีนระบุว่าพายุฝนฟ้าคะนองจะยังคงพัดถล่มพื้นที่ตอนกลางและทิศตะวันออกของเขตมองโกเลียในต่อไปในอีก 2-3 วัน
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เหตุการณ์น้ำท่วมในรัฐอุตตราขัณฑ์ อินเดีย ยังคงตกค้างสูญหายเกือบ 3,000 อย่างไร้ร่องรอย

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า วันนี้ (1 ก.ค.) เหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรง ในรัฐอุตตราขัณฑ์ (Uttarakhand) ของประเทศอินเดีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวความคืบหน้าว่า พบเหยื่อเคราะห์ร้ายที่ยังสูญหายอย่างไร้ร่องรอย เกือบ 3,000 คน นอกจากนี้ ประชาชนในพื้นที่เกิดภัยพิบัติกว่า 100,000 คน ยังต้องอพยพย้ายถิ่นฐานไปยังพื้นที่ปลอดภัย เนื่องจาก ปริมาณระดับน้ำที่ท่วมทะลักอย่างต่อเนื่อง พร้อมดินโคลนถล่มยังทวีความรุนแรงมากขึ้นนั่นเอง

    อย่างไรก็ตาม ทางการของอินเดีย เปิดเผยว่า ในช่วงฤดูกาลนี้เป็นช่วงลมมรสุมที่พัดกระหน่ำพื้นที่เสี่ยงภัยในอินเดีย ซึ่งเชื่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีความรุนแรงที่สุดในรอบ 80 ปี
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    1 กรกฎาคม 2556

    เมื่อ 18.21 ตามเวลาไทย เกิดแผ่นดินไหวขนาด 2.7 บริเวณ Yellowstone National Park Wyoming ที่ความลึก 10.70 กม.

    เมื่อ 17.49 ตามเวลาไทย เกิดแผ่นดินไหวขนาด 3.1 บริเวณ Yellowstone National Park Wyoming ที่ความลึก 14.00 กม.
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ค่า Electron Flux ขณะนี้มีค่า 2880 ซึ่งมีค่าสูง

    Capture.JPG

    NOAA reported value from 0 to unknown. Density of charged electrons in the solar wind. The higher the numbers (>1000), the more the impact the ionosphere. Primarily impacts the E-Layer of the ionosphere. Updated hourly.
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข้อมูลจากเฟสอาจารย์ปิยะชีพ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2556 ผมเอามาลงล่าช้า เพราะต้องตรวจดูข้อมูลให้แน่ใจ จากข้างต้น

    ๐๑๐๗๕๖ ฟ้าหลังฝนเหนือบางกอก (40 photos)
    สเปคตรัมแสงสีแดงและสีทองสวยแบบโหดๆ กับเมฆริ้วๆ หลายชั้น ถ่ายผ่านกระจกห้องทำงาน มีเม็ดฝนปนประปลายนะครับ

    1044033_523780621022692_1856387248_n.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...