ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผมขอยกข้อมูลที่คุณ foreset60 ให้ไว้เกี่ยวกับผลกระทบของพายุสนามแม่เหล็กโลก และระพายุรังสี แต่เป็นภาษาอังกฤษถ้ามีโอกาสจะมาแปลให้อ่านครับ

    NOAA Space Weather Scale for Geomagnetic Storms

    ระดับพายุสนามแม่เหล็กโลก

    1. ระดับG 5 Extreme Kp = 9

    ผลกระทบ

    Power systems: : widespread voltage control problems and protective system problems can occur, some grid systems may experience complete collapse or blackouts. Transformers may experience damage.

    Spacecraft operations: may experience extensive surface charging, problems with orientation, uplink/downlink and tracking satellites.

    Other systems: pipeline currents can reach hundreds of amps, HF (high frequency) radio propagation may be impossible in many areas for one to two days, satellite navigation may be degraded for days, low-frequency radio navigation can be out for hours, and aurora has been seen as low as Florida and southern Texas (typically 40° geomagnetic lat.)**.

    2. ระดับ G 4 Severe Kp = 8

    ผลกระทบ

    Power systems: possible widespread voltage control problems and some protective systems will mistakenly trip out key assets from the grid.

    Spacecraft operations: may experience surface charging and tracking problems, corrections may be needed for orientation problems.

    Other systems: induced pipeline currents affect preventive measures, HF radio propagation sporadic, satellite navigation degraded for hours, low-frequency radio navigation disrupted, and aurora has been seen as low as Alabama and northern California (typically 45° geomagnetic lat.)**.

    3. ระดับ G 3 Strong Kp = 7

    ผลกระทบ

    Power systems: voltage corrections may be required, false alarms triggered on some protection devices.

    Spacecraft operations: surface charging may occur on satellite components, drag may increase on low-Earth-orbit satellites, and corrections may be needed for orientation problems.

    Other systems: intermittent satellite navigation and low-frequency radio navigation problems may occur, HF radio may be intermittent, and aurora has been seen as low as Illinois and Oregon (typically 50° geomagnetic lat.)**.


    4. ระดับ G 2 Moderate Kp = 6

    ผลกระทบ

    Power systems: high-latitude power systems may experience voltage alarms, long-duration storms may cause transformer damage.

    Spacecraft operations: corrective actions to orientation may be required by ground control; possible changes in drag affect orbit predictions.

    Other systems: HF radio propagation can fade at higher latitudes, and aurora has been seen as low as New York and Idaho (typically 55° geomagnetic lat.)**. [/B]

    5. ระดับ G 1 Minor Kp = 5

    ผลกระทบ

    Power systems: weak power grid fluctuations can occur.

    Spacecraft operations: minor impact on satellite operations possible.

    Other systems: migratory animals are affected at this and higher levels; aurora is commonly visible at high latitudes (northern Michigan and Maine)**.

    ที่มา NOAA Space Weather Scales
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย forest60 : 17-03-2013 เมื่อ 10:58 PM

    NOAA Space Weather Scale for Solar Radiation Storms

    ระดับพายุรังสี

    1. ระดับ S 5 Extreme
    ผลกระทบ
    Biological: unavoidable high radiation hazard to astronauts on EVA (extra-vehicular activity); passengers and crew in high-flying aircraft at high latitudes may be exposed to radiation risk.***

    Satellite operations: satellites may be rendered useless, memory impacts can cause loss of control, may cause serious noise in image data, star-trackers may be unable to locate sources; permanent damage to solar panels possible.

    Other systems: complete blackout of HF (high frequency) communications possible through the polar regions, and position errors make navigation operations extremely difficult.

    2. ระดับ S 4 Severe

    ผลกระทบ

    Biological: unavoidable radiation hazard to astronauts on EVA; passengers and crew in high-flying aircraft at high latitudes may be exposed to radiation risk.***

    Satellite operations: may experience memory device problems and noise on imaging systems; star-tracker problems may cause orientation problems, and solar panel efficiency can be degraded.

    Other systems: blackout of HF radio communications through the polar regions and increased navigation errors over several days are likely.

    3. ระดับ S 3 Strong

    ผลกระทบ

    Biological: radiation hazard avoidance recommended for astronauts on EVA; passengers and crew in high-flying aircraft at high latitudes may be exposed to radiation risk.***

    Satellite operations: single-event upsets, noise in imaging systems, and slight reduction of efficiency in solar panel are likely.

    Other systems: degraded HF radio propagation through the polar regions and navigation position errors likely.

    4. ระดับ S 2 Moderate

    ผลกระทบ

    Biological: passengers and crew in high-flying aircraft at high latitudes may be exposed to elevated radiation risk.***

    Satellite operations: infrequent single-event upsets possible.

    Other systems: small effects on HF propagation through the polar regions and navigation at polar cap locations possibly affected.

    5. ระดับ S 1 Minor

    ผลกระทบ

    Biological: none.

    Satellite operations: none.

    Other systems: minor impacts on HF radio in the polar regions.

    ที่มา NOAA Space Weather Scales
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Solarham คาดการณ์ว่า
    WATCH: Geomagnetic Storm Category G1 Predicted
    จับตาดู พายุสนามแม่เหล็กโลก ขนาด G1 (พยากรณ์)
    Highest Storm Level Predicted by Day:
    ระดับพายุสนามแม่เหล็กโลกสูงสุดจะพยากรณ์ผลเป็นรายวันครับ
    Jun 26: None (Below G1)
    26 มิถุนายน 2556 ไม่เกิดครับ
    image.jpg

    Jun 27: G1 (Minor)
    27 มิถุนายน 2556 เกิดขนาด G1 ครับ
    - ยังไม่ถึง
    Jun 28: G1 (Minor)
    28 มิถุนายน 2556 เกิดขนาด G1
    - ยังไม่ถึง
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 27 มิถุนายน 2556
    มีการปรเะกาศภาวะฉุกเฉินเตือนระดับน้ำกำลังจะน้ำล้นเขื่อน ที่เมืองเคลียร์วอร์เตอร์ รัฐอัลเบอร์ตา แคนนาดา

    Alert_CA_AB_AEA1_1815.jpg

    เหตุการณ์ก่อนหน้านี่้
    1.JPG
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    CME กับโลก

    เราจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับพายุสุริยะ
    ข้อมูลจาก http://ainews1.com/article330_a.html
    'ฮารัลด์ เลสช์' (Harald Lesch) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย 'มิวนิค' ได้สร้างแบบจำลองสนามแม่เหล็กโลกขึ้นมาศึกษาในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ เพื่อหาคำตอบว่าโลกเราจะเป็นอย่างไรหากไม่มีสนามแม่เหล็ก

    แบบจำลองที่ 'ฮารัลด์ เลสช์' สร้างขึ้นพบว่า ถ้าโลกเราถูกพายุสุริยะกระหน่ำ ผลที่ได้สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่ง จากภาพจำลองที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้น แสดงให้เห็นว่า เมื่อ มวลอนุภาคคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุสุริยะมาถึงโลก จะทำปฏิกิริยากับชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นสนามแม่เหล็กชุดใหม่มาแทนที่และทรงพลัง พอที่จะทานแรงปะทะของรังสีคอสมิก

    ทำให้รังสีคอสมิกที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์เบนออกสู่อวกาศ >>>แต่ทว่าโลกเรานั้นสามารถรอดพ้นจากอันตรายจากรังสีคอสมิกไปได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ไม่ได้เป็นผลดีต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกเลย

    ตามหลักแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหล ไปสู่ที่ๆมีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า และสนามแม่เหล็กชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้นไม่ได้เสถียร เหมือนแม่เหล็กโลกเดิม ฉะนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ทำปฏิกิริยากับบรรยากาศโลกย่อมไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น

    ้สิ่งที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะกระทำต่อไปนั้นก็คือ การปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้าอันมหาศาล สู่ที่ๆมีความต่างศักย์ที่น้อยกว่า นั่นก็คือพื้นผิวโลก เหตุการณ์ที่ว่านี้คือ พายุฟ้าผ่านั้นเอง พายุฟ้าผ่านี้ อาจกินเนื้อที่ทั้งทวีปหรือทั่วโลก

    สายฟ้าที่กระหน่ำลงมาจากก้อนเมฆอิเล็กตรอนนั้น จะกระหน่ำผ่าลงมาทุกๆที่โดยไม่หยุด จนกว่าพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากพายุ สุริยะจะหมดลง และจะเกิดขึ้นอีกถ้าพายุสุริยะลูกต่อไปมาถึง หรือจนกว่าการกลับขั้วของแม่เหล็กโลกจะเสร็จสมบูรณ์

    จนทำให้กระบวนการสร้างสนามแม่เหล็กโลกจะทำงานได้อีก สิ่งมีชีวิตบนโลกมากมายจะต้องตาย และเทคโนโลยีต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้นจะถูกทำลายลงในครั้งนี้ แต่ถ้ารังสีคอสมิกสามารถหลุดรอดมากจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้ สิ่งมีชีวิตที่รอดจากการถูกฟ้าผ่า ก็อาจจะต้องตายจากโรคมะเร็งและความร้อน

    (ภาพเปรียบเทียบนะครับ ถ้าไอ Flare สายนี้มีทิศทางตรงมายังโลก ก็ไม่เหลืออะไร )


    back up data: http://www.mythland.org

    ปัจจัยพื้นฐานปัจุบัน ที่ ฮารัลด์ อาจไม่ได้นำข้อมูลใส่ลงในโมเดลคอมพิวเตอร์ ที่ทดลอง นั่นคือ ปัจจุบันโลกได้ถูกพลังงานเส้นแรงแม่เหล็กลงมาอัดแน่นอยู่ที่ผิวโลก ไม่ได้กระจายตัวเป็นรูปแบบของสนามแม่เหล็กแบบปรกติ ที่โอบอุ้มโลกอยู่ในอวกาศ และส่งผ่านเส้นแรงแม่เหล็กไปสู่ดวงดาวดวงอื่นๆ ที่เส้นแรงร้อยรัดอยู่อย่างเป็นระบบ

    คลื่นพลังงานแม่เหล็กที่ลงมาหุ้มห่อโลก และเจาะทะลวงลงใต้เปลือกโลก เป็นเสมือนเชื้อเพลิงต้นทุน ที่รอคอย คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มากับพายุสุริยะ...ก่อให้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง เช่นที่เกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อ 12 มิ.ย. 2553 หลายแห่ง ที่โลกหันเอาพื้นที่โซนนั้นๆไปรับพลังงานจากดวงอาทิตย์ ที่ส่งพายุสุริยะลงมา เนื่องจากเกิดดาวเรียงตัว
    ประการต่อไปเมฆอีเล็กตรอน จะเพิ่มความรุนแรงลงมาสู่พื้นโลก เนื่องจากมีพลังงานคลื่นแม่เหล็กที่หุ้มเปลือกโลกรอคอยอยู่ก่อนแล้ว หนาร่วม 3 เมตร
    สิ่งต่อไปที่พายุสุริยะจะเพิ่มความรุนแรงให้แก่สิ่งแวดล้อมโลก สร้างความแปรปรวนของบรรยากาศทั่วโลก เกิดลมพายุรุนแรง ฝนตกหนัก น้ำท่วม แผ่นดินไหว และภูเขาไฟทั้งบนบกและใต้ทะเล เกิดระเบิด เกิดเม็กกะสึนามิ ตามมา สิ่งแวดล้อมพิโรธ ในกรณีคลื่นพายุสุริยะนี้ อาจไปตรงกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ของโลก ที่นางมณีเมขลา พยากรณ์ไว้ ใน วันที่ 9 พ.ค. แต่ไม่ระบุ พ.ศ. โดยตรง
    ส่วนความแรงของพายุสุริยะ ในรอบ 11 ปีคราวนี้ จะถึงกับมีผลให้แกนโลกพลิกกลับขั้วนั้น ยังไม่แน่นอน โลกมีแนวโน้ม พลิกขั้ว ตอนที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ สวนทางเฉียดใกล้กับดาวหาง ตอนปลายปี 2012 นั้นมากกว่า เนื่องจากดาวหางมีขนาดใหญ่กว่าโลกราว 2 เท่าตัวที่นอสตราดามูส กล่าวไว้ แถมยังมีดาวบริวารขนาดใหญ่อีก 5 ดวง และโคจรสวนทางกับโลก ในช่วงที่ดาว ทั้ง 10 ดวงมาเรียงตัวกัน ในเพลนของกาแลกซี่ทางช้างเผือก
    ร่วมกันยิงพลังงานคลื่นแม่เหล็ก ไปสู่ดาวหลุมดำ ในกาแลกซี่ทางช้างเผือก เพื่อสร้างแรงโต้ตอบกลับมา สู่ดาวทุกดวงรวมทั้งดวงอาทิตย์ด้วย แรงผลักกลับมาอย่างมหาศาลนี้ จะส่งให้สุริยะจักรวาล ไปสู่แรงดึงดูดของกาแลกซี่ไตรแองกุลัมอย่างเต็มตัว ส่งโลกเข้าสู่สิ่งแวดล้อมใหม่รับพลังงานที่ดีจากกาแลกซี่ไตรแองกุลัมไปอีก 13,000 ปี คล้ายสมัยต้นพุทธกาล


    ภาพแสงเหนือที่เกิดจากพายุสุริยะทำอันตรกริยากับชั้นบรรยากาศโลก (Tom Walker / Getty Images/Discovery)

    ปี พ.ศ.2402 เป็นปีที่โลกต้องจดจำ ถึงผลกระทบจาก “พายุสุริยะ” ซึ่งทำให้การสื่อสารขัดข้องเป็นวงกว้าง เมื่ออนุภาคที่ส่งตรงจากดวงอาทิตย์ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าในระบบเสาส่งโทรเลขไป ทั่วโลก และหลายพื้นที่ยังเกิดแสงออโรราทั้งที่ปกติจะพบเฉพาะแถบขั้วโลก

    เมื่อวันที่ 28 ส.ค.2402 เกิดแสงออโรราเหนือท้องฟ้าสหรัฐฯ ที่สว่างจนบางคนนึกว่าเมืองเกิดเพลิงไหม้ ขณะเดียวกันเครื่องมือวิทยาศาสตร์ทั่วโลก บันทึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโลกชั่วขณะ และระบบการสื่อสารขัดข้องจากกระแสไฟฟ้าที่รบกวนเสาส่งโทรเลข จากนั้นในวันที่ 1 ก.ย. ริชาร์ด ซี.คาร์ริงตัน นักดาราศาสตร์อังกฤษพบจุดมืดกลุ่มหนึ่งบนดวงอาทิตย์

    เพียง 17 ชั่วโมงหลังคาร์ริงตันพบจุดมืด ก็ปรากฏแสงออโรราระลอกที่ 2 ที่สหรัฐฯ ซึ่งสว่างมากจนเปลี่ยนกลางคืนให้กลายเป็นกลางวัน และยังเห็นไปจนถึงประเทศปานามาซึ่งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ความสว่างที่เกิดขึ้นมากพอให้ผู้คนอ่านหนังสือพิมพ์ภายใต้แสงสีแดงและเขียว ได้ และระบบส่งโทรเลขทั่วสหรัฐฯและยุโรปไม่สามารถทำงานได้อีกครั้ง

    จากการศึกษาของ บรูซ สุรุทานิ จากห้องปฏิบัติการจรวดขับเคลื่อนความดัน ของนาซา พบว่า พายุสุริยะเมื่อ 151 ปีก่อนนี้รุนแรงกว่าเมื่อปี 2532 ที่ทำให้ไฟดับทั่วแคนาดามากถึง 3 เท่า

    อย่างไรก็ดี ปกติสนามแม่เหล็กโลกจะช่วยปกป้องอันตรายจากลมสุริยะหรือพายุสุริยะได้ในบาง ครั้ง แต่ในกรณีนี้ เกราะป้องกันของโลกทำงานล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

    (อ้างอิง : Scientific American/ Space.com)



    ภาพถ่ายดาวเทียมจากนาซา เผยสนามแม่เหล็กโลกที่ปกป้องดาวเคราะห์ของเราจากลมสุริยะ มีรอยแยกขนาดใหญ่ 2 แห่งหนาถึง 6,400 กิโลเมตร ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เกิด "แสงออโรรา" ที่สว่างจ้า หรืออาจเกิดการรบกวนการสื่อสารของดาวเทียมและสถานีภาคพื้นดิน ทั้งนี้พบรอยแยกดังกล่าวตั้งแต่กลางปี โดยอนุภาคมีประจุรั่วเข้าชั้น บรรยากาศโลกได้มากถึง 20 เท่าของยามปกติ

    สำนักข่าวเอพีรายงานว่า กลุ่มดาวเทียมธีมิส (Themis: Time History of Events and Macroscale Interactions during Substorms)


    จำนวน 5 ดวงของ องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ได้พบรอยแยกขนาดใหญ่ ในสนามแม่เล็กโลก ซึ่งคอยปกป้องโลกจากระเบิดอนุภาคที่มีประจุของดวงอาทิตย์ และจากการสำรวจของดาวเทียมเผยให้เห็นว่า สนามแม่เหล็กโลกมีรอยแยก 2 แห่ง เปิดช่องให้ลมสุริยะ (solar wind) ซึ่งเป็นกระแสของอนุภาคมีประจุที่ประทุออกมาจากดวงอาทิตย์ แทรกสู่บรรยากาศชั้นของโลกด้วยความเร็ว 1.6 ล้านกิโลเมตรต่อชัวโมง

    ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ทราบมานานแล้วว่า สนามแม่เหล็กโลกซึ่งช่วยปกป้องโลกจากสภาพอากาศอันเลวร้ายของอวกาศนั้น อยู่ในสภาพคล้ายบ้านโทรมๆ ที่อยู่ท่ามกลางลมพายุ ซึ่งบางครั้งสนามแม่เหล็กโลกก็เปิดโอกาสให้อนุภาคมีประจุจากดวงอาทิตย์เข้า มาสร้างความรุนแรงได้ และรอยแยกที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นสาเหตุของแสงออโรรา (aurora) หรือแสงเหนือใต้ที่สว่างเจิดจ้า หรืออาจก่อให้เกิดการรบกวนการสื่อสารของดาวเทียมหรือสถานีภาคพื้นได้

    เมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ดาวเทียมธีมิสพบชั้นอนุภาคมีประจุจากดวงอาทิตย์ ซึ่งอยู่ส่วนนอกของชั้นบรรยากาศโลก ในส่วนแมกเนโทสเฟียร์ (magnetosphere) และมีความหนาอย่างน้อย 6,400 กิโลเมตร แต่ มาริท โออีโรเซท (Marit Oieroset) นักวิทยาศาสตร์ในโครงการดาวเทียมธีมิสจากมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย (University of California) สหรัฐฯ ระบุว่า รอยแยกดังกล่าวไม่คงอยู่ถาวร โดยก่อนหน้านั้นเมื่อปีที่แล้วก็พบรอยแยกของสนามแม่เหล็กโลกแต่คงอยู่แค่ ประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

    ทางด้านสเปซเดลี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสนามแม่เหล็กโลกว่า เป็นเหมือนเกาะกำบังอนุภาคที่ส่งมาอย่างต่อเนื่องจากดวงอาทิตย์ เนื่องจากอนุภาคที่ไหลมาจากดวงอาทิตย์นั้นมีประจุไฟฟ้าทั้งอยู่ในรูปไอออน และอิเล็กตรอน จึงไวต่อแรงแม่เหล็ก และส่วนใหญ่ถูกสะท้อนออกไปโดยสนามแม่เหล็กโลก อย่างไรก็ดี สนามแม่เหล็กของเราก็เป็นเพียงเกราะกำบังที่มีรอยรั่ว และจำนวนอนุภาคที่รั่วไหลเข้ามาก็ขึ้นอยู่กับทิศของสนามแม่เหล็กดวงอาทิตย์

    "การค้นพบครั้งนี้พลิกความเชื่ออันยาวนาน เกี่ยวกับการรบกวนของอนุภาคมีประจุจากสุริยะว่า จะเกิดขึ้นรุนแรงอย่างไรและเมื่อไหร่ และการค้นพบนี้ยังนำไปใช้ทำนายว่า เมื่อไหร่จะเกิดพายุสุริยะรุนแรง จากผลในครั้งนี้เราคาดว่าจะเกิดพายุสุริยะรุนแรงในช่วงวัฎจักรสุริยะ (solar cycle) ที่กำลังจะเข้ามา" วาสซิลิส แองเจโลพัวลอส (Vassilis Angelopoulos) ผู้ตรวจสอบหลักปฏิบัติการธีมิสจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียกล่าว

    ส่วนเอพียังให้คำอธิบายจากโออีโรเซทว่า นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเบื้องต้นรอยแยกขนาดใหญ่นี้เกิดขึ้นจากสนามแม่เหล็ก โลกและสนามแม่เหล็กดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกัน และข้อมูลจากดาวเทียมธีมิสก็พบว่าสนามแม่เหล็กของโลกและดวงอาทิตย์อยู่ตรง ข้ามกันจริง และมีลมพายุสุริยะผ่านโลกมากกว่าปกติ 20 เท่า เมื่อเทียบกับครั้งที่สนามแม่เหล็กของโลกและดวงอาทิตย์อยู่ในแนวเดียวกัน

    ก่อนหน้านี้ยานอวกาศอื่นๆ ทำได้เพียงเก็บตัวอย่างเล็กๆ ของชั้นอนุภาคมีประจุภายในสนามแม่เหล็กโลก แต่ดาวเทียมทั้ง 5 ดวงในโครงการธีมิสสามารถเก็บข้อมูลมาขยายผลได้มากกว่า อย่างไรก็ดีแม้ทราบขนาดการรั่วไหลเข้ามาอนุภาคจากลมสุริยะแล้ว แต่ทีมนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบตำแหน่งที่เกิดการรั่วไหล

    ทั้งนี้ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบตำแหน่งรอยแยกของสนามแม่เหล็กคือ หลี่ เหวินฮุย (Wenhui Li) จากมหาวิทยาลัยนิวแฮมป์ไชร์ (University of New Hampshire) สหราชอาณาจักร พร้อมด้วยคณะ โดยใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์เพื่อค้นหา 2 รอยแยกที่เกิดขึ้นบ่อยๆ กับสนามแม่เหล็กโลก รอยแยกหนึ่งอยู่บริเวณละติจูดสูงทางซีกฟ้าเหนือ และอีกรอยแยกอยู่บริเวณละติจูดทางซีกฟ้าใต้ โดยรอยแยกก่อตัวขึ้นบนโลกด้านกลางวัน ซึ่งเป็นด้านที่สนามแม่เหล็กประจันหน้ากับดวงอาทิตย์

    สเปซเดลีระบุด้วยว่า แบบจำลองของหลี่ยังแสดงให้เห็นว่ารอยแตกของสนามแม่เหล็กก่อตัวขึ้นได้อย่าง ไร เมื่ออนุภาคมีประจุไหลออกจากดวงอาทิตย์ อนุภาคเหล่านั้นก็นำสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ผ่านมายังโลกด้วย ทำให้เกิดการต้านสนามแม่เหล็กโลกตลอดการเส้นทางของสนามแม่เหล็กสุริยะ

    แม้ว่าที่ตำแหน่งเส้นศูนย์สูตรสนามเหล็กทั้งสองมีทิศทางเดียวกัน แต่ที่ละติจูดสูงๆ สนามแม่เหล็กทั้งสองชี้ไปในทิศทางตรงกันข้าม เมื่อเกิดแรงบีบอัดสนามแม่เหล็กที่มีทิศทางตรงกันข้ามเข้าด้วยกัน และเกิดการเชื่อมโยงที่เรียกว่า "การเชื่อมต่อใหม่ของสนามแม่เหล็ก" (magnetic reconnection) ซึ่งตามการศึกษาของหลี่และคณะ กระบวนการนี้ทำให้เกิดรอยแยกบนสนามแม่เหล็กโลก และเชื่อมโยงสนามแม่เหล็กสุริยะระหว่างรอยแยกทั้งสองกับสนามแม่เหล็กโลก แล้วนำเอาอนุภาคมีประจุจากดวงอาทิตย์เข้าไปในชั้นแมกเนโทสเฟียร์ของโลก.

    จากข้อมูลที่ปรากฏ บ่งชี้ชัดว่า CME ในรอบวัฏจักร 11 ปี ในเดือน พ.ค. 2013 อาจสร้างความเสียหายอย่งมากมายแก่โลก และพร้อมกันนี้ ต้องวกกลับไปทบทวนพยากรณ์ของนางมณีเมขลา ด้วย

    http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9510000148443

    แต่กว่าจะเข้าสู่ยุคใหม่ โลกและสรรพสัตว์ยังต้องเผชิญอันตรายอีกหลายวาระ รวมทั้งมหันตภัยครั้งใหญ่ ที่เกิดพายุสุริยะ ราวต้นเดือน พ.ค. 2013 หรือ 2556 นั่นเอง

    พลังงานจากดาวหลุมดำที่จะส่งสุริยะจักรวาล ไปสู่แรงดึงดูดของกาแลกซี่ไตรแองกุลัมนั้น พร้อมๆกับโลกโคจรเฉียดกับดาวหาง มีผู้หยั่งรู้ว่าจะทำให้แกนของโลกหมุนไป 90 องศา สถาปันนาขั้วโลกเหนือให้กับแกนพลังงานโลกใหม่ โดยขั้วโลกเหนือจะไปอยู่ที่สฟริงซ์ ที่อียิปต์ และมีความเกี่ยวเนื่องกับอาณาจักรแอตแลนตีส ที่มีโอกาสลอยพ้นน้ำทะเลกลับมาอีกวาระหนึ่ง

    พร้อมๆกับอีกหลายๆแห่งจมลงใต้ทะเล ช่วงระยะเวลา 2556 -2562 โลกคงต้องเผชิญภัยพิบัติหลายวาระ ในเรื่องต่างๆกัน กว่าจะพบกับรุ่งอรุณของวันใหม่ ของโลกยุคใหม่ ที่พระพุทธองค์ได้ตระเตรียมงานล่วงหน้ามานับพันๆปี เพื่อเปิดวัดในมิติใหม่

    ที่เอื้ออำนวยสำหรับพัฒนาจิตมนุษย์ให้เกิดพระอริยะเจ้าอีก 700,000 รูป ตามที่ได้ทรงพยากรณ์ไว้ในคำภีร์โบราณ ที่บันทึกเอาไว้โดยหลวงปู่พระมหากัสสปะ เมื่อ 2 พันกว่าปีที่แล้ว

    ช่วงที่แกนโลกจะหมุนไปอีก 90 องศา ชาวดาวอังคารรับภาระที่จะช่วยโลกมนุษย์ให้เกิดผลกระทบให้โลกเสียหายให้น้อยที่สุด ส่วนวิธีการจะเป็นอย่างไรนั้น ไม่ได้รับรายละเอียดในการปฏิบัติงาน นอกจากผู้สนใจ จะติดตามสอบถามในบางแง่มุมที่ต้องการจะทราบ

    แต่คร่าวๆก็คือ ให้การหมุนย้ายแกนค่อยๆเปลี่ยนไป จนขั้วโลกเหนือเข้าอยู่ในตำแหน่งที่กำหนดเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อสร้างแกนพลังงานโลกใหม่ ส่งผลให้พลังงานเส้นแรงแม่เหล็กไม่ต้องมาอุดตัน และหุ้มห่อผิวโลก เพิ่มความร้อนและสร้างความเสียหายอีกนานับประการให้แก่โลก เช่นที่พลโลกกำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 27 มิถุนายน 2556 ข้อมูลจาก
    Piyacheep S.Vatcharobol shared NASA Solar Dynamics Observatory (Little SDO)'s video.
    4 hours ago.ความสำคัญของปฏิกิริยาดวงอาทิตย์มีผลต่อภูมิอวกาศ
    มีผลต่อภูมิอากาศ ลม ไฟฟ้า ฝน น้ำ อุณหภูมิ
    นักวิทยาศาสตร์พบว่า ข้อมูลภูมิอวกาศ สามารถนำมาคาดการณ์ ภูมิอากาศได้

    ความสัมพันธ์ของภูมิอวกาศ กับ ปรากฏการณ์แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด มหาพายุ
    หิมะละลาย... ภาวะโลกร้อน ฯลฯ

    ดาวเทียมแต่ละดวง ก่อนปล่อยใช้เวลาอย่างน้อย ๖ เดือน คำนวนเส้นทาง
    วิศกรชั้นยอดสร้างอย่างเร็ว ๒ ปี
    สถาปนิกชั้นยอดใช้เวลาออกแบบ ๔ ปี
    นักวิทยาศาสตร์คิดวางแผนว่าจะให้มีหน้าที่ทำงานอย่างไรบ้าง อย่างน้อยก้ ๒ ปี
    ผู้บริหารคิดพิเคราะห์ก่อนจะอนุมัติโครงการ อย่างน้อย ๖ เดือน
    นักวิทยาศาสตร์วิจัยวิเคราะห์ก่อนเสนอโครงการ อย่างน้อยที่สุด ๒ ปี

    ดาวเทียมสำรวจอวกาศใช้เวลาคิด วางแผน สร้าง ปล่อย อย่างเร็วที่สุด ๑๑ ปี

    แนวความคิด หลักการ ข้อคิด ทฤษฎี ของ ดร.ก้องภพ อยู่เย็น
    ก้าวล้ำหน้ากว่าใครๆในโลกเท่าที่เคยพบและศึกษามา
    ข้อเขียนของนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ออกมาตามหลังท่านเสมอ
    อะไรที่ท่านชี้แนะ เตือน บอกกล่าว ฟังท่านนะครับ

    เหตุการณ์ทุกอย่าง สามารถอธิบายได้ด้วยปรากฏการณืทางไฟฟ้า
    ฟิสิกไฟฟ้า ไม่ได้อยากเย็นกว่าที่คิด สิ่งที่เราๆเห็นตามสื่อต่างๆ
    NASA National Geography หรือ นานาสาระทางวิชาการต่างๆ
    ล้วนเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางธุระกิจเป็นหลัก

    ความจริงที่เป็นความจริง จริงๆ เปิดเผยน้อยมาก
    ความจริง จริงๆเปิดเผยสู่สาธารณะ ไม่ถึง ๑ % ของความจริงทั้งหมด

    มาเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานกันนะครับ

    IRIS will advance our understanding of how the enigmatic interface region on the sun powers its dynamic million-degree atmosphere called the corona. IRIS will join the Solar Dynamics Observatory (SDO) which launched in 2010 and NASA/JAXA Hinode (launched in 2006). Together they will explore how the solar atmosphere works and impacts Earth – SDO and Hinode monitoring the solar surface and outer atmosphere, with IRIS watching the region in between. This movie shows a full disk movie of the corona as seen by SDO with movies of the surface of the Sun, called the photosphere, and the chromosphere as seen by Hinode.See More
    NASA IRIS - Launch Delay to June 27, 2013
    You might have heard - the NASA IRIS mission is being delayed by 24 hours and is scheduled to launch on Thursday now.

    IRIS will advance our understanding of how the enigmatic interface region on the sun powers its dynamic million-degree a...tmosphere called the corona. IRIS will join the Solar Dynamics Observatory (SDO) which launched in 2010 and NASA/JAXA Hinode (launched in 2006). Together they will explore how the solar atmosphere works and impacts Earth – SDO and Hinode monitoring the solar surface and outer atmosphere, with IRIS watching the region in between. This movie shows a full disk movie of the corona as seen by SDO with movies of the surface of the Sun, called the photosphere, and the chromosphere as seen by Hinode.

    Credit: NASA SDO; NASA/JAXA Hinode; GSFC

    Capture.JPG

    https://www.facebook.com/photo.php?v=527314307315797 คลิกที่ข้อความนี้น่ะครับเพื่อรับชมวีดีโอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2013
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประวัติพระสมันตภัทรโพธิสัตว์

    พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ มีหลายพระนามดังนี้ พระโพธิสัตว์ผู่เสียน , ผู่เซี่ยนผู่ซา , โผวเฮี้ยงผ่อสัก เป็นต้น พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ทรงประทับอยู่บนหลังช้าง เป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่เปรียบดังเช่น พระโพธิสัตว์ ต้องรับภาระอันหนักอึ้ง ที่จะนำเวไนยสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย เปรียบดังช้าง ที่เป็นไปด้วยแรงของกิเลสตัณหา พระโพธิสัตว์ดังควาญช้างซึ่งมีหน้าที่ฝึกปรือให้ช้างนั้นเชื่อง มีความอ่อนโยน และควาญช้างนั้น สามารถนำช้างไปสู่จุดหมายปลายทางได้พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ บ้างก็เรียกท่านว่า พระโพธิสัตว์แห่งมนตรา เป็นพระโพธิสัตว์ ที่ถือกำเนิด จากพระไวโรจนพุทธเจ้า ในนิกายตันตระบางนิกาย ถือเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เพราะทรงประทาน ความรุ่งเรือง และความสงบสุขให้แก่ชาวโลก วันประสูติของพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ คือ วันที่ 21 เดือน 2 ตามจันทรคติแบบจีน

    พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ทรงได้ชื่อว่า เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ทรงเป็นเลิศในทางจริยาและมหาปณิธาน ด้วยทรง มุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ ซึ่งถือเป็นภาระอันหนักหน่วง ภาพพระปฏิมา ของพระองค์ จึงทรงคชสารเป็นช้างเผือก 6 งา (คัมภีร์มหายานเรียกว่า ช้างฉัททันต์) เพราะถือว่าช้าง เป็นสัตว์ที่ทรหดอดทน เป็นการอุปมาอุปไมยถึง การโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้ทั้งหมดว่าเป็นงานที่ยากแสนเข็ญ ต้องใช้ความอดทนอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเอาชนะกิเลส และตัณหาของสัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวงพระนามของท่านมีความหมายว่า “ความปรารถนาดีอันประเสริฐที่สุด แห่งพิภพ”ประวัติของท่านมีด้วยกันหลายตำนาน ซึ่งจะขอยกตัวอย่างมาดังต่อไปนี้
    คัมภีร์หัวเหยียนจิง ของจีนกล่าวว่า พระโพธิสัตว์ผู่เสียนคือบุตรชายคนโตของพระยูไล ว่ากันว่า ในบรรดา พระทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ผู่เสียนคือ พระองค์แรก
    คัมภีร์เปยหัวจิง ของจีนกล่าวว่า พระโพธิสัตว์ผู่เสียน คือ บุตรองค์ที่แปด ของ พระอมิตาภะพุทธเจ้า มีศักดิ์เป็นพี่น้องกับ พระโพธิสัตว์เหวินซู และ พระโพธิสัตว์กวนอิม

    คัมภีร์เสี่ยวเชิ่งจิง กล่าวว่า ในสมัยก่อนมีกษัตริย์พระองค์หนึ่งนาม เมี่ยวจวง มีพระธิดาสามพระองค์ พระโอรสหนึ่งพระองค์ พระธิดาองค์โต ภายหลังเป็นพระโพธิสัตว์เหวินซู พระธิดาองค์รองภายหลังเป็นพระโพธิสัตว์ผู่เสียน พระธิดาองค์เล็ก ภายหลังเป็น พระโพธิสัตว์กวนอิม และพระโอรส ภายหลังเป็น พระโพธิสัตว์ตี้จั้งหวัง
    องค์ผู่เสียน ชาวจีนโบราณขนานนามท่านว่า “ผู่เสียนผู้เป็นใหญ่แห่งความเพียร” ผู้กราบไหว้ พระโพธิสัตว์ผู่เสียน มักขอพรให้ตนเองประสบความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน หรือ การประกอบธุรกิจ ผู้กราบไหว้บูชามักสมหวังดังสิ่งที่อธิษฐานขอ ทั้งนี้จากรูปลักษณะ ขององค์ผู่เสียน พระหัตถ์ซ้าย จะถือหยก หรูยี่ (หยกแห่งความสมหวัง และ อำนาจ) ในประเทศจีนเชื่อกันว่าพระโพธิสัตว์ผู่เสียน สถิตอยู่ ณ เทือกเขาง๊อไบ๊ (ภาษาจีนกลางเรียก เทือกเขา เอ๋อร์เหม๋ยซาน)
    พระโพธิสัตว์ผู่เสียน สถิตอยู่ ณ เทือกเขาง๊อไบ๊

    พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ทรงสอนไว้ว่า พึงเคารพบูชาพระพุทธเจ้าทั้งปวง การเคารพบูชาพระพุทธเจ้านั้น จะต้องเป็นการเคารพบูชา อันประกอบด้วย กาย วาจา ใจ (อันแน่วแน่ และบริสุทธิ์เปี่ยมด้วยความตั้งใจ) ที่สมบูรณ์พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ทรงตรัสไว้ว่า "พระพุทธเจ้า ที่พึงเคารพบูชานั้นมีจำนวนมากมายมหาศาล (เกินสติปัญญาของมนุษย์จักประมาณได้) ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อาศัยปณิธานแห่งข้าพเจ้า (พระสมันตภัทร์) ข้าพเจ้าเชื่อโดยปราศจากข้อกังขาใด ๆ (ประดุจดัง พระพุทธเจ้าทั้งปวงเสด็จมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักอภิวาทบูชาด้วย กาย วาจา ในที่แน่วแน่ บริสุทธิ์ และจักเคารพบูชาเช่นนี้ตลอดไป ในแต่ละพุทธเกษตรอันมีจำนวนมากมายประมาณมิได้ จักปรากฏกาย ของข้าพเจ้า ขึ้นในทุกสถาน และ ทุกกายจักอภิวาทบูชาพระพุทธเจ้า อันมีจำนวนประมาณมิได้เช่นกันหากโลกแห่ง ความว่างเปล่ามีขอบเขตเมื่อใด การบูชาของข้าพเจ้าก็จักสิ้นสุด แต่หากโลกแห่งความว่างนั้นไร้ซึ่งขอบเขต การบูชาพระพุทธเจ้า ก็จักไม่มีวันสิ้นสุดหากโลกของสรรพสัตว์ กรรมของสรรพสัตว์ ทุกข์ของสรรพสัตว์มีที่สิ้นสุด การบูชาของข้าพเจ้าก็จักสิ้นสุด หากว่าโลกของสรรพสัตว์กรรมของสรรพสัตว์ และทุกข์ของสรรพสัตว์ไม่มีที่สิ้นสุด ดั้งนั้น การบูชา ของข้าพเจ้าก็จักไม่มีวันสิ้นสุด ข้าพเจ้าจักเคารพบูชาสืบไปไม่หยุดหย่อน ด้วย กาย วาจา ใจ อย่างไม่อ่อนล้า ไม่เบื่อหน่าย"หากผู้ใดตั้งปณิธานจักบำเพ็ญบารมีตามเสด็จพระพุทธองค์แล้ว พึงตั้งปณิธานและปฏิบัติดั้งนี้ปณิธานข้อที่ 1 เคารพบูชาพระพุทธเจ้าทั้งปวงปณิธานข้อที่ 2 สรรเสริญพระตถาคตทั้งปวงปณิธานข้อที่ 3 ถวายบูชาแด่พระตถาคตทุกพระองค์ปณิธานข้อที่ 4 ขมาอกุศลธรรมทั้งปวงปณิธานข้อที่ 5 อนุโมทนากุศลทั้งหลายปณิธานข้อที่ 6 ทูลอาราธนาให้ทรงแสดงพระธรรมปณิธานข้อที่ 7 อาราธนาให้ประทับอยู่ในโลกต่อไปปณิธานข้อที่ 8 ขอศึกษาพระธรรมให้เจนจบปณิธานข้อที่ 9 ขออนุโลมตามสรรพสัตว์ปณิธานข้อที่ 10 ขออุทิศกุศลทั้งมวลแก่สรรพสัตว์

    พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ มีความหมายคือ ผู้เจริญโดยรอบ ผู้ประเสริฐโดยรอบ บ้างก็เรียกว่าพระวัชรสัตว์ พระองค์ทรงปรากฏเป็นพระมหาจริยาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าทั้งปวง มักจะปรากฏคู่กับพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ในฐานะของหัวหน้าพระโพธิสัตว์ทั้งปวง ในพระสูตรกล่าวว่าพระองค์ทรงเป้นสภาวะของจักรวาล มีความว่างเปล่าและยิ่งใหญ่ประดุจอากาศ ทรงมีมหาปณิธาน ๑o ประการ ที่สาธุชนนิยมสวดสาธยายและยึดถือปฏิบัติมีดังนี้๑.ขอคารวะนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้าทั้งปวง๒.ขอกล่าวสดุดีพระตถาคตเจ้าทั้งปวง๓.ขอถวายสักการะด้วยความยิ่งใหญ่อลังการ๔.ขอขมาสำนึกในความผิดบาปทั้งปวง๕.ขออนุโมทนาในบุญกุศลทั้งปวง๖.ขออาราธนา(พระพุทธเจ้าทั้งปวง)ให้ทรงหมุนเคลื่อนพระธรรมจักร๗.ขออาราธนา(พระพุทธเจ้าทั้งปวง)ให้ดำรงพระชนมชีพอยู่ในโลก๘.ขอศึกษาบำเพ็ญตามพระพุทธองค์๙.ขออนุโลมคล้อยตามสรรพสัตว์ ๑o.ขออุทิศซึ่งกุศลบารมีทั้งปวง(แด่สรรพสัตว์และโพธิญาณ)ด้วยพระมหาปณิธานทั้ง ๑o ประการนี้ สาะชนมหายานจึงถวายสมญาแด่พระองค์ว่า"มหาจริยาโพธิสัตว์" คือ พระผู้มีกิจกรรมและการกระทำที่ประเสริฐและยิ่งใหญ่พระปฏิมาของพระองค์ประทับบนคชสาร ๖ งา หมายถึงพระโพธิสัตว์เป็นผู้มีพละกำลังมากเหมือนช้างสาร สามารถบรรทุกนำพาสรรพสัตว์ให้ข้ามห้วงทะเลแห่งสังสารวัฏได้คราวละมาก ๆ และ ๖ งานั้นหมายถึงบารมี ๖ ประการของพระโพธิสัตว์ที่เป็นเครื่องยังให้บรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้าและช้างเผือกนั้นหมายถึงความเป้นสัตว์ประเสริฐหายากและเป็นสิ่งมงคล ภาพศิลปะโบราณจะวาดคชสารที่ประทับนี้มี ๗ ขา ซึ่งหมายถึงพระพุทธประสูติ ทรงก้าวเดิน ๗ ก้าว แล้วบันลือสิงหนาทอันยิ่งใหญ่ว่า " ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในจักรวาล " ซึ่งถ้าเป็นสัตว์ชนิดอื่นก็มิอาจทำได้เช่นนี้ หรืออาจเปรียบช้างนี้ได้กับมหายานที่สามารถนำพาสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้ทีละมาก ๆทางธิเบตให้พระองค์ทรงถือวัชราวุธในพระหัตถ์ขวา และทรงระฆังวัชระที่พระหัตถ์ซ้ายในนามของ" พระวัชรสัตว์ " ที่แปลว่า สัตว์ผู้มีความแขงแกร่งประดุจเพชร ซึ่งภายในสรรพสัตว์ทั้งปวงก็มีความแข็งแกร่งประดุจเพชร ซึ่งภายในสรรพสัตว์ทั้งปวงก็มีความแข็งแกร่งประการนี้อยู่ หรือก็คือพุทธภาวะนั่นเอง
    วันคล้ายวันโพธิสัตวสมภพคือ วันที่ ๒๑ เดือน ๒ จีน
    เขียนโดย Mahayan ที่ 08:52 ป้ายกำกับ: Phra_jakkapong

    http://buddhamahayan.blogspot.com/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2013
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กำเนิดพระพุทธรูปกริ่ง

