ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. BeforEnd

    BeforEnd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +209
    เพ้อเจ้ออีกแล้ว รับยาด่วนนะครับ อาการทางสมองเริ่มกำเริบแล้วครับ
    เว็บพลังจิตจริงๆแล้ว มีแต่คนติ๊งต๊องส์ครับ มีใครเคยทำนายอะไรแล้วถูกบ้างครับ มีแต่มั่วทั้งนั้น



    อ๋อเหรอครับ คนที่จะรอด คงมีแต่คุณ "มณีส่องแสง" กับคุณ "เกษม" สินะ คนที่ไม่เห็นด้วยตายหมด เพราะเป็นคนเลว
    สาธุๆๆ นะครับ แม่คนดี-พ่อคนดี ทั้งสองคน


    คนเรามีกรรมเป็นของตัวเองครับ อายุขัยย์ถูกกำหนดมาทุกคนแล้ว คนที่ตายหรือไม่ตาย
    ไม่เกี่ยวกับการกดปุ่มปัญญาอ่อน(ไม่เห็นด้วย) นั่นหรอกครับ เพ้อเจ้อ
    ทำตัวหยั่งรู้ รู้นั่นรู้นี่ เผลอๆคุณสองคน อาจจะตายก่อนใครก็ได้ อย่าสำคัญตัวเองผิดครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2013
  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    -:รายละเอียดของกระบวนการชำระโลกโดยจิตจักรวาล:-
    กระบวนการทางเทคนิคของพระบิดาต่อไปนี้ จะเปิดเผยเฉพาะบางส่วนที่มนุษย์ควรรู้เท่านั้น เพื่อให้มนุษย์ได้ใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่าความรู้ทั้งหมดทั้งสิ้น ล้วนเป็นพระเมตตาที่พระบิดาประทานมาให้เผยแพร่ มิใช่เป็นการกระทำขึ้นมาเองของมนุษย์ที่อวดอุตริ..ว่าจริงแท้หรือไม่?

    หากทุกอย่างเป็นความจริงตามที่เผยให้รู้ไว้ล่วงหน้านี้ ย่อมจะเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าองค์จิตจักรวาล ผู้เป็นพระบิดาหรือพระผู้สร้างหรือว่าพระเจ้าล้วนมีจริงเป็นแน่แท้ แต่จะมีใครสักกี่คนกันเล่า ที่จะมีโอกาสข้ามผ่านกลียุคครั้งที่ 4 นี้ไปได้เพื่อถึงวันเวลาแห่งการพิสูจน์นั้น?

    -:ขั้นตอนโดยสังเขปของช่างเทคนิค:-
    1. ก่อนวันชำระครั้งใหญ่จะเริ่มต้นขึ้น 15 วัน แกนหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์โลก ที่ทำมุมกันแนวดิ่งอยู่ 23.5 องศานั้น จะถูกกำหนดให้มันค่อย ๆ ขยับตัวเพื่อเบี่ยงเบนไปจากแนวเดิมเรื่อย ๆ จะทำให้ขั้วโลกเหนือก้มหัวลงหันเข้าหาดวงอาทิตย์มากขึ้น

    2. น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น จากกรณีที่เกิดขึ้นในข้อแรก ทำให้น้ำแข็งละลายกลืนกับน้ำในมหาสมุทรอย่างรวดเร็ว

    3. เมื่อโลกเอียงในลักษณะก้มหัวมากขึ้นเรื่อย ๆ น้ำจากขั้วโลกก็จะพากันไหลหลั่งลงสู่เบื้องล่างเป็นคลื่นน้ำระลอกใหญ่ ในอันที่จะนำไปสู่คลื่นยักษ์ถาโถมแผ่นดิน และบริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่จะกลืนแผ่นดินต่อไป

    4. ขณะเดียวกันก็จะกำหนดให้เกิดการสั่นสะเทือนใต้มหาสมุทรบริเวณขั้วโลกใต้ เพื่อกระเทาะเอาก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ให้หลุดออก เพื่อใช้เป็นมวลในการถ่วงดุลด้านน้ำหนักมวลระหว่างขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ ในกระบวนการทางเทคนิคที่จะกล่าวถึงในข้อ 5 และ 6 เป็นลำดับต่อไปนั่นเอง

    5. เมื่อครบ 15 วันตามกำหนดที่จะชำระความครั้งใหญ่แล้ว แกนหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์โลกจะเบี่ยงเบนไปจากเดิม 8.5 องศา หรืออยู่ที่ 32 องศากับแนวดิ่งแล้ว ตรงพิกัดตำแหน่งนี้จะเป็นกำหนดเวลาที่ส่วนโค้งของโลก จะเริ่มบดบังแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ได้อย่างเหมาะเจาะพอดีอีกต่างหากด้วย ดังนั้นวันแรกแห่งการชำระความในกรณีชำระโลกครั้งใหญ่ ที่มนุษย์จะสังเกตมายาได้ก็คือ ฟ้าจะเริ่มมืดสลัวลง ผิดปรกติ

    6. ดาวเคราะห์โลกจะค่อย ๆ ม้วนตัวก้มหัวเอาขั้วโลกเหนือ คว่ำลงแทนที่ตำแหน่งขั้วโลกใต้อย่างช้า ๆ โดยมีน้ำหนักจากขั้วโลกเหนือที่ไหลลงสู่ด้านล่าง และก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ทางด้านขั้วโลกใต้ช่วยส่งเสริม กระบวนการทางเทคนิคนี้ให้แนบเนียนกลมกลืนยิ่งขึ้น เมื่อขั้วโลกเหนือย้ายตนเองไปสู่ขั้วโลกใต้แล้วก็จะค่อย ๆ พลิกม้วนตัวขึ้นเพื่อย้อนคืนสู่ตำแหน่งเดิมของตนต่อไป โดยไม่ย้อนรอยเดิม แนวแกนหมุนรอบตัวเองตำแหน่งใหม่ในยุคพลังงานใหม่ก็คือ 22 องศากับแนวดิ่ง เพื่อสร้างฤดูกาลใหม่ที่สมดุลให้กับมนุษย์ยุคพลังงานใหม่แห่งโลกเสรี

    ระยะเวลาที่โลกม้วนตัวตีลังกาครบ 1 รอบ จะใช้เวลาดำเนินการทั้งสิ้น 30 วัน !

    7. คำกล่าวที่ว่า “น้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว” จะเกิดขึ้นภายใน 7 ราตรี คือ 49 วันอันมีแต่กลางคืนนั่นเอง หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะจมอยู่ใต้บาดาล ผู้ที่อยู่ใต้น้ำย่อมมองเห็นเหมือนน้ำท่วมท้องฟ้าและปลาจะแหวกว่ายอยู่ไปมา ทำให้คนที่จมอยู่ใต้น้ำแลประหนึ่งว่า ปลาจะกินดาวนั่นเอง

    8. ตึกสูงใหญ่ วัตถุเทคโนโลยีขยะ มนุษย์ขยะ สัตว์ประจำโลก ต้นไม้ใหญ่น้อย ภูเขาสูงชันและอื่น ๆ จะถูกชำระออกไปจากระบบ เพื่อลดจำนวนและน้ำหนักมวลบนพื้นผิวโลกให้น้อยลง เพื่อสร้างสมดุลใหม่ให้กับดาวเคราะห์ดวงนี้

    9. สัตว์ประจำโลกบางชนิดจะสูญพันธุ์ เพราะพวกเขาหมดหน้าที่แล้ว โดยพระบิดาจะเรียกนำจิตวิญญาณพวกเขาทั้งหมดกลับคืน คือ กระต่าย และ หนู

    10. เมื่อครบ 49 วันหรือ 7 ราตรีแล้ว พระบิดาจะใช้น้ำฝนดั่งน้ำทิพย์ที่บริสุทธิ์ของพระองค์หลั่งลงมาเพื่อเก็บกวาดชำระล้างเศษซากทุกสิ่ง และชุบชีวิตให้กับจิตวิญญาณบุตรที่รักดีที่เหลือรอด

    ขั้นตอนการชำระความโดยสังเขป:-

    การชำระระบบโลก
    1. ให้มีการ ชำระความ ก่อนวันชำระใหญ่ได้เรื่อย ๆ นับแต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา

    2. การชำระความ กระทำโดยกลุ่มของช่างเทคนิค ผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้นในสนามพลังงานดาวเคราะห์โลก จำนวน 20 เท่าของประชากรโลกที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน โดยเจ้ากรรมนายเวรของมนุษย์ในประเทศใดก็จะทำหน้าที่เป็นช่างเทคนิคเพื่อชำระความกับมนุษย์ในประเทศนั้น

    3. การชำระความของเจ้ากรรมนายเวรผู้เป็นช่างเทคนิค หมายถึง การแก้แค้นเอาคืนอย่างสาสมกับมนุษย์ที่เคยก่อกรรมด้านลบต่อพวกเขามาก่อน

    4. เจ้ากรรมนายเวร หมายถึง พี่ ๆ น้อง ๆ ของมนุษย์ในภพชาติปัจจุบันนี้เอง ที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากการจองจำด้วยความอาฆาต โกรธแค้นต่อมนุษย์ปัจจุบันที่เคยกระทำผิดคิดร้ายต่อพวกเขา โดยพวกเขาไม่ยอมไปผุดเกิดยังภพภูมิใด ๆ ได้แต่รอคอยโอกาสเพื่อติดตามแก้แค้นทวงคืนอยู่อย่างเดียว บางรูปธรรมได้จองจำมนุษย์ไว้นานร่วมสองหมื่นปีมาแล้วก็มี

    5. เจ้ากรรมนายเวร หมายถึง รูปธรรมทางพลังงานจิตวิญญาณของผู้ที่เคยเกิดเป็นมนุษย์ หรือ สัตว์ประจำโลก ที่เคยถูกมนุษย์ทำร้ายให้ทุกข์ทรมานอย่างทารุณ ด้วยการเข่นฆ่าเอาชีวิต และกินเลือดกินเนื้อพวกเขาอย่างเมามัน เช่น หมู เป็ด ไก่ ห่าน วัว ควาย และอื่น ๆ เป็นต้น

    6. วิธีการชำระความก็คือ การอยู่เบื้องหลังภัยธรรมชาติที่รุนแรง เพื่อจัดการกับมนุษย์ผู้เป็นบุคคลเป้าหมายที่จะเอาความของพวกตนเช่น การโอบอุ้มน้ำฝนไปถล่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อก่อให้เกิดอุทกภัยที่รุนแรงต่อมนุษย์ในเป้าหมายชำระของพวกตน การร่วมกันทำให้เกิดฟ้าฝ่าบุคคลเป้าหมาย การทำให้เกิดลมพายุพัดถล่มซ้ำ การทำให้เกิดคลื่นยักษ์ การทำให้เกิดแผ่นดินไหว ด้วยการใช้เสียงดังของฟ้าฝ่าในระดับ 30 เดซิเบลขึ้นไปเพื่อเป็นเงื่อนไขให้เกิดการสั่นสะเทือนนั้น การผลักเคลื่อนตัวของรอยแยกของเปลือกโลกอันเกิดจากการระเบิดในใจกลางโลก การสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวที่รุนแรง และการระเบิดของภูเขาไฟ ในสถานที่ ๆ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    7. ชำระความด้วยเสียงอันดัง เพื่อทำลายประสาทหูและใช้พลังงานด้านลบที่เข้มข้น เพื่อทำลายสติและเอาชีวิตมนุษย์เป้าหมายนั้นในฉับพลัน

