ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ก้องภพ อยู่เย็น shared a link.
    about an hour ago near Arlington, VA.วันที่ 22 มิถุนายน เวลา 12 UT

    เกิดปฏฺิกริยาดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่มุมกว้าง มีขนาดซึ่งเทียบเท่ากับในวันที่ 21 แต่ทิศทางหลักไปทาง-ทิศตะวันตก- ในช่วงเดียวกันยังพบปริมาณจุดดับขึ้นสูงสุดในรอบ 14 วัน ในวันที่ 24 มิถุนายน เวลา 8:08 UT พบปฏิกริยาที่ดวง...อาทิตย์อีกครั้ง เป็นมุมกว้าง -ทางทิศตะวันตก- เหตุการณ์ที่ดวงอาทิตย์ช่วงนี้ยังส่งรังสี X-ray ปริมาณสูงระดับ M2 ออกมาในวันที่ 23 มิย เวลา 20:56 UT จากการคำนวณพบว่าพลังงานจากเหตุการณ์ในวันที่ 24 จะแพร่กระจายมาในวงโคจรของโลกในวันที่ 27 มิถุนายน เวลา 6 UT +/- 10 ชั่วโมง

    ทุกท่านที่สนใจความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติบนโลกที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์ครั้งนี้ สามารถติดตามได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 28 มิถุนายน ครับ

    ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมของเหตุการณ์ดังกล่าวมีดังนี้
    - ภาพถ่ายมุมกว้างที่ดวงอาทิตย์โดยมองจากโลกวันที่ 22 มิย CACTUS CME Details
    - โมเดลจำลองการแพร่กระจายพลังงานของเหตุการณ์ในวันที่ 24 มิย http://iswa.ccmc.gsfc.nasa.gov:8080/IswaSystemWebApp/StreamByDataIdServlet?allDataId=538822937
    - ภาพถ่ายมุมกว้างที่ดวงอาทิตย์โดยโลกอยู่ทางด้านซ้ายมือ วันที่ 24 และ 22 มิย
    http://stereo.gsfc.nasa.gov/browse/2013/06/24/ahead_20130624_cor2_512.mpg
    http://stereo.gsfc.nasa.gov/browse/2013/06/22/ahead_20130622_cor2_512.mpg
    - การปะทุในวันที่ 23 มิย ที่สามารถสังเกตรังสี X ปริมาณสูงออกมา http://spaceweather.com/images2013/...8E63.mov?PHPSESSID=o0u8k76e8v2vh8ifs0ho0usor7
    - ดัชนีจุดดับขึ้นถึงค่าสูงสุดในวันที่ 22 มิย ESA Daily Sun Spot Number

    CME.jpg
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แนวแผ่นเปลือกโลกแยกตัว (Divergent Plate Boundaries)

    แนวแผ่นเปลือกโลกแยกตัว คือบริเวณที่ซึ่งแผ่นเปลือกโลกมีการเคลื่อนออกจากกัน ซึ่งเกิดขึ้นบนบริเวณที่มีการลอยขึ้นของการหมุนเวียนความร้อน (rising convection currents ) กระแสความร้อนที่ลอยขึ้นได้ผลักดันส่วนล่างของ ธรณีภาค (lithosphere) จนยกขึ้นและไหลไปทางด้านข้างภายใต้ธรณีภาค (ตามลูกศรสีแดง) การไหลไปทางด้านข้างนี้ได้ลากแผ่นเปลือกโลกด้านบนให้ไหลตามไปด้วย แผ่นเปลือกโลกที่ยกตัวขึ้นจะบางลงจนแตกและแยกออกจากกันในที่สุด

    divergent-boundary-oceanic.gif

    แนวแผ่นเปลือกโลกแยกตัว - ภาคพื้นมหาสมุทร: (ดูภาพประกอบด้านบน) เมื่อแนวแยกตัวเกิดขึ้นใต้ธรณีภาคมหาสมุทร (oceanic lithosphere) การหมุนเวียนความร้อนแบบลอยขึ้นข้างใต้ได้ยกธรณีภาคขึ้นและก่อให้เกิดเทือกเขากลางสมุทร ( mid-ocean ridge ) แรงยืดขยายออก (extensional forces) ได้ดึงธรณีภาคให้เกิดร่องลึก เมื่อร่องลึกเปิดออก ความกดดันจากชั้นแมนเทิลที่มีความร้อนสูงได้ลดลง ทำให้เกิดการหลอมและเกิดเป็นแมกมาใหม่ (new magma ) ไหลตามแนวร่องลึก หลักจากนั้นแมกมาเกิดการแข็งตัว ซึ่งกระบวณการนี้จะเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่อยๆ

    เทือกเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติก ( Mid-Atlantic Ridge ) คือตัวอย่างของแนวเปลือกโลกแยกตัวชนิดนี้ เทือกเขานี้มีความสูงมากเมื่อเทียบกับพื้นมหาสมุทรรอบข้าง เนื่องจากการยกตัวจากการหมุนเวียนความร้อนข้างใต้ ส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดกันว่าเทือกเขานี้เกิดจากการก่อตัวของวัสดุจากภูเขาไฟ แท้ที่จริงแล้วแมกมาที่อยู่ในร่องลึกนั้นไม่ได้ไหลท่วมออกมาเหนือพื้นมหาสมุทรแต่อย่างใด แต่ได้แข็งตัวในร่องลึกและก่อให้เกิดภูมิประเทศที่สูงขึ้น เมื่อมีการประทุออกมาอีกครั้ง บริเวณตรงกลางร่องลึกที่มีแมกมาที่เย็นตัวแล้วจะถูกแทรกกลาง (แหวกกลาง) ด้วยแมกมาใหม่ที่กำลังแข็งตัวและจะติดอยู่ตรงส่วนปลายของเปลือกโลกแต่ละแผ่นที่แยกออกจากกัน

    ลักษณะที่พบตามแนวแผ่นเปลือกโลกแยกตัวภาคพื้นมหาสมุทร ได้แก่ เทือกเขาใต้ทะเล เช่น เทือกเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติก ภูเขาไฟในลักษณะการประทุในร่องลึก แผ่นดินไหวระดับตื้น การสร้างพื้นมหาสมุทรใหม่และการขยายตัวกว้างขึ้นของแอ่งมหาสมุทร (ocean basin)


    --------------------------------------------------------------------------------
    divergent-boundary-continental.gif



    แนวแผ่นเปลือกโลกแยกตัว - ภาคพื้นทวีป: (ดูภาพประกอบด้านบน) เมื่อแนวแผ่นเปลือกโลกแยกตัวเกิดขึ้นใต้แผ่นเปลือกโลกภาคพื้นทวีปที่หนา การแยกตัวนั้นไม่มีแรงมากพอที่จะทำให้เกิดการเปิดแยกออกของเปลือกโลกอย่างสมบูรณ์ บริเวณดังกล่าวแผ่นเปลือกโลกจะโก่งตัวขึ้นเนื่องจากการลอยขึ้นของการหมุนเวียนความร้อน ทำให้เปลือกโลกบางลงเนื่องจากแรงขยายตัวทางด้านข้าง และแตกหักในลักษณะโครงสร้างเขาทรุด (rift-shaped structure) ในขณะที่เปลือกโลกเกิดการแยกตัว ได้เกิดรอยเลื่อนปกติ ( normal faults ) ขึ้นทั้งสองด้านของเขาทรุดและพื้นที่ตรงกลางมีการเลื่อนลง ซึ่งผลจากการแตกหักและเคลื่อนที่เหล่านี้ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้น ในช่วงแรกของการเกิดเขาทรุด (rift-forming process) ทางน้ำและแม่น้ำจะไหลลงไปในหุบเขาทรุด ( rift valley ) ทำให้เกิดทะเลสาบรูปร่างยาว ในขณะที่เขาทรุดลึกลงเรื่อยๆ จนต่ำกว่าระดับน้ำทะเล (sea level) น้ำทะเลก็จะไหลเข้ามาในบริเวณดังกล่าว ซึ่งจะทำให้เกิดทะเลแคบและตื้นในบริเวณเขาทรุด เขาทรุดนี้สามารถที่จะขยายตัวกว้างและลึกขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดแอ่งมหาสมุทรใหม่ได้

    หุบเขาทรุดแอฟริกาตะวันออก ( East Africa Rift-Valley ) คือตัวอย่างของแนวแผ่นเปลือกโลกแยกตัวชนิดนี้ หุบเขาทรุดแอฟริกาตะวันออกนั้นอยู่ในช่วงต้นของกระบวนการแยกตัว ซึ่งหุบเขาทรุดยังไม่เกิดแบบสมบูรณ์และหุบเขาทรุดยังอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล แต่ก็มีทะเลสาบปรากฏให้เห็นในหลายบริเวณ ทะเลแดง ( Red Sea ) คือตัวอย่างแนวแผ่นเปลือกโลกแยกตัวที่มีการเกิดเขาทรุดอย่างสมบูรณ์ ซึ่งแผ่นเปลือกโลกได้แยกตัวออกจากกันและส่วนกลางของเขาทรุดได้ลงต่ำลงจนต่ำกว่าระดับน้ำทะเล

    ลักษณะที่พบตามแนวแผ่นเปลือกโลกแยกตัวภาคพื้นทวีปได้แก่ หุบเขาทรุดที่บางครั้งมีทะเลสาบเป็นแนวยาวหรือแขนงของมหาสมุทรระดับตึ้นปรากฎอยู่ รอยเลื่อนปกติมากมายรอบหุบเขาทรุด และแผ่นดินไหวระดับตื้นตามแนวรอยเลื่อนปกติ บางครั้งอาจเกิดภูเขาไฟภายในหุบเขาทรุด


    --------------------------------------------------------------------------------
    ที่มา: Divergent Plate Boundaries - Divergent Boundary - Geology.com
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 25 มิถุนายน 2556 เวลา 05.04 แผ่นดินไหวขนาด 6.4 บริเวณ ทางเหนือของ สันเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติค ที่ความลึก 10.00 กม. แผ่นดินไหวแถวนี้จะไม่เกิดสึนามิ เพราะเป็นชนิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลกแบบ transform ( สันเขากลางมหาสมุทร เป็นจุดที่เปลือกโลกแยกตัวออกหรือ divegent)
    M6.4-Northern-Mid-Atlantic-Ridge-2013-06-24-22-04-13-UTC.jpg
    ข้อมูลจาก เว็บภัยพิบัติ Paipibat.com | ให้ความจริง ให้ความรู้ ทางภัยพิบัติ เพื่อสู้ข่าวลือ ลดความตื่นกลัว
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เทือกเขากลางสมุทร
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    1.jpg


    ตำแหน่งการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ของเทือกเขากลางสมุทรของโลก จาก USGS

    2.jpg

    เทือกเขากลางสมุทร

    3.jpg

    เปลือกโลกใต้มหาสมุทรเกิดขึ้นที่เทือกเขากลางสมุทร ขณะที่ธรณีภาคชั้นนอกมุดลงไปยังฐานธรณีภาคที่ร่องลึกก้นสมุทร
    เทือกเขากลางสมุทร (อังกฤษ: mid-oceanic ridge) คือแนวเทือกเขาใต้ทะเลโดยจะมีแนวร่องหุบที่รู้จักกันในนามของร่องแยก (rift) ที่สันของแนวเทือกเขาซึ่งเกิดขึ้นจากกระบวนการธรณีแปรสัณฐาน รูปแบบของเทือกเขากลางสมุทรนี้เป็นลักษณะที่รู้จักกันว่าเป็นแนว “ศูนย์กลางของการแยกแผ่ขยายออก” ซึ่งเป็นการแผ่ขยายออกของแผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทร การยกตัวของพื้นมหาสมุทรเป็นผลเนื่องมาจากกระแสการพาความร้อน (convection currents) ซึ่งเป็นการดันตัวขึ้นมาของหินหนืดจากชั้นฐานธรณีภาคตามแนวที่อ่อนตัวของพื้นมหาสมุทรโดยการปะทุขึ้นมาในรูปของลาวา เกิดเป็นเปลือกโลกใหม่เมื่อเย็นตัวลง เทือกเขากลางสมุทรเป็นแนวขอบเขตรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกทางเทคโทนิกสองแผ่นและถือกันว่าเป็นแนวแผ่นเปลือกโลกแยกตัว
    เทือกเขากลางสมุทรของโลกมีการเชื่อมต่อกันเกิดเป็นระบบแนวเทือกเขากลางสมุทรระบบหนึ่งของทุกๆมหาสมุทรทำให้ระบบเทือกเขากลางสมุทรเป็นแนวเทือกเขาที่ยาวที่สุดของโลก แนวเทือกเขาที่ยาวต่อเนื่องกันนี้รวมกันแล้วมีความยาวทั้งสิ้นถึง 80,000 กิโลเมตร[1]
    เนื้อหา
    [ซ่อน]
    • 1 ลักษณะสัณฐาน
    • 2 กระบวนการเกิด
    • 3 การค้นพบ
    • 4 ผลกระทบ
    • 5 รายชื่อเทือกเขากลางสมุทร
    • 6 รายชื่อเทือกเขากลางสมุทรโบราณ
    • 7 อ้างอิง

    ลักษณะสัณฐาน[แก้]
    ในทางธรณีวิทยาแล้วเทือกเขากลางสมุทรนั้นมีพลังด้วยการมีหินหนืดใหม่ๆถูกดันตัวขึ้นมาบนพื้นมหาสมุทรและเข้าไปในชั้นเปลือกโลกบริเวณใกล้ๆกับแนวสันกลาง หินหนืดที่เย็นตัวลงจะตกผลึกเกิดเป็นเปลือกโลกใหม่ของหินบะซอลต์และแกรโบร
    หินที่ประกอบเป็นชั้นเปลือกโลกใต้พื้นท้องทะเลจะมีอายุอ่อนที่สุดตรงบริเวณสันกลางและอายุจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามระยะทางจากแนวสันกลางออกไป หินหนืดที่มีองค์ประกอบเป็นหินบะซอลต์ได้ดันตัวขึ้นมาที่แนวสันกลางเพราะว่าหินอัคนีด้านใต้จากชั้นเนื้อโลกมีการหลอมเหลวและขยายตัว[2]
    เปลือกโลกใต้มหาสมุทรประกอบไปด้วยหินที่มีอายุอ่อนกว่าอายุของโลกมาก โดยชั้นเปลือกโลกทั้งหมดในแอ่งมหาสมุทรจะมีอายุอ่อนกว่า 200 ล้านปี เปลือกโลกมีการเกิดขึ้นใหม่ในอัตราคงที่ที่สันกลางสมุทร การเคลื่อนที่ออกจากเทือกเขากลางสมุทรทำให้ความลึกของมหาสมุทรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนที่ลึกที่สุดคือร่องลึกก้นสมุทร ขณะที่ชั้นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรเคลื่อนที่ออกจากสันกลางนั้น หินเพริโดไทต์ในชั้นเนื้อโลกที่อยู่ด้านใต้เกิดการเย็นตัวลงมีสภาพที่แข็งแกร่งขึ้น ชั้นเปลือกโลกและหินเพริโดไทต์ที่อยู่ด้านใต้นี้ทำให้เกิดธรณีภาคชั้นนอกใต้มหาสมุทร
    กระบวนการเกิด[แก้]
    มีอยู่ 2 กระบวนการคือ การดันของเทือกเขากลางสมุทร (ridge-push) และการดึงของแผ่นเปลือกโลก (slab-pull) ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการเคลื่อนที่แยกออกจากเทือกเขากลางสมุทรแต่ก็ยังมีสิ่งที่ไม่แน่ชัดว่ากระบวนการไหนจะโดดเด่นกว่ากัน กระบวนการดันของเทือกเขากลางสมุทรนั้นเกิดขึ้นเมื่อน้ำหนักของเทือกเขาผลักส่วนที่เป็นแผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรให้เคลื่อนที่ออกไปจากแนวสันกลางปรกติจะผลักจนไปมุดลงที่แนวร่องลึกก้นทะเล ที่แนวมุดตัวนี้กระบวนการดึงของแผ่นเปลือกโลกจะเกิดขึ้น กระบวนการนี้เกิดขึ้นง่ายๆเพียงน้ำหนักของแผ่นเปลือกโลกที่มุดตัวลงไปนั้นได้เกิดการดึงลงไปด้านล่างด้วยน้ำหนักของมันและลากแผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรด้านบนให้เคลื่อนที่ตามไปด้วย
    อีกกระบวนการหนึ่งที่ได้ถูกเสนอขึ้นมาว่ามีผลต่อการเกิดแผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรใหม่ที่บริเวณเทือกเขากลางสมุทรก็คือการหมุนวนของเนื้อโลก (mantle conveyor) อย่างไรก็ตามได้มีการศึกษาพบว่าส่วนด้านบนสุดของชั้นเนื้อโลกนั้นมีคุณสมบัติเป็นพลาสติกมากเกินไปที่จะทำให้เกิดการเสียดทานอย่างเพียงพอที่จะดึงแผ่นธรณีภาคชั้นนอกใต้มหาสมุทรให้เคลื่อนที่ตามไปได้ มากไปกว่านั้นการดันตัวขึ้นมาของหินหนืดที่ทำให้หินหนืดเกิดที่ใต้เทือกเขากลางสมุทรดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องเฉพาะในส่วนของ 400 กิโลเมตรทางด้านบนเท่านั้น ตัวเลขความลึกนี้ได้มาจากข้อมูลคลื่นไหวสะเทือนและจากรอยสัมผัสไม่ต่อเนื่องของคลื่นไหวสะเทือนที่ระดับความลึกประมาณ 400 กิโลเมตร การดันตัวขึ้นมาของเนื้อโลกในระดับตื้นบริเวณใต้เทือกเขากลางสมุทรดังกล่าวทำให้เชื่อได้ว่ากระบวนการดึงของแผ่นเปลือกโลกน่าจะมีอิทธิพลมากกว่า ทั้งนี้มีแผ่นเปลือกโลกที่ใหญ่ที่สุดของโลกบางแผ่นเช่นแผ่นอเมริกาเหนือที่กำลังเคลื่อนที่อยู่นั้นแต่กลับยังไม่ทราบว่าเกิดการมุดตัวที่ไหน
    อัตราการเกิดวัตถุใหม่ที่เทือกเขากลางสมุทรรู้จักกันว่าเป็นอัตราการแยกแผ่ออกไปและโดยทั่วไปจะวัดกันเป็นมิลลิเมตรต่อปี อัตราการแยกแผ่ออกไปจะแบ่งย่อยเป็น 3 ระดับคือ เร็ว ปานกลาง และช้า ซึ่งโดยทั่วไปจะมีค่าเป็นมากกว่า 100 มม/ปี 100 ถึง 55 มม/ปี และ 55 ถึง 20 มม/ปี ตามลำดับ อัตราการแยกแผ่ออกไปของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือมีค่าประมาณ 25 มม/ปี ขณะที่ในย่านมหาสมุทรแปซิฟิกจะอยู่ระหว่าง 80 – 120 มม/ปี อัตราการแยกแผ่ออกไปที่น้อยกว่า 20 มม/ปีถือว่าเป็นอัตราที่ช้ามาก (อย่างเช่น เทือกเขาแกกเกลในมหาสมุทรอาร์กติกและทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรอินเดีย) ที่ทำให้เกิดมุมมองของการก่อเกิดชั้นเปลือกโลกที่แตกต่างมากกว่าการแผ่แยกออกไปที่มีอัตราที่เร็วกว่า
    ระบบเทือกเขากลางสมุทรก่อให้เกิดแผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทร ขณะที่หินหนืดปะทุขึ้นมาและเย็นตัวลงใต้จุดคูรีจะตกผลึกเป็นหินบะซอลต์ที่บริเวณเทือกเขากลางสมุทร ทิศทางของสนามแม่เหล็กของออกไซด์เหล็ก-ไททาเนียมที่ถูกบันทึกอยู่ในออกไซด์เหล่านั้นจะขนานไปกับสนามแม่เหล็กโลก ทิศทางการวางตัวของออกไซด์ดังกล่าวจะถูกบันทึกไว้ในชั้นเปลือกโลกและจะถือว่าเป็นการบันทึกสนามแม่เหล็กโลกไปตามกาลเวลา เนื่องจากสนามแม่เหล็กมีการสลับทิศทางเป็นช่วงๆเป็นจังหวะที่ไม่แน่นอนตลอดประวัติของมัน รูปแบบการสลับขั้วแม่เหล็กในชั้นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรจึงสามารถใช้ระบุอายุของหินได้ และรูปแบบการสลับขั้วพร้อมกับการตรวจวัดอายุของชั้นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรนั้นทำให้ทราบประวัติการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโลกได้
    การค้นพบ[แก้]
    เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วเทือกเขากลางสมุทรจะจมอยู่ใต้ทะเลลึกจึงไม่เป็นที่รู้จักกันจนกระทั่งทศวรรษที่ 1950 เมื่อถูกค้นพบเนื่องมาจากการสำรวจพื้นท้องมหาสมุทรโดยเรือวิจัย
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือวิจัยเวม่าซึ่งเป็นเรือสำรวจโลกลามอนต์-โดเฮอร์ทีของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียได้ทำการสำรวจแนวขวางมหาสมุทรแอตแลนติกได้ทำการบันทึกข้อมูลพื้นผิวมหาสมุทร คณะสำรวจนำโดยแมรี ธาร์พ และบรูซ ฮีเซนได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปว่ามีแนวเทือกเขาใหญ่อยู่ตรงกลางของมหาสมุทรแอตแลนติก แนวเทือกเขาดังกล่าวถูกตั้งชื่อว่าเทือกเขากลางสมุทรแอตแลนติกซึ่งยังถือว่าเป็นส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดของเทือกเขากลางสมุทร ถือเป็นเหตุผลของการใช้คำว่า “กลางสมุทร” ในหัวข้อบทความนี้เนื่องด้วยมีเพียงที่แอตแลนติกเท่านั้นที่ระบบเทือกเขาอยู่ตรงกลางของมหาสมุทร
    ในครั้งแรกนั้นมันถูกคิดว่าเป็นลักษณะเฉพาะที่พบได้ในมหาสมุทรแอตแลนติกเนื่องด้วยยังไม่เคยมีการค้นพบลักษณะเป็นแนวเทือกเขายาวต่อเนื่องอยู่ใต้ทะเลในลักษณะนี้มาก่อน อย่างไรก็ตามเมื่อทำการสำรวจพื้นมหาสมุทรไปทั่วโลกพบว่าทุกๆมหาสมุทรก็มีลักษณะของเทือกเขากลางสมุทรในลักษณะนี้เช่นกัน
    ผลกระทบ[แก้]

    4.jpg

    แผ่นเปลือกโลกตามทฤษฎีเพลตเทคโทนิก
    อัลเฟรด วีเจนเนอร์ได้เสนอทฤษฎีทวีปจรในปี 1912 อย่างไรก็ตามทฤษฎีนี้ไม่เป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักธรณีวิทยา เนื่องจากไม่มีคำอธิบายถึงกลไกลที่ว่าทวีปสามารถลู่ไถลไปบนแผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรได้อย่างไร และทฤษฎีนี้ก็ถูกลืมเลือนไป
    ภายหลังการค้นพบเทือกเขากลางสมุทรในทศวรรษที่ 1950 บรรดานักธรณีวิทยาก็ต้องเผชิญกับภารกิจใหม่ที่จะต้องอธิบายว่าโครงสร้างทางธรณีวิทยาอย่างเทือกเขากลางสมุทรนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ในทศวรรษที่ 1960 นักธรณีวิทยาได้มีการค้นพบและมีการนำเสนอกลไกลของการแยกแผ่ออกไปของแผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทร เพลตเทคโทนิกเป็นการอธิบายที่เหมาะสมในเรื่องของการแยกแผ่ออกไปของแผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรและการยอมรับกันอย่างกว้างขวางในเรื่องเพลตเทคโทนิกของนักธรณีวิทยานี้ยังผลทำให้ถูกใช้เป็นแบบฉบับในการคิดในทางธรณีวิทยา
    มีการประมาณการกันว่าปีหนึ่งๆจะมีการปะทุของภูเขาไฟถึง 20 ครั้งตามแนวเทือกเขากลางสมุทรของโลกและทุกๆปีจะเกิดพื้นท้องทะเลใหม่เพิ่มเติมขึ้นประมาณ 2.5 ตารางกิโลเมตรจากกระบวนการนี้ กล่าวคือจะมีการเกิดเปลือกโลกหนา 1 ถึง 2 กิโลเมตรหรือคิดเป็นปริมาตรประมาณ 4 ลูกบาศก์กิโลเมตรเพิ่มขึ้นทุกๆปี[ต้องการอ้างอิง]
    รายชื่อเทือกเขากลางสมุทร[แก้]
    • เทือกเขาชิลี
    • เทือกเขาโคโคส
    • เทือกเขาแปซิฟิกตะวันออก
    • เทือกเขาเอ๊กพลอเรอร์
    • เทือกเขาแกกเกล (เทือกเขากลางสมุทรอาร์กติก)
    • เทือกเขากอร์ดา
    • เทือกเขาจวนเดอฟูก้า
    • เทือกเขากลางสมุทรแอตแลนติก
    • เทือกเขาแปซิฟิก-แอนตาร์กติก
    • เทือกเขาเรย์กจาเนส
    • เทือกเขาอินเดียกลาง
    • เทือกเขาอินเดียตะวันออกเฉียงใต้
    • เทือกเขาอินเดียตะวันตกเฉียงใต้
    รายชื่อเทือกเขากลางสมุทรโบราณ[แก้]
    • เทือกเขาฟีนิกซ์
    • เทือกเขาอิซานากิ
    • เทือกเขากูลา-ฟาราลลอน
    • เทือกเขาแปซิฟิก-กูลา
    • เทือกเขาแปซิฟิก-ฟาราลลอน
    • เทือกเขาเบลลิงชอเสน
    • เทือกเขาอีเกอร์
    อ้างอิง[แก้]
    1. ↑ Cambridge Encyclopedia 2005 - Oceanic ridges
    2. ↑ Marjorie Wilson. (1993). Igneous petrogenesis. London: Chapman & Hall. ISBN 9780412533105.
    ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=เทือกเขากลางสมุทร&oldid=4978825".
    หมวดหมู่:
    • กระบวนการทางธรณีวิทยา
    • แผ่นเปลือกโลก
    • ธรณีสัณฐานภูเขาไฟ
    • ธรณีสัณฐานชายฝั่งและมหาสมุทร
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พระสูตรก่อนนิทราสำหรับวันที่ 25 มิถุนายน 2556 คือพระสูตรล้างกรรมจากการทำแท้ง ผมรับรอง 100 % ศักดิ์สิทธิ์สุดๆ

    กุมารปาล จิรายุวัฒน นิโรธกรรม ธารณีสูตร

    พระพุทธปาลิตมหาเถระ๑ ชาวเมืองกุภา๒ ชาวอินเดียเหนือ แปลจากสันสกฤตพากย์สู่จีนพากย์
    พระวิศวภัทร เสี่ยเกี๊ยก(釋聖傑) วัดเทพพุทธาราม แปลจากจีนพากย์สู่ไทยพากย์
    เมื่อพุทธายุกาลล่วงแล้ว ๒๕๕๑ ปี ๗ เดือน (เริ่มแปลวันที่ ๗-๑๗ กรกฎาคม)

    ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ สมัยหนึ่งพระพุทธองค์ประทับยับยั้งที่เมืองราชคฤห์ในคิชฌกูฏสิงขร
    พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่หนึ่งพันสองร้อยห้าสิบรูป มหาโพธิสัตว์หนึ่งหมื่นสองพันองค์ และบรรดาเทวดา
    นาค ภูติในคติแปด มนุษย์และอมนุษย์ต่างมารวมกันอยู่เพื่อสดับการแสดงธรรม

    สมัยนั้นพระโลกนาถเจ้า ทรงใช้กำลังแห่งพุทธานุภาพ ฉายศุภรังสีนานาประการออกจากพระโอษฐ์
    อันมีวรรณะห้าประการ มีเขียว เหลือง แดง ขาว เป็นต้น แต่ละวรรณะหนึ่งนั้นมีพุทธนิรมิตจำนวน
    ประมาณมิได้ อันสามารถกระทำพุทธกิจได้เป็นอจินไตย แต่ละพุทธนิรมิตหนึ่งๆ ก็มีโพธิสัตว์นิรมิตอีก
    จำนวนประมาณมิได้ ที่สรรเสริญอยู่ซึ่งพระพุทธคุณ อันรัศมีนั้นมีความสวยงามและวิเศษยิ่งนัก จักหยั่ง
    วัดได้โดยยาก เบื้องบนจรดเนวสัญญานาสัญญาทิพยภูมิ เบื้องล่างจนถึงอเวจีมหานรกและนิรยสถานอีก
    แปดหมื่นโดยรอบนั้นก็ส่องฉายไปถึง สรรพสัตว์ในนั้นที่ได้ประสบพระพุทธรังสีนี้แล้ว ย่อมมีปกติระลึกถึง
    พระพุทธเจ้า แล้วล้วนได้บรรลุอุปายสมาธิของพระโพธิสัตว์ที่ดำรงปฐมภูมิ
    ครั้งนั้นท่ามกลางธรรมสภา มีโพธิสัตว์ผู้เพิ่งบังเกิดโพธิจิตสี่สิบเก้าคน ล้วนปรารถนาจักขอความมี
    อายุยืนยาวจากพระพุทธองค์ แต่มิอาจทูลถาม
    พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ล่วงรู้ความสงสัยเหล่านั้น จึงลุกจากอาสนะลดผ้าอุตตราสงค์เฉวียงบ่าขวา
    ประนมกรด้านพระพุทธองค์แล้วทูลว่า ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์พบว่าในธรรมสภาแห่งนี้มีผู้สงสัยอยู่ บัดนี้จึงขอประทานพระบรมพุทธานุญาตทูลถาม ขอพระตถาคตโปรดสดับด้วยเถิด