    ในอาณาจักรพระเครื่องรางที่นับถือกันว่ามีอานุภาพขลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่นักนิยมพระเครื่อง ฝ่ายพระผง เห็นจะได้แก่ พระผงสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า “สมเด็จวัดระฆัง” ฝ่านพระโลหะ เห็นจะได้แก่พระกริ่ง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ หรือที่เรียกกันว่า “กริ่งปวเรศ” พิธีกรรมสร้างพระผงแต่โบราณมา ต้องมีการทำผงวิเศษ ซึ่งสำเร็จสูตรสนธิ์ต่าง ๆ ที่ขีดเขียนลงบนกระดานชนวนแล้วลบ จนได้ที่เป็นจำนวนผงที่ต้องการสำหรับไว้ผสมกับสารอื่น ๆ พิมพ์เป็นองค์พระ การสร้างพรระโลหะ หรือพระกริ่งก็เช่นเดียวกัน จะต้องลงเลขยันต์ในแผ่นนวโลหะ อันจะเป็นชนวนผสมในการหล่อด้วย เลขยันต์ที่นิยมใช้ลงโดยมาก ท่านนิยมลงด้วยพระยันต์ ๑๐๘ และ นะปฐมัง ๑๔ นะ ว่ากันว่า เป็นตำราขอสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช การสร้างก็ต้องมีพิธีพระพุทธาภิเษก และมีพิธีโหร พิธีพราหมณ์ประกอบก็พระกริ่งปวเรศนี้ เล่ากันมาว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศฯ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงได้ตำราจากสมาเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ ซึ่งทรงได้จากครูบาอาจารย์เก่า ๆ สืบทอดกันมาจากสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศฯ ทรงสร้างพระกริ่งในเบื้องปัจฉิมสมัยแห่งพระชนมายุ แต่สร้างคราวละเล็กละน้อย เชื่อกันว่ามี ๒ ครั้งเท่านั้น ทรงแจกเฉพาะผู้ใกล้ชิด และเจ้านาย ข้าราชการ ประชาชนที่มาสดับพระธรรมเทศนาในวัดบวรนิเวศ ฉะนั้นพระกริ่งปวเรศจึงมีน้อยไม่แพร่หลาย ต่อมาเจ้าคุณเฒ่า วัดมกุฎกษัตริยารามเลียนแบบของพระองค์ไปจัดสร้างขึ้นบ้าง ก็เป็นจำนวนน้อย ภายหลังตำราไปตกอยู่กับพระพุฒาจารย์ (มา) วัดจักรวรรดิราชาวาส ตามปากราษฎรเรียกกันว่า “ท่านเจ้ามา” เป็นพระเถระเชี่ยวชาญทางสมถภาวนา อาจสามารถจุดเทียนระเบิดน้ำลงไปลงตะกรุด ณ ท่าแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัดได้ ต่อมาท่านเจ้ามา ก็ประสิทธิ์ประสาธน์ตำราแก่พระเทพโมลี (แพ ติสฺสเทว) วัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งภายหลังพระเทพโมลีเจริญสมณศักดิ์โดยลำดับ จนได้ครองสมณอัครฐานันดรศักดิ์ที่สมเด็จพระสังฆราชในรัชกาลที่ ๘ พระเทพโมลีได้สร้างพระกริ่งขึ้นเป็นครั้งแรก และได้สร้างติดต่อเรื่อยมาเป็นนิตย์ คราวละมากบ้าง น้อยบ้าง จนถึงดำรงฐานะสมเด็จพระสังฆราช และจำเดิมแต่นั้นก็มีพระเกจิอาจารย์ต่างสำนักเลียนแบบสร้างพระกริ่งกันแพร่หลายพระพุทธลักษณะของพระกริ่ง เป็นแบบพระพุทธรูปมหายานทางประเทศธิเบต และปรากฏว่าในประเทศเขมร ก็มีพระกริ่งแบบนี้เหมือนกัน เราเรียกกันว่า “กริ่งพระปทุม” ประเพณีนิยมสร้างพระกริ่งของไทย คงจะได้ครูจากเขมรเป็นแน่แท้ และมีการสร้างกันในยุคกรุงสุโขทัยแล้ว ที่กล่าวว่าตำราสร้างพระกริ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทร์นี้เดิมเป็นของสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว ก็น่าจะจริง เพราะสมเด็จพระพนรัตองค์นั้น ท่านคงจะได้รวบรวมพิธีการสร้างจากตำรับตำราเก่า ๆ และในสมัยนั้นวัดป่าแก้วก็นับถือกันว่าเป็นสำนักอรัญญิกาวาส – สมถธุรวิปัสสนาธุระอันที่จริงพระกริ่งก็คือ พระปฏิมาไภษัชยคุรุพุทธเจ้านั่นเอง พระพุทธเจ้าองค์นี้เป็นที่นิยมนับถือของปวงพุทธศาสนิกชนฝ่ายลัทธิมหายานนิ่งนัก ปรากฏพระประวัติมาในพระสูตรสันสกฤตสูตรหนึ่ง คือ “พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาราชามูลปณิธานสูตร” แปลเป็นจีนในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ซึ่งขอแปลโดยย่อสู่กันฟังดังนี้ : -สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าพระศากยมุนีพุทธะเสด็จประทับ ณ กรุงเวสาลี สุขโฆสวิหาร พร้อมด้วยพระมหาสาวก ๘,๐๐๐ องค์ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ๓๖,๐๐๐ องค์ และพระราชาธิบดีเสนาอำมาตย์ ตลอดจนปวงเทพ ก็โดยสมัยนั้นแล พระมัญชุศรีผู้ธรรมราชาบุตรอาศัยพระพุทธาภินิหาร ลุกขึ้นจากที่ประทับทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง คุกพระชาณุกับแผ่นดิน ณ เบื้องพระพักตร์ของสมเด็จพระโลกนาถเจ้า ประคองอัญชลีกราบทูลขึ้นว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์โปรดประทานพระธรรมเทศนาพระพุทธนามและมหามูลปณิธาน และคุณวิเศษอันโอฬารแห่งปวงพระสัมมาพุทธเจ้าทั้งหลาย เพื่อยังผู้สดับธรรมกถานี้ ได้รับหิตประโยชน์บรรลุถึงสุขภูมิ” พระบรมศาสดา ทรงรับอาราธนาของพระมัญชุศรีโพธิสัตว์แล้ว จึงทรงแสดงพระเกียรติคุณของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าว่าดูก่อนกุลบุตร จากที่นี้ไปทางทิศตะวันออก ผ่านโลกธาตุอันมีจำนวนดุจเม็ดทรายในคงคานที ๑๐ นทีรวมกัน ณ ที่นั้นมีโลกธาตุหนึ่งนามว่า วิสุทธิไพฑูรยโลกธาตุ ณ โลกธาตุนั้น มีพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระนามว่า ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต พระองค์ถึงพร้อมด้วยพระภาคเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ตรัสรู้ดีชอบแล้วด้วยพระองค์เอง เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้จักโลก เป็นผู้ยอดเยี่ยมไม่มีใครเปรียบ เป็นนายสารถีฝึกบุรุษ เป็นศาสดาแห่งเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมกล่าวสอนสัตว์ ดูก่อนมัญชุศรี ณ เบื้องอดีตภาค เมื่อพระตถาคตเจ้าพระองค์นี้ ยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ พระองค์ทรงตั้งมหาปณิธาน ๑๒ ประการ เพื่อยังความต้องการแห่งสรรพสัตว์ให้บรรลุก็มหาปณิธาน ๑๒ ประการเป็นไฉน๑. ในกาลใด ที่เราได้บรรลุ พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งมีวรกายอันรุ่งเรืองส่องสาดทั่วอนันตโลกธาตุ บริบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักขณะ ๓๒ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ขอให้สรรพสัตว์จงมีวรกายดุจเดียวกับเรา๒. ในกาลใดที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขอให้วรกายของเรามีสีสันดุจไพฑูรย์ มีรัศมีรุ่งโรจน์โชตนาการยิ่งกว่าแสงจันทร์และแสงอาทิตย์ประดับด้วยคุณาลังการอันมโหฬารไพศาลพันลึก ส่องทางให้แก่สัตว์ที่ตกอยู่ในอบายคติให้หลุดพ้นเข้าสู่ที่ชอบตามปรารถนา๓. ในกาลใดที่เราบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ขอให้เราได้ใช้ปัญญาโกศลอันล้ำลึกสุขุมไม่มีที่สิ้นสุด ยังสรรพสัตว์ให้ได้รับโภคสมบัตินานาประการ อย่าได้มีความยากจนใด ๆ๔. ในกาลใดที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสัตว์ใดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็ขอให้เรายังเขาให้ตั้งในในสัมมาทิฏฐิโพธิมรรค หากมีสัตว์ใดดำเนินปฏิปทาแบบสาวกยาน ปัจเจกยาน ก็ขอให้เราสามารถยังเขามาดำเนินปฏิปทาแบบมหายาน๕. ในกาลใดที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสรรพสัตว์ใดมาประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยของเรา ก็ขอให้เขาเหล่านั้นอย่าได้มีศีลวิบัติเลย จงบริบูรณ์ด้วยองค์แห่งศีลทั้ง ๓ เถิด หากผู้ใดมีศีลวิบัติ เมื่อได้สดับนามแห่งเรา ก็ขอให้จงบริสุทธิ์บริบูรณ์ดุจเดิม ไม่ตกสู่ทุคตินิรนาบาย๖. ในกาลใดที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสรรพสัตว์มีกายอันเลวทราม มีอินทรีย์อันไม่ผ่องใส โง่เขลาเบาปัญญา ตาบอดหรือหูหนวก เป็นใบ้บ้า หรือหลังค่อม สารพัดพยาธิทุกข์ต่าง ๆ เมื่อได้สดับนามแห่งเรา ก็ขอให้หลุดพ้นจากปวงทุกข์เหล่านั้น มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีอินทรีย์ผ่องใสสมบูรณ์๗. ในกาลใดที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากยังมีสรรพสัตว์อันความทุกข์เบียดเบียนปราศจากที่พึ่งพิงและที่อยู่อาศัย ปราศจากแพทย์และยา ปราศจากวงศาคณาญาติ อันความยกจนข้นแค้นมีทุกข์มาเบียดเบียนแล้ว เพียงแต่นามแห่งเราผ่านโสตเขาเท่านั้น ขอสรรพความเจ็บป่วยจงปราศจากไปสิ้น เป็นผู้มีกายใจอันผาสุก มีบ้านเรือนอาศัยพรั่งพร้อมด้วยธนสารสมบัติ จนที่สุดก้จักได้สำเร็จแก่พระโพธิญาณ๘. ในกาลใดที่เราบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีอิสตรีใดมีความเบื่อหน่ายต่อเพศแห่งตน ปรารถนาจะกลับเพศบุรุษไซร้ มาตรว่าได้สดับนามแห่งเรา ก็จะสามารถเปลี่ยนเพศจากหญิงเป็นชายได้ตามปรารถนา จนที่สุดก็จักได้สำเร็จแก่พระโพธิญาณ๙. ในกาลใดที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เราจงสามารถยังสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากข่ายแห่งมารและเครื่องผูกพันของเหล่ามิจฉาทิฏฐิ ให้สัตว์เหล่านั้นตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิฏฐิ ปละให้ได้บำเพ็ญโพธิสัตว์จริยา จนบรรลุพระโพธิญาณในที่สุด๑๐. ในกาลใดที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตว์เหล่าใดถูกต้องพระราชอาญาต้องคุมขังรับทัณฑกรรมในคุกตะราง หรือต้องบทอาญาถึงประหารชีวิต ตลอดจนได้รับการข่มเหงคะเนงร้าย ดูหมิ่นดูแคลนเหยียดหยามอื่น ๆ เป็นผู้อันความคับแค้นเผาลนแล้ว มีใจกายอันวิปฏิสารอยู่ หากได้สดับนามแห่งเรา ได้อาศัยบารมีและคุณาภินิหารของเรา ขอสัตว์เหล่านั้นจงหลุดพ้นจากปวงทุกข์ดังกล่าว๑๑. ในกาลใดที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตว์เหล่าใดมีความทุกข์ด้วยความหิวกระหายแล้ว ประกอบอกุศลกรรมเพราะเหตุแห่งอาหารไซร้ หากได้สดับนามแห่งเรา มีจิตหมั่นตรึกนึกภาวนาเป็นนิตย์ เราจักประทานเครื่องอุปโภคบริโภคอันประณีตแก่เขา ยังเขาให้อิ่มหนำสำราญ แล้วประทานธรรมรสแก่เขา ให้เขาได้รับความสุข๑๒. ในกาลใดที่เราได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตว์เหล่าใดที่ยากจนปราศจากอาภรณ์นุ่งห่ม อันความหนาวและเหลือบยุงเบียดเบียนทั้งกลางวันกลางคืน หากได้สดับนามแห่งเรา และหมั่นรำลึกภาวนาถึงเราไซร้ เขาได้สิ่งที่ปรารถนา และจักบริบูรณ์ด้วยธนสารสมบัติสรรพอาภรณ์เครื่องประดับ และเครื่องบำรุงความสุขต่าง ๆครั้นแล้วพระบรมศาสดาศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสต่อไป พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านี้มีพระโพธิสัตว์ผู้ใหญ่ ๒ องค์ คือ พระสุริยไวโรจนะและพระจันทรไวโรจนะ เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ช่วยของพระไภษัชยคุรุว่า “ผู้ใดก็ดี ได้บูชาพระพุทธองค์ ด้วยความเลื่อมใสแล้ว ก็จักเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปราศจากภัยบีฑา ไม่ฝันร้าย ศัสตราวุธทำอันตรายมิได้ สัตว์ร้ายทำอันตรายมิได้ โจรภัยทำอันตรายมิได้ ยาพิษทำอันตรามิได้ ฯลฯ” นอกจากนี้ทรงแสดงถึงพิธีมณฑลบูชาพระไภษัชยคุรุอีกด้วยว่า ต้องจัดพิธีมีเครื่องบูชาอย่างนั้น ๆ และประทานพระคาถาบูชาพระไภษัชยคุรุด้วย ในเวลาตรัสพระคาถานี้ พระบรมศาสดาทรงประทับเข้าสมาธิชื่อ “สรวสัตวทุกขภินทนาสมาธิ” ปรากฏรัศมีไพโรจน์ขึ้นเหนือพระเกตุมาลา แล้วจึงตรัสพระคาถามหาธารณีดังนี้“นโม ภควเต ไภษชฺยคุรุ ไวฑูรฺยปรฺภาราชาย ตถาคตยารฺหเต สมอยกฺสมฺพุทฺธาย โอมฺ ไภเษชเย ไภเษชเย ไภเษชย สมุรฺคเตสฺวาหฺ”ครั้นตรัสพระมหาธารณีนี้แล้ว พสุธาก็กัมปนาทหวาดไหว แสงสว่างอันโอฬารก็ปรากฏ สัตว์ทั้งปวงก็หลุดพ้นจากสรรพยาธิ บรรลุสุขสันติอันประณีตแล้ว พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “ดูก่อนมัญชุศรี ถ้ากุลบุตรกุลธิดาใด พยาธิทุกข์เบียดเบียนแล้ว พึงตั้งจิตให้เป็นสมาธิ แล้วนำพระมหาธารณีบทนี้ ปลุกเสกอาหารหรือยา หรือน้ำดื่มครบ ๑๐๘ หน แล้วดื่มกินเข้าไปเถิด จักสามารถดับสรรพปวงพยาธิได้ ฯลฯ” พระสูตรนี้ตอนปลาย ๆ ยังมีเรื่องราวพิสดารอีกมาก แต่จำต้องของดไว้เพียงเท่านี้ เป็นอันว่า ท่านผู้อ่านได้ทราบถึงความศักดิ์สิทธิ์ และความสำคัญของพระพุทธไภษัชยคุรุโดยสังเขปเท่านี้ สำหรับพระคาถาธารณีนั้น ท่านพระคณาจารย์สร้างพระกริ่งไม่ควรละเลย ควรนำมาใช้ปลุกเสกพระกริ่งได้ และควรถือว่าเป็นมนต์ประจำพระกริ่งโดยเฉพาะทีเดียวเมื่อความศักดิ์อภินิหารของพระพุทธไภษัชยคุรุปรากฏตามที่ได้พรรณนามา พวกพุทธศาสนิกชนฝ่ายลัทธิมหายานจึงเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง มีพระพุทธไภษัชยคุรุบูชากันทั่วไปในวัดประเทศจีน ญี่ปุ่น ธิเบต เกาหลี และเวียตนาม ที่สุดจนในประเทศเขมรและประเทศไทย สำหรับประเทศไทย แม้จะนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายสาวกยานลัทธิลังกาวงศ์ แต่ก่อนนั้นขึ้นไปเราก็เคยรับเอาลัทธิมหายานมานับถืออยู่ระยะหนึ่ง เป็นลัทธิมหายานซึ่งแพร่ขึ้นมาจากอาณาจักรศรีวิชัยทางใต้ และที่เผยแพร่มาจากเขมร ไทยเพิ่งจะเริ่มนับถือพระพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ก็เมื่อยุคกรุงสุโขทัยนี้เท่านั้น อาณาจักรศรีวิชัยซึ่งตั้งแว่นแคว้นอยู่บนคาบสมุทรมาลายู ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๒๐๐ – ๑๗๐๐ รวมเวลานานราว ๖๐๐ ปี เป็นอาณาจักรที่เคารพนับถือพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน และนำลัทธิมหายานให้แพร่หลายไปในหมู่เกาะชวา มลายู ตลอดขึ้นมาจนถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนเขมรนั้น ปรากฏว่ามีทั้งลัทธิมหายานและลัทธิพราหมณ์เจริญแข่งกัน กษัตริย์ของเขมรหรือขอมสมัยนั้นบางองค์ก็เป็นพุทธมามกะ บางองค์ก็เป็นพราหมณมามกะ ในราว พ.ศ. ๑๕๔๖ – ๑๕๙๒ กษัตริย์เขมรพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเจ้าสูรยวรมันที่ ๑ ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก จนถึงกับเมื่อสวรรคตแล้วมีพระนามว่า “พระบรมนิวารณบท” พระองค์เป็นเชื้อสายกษัตริย์จากอาณาจักรศรีวิชัย ฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่า ลัทธิมหายานจะไม่เฟื่องฟุ้งขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ แต่ยังมีกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๗๒๔ – ๑๗๔๘ พระองค์ทรงเป็นมหายานพุทธมามกะโดยแท้จริง ทรงพยายามจรรโลงลัทธิมหายาน ซึมซาบเข้าไปในจิตใจของปวงชน ทรงเป็นมหาราชองค์สุดท้ายของเขมร เพราะเมื่อสิ้นรัชสมัยแล้ว เขมรก็เข้าสู่ยุคเสื่อม พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ พระองค์นี้ ปรากฏว่าเป็นผู้สร้างเมืองใหม่ชื่อนครชัยศรี คือปราสาทของพระขรรค์ สำหรับเป็นพุทธสถาน ประดิษฐานพระปฏิมาอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ อันเป็นพระโพธิสัตว์แห่งเมตตากรุณา ที่สำคัญอย่างยิ่งองค์หนึ่งของลัทธิมหายาน ทรงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่พระเจ้าธรณินทวรมัน พระชนก และสร้างปราสาทตาพรหม ประดิษฐานพระปฏิมา ปรัชญาปารมิตา โพธิสัตว์แห่งปัญญา อุทิศแด่พระวรราชมารดา มีจารึกกล่าวว่า ปราสาทตาพรหมเป็นสำหรับพระมหาเถระ ๑๘ องค์ และสำหรับภิกษุอีก ๑,๗๔๐ รูปด้วย แล้วทรงสร้างปราสาทบายน เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปฉลองพระองค์เอง นอกจากนี้ปรากฏในศิลาจารึกตาพรหมว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ได้สร้างโรงพยาบาลคือ “อโรคยาศาลา” เป็นทานทั่วพระราชอาณาจักรถึง ๑๐๒ แห่ง ด้วยทรงเคารพนับถือพระพุทธไภษัชยคุรุยิ่งนัก จึงทรงอนุวัติตามพระพุทธจริยาของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตอนหนึ่งในจารึกตาพรหมของพระองค์ซึ่ง “พันธ์พิทแพทย์” ได้ถอดเป็นภาษาไทยว่า : -“ขอนอบน้อมสักการะ แด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคตรัสรู้พระธรรมและบรรลุถึงซึ่งโลกุตรสุข พระองค์ทรงเป็นศาสดาที่ตรัสรู้ด้วยพระองค์เดียวโดยชอบ พระองค์เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งพระนิรวาณข้าพเจ้าขอวันทาพระชินะไภษัชยคุรุไพฑูรยประภาราชะ พระผู้ประสาธน์สันติแห่งดวงจิตและความสงบ แม้แต่เพียงได้ยินพระนามก็ยังรู้สึกชื่นชมเสียแล้วสรวมชีพศรีสุริยไวโรจนะเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ พระศรีจันทรไวโรจนะเจ้าแห่งดวงศศิธร ขอจงได้โปรดเปล่งรัศมีขจัดความมัวเมาในกิเลสราคะ และอกุศลมูลแห่งประชาสัตว์ให้ปราศไป และให้เบื้องพระเมรุไกรแห่งสมเด็จพระศรีศากยมุนีเป็นเจ้า มีแสงสว่างชำนะกิเลสเหล่านี้”ข้อความในจารึกนี้ แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงซาบซึ้งใน “พระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาราชมูลปณิธานสูตร” ซึ่งข้าพเจ้าแปลตัดยกมาตอนต้นเพียงไร จึงทรงสามารถรำพันถ่ายความรู้สึกศรัทธาปสาทะในพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นออกมาได้อย่างไพเราะและยังทรงสรุปได้อย่างงดงาม คือทรงขอให้พระบวรพุทธศาสนาของพระพุทธองค์ศากยมุนีโคตมะ ศาสดาแห่งมวลพุทธมามกะทั้งฝ่ายสาวกยานและมหายาน พระพุทธองค์ปัจจุบันให้รุ่งเรืองอีกด้วย นอกจากนี้กษัตริย์ “นักก่อสร้าง” พระองค์นี้ยังได้สร้างรูปพระปฏิมา “ชยพุทธมหานาถ” พระราชทานไปประดิษฐานไว้ในเมืองอื่น ๆ ๒๓ แห่ง ทรงสร้างธรรมศาลา ขุดสระน้ำ สร้างถนน จากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้าปรารถนาจะกล่าวว่า กริ่งพระปทุมของเขมรได้สร้างขึ้นอย่างแพร่หลายกว่าทุกยุคในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ นี้ เพื่ออุทิศบูชาแด่พระพุทธไภษัชยคุรุ และได้มีการสร้างบ้างแล้วในรัชสมัยพระเจ้าสูรยวรมันที่ ๑ ในการสร้างนั้นได้มีพิธีลุกเสกประจุฤทธิ์เข้าไปตามกระบวนพิธีลัทธิมหายาน ซึ่งปรากฏในพระพุทธไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาราชมูลปณิธานสูตรนั้น กริ่งพระปทุมจึงมีฤทธานุภาพศักดิ์สิทธิ์ ภายหลังเมื่อลัทธิมหายานเสื่อมสูญ คติการสร้างพระกริ่งยังคงสืบทอดกันมาและกลับมาแพร่หลายในหมู่ชาวไทย ลาว แต่นานวันเข้า ก็ลืมประวัติ วิธีสร้างแบบเดิม ทั้งนี้เพราะพระสูตรมหายานเป็นภาษาสันสกฤต ก็พลอยเลือนหายไปตามลัทธิมหายานด้วย พระเกจิอาจารย์ ท่านจึงได้ดัดแปลงวิธีการสร้างใหม่ตามแบบไสยเวท เช่นการลงยันต์ ๑๐๘ และ นะปฐมัง ๑๔ นะ ในแผ่นโละหะเป็นต้น ซึ่งก็ให้ผลความศักดิ์สิทธิ์ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ถ้ามาตรว่าทำให้ถูกพิธีกรรมใหม่นี้จริง ๆ ส่วนเม็ดกริ่งในองค์พระนั้น สันนิษฐานได้เป็น ๒ ทาง คือทางหนึ่งเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพระพุทธภาวะ อันมีคุณลักษณะอนาทิเบื้องต้นไม่ปรากฏ อนันตะแผ่สร้านอยู่โดยทั่วไป เบื้องปลายก็มิได้ปรากฏ จึงทำเป็นเม็ดกลมอีกทางหนึ่ง ชะรอยจะอนุมัติตามคติที่ว่า แม้เพียงได้สดับพระนามก็อาจให้ได้รับความสวัสดีได้ จึงใช้ประจุเม็ดกริ่งไว้ เพราะเมื่อสั่นองค์พระทุกครั้งก็จะได้บุญ ๒ ต่อ คือผู้สั่นเท่ากับได้เจริญภาวนถึงพระไภษัชยคุรุ ส่วนผู้อื่นที่ได้ยินเสียงกริ่งก็พลอยได้บุญไปตาม ฉะนั้น การสร้างพระกริ่งท่านจึงนิยมสร้างเป็นองค์ติดอยู่ในขันน้ำมนต์ด้วยอีกโสดหนึ่ง เมื่อผู้ที่ต้องการน้ำมนต์ เพียงเอาน้ำตักใส่ขันแล้วอาราธนา ก็จักสำเร็จเป็นน้ำมนต์ขึ้น ข้าพเจ้าได้ยินมาว่า เมื่อครั้งสมเด็จพระวันรัต (แดง) เจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ อาพาธเป็นอหิวาตกโรค มีอาการหนัก สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (ครั้งยังทรงดำรงพระยศเป็นกรมหมื่น) เสด็จไปเยี่ยมพระองค์ท่าน ได้อาราธนาพระกริ่งปวเรศฯ ของสมเด็จพระอุปัชฌาย์ ทำน้ำมนต์ถวายสมเด็จพระวันรัต (แดง) ดื่ม ปรากฏอำนาจมหัศจรรย์ คืออาพาธทุเลาเป็นลำดับ จนกระทั่งหายเป็นปกติ ด้วยวิธีดื่มน้ำพระพุทธมนต์แช่พระกริ่งนี้ ครั้งนั้นสมเด็จพระสังฆราช (แพ) ยังมิได้ทรงอัครสมณศักดิ์ ได้เป็นผู้พยาบาลสมเด็จพระวันรัต (แดง) โดยใกล้ชิด ได้เห็นโดยตลอด ด้วยประการฉะนี้ พระพุทธรูปกริ่งจึงเป็นเหตุให้ชาวบ้านเรียกกันว่า พระหมอ มาแต่โบราณ ซึ่งตรงกับพระนามอันแท้จริงของพระองค์ว่า ไภษัชยคุรุพุทธะ อย่างแปลกประหลาด
    เขียนโดย Mahayan ที่ 06:38 ไม่มีความคิดเห็น: ป้ายกำกับ: Phra_jakkapong

    พุทธศาสนามหายาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2013
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตำแหน่งของจุดดับบนดวงอาทิตย์ วันที่ 27 มิถุนายน 2556

    Capture.JPG
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2013
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข้อมูล วันที่ 27 มิถุนายน 2556
    Piyacheep S.Vatcharobol
    4 hours ago near Bangkok ·
    NASA finds only 10% of potentially threatening near-Earth objects: pleads to public for help
    นาซา ขอให้ภาคประชาชนช่วยตรวจอวกาศหาวัตถุใกล้โลก
    นาซา ตรวจอวกาศพบวัตถุที่โคจรมาใกล้โลก อุกาบาต ดาวหาง ดาวเคราะห์น้อยได้เพียงร้อยละ ๑๐ เท่านั้น อีกร้อยละ ๙๐ หลุดรอด ไม่สามารถตรวจได้หมด จึงขอให้สาธาณะชน ภาคประชาชนมาช่วยนาซาตรวจอวกาศ

    ดาวหางใหม่ๆ อุกาบาตใหม่ๆที่มาเฉียวโลกทุกวนนี้เพิ่มขึ้นมา สังเกตุจากการตั้งชื่อที่จะเอา ค.ศ. ขึ้นหน้า ด้วย 2012 2013

    วัตถุที่เข้าใกล้โลกในระยะ ๒๘ ล้านไมล์ มีผลกระทบกับโลกจากน้อยไปหามาก แม้นมันจะไม่เข้ามาชนโลก

    ทำไมนาซา ถึงต้องเอยปากขอความช่วยเหลือเช่นนี้
    ย้อนไป ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี นาซาไม่มีอุปกรณ์เทคโนโลยี่ทันสมัยมากกว่าปัจจุบัน จำนวนมากกว่าปัจจุบัน แต่ นาซ่าไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือจากภาคประชาชน

    แต่ปัจจุบันหอดูดาว ดาวเทียม คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ ISS ต่างๆเพิ่มมามากมาย นาซ่ายังต้องร้องขอความช่วยเหลือให้ช่วยกันดุ ช่วยกันตรวจตรานะ มันแสดงความผิดปกติที่นาซ่าเป็นห่วงกังวลว่าอาจมีอะไรมาเฉียบชนโลกได้ใช่ไหมครับ?