    8. ชำระความมนุษย์ด้วยโรคระบาดร้าย ๆ ที่มากับน้ำเน่าเสีย เช่น อหิวาตกโรคชนิดใหม่ที่มนุษย์ต้องตายภายใน 6 วันหลังการได้รับเชื้อนั้น หรือภัยร้ายจากเชื้อโรคพันธุ์ใหม่ชื่อ Virusteria ที่มนุษย์โลกไม่เคยรู้จักซึ่งสามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วกว่าเชื้อโรคชนิดใด ๆ บนโลกใบนี้

    9. ชำระความด้วยความอดอยากหิวโหย ไม่มีที่อยู่ ไม่มีน้ำดื่ม ไม่มีอาหารบริโภค เพราะน้ำท่วมเสียหายหมด และไม่มีใครช่วยเหลือใครได้เพราะต่างต้องประสบเคราะห์กรรมโดยทั่วหน้ากัน

    10. ช่วงเวลาแห่งการชำระความครั้งใหญ่ จะใช้เวลานานถึง 7 ราตรี โดยที่ 1 ราตรี หมายถึง การที่โลกจะปกคลุมไปด้วยความมืดมิดคือ มีแต่กลางคืนติดต่อกัน 7 วันเต็ม ๆ ขณะที่ภัยธรรมชาติที่วิปริตแปรปรวนอันเกิดจากน้ำมือของช่างเทคนิค เป็นผู้กระทำอยู่เบื้องหลังจะรุกกระหน่ำเอาความกับมนุษย์อย่างไม่ลืมหูลืมตา แม้จะปิดตาก็แลเห็นจะปิดหูก็ได้ยิน ทั่วทั้งแผ่นดินจะเจิ่งนองไปด้วยน้ำ บอบช้ำไปด้วยพายุถล่ม แผ่นดินถล่ม และตึกสูงใหญ่ที่ถล่มทลายลงมากองเป็นภูเขาเลากา ท่ามกลางเสียงหวีดกรีดร้องของมนุษย์กับเจ้ากรรมนายเวร ประสานเสียงกันอย่างบาดหัวใจ

    11. แผ่นดินบางแห่งจะลุกเป็นไฟ เพราะแสงเพลิงและสายธารของลาวาจากใต้โลก บางแห่งจะยุบตัวลงกลืนเมืองลงไปทั้งเมือง แล้วราดทับด้วยเปลวถ่านร้อน ๆ ของลาวาอย่างน่าพรั่นพรึง

    12. แผ่นดินจำนวนมากจะถูกกลืนหายไปใต้แผ่นน้ำ และมหาสมุทรอย่างถาวร เพราะคลื่นยักษ์ แผ่นดินไหว และแรงดูดดึงจากใต้สมุทรจนทำให้เกาะน้อยใหญ่ไม่แตกกระจาย ก็จะจมหายลงไปใต้ผืนทะเลตลอดกาล

    [​IMG]

    โลกจะพลิกตัวลงไปทางใต้ แล้วกลับขึ้นไปใหม่ ขั้ว S กลับเป็น N ใข้เวลาราว 2เดือน ตามรหัส 49+7

    1.แนวแกนหมุนของโลกทำมุมกับแนวดิ่ง 32 องศา (เอียงเพิ่มอีก 8.5 องศาจากเดิม 23.5 องศา)ทาง NE*
    2.แนวแกนแม่เหล็กโลก จะย้ายไปอีก 3องศา (เดิม 11 องศา) + 3องศา
    3.ระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็ก จะยกตัวสูงขึ้น 60.000 กม.
    4.น้ำหนักมวลบนผิวโลกจะลดลง
    5.ความเข้มสนามแม่เหล็กโลกเปลี่ยนเป็น 22 เกาส์ (จากเดิม 14 เกาส์)
    6.โลกจะหมุนเร็วขึ้นจาก 24 ชม. เป็น 22 ชม.ต่อรอบ

    จากหนังสือ 56 วัน 7 ราตรี ปฎิบัติการชำระโลก สู่ยุคพลังงานใหม่ ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากจิตจักรวาลโดย อาจารย์ปริญญา ตันสกุล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2013
  3. chayapin

    chayapin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,115
    แรงไปนะคะ โกรธ น่าจะอ่านแบบสนุกๆ ก็พอนะ โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ค่ะ สาธุ..
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    การเปลี่ยนขั้วโลกใหม่ !!!

    [​IMG]

    ว่าด้วยการเปลี่ยนขั้วโลกใหม่ไปตาม กาแลคซี่ไตรแองกุลัม

    เหตุ : ทุกรอบ 13,000 ปี สุริยจักรวาล กาแลคซี่ทางช้างเผือก และกาแลคซี่ไตรแองกุลัม จะโคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน

    ผล : ในรอบนี้ โลก และสุริยจักรวาล จะเปลี่ยนเข้าสู่แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมทางทิศตะวันออก

    องค์ความรู้ฯ ที่ได้นำเสนอแต่โดยย่อดังต่อไปนี้ เป็นองค์ความรู้ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ท่านได้บวชในบวรพระพุทธศาสนา 2 ครั้ง ครั้งแรก เป็นการลาบวชขณะยังรับราชการครู เป็นเวลา 1 พรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2515 หลังจากลาสิกขาบทแล้ว ได้กลับเข้ารับราชการต่ออีกประมาณ 2 ปี และในปี พ.ศ. 2517 ได้ลาออกจากราชการเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง ตราบจนปัจจุบัน

    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ สอนหลักของวิปัสสนากรรมฐาน หรือการเคลื่อนที่ของจิต ด้วยอุบายหลัก 2 วิธี คือ การเจริญสติ เพื่อฝึกจิตให้เห็น การเกิด – ดับ ของการกระทบที่เกิดขึ้น เป็นปัจจุบันขณะ และ อุบายของการหมุนธรรมจักร เพื่อฝึกจิตไม่ให้ติดในการกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งสองส่วน คือ ที่อายตนะภายนอก และอายตนะภายใน อีกทั้งยังได้ประยุกต์หลักการเคลื่อนที่ของจิต มาเป็นการเคลื่อนที่ของพลังจิต พลังงาน โดยใช้ศาสตร์พีระมิดของชาวแอตแลนตีส เป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ เพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้างฟื้นฟู บำบัด รักษาร่างกายด้วยตนเอง

    องค์ความรู้ฯ ว่าด้วยการเปลี่ยนขั้วโลกใหม่ เป็นองค์ความรู้ฯ ที่ได้มาจากการศึกษาด้วย “จิต” ฉะนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ รู้ถึงเหตุและผล ของแต่ละปรากฏการณ์ หรือ ความเชื่อมโยงของแต่ละเหตุการณ์ได้ด้วยการใช้ แรงสืบต่อ หรือ แรงสันตติ สาวหาเหตุและผล ของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ สลาย ของสรรพสัตว์ ปรากฏการณ์ สุริยจักรวาล กาแลคซี่ จักรวาล ฯลฯ

    ให้เห็นความจริงที่ผูกโยงเป็นเงื่อนไขว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิด เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป ซึ่งเป็นความรู้ที่ไม่ได้เกิดมาจากการทำงานของสมองและใจ จึงไม่ใช่การพยากรณ์หรือทำนาย

    แต่เป็นการบอกว่า ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว อะไรจะเกิดตามมาในลำดับต่อไป ตามเงื่อนไขที่ผูกโยงไว้อย่างเป็นเหตุและผลต่อกัน เรื่องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับโลกของเราในอนาคตนั้น แท้ที่จริงแล้วกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะโลกของเราเคยเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น ในรอบเวลาประมาณ 26,000 ปี ตามความรู้ที่ได้จากสโตนเฮนจ์ (Stone Henge) ซึ่งบ่งชี้ว่า ทุกๆ 13,000 ปี จะมีการสลับเปลี่ยนขั้วของแรงดึงดูดที่มีอิทธิพลต่อโลก สุริยจักรวาล เนื่องจากกาแลคซี่ที่มีอิทธิพลต่อสุริยจักรวาลมีด้วยกันถึง 3 กาแลคซี่ ได้แก่

    1. กาแลคซี่ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy)มีศูนย์กลางของแรงดึงดูดอยู่ทางทิศเหนือ ในปัจจุบัน โลก สุริยจักรวาลตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่นี้2. กาแลคซี่ไตรแองกุลัม (Triangulum Galaxy) มีศูนย์กลางของแรงดึงดูดอยู่ทางทิศตะวันออก มีขนาดเล็กกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือก ในอนาคตโลก สุริยจักรวาลจะถูกดึงเข้าสู่แรงดึงดูดของกาแลคซี่นี้ ตามวาระการวนครบรอบอีกครั้ง

    3. กาแลคซี่อันโดรเมดา (Andromeda Galaxy) เป็นกาแลคซี่ที่มีขนาดใหญ่มาก แผ่อิทธิพลควบคุมทั้ง 2 กาแลคซี่ ไม่ส่งผลกับโลกโดยตรง ดังนั้น จึงพอสรุปได้ว่า ใน 1 รอบใหญ่ คือประมาณ 26,000 ปี ตามปฏิทินดาราศาสตร์ที่สโตนเฮนจ์ โลก สุริยจักรวาล จะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 13,000 ปี และสลับไปอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม อีก 13,000 ปี รายละเอียดของสโตนเฮนจ์ จะกล่าวถึงในภายหลัง

    การประสบกับภัยพิบัติอย่างรุนแรง ถึงกับมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นผิวโลก เช่น อาจจะเปลี่ยนจากภูเขาไปเป็นมหาสมุทร จากป่าฝนไปเป็นทะเลทราย จากเขตร้อน กลายเป็นเขตหนาว ฯลฯ นอกเหนือจากเป็นการทำงานตามวาระของธรรมชาติแล้ว ยังมีองค์ประกอบที่ส่งผลร่วมอย่างร้ายแรง คือ การกระทำของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยด้วย