    ตรัสว่า สาธุๆ มัญชุศรี เธอสงสัยก็จงถามเถิด

    พระมัญชุศรีทูลว่า ข้าแต่พระโลกนาถ สรรพสัตว์ทั้งปวงในสังสารวัฏสาคร ได้กระทำอกุศลกรรมต่างๆ จากกัลป์๓หนึ่งถึงอีกกัลป์หนึ่ง วนเวียนอยู่ในภูมิทั้งหก แม้นว่ามีกายมนุษย์แต่ได้รับวิบากให้อายุขัยสั้น ด้วยเหตุไฉนจักยังให้สัตว์เหล่านั้นมีอายุขัยยืนยาว สลายอกุศลกรรมทั้งปวง ขอพระโลกนาถเจ้า ตรัสธรรมอันยังให้มีอายุขัยยืนยาวนานด้วยเถิดพระเจ้าข้า

    ตรัสว่า มัญชุศรีเธอมีเมตตายิ่งใหญ่ประมาณมิได้ ที่ระลึกถึงบาปทุกข์ของสรรพสัตว์ จึงสามารถ
    ถามเรื่องราวเหล่านั้น หากตถาคตกล่าว สรรพสัตว์ทั้งปวงจักมิอาจศรัทธาน้อมรับ
    พระมัญชุศรีได้ทูลย้ำว่า ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ผู้สัพพัญญู ผู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ ใน
    หมู่สัตว์ผู้โง่เขลาทั้งปวงทรงเป็นบิดาผู้มีเมตตายิ่งใหญ่ พระสุรเสียงเดียวของพระองค์ที่เป็นมหาธรรมราชา ขอพระโลกนาถเจ้าโปรดสงสาร ตรัสแสดงให้กว้างขวางออกไปเถิดพระเจ้าข้า


    พระพุทธองค์ทรงแย้มสรวลแล้วรับสั่งกับมหาชนว่า เธอทั้งหลายพึงสดับเถิด ตถาคตจะกล่าวแก่
    เธอ เมื่ออดีตชาติมีโลกธาตุหนึ่งชื่อ ศุทธิวิมล ดินแดนนั้นมีพระพุทธเจ้าพระนามว่า สมันตประภาสัมมาทัศนะ เป็นผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น ผู้ไกลจากกิเลสและควรบูชา ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ ผู้เสด็จไปดีแล้วผู้รู้แจ้งโลก ผู้ยอดเยี่ยมหาผู้อื่นเสมอมิได ้ ผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ผู้ตื่นแล้วและเป็นที่พึ่งแห่งโลก มีโพธิสัตว์หมู่ใหญ่ประมาณจำนวนมิได้ หาขอบเขตมิได้แวดล้อมอยู่ด้วยเคารพ

    เมื่อพุทธุปบาทกาลครั้งนั้น มีอุบาสิกาหนึ่งชื่อ วิปลาส ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก
    จึงปรารถนาจักออกบวช ได้ร้องไห้คร่ำครวญมาทูลพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นว่า ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า
    หม่อมฉันมีอกุศลกรรม ปรารถนาจักขมากรรม ขอพระโลกนาถเจ้าโปรดสดับวาจาของหม่อมฉันด้วยเถิดเมื่อกาลก่อนหม่อมฉันได้ทำลายครรภ์ที่ครบแปดเดือนบริบูรณ์ เพราะกฎของบ้านจึงมิต้องการเด็กเอาไว้จึงวางยาพิษสังหารบุตรทำลายครรภ์ บุตรที่เป็นตายนี้มีลักษณะของมนุษย์โดยสมบูรณ์แล้ว เคยได้ยินบัณฑิตกล่าวกับหม่อมฉันว่า หากทำลายครรภ์แล้ว บุคคลนี้ในชาติปัจจุบันย่อมเป็นผู้มีโรคร้ายแรง มีอายุขัยสั้นชะตาเปราะบาง จะตกสู่อเวจีรับทุกขเวทนาแสนสาหัส บัดนี้หม่อมฉันใคร่ครวญแล้วจึงเกรงกลัวยิ่งนัก ขอพระโลกนาถเจ้าทรงอาศัยกำลังแห่งพระเมตตากรุณา แสดงธรรมแก่หม่อมฉันให้ได้โอกาสออกบวช งดเว้นซึ่งทุกข์นั้นด้วยเถิด

    สมัยนั้น พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคต พระกรุณาตรัสแก่นางวิปลาสว่า ในจักรวาลมีขมา
    กรรมห้าชนิดที่ยากจักสลายกรรมได้ มีประการใดฤๅ หนึ่งฆ่าบิดา สองฆ่ามารดา สามปหารครรภ์ สี่ยังพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ห้าทำลายสามัคคีแห่งสงฆ์ อกุศลกรรมเหล่านี้แหละ ที่มีบาปยากจักดับสลาย

    ครั้งนั้นนางวิปลาส จึงร้องไห้คร่ำครวญแล้วหลั่งรินน้ำตาดั่งสายฝน กระทำเบญจางคประดิษฐ์ เฉพาะพระพุทธพักตร์แล้วทูลว่า พระโลกนาถเจ้าทรงพระเมตตายิ่งใหญ่อนุเคราะห์คุ้มครองสัตว์ทั้งปวงขอพระโลกนาถเจ้าสงสารหม่อมฉันโปรดแสดงธรรมด้วยเถิด

    พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคต ทรงกล่าวย้ำอีกว่า อกุศลกรรมนี้ของเธอ จักยังให้ตกอเวจี
    มหานรกหาการหยุดพักมิได้ ในนรกร้อนเมื่อได้สัมผัสลมเย็นชั่วครู่ อกุศลบุคคลก็ยังเย็นชั่วครู่ ในนรกเย็น เมื่อได้สัมผัสลมร้อนชั่วครู่ อกุศลบุคคลก็ร้อนชั่วครู่ แต่อเวจีนรกนั้นมิเป็นเช่นนี้ เพลิงจากด้านบนลุกโชนตลอดถึงเบื้องล่าง เพลิงจากเบื้องล่างพวยพุ่งตลอดถึงเบื้องบน ทั้งสี่ด้านเป็นกำแพงเหล็กกล้า ด้านบนมีตาข่ายเหล็กกล้า ทวารด้านตะวันออก ตะวันตกทั้งสี่ทิศล้วนร้อนแรงด้วยเปลวเพลิงแห่งกรรม หากมีบุคคลเดียวกายก็จักเต็มไปด้วยเพลิง แม้นจักมีกายสูงแปดหมื่นโยชน์ก็ตาม ฤๅหากมีหลายคนก็จักเต็มไปด้วยเพลิงทั้งสิ้น ทั่วสรรพางกายแห่งคนบาปนั้นจักมีอสรพิษเหล็กขนาดมหึมา ที่มีพิษร้ายแรงยังให้เกิดทุกขเวทนายิ่งด้วยเปลวเพลิง บ้างเลื้อยเข้าทางปาก บ้างเข้าทางตาแล้วออกทางหู ผูกรัดอยู่รอบกาย เป็นเวลาจากกัลป์หนึ่งถึงอีกกัลป์หนึ่ง แขนและขาของคนบาปนั้นจักมีเปลวเพลิงประทุออกมาอยู่เป็นนิจ ยังมีอีกาเหล็กที่จิกกินเนื้อ บ้างก็มีสุนัขทองแดงมากัดเคี้ยวกายนั้น มีนายนิรยบาลซึ่งมีศีรษะเป็นวัวถือมีดดาบ
    ไล่ตวาดด้วยเสียงอันดุร้ายประหนึ่งอสุนีบาต เธอเป็นผู้ปหารครรภ์เสียแล้ว พึงรับทุกข์เช่นนี้ หากเรามุสาแล้วไซร้ ย่อมมิได้ชื่อว่าพุทธะ__

    ครั้งนั้นเมื่อนางวิปลาส ได้สดับพระพุทธวจนะแล้ว จึงยิ่งร้องไห้คร่ำครวญแล้วเกลือกกลิ้งที่ผืนดิน
    เมื่อสติเริ่มคืนกลับจึงกราบทูลพระพุทธองค์อีกว่า ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า หาใช่หม่อมฉันผู้เดียวที่จักรับทุกขเวทนานั้น แต่ยังมีสรรพสัตว์ต่างๆที่จักได้รับทุกข์เช่นนี้ด้วย

    พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคตตรัสกับนางวิปลาสว่า บุตรแห่งเธอนั้นอยู่ในครรภ์ประกอบด้วยมนุษยลักษณะสมบูรณ์ เมื่อยามจักกำเนิด(ดั่งอยู่)ในที่สองแห่ง อุปมานรกที่มีศิลาสองก้อน
    กดทับอยู่บนกาย มารดาหากกินอาหารร้อน(บุตร)ก็เหมือนอยู่ในนรกร้อน มารดากินอาหารเย็น ก็ดุจอยู่ในนรกเย็น ทุกข์ทรมานอยู่ในความมืดมิดจนถึงวันสุดท้าย เธอยังมีจิตบาป วางยาพิษเสีย อกุศลกรรมนี้ของเธอ จักยังให้ตกสู่อเวจี คนบาปในนรกนั่นแลจักเป็นสหายของเธอ

    นางวิปลาสโศกเศร้าแล้วทูลอีกว่า หม่อมฉันได้ยินบัณฑิตกล่าวเช่นนี้ว่า หากกระทำกรรมชั่วทั้งปวง
    แล้วได้พบพระพุทธเจ้าและสงฆ์ เมื่อขมากรรมแล้วกรรมย่อมดับไปได้ หาไม่แล้วเมื่อสิ้นชีพจักเข้าสู่นรกทั้งหลาย ผู้กระทำกุศลเล็กน้อยจักได้เกิดยังสวรรค์ เป็นตามมตินี้หรือไม่ ขอพระองค์ตรัสแก่หม่อมฉันด้วยเถิด

    พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคตตรัสกับนางวิปลาสว่า หากมีสรรพสัตว์ที่ทำกรรมร้ายแรงทั้ง
    ปวง เมื่อพบพระพุทธเจ้าและสงฆ์ ได้ขมากรรมสำนึกผิดด้วยความจริงใจ แล้วไม่กระทำอีก บาปนั้นย่อมดับสลายไป เมื่อสิ้นชีพแล้วพญายมราชผู้ทรงธรรมจักไต่ถามด้วยยังไม่แน่ชัด ญาติมิตรทั้งหกประเภท คือ พ่อ แม่ พี่ น้อง เมีย ลูก ผู้ ยังมีชีวิตอยู่ของผู้สิ้นชีพนั้น หากได้อัญเชิญพระพุทธเจ้าและนิมนต์หมู่สงฆ์ให้ภายในเจ็ดทิวาเจ็ดราตรีมาสังวัธยายมหายานสูตรซ้ำๆ ร่ำสุคนธ์และเกลี่ยดอกไม้บูชาแล้วไซร้ จักมียมทูตผู้ตรวจสอบความดีชั่วถือธวัชเบญจรงค์ ๕ คือ ธง ๕ สี ซึ่งถือว่าเป็นธงมงคล มายังเบื้องหน้ายมราช ตลอดทั้งเบื้องหน้าและหลังของธงนั้นจะมีเสียงสรรเสริญสดุดีไพเราะน่าฟัง แล้วประกาศต่อยมราชนั้นว่า บุคคลนี้ได้สั่งสมกุศลเอาไว้

    ยังมีผู้สิ้นชีพเป็นอันมากในเจ็ดทิวา ได้หลงเชื่อต่อมิจฉาทิฐิมีความเห็นวิปลาส มิศรัทธาพุทธธรรมคือมหายานสูตร ไร้จิตกตัญญูและจิตเมตตากรุณา จักมียมทูตถือเอากาฬธวัชมา ตลอดทั้งเบื้องหน้าและหลังของธงสีดำนั้น จะมีปีศาจร้ายจำนวนประมาณมิได้ ประกาศต่อยมราชนั้นว่า บุคคลนี้ได้สั่งสมอกุศลเอาไว้
    ครั้งนั้นยมธรรมราชา เมื่อได้เห็นธวัชเบญจรงค์มาถึงจิตก็เป็นสุขโสมนัสยิ่งนัก จักกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า ขอให้กายอันเป็นโทษของเรามีกุศลเช่นเธอด้วยเถิด ในเพลานั้น ในนิรยสถานทั้งหลาย จึงแปรเปลี่ยนเป็นบ่อน้ำใส ภูเขาดาบ ต้นไม้มีด ก็(แปรเปลี่ยน)ดุจดอกบัว บรรดาคนบาปทั้งปวงนั้นล้วนได้รับความสุขเกษม หากได้เห็นกาฬธวัช ยมราชจักโกรธเคืองยิ่งนักกับตวาดด้วยสุรเสียงอันดุดัน แล้วนำคนบาปไปยังนรกทั้งสิบแปดขุม บ้างขึ้นต้นไม้มีด บ้างอยู่ในภูเขาดาบ บ้างนอนบนเตียงเหล็กร้อน บ้างอุ้มเสาทองแดงร้อน มียมทูตศีรษะวัวมาตัดดึงลิ้น บดขยี้ร่างกาย ในหนึ่งวันจักเกิดและตายนับหมื่นครั้งวนเวียนอยู่เช่นนี้ บ้างตกสู่อเวจีมหานรกรับทุกขทรมานใหญ่หลวงนัก จากกัลป์หนึ่งถึงกัลป์หนึ่งมิได้หยุดพักแม้ขณะเดียว


    ขณะที่ยังตรัสไม่จบ ขณะนั้นในอากาศมีเสียงอันดุร้ายร้องว่า นางวิปลาส เจ้าได้ปหารครรภ์เสีย
    แล้ว จักได้รับวิปากคืออายุขัยสั้น เราคือยมทูตเหตุนี้จึงมารับเจ้า นางวิปลาสจึงหวาดกลัวตื่นตระหนกแล้ว ร่ำไห้ ยึดพระบาทแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ พลางกล่าวว่า ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า โปรดแสดงธรรมปิฎกของพระพุทธเจ้าทั้งปวง อันจักดับเหตุปัจจัยแห่งบาปแก่หม่อมฉันด้วยเถิด อันความตายจักมาถึงแล้วพระเจ้าข้า

    พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคต ตรัสกับยมทูตนั้นด้วยพระพุทธานุภาพว่า ดูก่อนอนิจจภูติ คือชื่อยมทูตที่มารับดวงวิญญาณผู้ตาย มีความหมายคือ ภูมิแห่งความไม่เที่ยง หรือภูติแห่งความตาย บัดนี้ตถาคตจักแสดงจิรายุวัฒนกรรมนิโรธสูตรแก่นางวิปลาสนี้ จงรอสักเดี๋ยวเถิด เธอเองก็จักได้เป็นสักขีด้วย จงได้สดับเถิดนางวิปลาส ตถาคตจะกล่าวแก่เธอ ด้วยพระพุทธเจ้าในอดีตจำนวนหนึ่งพัน ได้แสดงจิรายุวัฒนสูตรที่เป็นความลับของพระพุทธเจ้าทั้งปวงไว้ บัดนี้จักมอบแก่เธอ ยังให้ไกลจากอบายมรรค

    พึงทราบเถิดวิปลาส การหมายให้พ้นจากอนิจจภูตินี้ยากยิ่งแม้นจักมีทอง เงิน ไวฑูรย์ บุษราคัม
    โมรา ทับทิมจำนวนร้อยพันประการหาประมาณมิได้ นำมาไถ่ถอนชีวิตก็มิอาจกระทำ แม้นจักใช้อำนาจแห่งพระราชา ราชบุตร มหาอำมาตย์ คหบดีเหล่านั้น เมื่ออนิจจภูติมาถึงแล้วย่อมยังอายุขัยที่มีค่าดุจรัตนะให้ขาดสิ้นไป ไม่มีแม้ใครเลยที่จะละเว้น



    พึงทราบเถิดวิปลาส มีเพียงพระพุทธะ ที่สามารถเว้นซึ่งทุกข์นั้น วิปลาสเอ๋ย ในโลกมีบุคคลสองประเภท ที่จักมีได้ยากยิ่งดุจดอกอุทุมพร (หรือต้นมะเดื่อ เป็นชื่อต้นไม้ในนิยายซึ่งกล่าวกันว่าออกผลโดยไม่ผลิดอก ต่อ ๓,๐๐๐ ปีจึงจะออกดอกครั้งหนึ่ง มีปรากฏในนิพนธ์ทางพระพุทธศาสนา หมายถึงสิ่งที่หายากนานๆครั้งจึงจะเกิดขึ้น และเปรียบความหมายกับการปรากฏขึ้นของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ว่ายากยิ่งนัก ) ยากจักได้ประสบคือ หนึ่งผู้มิประพฤติอกุศลธรรม สองผู้มีบาปแล้วสามารถขมากรรม บุคคลเช่นนี้ที่จักหามีได้ยาก เธอสามารถสำนึกผิดต่อตถาคตด้วยความเป็นที่สุดแห่งใจ ตถาคตจึงจะแสดงจิรายุวัฒนสูตรแก่เธอ ยังให้เธอเว้นเสียซึ่งทุกข์จากอนิจจภูติ

    พึงทราบเถิดวิปลาส ในอนาคตเมื่อสมัยแห่งความเสื่อมและความวุ่นวายห้าประการ (ความเสื่อมทางพระพุทธศาสนาแบ่งไว้ ๕ ประการคือ ๑.ความเสื่อมแห่งทิฐิ ด้วยหากพระสัทธรรมดับสูญแล้ว มิจฉาทิฐิย่อมจักรุ่งเรืองเข้าแทนที่ กุศลกรรมอันดีงามย่อมมิอาจจะเจริญได้ ๒.ความเสื่อมเพราะกิเลส สรรพสัตว์ถูกอวิชชาครอบงำให้ไร้ปัญญาญาน ยึดมั่นเคลือบย้อมในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ตัณหาราคะทั้งปวง ให้ละโมบโลภ
    มาก ทำการรบราฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงทรัพย์สินต่างๆ และลวงล่อโป้ปดแก่กัน ๓.ความเสื่อมของสัตว์ สรรพสัตว์ไม่รู้กตัญญูต่อบุพการี มิละอายต่อบาปและมิเกรงกลัวต่อผลของบาป มิสร้างกุศลความดี ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอย่างไร้ความปราณีและเป็นผู้ไม่มีศีล ๔.ความเสื่อมแห่งอายุ ด้วยเพราะมีอกุศลกรรมเพิ่มพูน จึงบั่นทอนอายุขัยของมนุษย์โลกให้เหลือสั้นลง และ๕.ความเสื่อมแห่งกัลป์ คือกัลป์ที่เราดำรงอยู่นี้ย่อมมีการเสื่อมสลายไปในอนาคต อาจจากอุทกภัย อัคคีภัย โรคาภัย และวิบัติภัยทั้งปวงเป็นต้น) หากมีสรรพสัตว์กระทำบาปร้ายแรง ฆ่าบิดา ทำร้ายมารดา วางยาพิษทำลายครรภ์ ทำลายประสถูปและอาราม ยังพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ยังสงฆ์ให้แตกแยก ด้วยกรรมต่างๆนี้ สรรพสัตว์ที่ต้องอนันตริยกรรมแล้วหากสามารถจดจำ จิรายุวัฒนสูตรนี้ ได้จารึกคัดลอก อ่านท่องสาธยาย แม้เขียนด้วยตน แม้จ้างวานให้ผู้อื่นเขียน ก็เสมือนว่าบาปโทษนั้นดับสิ้นไป ได้อุบัติยังพรหมโลก แล้วจักประสาใดกับเธอที่อยู่ใกล้ได้แลเห็นตถาคตในบัดนี้เล่า ดีแล้ววิปลาส ในกัลป์อันว่างเปล่าจำนวนประมาณมิได้ เธอได้ปลูกฝังกุศลมูลทั้งปวงเอาไว้ เป็นเหตุให้ตถาคตไต่ถามเธอด้วยดี และรับขมากรรมด้วยอัธยาศัยอันดี จักยังให้พระอนุตรธรรมจักรได้หมุนไป สามารถฉุดช่วยสังสารวัฏสาครอันไร้ขอบเขต สามารถยังให้ผู้มีบาป มีกายสั่นเทาด้วยความกลัว สามารถหักโค่นกาฬธวัชของผู้มีบาป เธอพึงสดับเถิด ตถาคตจักแสดงธรรมอันเป็นเหตุปัจจัยสิบสองประการ (ปฎิสัมภิทา) ตามพระพุทธเจ้าทั้งปวงในครั้งอดีต

    อวิชชาเป็นปัจจัยของสังขาร สังขารเป็นปัจจัยของวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยของสฬายตนะ สฬายตนะเป็นปัจจัยของผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยของเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยของตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยของอุปทาน อุปาทานเป็นปัจจัยของภพ ภพเป็นปัจจัยของชาติ เพราะชาติจึงเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส

    โสกะ ความเศร้าโศก, ปริเทวะ ความบ่นพร่ำรำพัน, ทุกขะ ความทุกข์กาย, โทมนัสสะ ความเสียใจและอุปายาสะ ความคับแค้นใจ เหมือนน้ำมันที่อยู่เดือนร้อนอยู่ในกระทะ คือ โสกะ ส่วนน้ำมันที่เดือดล้นออกมา คือ ปริเทวะ น้ำมันที่เดือดมากแล้วกำลังล้นออกมา( บ่น) แล้วแห้งเหือดกลับไป คือ อุปายาสะ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรคหน้าที่๔๒ อัตตทีปวรรคที่๕ อัตตทีปสูตร ว่าด้วยการพึ่งตนพึ่งธรรมหน้าที่๔๓. (๘๘) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อภิกษุรู้ว่ารูปไม่เที่ยง แปรปรวนไป คลายไป ดับไปเห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้ว่า รูปในกาลก่อนและรูปทั้งมวลในบัดนี้ ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ดังนี้ ย่อมละโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสได้ เพราะละโสกะเป็นต้นเหล่านั้นได้ จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมอยู่เป็นสุขภิกษุผู้มีปกติอยู่เป็นสุข เรากล่าวว่า ผู้ดับแล้วด้วยองค์นั้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อภิกษุรู้ว่าเวทนาไม่เที่ยง ฯลฯ สัญญาไม่เที่ยง ฯลฯ สังขารไม่เที่ยง ฯลฯ วิญญาณไม่เที่ยง แปรปรวนไปคลายไป ดับไป เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้ว่า วิญญาณในกาลก่อน และวิญญาณทั้งมวลในบัดนี้ ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ดังนี้ ย่อมละโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสได้ เพราะละโสกะเป็นต้นเหล่านั้นได้ ย่อมไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมอยู่เป็นสุข ภิกษุผู้มีปกติอยู่เป็นสุข เรากล่าวว่าผู้ดับแล้วด้วยองค์นั้น.จบสูตรที่๑. เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๗ บรรทัดที่ ๙๔๘ - ๙๘๐. หน้าที่ ๔๒ - ๔๓.

    จึงมีพร้อม
    ความหมายคือ ความไม่รู้คือไม่รู้อริยสัจสี่(อวิชชา) ให้เกิดสภาพที่ปรุงแต่ง(สังขาร) เกิดความรู้แจ้งอารมณ์(วิญญาณ) เกิดนามและรูป(นามรูป) เกิดอายตนะภายในหก มีหู ตา จมูก ลิ้น หาย ใจ ที่เป็นเครื่องรับอารมณ์ไปปรุงแต่ง(สฬายตนะ) เกิดความกระทบ(ผัสสะ) เกิดความเสวยอารมณ์(เวทนา) เกิดความทะยานอยาก ได้แก่ตัณหาหก คือ อยากในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกาย และในธรรมารมณ์(ตัณหา) เกิดความยึดมั่น มีสี่ประการคือ ๑.กามุปาทาน ยึดมั่นในกาม ๒.ทิฏฐุปาทาน ยึดมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี คือความเห็น ลัทธิเป็นต้น ๓.สีลัพพตุปาทาน ยึดมั่นในศีลและพรต ลัทธิพิธี ที่ทำสืบๆกันมา ตามความนิยม มิได้ทำไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักเหตุและผล ๔.อัตตวาทุปาทาน ยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือความสำคัญมั่นหมายสิ่งทั้งปวงว่ามีตัวตน รวมทั้งการสำคัญว่าตัวตนนี้เป็นเพียงสิ่งที่ประชุมกันเข้า เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งหลายที่มา
    สัมพันธ์กันล้วนๆ(อุปาทาน) เกิดภาวะชีวิต(ภพ) เกิดความเกิด คือความปรากฏขึ้นแห่งขันธ์ทั้งหลาย การได้อายตนะ(ชาติ) เกิดความแก่และความตาย ทั้ง ๑๒ ข้อเป็นปัจจัยต่อเนื่องกันไป หมุนเวียนเป็นโคจร ไม่มีต้นไม่มีปลาย เรียกว่า ภวจักร – การอธิบายในย่อหน้าของพระสูตรตอนนี้เรียกว่า สมุทยวาร คือฝ่ายสมุทัย(อริยสัจข้อที่๒) แสดงให้เห็นความเกิดขึ้นของทุกข์ เรียกการแสดงแบบนี้ว่า อนุโลมปฏิจจสมุปบาท (direct Dependent Origination)
    เมื่ออวิชชาดับสังขารจึงดับ เมื่อสังขารดับวิญญาณจึงดับ เมื่อวิญญาณดับนามรูปจึงดับ เมื่อนาม
    รูปดับสฬายตนะจึงดับ เมื่อสฬายตนะดับผัสสะจึงดับ เมื่อผัสสะดับเวทนาจึงดับ เมื่อเวทนาดับตัญหาจึงดับ เมื่อตัณหาดับอุปาทานจึงดับ เมื่ออุปาทานดับภพจึงดับ เมื่อภพดับชาติจึงดับ เพราะชาติดับสิ้น ชรามรณะจึงมี โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสจึงล้วนดับจนสิ้นเชื้อ
    (ย่อหน้านี้ ตรงข้ามกับย่อหน้าข้างต้น เป็นนิโรธวาร คือฝ่ายนิโรธ ใช้อธิบายอริยสัจข้อที่ ๓ เรียกว่า ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท (reverse Dependent Origination) แสดงให้เห็นความดับไปแห่งทุกข์ ด้วยอาศัยความดับไปของปัจจัยทั้งหลายสืบเนื่องกันไปจนสิ้น)

    พึงทราบเถิดวิปลาส สรรพสัตว์ทั้งปวงมิอาจเห็นปฏิจจสมุปบาท ด้วยเหตุนี้จึงเวียนว่ายใน
    สังสารวัฏทุกขภูมิ หากมีผู้เห็นปฏิจจสมุปบาทก็ย่อมเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรมแล้วก็คือการเห็นพระพุทธะเมื่อเห็นพระพุทธะแล้วก็คือการเห็นพุทธภาวะ เหตุไฉนนั้นฤๅ เพราะบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งปวงก็มีภาวะอยู่เช่นนี้ บัดนี้เธอได้ยินตถาคตแสดงปฏิจจสมุปบาท บัดนี้เธอจึงบรรลุความบริสุทธิ์แห่งพุทธภาวะ เป็นธรรมภาชนะ(ที่รองรับธรรม)อันยิ่ง ตถาคตจักแสดงเอกายนมรรคคือทางอันเป็นเอก เธอพึงตรึกตรองโดยแยบคาย คือ โยนิโสมนสิการ รักษาดูแลระลึกไว้ในคราวเดียวเถิด อันการระลึกไว้ในคราวเดียวนั้นแลคือโพธิจิต ผู้มีโพธิจิตนั่นแลชื่อว่ามหาพุทธยาน พระพุทธเจ้า โพธิสัตว์ทั้งหลายด้วยเหตุเพื่อสรรพสัตว์แล้ว จึงแสดงแยกแยะว่าตรียาน (คือพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์โปรดสรรพสัตว์ที่มีอัธยาศัยต่างกันจึง ใช้อุปายโกศล หรืออุบายอันชาญฉลาด แสดงธรรมแก่สรรพสัตว์โดยแยกเป็นยานหรือพาหนะ 3 ประเภท คือ ๑.สาวกยาน ๒.ปัจเจกยาน ๓.พุทธยาน หรือมหายาน ซึ่งที่แท้จริงแล้วไม่มีการแบ่งแยกว่าเป็นยานใดๆ และทั้งหมดก็คือเอกพุทธยานเดียวกันทั้งสิ้น) เธอพึงระลึกใส่ใจต่อโพธิจิตนี้อยู่เป็นนิจ อย่าให้วิบัติเลอะเลือน แม้นมีขันธ์ห้า อสรพิษสี่ พิษสาม โจรหก
    (เป็นสำนวนทางศาสนาอสรพิษทั้ง ๔ คือธาตุทั้ง ๔ คือดิน น้ำ ไฟ ลม ,พิษ ๓ คือ โลภะ โทสะ โมหะ, โจร ๖ คืออายตนะทั้ง ๖ มี หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ พระสูตรกล่าวว่าพึงรักษาทวารทั้ง ๖ คือสติ ระวังโจรคืออารมณ์ภายนอกที่มากระทบ ) และมารทั้งหลายมาล่วงล้ำ ที่สุดก็อย่าได้แปรเปลี่ยนจากโพธิจิตนี้ เหตุที่รักษาอยู่ซึ่งโพธิจิตเช่นนี้กายจึงดุจวัชระ จิตจึงดุจอากาศ ยากจะทำลายให้สลายย่อยยับ เหตุที่ทำลายมิได้จึงบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิ เหตุที่บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิ จึงมีสุข บริสุทธิ์และสมบูรณ์อยู่เป็นนิจ จึงสามารถไกลจากอนิจจภูตินี้ และไกลจากทุกข์ของชาติ ชรา โรคา มรณะและนรกทั้งปวง