    ผมวิเคราะห์ได้ว่า นาซ่ายิงปืนนัดเดียวได้นก ๓ ตัว
    ๑. ได้คนมาช่วยตรวจอวกาศ
    ๒. ได้เตือนถึงความผิดปกติ-อันตรายที่จะเกิดขึ้นกับโลก
    ๓. ได้อ้อนของบประมาณสนับสนุนการทำงานเพิ่ม

    ผมถือว่าภัยมันมาใกล้ตัว จวนตัวแล้วนะครับ
    นาซ่าถึงมาร้องขอความช่วยเหลือแบบนี้

    Posted on June 27, 2013 by The Extinction Protocol

    June 27, 2013 – SPACE – NASA said the 10,000th near-Earth object (NEO) has been discovered using the Pan-STARRS-1 telescope in Hawaii. Astronomers spotted asteroid 2013 MZ5 on the night of June 18, marking a significant milestone for the NEO search. The space agency said 90 percent of all NEOs discovered were first detected by NASA-supported surveys. “But there are at least 10 times that many more to be found before we can be assured we will have found any and all that could impact and do significant harm to the citizens of Earth,” said Lindley Johnson, program executive for NASA’s Near-Earth Object Observations Program at NASA Headquarters, Washington. In order to be classified as an NEO, a comet or asteroid must approach Earth at an orbital distance to within about 28 million miles. They range in size from as small as a few feet to as large as 25 miles for the largest NEO. Asteroid 2013 MZ5 is about 1,000 feet across and will never be close enough to Earth to be considered potentially hazardous. “The first near-Earth object was discovered in 1898,” said Don Yeomans, long-time manager of NASA’s Near-Earth Object Program Office at the Jet Propulsion Laboratory in Pasadena, Calif. “Over the next hundred years, only about 500 had been found. But then, with the advent of NASA’s NEO Observations program in 1998, we’ve been racking them up ever since. And with new, more capable systems coming on line, we are learning even more about where the NEOs are currently in our solar system, and where they will be in the future.” About 10 percent of the 10,000 NEOs discovered are larger than six-tenths of a mile, which is roughly the size that could produce global consequences if one struck Earth. However, NASA says its program has found that none of these larger NEOs currently pose an impact threat. NASA said scientists predict there to be about 15,000 NEOs that are one-and-a-half football fields in size, or 480 feet.

    There could be more than a million NEOs that are about one-third of a football field in size. An NEO hitting Earth would need to be about 100 feet or larger in order to cause significant damage in a populated area. The space agency said less than one percent of the 100-foot-sized NEOs have been detected. “These days we average three NEO discoveries a day, and each month the Minor Planet Center receives hundreds of thousands of observations on asteroids, including those in the main-belt,” said Tim Spahr, director of the Minor Planet Center. “The work done by the NASA surveys, and the other international professional and amateur astronomers, to discover and track NEOs is really remarkable.” Earlier this month, NASA announced a grand challenge focused on finding all asteroid threats to human populations. This “Great Challenge”is to ask citizen scientists, along with industry professionals, to focus on detecting and characterizing asteroids and learn how to deal with potential threats. “We will also harness public engagement, open innovation and citizen science to help solve this global problem,” said NASA Deputy Administrator Lori Garver. The space agency also invited industry and potential partners to offer up some ideas on accomplishing NASA’s goals to locate, redirect and explore an asteroid. –Red Orbit

    NASA finds only 10% of potentially threatening near-Earth objects: pleads to public for help | The Extinction Protocol: 2012 and beyond

    image.jpg
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตำนานพระเจ้าเลียบโลกฯ และ รอยเท้าใครฯ โดย เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์
    .
    ตำนานพระเจ้าเลียบโลก เชื่อมร้อยโลก มอญ ม่าน ฉาน และล้านนา
    โดย เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ คอลัมน์ ปริศนาโบราณคดี
    ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 08 เมษายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1599 หน้า 75


    เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่เกิดความคลางแคลงใจยามพบรอยพระบาทประดิษฐานตามที่ต่างๆ คำถามแรกมักหนีไม่พ้นว่า "เป็นของพระพุทธเจ้าจริงหรือ?"

    กับอีกประเภทหนึ่ง มักเกิดความงุนงงเวลาไปกราบพระธาตุเจดีย์ในภาคเหนือ ไฉนแทบทุกแห่งจึงมีตำนานเล่าขานเหมือนกันหมด

    ในทำนองว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาตรัสพยากรณ์ว่าในอนาคตดินแดนแห่งนี้ต้องมีความเจริญรุ่งเรืองในบวรพุทธศาสนา และจบลงด้วยการประทานพระเกศาธาตุใส่กระบอกไม้ไผ่ให้แก่ชนพื้นเมืองทุกครั้ง

    ปริศนาที่ผุดขึ้นกลางทรวงก็คือ พระธาตุเจดีย์ทั่วล้านนากว่า 30 องค์นี้ล้วนแต่มีความเป็นมาเก่าแก่ถึงยุคพุทธกาลทั้งสิ้น แล้วองค์ไหนสร้างก่อนองค์อื่นเล่า?

    รอยพระบาทก็ดี การเสด็จมาตรัสพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าก็ดี ทั้งหมดนี้ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมชิ้นเอกเรื่อง "ตำนานพระเจ้าเลียบโลก"

    ส่วนประเด็นที่จะนำเสนอในที่นี้ ไม่ได้มีเจตนามาชวนให้ท่านถกเถียงกันว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ หากแต่จะชี้ชวนให้เห็นมุมมองใหม่ที่ซ่อนนัยทางสังคมบางอย่าง แอบแฝงไว้ระหว่างบรรทัดหรือใต้บรรทัดนั้นต่างหาก


    ใครเขียนตำนานพระเจ้าเลียบโลก มีจุดมุ่งหมายใด

    ก่อนอื่นต้องขออธิบายคำว่า "พระเจ้า" ในที่นี้มิได้หมายถึง "พระเจ้า" หรือ God ในความหมายของศาสนาคริสต์และฮินดู ในทำนอง "เทพเจ้า"

    หากแต่คนทางเหนือนิยมเรียกพระพุทธเจ้าแบบย่อๆ ง่ายๆ เพียงแค่ "พระเจ้า" เท่านั้น ดังเช่นการขนานนามพระประธานในวิหารว่า "พระเจ้า" หลากหลายหมวด อาทิ พระเจ้าทันใจ พระเจ้าทั้งห้า พระเจ้าทองทิพย์ เป็นต้น

    เดิมนั้นชาวเหนือไม่เคยทราบว่าใครเป็นคนเขียนตำนานพระเจ้าเลียบโลก เหตุเพราะไม่ปรากฏนามผู้แต่ง จึงเข้าใจกันเอาเองว่าเป็นเรื่องจริงที่มีมาตั้งแต่ยุคพุทธกาล กระทั่งนักวิชาการด้านล้านนาศึกษาได้ค้นคว้าที่มาที่ไปจนได้ความชัดเจนว่าวรรณกรรมเรื่อง "ตำนานพระเจ้าเลียบโลก" นี้รจนาโดยพระภิกษุชาวมอญนาม "พระธรรมรส" หรือ "ธรรมรโสภิกขุ" เรื่องของเรื่องคือ

    เมื่อปี พ.ศ.2050 ท่านได้รับการอุปถัมภ์จากกษัตริย์แห่งกรุงหงสาวดีให้เดินทางไปศึกษาดูงานพระพุทธศาสนา ณ กรุงลังกา ทำให้รับรู้เรื่องราวการประดิษฐานพระบรมธาตุเจดีย์และรอยพระพุทธบาทในดินแดนต่างๆ ทั่วสุวรรณภูมิ

    โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตราชอาณาจักรมอญ (สมัยนั้นมอญเป็นรัฐอิสระที่เจริญรุ่งเรือง ไม่ขึ้นกับพม่า) และรัฐใกล้เคียง อันประกอบด้วย ล้านนา ฉาน และสิบสองปันนา ซึ่งรายชื่อพื้นที่การประดิษฐานพระพุทธเจดีย์หรือรอยพระบาทสำคัญในแต่ละท้องถิ่นนี้ได้มีการจดบันทึกเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว ณ สำนักพระหิน หรือมหาเสลอาราม กรุงลังกา โดยเหล่าบรรดาพระภิกษุจากทั่วทุกสารทิศที่ได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษางานพระศาสนายังลังกาก่อนหน้านี้คงช่วยกันแจ้งข้อมูลไว้แล้ว

    น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้พระธรรมรสนำข้อมูลภาคทฤษฎีที่ได้รับทราบ ไปสู่การแกะรอยในภาคสนาม ท่านลงพื้นที่จริงด้วยการจาริกไปตามรายชื่อของบุญสถานนับหลายร้อยแห่งที่ปรากฏ ทั้งภายในราชอาณาจักรมอญตลอดจนถึงดินแดนต่อเนื่องใกล้เคียงเท่าที่จะสามารถเดินทางไปถึงได้ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2060-2066 โดยใช้เวลาธุดงค์ในดินแดนต่างๆ ทั้งสิ้น 6 ปี

    ปี พ.ศ.2066 จึงเริ่มเขียนงานชิ้นโบแดงขึ้นชื่อ "พยาเทสะจารี" อันเป็นภาษามอญ-ม่าน (พม่า) ถือเป็นวรรณนิพนธ์ที่ต้องทุ่มเทความวิริยะอุตสาหะอย่างแรงกล้า มีความยิ่งใหญ่เหนือกว่าวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก น่าตื่นเต้นไม่น้อยที่เมื่อ 500 ปีก่อน พระภิกษุชาวมอญเพื่อนบ้านของเราได้นำเสนองานวิจัยระดับ Ph.D เล่มแรกๆ ของโลก

    "พยาเทสะจารี" ได้รับการแปลเป็นภาษาล้านนาในระยะเวลาต่อมาด้วยชื่อ "ตำนานพระเจ้าเลียบโลก" และยังได้ส่งอิทธิพลให้แก่การเขียน "ตำนานพระอุรังคธาตุ" และ "ลำพระเจ้าเยี่ยมโลก" ของชาวลาวล้านช้างอีกด้วย โดยมีพล็อตเรื่องในทำนองเดียวกัน นั่นคือการเสด็จมาประทานเกศาธาตุตามที่ต่างๆ ของพระพุทธเจ้าพร้อมการตรัสพยากรณ์ยังดินแดนสำคัญที่มีการสร้างพระธาตุเจดีย์หรือมีรอยพระบาท



    พระเจ้าเลียบโลก มาจากไหน และจะไปไหน

    ตํานานพระเจ้าเลียบโลกฉบับภาษาล้านนานี้ "พระมหาโพธิสมภาร" ภิกษุชาวหริภุญไชยได้คัดลอกไว้เมื่อปี พ.ศ.2066 จากต้นฉบับที่พระธรรมรสได้นำติดตัวมาขณะเดินทางจาริกแสวงบุญตามศาสนสถานต่างๆ กระทั่งเข้ามาถึงอาณาจักรหริภุญไชย

    ต่อมาวัดต่างๆ หลายแห่งทั่วภาคเหนือได้คัดลอกต่อๆ กันอีกหลายสำนวน จนถึงขนาดนำไปใช้เป็นคัมภีร์สำหรับ "สวดเทศนา" มีทั้งหมดบ้าง 11 กัณฑ์ บ้าง 12 กัณฑ์ หรือ 11-12 ผูก เนื้อหาโดยรวมกล่าวถึงพระพุทธเจ้าตั้งแต่แรกเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์จนถึง

    พระชาติสุดท้ายที่ทรงบรรลุพระอรหันต์ แล้วเสด็จมาโปรดเวไนยสัตว์ตามสถานที่ต่างๆ ในอุษาคเนย์ฟากตะวันตก พอสรุปเส้นทางย่อๆ ได้ดังนี้

    ผูกที่ 1 หลังจากที่เสด็จโดยญาณวิถี (เหาะ) ออกมาจากกรุงพาราณสี ชมพูทวีปแล้ว จุดแรกที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาเลียบโลกแถวนี้ คือ

    เขตเมืองลี้ เลาะเลียบแม่น้ำปิง ถึงหริภุญไชยนคร ทรงทำนายว่าต่อไปพระพุทธศาสนาจะรุ่งเรืองที่นี่ แล้วเสด็จไปยัง อุจฉุตบรรพต (ดอยสุเทพ) ณ อภินวนคร (เมืองเชียงใหม่) ต่อไปยังปากแม่น้ำสา พระบาทผาชะแคง เมืองเชียงดาว

    เดินทางต่อไปยังเมืองวิเทหะ (หนองแส?) อุตรปัญจนคร (แสนหวี?) จากนั้นเสด็จเสวยภัตตาหารพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 รูป ณ ดอยเวภารบรรพต (พระบาทรังรุ้ง) อันเป็นรอยต่อของ 3 อาณาจักร คือ กรุงโกสัมพี (ฉาน?) หริภุญไชย (สยาม) และเมืองแพรหลวง (จีน?)

    ผูกที่ 2 และ 3 เสด็จมาประทานพระเกศาธาตุบนดอยสิงกุตร ในเขตเมืองหงสาวดีจากนั้นเข้าสู่เขตเมืองเชียงของ เชียงตุง ดอยมหิยังคณะ (เมืองยองในสิบสองปันนา) ฯลฯ

    ผูกที่ 4 และ 5 เสด็จไปยังเมืองฮ่อ เขตยูนนาน แล้วมาเมืองลื้อ เขตสิบสองปันนา และเมืองแข่ (ชาวไตหลงหรือไทหลวง) เป็นต้น ต่อไปยังเมืองลาเหนือ เมืองลาใต้ เมืองเชียงแข็ง ฯลฯ

    ผูกที่ 6 มีความน่าสนใจมาก นอกจากจะเสด็จประทับรอยพระบาทตามสถานที่ต่างๆ แล้ว ยังมีการสอนชาวเมืองให้รู้จักการทำยนต์ผัดน้ำ (ยนต์หมุน) เข้านา

    ผูกที่ 7 ทรงปราบอาฬวกยักษ์ เมืองอาฬวี ให้ถือศีลห้า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และเสด็จไปเทศนายังสถานที่ต่างๆ เขตเขมรัฐ เชียงตุง

    ผูกที่ 8 เสด็จมายังโยนกนาคนคร เชียงแสน เชียงราย ลำปาง พะเยา เป็นต้น

    ผูกที่ 9 เสด็จเลียบแม่ปิงอีกครั้งคล้ายผูกแรก แต่สวนทางกัน ผูกที่ 1 นั้นขึ้นจากใต้สู่เหนือ แต่ผูกนี้ล่องแม่ปิงลงใต้สู่เขตเชียงใหม่ ทรงทำนายว่าต่อไปจะมีมหาอารามหลายแห่ง คือวัดบุปผาราม เวฬุวันอาราม วัดบุพพาราม อโศการาม พืชชอาราม สังฆาราม นันทอาราม และโชติอาราม เน้นว่ามีการบวชของนักบวชพม่า 2 รูปและเรื่องราวของชาวละว้าช่วยกันสร้างพระพุทธรูปดินเผาจำนวน 3,300,000 องค์ ถวายพระพุทธเจ้าแล้วโปรดให้ขุดหลุมฝังดินทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องนี้ผู้สนใจเรื่อง "พระพิมพ์สกุลลำพูน" ควรนำไปใช้ถอดรหัสตีความ

    ผูกที่ 10 กล่าวตรัสพุทธทำนาย ถึงความเจริญและความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในช่วง 5,000 ปี ว่าจะเกิดกลียุคหรือไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก เพราะเทวดาอารักษ์ไม่พอใจในการกระทำของมนุษย์

    ผูกที่ 11 เสด็จไปแดนสิบสองปันนาอีกครั้ง ก่อนเข้าสู่ปรินิพพาน เมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว กล่าวว่ามีการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุเป็นกี่ส่วน มีการสังคายนาพระไตรปิฎกกี่ครั้ง

    ท้ายสุดสรุปข้อมูลว่า มีพระบรมธาตุในอาณาจักรหงสาวดี 52 แห่ง ส่วนอาณาจักรหริภุญไชยมีพระธาตุ 23 แห่ง รอยพระบาท 12 แห่ง สุดท้ายในเขตสิบสองปันนามีพระบาทและพระบรมธาตุรวม 70 แห่ง


    ตำนานห้ามถาม แต่อย่าห้ามเถียง

    เมื่อมีเด็กขี้สงสัยเพียรถามผู้เฒ่าผู้แก่ถึงเรื่องความจริง-เท็จของตำนานพระเจ้าเลียบโลก ว่าเป็นไปได้ล่ะหรือที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จออกมานอกชมพูทวีปด้วยการเหาะ?

    มักจะถูกดุถูกห้ามในทำนองว่า "ยากเกินกว่าอธิบาย" หรือ "เรื่องนี้เป็นอจินไตย (รู้ไปก็ไร้ประโยชน์) อย่ามาเซ้าซี้ถามอีก" และลงท้ายแบบข่มขู่สำทับว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"

    กลายเป็น "ตำนานห้ามถาม" ยิ่งยั่วยุให้เด็กยุคหลังเยาะหยันคนรุ่นก่อนเอาได้ง่ายๆ ว่านอกจากจะใจแคบแล้วยังไม่มีภูมิปัญญาที่จะหาคำอธิบายได้ดีกว่าการออกคำสั่งให้เด็กหุบปาก

    องค์ความรู้ในยุคนี้ ทำให้เด็กของเราหูตากว้างไกล เริ่มรู้ดีว่าพระพุทธเจ้าทรงเดินทางไปประกาศพระพุทธศาสนา (จริงๆ) เฉพาะในเขตแคว้นที่เจริญแล้วในชมพูทวีปเพียง 7 รัฐ เท่านั้น ได้แก่ มคธ โกศล วัชชี อังคะ วังสะ กาสี และอุชเชนี ส่วนมากเป็นแคว้นทางทิศเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และตอนกลางบางส่วน

    สำหรับแคว้นทางตอนใต้สุด ตะวันออกสุด และตะวันตกสุดของอินเดีย เป็นการยากที่จะให้พระพุทธศาสนาหยั่งรากลงได้ เพราะเป็นเขตที่ศาสนาพราหมณ์ยังมั่นคงแข็งแรงอยู่ แม้แต่ในที่ที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ก็ยังมีศาสนาพราหมณ์และศาสนาเชนแทรกซึมอยู่ทุกแห่ง

    ฉะนั้น คำถามที่ว่า "พระพุทธเจ้าเสด็จมาเลียบโลกตามแว่นแคว้นสุวรรณภูมิด้วยพระองค์เองจริงหรือไม่" นั้น ย่อมมีคำตอบกระจ่างชัดอยู่ในตัวเองดีอยู่แล้ว

    เอาเถิด ใครที่ปักใจเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง สะท้อนว่าคนผู้นั้นมีศรัทธานำปัญญา ก็ไม่ใช่เรื่องผิด ไม่มีความจำเป็นต้องไปต้อนให้เขาจนมุม ด้วยการหาเหตุผลอะไรมาอธิบาย เพราะอันที่จริงวัตถุประสงค์ของผู้แต่งนั้นตั้งใจจะใช้ "บุคคลาธิษญาณ" ให้เกิด "ธรรมาธิษฐาน" ต่างหาก