    เมื่อประมาณ 26,000 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงวาระที่โลก สุริยจักรวาล อยู่ภายใต้แรงดึงดูด ของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม ที่สมบูรณ์ไปด้วยพลังงานที่ดี เช่น กระแสลมปราณ และ มโนธาตุ ส่งผลให้มหาอาณาจักรแอตแลนตีส เจริญสูงสุดในทุกด้าน แต่จุดเสื่อมย่อมเพาะเชื้อก่อกำเนิดมาจากจุดสูงสุดเสมอ เมื่อรู้มาก เก่งมาก จึงนำไปสู่การผลิตอาวุธสงครามที่ร้ายแรง เรียกว่า “อาวุธเส้นแสง” เมื่ออาวุธเส้นแสง ถูกนำมาใช้ในสงคราม สิ่งที่เกิดตามมา

    คือเกิดแรงอัดกระแทกอย่างมหาศาลลงสู่พื้นดิน พร้อมๆกับการโคจรมาเรียงตัวเป็นเส้นตรงของ สุริยจักรวาล กาแลคซี่ ทางช้างเผือก และกาแลคซี่ไตรแองกุลัม ด้วยขนาดของกาแลคซี่ทางช้างเผือกที่ใหญ่กว่า จึงทำให้แกนขั้วโลกจากทิศตะวันออก พลิกเปลี่ยนชี้ไปทางทิศเหนือ มหาอาณาจักรแอตแลนตีส จึงจมลง เปลี่ยนสภาพจากแผ่นดิน กลายเป็นมหาสมุทรในชั่วข้ามคืน เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพบน พื้นผิวโลกอย่างมโหฬารไปทั่วทุกส่วนของโลก ตามอัตราส่วนของการมีพื้นน้ำ 3 ส่วน และพื้นดิน 1 ส่วน มนุษย์เสียชีวิตเหลือคณานับ เป็นการสิ้นสุดของยุคทองแห่งแอตแลนตีส

    ชาวแอตแลนตีสกลุ่มหนึ่ง มีผู้นำเป็นนักบวชที่มีพลังจิตสูง ได้ลงเรือเดินทางออกจาก มหาอาณาจักร ก่อนจะเกิดเหตุภัยพิบัติล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน ขึ้นฝั่งในแถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ประเทศอียิปต์ในปัจจุบันนี้ การถ่ายทอดอารยธรรมแอตแลนตีสจึงได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง สัญลักษณ์สิ่งแรกที่ยิ่งใหญ่แสนมหัศจรรย์ที่นักบวชได้สร้างขึ้นด้วยพลังจิต และอาศัยความช่วยเหลือจากชาวดาวอังคาร คือการสร้างสฟิงซ์ (Sphinx) ด้วยเทคนิคการใช้พลังจิต เปลี่ยนวัตถุเป็นพลังงานแสง และเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นวัตถุ เป็นรูปสิงโตหมอบ เหยียดขาหน้าทั้งคู่ไปด้านหน้า ลำตัวทอดยาวไปตามแนวทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เพื่อเป็นสิ่งบ่งบอกว่า

    ในอนาคตข้างหน้า เมื่อถึงวาระครบ 13,000 ปีอีกครั้ง ณ ที่ตั้งสฟิงซ์แห่งนี้ จะกลายเป็นตำแหน่งของขั้วโลกใหม่ และ ขั้วโลกจะชี้ไปทางทิศตะวันออก อยู่ในอิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม อีกครั้ง นานประมาณ 13,000 ปี

    ชาวแอตแลนตีส มีความชำนาญในการใช้พลังพีระมิดอย่างหลากหลาย และได้ถ่ายทอดสู่ชาวอียิปต์จากรุ่นสู่รุ่น จนกระทั่งอีกหลายพันปีต่อมา จึงได้มีมหาพีระมิดเกิดขึ้น เชื่อสายแอตแลนตีส รุ่นต่อๆมา มีการย้ายถิ่นฐานสร้างเมือง สร้างประเทศใหม่ อารยธรรมแอตแลนตีส จึงกระจายออกไปหลายส่วนของโลก ที่รู้จักกันดี คือ ชนเผ่ามายา หรือ มายัน ผลงานชิ้นสำคัญของพวกเขา คือการจัดวางเสาหิน แท่งหิน ขนาดมหึมาเป็นรูปวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง เรียกว่า สโตนเฮนจ์ (Stone Henge) อยู่ที่เมือง ซาลเบอรี่ (Salisbury) ประเทศอังกฤษ มีเทคนิคการสร้างเหมือนกับการสร้างสฟิงซ์ คือการใช้พลังจิตเปลี่ยนวัตถุเป็นพลังงานแสงก่อน และเมื่อนำไปจัดวางได้เรียบร้อยแล้ว จึงเปลี่ยนพลังงานแสงคืนกลับเป็นวัตถุอีกครั้ง

    สโตนเฮนจ์ เป็นปฏิทินดาราศาสตร์ ใช้หลักคำนวณจากการโคจรของกาแลคซี่ ทั้ง 3 ใน 1 รอบ คือ 26,000 ปี โดยสามารถถอดรหัสได้ว่า ในช่วงระยะเวลา 26,000 ปี สุริยจักรวาล จะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 13,000 ปี และอีก 13,000 ปี จะสลับมาอยู่ในอิทธิพลของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม ฉะนั้น การสร้างสโตนเฮนจ์ มีจุดมุ่งหมาย เพื่อเตือนภัยแก่ชาวโลก เมื่อถึงวาระของการสลับเปลี่ยนขั้วของแรงดึงดูดอีกครั้ง

    การเกิดภัยพิบัติในอนาคตอันใกล้นี้ เป็นความสัมพันธ์ เชื่อมโยงระหว่างอดีตกับปัจจุบันและอนาคต ระหว่างกาแลคซี่ทั้ง 3 กับสฟิงซ์ สโตนเฮนจ์ และแกนพลังงานโลก โดยมีทั้งมนุษย์และธรรมชาติ เป็พลังงานขับเคลื่อนแกนพลังงานโลก เป็นแกนพลังงานที่ทอดยาวควบคู่ไปกับแกนสสาร ที่ปัจจุบันชี้ไปทางขั้วโลกเหนือและใต้ แกนพลังงานประกอบด้วยพลังงานสำคัญ 3 อย่าง

    1. พลังงานแม่เหล็กโลก หรือ พลังงานแรงดึงดูดจากศูนย์กลางกาแลคซี่ทางช้างเผือก เป็นแรงร้อยรัดที่ดึงโลกให้อยู่กับสุริยจักรวาล และกาแลคซี่ ตามลำดับ เป็นพลังงานที่มีคุณสมบัติที่ร้อนและหนัก มีสีเข้ม คล้ายสีเทา และอยู่นอกสุดของแกนพลังงาน

    2. พลังงานกระแสลมปราณ มีสีออกเหลือง เป็นพลังงานที่โลกเราได้รับมาจากดวงอาทิตย์ เป็นพลังงานที่ดี มีประโยชน์ เป็นเสมือนภูมิต้านทานร่างกาย ที่มนุษย์ทุกคนได้รับอย่างเท่าเทียมกัน โดยลมหายใจเข้า

    3. พลังงานมโนธาตุ มีสีออกขาว อยู่ชั้นในสุดของแกนพลังงาน เป็นพลังงานดี ช่วยเสริมจิตและใจให้มีคุณธรรม

    เทคโนโลยีที่เกิดจากการผลิตอุตสาหกรรมหนัก ทำให้เกิดสารตกค้าง CFC
    หรือ สาร คลอโรฟลูออโรคาร์บอน และยังไม่มีวิธีการใดที่สามารถทำลายสาร CFC นี้ได้สำเร็จ สาร CFC มีคุณสมบัติ “เบา กว่าธาตุอื่นๆทุกชนิด” จึงสามารถแทรกเข้าไปทำลายแกนพลังงานโลก เริ่มขบวนการทำลายมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2540-2544 จนกระทั่งแกนพลังงานโลกตัน ทำให้แรงร้อยรัด หรือพลังงานแม่เหล็กโลก ที่ส่งออกมาจากกาแลคซี่ทุกวินาที ไม่สามารถไหลทะลุผ่านขั้วโลกเหนือ-ใต้ได้

    พลังงานจึงแผ่กระจายไปทั่วทุกส่วนของโลก ทั้งพื้นน้ำ มหาสมุทร พื้นแผ่นดิน แผ่นหินเปลือกโลก ร่างกายมนุษย์ สัตว์ พืช ฯลฯ ความร้อนและหนัก จึงฝังตัวติดแน่น สะสมเป็นเชื้อร้ายแฝงอยู่ และเพิ่มอันตรายมากทวีคูณ เกินกว่าจะพรรณนาได้ กล่าวได้เพียงว่า พลังงานแม่เหล็กโลกจากกาแลคซี่ทางช้างเผือก คือพลังงานสำคัญที่ทำลายมนุษย์ และเปลี่ยนโลกใบนี้ในอนาคต มนุษย์คือผู้ปล่อยยักษ์ใจร้ายตนนี้ออกมาเอง ใช่หรือไม่ และหากสมมุติว่า จะเนื่องด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทำให้ภัยพิบัติจากการเปลี่ยนขั้วโลกใหม่ไม่เกิดขึ้น มนุษย์ สัตว์ พืช ยังคงถูกทำลายอย่างรุนแรงด้วยพลังงานแม่เหล็กโลก และอาจสิ้นชีวิตลงทั้งหมดภายในไม่เกิน 10-15 ปี

    พลังงานกระแสลมปราณ และ พลังมโนธาตุ ที่เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ได้ลอยสูงขึ้นๆ ไปอยู่ในบรรยากาศชั้นบนสูงเกินกว่ามนุษย์จะนำเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยลมหายใจเข้า องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จึงได้นำพลังพีระมิดมาใช้อีกครั้ง ปัจจัยสำคัญ และ เป็นความเชื่อมโยงอย่างแสนมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง ของปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ คือการปรากฏของดาวนิบิรุ (Nibiru) เป็นดาวมีสีออกแดง ลักษณะกลมรี คล้ายลูกรักบี้ มีขนาดใหญ่กว่าดาวพฤหัสบดี ประมาณเกือบ 2 เท่า เป็นดาวที่อยู่นอกระบบสุริยจักรวาล มีวงโคจรผ่านทิศตะวันออก - ตะวันตก และจะมาเยือน สุริยจักรวาลในทุกๆ 13,000 ปี

    และในรอบนี้ ดาวนิบิรุ จะมาเรียงตัวอยู่ที่ลำดับหัวแถว ใกล้ๆกับโลก เป็นการเพิ่มแรงดึงดูดให้กับ กาแลคซี่ไตรแองกุลัม ที่มีขนาดเล็กกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือก จนสามารถดันขั้วโลกเหนือไปเป็นขั้วโลกตะวันออก เมื่อรอบ 13,000 ปีที่ผ่านมา ดาวนิบิรุ โคจรมาและได้ไปเรียงตัวอยู่ด้านปลายแถวของ สุริยจักรวาลเมื่อใกล้ช่วงเวลาของการเกิดภัยพิบัติ เปลี่ยนขั้วโลกใหม่ ดาวนิบิรุ (ซึ่งขณะนี้ ดาวนิบิรุ ได้เข้ามาเยือนสุริยจักรวาลแล้ว แต่ยังอยู่ไกลมาก) จะมาอวดสายตาแก่ชาวโลกทางด้านทิศตะวันออก มองเห็นได้อย่างชัดเจน อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์ เป็นดาวสีแดง