    ปางเมื่อพระพุทธศาสดาทรงแสดงธรรมเทศนาแก่มหาชนอยู่นั้น ภูติแห่งอากาศได้เปล่งวาจาขึ้นว่า
    เราได้สดับพระโลกนาถเจ้าแสดงธรรมภาษิตเช่นนี้ นรกภูมิกลับบริสุทธิ์กลายเป็นสระโบกขรณี บัดนี้เราได้สละซึ่งปีศาจวิสัยแล้ว กล่าวอีกว่า วิปลาสเมื่อเธอบรรลุมรรคแล้ว ขอได้พบและโปรดช่วยเหลือเราด้วยเถิด

    สมัยนั้น พระสมันตประภาสัมมาทัศนะตถาคตจึงรับสั่งกับนางวิปลาสว่า ตถาคตแสดงปฏิจจสมุป
    บาทแก่เธอจบสิ้นแล้ว จักแสดงษฏฺปารมิตา ( คือบารมี ๖ ยังให้ผู้บำเพ็ญครบถ้วนบริบูรณ์ สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า) แก่เธอ เธอพึงน้อมรับแลทรงไว้ซึ่ง ปัญญาปารมิตา ฌานปารมิตา วิริยปารมิตา กษานติปารมิตา (คือขันติบารมี) ศีลปารมิตา ปารมิตาทั้งหกนี้แล เธอพึงน้อมรับแลทรงไว้เถิด

    ตถาคตจักแสดงธรรมโศลกที่ยังให้พระพุทธเจ้าในอดีตได้สำเร็จพุทธภูมิแก่เธอ แล้วตรัสว่า...
    สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา
    เมื่อเกิดแล้วย่อมดับ ความดับสนิทเป็นสุขอย่างยิ่ง

    สมัยเมื่อนางวิปลาสได้ยินธรรมนี้แล้วจึงปีติโสมนัส ดวงจิตปลอดโปร่งแจ่มใส เข้าใจแจ่มแจ้งโดย
    ตลอด ด้วยพระพุทธานุภาพจึงเหาะขึ้นไปในอากาศสูงเท่าช่วงตาลเจ็ดต้น สงบจิตนั่งนิ่งอยู่

    บัดนั้นพราหมณ์ผู้มีตระกูลใหญ่ท่านหนึ่ง มีครอบครัวมั่งคั่งหาผู้ใดเสมือนมิได้ เกิดเป็นโรคร้ายอย่างกะทันหัน บรรดาแพทย์วินิจฉัยว่าต้องใช้ดวงตามนุษย์ มาเป็นเครื่องยาในการรักษา เมื่อนั้นมหาคหบดีจึงสั่งบริวารให้ป่าวประกาศตามหนทางด้วยเสียงอันดังว่า ผู้ใดสามารถทนต่อความเจ็บปวด เพื่อขาย
    ดวงตาทั้งสอง จักได้ค่าตอบแทนพันตำลึงทองคำพร้อมรัตนะสิ่งมีค่าในคลังสมบัติ ผู้สมัครใจจงทราบไว้ว่าจะเสียดายในภายหลังมิได้

    นางวิปลาสเมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงจิตเกิดมหาโสมนัสพลางคิดว่า นับแต่ที่เราได้สดับจิรายุวัฒนสูตร
    จากพระพุทธองค์ อกุศลกรรมได้ถูกขจัดจนสิ้น ในจิตก็หมดจด เห็นแจ้งซึ่งภาวะของพระพุทธเจ้าทั้งปวงอีกยังไกลจากอนิจจภูติและทุกข์ของนรกทั้งปวง เราจักบดร่างกายนี้ตอบแทนพระเมตตาธิคุณของพระพุทธองค์ แล้วจึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า ปีนี้เรามีอายุถึงสี่สิบเก้า นับแต่ที่ได้สดับธรรมชื่อ จิรายุวัฒนสูตร จากพระพุทธองค์ บัดนี้เราปรารถนาจักบดร่างกายนี้ให้เป็นผงโดยไม่เสียดายชีพสังขาร เพื่อเขียนจิรายุวัฒนสูตรสี่สิบเก้าเล่ม ปรารถนาให้สรรพสัตว์ทั้งปวงได้จดจำ อ่านท่องสาธยาย เราจักขายดวงตาเพื่อเขียนพระธรรมนี้ ดวงตาของเรานี้ไร้ราคาสุดแต่ท่านจะตีค่าเถิด
    เมื่อนั้นท้าวศักรเทวราชจึงนิรมิตมนุษย์สี่สิบเก้าคนมายังนางวิปลาส แล้วกล่าวว่า เราจักเขียนพระธรรมนี้แทนท่านเอง เมื่อท่านได้เห็นแล้วจึงค่อยขายดวงตาเถิด

    บัดนั้นนางวิปลาส จึงยินดีพ้นประมาณ ได้เลาะกระดูกเป็นพู่กัน ฉีกมังสะออก ใช้โลหิตเป็นน้ำหมึก แล้วมอบให้บุคคลเหล่านั้นเขียน ในเจ็ดทิวาจึงเขียนพระธรรมเสร็จสิ้น

    บรรดาบุคคลเหล่านั้นเมื่อเขียนแล้ว จึงกล่าวต่อนางวิปลาสว่า ตามที่ท่านได้มอบดวงตาทั้งสองเมื่อครั้งก่อนนั้น บัดนี้งานของเราทั้งหลายได้เสร็จสิ้นแล้ว ขอท่านจงมอบ(ดวงตา)แก่เราเพื่อขายแก่พราหมณ์เถิด

    ครั้งนั้นนางวิปลาส จึงสั่งจัณฑาล (คือลูกต่างวรรณะ เช่นบิดาเป็นศูทร มารดาเป็นพราหมณ์ มีลูกออกมาเรียก จัณฑาล ถือเป็นคนต่ำทราม ถูกเหยียดหยามที่สุดในระบบวรรณะของศาสนาพราหมณ์) ว่า เธอจงควักเอาดวงตาของเราออกเถิด บุคคลทั้งสี่สิบเก้านั้นจะแบ่งให้เธอหนึ่งส่วน

    ครั้งนั้นจัณฑาลจึงควักเอาดวงตาออกตามวิธี บุคคลทั้งสี่สิบเก้าต่างร้องอุทานว่า หาได้ยากยิ่งนักๆ
    คิดไม่ถึงโดยแท้ อันนางวิปลาสนี้ ได้เลาะกระดูก เอาโลหิต เจ็บปวดทรมานก็ยังทนได้ มิเสียดายชีพสังขารเพื่อคัดลอกพระธรรมสูตรนี้ เราทั้งหลายจะเอาดวงตานี้ได้อย่างไร
    ด้วยจิตเมตตากรุณาจึงกล่าวต่อนางวิปลาสว่า บัดเดี๋ยวนี้เราทั้งหลายมิต้องการดวงตาของเธอเพื่อ
    ขายให้พราหมณ์แล้ว เมื่อเธอได้บรรลุซึ่งมรรคแล้วโปรดมาอนุเคราะห์พวกเราด้วย ขอให้ในทุกสถานที่เราทั้งหลายจะถือกำเนิดในอนาคตเบื้องหน้า จงได้อยู่ร่วมในสถานที่เดียวกับท่านด้วยเถิด ได้เป็นกัลยาณมิตรกล่าวประกาศซึ่งพระธรรมนี้ เพื่ออนุเคราะห์แก่สรรพสัตว์ผู้มีทุกข์โทษทั้งปวง

    สมัยนั้น นันทะนาคราชได้ใช้มหาฤทธานุภาพ บันดาลด้วยอิทธิพละลักเอาพระสูตรของนางวิปลาส
    ไปยังนาคมณเฑียรเพื่อจดจำและสักการะ เพลานั้น เมื่อขณะหนึ่งที่นางวิปลาสมิพบพระธรรมสูตรจึงร้องไห้
    คร่ำครวญ แล้วกราบทูลพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระโลกนาถ หม่อมฉันได้บดกายนี้ เพื่อเขียนจิรายุวัฒนสูตร หมายจักเผยแผ่แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง บัดนี้หม่อมฉันมิทราบว่าไปอยู่ยังที่แห่งใดแล้ว ดวงใจของหม่อมฉันขุ่นหมอง กลัดกลุ้มเป็นกังวลยากจะอดทนยิ่งแล้วพระเจ้าข้า

    พระสมันตประภาตถาคตตรัสแก่นางวิปลาสว่า อันพระสูตรของเธอนั้น นาคราชแห่งอัษฏคติได้
    อัญเชิญไปยังนาคมณเฑียรเพื่อจดจำและบูชาแล้ว เธอจงโสมนัสยินดี มิพึงกังวล ดีแล้ววิปลาส เธอจงอาศัยกำลังแห่งกุศลนี้ ยังให้เมื่อหมดอายุขัยนี้แล้ว ไปอุบัติยังอรูปภพเสวยความสุขเกษมต่างๆ มิต้องมีกายเป็นสตรีอีกต่อไป

    ครั้งนั้น นางวิปลาสทูลพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระโลกนาถ ปณิธานของหม่อมฉันนั้นมิปรารถนา
    ไปอุบัติยังทิพยโลก แต่ขอให้ทุกภพชาติได้พบพระโลกนาถเจ้าเป็นนิจ มีพุทธจิตมิเสื่อมถอย ทุกที่สถานจักกล่าวแสดงซึ่งพระธรรมนี้แก่สรรพสัตว์ที่มีทุกข์โทษทั้งปวง

    พระสมันตประภาตถาคตตรัสว่า เธอกล่าวมุสาหรือกระไร นางวิปลาสทูลว่า หากหม่อมฉันมุสา
    ขอให้หม่อมฉันถูกอนิจจภูติเบียดเบียนเช่นครั้งก่อน หากหม่อมฉันมีจิตที่เป็นสัตย์ ขอให้ความทุกข์ทรมานแห่งกายของหม่อมฉันจงทุเลาสิ้นไปยังเบื้องหน้าพระพุทธองค์เถิด บัดนั้นเมื่อนางวิปลาสอาศัยกำลังแห่งปณิธาน ยังให้เป็นดุจดั่งเดิมอีกครั้ง

    พระสมันตประภาตถาคตตรัสกับนางวิปลาสว่า เธอมีเอกจิตระลึกถึงพระพุทธองค์ จากพุทธ
    ประเทศหนึ่งลุยังอีกพุทธประเทศหนึ่ง เธอจักเข้าใจอักษรวจนะภาษาที่มิอาจกล่าวแสดงของพุทธเกษตรทั้งปวงที่ประมาณมิได้ ไร้ซึ่งขอบเขต ครั้งนั้นนางวิปลาส ในขณะเดียวจึงบรรลุอนุตฺปตฺติก ธรฺม กฺษานฺติ (ติสฺร: กฺษานฺติ ความอดทน ๓ คือ ๑)โฆษานุคต ธรฺม กฺษานฺติ ความอดทนต่อเสียงดังต่างๆ โดยพิจารณาว่าเป็นของไม่เที่ยงแท้ถาวร ๒)อนุโลมิกี ธรฺม กฺษานฺติ ความอดทนที่จะปฏิบัติอนุโลมตามธรรม ๓)อนุตฺปตฺติก ธรฺม กฺษานฺติ ความอดทนปลงใจเชื่อในธรรมที่ไม่เกิดอีกต่อไป) สัมมาสัมโพธิจิต

    มัญชุศรีพึงทราบเถิดว่า สมันตประภาตถาคตคือเราตถาคต นางวิปลาสก็คือเธอ บุคคลทั้งสี่สิบเก้า
    ก็คือโพธิสัตว์ที่เพิ่งบังเกิดโพธิจิต นับแต่กัลป์ที่ว่างเปล่าหาจำนวนมิได้นั้น ตถาคตตามรักษากายอยู่เป็นนิจพร้อมกับพวกเธอ ที่ได้กล่าวแสดงพระธรรมนี้ ยังให้สรรพสัตว์ทั้งปวงบรรดาที่มีอกุศลกรรม ได้สดับจิรายุวัฒนสูตรนี้แม้เพียงครึ่งบท จึงยังให้(วิบากกรรม)มลายสิ้น มาบัดนี้จึงได้แสดงอีกครั้งหนึ่ง

    สมัยนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศล ยามราตรีภายในพระราชวัง ทรงได้ยินเสียงของสตรีนางหนึ่งร้องไห้คร่ำครวญ ด้วยความโศกศัลย์รันทดยิ่งนัก ยากที่พระองค์จะทรงทนอยู่ได้ จึงพลอยเศร้าโศกตามมิอาจหักห้ามพระองค์เอง พลางมีพระดำริว่า ในวังฝ่ายในของเรามิเคยมีเรื่องเช่นนี้มาก่อน แล้วเหตุไฉนถึงมี
    เสียงอันทุกข์โศกได้เล่า เพื่อเพลาเช้า จึงมีพระบัญชาให้ทหารสืบหาหญิงผู้นี้ ทั่วพระนคร ตรอก ซอยและถนนโดยละเอียดเมื่อรับพระราชบัญชาแล้วจึงนำเอาตัวมา สตรีนางนั้นหวั่นเกรงและกังวลยิ่งนักเมื่อคราอยู่หน้าพระพักตร์มหาราชจึงทรงใช้น้ำเย็นประพรมใบหน้าสตรีผู้นั้น แล้วจึงค่อยๆ ฟื้นคืนสติ

    มหาราชตรัสถามว่า ผู้ที่ร้องไห้คร่ำครวญเมื่อราตรีก่อนใช่เจ้าหรือไม่ ทูลว่า หม่อมฉันเองพระเจ้า
    ข้า ตรัสว่า เธอเศร้าโศกด้วยเหตุใด ผู้ใดข่มเหงเธอหรือ หญิงนั้นทูลว่า หม่อมฉันเจ็บแค้น ที่จริงไร้ซึ่งผู้ข่มเหง ขอมหาราชโปรดสดับด้วยเถิด หม่อมฉันอายุสี่สิบเป็นภริยาหลวงอยู่ที่เรือนของสามี ผ่านมาสามสิบปีหม่อมฉันให้กำเนิดบุตรสามสิบคน ล้วนแต่มีหน้าตางดงาม เส้นผมดำคราม ริมฝีปากแดงระเรื่อดั่งมุก ฟันขาวดุจหยก ร่างกายน่ารักดุจบุปผาชาติในวสันตฤดู เป็นที่รักและหวงแหนของหม่อมฉัน ดุจมันสมอง แลประดุจตับและไส้ สำคัญต่อชีวิตยิ่งนัก บุตรนี้ยังเติบโตไม่พ้นปี เมื่อผ่านคิมหันต์ฤดูและเหมันต์ฤดูก็ตายจากหม่อมฉันไป อันคนสุดท้ายนั้นเล่าก็ยิ่งคือชีวิตของหม่อมฉัน บัดนี้เริ่มทุกข์ยากขึ้น ก็มาจบชีวิตลงอีก หม่อมฉันจึงร้องไห้เมื่อราตรีก่อนด้วยเหตุนี้พระเจ้าข้า

    สมัยนั้นมหาราช เมื่อได้ทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงทรงโศกเศร้าเวทนายิ่งนัก (มีพระดำริว่า) บรรดา
    ทวยราษฎร์อาศัยด้วยเพราะเรา หากมิช่วยเหลือปกป้องก็ย่อมมิได้ชื่อว่า ราชา ครั้นแล้วจึงประชุมบรรดาอำมาตย์เพื่อหารือ อันราชาองค์นั้นมีอำมาตย์หกนาย หนึ่งชื่อมองรูป สองชื่อฟังเสียง สามชื่อหอมหวน สี่ชื่อไหวพริบ ห้าชื่อตามปัจจัย หกชื่อเคลือบย้อมง่าย ต่างทูลต่อมหาราชว่า อันกุมารเมื่อแรกเกิดนั้น จักต้องตั้งพิธีสัปตเคราะห์บูชา สักการะพระเคราะห์ทั้งเจ็ดและหมู่นักษัตรเทพทั้งยี่สิบแปดกลุ่มเพื่อความมีอายุยืน เพื่อระงับซึ่งทุกข์นั้น ขอมหาราชทรงมีพระบัญชาด้วยเถิดพระเจ้าข้า

    บัดนั้นมีอำมาตย์ผู้ทรงปัญญาท่านหนึ่ง เคยปลูกฝังกุศลมูลนานัปการต่อพระพุทธเจ้าจำนวนประมาณพระองค์มิได้มาแล้ว ชื่อว่า สมาธิญาณ ได้ทูลมหาราชว่า ข้าแต่มหาราชขอพระองค์ทรงทราบเถิด
    ว่า ที่อำมาตย์ทั้งหกทูลแล้วนั้น หาสามารถระงับซึ่งทุกข์ได้ไม่ บัดนี้มีพระบรมศาสดา แห่งตระกูลโคตมะพระนามว่า สิทธัตถะ เป็นผู้เห็นแจ้งโดยปราศจากคุรุ บัดนี้ได้บรรลุซึ่งความเป็นพุทธะแล้ว และประทับอยู่ที่เขาคิชฌกูฏ ทรงแสดงจิรายุวัฒนสูตร ขอมหาราชเสด็จไปสดับยังสถานที่แห่งนั้น เมื่อได้สดับพระธรรมนี้แม้ครึ่งโศลก บรรดากรรมที่หนักหนาของการได้กำเนิดมาจำนวนร้อยกัลป์พันชาติก็จักสลายสิ้น บรรดากุมารทั้งปวงที่ได้ฟังพระธรรมนี้แล้ว แม้นยังมิเข้าใจแต่ด้วยกุศลแห่งพระธรรมจักยังให้เป็นผู้มีอายุยืนยาวได้เอง พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสว่า เราเองเคยได้ยิน ครูทั้งหก (นักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา คือ ๑.ปูรณกัสสป ๒.มักขลิโลสาล ๓.อชิตเกสกัมพล ๔.ปกุทธกัจจยนะ ๕.สัญชัยเวลัฏฐบุตร ๖.นิครนถนาฏบุตร มักเรียกครูทั้ง ๖) กล่าวว่าพระโคตมะนี้แล เป็นผู้ศึกษาน้อยตื้นเขินซึ่งความรู้ ทั้งเยาว์วัยด้อยอายุ ไม่รู้ประสา ในคัมภีร์ของครูทั้งหกได้กล่าวถึงอาถรรพ์มงคลและมายาการ ซึ่งสมณโคดมผู้นี้แหละ หากเลื่อมใสแล้วย่อมวิบัติจากหนทางที่ถูกต้องเป็นอันมาก

    ครั้งนั้น สมาธิญาณอำมาตย์ได้ทูลมหาราชเป็นโศลกว่า...
    พระศากยมุนีผู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์
    ทรงได้ประพฤติทุกรกิริยามาแล้วหาประมาณกัลป์มิได้
    บัดนี้ได้บรรลุพระพุทธญาณแล้วหมุนธรรมจักร
    ไปตามพระพุทธเจ้าทั้งปวงในอดีตที่ได้ตรัสไว้
    มิหลีกลี้จากปณิธานของสรรพสัตว์ทั้งปวง
    ทรงมีเมตตา กรุณาและพละใหญ่ อนุเคราะห์ผู้ลุ่มหลง
    เมื่อได้พบพระพุทธองค์ก็ดุจเต่าพบไม้ที่ลอยน้ำ
    แลประหนึ่งดอกอุทุมพรที่อัศจรรย์
    ขอมหาราชเสด็จไปฟังธรรม
    อย่าได้ทรงเชื่อวาจาของเดียรถีย์ครูทั้งหก

    ครั้นเมื่อ สมาธิญาณกล่าวโศลกจบลง ก็บันดาลอิทธิพละลอยจากพื้นดินเหาะไปยังนภากาศ สูง
    เท่าช่วงตาลเจ็ดต้นยังเบื้องพระพักตร์ของมหาราช แล้วร่ายมนตร์ในขณะเดียวก็ยังให้สุเมรุสิงขรและ
    กระแสสินธุ์ในมหาสมุทรเข้ามาสถิตที่กลางใจโดยดีไร้ซึ่งความข้องขัด พระเจ้าปเสนทิโกศลเมื่อทรงเห็น
    เหตุการณ์นี้แล้วจึงตรัสชื่นชมว่า หาได้ยากๆ ถือเป็นกัลยาณมิตรโดยแท้ จึงทรงอภิวาทแก่สมาธิญาณ
    อำมาตย์ แล้วตรัสว่า ใครคือศาสดาของเธอเล่าหนอ ทูลว่า อันศาสดาของข้าพระองค์คือพระศากยมุนีพุทธเจ้า บัดนี้ประทับอยู่ในเมืองราชคฤห์ บนคิชฌกูฏสิงขร กำลังทรงแสดงจิรายุวัฒนนิโรธกรรมสูตร เมื่อพระราชาได้ทรงสดับเช่นนี้ ในพระทัยจึงโสมนัสยิ่งนัก รับสั่งให้สมาธิญาณอำมาตย์ดูแลราชกิจแทนพระองค์ชั่วขณะ พระองค์เองพร้อมด้วยราชตระกูล มหาอำมาตย์ คหบดีจำนวนประมาณมิได้ นำราชรถประดับรัตนะเทียมด้วยอาชาไนยสี่ตัว ล้อมรอบทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง โดยมีสตรีนางนี้และบุตรชายของเธอตามเสด็จด้วย แล้วบรรทุกเอาพวงมาลาและเครื่องสักการะนับร้อยประการ มุ่งไปยังคิชฌกูฏสิงขรภายในมหานครราชคฤห์ ทรงเปลื้องรัตนาภรณ์เครื่องประดับใดๆ แล้วเข้าไปกระทำประทักษิณพระพุทธองค์เจ็ดรอบ ประณมพระกรถวายอภิวาท ได้ทรงเกลี่ยบุปผาชาติถวายสักการะแล้ว จึงทูลพระพุทธองค์ถึงเรื่องราวข้างต้น

    สมัยนั้น สมเด็จพระโลกนาถรับสั่งต่อพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า สตรีผู้นี้ในอดีตนั้นเป็นมารดาคน
    รอง มีจิตอิจฉาริษยาจึงได้วางยาพิษสังหารบุตรจำนวนสามสิบคนของภริยาคนแรกทั้งหมด อันบุตรที่ถูกสังหารนั้นต่างประกาศว่า ขอทุกภพชาติของฉันได้เกิดเป็นบุตรของสตรีผู้นี้ แล้วได้พลัดพรากจากกันยังให้เขานั้นทุกข์ระทม เกิดเป็นความทรมานแสนสาหัส บัดนี้เมื่อสตรีนางนี้ ได้มาสดับตถาคตแสดงจิรายุวัฒนสูตรแม้หนึ่งโศลกแล้ว เจ้ากรรมผู้อาฆาตก็จะขาดสิ้นกันไปตลอดกาล

    เมื่อนั้น พระโลกนาถเจ้ารับสั่งกับบรรดามหาชนว่า เมื่อกุมารน้อยอยู่ในครรภ์ พญามารผู้ใจบาป
    จักปล่อยมหาอสรพิษทั้งสี่และอายตนะคือโจรร้ายทั้งหกมาที่สังขารนั้น หากสิ่งหนึ่งใดมิเป็นไปโดยราบรื่นปกติ ชะตาย่อมขาดสิ้นไป ตถาคตมีธารณีที่สามารถเพิ่มพูนอายุขัยของกุมารน้อยทั้งหลายได้เป็นอย่างดีหากมีทุกขโรค เมื่อได้ยินธารณีของตถาคตแม้นครั้งหนึ่งแล้วย่อมถูกกำจัดไป สามารถยังปีศาจร้ายให้แตกซ่านหนีไปทั้งสี่ด้าน แล้วทรงแสดงมนตร์ดังนี้...

    ปทฺมิ ปทฺมิ เทวี กษีนิ กษีนิ กเษมิน จูเร จูร จูรี หูรา หูรา ยุรี ยุร ยุรี ปร ปริ-มุญฺจ ฉิเท ภิเท ภญฺเช มาเถ ฉิท กเร สฺวาหา

    พระพุทธองค์ตรัสว่า อันอักษรแต่ละประโยคของธารณีนี้ หากกุลบุตร กุลธิดา ได้จดจำอ่านท่อง
    สาธยาย ฤๅประกาศสั่งสอนแก่ผู้มีครรภ์ทั้งปวง ผู้ที่เมื่อให้กำเนิดบุตรแล้วได้รับทุกขเวทนา ในเจ็ดทิวาราตรี หากได้ร่ำสุคนธา เกลี่ยบุปผชาติมาลี จารึกคัดลอก บูชา สดับฟังด้วยความเป็นที่สุดแห่งใจแล้วไซร้บรรดาโรคร้ายที่มีอันเป็นกรรมวิบากแห่งกายเมื่อปางก่อนนั้น จักมลายสูญไปทั้งสิ้น

    (มีต่อครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2013
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    (ต่อครับ)
    สมัยนั้น มีพระโพธิสัตว์ผู้เป็นราชาแห่งแพทย์อีกองค์หนึ่งนามว่า ชีวกะ๒๕ ทูลพระพุทธองค์ว่า ข้า
    แต่พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์เป็นหมอใหญ่ รักษาเยียวยาสรรพโรคมาแล้ว บรรดากุมารน้อยเหล่านั้น มีโรคเก้าชนิดที่ยังให้มีอายุขัยสั้น มีประการดังฤๅ หนึ่งผู้เป็นบิดามารดามีสัมพันธ์ในยามอันไม่สมควร สองผู้แรกคลอดบุตรยังเลือดเสียให้ตกที่พื้นดิน ยังให้ปฐวีเทพมิสถิตปีศาจจึงรบกวนได้ สามผู้แรกคลอดบุตรมิไปชำระพิษเล็กน้อยออกจากท้อง สี่มิใช้ตูล (คือนุ่น) ที่อ่อนนุ่มซับเลือดเสียที่ตกจากครรภ์นั้น ห้าฆ่าชีวิตสัตว์เพื่องานสังสรรค์ หกมารดานั้นกินผลไม้เย็นต่างๆ เจ็ดเมื่อกุมารป่วยไข้แต่ให้กินเนื้อต่างๆ แปดเมื่อมารดาที่แรกคลอดมิออกจากสถานที่นั้น สิ่งอัปมงคลต่างๆจักยังให้มารดามรณะได้ เมื่อแยกจากมาแล้วก็อาจยังให้บุตรมรณะได้ สิ่งอัปมงคลคือเช่นไรนั่นฤๅ หากดวงตามนุษย์เห็นซากผีทั้งปวงและสิ่งแปลกประหลาดต่างๆ
    เป็นเหตุให้ตาไม่บริสุทธิ์ จึงชื่อว่า อัปมงคล หากใช้โคโรจนา (คือผงสีเหลืองได้จากอุจจาระหรือดีของโค ใช้ทำยาได้) มุกประภาสแท้มาบดหยาบๆ คลุกน้ำผึ้งมิต้องละเอียดนัก วางไว้ที่ดวงใจของกุมารย่อมจะเว้นซึ่งสิ่งอัปมงคลได้ เก้าผู้สัญจรยามราตรีแล้วถูกปีศาจกระทำ กุมารทั้งปวงหากสามารถระวังในเรื่องทั้งเก้าประการนี้ ที่สุดแล้วก็มิต้องมรณะ

    สมัยนั้น มารผู้ใจบาป มีเจโตปริยญาณ๒๘ อยู่ในมารมณเฑียร เมื่อได้รู้ว่าพระพุทธองค์ทรงแสดง
    กุมารปาลจิรายุวัฒนนิโรธกรรมธารณีนี้อยู่ ดวงจิตจึงบันดาลโทสะเดือดดาลยิ่งนักแล้วเปล่งเสียงอันดัง
    เป็นทุกข์ร้อนหาความสุขมิได้ อันมารนั้นแลมีบุตรีสามนางได้มาทูลพระราชบิดาว่า ข้าแต่มหาราชพระองค์ยังมิได้ทรงใคร่ครวญดูก่อน เหตุไฉนจึงเป็นทุกข์ร้อนเช่นนี้เล่า ราชบิดาตรัสตอบว่า บัดเดี๋ยวนี้สมณะโคดมประทับอยู่ที่คิชฌกูฏสิงขรในมหานครราชคฤห์ เพื่อสรรพสัตว์อันไม่มีประมาณไร้ขอบเขตนั้น ได้แสดงจิรายุวัฒนสูตร ให้แผ่ไปถึงสรรพสัตว์ทั้งปวง ให้มีสุขเพราะอายุยืนยาว ล่วงล้ำวิสัยแห่งเรา จิตชั่วร้ายของเราจึงเกิดขึ้น เราจักยังให้บริวารและมารเสนาทั้งปวงไปยังที่แห่งนั้น แม้นเรามิอาจหยุดสมณะโคดมได้ แต่เราจักบันดาลด้วยฤทธาพละยับยั้งหมู่เทวดาและมหาชนทั้งปวง มิให้ได้ยินพระพุทธองค์ตรัสจิรายุวัฒนสูตร ครั้งนั้นมารบุตรีทั้งสามจึงทัดทานพระบิดาเป็นโศลกว่า...