    หมายความว่า ขณะที่เราก้มกราบสักการะพระธาตุเจดีย์หรือรอยพระบาทแห่งใดก็ตาม พลันเกิดความปีติศรัทธาที่จะทำความดีตามรอยพระพุทธองค์ ก็เสมือนว่ามีพระพุทธเจ้ามาประทับอยู่ ณ แห่งนั้นจริงในความรู้สึก



    โลกไร้พรมแดนของมอญ ม่าน ฉาน ล้านนา

    ในอดีต "ตำนานพระเจ้าเลียบโลก" เคยถูกดูแคลนว่าเป็นนิทานหลอกคนไร้การศึกษาให้หลงงมงาย นักวิชาการไม่น้อยกล่าวประณามถึงขั้นว่าเป็นตำนานโกหกทุศีลจาบจ้วงล่วงเกินองค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า

    แต่ทว่ามุมมองของปราชญ์ล้านนายุคใหม่ กลับยกย่องว่านี่คืองานวรรณกรรมชิ้นเอกของพระภิกษุมอญ ที่ลงทุนเดินทางจาริกแสวงบุญด้วยความเหนื่อยยาก และยังมีความสามารถผูกตัวบทให้เชื่อมโยงระหว่างพุทธประวัติเข้ากับภูมิสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาในแถบสุวรรณภูมิตอนบนอย่างแนบเนียน จนเสมือนเป็นเรื่องที่น่าจะเกิดขึ้นจริง ถือเป็นพุทธตำนานฉบับท้องถิ่นที่สานร้อยสายสัมพันธ์ของชนเผ่ามอญ-ไท-ชาวเขาในดินแดนล้านนา สิบสองปันนา ไทใหญ่เข้าด้วยกัน

    การเชิดชูสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสามารถโยงใยบ้านเล็กเมืองน้อย ให้เป็นแผนที่ใน "โลก" ของชนเผ่าชาวพุทธที่ไปมาหาสู่กันจนเป็น "อาณาจักร" หรือ "โลก" เดียวกัน คือความสัมพันธ์ระหว่างพี่ๆ น้องๆ เพื่อนบ้านชาวอุษาคเนย์ที่มีปฏิสัมพันธ์กันมาเนิ่นนานก่อนการแบ่งแยกอธิปไตยเหนือดินแดน เป็นไทย เป็นพม่า เป็นจีน เป็นลาว อย่างน่าชิงชังดังเช่นทุกวันนี้

    สมัยก่อนเราต่างมีความผูกพันกันมิใช่แค่เพียงโลกของผลประโยชน์แบบหยาบๆ ในเชิงรูปธรรม เช่น การเมือง เศรษฐกิจเท่านั้น แต่ชาวอุษาคเนย์ยังมีความผูกพันร่วมกันไปถึงเรื่องของมโนทัศน์ ธรรมทัศน์ ซึ่งเป็นเรื่องของจิตวิญญาณที่ร่วมกันอีกด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของพระพุทธศาสนานั้นมีบทบาทอย่างสำคัญต่อการเชื่อมร้อยให้ผู้คนต่างเผ่าหลากพันธุ์สามารถเข้ามาเป็นหมู่เป็นพวกเดียวกันได้อย่างละมุนละไม ไม่รังเกียจเดียดฉันท์กัน

    ดังนั้น ตำนานพระเจ้าเลียบโลกจึงไม่ใช่เป็นเพียงตำนานที่ให้ข้อมูลเรื่องชื่อบ้านนามเมืองของแว่นแคว้นพระพุทธศาสนาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนนัยถึงกลุ่มคนในดินแดนต่างๆ ว่ามนุษยชาติทั้งหมดนี้ล้วนมีศักดิ์ศรีและมีเกียรติเสมอกันด้วย

    เห็นได้จากการที่พระพุทธองค์เสด็จไปยังแต่ละท้องถิ่น มักพบกับกลุ่มคนที่ "ต่ำต้อย" ที่สุดในสังคมก่อนเป็นพวกแรก นั่นคือ ชาวลัวะ กะเหรี่ยง เม็ง ขมุ ข่า ทมิฬ มิลักขะ อาฬวี หรือแม้แต่ "ยักษ์" ล้วนเป็นตัวละครที่มีโอกาสใกล้ชิดกับพระพุทธองค์ กลุ่มคนเหล่านี้ถูกทำนายให้ร่วมรับรู้การตรัสพยากรณ์เสมอ

    จะเห็นว่าพระพุทธองค์ไม่เคยเสด็จไปพบกับเจ้าเมือง พระราชา หรือชนชั้นสูงของแต่ละเมืองเลย

    วรรณกรรมชิ้นนี้จึงมิได้เขียนขึ้นเพื่อตอบสนองสังคมศักดินา หรือขีดวงจำกัดเฉพาะคนในชาติพันธุ์มอญ-ฉานหรือไทสามกลุ่มที่พระธรรมรสต้องนำไปรายงานให้พระเจ้ากรุงหงสาวดีทราบเท่านั้น

    หากแต่ยังได้สร้างเรื่องเล่าของคนชายขอบจากกลุ่มอื่นเข้าไว้ในความทรงจำของตน ด้วยศักดิ์ศรีและฐานะที่เท่าเทียมกัน


    เพราะเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังสถานที่ใด ดินแดนที่พระองค์เสด็จไปนั้นย่อมมีความเจริญขึ้นด้วยสมบัติ 2 สถาน คือโลกียธรรมและโลกุตรธรรม

    หากเสด็จไปเมืองใหญ่ที่มีความเจริญอยู่แล้ว มักตรัสพยากรณ์ว่าจะมีพระธาตุเจดีย์อุบัติขึ้น ส่วนหากเป็นดอยสูงในเขตป่าเขา ทรงประทับแค่รอยพระบาทเท่านั้น เหตุเพราะปัจจัยแวดล้อมไม่เอื้อให้สร้างพระธาตุเจดีย์ได้

    ภาพความสัมพันธ์ของสังคมวัฒนธรรมขนาดใหญ่ครอบคลุมภูมิภาคกว้างไกลในบริเวณลุ่มแม่น้ำอิรวดี-สาละวิน-โขง คือฉากอันตระการที่ปรากฏอยู่ใน "ตำนานพระเจ้าเลียบโลก" ที่เมื่อเราหันกลับไปมองแผนที่โลกใบนั้นด้วยสายตาคนปัจจุบันนี้ ความงดงามกลับถูกเส้นชายแดนและวีซ่าขีดฆ่าเป็นแผ่นดินต้องห้าม ผสานด้วยการเหยียดหยามให้เกิดความต่ำต้อยในเรื่องชนเผ่าชาติพันธุ์

    ภาพคนมอญ ไทใหญ่ กะเหรี่ยง ชาวเขาเผ่าต่างๆ ที่อพยพโซซัดโซเซจากเขตแดนพม่า เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายลักลอบเข้าเมืองไทยแบบผิดกฎหมายมาหาเช้ากินค่ำด้วยแรงงานราคาถูก ได้รับคำประณามจากสังคม "ไทยพุทธ" ว่าเป็นพลเมืองชั้นสาม

    ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเท่าใดนัก เพราะแม้แต่คนไทยด้วยกันที่เป็นรากหญ้าพื้นฐานหลักในสังคมไทย ยังถูกตีค่าเป็นผักปลา หรือ "ไพร่" พลเมืองชั้นสอง ถูกล้อมปราบกวาดล้างจับกุมคุมขังสังเวยไปแล้วกี่ชีวิต ทุกครั้งที่มีการเรียกร้องความเท่าเทียมทางเสรีภาพ

    พอทีเถอะ! เวลาที่ก้มลงกราบรอยพระบาทหรือพระธาตุเจดีย์ แล้วคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนรุ่นก่อนในการนึกสงสัยว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประทับเลียบโลกจริงหรือไม่ เรื่องนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรอีกต่อไป

    นัยของตำนานพระเจ้าเลียบโลกนั้นอยู่ที่ คุณเคยเคารพสิทธิแห่งความมนุษย์ เคยให้เกียรติเพื่อนร่วมโลกทั้งชาวพุทธและผู้นับถือศาสนาอื่นว่า มีศักดิ์ศรีเสมอกันกับคุณหรือไม่เท่านั้นเองต่างหาก

    บทความดีๆ เพื่อชีวิตเสรี&เวทียุติธรรม: ตำนานพระเจ้าเลียบโลกฯ และ รอยเท้าใครฯ โดย เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รอยเท้าใคร ฝากไว้ในแผ่นศิลา?
    โดย เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ คอลัมน์ ปริศนาโบราณคดี
    ในมติชนสุดสัปดาห์ ออนไลน์ ฉบับวันศุกร์ที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 31 ฉบับที่ 1598 หน้า 75


    ที่อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน มีหลักฐานทางโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์และกึ่งก่อนประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจหลายชิ้น เนื่องจากเป็นแอ่งอารยธรรมโบราณยุคหินกลาง-หินใหม่-ยุคเหล็ก จนถึงยุคสำริด ตั้งอยู่บนรอยเลื่อนแม่ทาอันเป็นศูนย์กลางแห่งการเกิดแผ่นดินไหวครั้งแล้วครั้งเล่า

    โบราณคดีจากแม่ทาครั้งนี้เป็นปริศนารูปรอยเท้าซ้อนกันหลายรอย ฝังไว้ในลานแผ่นหินบนเนินเขาที่ค่อนข้างลาดต่ำไม่สูงชันนัก

    ชาวบ้านค้นพบรอยเท้าประหลาดนี้ที่เนินหินด้านหลังวัดดอยสารภี บ้านดอยสารภี ตำบลทาสบเส้า อำเภอแม่ทา มานานกว่าสี่สิบปี แต่เก็บงำเอาไว้ด้วยความพิศวงงุนงง ด้วยไม่รู้จะสอบถามใคร

    จนกระทั่ง 4 ปีก่อน ดิฉันมีโอกาสลงพื้นที่สำรวจเรือโบราณอายุพันกว่าปีที่จมอยู่ใต้ลำน้ำแม่ทาของวัดเดียวกันนี้ ชาวบ้านแอบกระซิบกระซาบว่าจะพาไปดูของดีอีกชิ้นหนึ่งที่อยู่ด้านหลังวัดเราไต่ภูเขาขนาดเตี้ยๆ ลงไปพบเนินหินที่ถูกปกคลุมด้วยพงหญ้ารก ช่วยกันถากถางเศษใบไม้แห้ง พลันต้องตะลึงงันกับของดีชิ้นใหม่นี้

    จนแทบจะหันหลังให้เรือไม้ตะเคียนทองยาว 20 กว่าเมตรนั้นไปเลย


    รอยเท้าแท้หรือเทียม
    ธรรมชาติเสกหรือมนุษย์สร้าง?

    รอยเท้าบนแผ่นหินที่ว่านี้ พบอยู่หลายรอย แต่ละรอยมีขนาดเล็ก ประกอบด้วยริ้วเส้นขูดขีดเป็นร่องลึก ทำให้เกิดกรอบรูปสามเหลี่ยมบ้าง สี่เหลี่ยมด้านไม่เท่าบ้าง กลับหัวกลับหางไปคนละด้านก็มี บางรอยก็แกะให้เท้านูนลอยขึ้นมาจากพื้นหลัง แต่ส่วนใหญ่จะคว้านลึกลงในเนื้อหิน ให้เห็นแค่กรอบหรือขอบเท้ารอบนอกเท่านั้น

    คณะสำรวจของเรา ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และจากศูนย์พฤกษศาสตร์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ร่วมเดินทางไปด้วย จึงถือโอกาสขอให้ผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านั้น ช่วยพิสูจน์เบื้องต้นให้หายคลางแคลงใจก่อนว่า

    รอยเท้าที่เห็นนี้เป็นรอยเท้าสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์ตามธรรมชาติ หรือเป็นร่องรอยที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา หรือ ...สิ่งที่เราสนใจมากเป็นพิเศษ อาจเป็นผลงานการสร้างสรรค์โดยฝีมือมนุษย์?

    หลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายถกเถียงกันอยู่ครู่ใหญ่ ต่างลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ร่องรอยเหล่านี้หาใช่รอยเท้าของไดโนเสาร์หรือสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์เหมือนที่พบตามภาคอีสานของไทยไม่

    อีกทั้งไม่ใช่ร่องรอยของพื้นหินที่เกิดจากการแปรปรวนของ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่พัดพาตะกอนมาถมทับจนเกิดลวดลาย เพราะร่องรอยของธารน้ำที่กัดเซาะแผ่นหินมักจะเป็นรอยขีดตามแนวบน-ล่างหรือเฉียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในที่นี้เต็มไปด้วยรอยขวางไขว้ไปมา

    ข้อสรุปเบื้องต้นจากตาเนื้อ (ยังมิได้พิสูจน์ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์) พบว่า มิใช่ร่องรอยธรรมชาติ แต่สำหรับเรื่องการกำหนดอายุว่ารอยเหล่านี้มีมาแล้วกี่พันปี ทีมนักวิทยาศาสตร์ขอให้ฝ่ายนักโบราณคดีช่วยเข้ามาทำหน้าที่ศึกษาสืบค้นกันต่อไปแทนจะดีกว่า

    หลังจากนั้น อีกไม่นาน ดิฉันจึงได้เชิญนักโบราณคดีไปร่วมลงพื้นที่อีกสองครั้ง ครั้งแรกจากสำนักศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่ และครั้งหลังจากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

    นักโบราณคดีตั้งข้อสังเกตว่า รอยเท้าเหล่านี้เป็นรอยที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ เนื่องจากพบว่ามีการตกแต่งรอยเท้าแต่ละรอยด้วยการยกขอบเส้นหนาประมาณ 1 เซนติเมตรอย่างจงใจ



    Rock Art ชิ้นแรกในล้านนา
    กับปริศนารอยพระบาท

    ถือว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีการค้นพบหลักฐานงานประติมากรรมขูดขีดบนแผ่นหินยุคก่อนประวัติศาสตร์ในภาคเหนือตอนบน หรือที่เรียกว่างาน Rock Art ไม่ใช่ Rock Painting ภาพเขียนสีแดงตามฝาผนังถ้ำซึ่งพบกันทั่วไปแล้วหลายแหล่ง

    โดยปกติงานขูดขีดลวดลายบนแผ่นหินโดยไม่ใช้สีแดงนี้ ในประเทศไทยเคยพบมากแถบภาคอีสานตอนเหนือ เช่น ที่จังหวัดเลย สกลนคร อุดรธานี และภาคเหนือตอนล่างเคยพบที่พิษณุโลกเท่านั้น

    ด้วยเหตุนี้การพบ Rock Art ที่แม่ทา ลำพูน จึงถือว่าเป็นการค้นพบหลักฐานชิ้นใหม่ครั้งแรกให้วงการโบราณคดีล้านนา

    ลวดลายยุ่งเหยิงพัลวันพัลเกขนาดนั้น แน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นรูปรอยเท้า?

    แล้วหากเป็นรอยเท้าจริง ควรเป็นรอยเท้าใคร?

    รอยพระบาทพระพุทธเจ้า รอยเท้ามนุษย์ หรือรอยเท้าสัตว์?

    เหตุเพราะมันดูยาก ดิฉันจึงต้องขอแรงเชิญชวนผู้อ่านให้ช่วยกันสืบค้นหาเจ้าของรอยเท้านี้พร้อมๆ กัน

    ลองมาดูความน่าจะเป็นของแต่ละกรณี เป็นไปได้หรือไม่สำหรับรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าและบรรดาพระอรหันตสาวก?

    ในตำนานพระเจ้าเลียบโลกมักปรากฏเรื่องราวว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จโดยญาณวิถีออกนอกชมพูทวีปไปประทับรอย

    พระบาทตามแว่นแคว้นต่างๆ ในสุวรรณภูมิเพื่อโปรดเวไนยสัตว์

    ซึ่งหลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับรอยพระบาทที่พบในประเทศไทยชิ้นเก่าแก่มากที่สุดในเขตภาคเหนือตอนบน ได้แก่ พระบาทรังรุ้งหรือพระบาทสี่รอยที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

    ส่วนภาคอื่นๆ รอยพระบาทรุ่นเก่าพบที่สระมรกต และที่พระพุทธฉาย สระบุรี (เรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของ "รอยพระบาทกับตำนานพระเจ้าเลียบโลก" นี้เป็นประเด็นใหญ่ที่คงต้องแยกเขียนในโอกาสต่อไป)

    ดิฉันได้สอบถามปราชญ์ชาวบ้านในละแวกแม่ทา ว่าเคยมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับกฤษฎาภินิหารเรื่องรอยพระบาทแถวนี้บ้างหรือไม่ เพราะเห็นว่าแทบทุกอำเภอในลำพูนล้วนแล้วแต่มีการพบรอยพระบาทโดยเชื่อมโยงกับพุทธตำนานทั้งสิ้น

    อาทิ พระพุทธบาทตากผ้าที่อำเภอป่าซาง พระบาทห้วยต้ม พระบาทป่าไผ่ พระบาทผาหนาม ที่อำเภอลี้ พระบาทดอยไซ ในอำเภอเมือง เป็นต้น

    คำตอบของชาวบ้านก็คือ ไม่เคยมีเรื่องเล่าท้องถิ่นหรือตำนานเชิงมุขปาฐะที่เกี่ยวข้องกับการเสด็จมาของพระพุทธเจ้าในบริเวณนี้แต่อย่างใด

    เว้นเสียแต่อีกปริศนาหนึ่งซึ่งทิ้งร่องรอยไว้ไม่ไกลจากบ้านดอยสารภี อยู่ค่อนไปในหุบเขา ได้มีการพบรอยฝ่ามือและนิ้วทั้งห้าขนาดใหญ่บนแผ่นหิน

    ชาวล้านนาเรียกรอยนี้ว่า "หัตถบาท" (ผสมคำระหว่างมือและเท้าเข้าด้วยกัน) แต่ว่ารอยหัตถบาทที่แม่ทานี้ดิฉันยังไม่มีโอกาสเดินทางไปสำรวจ เคยไปพบแต่รอยหัตถบาทที่อำเภอบ้านโฮ่งเท่านั้น

    โดยปกติแล้วครูบาเจ้าศรีวิชัยนักบุญแห่งล้านนา และบรรดาศิษยานุศิษย์ มักได้ค้นพบรอยพระบาทที่เชื่อกันว่าพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประทับตามจุดต่างๆ เกือบทั่วทุกหนแห่งมาแล้ว ด้วยการแกะรอยตำนานพระเจ้าเลียบโลกที่เขียนไว้เมื่อราว 500 ปีก่อน