    มองแล้วเหมือนกับว่ามี ดวงอาทิตย์ขึ้น 2 ดวง หากมนุษย์มองดาวดวงนี้แล้วจะรู้สึกจิตใจหดหู่ เศร้าหมอง ดาวนิบิรุจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าดาวมฤตยู (แต่ไม่ได้หมายความถึงดาวพลูโตเลย) และมาตรวัดความหนาแน่นของพลังงานแม่เหล็กโลกจะอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นทิศที่คั่นกลาง เป็นช่องว่าง เป็นเขตปลอดพลังงาน ทั้งของกาแลคซี่ทางช้างเผือกและกาแลคซี่ไตรแองกุลัม หากเมื่อใดพลังงานแม่เหล็กโลก หนาแน่นจนเต็มพิกัด และไม่สามารถทะลุผ่านไปจนสุดขอบทางทิศตะวันออกได้ พลังงานแม่เหล็กโลกจะรีดเป็นเส้นตรง เปลี่ยนเป็นพุ่งทะลุขึ้นไปด้านบน ตามแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ปะทะชนกับพลังงานของกาแลคซี่อันโดรเมดา ที่มีขนาดใหญ่กว่าหลายพันเท่า

    พลังงานแม่เหล็กโลกจึงถูกอัดกลับเข้าสู่โลก สุริยจักรวาลอีกครั้ง เกิดปรากฏการณ์ “แสงวาบ” ที่ยิ่งใหญ่เห็นได้ทั่วจักรวาล การสั่นไหวอย่างรุนแรง การเคลื่อนที่สับเปลี่ยนแผ่นดิน แผ่นน้ำ เกิดลมพายุ น้ำท่วม การหล่นกระจายของแผ่นฝ้าน้ำแข็งเพดานโลกที่เกิดจากการสะสมของควันน้ำมัน ฯลฯ กระบวนการเปลี่ยนขั้วโลกใหม่นี้ใช้เวลา ประมาณ 3 วัน 3 คืน มนุษย์ประกอบด้วย จิตและกาย หากยังมีความคิดว่า “ชีวิตเป็นสิ่งมีค่า ควรรักษาไว้” จึงควรแสวงหาทางรอด ตามวิถีความเชื่อของแต่ละบุคคล

    สำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับการฝึกจิต ควรเข้าใจให้ชัดเจนว่า พลังงานแม่เหล็กโลกที่ไม่ได้อยู่ในแกนพลังงานโลก เป็นพลังงานกั้นบัง ฉุดรั้ง เป็นเสมือน ตัณหาที่ฉาบทาโลก ส่งผลให้การฝึกจิต ทำได้ยากยิ่งขึ้น หากโลกเราได้แกนพลังงานใหม่เปลี่ยนเป็นขั้วโลกตะวันออกเป็นกาแลคซี่ใหม่ที่สมบูรณ์ด้วยพลังงานกระแสลมปราณ พลังมโนธาตุ ซึ่งเหมาะแก่การฝึกจิตเป็นอย่างยิ่ง

    ในที่สุด คำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ก็สำเร็จตามจิตประสงค์ มหาอาณาจักรแอตแลนตีสที่เคยจมหายไปร่วม 13,000 ปี จะได้มีโอกาสโผล่ขึ้นมาอวดโฉมอีกครั้ง เป็นการปิดฉาก บทบาทของสฟิงซ์ และสโตนเฮนจ์ อย่างถาวร หากท่านใดยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ตัดใจไปจากกาแลคซี่ทางช้างเผือกไม่ได้ โปรดอดใจรอไปก่อน อีกเพียง 13,000 ปี เท่านั้น สิ่งเตือนใจอายุขัยของ มนุษย์ สัตว์ นั้นแสนจะสั้น มีอายุได้อย่างมากไม่เกิน 100 ปี

    หากยังดับกิเลสได้ไม่หมดสิ้น ย่อมไปจุติ เวียนว่ายต่างภพ ต่างภูมิ ตามผลของการกระทำที่เคยสร้างไว้ และถ้าหากไม่เคยฝึกจิต คงไม่สามารถรู้ถึงเหตุและผล ของการตกอยู่ในสังสารวัฏ และการวนรอบของปรากฏการณ์ทุกอย่างได้ จึงเชื่อเฉพาะสิ่งที่รู้ได้ด้วยใจและสมองเท่านั้น เพราะ “จิต” ที่ยังไม่ “หลุดพ้น” ย่อมตกอยู่ภายใต้อำนาจ การบงการของ “ใจ” อย่างถอนไม่ขึ้น

    เรียบเรียงโดย จีรพันธุ์ ประศาสน์วุฒิ
    1 ธันวาคม 2553

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ความลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา.371062/page-3
     
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    "วิบากกรรม"ของสตีฟ จ๊อบ !!!

    [​IMG]

    ผมไม่มีความเห็นใดๆทั้งสิ้นครับ ส่วนความรู้เรื่องวิบากกรรมของสตีฟจ๊อบ เข้าไปศึกษาดูได้ที่ลิ้งค์ข้างล่างนี้ครับ

    ปรโลกนิวส์ ตอน สตีฟ จ็อบส์ ตายแล้วไปไหน ตอนที่ 1
     
  6. joyplayerman1

    joyplayerman1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +331




    อ่า.....นะ ... คุณไปถามเข้าล๊อคแบบนี้ เกษมฉวยโอกาสตอบสิครับ

    ไม่มีความเห็นแต่วางลิ้งวัดทำมะกายอีกแล้ว ... เฮ้อ ..

    คนก้อคลิ๊กตามเข้าไปอ่าน.. มีคนเห็นอีก ..

    การประชาสัมพันธ์สำเร็จอีกแล้ว

    ... เฮ้อออ ... เก่งแท้ เกษม..
     
  7. 123go

    123go เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +302
    เอาละซื....โยงเข้า ลัทธิจานบินจนได้ :boo: แหม...มักจะเก่งเรื่องที่คนอื่นไม่รู้เนอะ แต่เรื่องที่มันพิสูจน์กันได้ เจ้าลัทธิ ไม่เคยดู ไม่เคยเห็นอะไรซักอย่าง เก่งจริง ก็ดูเรื่องราว อนาคตของคนเป็นๆ ซิจ๊ะ จะได้รู้ว่า ชัวร์ หรือ มั่วนิ่ม ไอ้อย่างนี้ มีแต่คนซื่อบื้อ คนกินหญ้าเท่านั้นแหละ ที่เชื่อกันไปได้:boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2013
  8. กล้วยป่า

    กล้วยป่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +170
    อิทธิวิธีทั้งหลาย เช่น การเหาะเหินเดินอากาศ การเข้าไปรู้เห็นนรก สวรรค์ เห็นผี เห็นภพภูมิต่างๆ การรู้อดีต การรู้ใจคนอื่น รวมทั้งการไปรู้ว่าสตีฟ จ๊อป ตายแล้วไปไหน? เป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริงๆค่ะ ปุถุชนหลายคนก็ทำได้ แม้ในอดีต ท่านฤาษีชีไพรทั้งหลายต่างก็ทำได้มากมายค่ะ ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เป็นสิ่งที่มีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว...แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้มนุษย์พ้นทุกข์แต่อย่างใดค่ะ พระพุทธเจ้าท่านชี้ทางในสิ่งที่เหนือกว่านั้น คือมรรคมีองค์ 8 แม้ว่าพระองค์จะไม่ได้ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ แต่พระองค์ก็ไม่ได้สอนให้เรายึดติดจนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า "งมงาย" แต่อย่างใดนะคะ ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยให้เราแยกแยะได้ และอยู่บนครรลองธรรมที่ปลอดภัยได้ก็คือ...
    "สติ" + "ปัญญา" ค่ะ


    การนำเสนอข้อมูลต่างๆ (เช่น ตามสไตล์ของคุณเกษม) ดิฉันคิดว่าสามารถทำได้โดยอิสระ หากไม่ละเลยที่จะชี้นำแนวทางแห่งปัญญา และหนทางที่จะพัฒนาตนสู่ความพ้นทุกข์ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าด้วย...มิฉะนั้นแล้วก็จะกลายเป็นข้อมูลที่เป็นโทษถ้าทำให้ผู้เสพข้อมูลถูกมอมเมาลุ่มหลงด้วยความศรัทธาอย่างไร้เหตุผลนะคะ

    (rose)(rose)(rose)(rose)(rose):eek::eek::eek:^-^

    ด้วยความปรารถนาดีค่ะ :boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 กุมภาพันธ์ 2013
  9. Thorn@Aus

    Thorn@Aus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +231
    ผมได้ข่าวว่าสตีป จ๊อบ ไปเปิด iphone 6 ที่ยมโลกแล้วนิ ขายดิบขายดีเหมือนเดิม อากงอาม่าเข้าคิวซื้อกันเป็นว่าเล่น
     
  10. kb 2500

    kb 2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +873
    เห็นและสังเกตุ ตามเหตุและผลว่าเว็ปพลังจิตนี้เป็นเว็ปในทางพุทธศาสนาที่ใหญ่มากๆติดอันดับโลก ยังไงเราชาวพุทธไม่พ้นที่จะพบกับกลุ่มที่เป็น..ที่เรียก

    สัทธรรมปฏิรูป
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    ส่วนหนึ่งของ
    ศาสนาพุทธ

    สถานีย่อย


    ประวัติศาสนาพุทธ

    ศาสดา
    พระโคตมพุทธเจ้า
    (พระพุทธเจ้า)
    จุดมุ่งหมาย
    นิพพาน
    ไตรรัตน์
    พระพุทธ · พระธรรม · พระสงฆ์
    ความเชื่อและการปฏิบัติ
    ศีล (ศีลห้า) · ธรรม (เบญจธรรม)
    สมถะ · วิปัสสนา
    บทสวดมนต์และพระคาถา
    คัมภีร์และหนังสือ
    พระไตรปิฎก
    พระวินัยปิฎก · พระสุตตันตปิฎก · พระอภิธรรมปิฎก
    หลักธรรมที่น่าสนใจ
    ไตรลักษณ์
    อริยสัจ ๔ · มรรค ๘ · อิทัปปัจจยตา
    นิกาย
    เถรวาท · อาจริยวาท (มหายาน) · วัชรยาน · เซน
    สังคมศาสนาพุทธ
    ปฏิทิน · บุคคล · วันสำคัญ · ศาสนสถาน · วัตถุมงคล
    การจาริกแสวงบุญ
    พุทธสังเวชนียสถาน ·
    การแสวงบุญในพุทธภูมิ
    ดูเพิ่มเติม
    อภิธานศัพท์ศาสนาพุทธ
    หมวดหมู่ศาสนาพุทธ
    สัทธรรมปฏิรูป หมายถึง พระสัทธรรมเทียม พระสัทธรรมปลอม เมื่อพระสัทธรรม คือคำสอนของพระพุทธเจ้า เลือนหายไป
    ความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม หรือ สัทธรรมปฏิรูป เกิดขึ้นจากเหตุผล 5 ประการ คือ พุทธบริษัท 4 (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา)
    ไม่เคารพยำเกรงในพระศาสดา
    ไม่เคารพยำเกรงในพระธรรม
    ไม่เคารพยำเกรงในพระสงฆ์
    ไม่เคารพยำเกรงในสิกขา
    ไม่เคารพยำเกรงในสมาธิ