    เทวมารผู้ใจบาปมีบุตรีสามนาง ได้ถวายบังคมพลางทูลพระราชบิดาว่า
    อันสมณะโคดมทรงเป็นครูแห่งเทวดาและมนุษย์ มิใช่กำลังแห่งมารจะยับยั้งด์
    กาลก่อนได้ประทับที่โพธิพฤกษ์ คราที่ทรงคู้สมาธิบนธรรมบัลลังก์นั้นแล
    เราทั้งสามได้ใช้จริตเล่ห์มารยาแห่งสตรี ในประดาเทวกัญญาเราสิเป็นหนึ่ง
    ใช้กิริยาเย้ายวนร้อยประการชวนให้เกิดราคะ แต่พระโพธิสัตว์ทรงสิ้นแล้วจากจิตโสมม
    ทรงพิจารณาเราทั้งสามดุจหญิงแก่ บัดนี้ทรงสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมโพธิยาจารย์
    พระบิดาได้ทรงเหนี่ยวศรน่าหวาดหวั่น บรรดาศาสตราวุธยุทธภัณฑ์ละล่องในนภา
    บรมโพธิสัตว์กลับเห็นว่าเป็นการละเล่นของเด็ก พระทัยมิได้ทรงหวาดหวั่นล่าถอยแม้เพียงนิด
    วารนี้ยังได้สำเร็จเป็นองค์ธรรมราชา ขอพระบิดาทรงระงับซึ่งจิตบาปเสียเถิด

    บัดนั้น พญามารผู้ใจบาป เมื่อทรงสดับโศลกของบุตรีแล้ว จึงนำบริวารทั้งปวงด้วยองค์เอง (แล้วตรัสว่า) เราและสูเจ้าทั้งหลายเมื่ออยู่ยังพระพักตร์ของพระพุทธองค์แล้ว จงใช้อุปายะที่ชาญฉลาดยังให้
    ทรงลังเลแล้วล้มเลิกไปเสีย แสร้งทำเป็นน้อมรับพุทธศาสนีย์ ยังให้พระพุทธองค์หลงเชื่อ หากพระองค์ทรงเชื่อแล้ว จงใช้มารอุปายะนานากั้นขวางพระธรรมนี้
    ครั้นจึงแล้วด้วยมารบริษัทพากันมาเฝ้ายังที่ประทับแห่งพระพุทธศาสดา ประทักษิณาวัตรเจ็ดรอบ
    แล้วทูลพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า มิทรงเหน็ดเหนื่อยในการแสดงธรรมบ้างหรือ ข้าพระองค์นำหมู่มารบริษัทมาสดับจิรายุวัฒนสูตรเพื่อเป็นสานุศิษย์ของพุทธองค์ ขอพระโลกนาถอย่าทรงปฏิเสธซึ่งความปรารถนาของข้าพระองค์เลย

    สมัยนั้น พระโลกนาถเจ้ารับสั่งว่า ชิชะพญามารเอ๋ย เมื่อคราวเธออยู่ในปราสาทนั้น จิตเกิดโทสะ
    เดือดดาลแล้วจึงมายังที่แห่งนี้ เพื่อแสร้งทำให้ตถาคตลังเลมิใช่หรือ ในธรรมแห่งเรานั้นเธอจักแสร้งทำมิง่ายเลย บัดนั้นมารใจบาปจึงอับอายขวยเขินต่อที่ประชุมชนยิ่งนัก ใบหน้าหลบเลี่ยงและไร้สี พลางทูลพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระโลกนาถ ข้าพระองค์โง่เขลายิ่งนักที่จักแสร้งกระทำอุบายต่อธรรม ขอพระโลกนาถทรงอาศัยเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่ ประทานอภัยแก่ข้าพระองค์ในความผิดพลั้งด้วยเถิด บัดนี้ข้าพระองค์ได้สดับกุมารปาลจิรายุวัฒนนิโรธกรรมธารณีแล้ว ขอประกาศว่า หากกัลป์เบื้องปลายแห่งอนาคต จักมีผู้น้อมรับซึ่งพระธรรมนี้ ได้จารึกคัดลอก อ่านท่องสาธยายในสถานที่ทั้งปวง ข้าพระองค์จักอารักขาดูแล มิยังให้ปีศาจร้ายคอยร้องเรียกผู้นั้นไปสู่นรก หากบุคคลผู้มีโทษในขณะเดียวที่ระลึกถึงพระธรรมนี้ ด้วยฤทธาพละอันยิ่งของข้าพระองค์จักใช้น้ำในมหาสมุทรสรงยังบุคคลผู้มีโทษนั้น ยังให้มหานรกประดุจสระโบกขรณี

    ครั้งนั้น ยังมีรากษสผู้เหาะเหินในอากาศ รากษสผู้กินกุมารเป็นภักษาหารอันเป็นบดีแห่งหมู่รากษส พร้อมกับบรรดาบริวารจำพวกเดียวกันจากนภากาศเบื้องบน ท่ามกลางและเบื้องล่าง ได้ทักษิณาวัตรพระพุทธองค์พันรอบ แล้วทูลว่า ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า หมู่ข้าพระองค์นับแต่กัลป์อันประมาณมิได้
    มาแล้ว ได้มีกายเป็นรากษส อันบริวารของข้าพระองค์นั้นมีมากอุปมาด้วยทรายในคงคานที ล้วนถูกความหิวกระหายบีบคั้น บรรดาที่อาศัยอยู่ในทวีปทั้งสี่นี้ ก็เสพเลือดเนื้อของกุมารที่อยู่ในครรภ์และแรกเกิดบริวารของข้าพระองค์จักคอยเพลาที่หมู่สัตว์หญิงชายเสพสังวาส แล้วกลืนกินซึ่งน้ำสุกกะนั้นยังให้มิตั้งครรภ์ บ้างอยู่ในครรภ์ ข้าพระองค์เองก็เข้าไปทำลายครรภ์แล้วดื่มกินเลือด ผู้แรกเกิดได้เจ็ดวันหมู่ข้าพระองค์ก็คอยท่ายังให้ชีพนั้นหลุดขาดไป จนถึงอายุสิบขวบปีหมู่บริวารของข้าพระองค์ก็จักทำคุณไสยชั่วร้ายนานาประการเข้าสู่ท้องของกุมารเพื่อกินเลือดของอวัยวะภายในทั้งห้า คือ หัวใจ ตับ ปอด ม้าม ไต สามารถยังให้เด็กน้อยนั้นสำรอกน้ำนมเป็นโรคบิด บ้างเป็นโรคเลือด บ้างเป็นไข้จับสั่น โรคตาบวม โรคท้องมีน้ำ จนถึงชะตาชีวิตนั้นค่อยๆขาดไป บัดนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สดับพระโลกนาถเจ้าตรัสกุมารปาลจิรายุวัฒนนิโรธกรรมสูตรแล้ว จักขอน้อมรับพุทธบัญชายังให้ผองบริวาร แม้จักมีความหิวกระหายบีบคั้น ก็จักมิยอมกลืนกินอีกเลย พระเจ้าข้า พระพุทธองค์รับสั่งกับรากษสว่า เธอทั้งหลายพึงสมาทานศีลจากตถาคตเถิด จักยังให้เธอละจากกายแห่งรากษสนี้ แล้วไปอุบัติเสวยสุขยังเทวภูมิ

    พระพุทธองค์ตรัสแก่มหาชนว่า หากมีกุมารคือเด็กชายที่รับทุกขเวทนา มารดาพึงแบ่งน้ำนมเพียง
    ละอองธุลีที่นภากาศ (คือดีดนำนมเล็กน้อยขึ้นสู่อากาศ) เพื่อเป็นทานแก่รากษสทั้งปวง รวมถึงจดจำกุมารปาลจิรายุวัฒนนิโรธกรรมสูตรนี้ด้วยความบริสุทธิ์ คัดลอก อ่านท่องสาธยายแล้วไซร้ โรคาพาธก็จักสิ้นไปเพลานั้นบรรดารากษสจึงโสมนัสยินดีเป็นยิ่งนัก ทูลพระพุทธองค์ว่า เมื่อจักได้อุบัติยังเทวโลกเป็นแน่แท้แล้ว ข้าพระองค์และบริวาร จึงมิอาจเบียดเบียนน้ำนมของกุมารเหล่านั้นได้อีก จักขอกินเม็ดเหล็ก มิกลืนกินเนื้อของกุมารเหล่านั้นได้อีกแม้ที่สุด หลังจากพระพุทธองค์เสด็จสู่นิพพานแล้ว หากในสถานที่ใดสามารถอ่านท่องสาธยายจดจำพระธรรมนี้ หากมีคนชั่วยังธรรมจารย์ให้กลัดกลุ้มใจ ฤๅมีปีศาจร้ายมารบกวนกุมารทั้งปวงแล้วไซร้ ข้าพระองค์ทั้งหลายจักใช้พุทธวัชรคฑาอารักขาปกป้อง มิให้ปีศาจทำร้ายเขาเหล่านั้นได้

    เมื่อนั้น บรรดาเทวมหาราชทั้งปวงพร้อมกับบริวาร นาคราชาทั้งหลาย ยักษราชาทั้งหลาย อสุรินท
    ราชา ครุฑราชา กินนรราชา มโหราคราชา เปรตราชา ปีศาจราชา ปูตนาราชา๓๑ จนถึงกฏปูตนะ๓๒ บรรดาผู้เป็นราชาทั้งปวงต่างพร้อมด้วยบริวาร ได้มาอภิวาทพระพุทธองค์ซึ่งล้วนมิจิตเสมือนกัน ประคองอัญชลีแล้วทูลว่า ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลายแต่บัดนี้ไป ทุกที่สถาน หากมีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกา ที่จดจำจิรายุวัฒนสูตรนี้ ได้จารึกคัดลอก บริวารของข้าพระองค์จักตามอารักขาอยู่เป็นนิจ ปวงข้าพระองค์ผู้เป็นราชา จักเฆี่ยนบังคับปีศาจร้ายทั้งหลาย หากมีปีศาจร้ายเบียดเบียนหมู่สัตว์ยังให้เกิดทุกข์ทรมาน หากสามารถคัดลอกพระธรรมนี้อย่างบริสุทธิ์แล้วไซร้ ปวงข้าพระองค์ผู้เป็นราชาจักห้ามปรามปีศาจทั้งหลายมิให้ทำร้ายยังให้เกิดทุกข์ ด้วย อกาลมรณะคือ ตายโหง, ตายร้าย อีก

    ครั้งนั้น ปฤถิวีเทพ ได้ลุกขึ้นจากอาสนะแล้วกราบทูลเช่นนี้ว่า ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า หาก
    สานุศิษย์แห่งพระองค์ ได้จดจำกุมารปาลจิรายุวัฒนนิโรธกรรมสูตรนี้ หมู่ข้าพระองค์เทพแห่งแผ่นดิน จักยังให้กลิ่นของดินเกิดอยู่เป็นนิจ ยังความชุ่มชื่นให้บุคคลนั้น ให้ผู้นั้นมีอายุขัยเพิ่มพูน ข้าพระองค์ทั้งหลายจักมอบทองเงินต่างๆ ทรัพย์สมบัติต่างๆ ธัญญาหารต่างๆแก่ผู้มีศรัทธาจิตนี้อย่างสมบูรณ์ มิให้ขาดแคลนมีกายผาสุก ปราศจากความยากลำบาก ในจิตสุขโสมนัสอยู่เป็นนิจ ได้บรรลุถึงเกษตรแห่งบุญวาสนา มิให้ปีศาจร้ายยังชาตะชีวิตผู้นั้นให้ขาดสิ้น หากกุมารทั้งหลายที่กำเนิดในเจ็ดวันแรก ปวงข้าพระองค์เทพแห่งแผ่นดิน ก็จักอารักขามิให้ชะตาขาดสิ้น

    เมื่อนั้น ท่ามกลางหมู่ชน เทพวัชรคุหยบดี๓๕จึงทูลพระพุทธองค์อีกว่า ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า เมื่อ
    พระตถาคตทรงแสดงกุมารปาลจิรายุวัฒนนิโรธกรรมสูตรนี้แล้ว บรรดามหาทานปติ๓๖ และบริวารทั้งหลายต่างเกิดจิตหมายจักธำรงรักษา อ่านท่องสาธยายและคัดลอกพระธรรมนี้ เพื่อแจกจ่ายไปมิให้ลดน้อยลงข้าพระองค์ได้ยินพระภควันต์ผู้เจริญ ตรัสมหาฤทธามนตร์อันเป็นมงคลนี้แล้ว หากมีสรรพสัตว์ที่ได้ยินแม้ครั้งหนึ่ง ในร้อยกัลป์พันชาติจักมิต้องมีชะตาสั้น ได้บรรลุถึงอายุไม่มีประมาณ ไร้โรคาทุกข์ แม้นมีมารทั้งสี่๓๗ ก็มิอาจขัดขืนป่วนปั่น จักมีอายุขัยยืนยาวถึงหนึ่งร้อยยี่สิบปี มิชรามิมรณะ มิเสื่อมถอยมิจมหาย พุทธบุตรทั้งหลาย ที่เป็นทุกข์เพราะโรคร้าย เมื่อได้ยินมนตร์นี้แล้ว ย่อมเว้นจากการถูกปีศาจทั้งปวงฉุดคร่าชะตาชีวิต แล้วจึงกล่าวมนตร์ว่า....

    ตทฺยาถา จนฺทฺริ จนฺทฺร-วิเท จนฺทฺรม หูมํ จนฺทฺรวเต จนฺทฺร-ปูเร จนฺทฺร-ชเย จนฺทฺร-ติเร จนฺทฺร-วิเม จนฺทฺร-ธุรุ จนฺทฺร-ปรเภ จนฺทฺร-อุตฺตเร จนฺทฺร-ปติเย จนฺทฺร-ภาเม จนฺทฺร-ขฑฺเค จนฺทฺราโลเก สฺวาหา



    พระพุทธองค์ตรัสว่า สาธุๆ วัชรคุหยบดี บัดนี้เธอสามารถแสดงกุมารปาลศรีมังคละมนตร์นี้ เธอ
    จักเป็นมหานายกะ คือผู้นำที่ยิ่งใหญ ของสรรพสัตว์ทั้งปวง มัญชุศรีพึงทราบเถิดว่า มนตร์นี้พระพุทธเจ้าทั้งปวงในอดีต ล้วนกล่าวแสดงไว้ ผู้ธำรงรักษาคงไว้ สามารถยังให้มนุษย์และเทพมีอายุขัยยืดยาวออกไป สามารถขจัดบาปมลทินจากอกุศลทิฐิทั้งปวง สามารถรักษาให้ผู้ธำรงพระธรรมนี้มีอายุขัยยืดยาวได้เป็นอย่างดี

    พระโลกนาถรับสั่งกับพระมัญชุศรีธรรมราชกุมารว่า เมื่อตถาคตนิพพานล่วงแล้ว ในโลกแห่งความ
    เสื่อมและความชั่ว หากมีภิกษุล่วงพระธรรมวินัยของตถาคต อยู่ใกล้ชิดภิกษุณีและสถานทั้งปวงของสตรีพร้อมทั้งสามเณรสองรูปได้ดื่มสุรา บริโภคมังสะ มีกามราคะประทุในดวงจิต มีจิตดูแคลนผู้ห่มขาวทำลายธรรมของตถาคตให้เสื่อมสิ้น รักษาโลกียธรรมเนียม มิยังกิจให้บริสุทธิ์ ปราศจากจิตหิริโอตตัปปะอุปมาเป็นท่อนไม้ พึงทราบเถิดว่า อนันตริยบุคคลนี้หาใช่ศิษย์ตถาคตไม่ คือบริวารแห่งมาร ได้ชื่อว่าครูเจ้าลัทธิทั้งหก ภิกษุเหล่านี้ในชาติปัจจุบันย่อมมีวิบากคืออายุขัยสั้น บรรดาภิกษุณีก็เช่นกัน หากสามารถขมากรรมและมิกระทำอีก แล้วน้อมรับปฏิบัติในพระธรรมนี้ ย่อมบรรลุถึงความมีอายุยืนยาว

    ดูก่อนมัญชุศรี เมื่อตถาคตนิพพานล่วงแล้ว ในโลกแห่งความเสื่อมและความชั่ว หากมีโพธิสัตว์
    ป้ายสีทำลายผู้อื่น ยกย่องความดีของตน อันพุทธยานสูตรนั้นเล่าก็มิถ่ายทอดแก่ผู้คน โพธิสัตว์เช่นนี้คือสหายของมารหาใช่โพธิสัตว์แท้ไม่ หากสามารถจดจำพระธรรมนี้ด้วยความเป็นที่สุดแห่งใจ คัดลอกอ่าน ท่อง ย่อมบรรลุนิตยกายอันมิเสื่อมสลายของพระพุทธเจ้าทั้งปวง

    มัญชุศรี เมื่อตถาคตนิพพานล่วงแล้ว ในโลกแห่งความเสื่อมและความชั่ว หากมีพระราชา กระทำปิตุฆาต มาตุฆาต ตัดศีรษะญาติทั้งหกจำพวก มิดำเนินตามราชธรรม ก่อการสงครามให้แผ่กว้าง รุกล้ำประเทศอื่น ขุนนางสุจริตถูกป้ายสีจนต้องโทษประหาร มัวเมากามราคะ ละเมิดกฎของอดีตพระราชาทำลายพระสถูปและอาราม เผาพระธรรมและปฏิมา ชลชาติจึงแห้งแล้งมิราบรื่น เหตุเพราะพระราชาไร้คุณธรรม ประเทศจึงอดอยาก เกิดโรคระบาดล้มตาย ราชาเช่นนี้ในชาติปัจจุบันย่อมมีพระชนม์สั้น เมื่อสิ้นแล้วจึงเข้านรกภูมิตกสู่มหาอเวจี หากสามารถคัดลอกพระธรรมนี้ ให้แผ่กว้างออกไปและบูชา ขมากรรม สำนึกผิดด้วยจริงใจ แล้วประพฤติตามกฎของอดีตพระราชาแล้วไซร้ จักได้รับพระชนมายุที่ยืนยาว

    มัญชุศรี เมื่อตถาคตนิพพานล่วงแล้ว ในโลกแห่งความเสื่อมและความชั่ว หากมีมหาอำมาตย์
    และเหล่าขุนนางที่ได้รับวาสนาจากฟ้า แต่จิตไร้ความเกรงกลัวและละอาย หลอกลวงสอพลอมิสุจริต แอบอ้างแสร้งกระทำ ภัยของขุนนางโจรยังให้ประเทศชาติมิสงบสุข สั่งคนใกล้ชิดมิให้ประพฤติตามกฎหมายล่วงเกินบังคับราษฎร ละโมบทารุณตามใจ เข่นฆ่าผู้ไร้ความผิด ถือเอาทรัพย์สมบัติผู้อื่น ดูแคลนพระธรรมคัมภีร์ เป็นมารขัดขวางมหายาน บุคคลเหล่านี้ ในชาติปัจจุบันย่อมมีอายุขัยสั้น แล้วตกสู่อเวจีนรก ไร้กำหนดพ้นมาได้ หากสามารถขมากรรม จดจำพระธรรมนี้ คัดลอกสาธยาย ย่อมได้รับอายุขัยที่ยืนยาวเพื่อรักษาบุญวาสนานั้นได้ตลอดไป


    มัญชุศรี เมื่อตถาคตนิพพานล่วงแล้ว ในโลกแห่งความเสื่อมและความชั่ว หากมีอุบาสก อุบาสิกาหลงเชื่อในความเห็นที่ผิด มิศรัทธาสัมมาธรรมมหายาน สรรพสัตว์เหล่านี้ แม้นจักมีเงินทองจำนวนร้อยพันประมาณมิได้ แต่ยังมีจิตตระหนี่เสียดาย ใฝ่มุ่งลาภสรรเสริญ มิอาจบริจาคทาน เพื่อช่วยผู้มีทุกข์เพราะยากไร้ทั้งปวง มิอาจคัดลอกพระพุทธพจน์สิบสองหมวด๓๙ จดจำสาธยาย เพื่อปรารถนาเว้นจากทุกข์ของเพราะความไม่เที่ยงและอบายภูมิ บุคคลนี้ ในเคหสถานและที่ว่าง เตาไฟลุกขึ้นเอง มีปักษีปรากฏขึ้น งูเข้าสู่ห้องนอน สุนัขวิ่งขึ้นเรือน หนูร้อยชนิดเปล่งเสียงร้อง บรรดาสัตว์เลื้อยคลานแย่งกันเข้าสู่เรือน และภูติผีร้อยประเภทที่ชื่อว่ามีความประหลาด เหตุที่ได้เห็นสิ่งประหลาดนั้น จิตจึงเศร้าหมอง เหตุที่ประชุมด้วยความเศร้าหมองจึงมีอายุขัยสั้น หากสามารถจดจำจารึกพระธรรมนี้ ยังให้แผ่กว้างออกไปและสาธยาย
    ย่อมกำจัดอาเพศเหล่านี้ได้ บรรลุถึงความมีอายุขัยยืนยาว

    (ทฺวาทศงฺค ธรฺมปฺรวจนานิ พุทธพจน์ ๑๒ มี ๑.สูตร หรือสุตตะ คือระเบียบคำที่แสดงเนื้อความได้เรื่องหนึ่งๆ ได้แก่ อุภโตวิภังคะ, นิทเทศ, ขันธก, ปริวาธ และสูตรทั้งหลายในสุตตนิบาต เป็นต้นว่า มงคลสูตร, รัตนสูตร, นาลกสูตร และพุทธพจน์อื่นซึ่งเรียกชื่อว่าสูตร ก็นับเป็นสูตรหรือสุตตะเหมือนกัน ๒.เคยยะ คือระเบียบ
    คำที่เป็นจุณณียบท(ร้อยแก้ว)บ้าง คาถา(ร้อยกรอง)บ้าง ปนกันอยู่ ได้แก่ สคาวรรค ในสังยุตตนิกายทั้งหมด ๓.คาถา คือระเบียบคำที่ท่านประพันธ์ผู้เป็นคาถาเช่น ธรรมบทเถรคาถา เถรีคาถา และคาถาล้วนๆ ในสุตตนิบาต ซึ่งไม่เรียกชื่อว่าสูตร (เมื่อครั้งรจนาคัมภีร์ สมันตปาสาทิกา) ๔.นิทาน คือระเบียบคำที่แสดงถึงมูลเหตุเกิดขึ้นของพระไตรปิฎกบางส่วนจำแนกได้คือ หนึ่งพระสูตรที่เกิดขึ้นเพราะมีผู้ถามปัญหา สองมูลเหตุที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบท สามเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น จึงทรงแสดงธรรมปรารภถึงเหตุนั้น ๕.อิติวุตตกะ คือระเบียบคำที่อ้างว่าพระพุทธเจ้าตรัสแล้วอย่างนี้ได้แก่สูตร ร้อยสิบสูตร ซึ่งเป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า “วุตฺตํ เหตํ ภควตา...” ในอิติวุตตกะ ๖.ชาดก คือระเบียบคำที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงบูรพจารีตได้แก่ชาดก ห้าร้อยห้าสิบเรื่อง มีอปัณณกชาดก เป็นต้น ๗.อัพภูตธรรม คือระเบียบคำกอปรด้วยอัจฉริย
    ภูตธรรม ได้แก่สูตรที่ประกอบไปด้วยอัจฉริยภูตธรรมทั้งหมดซึ่งเป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า “จตฺตาโรเม ภิกฺขเว อจฺฉริยา อพฺภุตธมิมา อานนฺเท... ๘.อวทาน คือระเบียบคำที่แสดงพระจริยาอันประเสริฐและที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวของพระพุทธเจ้า คล้ายกับชาดก ผิดกันที่ชาดกมุ่งแสดงประวัติของพระพุทธเจ้า เมื่อเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ในอดีต ๙.อุปเทศ คือระเบียบคำที่พระพุทธองค์ตรัสในรูปของคำถามและคำตอบ ๑๐.อุทาน คือระเบียบคำที่พระพุทธเจ้าทรงอาศัยโสมนัสญาณ เป็นต้น เปล่งออกมาเป็นคาถาโดยมากเป็นจุณณียบทก็มีบ้าง ได้แก่สูตรแปดสิบสอง ในอุทาน ๑๑.ไพบูลย์ ลักษณะหนึ่งของคัมภีร์มหายาน รวบรวมสูตรที่แต่งขยายความให้พิสดารตรงข้ามกับพุทธพจน์ที่ตัดย่อลง ๑๒.ไวยากรณ์ คือระเบียบคำที่เป็นจุณณียบทล้วน ไม่มีคาถาปน และอภิธรรมปิฎกทั้งสิ้น แม้พระพุทธพจน์อื่นที่ไม่สงเคราะห์เข้าในองค์ที่ ๑๑ ที่กล่าวข้างต้นก็จัดว่าเป็นไวยากรณ์ด้วย โดยรวมหมายถึงพระไตรปิฎก)

    มัญชุศรี เมื่อตถาคตนิพพานล่วงแล้ว ในโลกแห่งความเสื่อมและความชั่ว สรรพสัตว์ทั้งหลาย เมื่อสำเร็จเป็นชายหญิงแล้ว ด้วยความสงสารเป็นเหตุจิตใจจึงเป็นโรค ด้วยเหตุไฉนนั่นฤๅ เมื่อชายเติบใหญ่ขึ้นต้องเป็นทหาร ด้วยกฎหมายเช่นนี้ ให้อยู่ในกฎระเบียบมิเป็นตัวเอง บิดามารดาเมื่อระลึกถึงแล้วให้เกิดโรคทางใจ อันหญิงนั้นเมื่อเติบโตไปครองคู่ยังบ้านอื่น ถูกคนดูแคลนเหยียดหยาม เลิกร้างจากความเป็นสามีภริยา บิดามารดาเมื่อระลึกถึงแล้วให้เกิดโรคทางใจ เพราะโรคทางใจเป็นเหตุ จึงตรมตรอมเศร้าหมองเพราะประชุมด้วยโรคและความโศกเศร้า ยังให้ชาติปัจจุบันมีอายุขัยสั้น หากสามารถจารึกจดจำพระธรรมนี้ จักบรรลุถึงความมีอายุขัยยืนยาว ด้วยอำนาจของพระธรรมเป็นเหตุให้คู่ครองสมานฉันท์ โรคทางใจมลายสิ้น

    มัญชุศรี เมื่อตถาคตนิพพานล่วงแล้ว ในโลกแห่งความเสื่อมและความชั่ว สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ปราศจากจิตเมตตากรุณา เข่นฆ่าชีวิต กลืนกินเนื้อสิบชนิด (พุทธเจ้าทรงห้ามภิกษุฉันเนื้อ ๑๐ อย่าง คือ ๑) เนื้อมนุษย์ ๒) เนื้อช้าง ๓) เนื้อม้า ๔) เนื้อสุนัขบ้าน ๕) เนื้องู ๖) เนื้อราชสีห์หรือสิงโต ๗) เนื้อเสือโคร่ง ๘) เนื้อเสือดาว ๙)เนื้อหมี๑๐) เนื้อสุนัขป่า) ของสรรพสัตว์ทั้งปวง มัญชุศรีพึงทราบเถิดว่าดุจการฆ่าบิดามารดา ดั่งกินเครือญาติทั้งหก บ้างเพราะเหตุที่เข่นฆ่าชีวิตยังให้ครรภ์ถูกทำลาย ด้วยเรื่องราวเช่นนี้ ในชาติปัจจุบันจึงมีอายุขัยสั้น เมื่อคราที่สามีภริยาร่วมสังวาส จักถูกรากษสร้ายกลืนกินครรภ์นั้น ยังให้ไร้บุตร หากสามารถจารึก จดจำพระธรรมนี้ ก็ย่อมเว้นจากทุกข์นั้น