    เมื่อพลิกดูข้อมูลดังกล่าวก็ไม่พบว่ามีการเสด็จมาแถบแม่ทาแต่อย่างใด ทั้งนี้ มิได้สรุปว่า หลักฐานดังกล่าวจะไม่เกี่ยวข้องกับรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าเสียทีเดียว หากแต่ชื่อบ้านย่านนามที่ปรากฏในตำนานนั้นมักเขียนเป็นภาษาบาลีทั้งสิ้น มิได้ใช้ภาษาของคนเมืองในยุคปัจจุบัน

    เช่น เรียกแม่น้ำขานว่าแม่น้ำโรหินี เรียกเวียงลี้ว่าเวียงลับแลลิ มีอยู่หลายจุดเหมือนกันที่ยังไม่มีข้อสรุปว่าชื่อเหล่านั้นตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่ เช่น บ้านโทรคาม บ้านปทารคาม คำว่า "ทา" ในที่นี้จะเกี่ยวข้องกับแม่น้ำทา ในอำเภอแม่ทาหรือไม่

    ฉะนั้น การเชื่อมโยงไปสู่เรื่องรอยพระบาทพระพุทธเจ้านั้น ขอให้พักไว้ก่อน ใช่เพียงแต่ไม่มีตำนานหน้าไหนมารองรับเท่านั้น หากหลักฐานด้านโบราณคดีก็พิสดารแปลกแหวกแนวไปจากรอยพระบาทอื่นๆ เกินกว่าจะให้เชื่อว่าเป็นรอยพระบาทได้



    หากมิใช่รอยพระบาท
    ฤาเป็นไพร่มนุษย์ในรอยเท้าสัตว์

    การทำรูปรอยเท้าคนขนาดใกล้เคียงของจริงหลายรอยบนเนินหินนี้ นักโบราณคดีเชื่อว่าน่าจะใช้เป็นสถานที่สำหรับประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์

    ซึ่งโดยปกติการวาดภาพบนผนังถ้ำนั้น เรามักจะเห็นแต่ร่องรอยของภาพ "มือแดง" อันมีความหมายถึงการแสดงความเป็นเจ้าของอาณาบริเวณนั้น รวมถึงการเซ็นเยี่ยมของแขกแปลกหน้า มากกว่าที่จะแสดงด้วย "รอยเท้า"

    ในขณะที่ตำนานความเชื่อเรื่องการถือกำเนิดของมนุษย์ในแถบลุ่มแม่น้ำปิงหรือน้ำแม่ระมิงค์ก่อนยุคสร้างอาณาจักรหริภุญไชยราวพันหกร้อยปีที่ผ่านมานั้นกลับมีการระบุถึงคำว่า "รอยเท้าสัตว์"

    ตำนานสร้างเมืองลำพูนตอกย้ำแล้วย้ำอีกว่า คนพื้นเมืองหรือไพร่แถบนี้เกิดมาจากรอยเท้าสัตว์ตระกูลต่างๆ สามตระกูล ได้แก่ ตระกูลช้าง แรด และวัว

    โดยผูกเรื่องให้มี "ฤษี" กลุ่มหนึ่งนาม "วาสุเทพ" หรือ "สุเทวฤษี" นามนี้แท้ก็คือสมัญญาของ "กฤษณะวาสุเทพ" ผู้เป็นอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์นั่นเอง ฤษีในที่นี้หมายถึงนักพรตหรือพราหมณ์จากอินเดียที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาฮินดูในยุคสุวรรณภูมิ

    ตำนานเขียนไว้ชวนสะท้อนใจว่า เหล่าฤษีได้ถ่ายคูถถ่ายมูตรไว้ในรอยเท้าสัตว์สามจำพวก ต่อมานางช้าง นางแรด นางโคได้ไปดื่มกินอุจจาระ-ปัสสาวะที่ฤษีถ่ายไว้ ให้เผอิญว่ามีเชื้ออสุจิของฤษีปะปน บรรดานางสัตว์เหล่านั้นเกิดตั้งครรภ์ จึงคลอดทารกชาย-หญิงในรอยเท้าของพวกตน ฤษียินดีรับเลี้ยงไว้เป็นลูก และเมื่อเด็กเหล่านั้นเติบใหญ่ ฤษีให้อยู่กินฉันผัวเมียกันเป็นคู่เป็นคู่ แล้วให้ปกครองหมู่บ้านแต่ละหมู่

    นิทานหน้านี้ใครบ้างที่อ่านแล้วไม่สะดุ้งสะเทือน คนเขียนตำนานช่างตีค่าราคาของหญิงสาวพื้นเมืองซึ่งน่าจะเป็นชาวลัวะ-เม็ง-ขมุ ยุคพันกว่าปีเหล่านี้เสียต่ำต้อยเทียบได้กับ "สัตว์เดรัจฉาน" ตระกูลต่างๆ อุปโลกน์ให้เป็น ช้าง แรด วัว ตามสัญลักษณ์ Totem ไม้แกะสลักที่คนในสังคมบุรพกาลแต่ละหมู่บ้านนับถือ

    ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง พูดให้ง่ายขึ้นก็คือ บรรดาพราหมณ์นักพรตที่เข้ามาผจญภัยในดินแดนสุวรรณภูมิเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าวาณิชหรือมิชชันนารีเผยแผ่ศาสนา ในขบวนเดินทางย่อมมีแต่บุรุษล้วนๆ ไม่ได้พกภรรยามาด้วย

    เมื่อห่างไกลจากบ้านเมืองชมพูทวีปมานานเข้าๆ ก็เริ่มมีความปรารถนาทางเพศอย่างรุนแรง จึงได้สมสู่ (ขออนุญาตไม่ใช้คำว่า "สมรส") กับหญิงสาวพื้นเมืองผิวคล้ำที่ยังนับถือเทพเจ้าสัตว์ต่างๆ เมื่อหลวมตัวได้น้องนางบ้านป่ามาเป็นเมียแล้ว เป็นการยากเหลือเกินที่จะยกย่องให้เกียรติพวกนางในฐานะภรรยา ด้วยตระหนักว่าพวกตนเป็นชนชั้นพราหมณ์ ส่วนหญิงเหล่านั้นอยู่ในวรรณะศูทร อายแม้แต่จะบอกว่าได้หลับนอนร่วมเพศกับพวกเธอ

    คำอธิบายประวัติศาสตร์หน้านี้ จึงเลี่ยงไปเขียนในทำนองว่า การที่พวกหล่อนเกิดตั้งท้องขึ้นมาได้นั้น เหตุเพราะดันมาดื่มกินน้ำเชื้ออสุจิจากรอยเท้าของสัตว์เองต่างหากเล่า หาได้เกิดจากการเสพสังวาสด้วยจิตปฏิพัทธ์ในฐานะมนุษย์กระทำกับมนุษย์ไม่

    ทารกจัณฑาลหรือไพร่เหล่านั้นจึงถูกเรียกขานว่าเป็นพวก "สังเสทชะ" หรือ "โอปปาติกะ" คือเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่ไม่มีใครตั้งใจให้มาเกิด

    เรื่องราวการกดขี่ดูถูกคนพื้นเมืองเพศแม่ในลักษณะเช่นนี้เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไป ดังเช่น การก่อเกิดอาณาจักรกัมพูชาก็เป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์ กล่าวว่าพวก "ขอม" หรือ "กรอม" คือผลผลิตจากการสมสู่ระหว่างเจ้าชายโกณฑิญญะจากอินเดียกับนางนาคโสมาวดี

    อะไรทำนองนี้

    คืออย่างไรเสีย ก็มิอาจยอมรับได้ว่าหญิงชาวบ้านผู้มีฐานะเป็นแม่ของลูกตนนั้น มีศักดิ์ศรีของมนุษย์ตัวเป็นๆ หากไม่เป็นช้าง ก็ต้องเป็น แรด วัว สมัน หรือไม่ก็งู

    ตำนานเรื่องการกำเนิดมนุษย์ไพร่จากรอยเท้าสัตว์ในสุวรรณภูมินั้น บันทึกไว้โดยพวกพราหมณ์หรืออารยันในลักษณะการเหยียดผิวคนผิวดำว่าก่อนจะกลายมาเป็นชาวทมิฬหรือ "มิลักขุ-มิลักขะ" ในวรรณะศูทรนั้น เคยมีแม่เป็นสัตว์ที่เผอิญตั้งท้องโดยไม่มีพ่อมาก่อน

    จากนั้นได้เล่าขานสืบต่อๆ กันมาในลักษณะมุขปาฐะ (Oral History)

    จนกระทั่งพระภิกษุชาวล้านนาที่นับถือพระพุทธศาสนาสายลังกาวงศ์ราว 500 ปีก่อนได้เขียนตำนานพระเจ้าเลียบโลกขึ้นมาบ้าง โดยจงใจใช้บุคคลาธิษฐานให้ "รอยพระบาท" ของพระพุทธเจ้าเป็นเสมือนเครื่องมือลบรอยเท้าเดิมๆ ของพวกพราหมณ์ที่เคยเหยียบย่ำกดขี่ข่มเหงคนพื้นเมือง "ลูกไพร่ไม่มีพ่อ" ช่วยปลดปล่อยให้หายจากปมด้อยปมเขื่อง



    ทั้งรอยพระบาทก็ดี หรือรอยเท้าสัตว์ตระกูลต่างๆ ก็ดี ทำไมต้องใช้ "รอยเท้า"?

    หากมีเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นจริงในดินแดนสุวรรณภูมิ ราวสองพันกว่าปีที่ผ่านมา ก็ย่อมตรงกับยุคก่อนประวัติศาสตร์

    แต่จะมีความเกี่ยวข้องอะไรกันไหมกับรอยเท้าบนแผ่นหิน เป็นเรื่องที่ชาวบ้านแม่ทากำลังรอคอยคณะนักโบราณคดีและนักวิชาการด้านอื่นๆ แบบสหสาขา มาทำการศึกษาพิสูจน์ด้วยใจระทึก

    ยิ่งวันเวลาผ่านพ้นไป ชาวบ้านพรานป่ายังคงค้นพบรอยเท้าบนแผ่นหินตามซอกหลืบถ้ำลึกลับ เพิ่มจำนวนมากขึ้นอีกหลายจุด บางแหล่งปรากฏรอยเท้าช้าง รอยเท้าวัวขนาดใหญ่อยู่รอบนอก แล้วมีรอยเท้ามนุษย์เล็กๆ หลายรอยฝังอยู่ภายในรอยเท้าช้างและรอยเท้าวัวนั้น

    ซึ่งชาวบ้านคอยรายงานให้ดิฉันทราบเป็นระยะๆ ว่าขณะนี้กำลังค้นหาร้อยเท้าแรดอีกตระกูลหนึ่ง!

    นักโบราณคดีทั้งภาครัฐและเอกชน จะรอช้าอยู่ไย ใครสนใจร่วมไขปริศนา อยากพิสูจน์รอยเท้าบนแผ่นหิน เชิญแวะไปเยี่ยมชมได้ที่เนินหินด้านหลังวัดดอยสารภี ต.ทาสบเส้า อ.แม่ทา จ.ลำพูน ขอให้ผู้ใหญ่บ้าน (พ่อหลวง) นำทางไปก็ยิ่งดี จะได้ช่วยกันขบคิดให้แตกเสียทีว่า

    รอยเท้าในตำนานของคนวรรณะจัณฑาลหรือชนชั้นไพร่ที่ถูกเรียกว่า "รอยเท้าสัตว์" นั้นยังหลงเหลือปรากฏให้เห็นอยู่จริงบนแผ่นหิน
    หรือมิใช่?
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ความสำคัญมือ นิ้ว และเท้าของชาวอินเดีย




    ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดูเชื่อว่ามือขวาคือผู้ชาย มือซ้ายคือผู้หญิง เมื่อมือขวากับมือซ้ายมาประกบกันนั่นคือความสมบูรณ์ของชีวิตคู่ ในการทำพิธีบูชาต่างๆ ผู้ชาย (สามี) นั่งขวา ผู้หญิง (ภรรยา) นั่งด้านซ้ายของสามีเสมอ ในการประกอบพิธีกรรมใดๆ มักใช้มือขวาในการจับสิ่งของ หรือทำพิธี หรือถือของมากกว่ามือซ้าย
    หลังพิธี ถ้าผู้มาร่วมพิธีจะผูกข้อมือ พราหมณ์ให้พูดตามพราหมณ์เป็นภาษาฮินดี หลายประโยคทีเดียวโดยบอกชื่อของตนเองก่อน จากนั้นท่านก็ให้พูดตาม พราหมณ์จะผูกข้อมือให้ไปด้วยฝ้ายสีแดง หรือแดงผสมขาว ถ้าเป็นหญิงท่านจะถามว่าแต่งงานหรือยัง ถ้าแต่งแล้วผูกที่ข้อมือซ้าย ถ้ายังผูกที่ข้อมือขวา ผู้ชายไม่ว่าจะเป็นโสดหรือแต่งงานผูกข้อมือขวาเท่านั้น
    ดิฉันได้เรียนรู้ว่าชาวอินเดียมีการให้ความสำคัญกับนิ้วมือแตกต่างกัน ดิฉันพบกับอาจารย์ใหญ่วิทยาลัยสตรีกุรุกุล เดฮ์ราดูนซึ่งเป็นชาวเบงกอลแต่มาทำงานที่นี่นานแล้ว ท่านเป็นสตรีที่มีจิตใจดี โอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มารยาทงาม มีสุนทรีย์ด้านดนตรี ท่านพาดิฉันไปชมบ้านท่าน และสวนหลังบ้านโดยมองจากชั้นบนลงมา ท่านไม่ใช้นิ้วชี้ชี้ไปที่สวนนั้นโดยตรง การชี้นิ้วถือว่าไม่สุภาพสำหรับชาวเบงกอล ท่านใช้นิ้วชี้งอคลุมนิ้วโป้งแล้วก็ยื่นออกไปข้างหน้าแทนการชี้โดยตรง ตอนแรกดิฉันไม่ได้สังเกต แต่เพื่อนชี้ให้ดูว่าเธอมีมารยาทมากเพียงใด จึงเพิ่งถึงบางอ้อ ใครจะนึกว่าเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ชาวอินเดียส่วนหนึ่งยังยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะสตรีชาวเบงกอล
    ในพิธีบูชาไฟของชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดูที่เรียกตนเองว่า “อารยา สมาช” (Arya Smaj) ในระหว่างการสวดจะมีการเทน้ำใส่ฝ่ามือขวาดื่มทีละครั้ง 3 ครั้ง ความหมายคือเพื่อให้เกิดความสดชื่นในลำคอพร้อมที่จะสวดมนต์ต่อ และกระตุ้นเตือนตนเองให้พร้อมที่จะสวดมนต์ต่อไป เสร็จแล้วล้างมือขวานั้น แล้วเทน้ำใส่มือซ้ายใช้นิ้วโป้ง นิ้วกลาง และนิ้วนางมือขวาจีบเข้าหากันแตะน้ำแล้วแตะที่ปากล่าง ปากบน แตะน้ำอีกทีแล้วแตะจมูกขวา จมูกซ้าย แตะน้ำแล้วแตะตาขวา ตาซ้าย แตะน้ำแล้วแตะหูขวา หูซ้าย แตะน้ำแล้วแตะศีรษะ แตะน้ำแล้วแตะคอ แตะน้ำแล้วแตะท้อง แตะน้ำแล้วแตะขาขวา ขาซ้าย แตะน้ำแล้วแตะท้อง แตะน้ำเพื่อพรมทั่วกาย (จริงๆ แล้วไม่มีน้ำเหลือในอุ้งมือหรอก เป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น) โดยที่ผู้อื่นที่อยู่รอบกองไฟแต่ไม่ได้ทำอาการนี้ก็สวดมนต์ไป ทั้งนี้เพื่อให้สรีระทั้งหมดมีสุขภาพดี และแสดงออกในสิ่งที่ดีเช่นคิดดี ทำดี พูดดี
    นอกจากนี้หลังจากที่ใส่ฟืนในกองไฟแล้ว ในเบื้องต้นของการสวดทุกครั้งที่ลงท้ายด้วย “สวาฮา” จะเติมไม้และหยอดเนยเหลวหรือกี (ghee) ลงไปทุกครั้ง ทำให้ไฟลุกง่ายขึ้น ไม่มีควัน หลังจากนั้นมีการโปรย ฮาวัน สมากรี (Havan Samagri) ซึ่งทำจากสมุนไพร ผลไม้แห้ง น้ำตาล กี (เนยเหลว) และการบูร คลุกเคล้ากัน เมื่อการสวดลงท้ายด้วย “สวาฮา” ผู้ร่วมในพิธีที่นั่งรอบกองไฟแถวหน้า (ต้องนั่งขัดสมาธิ) จีบนิ้วโป้ง นิ้วกลางและนิ้วนางของมือขวาเข้าหากัน มือซ้ายแตะแขนขวาแล้วหยิบฮาวัน สมากรีซึ่งเตรียมไว้ในถาดโปรยลงในกองไฟ โปรยไปทุกครั้งที่ลงท้ายด้วย “สวาฮา” เหตุผลที่ใช้ของหอมและสมุนไพรเพื่อให้ผู้เข้าร่วมพิธีได้สูดกลิ่นที่หอม เป็นการรักษาความบริสุทธิ์ให้กับสิ่งแวดล้อมและอากาศโดยรอบ ด้วย เรื่องการจีบนิ้วสามนิ้วคือโป้ง กลาง และนางนั้นเป็นการแสดงความถ่อมตัวต่อพระเจ้าแทนการใช้นิ้วชี้ร่วมด้วย นิ้วชี้เป็นการชี้ไปสู่ผู้อื่นแสดงความเป็นนายหรือผู้ที่เหนือกว่า ศาสนิกชาวฮินดูไม่ทำเช่นนั้น แต่จะแสดงความถ่อมตัวด้วยกิริยาที่แสดงออกอย่างสุภาพในขณะบูชา
    ผู้เขียนสังเกตว่าการได้ร่วมพิธีบูชาไฟนอกจากได้ความรู้สึกถึงพลัง ความศักสิทธิ์ของไฟที่ลุกโชติช่วงแล้ว ยังเหมือนอยู่ในห้องซาวน่ากลายๆ เหงื่อออกใช้ได้ทีเดียว
    การแสดงความเคารพ ชาวอินเดียโดยทั่วไปพบกันก็ไหว้ ซึ่งชาวอินเดียไม่ได้ไหว้พร้อมกับก้มศีรษะเหมือนไทย เพียงแต่ยกมือไหว้เท่านั้น บ้างก็จับมือกัน (เช็คแฮนด์) แต่ชาวอินเดียยังแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสด้วยการใช้มือแตะเท้าผู้อาวุโสและเอามือนั้นมาแตะหน้าอกตน ซึ่งแสดงออกถึงความเคารพต่อผู้อาวุโสด้วยวัยวุฒิ และสถานะทางสังคมก็ได้ เท้าถือว่าเป็นอวัยวะที่ต่ำสุด การน้อมกายลงเอามือแตะเท้าแล้วนำมาแตะหน้าอกถือว่าให้เกียรติและนอบน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่มากกว่าการไหว้ธรรมดา บางครั้งผู้ใหญ่จะแตะที่ศีรษะผู้น้อยเพื่อเป็นการรับไหว้และให้พรด้วย
    การยื่นมือให้ของหรือรับของใช้มือขวาเป็นสำคัญ เหมือนกับหลายๆ สังคมนั่นเอง
    ------------------
    ความสำคัญมือ นิ้ว และเท้าของชาวอินเดีย
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การนับถือบูชารอยเท้าหรือรูปฝ่าเท้า เป็นคติความเชื่อสากลที่พบอยู่ในอารยธรรมเกือบทุกถิ่นในโลก ด้วยเชื่อว่าเป็นรูปรอยของเทพเจ้าหรือผู้ทรงความศักดิ์สิทธิ์ที่ประทับลงในโลก หรือเป็นเครื่องหมายที่บรรพบุรุษได้ทิ้งไว้เป็นแนวทางการประพฤติปฏิบัติของบุคคลรุ่นหลัง