    จากที่นี่ สัทธรรมปฏิรูป - วิกิพีเดีย

    ในโลกใบนี้ เราชาวพุทธผู้รักสันติ รู้อภัย อหิงสา ดำรงค์ตนอยู่โดยไม่เบียดเบียนตน และผู้อื่น มีที่ยืนน้อยในโลกใบนี้ลดลงเรื่อยๆเพราะ สัทธรรมปฏิรูป ...เพราะขาดผู้กล้าหาญทางจริยธรรม นิ่งเฉยดูดาย กับกลุ่มที่มีส่วนทำให้พระธรรมของพระพุทธเจ้า บิดเบือน สร้าง ข้อโต้แย้ง ใส่ความคิดเห็น กระจายข่าว ปลอมปน สร้างข่าวความกลัว หวังความหวั่นใหวในจิตชาวพุทธ เพื่อสอดแทรกเข้ามาหาประโยชน์แย่งโยม แย่งศรัทรา ให้สับสนลังเลสงสัยในธรรมของศาสนา...ยุคนี้แหละครับ ที่เป็นยุค ที่เรียกว่า.สัทธรรมปฏิรูป ..

    เกิดขึ้นจากเหตุผล 5 ประการ คือ พุทธบริษัท 4 (ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา)
    ไม่เคารพยำเกรงในพระศาสดา
    ไม่เคารพยำเกรงในพระธรรม
    ไม่เคารพยำเกรงในพระสงฆ์
    ไม่เคารพยำเกรงในสิกขา
    ไม่เคารพยำเกรงในสมาธิ
    นี้แล เป็นเหตุ....หากเราเห็น.ด้วยเหตุด้วยผล ตามครรลองคลองธรรม
    จงช่วยกันสอดส่องดูแล ด้วยเถิดครับพี่น้องชาวพุทธทั้งหลาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2013
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    โทษของการปรามาสหรือดูหมิ่นดูแคลนผู้อื่น !!!

    [​IMG]
    รูปพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา(ทรมานตัวเอง)นานถึง ๖ ปี เพราะวจีกรรม

    ถาม : คนที่ดูหมิ่นในความสามารถของบุคคลอื่น ในทางโลกที่ผู้ถูกดูถูกเป็นคนธรรมดา เป็นคนมีศีล เป็นคนที่เจริญฌาน เป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตา บำเพ็ญทานรักษาศีล หรือผู้บำเพ็ญตนในวิปัสสนาญาณปรารถนาพระนิพพาน หรือคนที่ได้โมทนาบุญจากบุคคลทุกท่าน และพระทั้งหมดทั้งนิพพาน

    ตอบ:  คนดูถูกนี้ซวยแน่ๆ สรุปแค่นั้นพอ ความดีของท่านมีผลมหาศาล ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดก็คือ นางขุชชุตตรา ท่านไม่ทราบว่าเพื่อนท่านเป็นภิกษุณีอรหันต์แล้ว ได้ขอให้เพื่อนช่วยหยิบเครื่องแต่งตัวให้หน่อยเท่านั้นเอง ต้องไปเกิดเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ

    ท่านที่ทรงความดีอยู่ก็เหมือนอย่างกับไฟ ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องก็เป็นคุณอนันต์ ถ้าปฏิบัติผิดก็โทษมหันต์ ความดีท่านยิ่งสูงเท่่าไหร่ ถ้าเราทำไม่ดีกับท่าน ก็ยิ่งโดนตอบแทนคืนมาแรงเท่านั้น ท่านไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรหรอก แต่ว่ากฎของกรรมกับสิ่งที่เราทำมันจะเล่นเราเอง

    เพราะฉะนั้นสรุปได้ว่าไม่ต้องให้ถึงขนาดที่ว่ามาหรอก ขอให้คนที่มีความดีอยู่บ้างถ้าเราไปล่วงเกินเข้า มีโอกาสก็ขอขมาเสีย ไม่อย่างนั้นเกิดโทษกับตัวแน่ๆ

    ถาม : ถึงแม้จะเป็นเรื่องทั่วๆ ไปหรือครับ

    ตอบ: เรื่องทั่วๆ ไปไม่ว่าจะอะไรก็ตาม พระอรหันต์มีคุณอนันต์ก็มีโทษมหันต์ ดังนั้นฆราวาสที่เป็นอรหันต์ท่านเลยต้องจำเป็นให้ตัดให้ตาย อยู่นานไม่ได้หรอก คนไม่รู้ไปล่วงเกินเข้าเป็นโทษแน่ๆ อย่างเช่นว่า อาจจะเคยเป็นเพื่อนฝูง เป็นลูกไล่กันมาก่อน เตะตูดเขกกบาลเล่นได้ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ไปแล้วเราไปทำอย่างนั้นเราก็ซวยไม่จบ หากท่านอยู่ต่อไปจะเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น

    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เดือนมกราคม ๒๕๔๖(ต่อ) ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ กรุงเทพมหานคร


    มาพบพระ สมาชิก

    ขออนุโมทนา เป็นธรรมที่ดี ช่วยเตือนสติหมู่ชนในปัจจุบัน ที่มักจะปรามาสผู้อื่น กล่าวให้ร้ายผู้อื่นด้วยวาจาที่เป็นจริงและไม่เป็นจริง เห็นว่าตนเองเก่งกว่าผู้อื่นสร้างมานะโดยไม่รู้สึกตน มนุษย์เราถ้ากล่าวสรรเสริญความดีของผู้อื่นเป็นการน้อมไปในความดีของผู้อื่น ย่อมนำกุศลมาสู่ตนเอง กล่าวติเตียนผู้อื่นย่อมน้อมนำอกุศลมาสู่ตนเอง

    02-06-2010, 12:08 PM

    Sriaraya5 สมาชิก

    ทั้งที่พระพุทธเจ้าในอดีตที่ผ่านมา ทรงออกบวชและบำเพ็ญเพียรอย่างน้อยที่สุด ๗วัน และอย่างมากที่สุด ๑๐เดือน แต่เนื่องจากในอดีตพระพุทธเจ้าโคดม ต้องบุพพกรรม(ทางด้านวจีกรรม) กับพระกัสสปพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าโคดมจึงต้องแสวงหาทางพ้นทุกข์ในหนทางที่ผิด(บำเพ็ญทุกรกริยา) อยู่ถึง ๖ ปี แล้วได้หันมาบำเพ็ญทางสายกลางจึงได้ตรัสรู้ ทั้งที่พระพุทธเจ้าในอดีตที่ผ่านมา ทรงออกบวชและบำเพ็ญเพียร อย่างน้อยสุดวัน และอย่างมากที่สุด ๑๐เดือน

    03-06-2010, 01:24 AM

    ที่มา http://palungjit.org/threads/โทษของการปรามาสหรือดูหมิ่นดูแคลนผู้อื่น.242103/page-1
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    หลวงพ่อขี้งัว !!!

    พระธรรมเทศนา โดยพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    หลวงพ่อขี้งัวนี่ ในระหว่างนั้นแหละ ประมาณ พ.ศ. 2487 - 2488 เหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นในระยะนั้น ในเขตอำเภอ 2 พี่น้อง กับเขตอำเภอบางปลาม้า ได้ยินข่าวเล่าลืออยูเสมอว่า มีพระพิเศษมาเที่ยวนั่งอยู่ตามกลางทุ่ง ห่มจีวรกลัก แล้วก็มีย่ามลูกหนึ่ง บางทีเอาผ้าคลุมโปง เวลาเดินไปไหนเจอะขี้งัวเหลวๆ ก็หยิบใส่ย่าม แล้วนั่งซุ่มๆ เวลาเด็กเลี้ยงงัวเลี้ยงควายเห็นเข้า เดินเข้าไปใกล้ท่านก็เดินหนีเสีย ทีนี้เจ้าพวกเลี้ยงงัวเลี้ยงควายนี่ ก็เป็นคนไม่ค่อยจะเหมือนคนเหมือนกัน บางคราวมันก็นึกฮิตๆ ขึ้นมา มันนึกว่าเป็นพระบ้าพระบอมันก็วิ่งไล่กวด ท่านก็วิ่งหนี แล้ววิ่งไปได้ไม่นาน ทั้งๆ ที่เป็นกลางวันแล้วก็กลางทุ่ง ปรากฏว่าไม่เห็นพระองค์นั้น ทำแบบนี้กันอยู่หลายวัน

    วันหนึ่งเจ้าภาพนิมนต์อาตมาไปเทศน์ที่ตำบล 2 พี่น้อง ที่บ้านบางสะแก แล้วก็วัดบางสะแกหรืออะไรนี่ ไอ้วัดนั้นไม่ทราบว่าชื่อวัดอะไร แต่กลุ่มบ้านนั้นเขาเรียกว่าบ้านบางสะแก เมื่อเวลาเทศน์จบก็ต้องค้างคืน เพราะเขานิมนต์ฉันเช้า ค้างกันอยู่ 3 องค์ด้วยกัน ไปเทศน์ 3 องค์ เวลากลางคืนก็มาค้างที่บ้าน พอตกกลางคืนเขาก็พูดให้ฟังถึงความมหัศจรรย์ของพระองค์นั้น บอก จะไปหาว่า ท่านเป็นพระบ้าพระบอมันก็ไม่ได้ ความจริงรู้สึกว่าจะเป็นพระที่มีความสำคัญอยู่ เมื่อเวลาเขาพูดให้ฟัง อารมณ์จิตมันคิดอยู่อย่างหนึ่ง นี่ไม่ใช่อาตมาเป็นหมอดูนะ หรือว่าไม่ใช่เป็นพระมีญาณ มีญาณพิเศษอะไร เป็นพระธรรมดานักบวชที่ใช้อะไรไม่ค่อยจะได้