    มัญชุศรี เมื่อตถาคตนิพพานล่วงแล้ว ในโลกแห่งความเสื่อมและความชั่ว สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มิล่วงรู้กรรมเมื่ออดีตชาติ เมื่อได้รับสังขารมนุษย์ที่คงอยู่มิช้านานก็สำคัญว่าเป็นสุข ยิ่งทำลายและป้ายสีบ้างกระหยิ่มในอิทธิพล มีจิตชั่วช้านานาประการ บงการชีวิตผู้อื่น มิเลื่อมใสพระธรรม ถือตัวเย่อหยิ่ง ต่อมหาพุทธยาน บุคคลเช่นนี้ ในปัจจุบันชาติจักมีอายุขัยสั้น หากสามารถสำนึกผิดด้วยที่สุดแห่งใจ มีจิตโอนอ่อน จารึกพระธรรมนี้ จดจำ สาธยายแล้วไซร้ ด้วยกำลังของกุศลมูลนี้ จักยังให้มีอายุขัยยืนยาว แม้นว่าจะทรมานเพราะโรคที่สุดแล้วจักมิมรณะร้าย

    มัญชุศรี เมื่อตถาคตนิพพานล่วงแล้ว ในโลกแห่งความเสื่อมและความชั่ว สรรพสัตว์ทั้งหลายแม้เป็นผู้ได้รับพระราชบัญชา แม้บุพการีสอนสั่งมาแล้ว ได้เดินทางยังบ้านเมืองอื่นและในสถานที่อันตรายเพื่อประกอบการค้าเพราะปรารถนาสมบัติมีค่า เหตุที่มีทรัพย์ศฤงคารมากจึงถือตัวว่าสูงส่ง เล่นการพนัน มัวเมาราคะในสตรี คบหามิตรชั่ว มิรับสนองราชบัญชาและคำสอนของบุพการี มัวเมาสุรานารี ใช้สังขารให้ไร้ซึ่งประโยชน์ดุจปราศจากชีวิต มีทรัพย์สินเพื่อความมัวเมาลุ่มหลงในสุรา มิรู้จักหนทางปลอดภัยหรืออันตราย ภายหลังผู้นั้นจึงถูกโจรร้ายต่างๆ ช่วงชิงทรัพย์ไป เหตุนี้จึงเป็นภัยแก่ชีวิต หากสามารถจารึกพระธรรมนี้ แล้วมีปณิธานเผยแผ่ให้กว้างขวางแล้วไซร้ ทุกสถานที่อาศัยนั้นโจรร้ายจักหลบลี้ไป เกิดจิตสุขเกษม บรรดาสัตว์ร้ายต่างๆมิอาจทำร้าย กายและจิตเป็นผาสุก ได้รับทรัพย์ศฤงคารเป็นอันมาก ด้วยอำนาจพระธรรมนี้ ย่อมเป็นผู้มีอายุขัยยืนยาว

    มัญชุศรี เมื่อตถาคตนิพพานล่วงแล้ว ในโลกแห่งความเสื่อมและความชั่ว สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ด้วยเหตุเพราะอกุศลกรรม เมื่อสิ้นชีพจึงเข้าสู่นรกเมื่อพ้นจากนรกแล้ว ย่อมได้รับกายของเดรัจฉาน แม้จักได้กายมนุษย์ ก็มีอายตนะหกมิสมบูรณ์ บ้างหูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ หลังค่อมโก่งงอ เป็นโรคเรื้อน มี
    กายเป็นหญิง มิรู้จักพระธรรมและตัวอักษร หากเป็นชาย ด้วยเหตุของอกุศลกรรม ยังให้เป็นคนโง่เขลาทึบทื่อ มิอาจอ่านท่องจิรายุวัฒนสูตรนี้ จิตเกิดความทุกข์ตรม ด้วยความทุกข์ตรมเป็นเหตุ จึงชื่อว่าเป็นโรคทางใจ เหตุเพราะใจเป็นโรคในชาติปัจจุบันจึงมีอายุขัยสั้น หากให้ผู้เป็นกัลยาณมิตรช่วยจารึกคัดลอกพระธรรมนี้ ตนเองนั้นเล่าก็ยิ่งมีความยึดมั่น(ในพระธรรม) นับแต่เริ่มจนสิ้นสุด ก็มีเอกจิตเคารพเลื่อมใส ด้วยเหตุที่มีความจริงใจจึงเป็นกุศลประมาณมิได้ อกุศลกรรมเหล่านี้จึงมิต้องรับอีก บุคคลนี้ในชาติปัจจุบันย่อมมีอายุขัยยืนนาน
    มัญชุศรี เมื่อตถาคตนิพพานล่วงแล้ว ในโลกแห่งความเสื่อมและความชั่ว หากมีสรรพสัตว์ที่กระทำกาละ คือ ตาย แล้ว จากเจ็ดวันแรกจนถึงเจ็ดวันที่เจ็ด(เจ็ดวันแรกคือ สัตมวาร เจ็ดวันที่เจ็ด คือการนับครั้งละ ๗ วัน ๗ ครั้ง คือ ครบ ๔๙ วัน) (ญาติมิตร)ได้สร้างบุญกุศลต่างๆไว้ตลอดทั้งเจ็ดช่วงเวลาเพื่ออุทิศแก่ผู้วายชนม์นั้น อันกุศลที่ผู้วายชนม์ได้รับนั้นมีเพียงหนึ่งส่วน หากเมื่อคราที่ยังมีชีวิตได้ใช้เวลาตลอดสี่สิบเก้าวัน หยุดพักกิจทางบ้าน จารึกคัดลอกพระธรรมนี้ สักการะด้วยของหอมและมาลีอัญเชิญพระพุทธและนิมนต์พระสงฆ์ ดำรงชีพด้วยการงดเว้นเจ็ดวัน (คือการเว้นจากอกุศลทั้งปวง เช่นการฆ่า เบียดเบียน เว้นเนื้อสัตว์ และบำเพ็ญกุศลเช่น สมาทานศีล บริจาคทาน ศึกษาพระธรรม ฯลฯ เป็นเวลา ๗ วัน) จักได้รับกุศล(มาก)ดุจเม็ดทรายในคงคานที บุคคลนี้ในชาติปัจจุบันย่อมเป็นผู้มีอายุขัยยืนนาน ไกลจากทุกข์ของอบายภูมิสามอยู่เป็นนิจ หากสิ้นชีพไป ด้วยคราที่มีสังขารอันสั่งสมก่อสร้างการกุศลเอาไว้ จึงได้รับเจ็ดส่วน

    มัญชุศรี เมื่อตถาคตนิพพานล่วงแล้ว ในโลกแห่งความเสื่อมและความชั่ว สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    อกตัญญู สร้างอนันตริยกรรมห้าประการ ปราศจากจิตเมตตากรุณาต่อบุพการี ไร้ความรักปองดองต่อญาติทั้งหกประเภท สมัยนั้นเทวราชผู้ตรวจตราเที่ยวไปในทวีปทั้งสี่ ผู้มีเครื่องดนตรีนานาขับกล่อม ได้นำพาบริวารทั้งหลายในสามเดือนจึงมาถึงยังชมพูทวีป หากสรรพสัตว์ที่มีโรค เทวราชก็จักกำจัดปีศาจร้ายยังให้โรคนั้นสิ้นไป หมู่สัตว์หากมิกตัญญู อิจฉาริษยากระทำความชั่ว เจ้าปีศาจที่ยังให้เกิดโรคจักใช้อากาศพิษพ่นโรคจากปาก ยังให้เกิดโรคห่าและโรคทั้งปวง บ้างร้อนบ้างหนาว อ่อนแอเหน็ดเหนื่อย เป็นไข้จับสั่นเพราะปีศาจร้ายคือภูติแห่งพิษและโรคกุษฐัง หากในหนึ่งวันสามารถร่ำสุคนธ์และเกลี่ยมาลีบูชา ด้วยกายใจที่บริสุทธิ์ จารึกคัดลอกพระธรรมนี้จนถึงเจ็ดวัน ได้อัญเชิญพระพุทธเจ้าและนิมนต์พระสงฆ์ สมาทาน
    ศีลคือข้องดเว้นโดยบริสุทธิ์และสาธยายแล้วไซร้ ด้วยกุศลมูลนี้ ที่สุดย่อมมิต้องเป็นโรคระบาด เหตุที่ไร้โรคระบาด จึงมีอายุขัยยืนยาว

    มัญชุศรี เมื่อตถาคตนิพพานล่วงแล้ว ในโลกแห่งความเสื่อมและความชั่ว สรรพสัตว์ที่ด้อยวาสนาเมื่อกัลป์จวนสิ้นนั้น ดวงอาทิตย์จักฉายส่องอยู่เจ็ดดวงและจะมืดมิดอีกเจ็ดวัน พระราชาที่ไร้คุณธรรมยังให้อากาศแห้งแล้ง บรรดาสมุนไพร ไพรสณฑ์ พืชพรรณธัญหารทั้งหลาย อ้อย มาลี ผลไม้ที่มีในแผ่นดิน ย่อมจักเหี่ยวเฉาและตายลง หากมีพระราชาเจ้าประเทศและสรรพสัตว์ทั้งหลาย สามารถจดจำสาธยายพระธรรมกถานี้ นันทะนาคราชและอุปนันทนาคราชเป็นต้น จักเกิดความสงสารหมู่สัตว์แล้วนำน้ำจากมหาสมุทร โปรยปรายเป็นฝนแก่พนาวัน ธัญหาร รุกขชาติ ตฤณชาติ ยังความชุ่มชื่นงอกงามแก่หมู่สัตว์ทั้งปวง ด้วยกำลังของพระธรรมนี้ยังให้มีอายุขัยยืนยาว

    มัญชุศรี เมื่อตถาคตนิพพานล่วงแล้ว ในโลกแห่งความเสื่อมและความชั่ว สรรพสัตว์ทั้งหลายผู้
    คดโกงตาชั่ง ได้ทรัพย์โดยมิชอบ ด้วยบาปกรรมนั้น เมื่อสิ้นชีพแล้วจึงเข้าสู่นิรยภูมิ เมื่อจากนิรยภูมิแล้วจักมีกายเป็นเดรัจฉานมีวัว ลา ช้าง ม้า สุกร สุนัข แพะ สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ยุง เห็บ มด หากจักมีโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีจิตเมตตากรุณา ได้สาธยายพระธรรมนี้ให้เดรัจฉานยุงและแมลงได้ยินที่เบื้องหน้าเพียงครั้ง ด้วยพลานุภาพของพระธรรมนี้ยังให้หลุดพ้นจากประเภทนั้นๆ เดรัจฉานเหล่านี้ที่ละจากสังขารแล้ว ย่อมไปอุบัติยังเทวโลก หากมีโพธิสัตว์ปราศจากจิตเมตตากรุณา มิอาจกล่าวแสดงพระธรรมกถานี้ให้กว้างขวางไปแล้วไซร้ ย่อมหาใช่ศิษย์ตถาคตไม่ คือสหายแห่งมาร

    มัญชุศรี เมื่อตถาคตนิพพานล่วงแล้ว ในโลกแห่งความเสื่อมและความชั่ว สรรพสัตว์ทั้งหลาย
    ดวงจิตยโสถือดี มิศรัทธาพระธรรม กล่าวร้ายธรรมของตถาคต หากมีสถานที่ใดแสดงธรรม ก็ไร้ซึ่งจิตที่รับฟังและศึกษา ด้วยบาปกรรมนี้ ในชาติปัจจุบันย่อมมีอายุขัยสั้น ตกสู่นรกต่างๆ หากมีสถานใดกล่าวแสดงจิรายุวัฒนสูตรนี้ หมู่สัตว์ผู้สามารถไปสดับ ฤๅหากนำพาผู้อื่นให้ไปสดับ แม้จักแยกกันนั่งหรือนั่งด้วยกันก็ดี บุคคลนี้คือหลักค้ำของพระพุทธะ จักมีอายุขัยยาวนาน มิต้องผ่านอบายภูมิ พึงนำธรรมสูตรนี้ตั้งไว้ในที่บริสุทธิ์ ตามแต่ห้องที่ใหญ่เล็ก

    มัญชุศรี เมื่อตถาคตนิพพานล่วงแล้ว บรรดาสตรีทั้งปวง ที่กายมีครรภ์เกิดขึ้น แล้วเข่นฆ่าชีวิต
    สัตว์ บริโภคไข่ของสัตว์ปีกทั้งปวง ไร้จิตเมตตาสงสาร ในชาติปัจจุบันจักมีอายุขัยสั้นเป็นวิบาก เมื่อใกล้คลอดจักลำบากอันตราย ด้วยเหตุที่คลอดยากนั้น จึงสามารถยังให้ชีวิตนั้นขาดสิ้น บ้างเป็นเพราะศัตรูผู้มิใช่กัลยาณมิตร หากสามารถจารึกพระธรรมนี้ แล้วมีปณิธานเผยแผ่ให้กว้างขวางแล้วไซร้ จักยังให้คลอดโดยง่าย ไร้ความติดขัดทั้งปวง มารดาและบุตรผาสุก มิว่าจะเป็นบุตรชายหรือหญิง ก็จักถือกำเนิดตามความปรารถนา

    สมัยนั้น สมเด็จพระโลกนาถรับสั่งกับพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ว่า ในบัดนี้ที่ตถาคตแสดงจิรายุวัฒน
    ปฏิจจสมุปบาทพุทธภาวะสูตรนี้ ที่พระพุทธเจ้าทั้งปวงในอดีตก็ล้วนตรัสแล้ว หากมีสรรพสัตว์จดจำสาธยายย่อมได้รับประโยชน์เป็นอันมาก เมื่อสิ้นอายุขัยนั้นแล้วคือครบหนึ่งร้อยยี่สิบปี เมื่อคราจักละสังขาร ย่อมมิต้องศาสตราวุธและทุกข์ทั้งปวง ได้อาศัยพุทธภาวะเป็นเหตุให้บรรลุถึงวัชรนิตยกายของพระพุทธเจ้าทั้งปวงที่บริสุทธิ์ยอดเยี่ยมแข็งแกร่งเป็นนิตย์ ยังมีโพธิสัตว์นามว่า อวโลกิเตศวร๑ มหาสถามปราปต์๑ ทรงเมฆเบญจรงค์และช้างเผือกหกงา ถือปัทมอาสน์ มารับผู้เจริญพุทธานุสติไปอุบัติยังอจลโลกภูมิ (คือโลกที่ไม่หวั่นไหว อาจหมายถึงสุขาวตีโลกธาตุ)เป็นผู้มีปกติที่สุขเกษม มิต้องผ่านทุกข์ทั้งแปด (อขณะ ๘ คือสัตว์ ๘ ประเภทที่ยากจะได้พบพระพุทธเจ้า หรือได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ มี ๑.สัตว์นรก ๒.สัตว์ดิรัจฉาน ๓.เปรต ๔.เทวดาที่อายุยืน ๕.คนที่เกิดในปัจจันตประเทศ ๖.คนพิการ ๗.พวกมิจฉาทิฐิ ๘.สมัยที่ว่างจากพระพุทธเจ้า)

    มัญชุศรีพึงทราบเถิด สรรพสัตว์ผู้ลุ่มหลง มิตื่นมิรู้ว่าอายุขัยนั้นสั้นและเปราะบางยิ่งนัก ดุจแสงไฟจากศิลา ดุจฟองบนน้ำ ดุจแสงอสุนี๕๑ เหตุไฉนในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ จึงมิตระหนก มิหวั่นเกรงหนอ เหตุไฉนในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ จึงละโมบในลาภผลยิ่งนัก เหตุไฉนในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ จึงลุ่มหลงมัวเมาในสุราตัณหาราคะ เหตุไฉนในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ จึงเกิดจิตอิจฉาริษยา สังสารวัฏนี้เป็นดั่งกระแสคลื่นในมหาสมุทร มีเพียงพระพุทธเจ้า โพธิสัตว์ทั้งหลายที่บรรลุถึงฝั่งกระโน้น สรรพสัตว์ผู้เป็นปุถุชนต้องจมลงเป็นแน่แท้ อนิจจภูตินั้นจักมาโดยไม่จำกัดซึ่งกาล

    แม้มีเงินทองทรัพย์สมบัติจำนวนประมาณมิได้ หาขอบเขตมิได้ก็ตาม จักขอซื้อชีวิตไว้หาได้ไม่
    สรรพสัตว์พึงทราบเถิด จงพิจารณากายนี้และมีมนสิการว่า กายนี้ดุจอสรพิษสี่ ที่กินของสกปรกไม่มีประมาณอยู่เป็นนิจ กายนี้เน่าเหม็น มีโลภะและกามผูกมัดอยู่ ร่างกายนี้น่ารังเกียจ ดุจซากสุนัขที่ตายแล้ว

    กายนี้ไม่สะอาด มีของเหลวไหลออกจากทวารทั้งเก้าอยู่เนืองนิตย์ กายนี้ดุจเมืองที่มีรากษสอาศัย
    อยู่ภายใน กายนี้มิคงอยู่ได้นาน จักเป็นอาหารของนกแร้งและสุนัขหิว จงเผิกเฉยในกายที่สกปรกนี้เถิด จงแสวงหาโพธิจิต พึงพิจารณากายนี้ว่าเมื่อครั้งละสังขารของเหลวย่อมไหลออก มือทั้งสองแบหงาย เจ็บปวดยากจะทานทน เมื่อสมัยที่ชีพขาดสิ้น ในหนึ่งวัน สองวัน จนถึงห้าวัน จะอืดพองและช้ำเขียว หนองย่อมไหลออก บิดามารดาภริยาบุตรล้วนมิต้องการเห็น จนถึงกระดูกในกายก็เกลื่อนกระจัดกระจายบนพื้นดินกระดูกขาอยู่ที่หนึ่ง กระดูกไหล่ กระดูกฝัน กระดูกสะโพก กระดูกซี่โครง กระดูกสันหลัง กระดูกศีรษะหัวกะโหลกต่างอยู่คนละที่ เนื้อ ไส้ กระเพาะ ตับ ไต ปอดล้วนเป็นที่ประชุมของหนอน

    เหตุไฉนในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ เมื่อตนได้กำเนิดมาแลยังมีชีวิต ทองเงิน รัตนมณี ทรัพย์สมบัติ ใช่ของเราหรือกระไร หากมีสรรพสัตว์จักเว้นซึ่งทุกข์นี้ พึงมิเสียดายบ้านเรือน ภริยา บุตร ศีรษะ ดวงตา ไขกระดูก แล้วจารึกพระธรรมนี้ จดจำ สาธยายความลึกลับของพระพุทธเจ้าทั้งหลายคือปฏิจจสมุปบาท ให้มีการสักการะแผ่กว้างออกไป ทุกสิ่งที่มั่นหมายย่อมสำเร็จ ได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิจิตที่ยากจักทำลายที่สุดแล้วจักมิต้องถูกปีศาจเบียดเบียนให้มรณะก่อนเวลาอันควร

    สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อสมัยที่ทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทอันเป็นพุทธภาวะนี้
    บรรดาชนาชนในมหาสันนิบาต มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทพ นาค สัตว์ในคติแปด มนุษย์และ
    อมนุษย์ต่างๆ พระเจ้าปเสนทิโกศล พร้อมด้วยบริวารเหล่านั้นอันคณนาด้วยเม็ดทรายในคงคานที ล้วน
    บรรลุถึงอนุตรสัมมาสัมโพธิจิตและอนุตปตติกธรมกษานติ ได้พรรณนาว่า สิ่งนี้ยังมิเคยเกิดขึ้นมาก่อน มีเอกจิตน้อมเกล้าลงถวายอภิวาท โสมนัสปราโมทย์แล้วน้อมรับยึดถือต่อไป ด้วยประการฉะนี้..

    จบ ..กุมารปาล จิรายุวัฒน นิโรธกรรม ธารณีสูตร

    กุมารปาล จิรายุวัฒน นิโรธกรรม ธารณีสูตร
    บทที่ ๑
    ปทฺมิ ปทฺมิ เทวี กษีนิ กษีนิ กเษมิน จูเร จูร จูรี หูรา หูรา ยุรี ยุร ยุรี ปร ปริ-มุญฺจ ฉิเท ภิเท ภญฺ
    เช มาเถ ฉิท กเร สฺวาหา
    (อ่านว่า)
    ปัทมิ ปัทมิ เทวี กษีนิ กษีนิ กเษมินะ จูเร จูระ จูรี หูรา หูรา ยุรี ยุระ ยุรี ปะระ ปริ มุนจะ ฉิเท ภิเท ภัญเช
    มาเถ ฉิทะ กเร สวาหา

    บทที่ ๒
    ตทฺยาถา จนฺทฺริ จนฺทฺร-วิเท จนฺทฺรม หูมํ จนฺทฺรวเต จนฺทฺร-ปูเร จนฺทฺร-ชเย จนฺทฺร-ติเร จนฺทฺร-วิเม
    จนฺทฺร-ธุรุ จนฺทฺร-ปรเภ จนฺทฺร-อุตฺตเร จนฺทฺร-ปติเย จนฺทฺร-ภาเม จนฺทฺร-ขฑฺเค จนฺทฺราโลเก สฺวาหา
    (อ่านว่า)
    ตัทยาถา จันทริ จันทระ-วิเท จันทรมะ หูม จันทรวเต จันทร-ปูเร จันทร-ชะเย จันทร-ติเร จันทร-วิเม
    จันทร-ธุรุ จันทร-ประเภ จันทร-อุตตะเร จันทระ-ปะติเย จันทระ-ภาเม จันทระ-ขัทเค จันทรา โลเก สวาหา
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Updated 06/25/2013 @ 09:30 UTC
    ปรับปรุงข้อมูล วันที่ 25 มิถุนายน 2556 เวลา 16.30 น.
    Solar Update
    ปรับปรุงข้อมูลพลังงานแสงอาทิตย์

    Good morning. Solar activity is at very low levels on Tuesday morning
    กิจกรรมที่เกี่ยวกับพลังแสงอาทิตย์ยังคงอยู่ในระดับต่ำมากในวันอังคาร

    Sunspots 1772 and 1776 are both in a state of decay as they begin to rotate onto the west limb and out of direct Earth view today.
    จุดดับที่ 1772 และ 1776 ทั้งคู่อยู่ในสถานะล่าถอย จุดดับทั้ง 2 เริ่มที่จะกมุนไปทางขอบทางด้านตะวันตก และออกไปยังด้านที่อยู่ตรงข้ามกับโลกในวันนี้

    Region 1774 located near 1772 in the southwest quadrant is almost spotless.
    ขอบเขต 1774 ซึ่งอยู่ใกล้ 1772 ในพื้นที่ 1/4 ของวงด้านตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งไม่มีจุดดับ

    Sunspot 1775 which is the most threatening in terms of magnetic complexity remains stable.
    จุดเับที่ 1765 ซึ่งยังคงมีความซับซ้อนในด้านสนามแม่เหล็กยังคงไม่มีอะไรผิดปรกติ

    Sunspot 1778 located in the southeast quadrant was showing signs of growth yesterday,
    จุดดับที่ 1778 ซึ่งอยู่ท่าด้านตะวะนออกเฉียงใต้ของ. 1/4 พื้นที่วงกลมพระอาทิตย์กำลังขยายตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อวานนี้ การขยายตัวขึ้นอ่จเป็นไปได้ทั้งขยายตัวด้านพื้นที่ของจุดดับ และการเกิดการประทุของพลังแสงอาทิตย์บ่อยๆ

    however now appears to have decayed somewhat. แต่อย่างไรก็ตามในขณะนี้ปรากฎว่าค่อนข้างจะน้อยลง


    There will remain a chance for at least minor C-Class solar flares.
    แต่ยังคงมีโอกาสที่จะเกิดการปีะทุอย่างน้อยที่สุดระดับ C

    The solar flux index should continue to gradually decrease in
    ฟลักซ์พลังแสงอาทิตย์. (โปรตอนฟลักซ์) ควรที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง

    the short term as sunspots fade or rotate out of view.
    ในไม่ช้าจุดดับจะจางหายไปหรือหมุนไปอยู่ด้านตรงข้ามกับโลก

    Visible Solar Disk (Tuesday) - Click to Open
    image.jpg
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข้อมูลจาก Piyacheep S.Vatcharobol วันที่ 25 มิถุนายน 2556 เวลา 21.52
    สึนามิจะเกิดชายฝั่งแอตแลนติกด้านตะวันออกของอเมริกา
    ตามที่เพื่อนฝรั่ง ดร.ไซมอน แอดคิน
    คาดการณ์วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ถึง ๕ มิถุนายน
    ทุกหน่วยงานตามข่าว เฝ้าระวัง
    บางหน่วยงานพยายามลดปริมาณไฟฟ้าในชั้นบรรยากาศ
    ปรากฏว่าสึนามิไม่ได้เกิดตามนั้น

    แต่วันที่ ๑๓ มิถุนายน ได้เกิดสึนามิจริงตามการคาดการณ์ว่าจะเกิด
    แต่ไม่ตรงระหว่างวันที่คาดการณ์เท่านั้น เกิดช้าไป ๘ วัน แต่ก็เกิด

    ข่าวสรุปสุดท้ายว่าน่าจะเกิดจากลอยเลื่อนของแผ่นดิน
    อันเป็นผลมาจากปฏิกิริยาดวงอาทิตย์

    Tsunami hits the Jersey Shore (Continental Shift Slip may be to blame) June 24, 2013

    ที่ผมย้ำเพราะต้องการสื่อให้เห็นว่า คนที่เฝ้าดูก็ดูไป
    แต่มีหน่วยงานที่ทำการป้องกัน ลดความแรงทำงานคู่ไปในทางลับด้วย
    จากภาพถ่ายท้องฟ้า และแผนการบินของเครื่องบิน
    รวมกระทั่งเคมเทล ปรากฏกว่ามีการปล่อยสารเคมีในอากาศมากมายช่วงนั้น
    เพื่อกระจายและลดปะจุไฟฟ้าในอากาศกันอย่างเต็มที่
    แต่มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ทุกครั้งไป
    พลังงานและความสมารถมนุษย์ไม่ยิ่งใหญ่และนานพอกับธรรมชาติ

    การเกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก แน่หละต้องวัดการสั่นไหวได้
    แต่ข่าวเงียบเชียบ จนต้องใช้การเฝ้าระวังออนไลน์ ดูกันนาทีต่อนาที
    เพื่อคาดการณ์การสั่นไหวของเลือกโลก

    วันที่ ๒๔ มิถุนายน ฟ๊อกซ์นิวส์ ได้เผยแพร่ข่าวและภาพถึง
    Dead Zone หรือ พื้นที่เสี่ยงตาย รอบอ่าวแม๊กซิโก และ
    ชายฝั่งแอตแลนติกเหนือ ชายฝั่งตะวันออกของเมริกาเหนือ

    Giant dead zone may choke Gulf of Mexico | Fox News

    จากที่คุณทรงยศเอาบทสนทนาในภาพยนตร์มาพูดว่า
    มีการเตือนแล้ว แต่ประชาชนไม่สนใจเอง

    ข่าวการเตือนภัยค่อยๆทยอยออกมาเรื่อยๆ
    เพิ่มพื้นที่และลักษณะภัยมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็เฉพาะในเขตแดนประเทศเขา
    จะว่าเขาก็ไม่ได้ ประเทสเราก็ต้องเตือน นำเสนอข้อมูลกันไปเรื่อยๆ
    ในชนกลุ่มน้อยของประเทศที่สนใจเตรียมการ
    เพื่อนฝรั่งใช้คำว่า The Huge one that anyone never seen

    เตรียมที่อยู่สำรองในภาคเหนือกันให้เสร็จก่อนสิงหาคม
    แล้วไปดัดแปลงเตรียมความพร้อมอย่างพอเพียงให้เรียบร้อย
    หากต้องอพยบไป จะได้ไม่เป็นผู้อพยบชั้นสองที่ต้องอยู่ในค่ายในเต้นท์
    รอคอยความช่วยเหลือแบบค่ายเขมรอพยบแบบโนนหมากมุ่นเหมือนสมัยก่อน

    ใครที่มีที่เตรียมการก่อนจะได้เปรียบในทุกๆด้าน
    หาที่ชอบ ที่ชอบกันเตรียมไว้ล่วงหน้านะครับ

    ผมเองคงช่วยอะไรใครไม่ได้มาก
    นอกจากครอบครัวที่ลงเงินมาสร้างที่หลบภัยกัน ๓ ครอบครัว
    และสิ่งที่ทำไปแล้วตามคำขอแต่ไม่มากัน
    ก็ใช้สำรองให้ครอบครัวทีมงานใกล้ชิดที่ร่วมหัวจมท้ายกันมาตลอด
    เพราะปัจจัยและทุนทรัพย์ติดลบไปนานแล้ว