    ในอินเดียโบราณความเชื่อดังกล่าวปรากฏอยู่ในทุกศาสนา ไม่ว่าในศาสนาพราหมณ์ เชน และพุทธ สำหรับพุทธศาสนาหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเก่าแก่ที่สุดที่แสดงให้เห็นความเชื่อเกี่ยวกับรอยพระพุทธบาท คือ ปุณโณวาทสูตร ในอรรถกถาของพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมานิกาย กล่าวถึงพระพุทธเจ้าทรงทิ้งรอยพระบาทไว้สองแห่ง คือ ฝั่งแม่น้ำนัมมทาและบนภูเขาสัจจพันธคีรี ส่วนหลักฐานที่เป็นรอยพระพุทธบาท เริ่มพบในศิลปะอินเดียตั้งแต่ประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ ๓ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแล้ว จากนั้นจึงปรากฏแพร่หลายทั่วไปในประเทศที่นับถือพุทธศาสนา

    สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนิพนธ์ถึงคติการนับถือรอยพระพุทธบาทของไทยว่า รับสืบเนื่องมาจากชาวอินเดียและลังกา โดยชาวอินเดียแต่ครั้งพุทธกาลหรือก่อนหน้านั้น ไม่นิยมสร้างรูปเทวดาหรือมนุษย์ไว้บูชา เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน พุทธศาสนิกชนจึงสร้างสถูปหรือวัตถุต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธองค์ รอยพระพุทธบาทเป็นวัตถุหนึ่งที่นิยมทำในสมัยนั้น

    ส่วนคติของชาวลังกาเกิดขึ้นภายหลัง มีกล่าวถึงในตำนานเรื่อง มหาวงศ์ว่า พระพุทธเจ้าได้เสด็จทางอากาศไปยังลังกาทวีปและทรงเทศนาสั่งสอนชาวลังกาจนเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จกลับมัชฌิมประเทศ จึงได้ทรงทำปาฏิหาริย์ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ยอดเขาสุมนกูฎ เพื่อให้ชาวลังกาได้ทำการสักการบูชา

    ความเชื่อท้องถิ่นในรอยพระพุทธบาทวัดเขาศาลา
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เหตุการณ์ไฟฟ้าดับทั่วภาคใต้ของประเทศไทย พ.ศ. 2556 เป็นเหตุการณ์ไฟฟ้าดับเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2556 ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นทั่ว 14 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย ตั้งแต่เวลา 18.52 น.[1] นอกจากเหตุการณ์นี้จะเป็นเหตุไฟฟ้าดับ (black out) ครั้งแรกของภาคใต้[2] เหตุการณ์ครั้งนี้ยังนับเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในรอบ 30 ปี นับแต่เหตุการณ์ไฟฟ้าดับทั่วประเทศไทย พ.ศ.2521

    สาเหตุในการเกิดไฟฟ้าดับทั่วภาคใต้มาจากสายส่งไฟฟ้าแรงสูงจากโรงไฟฟ้าขนาด 500 กิโลโวลต์ ซึ่งเชื่อมภาคกลางและภาคใต้ บริเวณอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เกิดขัดข้องในเวลาประมาณ 18.50 น. ของวันที่ 21 พฤษภาคม 2556[4] และยังมีผู้พบเห็นเหตุการณ์กล่าวว่าเหตุขัดข้อง

    วันที่ 22 พ.ค.2556
    เวลา 17.26 น. เจ้าหน้าที่ประจำสถานีไฟฟ้าแรงสูงบางสะพานจ.ประจวบคีรีขันธ์ พบว่าเสาไฟฟ้าแรงสูง.เลขที่ 200/2 ขนาด 500 กิโลโวลต์ บริเวณ 68 กม.ตามระยะสายส่ง ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ จ.เพชรบุรีบริเวณ หมู่ที่ 6 ต.บ้านทาน อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี ได้ถูกฟ้าผ่า นั้น เนื่องจาก เกิดฝนฟ้าคะนอง และมีฟ้าผ่าขึ้นหลายครั้งในบริเวณดังกล่าว โดยปกติสายส่งที่จ่ายไฟฟ้าไปยังภาคใต้มี 4 เส้น คือสาย 500 kV จำนวน 2 เส้น แบ่งเป็น 1 เส้นหลัก และ 1 เส้นสำรองไว้รองรับกรณีฉุกเฉิน และสาย 230 kV จำนวน 2 เส้น แบ่งเป็น 1.เส้นหลัก และ1 เส้นสำรองไว้รองรับกรณีฉุกเฉิน โดย กฟผ. ได้ปลดสายส่ง 500 kV จำนวน 1 เส้น เวลา 8:00 น. เพื่อทำการซ่อมบำรุง และจากการเกิดฟ้าผ่าสายส่งเส้นที่ใช้จ่ายไฟฟ้า 500 kV ที่ใข้งานดังกล่าวจึงต้องส่งไฟฟ้าขนาด 500 kV ผ่านสายส่ง 230 kV เส้นสำรองแทน ตามปรกติก็เคยส่งกระแสไฟฟ้าจากเส้น 500 kV ผ่านเส้น 230 kV ซึ่งก็สามารถรับกระแสไฟฟ้าดังกล่าวได้ในช่วงสั้นๆ (ไม่กี่ขั่วโมงครับ)

    เวลา 18:41 น. ความพยายามเชื่อมต่อสายส่งแรงดัน 500 kV วงจรที่ฟ้าผ่า แต่ไม่สำเร็จ เพราะไฟฟ้าทั้งหมดได้ไหลไปบนสายส่ง 230 kV ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า และในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ในช่วงเวลาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง จึงมีการเพิ่มพลังงานไฟฟ้าผ่านเส้น 230 kV ไปสู่ภาคใต้ มุมเฟสไฟฟ้าคร่อมสายส่ง. 500 kV จึงมีค่าสูงเกิน Synchronism Relay กำหนดและได้มีการสั่งซื้อไฟฟ้าจากมาเลเซีย เพื่อมาใช้ในภาคใต้ เพิ่มเติม แต่ใช้ได้้เพียงซักพักก็ปรากฎว่าพลังงานไฟฟ้าจากมาเลเซียได้หายไปจากระบบไฟฟ้าที่ส่งมายังภาคใต้ของประเทศไทยอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก Load Shedding ที่ใช้ตัเการใช้ไฟฟ้าบางส่วน เพื่อนักษาระบบส่วนใหญ่ ทำงานไม่สำเร็จ ก็คงทำให้การช้อต ก็เลยทำให้กระแสไฟฟ้าที่ส่งมาภาคใต้ และกระแสไฟฟ้าจากมาเลเซียไหลกลับ ทำให้พลังงานไฟฟ้าในระบบหายไปเป็นจำนวนมาก และปริมาณ โหลดก็สูงมาก ความถี่ในระบบไฟฟ้าจึงลดต่ำกว่ามาตรฐาน จนโรงไฟฟ้าทั้งหมดในภาคใต้ที่เดินเครื่องอยู่ ปลดตัวเอง(หยุดเดินเครื่อง)อัตโนมัติ เพื่อความปลอดภัยของโรงไฟฟ้า

    เวลา 18:52 น. ไฟฟ้าดับทั้งภาคใต้

    กฟผ. ได้เร่งแก้ไขสถานการณ์ ด้วยการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าทุกโรงในภาคใต้อย่างเต็มกำลังการผลิต รวมทั้งการรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มจากมาเลเซีย 270 เมกะวัตต์

    ไฟฟ้ากลับมาใช้ได้เป็นปกติเมื่อเวลา 21.30 น. รวมเวลา 3 ชั่วโมง 18 นาที[8] การแก้ไขระบบส่งไฟฟ้าจากภาคกลางที่เกิดปัญหาเสร็จสมบูรณ์ในเวลา 23.45 น.[3]

    รองผู้ว่าการระบบส่ง กฟผ. ระบุว่า ภาคใต้เป็นพื้นที่เดียวที่ใช้ไฟฟ้าที่สูงเกินกำลังผลิต และมีอัตราใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นสูงที่สุด เพราะมีศูนย์กลางการท่องเที่ยว[3] ปัจจุบัน ภาคใต้มีความต้องการใช้ไฟฟ้า 2,500 เมกะวัตต์ต่อวัน แต่กำลังการผลิตไฟฟ้าสามารถรองรับการใช้งานได้ 2,100 เมกะวัตต์ต่อวัน[9] ต้องส่งไฟฟ้าจากภาคกลาง และรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศมาเลเซีย[10] ความต้องการใช้ไฟฟ้าระหว่างปี 2552-2555 เฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 6.8% สูงเป็นอันดับ 2 รองจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คาดว่าเมื่อถึงปี 2561 ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 เมกะวัตต์ต่อวัน เบื้องต้น ภาครัฐมีแผนปรับให้สายส่งไฟฟ้าแรงสูงให้มีขนาด 500 กิโลโวลต์ทั่วประเทศ และมีแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้ากำลังผลิตรวม 1,600 เมกะวัตต์ ใช้เวลาก่อสร้าง 2-3 ปี[10] รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้สั่งการให้ กฟผ. ตรวจสอบระบบสายส่งทั้งประเทศ เพราะทั้งภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็มีความเสี่ยง[6]


    สาเหตุ
    (1) การนำสายส่งแรงดัน 500 kV ที่ใหญ่กว่า เข้าจ่ายไฟฟ้าขนานกับสายส่ง 230 kV ที่เล็กกว่า จะเกิดสภาพเหมือน ลัดวงจร ชั่วครู่ เป็นอันตรายต่อระบ
    (2) สาเหตุการทำงานไม่ได้ตามที่คาดหวังของ HVDC จากมาเลเซีย และอุปกรณ์ load shedding ยังไม่ชัดเจน
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ถ้าปัญหาไฟฟ้าดับที่ภาคใต้เกิดจากพายุสุริยะจริง ตามข้อมูลจากอาจารย์ปิยะชีพ ก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า
    ไฟฟ้าที่ผ่าเสาไฟฟ้าแรงสูง.เลขที่ 200/2 ขนาด 500 กิโลโวลต์ บริเวณ 68 กม. ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ จ เพชรบุรี เกิดจากพายุสุริยะ เพราะที่เหลือเกิดจากความผิดพลาดในระบบจำหน่ายไฟฟ้าของ กฟผ เอง
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 28 มิถุนายน 2556
    Flare of class C4.4 จุดดับ 1777 เวลาเริ่มต้น 08:36:00 เวลา ที่ปฎิกิริยาสูงสุด 08:59:00 น. เวลาสิ้นสุด 09:28:00 น.

    Flare of class C7.3 จุดดับ 1778 เวลาเริ่มต้น 10:31:00 น. เวลาที่ปฏิกิริยาสูงสึด 10:37:00 น. เวลาสิ้นสุด 10:47:00 น.
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 28 มิถุนายน 2556

    วันที่ 25 มิถุนายน เวลา 9:24 UT เกิดปฏิกริยาที่ดวงอาทิตย์ส่งพลังงานออกมาเป็นมุมกว้าง โดยพลังงานส่วนใหญ่ออกไปทางด้านตรงข้ามกับโลก จากการคำนวณพบว่าคลื่นพลังงานจะเดินทางเข้ามาในแนววงโคจรของโลกในวันที่ 29 มิถุนายน เวลา 9 UT +/- 10 ชั่วโมง ในช่วงเวลาเดียวกันยังพบแนวสนามแม่เหล็กเปิดขนาดใหญ่ซึ่งจะสัมพันธ์กับลมสุริยะความเร็วสูงที่จะผ่านโลกไปในช่วงวันที่ 29-30 มิถุนายน สำหรับความสัมพันธ์ในเชิงดาราศาสตร์นั้นวันที่ 29 เป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์ โลก และ ดวงจันทร์เรียงตัวเป็นแนวตั้งฉาก (หรือปรากฏการณ์พระจันทร์ครึ่งเสี้ยว Moon phase for 29 June 2013 Saturday)

    ส่วนในวันที่ 28 มิย นั้นพบปฏิกริยาที่ดวงอาทิตย์เพิ่มเติมในระดับปานกลาง ด้านเดียวกับโลก ในแนวทิศตะวันตก โดยคลื่นพลังงานจะเดินทางมาถึงโลกในวันที่ 1 กรกฏาคม เวลา 6 UT +/- 7 ชั่วโมง

    ทุกท่านที่สนใจสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติบนโลกที่สัมพันธ์กันได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 1 กรกฏาคม ครับ

    ข้อมูลเพิ่มเติมของเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นมีดังนี้
    - ภาพถ่ายมุมกว้างของดวงอาทิตย์จากโลก CACTUS CME Details
    - โมเดลจำลองการแพร่กระจายของคลื่นพลังงานในวันที่ 25 มิย http://iswa.ccmc.gsfc.nasa.gov:8080/IswaSystemWebApp/StreamByDataIdServlet?allDataId=539319556
    - ปฏิกริยาดวงอาทิตย์ในวันที่ 28 มิย จาก solarham.net http://www.solarham.net/pictures/archive/jun28_2013_cme.jpg
    - แนวสนามแม่เหล็กเปิดที่ดวงอาทิตย์วันที่ 25 มิย (พื้นที่สีดำ) Spaceweather.com Time Machine
    CACTUS CME Details
    sidc.oma.be
    image.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2013
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 28 มิถุนายน 2556 เวลา 12.21 น.
    Piyacheep S.Vatcharobol

    ภาพถ่ายดวงจันทร์เช้าวันนี้เหนือบางกอกจะไม่เต็มดวง
    เมื่อคืนแหว่งน้อยกว่านี้หน่อยเดียว แต่ทำไมเมื่อคืนเห็นดวงกลมใหญ่สว่าง ทรงกลดมีรัศมีกว้างให่ ดูใหญ่กว่าวันที่ ๒๓ ที่ดวงจันทร์ใกล้โลกมากว่า แต่ทำไมดูแล้วเล็กกว่า

    image.jpg

    คำตอบคือ คืน ๒๘ สยามประเทศ ลมสุริยะจากหลุมดำไก่มาถึงโลก ด้วยความหนาแน่ของโปรตรอนอย่างมากเกือบ ๑๒ ทำให้พลังงานไฟฟ้า แสง ไปกระทบดวงจันทร์และสะท้านมายังโลกมากกว่าวันที่ ๒๓-๒๔ ดูเป็นประกายใหญ่กลมสุขสว่าง มากด้วยพลังงานนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มิถุนายน 2013
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 28 มิถุนายน 2556 เวลา 13.38 น.
    Piyacheep S.Vatcharobol

    อันตรายจากมหาภัยอุกาบาต ที่ช่วงระยะเวลานี้ โคจรถาโถมเข้ามาใกล้วงโคจรของโลกมากขึ้น จนถึงขนาดที่ว่า NASA เองต้องเอยปากของให้ภาคประชาชนที่ชอบส่องกล้องดูดาว ช่วยตรวจตราวัตถุแปลกปลอมที่จะโคจรเข้ามาใกล้โลกในรัศมี ๒๘ ล้านไมล์ เพราะจะมีผลกระทบกับโลก และหากเข้าใกล้โลกมากเท่าใด ผลกระทบก็มากขึ้นเท่านั้น รวมทั้งมีโอกาสถูกแรงดึงดูดของโลกดูดให้เข้ามายังโลกด้วย ซึ่งแนวโน้มจะถูกดูดมายังโลก โดยสังเกตุจำนวนดาวตกที่ตรวจจับได้จากสมาคมดาวตกของสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว ในรอบ ๕ ปีที่ผ่านมาเกินมามากกว่า ๑๐,๐๐๐ % ดังที่ดร.ก้องภพ อยู่เย็นคาดการณ์และเตือนมาแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ว่า ๒๕๕๖-๒๕๕๗ จะเกิดฝนอุกาบาต — in Earth under attack จาก National Geographic.
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 28 มิถุนายน 2556
    Piyacheep S.Vatcharobol shared a link.
    5 hours ago near Bang Rak ·
    ฝนตกหนัก ๔ คืน นับแต่วันจันทร์ ภาคกลางของจีน

    Siripol Pong
    น้ำผ่านอินเดีย มาถึง จีนแล้วจ้า ข่าวจาก สำนักข่าว ทาสส์-รัสเซีย

    ИТАР-ТАСС : Central China hit by flood, over 5,000 evacuated
    ИТАР-ТАСС : Central China hit by flood, over 5,000 evacuated
    ИТАР-ТАСС

    image.jpg

    Central China hit by flood, over 5,000 evacuated

    Photo ITAR-TASS

    BEIJING, June 28. /ITAR-TASS reporter Andrey Kirillov /. More than 5,000 people have been evacuated in Hunan province, Central China, due to a flood caused by heavy rains not stopping since Monday.
    As reported today by Xinhua News Agency, about 310 thousand people in 173 villages have been affected by the disaster. According to local emergency flood and drought control service, it has caused serious damage to irrigation facilities, transport infrastructure and energy supply system. The most affected is the city of Huaihua in the western part of the province. In the area of ​​Hechen the precipitation level over the past day has exceeded 250 mm.
    Forecasters, meanwhile, predict continuation of rains in the next three days. Increased flood risk is declared in the basin Zhuanshuy, Tszyshuy and Xiang, where new floods are expected.
     

แชร์หน้านี้

Loading...