    นี่แหละ เรียกว่าขาวๆ ดำๆ ดำๆ ขาวๆ ลุ่มๆ ดอนๆ เอาเรียบร้อยอะไรไม่ได้ บางทีก็เป็นพระ บางทีก็เป็นคน บางอารมณ์ก็เป็นเปรต บางคราวก็เป็นสัตว์นรกไปก็มี นี่ พระแบบนี้เชื่อถืออะไรไม่ค่อยได้ เอาดีไม่ได้ จะไปเชื่อได้ยังไง พระมันบวชมาจากคนนี่ บางทีก็เลวกว่าชาวบ้านเสียอีก บางครั้งเห็นชาวบ้านเขามีปฏิปทาดี รู้สึกเลื่อมใสในเขา นี่เป็นยังงั้น อัตนา โจทยตานัง พระพุทธเจ้าสั่งสอนให้เตือนตัวเอง นี่บางทีไปนั่งเตือนชาวบ้านเขาเพลินไปเลยลืมเตือนตัวเอง อย่างนี้พระยายมยิ้ม ชอบ ยังไงๆ ก็คงได้เป็นลูกศิษย์พระยายมแน่ ถ้าไม่กลับตัวให้ดีกว่านี้ เอ้าเล่าเรื่องของพระองค์นั้นต่อไป

    เมื่อเขาเล่าเรื่องให้ฟัง ความรู้สึกมันเกิดขึ้นมาว่า พระองค์นี้ต้องเป็นพระอริยเจ้าและอย่างเลวที่สุดก็ต้องเป็นอภิญญา 6 พระอภิญญา 6 นี่มีหูทิพย์ ตั้งแต่อภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณนี่ พูดอะไรไม่ได้ ได้ยิน สำหรับพระวิชชาสามนี่ต้องใช้ญาณเป็นเครื่องกำหนดรู้ ถ้าไม่กำหนดจิตเพื่อรู้ไม่รู้ ถ้ากำหนดจิตเพื่อรู้จริงๆ ใครเขามาพูดทิ้งไว้ตั้งหลายๆ ปีก็รู้ว่าเขาพูดว่ายังไง นี่มันคนละอย่าง พระวิชชาสามเหมือนกับคนมีตำรา ต้องเปิดตำราจึงรู้ แต่พระอภิญญา 6 ขึ้นไป ไม่เหมือนกับคนมีตำรา เหมือนคนที่รู้เอง พูดที่ไหนก็ไม่ได้ นินทาไม่ได้ นินทาเมื่อไรรู้เมื่อนั้น ก็เลยบอกเจ้าของบ้านว่า

    ทดลองกันดีกว่าว่าพระองค์นั้นจะเป็นพระอะไร กรุณาเอาธูปไปจุดสัก 5 ดอก ไปปักไว้ที่นอกชานกลางแจ้ง เขาก็ปฏิบัติตามนั้น ก็เลยพูดดังๆ ว่าพระองค์นั้น ถ้าหากว่าเป็นพระอริยเจ้าจริง พรุ่งนี้ตอนเช้าก็โปรดมาพบที่บ้านนี้ เพราะชาวบ้านพร้อมทั้งพระ คือคณะอาตมาด้วย ต้องการนมัสการ ถ้าหากว่าไม่ใช่พระอริยเจ้าก็จงอย่ามา ทีนี้ก็ไม่ยาก ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้าก็รู้ไม่ได้ พูดเท่านั้นชาวบ้านเขาก็ตั้งใจพนมมืออธิษฐานเหมือนกัน เพราะนั่งอยู่หลายสิบคน บ้านใหญ่มาก เขาก็เลยพูดตาม ทุกคนเขาว่าตามแล้ว เขากราบไปที่ธูปเท่านั้นเอง คุยกันไปดึกประมาณ 24 น. ต่างคนต่างก็ลากลับ พระก็นอน ชาวบ้านก็นอน หรือใครจะไม่นอนบ้างก็ไม่ทราบ

    ถึงเวลาเช้าตรู่เวลาประมาณ 6 น. ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาทางหลังบ้าน เสียงโวยๆ ว่าใครวะ ใครมันท้าตีกูวะ มันเก่งจริงมันลงมาซิหว่า ไอ้คนเก่งจริงไม่ต้องไปท้ากันกลางคืนโว้ย เสียงเอะอะมา แล้วมาที่หน้าบ้านหลังนั้น มายืนกวักมือท้า เหวยๆ บอกเฮ้ยใครวะเมื่อคืนมันท้าตีกูวะ เก่งจริงโดดลงมาซีหว่า กูคนเดียวละ พวกมึงเท่าไรก็ตามมาตีกะกู เป็นอันว่ามาแล้ว แต่ก็มาแบบนักเลงโต อาตมากับเพื่อนก็เลยลงไปข้างล่างยกมือไหว้ บอกว่านิมนต์ขึ้นข้างบนเถอะขอรับ ทำแบบนี้ไม่มีผลหรอก ชาวบ้านเขาจับได้แล้ว อย่ามาปลอมแปลงเป็นคนบ้าเลย จะทำให้ชาวบ้านเขาบ้าไปด้วย ท่านนิ่งประเดี๋ยวมองหน้า เอาผ้าที่เคียนศีรษะลง ผ้าจีวรน่ะ เคียนศีรษะเสียใหญ่เบื้อเร่อเชียว เอาลง ลงแล้วก็ห่มเป็นปริมณฑลเรียบร้อย แล้วก็เดินขึ้นบ้านแบบสงบ นั่งเฉย ยิ้มแฉ่ง

    ตอนนี้นั่งดูแล้ว สีเปลี่ยน เปลี่ยนจากดำเป็นค่อยๆ ขาวไปทีละน้อยๆ จนท่านขาวแล้วก็ออกเหลือง หน้าตาอิ่มเอิบ ชาวบ้านเขารู้กันเร็วจริงๆ ประเดี๋ยวเดียวคนเต็มหมด ทุกคนมาถึงแล้วก็มากราบแบบสนิท ท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส คุยด้วยดี ก็เป็นอันรู้กันแล้วว่าพระองค์นี้เป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่ขั้นอภิญญา 6 ขึ้นไป แต่จะเป็นขนาดไหนไม่รู้ จะเป็นปฏิสัมภิทาญาณหรือเปล่าก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะอธิษฐานไว้แบบนั้น

    เวลาท่านฉันข้าวเสร็จ ท่านก็ให้พร เสียงเพราะมาก เวลาให้พรเสร็จท่านก็บอกว่า ใครมีสำรับกับข้าวมาถวายพระบ้าง ให้เอาถ้วยไปล้างให้สะอาดคนละลูก รายละลูกแล้วส่งมาให้ท่าน ทุกคนก็ปฏิบัติตาม ส่งถ้วยไปแล้วท่านก็ควักขี้งัว ในย่ามของท่านเต็มไปหมด ใส่ถ้วยเต็มเอาฝาปิดแล้วก็ส่งให้ บอกเอาไป พวกเอ็งจะได้ค้าขายหากินดี ไปพูดอะไรกับใครก็ตาม สีปาก เอาขี้งัวนี่น่ะสีปากแล้วพูด ชาวบ้านรักชาวบ้านชอบ ว่าเข้าแบบนั้นชาวบ้านก็คงจะสะอึก พอเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านก็ลากลับ เวลาลากลับ ท่านเดินลงไปบันได พอพ้นบันไดลงไป

    ปรากฏว่าคนข้างล่างก็ไม่เห็นท่าน คนข้างล่างไม่เห็นท่านลงไป แต่คนข้างบนเห็นท่านลง เป็นอันว่าข้างบนก็ไม่มี ข้างล่างก็ไม่มี หายไปเสียแล้ว ชาวบ้านเขาก็บอกว่าของในถ้วยนี้น่ะ เขาไม่เรียกว่าขี้วัว ก็ดีเหมือนกัน ถ้าไปเรียกขี้วัวเข้ามันจะเป็นขี้วัวเพราะอำนาจฤทธิ์ของท่าน ถามว่าของในถ้วยนี่จะทำยังไง ก็บอกว่า ประเดี๋ยวก่อนซี สำรวจดูก่อน จริยาของท่านไม่เหมือนพระอื่นนะ เวลาท่านมาท่านแสดงรกรักรุงรัง แสดงท่าเอะอะโวยวาย แต่เวลาเราพูดดีเข้า ท่านเรียบร้อยดีเสียกว่าพวกฉันเสียอีก กิริยาน่ารักน่าไหว้ น่าบูชา ทีนี้ขี้วัวนี่ก็เหมือนกัน มันจะเป็นเหมือนท่านเวลาท่านควักออกมาจากย่ามมันอาจจะเป็นขี้วัว

    เหมือนกับท่านเดินมาทีแรก คือท่าทางเอะอะโวยวาย ตานี้เวลาท่านกลับไปเรียบร้อย เข้าใจว่าขี้วัวจะเป็นอย่างอื่น ถ้าหากขี้วัวนี้เป็นขี้วัวตามเดิม ก็แสดงว่าพระองค์นี้ ไม่ใช่พระอรหันต์ขั้นฉลภิญโญ ขั้นอภิญญา 6 ขึ้นไป พอว่าเท่านั้นชาวบ้านต่างคนต่างก็เปิดฝาถ้วยดู เจ้าขี้วัวทั้งหมดกลายเป็นสีผึ้งสีปาก หอมกรุ่น เรียกว่าหอมมากว่าสีผึ้งธรรมดา เรื่องนี้ก็จบกันเท่านี้ แล้วเขาจะไปใช้สีผึ้งทำอะไรมันเรื่องของเขา ท่านสั่งแล้ว

    ทีนี้ ต่อมาก็มีอีกองค์หนึ่ง ควรจะเล่าให้ฟัง

    นายพ่วง เพื่อนกับนายอิน นายอินคนนี้เขาเป็นญาติกับอาตมาเคยเป็นทหาร นายพ่วงนี่ เป็นเพื่อนกัน อาตมารู้จักนายพ่วงได้ก็เพราะอาศัยนายอิน นายพ่วงนี่อยู่ตำบล บางซอ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี

    ตานี้มีพระองค์หนึ่ง วันหนึ่งตาพ่วงนี่แกทำไร่อ้อย แกอยู่กลางไร่มีพระองค์หนึ่งเดินมา ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้จะเข้าพรรษาคือเป็นวันเข้าพรรษาแล้ว ตาพ่วงแกเห็นเข้าแกก็ถามหลวงพ่อจะไปไหนครับ ท่านก็ตอบว่า ไม่รู้จะไปไหน เพราะว่าอยู่วัดกับใครเขาไม่ได้ อยู่วัดไหนวัดไหนเขาก็ไล่ อยู่กับเขาไม่ได้ก็เดินหาที่อยู่ยังไม่มีที่อยู่ ตาพ่วงแกมีกระท่อมสำหรับเฝ้าอ้อยอยู่หลังหนึ่ง ก็นิมนต์ท่าน บอกนิมนต์หลวงพ่อจำพรรษาอยู่ที่นี่เถิดขอรับ