    วัดต่างๆที่นำอาหารไปไว้แล้วก็ยังตามเดิมนะครับ
    ไปเยี่ยมเยียนทำบุญผูกมิตรกับพระและกรรมการวัดด้วยนะครับ

    จากนี้ไปคงได้แค่ส่งข่าวและขอพับโครงการต่างๆทั้งหมดไว้ก่อน
    ทำโครงการสุดท้ายที่ค้างมานาน "บวร" ในชื่อว่า

    สำนึกรักตอบแทนคุณแผ่นดินอนุรักษ์ฐานทรัพยากรอาสาเฝ้าระวังภัย

    สอน สื่อ แนะนำ ให้ศึกษาและเตรียมความพร้อมในการดูแล
    ตนเอง ครอบครัว และชุมชน ให้ได้แค่ความรู้อย่างเดียวนะครับ

    image.jpg
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ดวงอาทิตย์หันหลุมโคโรนาขนาดใหญ่ตรงมาทางโลก ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ลมสุริยะมีความเร็วเพิ่มขึ้นใน 2-3 วันนับจากนี้

    image.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2013
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข้อมูลวันที่ 26 มิถุนายน 2556
    Capture1.JPG

    Capture2.JPG
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เขต Dead Zoneในมหาสมุทรทั่วโลกเพิ่มอีกกว่า 400 แห่ง
    คำว่า Ocean Dead Zone หรือ"เขตมรณะในมหาสมุทร " คือเขตในมหาสมุทรที่มีปริมาณอ็อกซิเจนน้อยเกินกว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ สิ่งมีชีวิตจึงอยู่แถบนั้นไม่ได้เพราะจะตายหมด
    ที่แย่ก็คือ มันกำลังเป็นเหมือนโรคเรื้อรังอีกโรคหนึ่ง ที่กำลังขยายวงกว้างออกไปทั่วมหาสมุทรต่างๆของโลก เหมือนโรคร้ายที่กระจายไปทั่วร่างกายของเรา และกำลังกลายเป็นอีกหนึ่งในปัญหาใหญ่ระดับโลก เพราะส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบนิเวศน์วิทยา และส่งผลต่อทรัพยากรทางทะเลที่เรานำไปใช้เลี้ยงชีวิตชาวโลก เพราะในท้องน้ำแถบนั้น เราจะหาไม่พบเลย ไม่ว่าปลา กุ้ง ปูหรือหอย
    โรเบิร์ต ดีแอซ แห่งสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลเวอร์จิเนียกับผู้ร่วมงานคือรัตเกอร์ โรเซนเบิร์ก จากมหาวิทยาลัยโกเทนบรูกซ์ของสวีเดน รายงานในวารสาร Science ฉบับวันศุกร์นี้ว่า ปัจจุบัน เกิดเขต Dead Zones เพิ่มขึ้นตามมหาสมุทรต่างๆของโลกอีกกว่า 400 แห่งแล้ว เพิ่มขึ้นถึงเท่าตัวจากที่สหประชาชาติเคยรายงานไว้แค่เพียงเมื่อสองปีก่อน
    พื้นที่ใหม่ๆ กระจายอยู่ในซีกโลกใต้ อเมริกาใต้ แอฟริกา และบางส่วนของเอเชีย บางแห่งอาจเกิดมานานแล้วแต่เพิ่งถูกค้นพบ เช่นที่ปากแม่น้ำแยงซีของจีน แต่หลายแห่งเพิ่งเกิดขึ้นใหม่จริงๆ เช่น ที่อ่าวยากีน่า ในรัฐโอเรกอนของสหรัฐฯ , แถวๆที่ทำฟาร์มกุ้งต่างๆของไต้หวัน, ที่ฟยอร์ดบางแห่งในนอร์เวย์ ฯลฯ
    สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโซนมรณะเหล่านี้ มาจากสาหร่ายที่กินมลภาวะเป็นอาหาร มันจะแย่งออกซิเจนไปจากสิ่งมีชีวิตในน้ำ และตัวการสำคัญคือปุ๋ยกับของเสียอื่นๆจากฟาร์ม ที่ถูกน้ำกวาดลงแม่น้ำและไหลลงสู่ทะเล รวมทั้งของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม และการเผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงที่เกิดจากฟอสซิล ฯลฯ รายงานบอกว่าชาวไร่ชาวนาต้องหาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ให้ปุ๋ยราคาแพงที่กัดฟันซื้อมา ใส่ต้นไม้ไหลลงแม่น้าไปหมด เพราะมีแต่โทษ ไม่เป็นผลดีต่อใครเลย
    เขต Dead Zoneในมหาสมุทรทั่วโลกเพิ่มอีกกว่า 400 แห่ง จากบล็อก โอเคเนชั่น oknation.net
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ถ้าน้ำป่วย…เราจะอยู่อย่างไร
    ธันวาคม 7, 2010 by คิ้วหนา | Leave a comment
    แต่เกือบทั้งหมดหรือร้อยละ ๙๗.๕ เป็นน้ำเค็มในทะเลและมหาสมุทร
    และอีกร้อยละ ๒.๕ เป็นน้ำจืด
    น้ำจืดส่วนใหญ่เป็นน้ำแข็งซึ่งถูกกักเก็บไว้แถบขั้วโลก บ้างก็เป็นน้ำจืดในชั้นใต้ดินที่ลึกมากๆ
    อีกเล็กน้อยคือความชื้นในดินและไอน้ำในชั้นบรรยากาศ
    เหลือน้ำจืดเพียงร้อยละ ๑ เท่านั้นที่มนุษย์สามารถใช้ประโยชน์ได้
    โลกก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ ๒๑ ด้วยปัญหาวิกฤตน้ำ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
    อันมีสาเหตุจากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของจำนวนประชากร ภาคอุตสาหกรรม
    และระบบการผลิตอาหาร รวมถึงแนวทางการจัดการน้ำที่ไร้ประสิทธิภาพ
    ส่งผลถึงสถานการณ์ในปัจจุบันที่…
    • ผู้คนเกือบ ๙๐๐ ล้านคนทั่วโลกไม่สามารถเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาด
    • ประชากรโลกจำนวน ๑.๒ พันล้านคนอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ
    คาดการณ์ว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น ๓ พันล้านคนในอีก ๑๕ ปีข้างหน้า
    • ๒.๖ พันล้านคนหรือราวๆ ครึ่งหนึ่งของประชากรในประเทศกำลังพัฒนายังไม่มีห้องน้ำที่ถูกสุขอนามัย
    • ในแต่ละปีมีเด็กอายุต่ำกว่า ๕ ขวบจำนวน ๑.๘ ล้านคนเสียชีวิตด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำ
    คิดเป็นร้อยละ ๑๗ ของสาเหตุการตายในเด็กช่วงวัยนี้
    • มีผู้เสียชีวิตจากอาการท้องร่วงปีละประมาณ ๒.๒ ล้านคนทั่วโลก
    • ร้อยละ ๘๘ ของผู้ที่ป่วยด้วยโรคท้องร่วงมีสาเหตุมาจากดื่มน้ำไม่สะอาดและไม่มีสุขอนามัยที่ดี
    • มากกว่าร้อยละ ๕๐ ของคนที่นอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
    กำลังป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องกับแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคหรือมลพิษ
    • น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมและพื้นที่การเกษตรจำนวน ๒ ล้านตัน
    กำลังไหลลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติทั่วโลก
    • ในประเทศกำลังพัฒนา ประมาณร้อยละ ๙๐ ของน้ำเสีย
    ไหลลงสู่แม่น้ำ ทะเลสาบ และมหาสมุทร โดยไม่ผ่านการบำบัด
    และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชายฝั่งทะเลหลายแห่งกลายสภาพเป็น “เดดโซน” (Dead Zone)
    คือมีปริมาณออกซิเจนละลายน้ำค่อนข้างน้อย
    • วันนี้ระบบนิเวศทางทะเลมากกว่า ๒๔๕,๐๐๐ ตารางกิโลเมตรกำลังได้รับผลกระทบจากสภาวะเดดโซน
    โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับชายฝั่งทะเลในซีกโลกเหนือ
    • เปรียบเทียบกับข้อมูลปี ค.ศ. ๑๙๙๐ ในอีก ๑๐ ปีข้างหน้า
    น้ำเสียจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีเทนและไนตรัสออกไซด์เพิ่มขึ้นร้อยละ ๕๐ และร้อยละ ๒๕ ตามลำดับ
    แต่หากทุกคนเริ่มต้นลงมือวันนี้ ก็น่าจะยังพอมีเวลาสำหรับการฟื้นฟูทรัพยากรน้ำทั่วโลก
    …ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
    ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “ถอดรหัส”
    นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 302 เดือนเมษายน 2553
    ถ้าน้ำป่วย…เราจะอยู่อย่างไร | My Freezer...Since Dec 2006
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พระสูตรก่อนนิทรา สำหรับวันที่ 26 มิถุนายน 2556
    ชีวประวัติท่านเว่ยหลาง ที่ท่านเล่าเอง
    พุทธทาสภิกขุแปล
    ****************
    ครั้งหนึ่ง เมื่อพระสังฆปริณายกองค์นี้ ได้มาที่วัดเปาลัม ข้าหลวงไว่ แห่งเมืองชิวเจา กับข้าราชการอีกหลายคน ได้พากันไปที่วัดนั้น เพื่อขอให้ท่านกล่าวธรรมกถาแก่ประชาชนทั่วไป ณ ห้องโถง.แห่งวิหารไทฟัน ในนครกวางตุ้ง.
    ในไม่ช้า มีผู้มาประชุมฟัง ณ โรงธรรมสภานั้น คือข้าหลวงไว่แห่งชิวเจา, พวกข้าราชการและนักศึกษาฝ่ายขงจื้อ อย่างละประมาณ 30 คน, ภิกษุ, ภิกษุณี นักพรตแห่งลัทธิเต๋า และคฤหัสถ์ทั่วไป รวมเบ็ดเสร็จประมาณหนึ่งพันคน.
    ครั้นพระสังฆปริณายก ได้ขึ้นนั่งบนอาสนะเรียบร้อยแล้ว ที่ประชุมได้ทำการเคารพ. และอาราธนาขอให้ท่านแสดงธรรมว่าด้วยหลักสำคัญแห่งพุทธศาสนา. ในอันดับนั้น ท่านสาธุคุณองค์นั้น ได้เริ่มแสดงมีข้อความดังต่อไปนี้-
    ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย จิตเดิมแท้ (Essence of Mind) ของเราซึ่งเป็นเมล็ดพืชหรือแก่นของการตรัสรู้นั้น เป็นของบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ (Pure by nature) และต้องอาศัย จิตเดิมแท้ นี้เท่านั้น มนุษย์เราจึงจะเข้าถึงความเป็นพุทธะได้โดยตรงๆ อาตมาจะเล่าให้ฟังถึงประวัติของอาตมาเองบางตอน และเล่าถึงข้อที่ว่า อาตมาได้รับคำสอนอันเร้นลับ แห่งนิกายธยาน(เซ็น) มาด้วยอาการอย่างไร
    บิดาของอาตมาเป็นชาวเมืองฟันยาง ถูกถอดจากตำแหน่งราชการ ถูกเนรเทศไปอยู่อย่างราษฎรสามัญที่ซุนเจาในมณฑลกวางตุ้ง. อาตมาโชคร้ายโดยที่บิดาได้ถึงแก่กรรมเสียแต่ในขณะที่อาตมายังเล็กอยู่เหลือเกิน และทิ้งมารดาไว้ในสภาพที่ยากจนทนทุกข์ เราสองคนจึงย้ายไปอยู่ทางกวางเจา และอยู่ที่นั้นด้วยความทุกข์ยากเรื่อยมา.
    วันหนึ่ง อาตมากำลังนำฟืนไปขายอยู่ที่ตลาดเพราะเจ้าจำนำคนหนึ่งเขาสั่งให้นำไปขายให้เขาถึงร้าน เมื่อส่งของและรับเงินเสร็จแล้ว อาตมาก็ออกจากร้าน ได้พบชายคนหนึ่งกำลังบริกรรมสูตรๆ หนึ่งอยู่แถวหน้าร้านนั้นเอง พอได้ยินข้อความแห่งสูตรนั้นเท่านั้น ใจของอาตมาก็ลุกโพลงสว่างไสวในพุทธธรรม อาตมาจึงถามชื่อคัมภีร์ที่เขากำลังสวดอยู่ ก็ได้ความจากชายคนนั้นว่า พระสูตรนั้นชื่อ วัชรสูตร (วชฺรจฺเฉทิกสูตร หรือพระสูตรอันว่าด้วยเพชรสำหรับตัด) อาตมาจึงไล่เรียงต่อไปว่า เขามาจากไหน ทำไมเขาจึงจำเพาะมาท่องบ่นแต่พระสูตรนี้. ชายคนนั้นตอบว่าเขามาจากวัดตุงซั่น ตำบลวองมุย เมืองคีเจา เจ้าอาวาสในขณะนี้มีนามว่าหวางยั่น(ฮ่งยิ้ม) เป็นพระสังฆปริณายก แห่งนิกายเซ็น องค์ที่ 5 มีศิษย์รับการสั่งสอนอยู่ประมาณพันคน เมื่อเขาไหว้พระสังฆปริณายกที่วัดนั้น เขาได้ฟังเทศน์หลายครั้งเกี่ยวกับพระสูตรๆนี้ เขาเล่าต่อไปว่า ท่านสาธุคุณองค์นั้นเคยรบเร้าทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตอยู่เสมอ ให้พากันบริกรรมพระสูตรๆนี้ เผื่อว่าเมื่อเขาพากันบริกรรมอยู่ เขาจะสามารถเห็น จิตเดิมแท้ ของตนเอง และจะเข้าถึงความเป็นพุทธะได้โดยตรงๆ เพราะเหตุนั้น
    คงเป็นด้วยกุศลที่อาตมาได้ทำไว้แต่ชาติก่อนๆ จึงเป็นเหตุให้อาตมาได้ทราบเรื่องราวเหล่านี้ และอาตมายังได้รับเงินอีก 10 ตำลึงจากชายผู้อารีคนหนึ่งให้มาเพื่อมอบให้มารดาไว้ใช้สอย ในระหว่างที่อาตมาไม่อยู่ ทั้งเขาเองเป็นผู้แนะนำให้อาตมารีบไปยังตำบลวองมุย เพื่อพบพระสังฆปริณายกองค์นั้น เมื่อได้จัดแจงให้มีคนช่วยดูแลมารดาเสร็จแล้ว อาตมาก็ได้ออกเดินทางไปยังวองมุย และถึงที่นั้นได้ในชั่วเวลาไม่ถึงสามสิบวัน
    ครั้นถึงตำบลวองมุยแล้ว อาตมาได้ไปนมัสการพระสังฆปริณายก ท่านถามว่ามาจากไหน และต้องประสงค์อะไร อาตมาได้ตอบว่า "กระผมเป็นคนพื้นเมืองซุนเจา แห่งมณฑลกวางตุ้ง เดินทางมาแสนไกลเพื่อทำสักการะเคารพแด่หลวงพ่อท่าน และกระผมไม่ต้องการอะไร นอกจากธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ (Buddha-nature) อย่างเดียวเท่านั้น"
    ท่านถามอาตมาว่า "เป็นชาวกวางตุ้งหรือ? เป็นคนป่าคนเยิงแล้วเธอจะหวังเป็นพุทธะได้อย่างไรกัน?"
    อาตมาได้เรียนตอบท่านว่า "แม้ว่าจะมีคนชาวเหนือและคนชาวใต้ก็จริง แต่ทิศเหนือและทิศใต้นั้น หาได้ทำให้ความเป็นพุทธะซึ่งมีอยู่ในคนนั้นๆ แตกต่างกันได้ไม่. คนป่าคนเยิงจะแตกต่างจากหลวงพ่อ ก็แต่ในทางร่างกายเท่านั้น, แต่ไม่มีความผิดแปลกแตกต่างกันในส่วนธรรมชาติของความเป็นพุทธะของเราทั้งหลาย" แต่เผอิญมีศิษย์ของท่านเข้ามาหลายคน ท่านจึงหยุดชะงัก และสั่งให้อาตมาไปสมทบทำงานกับคนงานหมู่หนึ่ง
    อาตมากล่าวขึ้นว่า "กระผมกราบเรียนหลวงพ่อว่า "วิปัสสนาปัญญาเกิดขึ้นในใจของกระผมเสมอๆ เมื่อผู้ใดผู้หนึ่งไม่ได้มีจิตเลื่อนลอยไปจาก จิตเดิมแท้ ของตนแล้ว ก็ควรจะเรียกเขาผู้นั้นว่า "ผู้เป็นเนื้อนาบุญของโลก" เหมือนกัน กระผมจึงไม่ทราบว่างานอะไร ที่หลวงพ่อให้ผมกระทำ?"
    พระสังฆปริณายกได้มีบัญชาว่า "เจ้าคนป่านี้เฉลียวฉลาดเกินตัวไปเสียแล้ว จงไปที่โรงนั่น แล้วอย่าพูดอะไรอีกเลย" อาตมาจึงถอยหลีกไปทางลานข้างหลัง มีคนวัดที่ไม่ใช่บรรพชิตคนหนึ่ง มาบอกให้ผ่าฟืน และตำข้าว ต่อมาไม่น้อยกว่าแปดเดือน วันหนึ่งพระสังฆปริณายกได้พบอาตมา และท่านกล่าวว่า "ฉันทราบดีว่า ความรู้ในพุทธธรรมของเธอนั้นมั่นคงดีมาก แต่ฉันต้องหลีกไม่พูดกับเธอ มิฉะนั้นจะมีคนทุศีลบางคนทำอันตรายเธอ, เธอเข้าใจไหม?" อาตมาตอบว่า "ขอรับหลวงพ่อ กระผมเข้าใจ เพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็นกระผมในข้อนี้ กระผมก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ๆห้องของหลวงพ่อ"
    อยู่มาวันหนึ่ง พระสังฆปริณายกเรียกประชุมบรรดาศิษย์ทั้งหมด แล้วประกาศว่า "ปัญหาแห่งการเวียนเกิดไม่มีที่สิ้นสุด เป็นปัญหาเฉพาะหน้าเวลานี้ วันแล้ววันเล่า แท่นที่จะพยายามเปลื้องตัวเองออกมาเสียจากทะเลแห่งการเกิดตายอันขื่นขม ดูเหมือนว่าพวกเธอกลับหมกหมุ่นอยู่แต่ในบุญกุศลชนิดที่ถูกตัณหาลูบคลำเสียแล้ว อย่างเดียวเท่านั้น (กล่าวคือบุญกุศลที่เป็นเหตุให้เกิดใหม่) ถ้า จิตเดิมแท้ ของพวกเธอยังมืดมัวอยู่ บุญกุศลทั้งหลายก็ยังจะไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย จงตั้งหน้าค้นหาปรัชญา (ปัญญา) ในใจของเธอเอง แล้วเขียนโศลก(คาถา) มาให้เราโศลกหนึ่ง ว่าด้วยเรื่อง จิตเดิมแท้ ผู้ใดเข้าใจได้ถูกต้องว่า จิตเดิมแท้นั้นเป็นอย่างไร ผู้นั้นจะได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์ (อันเป็นเครื่องหมายตำแหน่งพระสังฆปริณายก) พร้อมทั้งธรรมะ(อันเป็นคำสอนเร้นลับของนิกายธยาน) และฉันจะสถาปนาผู้นั้นเป็นสังฆปริณายกองค์ที่หก (แห่งนิกายนี้) จงไปโดยเร็วอย่ารีรอในการเขียนโศลก การมัวตรึกตรองไม่จำเป็น และไม่มีประโยชน์อะไร ผู้ที่รู้แจ้งชัดในจิตเดิมแท้ จะพูดได้ทันทีที่มีใครมาชวนพูดด้วยเรื่องนั้น และมันจะไม่ละไปจากคลองแห่งญาณจักษุของเขา แม้ว่าเขาจะกำลังรบพุ่งชุลมุนอยู่กลางสนามรบก็ตามที"
    เมื่อได้รับคำสั่งดังนั้น ศิษย์อื่นๆ (เว้นแต่ชินเชาหัวหน้าศิษย์)พากันถอยออกไปและกล่าวแก่กันและกันว่า "ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับคนชั้นพวกเราๆที่จะไปตั้งสมาธิเพ่งจิตเขียนโศลก ถวายหลวงพ่อ เพราะว่าตำแหน่งสังฆปริณายกนั้น ใดๆ ก็เห็นว่าจะไม่พ้นมือท่านชินเชา ผู้เป็นหัวหน้าศิษย์ไปได้. เมื่อเราเขียนใช้ไม่ได้ มันก็เป็นการลงแรงเสียเปล่า" เมื่อได้ปรับทุกข์กันดังนี้แล้ว ศิษย์เหล่านั้นทุกคนได้พากันเลิกล้มความตั้งใจในการเขียน และว่าแก่กันว่า "เราจะไปทำให้มันเหนื่อยทำไม? ต่อไปนี้ เราคอยติดตามหัวหน้าของเรา คือ ชินเชา เท่านั้นก็พอแล้ว ไม่ว่าเขาจะไปข้างไหน เราจะตามเขาในฐานะเป็นผู้นำ"
    ในขณะเดียวกันนั้น ชินเชา ผู้เป็นเชฏฐอันเตวาสิก ก็หยั่งทราบความเรื่องนี้ได้ด้วยตนเอง, เขารำพึงว่า "เมื่อพิจารณารดูถึงข้อที่ว่า เราเป็นครูสั่งสอนเขาอยู่ คงไม่มีใครเข้ามาเป็นคู่แข่งขันในการเขียนโศลกกับเรา แต่เป็นครูสั่งสอนเขาอยู่เราจะเขียนโศลกถวายพระสังฆปริณายกดีหรือไม่ ถ้าเราไม่เขียน พระสังฆปริณายกจะทราบได้อย่างไรว่า ความรู้ของเราลึกซึ้งหรือผิวเผินเพียงไหน ถ้าวัตถุประสงค์ในการเขียนของเราในครั้งนี้ ได้แก่ความหวังจะได้รับธรรมจากพระสังฆปริณายก ก็แปลว่าเจตนาของเราบริสุทธิ์ แต่ถ้าเราเขียนเพราะอยากได้ตำแหน่งสังฆปริณายก นั่นแปลว่ามันเป็นความมีเจตนาชั่ว ในกรณีดังกล่าวจิตของเราก็เป็นจิตที่ข้องอยู่ในโลก และการกระทำของเราก็คือ การปล้นยื้อแย่งบัลลังก์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระสังฆปริณายก แต่ถ้าเราจะไม่เขียนโศลกยื่นท่านเราก็ไม่มีโอกาสจะได้รับทราบธรรมะนั้น. มันช่างยากที่จะตัดสินใจเสียจริงๆ"
    ที่หน้าหอสำนักของพระสังฆปริณายกนั้น มีช่องทางเดินตลอดสามช่อง ที่ผนังของช่องเหล่านี้ โลชูน จิตรกรเอกแห่งราชสำนักได้เขียนภาพต่างๆ จาก "ลังกาวตารสูตร" แสดงถึงการกลับกลายร่างของผู้ที่เข้าประชุม และเขียนภาพอันแสดงถึงชาติวงศ์ ของพระสังฆปริณายกทั้งห้าองค์ เพื่อเป็นความรู้ของประชาชน และให้ประชาชนได้ทำสักการะบูชา
    เมื่อชินเชาแต่งโศลกเสร็จแล้ว ได้พยายามที่จะส่งต่อพระสังฆปริณายกตั้งหลายหน แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้จะถึงหอสำนักของพระสังฆปริณายกทีไรหัวใจเต้นเหงื่อกาฬแตกท่วมตัวทุกที. เขาไม่สามารถที่จะแข็งใจเข้าไปส่งได้สำเร็จ ชั่วเวลาเพียง 4 วัน เขาพยายามถึง 13 ครั้ง ในที่สุดเขาก็ตกลงใจว่า "เราจะเขียนมันไว้ที่ฝาผนังช่องทางเดิน ให้พระสังฆปริณายกท่านเห็นเองดีกว่า" ถ้าถูกใจท่าน เราจึงค่อยออกมานมัสการท่าน และเรียนท่านว่าเราเป็นผู้เขียน ถ้าท่านเห็นว่ามันผิดใช้ไม่ได้ ก็แปลว่าเราได้เสียเวลาไปหลายปีในการมาอยู่บนภูเขานี้ และทำให้ชาวบ้านหลงเคารพกราบไหว้เสียเป็นนาน โดยไม่คู่ควรกันเลย และเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แปลว่าเราไม่ได้ก้าวหน้าในการศึกษาพระธรรมเลยแม้แต่น้อยมิใช่หรือ?" ครั้นถึงเวลาเที่ยงคืนในวันนั้น ชินเชาถือตะเกียงลอบไปเขียนโศลกที่เขาแต่งขึ้นไว้ ที่ผนังช่องทางเดินทางทิศใต้ โดยหวังอยู่ว่า พระสังฆปริณายกจะได้เห็นและหยั่งทราบถึงวิปัสสนาญาณที่เขาได้บรรลุ โศลกนั้นมีว่า:-
    " กายของเราคือต้นโพธิ์ (*1)
    ใจของเราคือกระจกเงาอันใส
    เราเช็ดมันโดยระมัดระวังทุกๆ ชั่วโมง
    และไม่ยอมให้ฝุ่นละอองจับ"
    *1ต้นโพธิ์ในที่นี้ หมายถึงไม้เนื้ออ่อนไม่มีแก่น ได้แก่ไม้ตระกูลมะเดื่อทั่วไป ข้อนี้หมายถึงความไม่มีแก่นสารของร่างกาย และเห็นความสำคัญอยู่ที่ใจ ซึ่งจะต้องคอยรักษาให้สะอาดตามสภาพเดิม อยู่เสมอ ขอเตือนผู้อ่านและผู้ศึกษาให้กำหนดข้อความในตอนนี้ให้ดี เพราะเป็นข้อความที่ชี้ให้เห็นว่า เซ็นไม่เห็นพ้องกับมติที่ว่ามีอาตมัน ซึ่งจะทราบได้เมื่ออ่านต่อไปถึงตอนข้างหน้า ซึ่งปฏิเสธความมีอยู่แห่งกระจก (พุทธทาสผู้แปลไทย)
    พอเขียนเสร็จ เขาก็รีบกลับไปห้องของเขาทันที โดยไม่มีใครทราบการกระทำของเขา ครั้นไปถึงแล้วเขาก็วิตกต่อไปว่า "พรุ่งนี้ถ้าพระสังฆปริณายกเห็นโศลกของเรา และพอใจ ก็แปลว่าเราพร้อมที่จะได้รับธรรมะอันลึกซึ้งของท่าน แต่ถ้าท่านติว่าใช้ไม่ได้ มันก็แปลว่าเรายังไม่สมควรที่จะได้รับธรรมะอันนั้น เนื่องจากความชั่วที่เราทำไว้แต่ชาติก่อนๆ มาหุ้มห่อใจเราอย่างหนาแน่น มันเป็นการยากเย็นเหลือเกิน ในการที่จะทายว่า พระสังฆปริณายกจะมีความรู้สึกอย่างไรในโศลกอันนั้น" เขาได้คิดทบทวนอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งคืนยันรุ่ง นั่งก็ไม่เป็นสุข นอนก็ไม่เป็นสุข
    แต่พระสังฆปริณายกได้ทราบอยู่ก่อนแล้วว่า ชินเชาผู้นี้ยังไม่ได้ก้าวเข้าไปในประตูแห่งการตรัสรู้ และเขายังไม่ซึมทราบในจิตเดิมแท้
    รุ่งเช้า พระสังฆปริณายกให้ไปเชิญ นายโลชุน จิตรกรแห่งราชสำนักมาแล้วเดินไปตามช่องทางเดินทางทิศใต้พร้อมกัน เพื่อให้เขียนภาพที่ผนังเหล่านั้น จึงเป็นการประจวบเหมาะที่ทำให้พระสังฆปริณายกได้เห็นโศลกที่ชินเชาเขียนไว้
    พระสังฆปริณายก ได้กล่าวแก่โลชุนช่างเขียนว่า "เสียใจที่ได้รบกวนท่านให้มาจนถึงนี่ บัดนี้เห็นว่า ผนังเหล่านี้ไม่ต้องเขียนภาพเสียแล้ว เพราะสูตรๆนั้นได้กล่าวไว้ว่า "สรรพสิ่งที่มีรูป หรือมีความปรากฏกิริยาอาการ ย่อมเป็นอนิจจังและเป็นมายา" ฉะนั้น ควรปล่อยโศลกนั้นไว้บนผนังอย่างนั้น เพื่อให้มหาชนได้ศึกษาและท่องบ่น และถ้าเขาปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อความที่สอนไว้นั้น เขาก็จะพ้นทุกข์ ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิ อานิสงส์ที่ผู้ปฏิบัติตามจะพึงได้รับนั้นมีมากนัก"
    ครั้นกล่าวดังนั้นแล้ว พระสังฆปริณายกได้สั่งให้นำเอาธูปเทียนมาจุดบูชาที่ตรงหน้าโศลกนั้น และสั่งให้ศิษย์ของท่านทุกคนทำความเคารพ แล้วจำเอาไปท่องบ่น เพื่อให้เขาสามารถพิจารณาเห็น จิตเดิมแท้ เมื่อศิษย์เหล่านั้นท่องได้แล้ว ทุกคนพากันออกอุทานว่า "สาธู"
    ครั้นเวลาเที่ยงคืน พระสังฆปริณายกได้ให้คนไปตามตัวชินเชามาที่หอแล้วถามว่าเขาเป็นผู้เขียนโศลกนั้นใช่หรือไม่ ชินเชาได้ตอบว่า "ใช่ขอรับ กระผมมิได้เห่อเหิมเพื่อตำแหน่งสังฆปริณายก เพียงแต่หวังว่าหลวงพ่อจะกรุณาบอกให้ทราบว่า โศลกนั้นแสดงว่ามีแววแห่งปัญญาอยู่ในนั้นบ้างสักเล็กน้อย หรือหาไม่"
    พระสังฆปริณายกได้ตอบว่า "โศลกของเจ้าแสดงว่าเจ้ายังไม่ได้รู้แจ้ง จิตเดิมแท้ เจ้ามาถึงประตูแห่งการบรรลุธรรมแล้วเป็นนาน แต่เจ้ายังไม่ได้ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป การแสวงหาความตรัสรู้อันสูงสุด ด้วยความเข้าใจอย่างของเจ้าที่มีอยู่ในขณะนี้นั้น ยากที่จะสำเร็จได้"
    "การที่ใครจะบรรลุอนุตรสัมโพธิได้นั้น ผู้นั้นจะต้องสามารถรู้แจ้งด้วยใจเอง ในธรรมชาติแท้ของตนเอง หรือที่เรียกว่า จิตเดิมแท้ อันเป็นสิ่งที่ใครสร้างขึ้นไม่ได้ หรือทำลายให้สูญหายไปก็ไม่ได้ ชั่วเวลาขณะจิตเดียวเท่านั้น ผู้นั้นสามารถเห็นแจ้งจิตเดิมแท้ ได้โดยตลอดกาลทั้งปวง ต่อจากนั้นทุกๆ สิ่งก็จะเป็นอิสระจากการถูกกักขัง กล่าวคือจะเป็นวิมุติหลุดพ้นไป ตถตา (คือความเป็นแต่ที่เป็นอยู่เช่นนั้น ไม่อาจเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้, ซึ่งเป็นชื่อของจิตเดิมแท้อีกชื่อหนึ่ง) ปรากฏขึ้นเป็นครั้งเดียวหรือชั่วขณะจิตเดียว ผู้นั้นก็จะเป็นอิสระจากความหลงได้ตลอดกาลไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าสถานการณ์รอบข้างจะเป็นเช่นไรใจของผู้นั้น ก็จะยังคงอยู่ในสภาพแห่ง "ความเป็นเช่นนั้น" สถานะเช่นนี้ที่จิตได้ลุถึงนั่นแหละคือตัวสัจจธรรมแท้ ถ้าเจ้าสามารถเห็นสิ่งทั้งปวง โดยลักษณะการเช่นนี้ เจ้าจะได้รู้แจ้งจิตเดิมแท้ ซึ่งเป็นการตรัสรู้อันสูงสุด"
    "เจ้าไปเสียก่อน ไปคิดมันอีกสักสองวัน แล้วเขียนโศลกอันใหม่มาให้ฉัน ถ้าโศลกของเจ้าแสดงว่า เจ้าเข้าพ้นประตูไปแล้ว ฉันจะมอบผ้ากาสาวพัสตร์และธรรมะ(แห่งนิกายธยาน) ให้แก่เจ้าสืบทอดไป"
    ชินเชา กราบพระสังฆปริณายกแล้วหลีกไป เวลาล่วงเลยมาหลายวันเขาก็ยังจนปัญญา ในการที่จะเขียนโศลกอันใหม่ มันทำให้ใจของเขาหกหัวกลับไม่รู้บนล่างเหมือนคนถูกผีอำ เป็นไข้ทั้งที่ตัวเย็นชืดเหมือนกับที่คนกำลังฝันร้ายจะนั่งหรือเดินอย่างไร ก็ไม่พบอาริยาบทที่ผาสุก.
    เวลาล่วงมาอีกสองวัน บังเอิญเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านมาทางห้อง ที่อาตมาตำข้าวอยู่ เด็กคนนั้น ได้เดินท่องโศลกของชินเชา ที่จำมาจากฝาผนังอย่างดังๆ พอได้ยินโศลกนั้น อาตมาก็ทราบได้ทันทีว่าผู้แต่งโศลกนั้น ยังไม่ใช่ผู้เห็นแจ้งใน จิตเดิมแท้ แม้ว่าในเวลานั้น อาตมายังมิได้รับคำอธิบายอะไรเกี่ยวกับข้อความในโศลกนั้น อาตมาก็ยังเข้าใจในความหมายทั่วๆไปของมันได้เป็นอย่างดี อยู่เองแล้ว