    กระผมจะส่งเอง เรื่องอาหารการบริโภค ผ้าผ่อนท่อนสไบ ยารักษาโรค ทุกอย่างที่หลวงพ่อต้องการ ตามสมณวิสัย ผมจะถวายเอง หลวงพ่อไม่ต้องไปหาวัดอยู่หรอกขอรับ พระแถวนี้ก็พระทั้งนั้นแหละขอรับ แต่รู้สึกว่าพระอยู่ข้างๆ พระ แกว่ายังงั้น บวชแล้วก็แค่นั้นแหละขอรับ ไม่ได้สร้างความเจริญให้แก่ตัวมุ่งหน้าแต่จะหาลาภหายศกัน อยากจะเป็นพระครู อยากจะเป็นเจ้าคุณ อยากจะเป็นสมภาร อยากจะเป็นใบฎีกา สมุห์ปลัด วิ่งเต้นกันให้มันยุ่งไปหมด ลงท้ายลูกวัดก็เอาถ่านไม่ได้ ผู้หญิงยิงเรือผ่านไม่ได้ ยักคิ้วหลิ่วตา เวลามาบิณฑบาตก็ไม่น่าจะเลื่อมใส ไม่น่าไหว้ ไม่น่าบูชา แต่ก็จำจะต้องทำบุญเพราะหาพระที่ดีทำบุญไม่ได้ ฉะนั้น ขอนิมนต์หลวงพ่ออยู่ที่นี่เถอะขอรับ ท่านก็เลยอยู่

    ก็อยู่กับตาพ่วงมาตลอดปี ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น 1 พรรษาผ่านไป ทีนี้พอพรรษาที่ 2 ปีนั้นน้ำท่วมไร่อ้อย หลวงพ่อก็อยู่เกาะ ตาพ่วงก็ดี เอาไม้ลูกบวบไปทำแพให้ 2 ลูก สำหรับจะผ่อนคลายออกมาเดินเล่น เอากระดานปูเข้า

    วันหนึ่งเป็นเวลาเดือน 12 ท่านก็เลยบอกว่าพ่วงเอ๊ย จะต้องการอะไรจากพ่อก็เอาเสียเถอะนะ ต่อไปพ่อจะต้องขอลาเจ้าละ ตาพ่วงก็บอกว่าหลวงพ่อครับ ฤดูน้ำ น้ำยังมากอยู่หลวงพ่อจะไปยังไง ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร จะเอาอะไรก็เอาเสียนะ พ่ออยู่ไม่ได้ จะต้องขอลาเจ้า ตาพ่วงก็ค้านแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้ขออะไร

    มาวันหนึ่ง ปรากฏว่าเจ้าภาพเขาจะแต่งงานลูกสาวเขา สองรายด้วยกัน บ้านเหนือกับบ้านใต้ แล้วฤกษ์ที่เขาหาได้ก็เป็นวันเดียวกัน เวลาเดียวกัน คือเวลาเช้าวันเดียวกัน เขามานิมนต์ท่านทั้งสองราย ท่านรับนิมนต์ทั้งสองราย ท่านรับนิมนต์แล้วท่านก็ไม่ได้บอกกะตาพ่วงว่าจะไปฉันเช้าบ้านไหน เพราะท่านอยู่กลางเกาะน้ำแถบนั้น ไม่มีเรือท่านก็ไปไม่ได้ ในเมื่อถึงเวลาแต่งงานเข้าจริงๆ ปรากฏว่าท่านไปฉันทั้งสองบ้าน แต่ความจริงไม่ได้ฉัน 2 บ้านเท่านั้น ฉัน 3 บ้าน ที่กระท่อมนั้น ตาพ่วงนำอาหารไปถวาย ท่านก็อยู่ที่นั่น แล้วบ้านเหนือบ้านใต้ที่เขาแต่งงานกัน ท่านก็ไปฉันทั้งสองบ้าน เป็นอันว่าเวลาเดียวกันท่านไปฉัน 3 บ้าน เป็นพระ 3 องค์ เพราะมันเวลาเดียวกัน เรื่องราวก็ชักจะยุ่งกันใหญ่

    ตานี้ คนเขามาถามตาพ่วงบอก เอ๊ะ หลวงพ่อแกไปฉันบ้านเหนือรึ ตาพ่วงก็บอกเปล่า ฉันที่กระท่อมนี่ ข้าเอาอาหารไปถวายท่านนี่นะยังอยู่ ไอ้บ้านใต้ก็มายืนยันบอก เอ๊ะ หลวงพ่อแกไปฉันที่บ้านใต้เขานี่ เวลาเดียวกันตาพ่วงก็บอก เอมันจะยังไงพ่อคุณบ้านเหนือก็ไป บ้านใต้ก็ไป แล้วก็เวลาเช้าที่เขาถวายอาหารกันนี่ ฉันก็เอาอาหารมาถวายหลวงพ่อของฉันอยู่ตรงนี้นี่นะ แล้วมันจะเป็น 3 องค์ ขึ้นมาได้ยังไงล่ะ ในที่สุดตาพ่วงก็ไปถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ไม่ได้ตอบว่ายังไง หัวเราะหึ หึ เป็นแต่เพียงบอกว่า พ่วงเอ็งต้องการอะไรก็บอกพ่อนะ พ่อจะให้ พ่อจำเป็นจะต้องไป อยู่ไม่ได้ มันถึงเวลา ตาพ่วงก็ค้านว่าหลวงพ่อจะไปก็ไปได้ขอรับ ให้น้ำแห้งเสียก่อน เวลานี้น้ำยังมาก ท่านก็เฉย

    วันรุ่งขึ้นตอนเช้า ตาพ่วงเอาข้าวไปถวายตามปกติ ปรากฏว่าพระองค์นั้นตายแล้ว ตายเสียฉิบ มีตะกรุด มีสีผึ้งสีปากไว้ให้ มีจดหมายเขียนไว้ให้ บอกตะกรุดนี้เอาไว้ป้องกันตัว พ่วงเอ็งเป็นคนดีมาก เอาตะกรุดนี่ไว้ป้องกันตัว แล้วฐานะเอ็งไม่ค่อยดีจงเอาสีผึ้งนี้สีปากเวลาขายของ จะขายของดี

    เป็นอันว่าพระประเภทนี้พอมีอยู่ ถ้าพระประเภทนี้นะอยู่ที่ไหน บรรดาพระจัญไรทั้งหลายรังเกียจ เพราะอะไร เพราะปฏิปทาไม่เหมือนกัน พระอริยเจ้านี่เป็นที่รังเกียจของพระปุถุชนคนธรรมดาที่หนาไปด้วยกิเลส นี่เป็นเรื่องจริงๆ มีหลายองค์ เรื่องนี้ขอยุติเพียงนี้

    ที่มา 47. หลวงพ่อขี้งัว จาก คำสอน พระราชพรหมยาน
     
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. kb 2500

    kb 2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +873
    โทษของการปรามาสหรือดูหมิ่นดูแคลนผู้อื่น !!!

    หลวงพ่อขี้งัว !!!

    ท่านเกษมคง ชักจะขุ่นมัวนิดๆแล้วล่ะครับท่าน ยังไงก็ปรองดอง และนิรโทษกรรมกันซักแป๊บหนึ่งนะครับ พรุ่งนี้เวลาอาทิตย์ขึ้นตอนบ่ายหวยออกเดี๋ยวเลขจะหลุดครับ ค่ำๆว่ากันใหม่
     
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ผมเป็นห่วงผู้อ่านหน้าใหม่ ที่จะล่วงเกินผู้ทรงศีลทรงธรรม โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงต้องพยายามห้ามปรามเอาไว้ เพราะผมไม่อยากเห็นใครต้องตกนรกอีกแล้วครับ
     
  16. ฟาสิรี

    ฟาสิรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2011
    โพสต์:
    396
    ค่าพลัง:
    +729

    เจ้าลัทธิที่ทำนายภัยพิบัติ (ไม่เคยถูกสักครั้งเดียว) ในเว็บนี้เกือบทุกคน ก็จะยกเรื่องนี้มาขู่แหละ ถ้าใครไม่เห็นด้วยเข้า ... ไม่รู้ว่าคนดีที่ไหนเขาจะอาฆาตมาดร้ายผู้อื่นแบบนี้ ...
     
  17. k_isara 1

    k_isara 1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    521
    ค่าพลัง:
    +7,059
    28 ก.พ. 56 เตือนสติ

    เรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น เกิดจากเข้ามาแล้วไม่เคยไปเปิดดูย้อนหลังในบทก่อนๆว่าเขาเคยพูดล่วงหน้าไว้อย่างไร? แล้วเป็นเรื่องเหลือเชื่อทั้งสิ้นจึงเกิดการปรามาสขึ้นมา

    คนเราถ้าคิดว่าตัวเองมีจิตใจที่เที่ยงธรรมลองไปเปิดย้อนหลังดูแล้วค่อยมาปรามาสก็ยังไม่สาย

    การทำนายเรื่องล่วงหน้ามีทั้งถูกและไม่ถูก ผู้ทำนายไม่มีจิตที่จะอวดรู้แต่มีจิตที่อยากจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในยามใกล้เกิดภัยพิบัติจึงมีการทำนายและแจ้งให้รู้ล่วงหน้า

    สำหรับท่านที่ชอบปรามาสว่าคำทำนายไม่ถูกเลยท่านลองเปิดใจเข้าไปเปิดย้อนหลังดูแล้วค่อยมาตำหนิจะเป็นธรรมกว่าที่พูดออกไปก่อน

    ผมไม่ใช่ผู้วิเศษแต่อยากให้ท่านเปิดใจเข้าไปดูจะได้ไม่ต้องสร้างกรรมเวรให้กับตัวเองและครอบครัว

    การเข้าไปเปิดย้อนหลังดูจำนวนหน้ามากมายจึงทำให้เกิดเบื่อหน่ายจึงขอยกตัวอย่างให้ท่านเข้าไปดู ในบทความนั้นๆจะมีพยานบุคคล วันที่และบทความเปรียบเทียบระหว่าง กระทู้ของผม (เตือนภัยโดย k_97)ที่มีท่านสมาชิกเห็นว่ามีประโยชน์ต่อส่วนรวมจึงช่วยสร้างขึ้น กับของท่านเกษม ให้เปรียบเทียบวันที่ที่ลงแล้วจะได้ไม่ต้องแคลงใจว่ามีการแก้วันที่กันเพราะบทความผมได้เคยลงในเว็บฯของท่านเกษมที่ใช้ชื่อว่า เคอิสรา มาก่อน

    ขอลงให้เปิดเพียงเล็กน้อย เรื่องส่วนใหญ่ให้หาอ่านกันเอาเอง

    น้ำท่วมกรุงเทพฯ หน้า 4 บทความที่ 65
    รื่นเริงทัศนาจร 7 122-130-132
    สุนัขหอนเครื่องบินตก 8 158 - 160
    รถป้ายแดง 9 164
    ใกล้เข้าไปอีกนิด 186
    ภาพวันวาน 10 194