    อาตมาถามเด็กนั้นว่า "โศลกอะไรกันนี่?" เด็กเขาตอบว่า "ท่านคนป่าคนเยิง, ท่านไม่ทราบเรื่องโศลกนี้ดอกหรือ? พระสังฆปริณายกได้ประกาศแก่ศิษย์ทั้งหลายว่า ปัญหาเรื่องการเกิดใหม่ไม่รู้สิ้นสุดนั้น เป็นปัญหาเฉพาะหน้าของคนทั้งหลาย, และว่าผู้ใดปรารถนาจะได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์และธรรมะ จะต้องเขียนโศลกให้ท่านโศลกหนึ่ง และว่าผู้ที่รู้แจ้งจิตเดิมแท้ จะได้รับมอบของเหล่านั้น และจะถูกแต่งตั้งเป็นสังฆปริณายกองค์ที่หก ท่านชินเชาศิษย์อาวุโส ได้เขียนโศลกเรื่อง "ไม่มีรูป" โศลกนี้ไว้ที่ผนัง ทางเดินด้านทิศใต้ และ พระสังฆปริณายกให้สั่งให้พวกเราท่องบ่นโศลกอันนี้ไว้ และท่านยังได้กล่าวไว้ด้วยว่า ผู้ใดเก็บเอาคำสอนนี้ไปปฏิบัติ ผู้นั้นจะได้รับอานิสงส์เป็นอันมาก จะพ้นจากทุกข์แห่งการเกิดในอบายภูมิ"
    อาตมาได้บอกแก่เด็กหนุ่มคนนั้นว่า อาตมาก็ปรารถนาที่จะท่องบ่นโศลกนั้นเหมือนกัน เผื่อว่าในภพเบื้องหน้า จะได้พบคำสอนเช่นนั้นอีก อาตมาได้บอกเขาด้วยว่า แม้อาตมาจะได้ตำข้าวอยู่ที่นี่ตั้งแปดเดือนมาแล้ว ก็ไม่เคยเดินผ่านไปแถวช่องทางเดินเหล่านั้นเลย เขาจะต้องนำอาตมาไปถึงที่ที่โศลกนั้นเขียนไว้บนผนัง เพื่อให้อาตมาได้มีโอกาสทำการบูชาโศลกนั้น ด้วยตนเอง
    เด็กหนุ่มนั้น นำอาตมาไปยังที่นั่น อาตมาขอร้องให้เขาช่วยอ่านให้ฟังเพราะอาตมาไม่รู้หนังสือ เจ้าหน้าที่เสมียนพนักงานแห่งตำบลกองเจาคนหนึ่งชื่อ จางตัตยุง เผอิญมาอยู่ที่นั้นด้วย ได้ช่วยอ่านให้ฟัง เมื่อเขาอ่านจบ อาตมาได้บอกแก่เขาว่า อาตมาก็ได้แต่งโศลกไว้โศลกหนึ่งเหมือนกัน และขอให้เขาช่วยเขียนให้อาตมาด้วย เขาออกอุทานว่า "พิลึกกึกกือเหลือเกิน ที่ท่านก็มาแต่งโศลกกับเขาได้ด้วย"
    อาตมาได้ตอบว่า "ถ้าท่านเป็นผู้ที่เสาะแสวงหาการบรรลุธรรมอันสูงสุดคนหนึ่งกะเขาด้วยละก็, ท่านอย่าดูถูกคนเพิ่งเริ่มต้น ท่านควรจะรู้ไว้ว่า คนที่ถูกจัดเป็นคนชั้นต่ำ ก็อาจมีปฏิภาณสูงได้เหมือนกัน และคนชั้นสูง ก็ปรากฏว่ายังขาดสติปัญญาอยู่บ่อยๆ ถ้าท่านดูถูกคน ก็ชื่อว่า ท่านทำบาปหนัก"
    เขากล่าวว่า "ไหนเล่า จงบอกโศลกของท่านมาชี ฉันจะช่วยเขียนให้ท่านแต่อย่าลืมช่วยฉันนะ ขอให้ท่านลุความสำเร็จในธรรมของท่านเถิด" โศลกของอาตมามีว่า:-
    "ไม่มีต้นโพธิ์
    ทั้งไม่มีกระจกเงาอันใสสะอาด
    เมื่อทุกสิ่งว่างเปล่าแล้ว
    ฝุ่นจะลงจับอะไร?"
    เมื่อเขาเขียนโศลกลงที่ผนังแล้ว ทั้งพวกศิษย์และคนนอกทุกคนที่อยู่ที่นั่น ต่างพากันประหลาดใจอย่างยิ่ง จิตใจเต็มตื้นไปด้วยความชื่นชม เขาพากันกล่าวแก่กันและกันว่า "น่าประหลาดเหลือเกิน ไม่ต้องสงสัยเลย เราไม่ควรตัดสินใครว่าเป็นอย่างไร ด้วยการเอารูปร่างภายนอกเป็นประมาณ มันเป็นไปได้อย่างไรกันหนอ ที่เราพากันใช้สอยโพธิสัตว์ผู้อวตาร ให้ทำงานหนักให้แก่เรา มานานถึงเพียงนี้?"
    พระสังฆปริณายก เห็นคนเหล่านั้นพากันเต็มตื้น ไปด้วยความอัศจรรย์ใจ ท่านจึงเอารองเท้าลบโศลก อันที่เป็นของอาตมาออกเสีย ถ้าไม่ทำดังนั้น พวกคนที่มักริษยาจะพากันทำร้ายอาตมา พระสังฆปริณายก แสดงความรู้สึกบางอย่างออกมา ซึ่งทำให้คนเหล่านั้นพอใจที่จะคิดว่า แม้ผู้ที่เขียนโศลกอันนี้ก็ยังไม่ใช่เป็นผู้ที่เห็นแจ้ง จิตเดิมแท้ เหมือนกัน
    วันรุ่งขึ้น พระสังฆปริณายกได้ลอบมาที่โรงตำข้าวอย่างเงียบๆ ครั้นเห็นอาตมาตำข้าวอยู่ด้วยสากหิน ท่านกล่าวแก่อาตมาว่า "ผู้ค้นหาหนทางต้องยอมเสี่ยงชีวิตของตนเพื่อธรรมะ เขาควรทำเช่นนั้นมิใช่หรือ?" แล้วท่านถามอาตมาต่อไปว่า "ข้าวได้ที่แล้วหรือ?" อาตมาตอบท่านว่า ได้ที่นานแล้ว ยังรอคอยอยู่ก็แต่ตะแกรงสำหรับร่อนเท่านั้น" ท่านเคาะครกตำข้าวด้วยไม้เท้า 3 ครั้ง แล้วก็ออกเดินไป
    อาตมาทราบดีว่าการบอกใบ้เช่นนั้น หมายความว่ากระไร ดังนั้นในเวลาสามยามแห่งคืนนั้น อาตมาจึงไปที่ห้องท่าน ท่านใช้จีวรขึ้นขึงบังมิให้ใครเห็นเราทั้งสองแล้ว ท่านก็ได้อธิบายข้อความอันลึกซึ้งในวัชรสูตร(กิมกังเก็ง) ให้แก่อาตมา เมื่อท่านได้อธิบายมาถึงข้อความที่ว่า "คนเราควรจะใช้จิตของตน ในวิถีทางที่มันจะเป็นอิสระได้จากเครื่องข้องทั้งหลาย"(*2) ทันใดนั้นอาตมาก็ได้บรรลุการตรัสรู้ธรรมโดยสมบูรณ์ และได้เห็นแจ้งชัดว่า "ที่แท้ทุกๆ สิ่งในสากลโลกนี้ก็คือตัว จิตเดิมแท้ นั่นเองมิใช่อื่นไกล"
    *2บันทึกของ ออน คณาจารย์แห่งนิกายธยานผู้หนึ่งมีว่า-เป็นอิสระได้จากเครื่องข้องทั้งหลาย นั้น หมายความว่า ไม่ข้องแวะอยู่ในรูปหรือวัตถุ ไม่ข้องแวะอยู่ในเสียง ไม่ข้องแวะอยู่ในความหลง ไม่ข้องแวะอยู่ในการตรัสรู้ ไม่ข้องแวะอยู่ในสิ่งอันเป็นตัวยืนโรง ไม่ข้องแวะอยู่ในสิ่งอันเป็นคุณลักษณะที่อาศัย(อยู่กับตัวที่ยืนโรง) คำว่า "ใช้จิต" นั้น หมายความว่า ให้ "จิตเอก" (กล่าวคือ ตัวจิตร่วมของสากลโลก) ได้ปรากฏตัวมันเองในที่ทุกแห่ง อธิบายว่า เมื่อใดจิตประกอบอยู่ด้วยเมตตา หรือโทสะก็ตาม เมื่อนั้นตัวเมตตาหรือตัวโทสะก็ปรากฏแทนเสีย ส่วนตัว "จิตเดิมแท้" ลับหายไป แต่เมื่อจิตของเราไม่ประกอบอยู่ด้วยอะไรเลย เราก็ย่อมเห็นได้โดยประจักษ์ว่า โลกนี้ทั้งสิบภาค(หรือสิบทิศ) ไม่ใช่อะไรอื่นไกล นอกไปจากความปรากฏของ "จิตเอก" นั้นเท่านั้น
    คำอธิบายข้างบนนี้แน่นแฟ้นและตรงจุด นักศึกษาที่เป็นเจ้าตำรานั้น ไม่สามารถให้คำอธิบายที่น่าพอใจเช่นนี้ได้ เพราะเหตุนั้น คณาจารย์ฝ่ายธยาน (รวมทั้งท่าน ออน อาจารย์ฝ่ายธยานมีชื่อของประเทศด้วย ผู้หนึ่ง) จึงอยู่สูงกว่าพวกที่เทศนาสั่งสอน ตามพระไตรปิฎก (ดิปิงเซ่ ผู้แปลเดิม)
    อาตมาได้ร้องขึ้นในที่เฉพาะหน้าพระสังฆปริณายก ในที่นั้นว่า
    "แหม! ใครจะไปคิดว่า จิตเดิมแท้ นั้น เป็นของบริสุทธิ์อย่างบริสุทธิ์แท้จริง
    ใครจะไปคิดว่า จิตเดิมแท้ นั้น เป็นอิสระไม่อยู่ภายใต้อำนาจ ความต้องเป็นอยู่ หรือภายใต้ความดับสูญ อย่างอิสระแท้จริง
    ใครจะไปคิดว่า จิตเดิมแท้ นั้น เป็นสิ่งที่มีความสมบูรณ์อยู่ในตัวมันเอง อย่างสมบูรณ์แท้จริง
    ใครจะไปคิดว่า จิตเดิมแท้ นั้น เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความเปลี่ยนแปลง อย่างนอกเหนือแท้จริง
    ใครจะไปคิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏออกมานี้ ไหลเทออกมาจากตัว จิตเดิมแท้"
    เมื่อพระสังฆปริณายก สังเกตเห็นว่า อาตมาได้เห็นแจ้งแล้วใน จิตเดิมแท้ ท่านได้กล่าวว่า "สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักจิตใจของตนเอง ว่าคืออะไร ก็ป่วยการที่ผู้นั้นจะศึกษาพุทธศาสนา ตรงกันข้าม ถ้าผู้ใดรู้จักจิตใจของตนเองว่าเป็นอะไร และเห็นด้วยปัญญาอย่างซึมซับว่า ธรรมชาติแท้ของตนเองคืออะไรด้วยแล้ว ผู้นั้นคือวีรมนุษย์(นายโรงโลก) คือครูของเทวดาและมนุษย์ คือพุทธะ"
    ดังนั้น, ในฐานะที่ความรู้ย่อมไม่เป็นของบุคคลใดแต่ผู้เดียว ธรรมะอันนั้นจึงถูกมอบตกทอดมายังอาตมาในเที่ยงคืนวันนั้นเอง ผลก็คืออาตมาเป็นทายาทผู้ได้รับมอบทอดช่วง คำสั่งสอนแห่งนิกาย "ฉับพลัน" (sudden school) พร้อมทั้งจีวรและบาตร (อันเป็นเครื่องหมายตำแหน่งสังฆปริณายกแห่งนิกายนี้สืบลงมาตั้งแต่สังฆปริณายกองค์แรก)
    พระสังฆปริณายกได้กล่าวสืบไปว่า "บัดนี้ ท่านเป็นสังฆปริณายกองค์ที่หก ท่านต้องคุ้มครองตัวของท่านให้ดี จงช่วยมนุษย์ให้มากพอที่จะช่วยได้ จงทำการเผยแพร่คำสอน และสืบอายุคำสอนไว้อย่าให้ขาดตอนลงได้" จงจำโศลกโคลงอันนี้ของเราไว้:-
    "สัตว์ที่มีความรู้สึกนึกคิด ซึ่งเราหว่านเมล็ดพืชพันธุ์แห่งการตรัสรู้ ลงในเนื้อนาแห่งความเป็นไปตามอำนาจแห่งเหตุและผลแล้วจะเก็บเกี่ยวผลถึงพุทธภูมิ
    วัตถุมิใช่สัตว์ที่มีความรู้สึกนึกคิด เป็นสิ่งว่างเปล่าจากธรรมชาติแห่งพุทธะ ย่อมไม่หว่านและไม่เก็บเกี่ยวเลย"
    ท่านได้กล่าวสืบไปว่า "เมื่อสังฆปริณายกนามว่า โพธิธรรมได้มาสู่ประเทศจีนนี้เป็นครั้งแรก ชาวจีนส่วนมากไม่ยอมเชื่อในท่าน ดังนั้น, ผ้ากาสาวพัสตร์นี้ จึงเกิดเป็นธรรมเนียมที่จะต้องมอบต่อๆกันไป จากพระสังฆปริณายกองค์หนึ่งไปยังอีกองค์หนึ่ง ในฐานะเป็นเครื่องหมาย สำหรับธรรมะนั้นเล่า ก็มอบทอดช่วงกันไปตัวต่อตัวโดยทางใจ(จิตถึงจิต) ไม่เกี่ยวกับคัมภีร์และผู้รับมอบนั้น ต้องเป็นผู้ที่เห็นธรรมะนั้นแล้วอย่างแจ่มแจ้ง ด้วยความพยายามของตนเองโดยเฉพาะ นับตั้งแต่อดีตกาลอันกำหนดนับไม่ได้เป็นต้นมา เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันสำหรับพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ก็จะมอบหัวใจคำสอนของพระองค์ให้แก่ผู้จะสืบอายุพระพุทธศาสนาต่อไป แม้สำหรับพระสังฆปริณายกหัวหน้าแห่งนิกายองค์หนึ่งๆก็เหมือนกัน ย่อมจะมอบคำสอนอันเร้นลับแห่งนิกายนั้นโดยตัวต่อตัว ให้แก่พระสังฆปริณายกที่รองลำดับลงไปโดยความรู้ทางใจ (ไม่เกี่ยวกับตำรา) แต่สำหรับผ้ากาสาวพัสตร์และบาตรนี้อาจเป็นต้นเหตุแห่งการยื้อแย่งเถียงสิทธิกันขึ้นก็ได้ ท่านเป็นคนสุดท้ายที่ได้รับมอบในเวลานี้ ท่านควรมอบมันไปเสียแก่ผู้ที่จะรับสืบต่อจากท่านได้ ชีวิตของท่านกำลังล่อแหลมต่ออันตราย จงเดินทางไปเสียจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ มิฉะนั้นจะมีคนทำอันตรายท่าน
    อาตมาถามท่านว่า ควรจะไปทางไหน ท่านตอบว่า "จงหยุดที่ตำบลเวย แล้วซ่อนตัวอยู่ผู้เดียวที่ตำบลวุย"
    เมื่อได้รับผ้ากาสาวพัสตร์และบาตรในตอนเที่ยงคืนเสร็จแล้ว อาตมาได้กล่าวกะท่านว่า เนื่องจากตัวเป็นชาวใต้ จะรู้จักเดินทางไปตามภูเขาได้อย่างไรและไม่สามารถเดินไป(เพื่อลงเรือ) ที่ปากแม่น้ำได้ ท่านตอบว่า "อย่าร้อนใจเราจะไปด้วย"
    ท่านได้มาเป็นเพื่อนอาตมา จนถึงกิวเกียง, ณ ที่นั้นท่านได้บอกให้อาตมาลงเรือลำหนึ่ง ท่านแจวเรือนั้นด้วยตนเอง อาตมาจึงขอร้องให้ท่านนั่งลงเสียและอาตมาจะแจวเอง ท่านตอบว่า "มันเป็นสิทธิฝ่ายเราผู้เดียวเท่านั้นในการที่จะพาท่านข้ามไป (ในที่นี้หมายถึงทะเลแห่งการเกิดตาย ซึ่งคนเราจะต้องข้าม ก่อนแต่จะลุถึงฝั่งคือนิพพาน) อาตมาจึงตอบท่านว่า "เมื่อกระผมยังอยู่ภายใต้โมหะ ก็เป็นหน้าที่ที่หลวงพ่อจะต้องพากระผมข้ามไป แต่เมื่อได้บรรลุธรรมเป็นการตรัสรู้แล้ว กระผมก็ควรจะข้ามมันด้วยตนเอง (คำว่า "ข้าม" ทั้งสองแห่งนั้น แม้เขียนเหมือนกัน แต่ความหมายต่างกัน) โดยที่กระผมเกิดที่บ้านนอกชายแดน แม้การพูดจาของกระผมยังแปร่งไม่ถูกต้องในการออกเสียงก็ตามแต่กระผมก็ได้รับเกียรติจากหลวงพ่อ ในการที่ได้รับมอบธรรมะอันนั้นจากหลวงพ่อ ฉะนั้นก็แปลว่ากระผมได้บรรลุธรรมแล้ว มันควรจะเป็นสิทธิของกระผม ในการที่จะพาตัวเองข้ามทะเลแห่งความเกิดตายไปได้ด้วยการที่ตนเห็นแจ้ง จิตเดิมแท้ ของตนเองแล้ว"
    "ถูกแล้ว ถูกแล้ว" ท่านรับรอง แล้วท่านกล่าวต่อไปว่า "นับจำเดิมแต่นี้เป็นต้นไป เพราะอาศัยท่านเป็นเหตุ พุทธศาสนา (หมายถึงนิกายธยาน)จะแผ่กว้างขวางไพศาล นับตั้งแต่จากกันวันนี้แล้ว อีกสามปีเราก็จะลาจากโลกนี้ไป ท่านจงเริ่มต้นการจาริกของท่านตั้งแต่บัดนี้เถิด จงลงไปทางใต้ให้เร็วเท่าที่จะเร็วได้ อย่าด่วนทำการเผยแพร่ให้เร็วเกินไป เพราะว่าพุทธธรรมนี้(หมายถึงนิกายธยาน) ไม่เป็นของที่เผยแพร่ได้โดยง่ายเลย
    เมื่อได้กล่าวคำอำลาแล้ว อาตมาก็จากท่าน เดินทางลงมาทางทิศใต้ เป็นเวลาประมาณสองเดือน อาตมาก็มาถึงภูเขาไต้ยู้ ณ ที่นี้ อาตมาได้สังเกตเห็นว่ามีคนหลายร้อยคนติดตามรอยอาตมา ด้วยหวังจะยื้อแย่งผ้ากาสาวพัสตร์ และบาตร (เป็นปูชนียวัตถุของพระพุทธเจ้า)
    ในจำพวกคนที่ติดตามมานั้น มีภิกษุอยู่ด้วยรูปหนึ่งชื่อไวมิง เมื่อเป็นฆราวาสใช้แซ่สกุลว่า เซ็น และมียศนายทหารเป็นนายพลจัตวา มีกิริยาหยาบคายโทสะฉุนเฉียว ในบรรดาคนที่ติดตามอาตมามานั้น เขาเป็นคนที่สะกดรอยเก่งที่สุด ครั้นเขามาใกล้จวนจะถึงตัวอาตมา อาตมาก็วางผ้ากาสาวพัสตร์กับบาตรลงบนก้อนหิน ประกาศว่า "ผ้านี้ไม่เป็นอะไรอื่น นอกจากจะเป็นเครื่องหมายเท่านั้น จะมีประโยชน์อะไร ในการที่จะยื้อแย่งเอาไปด้วยกำลัง?" (แล้วอาตมาก็หลบไปซ่อนเสีย)
    ครั้นภิกษุไวมิงมาถึงก้อนหินนั้น เขาพยายามที่จะหยิบมันขึ้น แต่กลับปรากฏว่าเขาไม่สามารถจะทำเช่นนั้นได้ แล้วเขาได้ตะโกนว่า "พ่อน้องชาย พ่อน้องชาย ฉันมาเพื่อหาธรรมะ ไม่ใช่มาเพื่อเอาผ้า" (พึงทราบว่าเวลานี้ พระสังฆปริณายกองค์ที่หกนี้ยังไม่ได้รับการอุปสมบท จึงถูกเรียกว่า พ่อน้องชาย เหมือนที่ฆราวาสเขาเรียกกัน)
    ต่อจากนั้น อาตมาก็ออกจากที่ซ่อน นั่งลงบนก้อนหินนั้น ภิกษุไวมิงทำความเคารพ แล้วกล่าวว่า "น้องชาย แสดงธรรมแก่ฉันเถิด ช่วยที"
    อาตมาได้กล่าวกะภิกษุไวมิงว่า "เมื่อความประสงค์แห่งการมาเป็นความประสงค์เพื่อจะฟังธรรมแล้ว ก็จงระงับใจไม่ให้คิดถึงสิ่งใดๆ แล้วทำใจของท่านให้ว่างเปล่า เมื่อนั้นข้าพเจ้าจึงจะสอนท่าน" ครั้นเขาทำดังนั้นชั่วเวลาพอสมควรแล้ว อาตมาได้กล่าวว่า "เมื่อท่านทำในใจไม่คิดทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว(รู้จักสิ่งที่ไม่ดีและไม่ชั่ว) แล้ว ในเวลานั้นเป็นอะไร ท่านที่นับถือ นั่นคือธรรมชาติแท้ของท่าน (ตามตัวหนังสือ เรียนหน้าตาดั้งเดิมของท่าน) มิใช่หรือ?"
    พอภิกษุไวมิงได้ฟังดังนั้น ท่านก็บรรลุธรรมทันที แต่ท่านได้ถามต่อไปว่า "นอกจากคำสอนและข้อคิดอันเร้นลับ ที่พระสังฆปริณายกท่านมอบต่อๆ กันลงไป หลายชั่วพระสังฆปริณายกมากันแล้วนั้น ยังมีคำสอนเร้นลับอะไรอีกบ้างไหม?" อาตมาตอบว่า "สิ่งที่ข้าพเจ้าจำนำมาสอนให้ท่านได้นั้น ไม่ใช่ข้อเร้นลับอะไร คือถ้าท่านมองย้อนเข้าข้างใน (*3) ท่านจะเห็นสิ่งเร้นลับมีอยู่ในตัวท่านแล้ว"
    *3 หลักสำคัญที่สุดในคำสอนของนิกายธยานนั้น คือ "การมองด้านใน" หรือ "การเฝ้าดูแต่ภายใน" หมายถึงการหมุนให้ "แสง"ของตัวเอง ฉายกลับเข้าภายในถ้าจะเปรียบ เราควรจะเปรียบกับตะเกียง คือเราทราบดีว่าแสงของตะเกียงนั้น เมื่อมีโป๊ะครอบอยู่โดยรอบ ก็ย่อมกระท้อนกลับเข้าภายใน พร้อมทั้งรัศมีทั้งหมดไปรวมจุดศูนย์กลางอยู่ที่ดวงไฟผิดกับตะเกียงที่ไม่มีโป๊ะครอบ แสงก็จะพร่าจางหายไปในภายนอก เมื่อเราคอยแต่จะวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามักเคยทำกันจนเคยตัว ก็เป็นการยากที่จะหมุนความคิดนึกให้มาสนใจแต่ตัวเองโดยเฉพาะ เพราะเหตุนั้น จึงเป็นการยากที่จะทราบเรื่องต่างๆ ของตัวเอง โดยลักษณะตรงกันข้าม พวกนิกายธยานหมุนความสนใจส่องกลับเข้าภายในทั้งหมด และส่องระดมลงไปที่ "ธรรมชาติแท้" ของตัวเองซึ่งเรียกกันในระหว่างชนชาวจีนว่า "หน้าตาดั้งเดิม" ของตัวเอง
    เพื่อมิให้ผู้อ่านผ่านพ้นความสำคัญตอนนี้ไปเสีย จึงควรบันทึกข้อความนี้ไว้เป็นเครื่องสะกิดใจว่า ในประเทศจีนแห่งเดียวเท่านั้น พุทธบริษัทจำนวนพันๆ ได้บรรลุธรรมถึงขั้นสูงโดยการปฏิบัติตามคำสอนอันฉลาด (ในการลัดทางตรง) ของพระสังฆปริณายกองค์ที่หกนี้ (ดิปิงเซ่ ผู้แปลเดิม)
    ภิกษุไวมิงได้กล่าวขึ้นว่า "แม้ฉันจะอยู่ที่วองมุยมานมนาน ฉันก็ไม่ได้เห็นแจ้งตัวธรรมชาติแท้ของจิตฉันเลย บัดนี้รู้สึกขอบคุณเหลือเกินในการชี้ทางของท่าน ฉันรู้สิ่งนั้นชัดแจ้ง เหมือนที่คนดื่มน้ำเขารู้แจ้งชัดว่า น้ำที่เขาดื่มนั้นร้อนหรือเย็นอย่างไร พ่อน้องชายเอ๋ย บัดนี้ท่านเป็นครูของฉันแล้ว"
    อาตมาตอบว่า "ถ้าเป็นดังนั้นจริงแล้ว ท่านกับข้าพเจ้า ก็เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน ของพระสังฆปริณายกองค์ที่ห้า ท่านจงคุ้มครองตัวของท่านให้ดีเถิด" เมื่อเขาถามอาตมาว่าต่อจากนี้ไป เขาควรจะไปทางไหน อาตมาก็ตอบแก่เขาว่า ให้เขาหยุดที่ตำบลยีวน แล้วตั้งพำนักอาศัยที่ตำบลม็อง เขาก็ทำความเคารพแล้วจากกันไป"
    ต่อมาไม่นาน อาตมาก็ไปถึงตำบลโซกาย, ณ ที่นั้น พวกใจบาปได้ตามจองล้างจองผลาญอาตมาอีก ทำให้อาตมาต้องหลบซ่อนอยู่ที่ซีวุย อันเป็นที่ซึ่งอาตมาได้อาศัยอยู่กับพวกพรานป่าตลอดเวลานานถึง 15 ปี ในบางโอกาส อาตมาก็หาทางสั่งสอนเขาตามที่เขาพอจะเข้าใจได้บ้าง เขาเคยใช้อาตมาให้นั่งเฝ้าข่ายดักจับสัตว์ของเขา, เมื่ออาตมาเห็นสัตว์มาติดที่ข่ายนั้น ก็ปลดปล่อยให้รอดชีวิตไป ในเวลาหุงต้มอาหาร อาตมานำผักมาใส่ลงไปในหม้อที่เขากำลังต้ม หรือแกงเนื้อ บางคนสงสัยก็ถามอาตมา อาตมาตอบให้ฟังว่า แม้เนื้อนั้นแกงรวมกันอยู่กับผัก อาตมาก็จะคัดเลือกรับประทานแต่ผักอย่างเดียวเท่านั้น
    วันหนึ่ง อาตมารำพึงในใจตนเองว่า อาตมาไม่ควรจะเก็บตัวซ่อนอยู่เช่นนี้ตลอดไป มันถึงเวลาแล้ว ที่อาตมาจะทำการประกาศธรรม ดังนั้นอาตมาจึงออกจากที่นั้น และได้ไปสู่อาวาสฟัดฉิ่นในนครกวางตุ้ง
    ในขณะนั้น ภิกษุเยนชุง ผู้เป็นธรรมาจารย์มีชื่อเสียงองค์หนึ่ง กำลังเทศนาว่าด้วยมหาปรินิวาณสูตร อยู่ในอาวาสนั้น มันเป็นการบังเอิญในวันนั้น เมื่อธงริ้วกำลังถูกลมพัดสะบัดพริ้วๆ อยู่ในสายลม ภิกษุสองรูปเกิดโต้เถียงกันขึ้นว่าสิ่งที่กำลังไหวสั่นระรัวอยู่นั้น ได้แก่ลม หรือได้แก่ธงนั้นเล่า เมื่อไม่มีทางที่จะตกลงกันได้ อาตมาจึงเสนอข้อตัดสินให้แก่ภิกษุสองรูปนั้นว่า ไม่ใช่ลมหรือธงทั้งสองอย่าง ที่แท้จริง ที่หวั่นไหวจริงๆ นั้น ได้แก่จิตของภิกษุทั้งสองรูปนั้นเองต่างหากที่ประชุมที่กำลังประชุมกันอยู่ในที่นั้น พากันตื่นตะลึง.ในถ้อยคำที่อาตมาได้กล่าวออกไป และภิกษุเยนชุง ได้อาราธนาอาตมาให้ขึ้นนั่งบนอาสนะอันสูงแล้วได้ซักถามปัญหาที่เป็นปมยุ่งต่างๆ ในพระสูตรที่สำคัญๆ หลายพระสูตร
    เมื่อได้เห็นว่า คำตอบของอาตมาชัดเจนแจ่มแจ้งและมั่งคง และเห็นว่าเป็นคำตอบที่มีอะไรสูงยิ่งไปกว่าความรู้ ที่จะหาได้จากตำราแล้ว ภิกษุเยนชุงได้กล่าวแก่อาตมาว่า "น้องชาย ท่านต้องเป็นบุคคลพิเศษเหนือธรรมดาเป็นแน่ เราได้ฟังข่าวมานานแล้วว่า บุคคลผู้ได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์ และธรรมะจากพระสังฆปรินายกองค์ที่ห้านั้น บัดนี้ได้เดินทางลงมาทางทิศใต้แล้ว ท่านต้องเป็นบุคคลผู้นั้น เสียแน่แล้ว"
    อาตมา ได้แสดงกิริยายอมรับโดยอ่อนน้อม ทันใดนั้น ภิกษุเยนชุงได้ทำความเคารพ และขอให้อาตมานำผ้าและบาตร ซึ่งได้รับมอบ ออกมาให้ที่ประชุมดูด้วย แล้วได้ถามอาตมาสืบไปว่า เมื่อสังฆปริณายกองค์ที่ห้ามอบธรรมอันเร้นลับสำหรับสังฆปริณายก ให้แก่อาตมานั้น อาตมาได้รับคำสั่งสอนอะไร อย่างใดบ้าง
    อาตมาตอบว่า "นอกจากการคุ้ยเขี่ยด้วยเรื่องการเห็นแจ้งชัดใน จิตเดิมแท้ แล้ว ท่านไม่ได้ให้คำสอนอะไรอีกเลย ท่านไม่ได้เอ่ยถึงแม้แต่เรื่องธยานและวิมุต" ภิกษุเย็นชุงสงสัย จึงถามอาตมาว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น อาตมาตอบว่า เพราะว่ามันจะทำให้เกิดความหมายว่า มีหนทางขึ้นถึงสองทาง ก็ทางในพุทธธรรมนี้ จะมีถึงสองทางไม่ได้ มันมีแต่ทางเดียวเท่านั้น
    ภิกษุเยนชุง ถามอาตมาต่อไปว่า ที่ว่ามีแต่ทางเดียวนั้นคืออะไร อาตมาตอบว่า "ก็มหาปรินิรวาณสูตรซึ่งท่านนำออกเทศนาอยู่นั่นเอง ย่อมชี้ให้เห็นอยู่แล้วว่า ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ(ซึ่งมีอยู่ในคนทุกคน) นั่นแหละคือทางทางเดียว ยกตัวอย่างตอนหนึ่งในพระสูตรนั้นมีว่า พระเจ้าโกโกวตั่ก ซึ่งเป็นโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า บุคคลที่ล่วงปาราชิกสี่อย่างก็ดี หรือทำอนันตริยกรรมห้าอย่างก็ดี และพวกอิจฉันติกะ (คือมิจฉาทิฏฐินอกศาสนา) ก็ดี ฯลฯ คนเหล่านี้ จะได้ชื่อว่าถอนรากเหง้าแห่งความดี และทำลาย ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ ของตนเองเสียแล้ว โดยสิ้นเชิงหรือหาไม่? พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบว่า รากเหง้าของความดีนั้น มีอยู่สองชนิดคือ ชนิดที่ถาวรตลอดอนันตกาล กับไม่ถาวร(Eternal, and Non-eternal) เพราะเหตุที่ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้น จะเป็นของถาวรตลอดอนันตการก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ถาวรก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น รากเหง้าแห่งความดีของเขา จึงไม่ถูกถอนขึ้นโดยสิ้นเชิง" ในบัดนี้ก็เป็นที่ปรากฏแล้วว่า พุทธธรรมมิได้มีทางสองทาง ที่ว่าทางฝ่ายดีก็มี ทางฝ่ายชั่วก็มี นั้นจริงอยู่ แต่เพราะเหตุที่ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้น เป็นของไม่ดีไม่ชั่ว เพราะฉะนั้น พุทธธรรมจึงเป็นที่ปรากฏว่าไม่มีทางถึงสองทาง ตามความคิดของคนธรรมดาทั่วไปนั้นเข้าใจว่า ส่วนย่อยๆของขันธ์และธาตุทั้งหลายนั้น เป็นของที่แบ่งแยกออกได้เป็นสองอย่าง แต่ผู้ที่ได้บรรลุธรรมแล้ว ย่อมเข้าใจว่า สิ่งเหล่านั้นตามธรรมชาติไม่ได้เป็นของคู่เลย พุทธภาวะหรือธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธนั้นไม่ใช่เป็นของคู่"
    ภิกษุเยนชุง พอใจในคำตอบของอาตมาเป็นอย่างสูง ได้ประนมมือทั้งสองขึ้นเป็นการแสดงความเคารพแล้ว ท่านได้กล่าวแก่อาตมาว่า "คำอธิบายความในพระสูตรที่ข้าพเจ้าเองอธิบายไปแล้วนั้น ไร้มูลค่า เช่นเดียวกับกองขยะมูลฝอยอันระเกะระกะไปหมด ส่วนคำอธิบายของท่านนั้น เต็มไปด้วยคุณค่าเปรียบเหมือนทองคำเนื้อบริสุทธิ์" ครั้นแล้วท่านได้ช่วยจัดการให้อาตมาได้รับการ ประกอบพิธีปลงผม และรับการบรรพชาอุปสมบท เป็นภิกษุในพุทธศาสนา และได้ขอร้องให้อาตมา รับท่านไว้ในฐานะเป็นศิษย์คนหนึ่งด้วย
    จำเดิมแต่นั้นมา อาตมาก็ได้ทำการเผยแพร่คำสอนแห่งสำนักตุงซั่น (คือ สำนักแห่งพระสังฆปริณายกองค์ที่สี่และองค์ที่ห้า ซึ่งอยู่ในวัดตุงซั่น) ตลอดมาภายใต้ร่มเงาของต้นโพธิ์(*4)
    *4 คำว่าต้นโพธิ์ในที่นี้ เข้าใจว่าหมายถึงบารมีของพระพุทธเจ้า หรือมิฉะนั้นก็หมายถึงพุทธภาวะหรือธรรมชาติแห่งพุทธะ ซึ่งถือเป็นของสำคัญเพียงอย่างเดียวในนิกายนี้ (พุทธทาส ผู้แปลไทย)
    นับตั้งแต่อาตมาได้รับมอบพระธรรมมาจากสำนักตุงซั่นแล้ว อาตมาต้องตกระกำลำบากหลายครั้งหลายหน ชีวิตปริ่มจะออกจากร่างอยู่บ่อยๆ วันนี้อาตมาได้มีเกียรติมาพบกับท่านทั้งหลาย ในที่ประชุมนี้ ทั้งนี้ อาตมาต้องถือว่าเป็นเพราะเราได้เคยติดต่อสัมพันธ์กันมาเป็นอย่างดีแล้วแต่ในกัลป์ก่อนๆ รวมทั้งอานิสงส์แห่งบุญกุศล ที่เราได้สะสมกันไว้ ในการถวายไทยธรรมร่วมกันมาแต่พระพุทธเจ้าหลายพระองค์ในชาติก่อนๆของเรานั่นเอง มิฉะนั้นแล้วไฉนเราจะมีโอกาสได้ยินได้ฟังคำสอนแห่ง "สำนักบรรลุฉับพลัน" อันเป็นรากฐานที่ทำให้เราเข้าใจพระธรรมได้แจ่มแจ้ง ในอนาคตนั้นเล่า
    คำสอนอันนี้ เป็นคำสอนที่ "ได้มอบสืบทอดต่อๆ กันลงมาจากพระสังฆปริณายกองค์ก่อนๆ หาใช่เป็นคำสอนที่อาตมาประดิษฐ์คิดขึ้นด้วยตนเองไม่ ผู้ที่ปรารถนาจะสดับพระธรรมนั้น ในขั้นแรกควรจะชำระใจของตนให้ ครั้นได้ฟังแล้ว ก็ควรจะชะล้างความสงสัยของตน ให้เกลี้ยงเกลาไปเฉพาะตนๆ โดยทำนองที่พระมุนีทั้งหลายในกาลก่อนได้เคยกระทำกันมา จงทุกคนเถิด"
    ครั้นจบพระธรรมเทศนา ผู้ฟังพากันปลาบปลื้มด้วยปีติ ทำความเคารพแล้วลาไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2013
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ข้อมูลวันที่ 26 มิถุนายน 25556 แสดงการลดลงของโปรตอนฟลักซ์ครับ
    summary_plot_extmag.png
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Capture.JPG
      Capture.JPG
      ขนาดไฟล์:
      100 KB
      เปิดดู:
      143
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2013
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Tsunami hits the Jersey Shore (Continental Shift Slip may be to blame) June 24, 2013
    Back to group View all discussions All members Share this
    CLICK HERE FOR THE VIDEO FROM NBC-10 IN PHILADELPHIA

    Sue Vilardi was shocked when she heard the news.

    “I didn’t think anything like that happened around here,” said the Stafford Township resident. “I didn’t know it could happen not from an earthquake.”

    But according to the National Oceanic and Atmospheric Administration(NOAA), it was true. A tsunami struck the Jersey Shore earlier this month.

    Coen then spotted a large wave, approximately 6-feet from peak to trough, coming across the inlet. The wave was so powerful that it swept two people off a rock jetty and into the water on Long Beach Island. They were both rescued from the water and treated for non-life threatening injuries.On June 13, strong thunderstorms moved into South Jersey around noon. By 3:30 p.m., the weather was overcast with a light east wind, according to officials. Around that time, officials say Brian Coen was spear fishing near the mouth of the Barnegat Inlet. Coen spotted an outgoing tide with strong currents coming towards him. According to Coen, the heavy waves continued for about two minutes until the rocks in the submerged breakwater were exposed, forcing Coen to back his boat out of the area.

    After hearing several reports from witnesses, NOAA officials confirmed on Monday that a tsunami had struck the area that day.

    “This event produced a tsunami that was recorded at tide gages monitored by the West Coast/Alaska Tsunami Warning Center (WCATWC),” they said. "The tsunami was observed at over 30 tide gages and one DART buoy throughout the Northwestern Atlantic Ocean."

    Officials say the source of the tsunami is “complex” and “still under a review.” They also say however that the earlier storm system that struck the area was a possible cause.

    "The event occurred in close conjunction with a weather system labeled by the National Weather Service as a low-end derecho which propagated from west to east over the New Jersey shore just before the tsunami," they wrote.

    Officials also say that the "slumping at the continental shelf east of New Jersey" may have played a role. They continue to investigate.


    Although the risk is small, tsunamis are possible on the East Coast of the United States from a variety of sources, according to new research.

    And as Hurricane Sandy showed, the region is completely unprepared for a major influx of water, said U.S. Geological Survey researcher Uri ten Brink.

    The most likely source for an East Coast tsunami would be an underwater avalanche along the continental slope, according to research presented by ten Brink and others earlier this month at the annual meeting of the Geological Society of America in Charlotte, N.C. Ten Brink also outlined several other possible sources of tsunamis, including earthquakes and even collapsing volcanoes.


    THIS GUY NAILED CALLED FOR A POSSIBLE TSUNAMI MAY 27 through JUNE 5

    Did you know that heightened solar activity can lead to earthquakes and tsunamis on Earth? Did you know that the North Atlantic Ocean region, which would include all of the East coast of North America, is under a ‘tsunami watch’ until June 5th, 2013 according to Dr. Simon Atkins? Fascinating video from Fox News and videographer Mr2Tuff2 with lots more information below from Dr. Atkins and his Advanced Forecasting Corporation’s first ever tsunami watch, in effect until June 5th, 2013 that could be extended depending upon solar activity.


    SO COULD SOLAR ACTIVITY CAUSE A TSUNAMI? MAYBE

    ตอนนี้ไปเปิดหน้านี้ไม่ได้แล้วครับ
    2.jpg.png
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2013
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Image.jpg

    ภาพถ่ายดาวเทียมจากนาซา เผยสนามแม่เหล็กโลกที่ปกป้องดาวเคราะห์ของเราจากลมสุริยะ มีรอยแยกขนาดใหญ่ 2 แห่งหนาถึง 6,400 กิโลเมตร ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เกิด "แสงออโรรา" ที่สว่างจ้า หรืออาจเกิดการรบกวนการสื่อสารของดาวเทียมและสถานีภาคพื้นดิน ทั้งนี้พบรอยแยกดังกล่าวตั้งแต่กลางปี โดยอนุภาคมีประจุรั่วเข้าชั้นบรรยากาศโลกได้มากถึง 20 เท่าของยามปกติ

    สำนักข่าวเอพีรายงานว่า กลุ่มดาวเทียมธีมิส (Themis: Time History of Events and Macroscale Interactions during Substorms) จำนวน 5 ดวงของ องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ได้พบรอยแยกขนาดใหญ่ ในสนามแม่เล็กโลก ซึ่งคอยปกป้องโลกจากระเบิดอนุภาคที่มีประจุของดวงอาทิตย์ และจากการสำรวจของดาวเทียมเผยให้เห็นว่า สนามแม่เหล็กโลกมีรอยแยก 2 แห่ง เปิดช่องให้ลมสุริยะ (solar wind) ซึ่งเป็นกระแสของอนุภาคมีประจุที่ประทุออกมาจากดวงอาทิตย์ แทรกสู่บรรยากาศชั้นของโลกด้วยความเร็ว 1.6 ล้านกิโลเมตรต่อชัวโมง

    ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ทราบมานานแล้วว่า สนามแม่เหล็กโลกซึ่งช่วยปกป้องโลกจากสภาพอากาศอันเลวร้ายของอวกาศนั้น อยู่ในสภาพคล้ายบ้านโทรมๆ ที่อยู่ท่ามกลางลมพายุ ซึ่งบางครั้งสนามแม่เหล็กโลกก็เปิดโอกาสให้อนุภาคมีประจุจากดวงอาทิตย์เข้ามาสร้างความรุนแรงได้ และรอยแยกที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นสาเหตุของแสงออโรรา (aurora) หรือแสงเหนือใต้ที่สว่างเจิดจ้า หรืออาจก่อให้เกิดการรบกวนการสื่อสารของดาวเทียมหรือสถานีภาคพื้นได้

    เมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ดาวเทียมธีมิสพบชั้นอนุภาคมีประจุจากดวงอาทิตย์ ซึ่งอยู่ส่วนนอกของชั้นบรรยากาศโลก ในส่วนแมกเนโทสเฟียร์ (magnetosphere) และมีความหนาอย่างน้อย 6,400 กิโลเมตร แต่ มาริท โออีโรเซท (Marit Oieroset) นักวิทยาศาสตร์ในโครงการดาวเทียมธีมิสจากมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย (University of California) สหรัฐฯ ระบุว่า รอยแยกดังกล่าวไม่คงอยู่ถาวร โดยก่อนหน้านั้นเมื่อปีที่แล้วก็พบรอยแยกของสนามแม่เหล็กโลกแต่คงอยู่แค่ประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

    ทางด้านสเปซเดลี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสนามแม่เหล็กโลกว่า เป็นเหมือนเกาะกำบังอนุภาคที่ส่งมาอย่างต่อเนื่องจากดวงอาทิตย์ เนื่องจากอนุภาคที่ไหลมาจากดวงอาทิตย์นั้นมีประจุไฟฟ้าทั้งอยู่ในรูปไอออนและอิเล็กตรอน จึงไวต่อแรงแม่เหล็ก และส่วนใหญ่ถูกสะท้อนออกไปโดยสนามแม่เหล็กโลก อย่างไรก็ดี สนามแม่เหล็กของเราก็เป็นเพียงเกราะกำบังที่มีรอยรั่ว และจำนวนอนุภาคที่รั่วไหลเข้ามาก็ขึ้นอยู่กับทิศของสนามแม่เหล็กดวงอาทิตย์

    "การค้นพบครั้งนี้พลิกความเชื่ออันยาวนาน เกี่ยวกับการรบกวนของอนุภาคมีประจุจากสุริยะว่า จะเกิดขึ้นรุนแรงอย่างไรและเมื่อไหร่ และการค้นพบนี้ยังนำไปใช้ทำนายว่า เมื่อไหร่จะเกิดพายุสุริยะรุนแรง จากผลในครั้งนี้เราคาดว่าจะเกิดพายุสุริยะรุนแรงในช่วงวัฎจักรสุริยะ (solar cycle) ที่กำลังจะเข้ามา" วาสซิลิส แองเจโลพัวลอส (Vassilis Angelopoulos) ผู้ตรวจสอบหลักปฏิบัติการธีมิสจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียกล่าว

    ส่วนเอพียังให้คำอธิบายจากโออีโรเซทว่า นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเบื้องต้นรอยแยกขนาดใหญ่นี้เกิดขึ้นจากสนามแม่เหล็กโลกและสนามแม่เหล็กดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกัน และข้อมูลจากดาวเทียมธีมิสก็พบว่าสนามแม่เหล็กของโลกและดวงอาทิตย์อยู่ตรงข้ามกันจริง และมีลมพายุสุริยะผ่านโลกมากกว่าปกติ 20 เท่า เมื่อเทียบกับครั้งที่สนามแม่เหล็กของโลกและดวงอาทิตย์อยู่ในแนวเดียวกัน

    ก่อนหน้านี้ยานอวกาศอื่นๆ ทำได้เพียงเก็บตัวอย่างเล็กๆ ของชั้นอนุภาคมีประจุภายในสนามแม่เหล็กโลก แต่ดาวเทียมทั้ง 5 ดวงในโครงการธีมิสสามารถเก็บข้อมูลมาขยายผลได้มากกว่า อย่างไรก็ดีแม้ทราบขนาดการรั่วไหลเข้ามาอนุภาคจากลมสุริยะแล้ว แต่ทีมนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบตำแหน่งที่เกิดการรั่วไหล

    ทั้งนี้ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบตำแหน่งรอยแยกของสนามแม่เหล็กคือ หลี่ เหวินฮุย (Wenhui Li) จากมหาวิทยาลัยนิวแฮมป์ไชร์ (University of New Hampshire) สหราชอาณาจักร พร้อมด้วยคณะ โดยใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์เพื่อค้นหา 2 รอยแยกที่เกิดขึ้นบ่อยๆ กับสนามแม่เหล็กโลก รอยแยกหนึ่งอยู่บริเวณละติจูดสูงทางซีกฟ้าเหนือ และอีกรอยแยกอยู่บริเวณละติจูดทางซีกฟ้าใต้ โดยรอยแยกก่อตัวขึ้นบนโลกด้านกลางวัน ซึ่งเป็นด้านที่สนามแม่เหล็กประจันหน้ากับดวงอาทิตย์

    สเปซเดลีระบุด้วยว่า แบบจำลองของหลี่ยังแสดงให้เห็นว่ารอยแตกของสนามแม่เหล็กก่อตัวขึ้นได้อย่างไร เมื่ออนุภาคมีประจุไหลออกจากดวงอาทิตย์ อนุภาคเหล่านั้นก็นำสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ผ่านมายังโลกด้วย ทำให้เกิดการต้านสนามแม่เหล็กโลกตลอดการเส้นทางของสนามแม่เหล็กสุริยะ

    แม้ว่าที่ตำแหน่งเส้นศูนย์สูตรสนามเหล็กทั้งสองมีทิศทางเดียวกัน แต่ที่ละติจูดสูงๆ สนามแม่เหล็กทั้งสองชี้ไปในทิศทางตรงกันข้าม เมื่อเกิดแรงบีบอัดสนามแม่เหล็กที่มีทิศทางตรงกันข้ามเข้าด้วยกัน และเกิดการเชื่อมโยงที่เรียกว่า "การเชื่อมต่อใหม่ของสนามแม่เหล็ก" (magnetic reconnection) ซึ่งตามการศึกษาของหลี่และคณะ กระบวนการนี้ทำให้เกิดรอยแยกบนสนามแม่เหล็กโลก และเชื่อมโยงสนามแม่เหล็กสุริยะระหว่างรอยแยกทั้งสองกับสนามแม่เหล็กโลก แล้วนำเอาอนุภาคมีประจุจากดวงอาทิตย์เข้าไปในชั้นแมกเนโทสเฟียร์ของโลก.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มิถุนายน 2013
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Coronal Hole / Geomagnetic Storm Watch
    โคโรนอลโฮล จับตาดูพายุสนามแม่เหล็ก
    Below is an updated composite image by SDO showing a mid latitude Coronal Hole now located in a geoeffective position.
    จากภาพประกอบข้างล่าง ซึ่งถ่ายโดย SDO แสดงให้เห็นถึงหลุมโคโลน่า ซึ่งสถานที่ตั้งในขณะนี้อยู่ในตำแหน่งที่มีผลกับโลก
    A solar wind stream flowing from this hole should reach Earth within 48-72 hours.
    กระแสลมสุริยะจะไหลผ่านหลุมโคโลน่านี้และจะมายังโลกภายใน 48 – 72 ชั่วโมงต่อจากนี้
    NOAA Space Weather Prediction Center has issued a geomagnetic storm watch beginning on June 27th.
    NOAA ได้ชี้ว่าพายุสนามแม่เหล็กโลกน่าจะเริ่มต้นในวันที่ 27 มิถุนายน 2556 เวลาสากลน่ะครับ
    Minor geomagnetic storming may be possible at very high latitudes.
    พายุสนามแม่เหล็กโลกขนาดย่อยอาจจะมีผลกับพื้นที่โลกในส่วนตำแหน่งละติดจูดสูงมาก ๆ Coronal Hole (Early Wednesday) - SDO

    1.jpg

    WATCH: Geomagnetic Storm Category G1 Predicted
    จับตาดู พายุสนามแม่เหล็กโลก ขนาด G1 (พยากรณ์)
    Highest Storm Level Predicted by Day:
    ระดับพายุสนามแม่เหล็กโลกสูงสุดจะพยากรณ์ผลเป็นรายวันครับ
    Jun 26: None (Below G1)
    26 มิถุนายน 2556 ไม่เกิดครับ
    Jun 27: G1 (Minor)
    27 มิถุนายน 2556 เกิดขนาด G1 ครับ
    Jun 28: G1 (Minor)
    28 มิถุนายน 2556 เกิดขนาด G1
    Potential Impacts:
    ผลกระทบ
    Area of impact primarily poleward of 60 degrees Geomagnetic Latitude.
    พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหลักๆ คือขั้วโลกเหนือที่ละติจูดสนามแม่เหล็ก 60 องศา

    Induced Currents - Weak power grid fluctuations can occur.
    กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำ ความผันผวนของระบบกริดไฟฟ้าสามารถเกิดขึ้นได้
    Spacecraft - Minor impact on satellite operations possible.
    ยานอวกาศ – ผลกระทบเล็กน้อยจากความเป็นไปได้ในการทำงานของดาวเทียม

    Aurorrnhomuja - Aurora may be visible at high latitudes, i.e., northern tier of the U.S. such as northern Michigan and Maine.
    แสงออโรร่าจะมองเห็นได้ที่ละติจูกสูง

    ใครจะไปเที่ยวขั้วโลกเหนือหยุดไปก่อนดีกว่าครับ
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    :Solar Flare Probabilities (%)

    :3-Day Outlook
    Class_M 20 15 10
    Class_X 5 1 1
    Proton 5 1 1
    #
    # Region Flare Probabilities for 2013 Jun 26
    # Region Class C M X P
    :Reg_Prob: 2013 Jun 25
    1772 10 1 1 1
    1774 10 1 1 1
    1775 50 5 1 1
    1776 15 1 1 1
    1777 15 5 1 1
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,656
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ภาพจากเฟสบุ๊กอาจารย์ปิยะชีพครับ 26 มิถุนายน 2556 มีคนจินตนาการว่า coronal hole เหมือนไก่

    Untitled1.gif
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...