    นับถือ

    เคอิสรา
     
  18. phirus

    phirus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +318
    สงสัย แปลว่า ปรามาส มั้ยครับ

    การตั้งคำถามในสิ่งที่เราสงสัยในคำบอกเล่าหรือคำสอนเป็นสิ่งผิดด้วยหรือ
    :boo:
     
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    "กฏแห่งกรรม" ไม่เคยยกเว้นให้ผู้ใด !!!
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า

    “น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ
    น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวีสฺส
    น วิชฺชเต โส ชคติปฺปเทโส
    ยตฺรฏฺฐิโต มุญฺเจยฺย ปาปกมฺมา


    บุคคลที่ทำกรรมชั่วไว้ ถึงจะหนีไปทางอากาศ ก็พ้นจากกรรมชั่วไปไม่ได้ หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร ก็พ้นจากกรรมชั่วไปไม่ได้ หนีเข้าไปในซอกเขาก็ไม่พ้นจากกรรมชั่วไปได้ บุคคลอยู่ในส่วนแห่งภาคพื้นใดพึงพ้นจากบาปกรรม ส่วนแห่งภาคพื้นนั้น ย่อมไม่มี”

    จากการศึกษาพุทธประวัติที่ผ่านมา ส่วนใหญ่หลวงพ่อจะหยิบยกเอาตัวอย่างเรื่องของกรรมฝ่ายดีหรือที่เรียกว่าผลบุญในอดีตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรามาให้รับทราบกัน เพื่อจะได้เป็นแบบอย่าง เป็นกำลังใจที่จะดำเนินตามปฏิปทาของพระองค์ท่าน อย่างเช่นได้ยกตัวอย่างว่า การที่พระพุทธองค์ได้ลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ ก็เพราะทรงฝึกฝนอบรมพระองค์เองมาอย่างเต็มที่ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าท่านจะตกอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม ก็จะสร้างบารมีมาตลอด ตั้งแต่สร้างมหาทานบารมีเรื่อยไป จนกระทั่งบารมีครบทั้ง ๑๐ ทัศ พระองค์ท่านทรงทุ่มเทเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อมุ่งหวังอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทำให้ได้เป็นองค์ศาสดาเอกของโลก ที่เป็นต้นบุญต้นแบบให้ทุกๆ ท่านได้เคารพกราบไหว้บูชา

    อย่างไรก็ตามแม้ในภพชาตินี้ วิบากกรรมฝ่ายดีทุกๆ อย่างยังตามส่งผลให้พระองค์ท่านได้มาบังเกิดเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน สมบูรณ์ด้วยมหาสมบัติจักรพรรดิ ทรงดำรงชีวิตประดุจทวยเทพบนสวรรค์ แต่เมื่อคราวเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ เพื่อแสวงหาโมกขธรรม พระองค์ต้องเสียเวลาในการแสวงหาทางหลุดพ้น รวมไปถึงการบำเพ็ญทุกรกิริยาถึง ๖ ปี จึงได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และแม้เมื่อได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว ก็ยังมีเหตุการณ์หลายอย่างที่มาขัดขวางหนทางการเผยแผ่พระสัทธรรม ที่จะนำความสว่างไปสู่มวลมนุษยชาติ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากบุพกรรมที่ไม่ดีในอดีตตามส่งผลทั้งนั้น

    เมื่อศึกษาพุทธประวัติอย่างละเอียดแล้ว ในพระไตรปิฎกได้รวบรวมเหตุการณ์ซึ่งมีผลเนื่องมาจากอดีต ที่ทำให้พระองค์ทรงได้รับความลำบากหลายอย่าง เช่น การทรมานร่างกาย การถูกกล่าวโทษ ถูกด่าบริภาษ ถูกกล่าวหาใส่ร้าย ถูกทำร้ายจนถึงขั้นห้อพระโลหิต ต้องผ่าตัดด้วยศาสตรา ทำให้พระองค์ต้องเสวยเวทนากล้าจากสะเก็ดหิน และยังถูกช้างนาฬาคิรีวิ่งเข้าใส่เพื่อหมายจะปลงพระชนม์ บ่อยครั้งที่ทรงปวดพระเศียร ปวดหลัง และทรงอาพาธหนักถึงขั้นลงพระโลหิต สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ล้วนเป็นวิบากกรรมฝ่ายอกุศลตามส่งผล หลวงพ่อจึงขอนำบุพกรรมในอดีตที่พระองค์เคยทำผิดพลาดเอาไว้มาให้ได้รับทราบกัน เพื่อเป็นอุทาหรณ์ว่า อย่าดูเบาในกรรมแม้เพียงเล็กน้อย เพราะแม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่อาจทรงหลีกหนีวิบากกรรมได้พ้น เพื่อให้เราจะได้ไม่ประมาทพลาดพลั้งไปทำอกุศลเข้าอีก


    ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประทับนั่งริมสระอโนดาต ทรงเล่าบุพกรรมในอดีตให้ภิกษุสงฆ์ฟังว่า การที่พระองค์ทรงหิวน้ำ แต่ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา ก็เนื่องจากในอดีตที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นเด็กเลี้ยงโค ห้ามโคไม่ให้ดื่มน้ำขุ่น ได้ไล่โคไปดื่มน้ำที่อื่น กรรมเพียงเล็กๆ แค่นั้น ยังตามส่งผลให้พระองค์ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา พระองค์ทรงรับสั่งให้พระอานนท์ไปตักน้ำมาให้ดื่ม แต่พระอานนท์เห็นว่า กองเกวียน ๕๐๐ เล่ม พึ่งผ่านลำธารสายนั้นไป ทำให้น้ำในลำธารขุ่น ท่านจึงไม่ไปตักน้ำ จนพระผู้มีพระภาคเจ้าต้องรับสั่งถึง ๓ ครั้ง พระอานนท์จึงยอมไป เมื่อไปถึงลำธาร ด้วยพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณ ทำให้น้ำในลำธารกลับใสสะอาดในพริบตา พระอานนท์ก็บังเกิดความอัศจรรย์ใจ แล้วตักน้ำมาถวายพระองค์ได้ดื่มแก้กระหาย

    การที่พระพุทธองค์ต้องใช้เวลานานในการบำเพ็ญภาวนา ถึงขั้นต้องบำเพ็ญทุกรกิริยาจนแทบจะสิ้นพระชนม์ เพราะในสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า พระองค์ทรงบังเกิดเป็นลูกของพราหมณ์ชื่อว่าโชติปาละ เนื่องจากเป็นวรรณะพราหมณ์จึงไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย เวลาฆฏิการะผู้เป็นอุบาสกมาชักชวนไปฟังธรรม จึงกล่าววาจาจ้วงจาบพระกัสสปพุทธเจ้าว่า“การตรัสรู้ของสมณะโล้นจักมีมาแต่ที่ไหน เพราะการตรัสรู้ธรรมเป็นสิ่งที่ทำได้โดยยากยิ่ง” ด้วยวิบากกรรมนั้น เมื่อมาในภพชาติปัจจุบันนี้ ทำให้พระองค์ต้องใช้เวลาในการแสวงหาโมกขธรรมนานถึง ๖ ปี จึงได้ตรัสรู้ธรรม (หลังจากที่ต้องไปเสวยผลกรรมในนรกมาแล้ว)

    เรื่องการที่พระองค์ทรงถูกคนอื่นใส่ร้ายทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง เพราะภพชาติในอดีต พระพุทธองค์เคยเสวยพระชาติเป็นนักเลงชื่อว่า มุนาฬิ เนื่องจากคบเพื่อนไม่ดี จึงเป็นคนเกเรมาตั้งแต่เด็ก วันหนึ่งมุนาฬิไปเที่ยวป่ากับเพื่อนๆ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า สุรภิ ผู้มีฤทธานุภาพมาก แทนที่จะเกิดความเลื่อมใส กลับรู้สึกขัดเคืองใจ เพราะเห็นว่าเอาแต่นั่งเฉยๆ ไม่ได้กล่าวสอนใคร มีแต่รอรับอาหารจากคนอื่น จึงกล่าวด่าทอพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า “ท่านเป็นพระทุศีล ห่มจีวรหลอกชาวบ้าน ไม่ยอมทำมาหากินเหมือนคนทั่วไป มัวแต่เที่ยวเดินขออาหารจากชาวบ้าน โดยไม่มีความละอายแก่ใจ”

    เพราะกรรมนั้น ทำให้ท่านต้องหมกไหม้อยู่ในนรกทุกข์ทนทรมานหลายพันปีนรก มาในภพชาติสุดท้าย หลังจากที่ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประกาศพระสัทธรรมที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์อย่างแท้จริง ทำให้ลาภสักการะเกิดขึ้นมากมาย แต่ลาภสักการะของพวกเดียรถีย์กลับเสื่อมถอยลงทุกขณะ พวกเดียรถีย์เกิดความอิจฉาริษยา ก็พากันคิดหาอุบาย ที่จะเรียกศรัทธากลับคืนมาสู่พวกของตน

    เมื่อคิดกลอุบายอันแยบยลได้แล้ว ก็ส่งปริพาชิกาชื่อสุนทรีเดินเข้าไปในวัดพระเชตวันในเวลาที่มหาชนเดินออกมาเพื่อกลับบ้าน ทำทีว่ามีความเลื่อมใสต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า นางทำต่อเนื่องอย่างนั้นอยู่ ๒-๓ วัน ก็ถูกเดียรถีย์ว่าจ้างโจรให้ไปฆ่านาง แล้วนำศพไปทิ้งไว้ที่กองหยากเยื่อหลังพระคันธกุฎี จากนั้นก็ให้ใส่ความว่า พระบรมศาสดาเป็นคนฆ่านาง พวกปุถุชนยังไม่ได้พิจารณาให้ดีก็พากันหลงเชื่อ คิดว่าเป็นเรื่องจริง จึงพากันด่าทอพระพุทธองค์ด้วยถ้อยคำหยาบคาย แต่ก็ได้อาศัยพระราชาทรงวินิจฉัยคดีด้วยพระองค์เอง สามารถสืบทราบจนพบต้นสายปลายเหตุทุกอย่าง ทำให้พระองค์พ้นจากการถูกใส่ความ นั่นเป็นเพราะกรรมในอดีตตามมาส่งผล

    นอกจากนี้ พระองค์ยังเคยถูกนางจิญจมาณวิกากล่าวตู่ ว่าได้นอนในพระคันธกุฎีร่วมกับพระพุทธองค์จนนางตั้งครรภ์ ทำให้มหาชนที่มีจิตยังไม่มั่นคงพลอยหลงเชื่อ ที่เป็นเช่นนี้เพราะภพในอดีต พระองค์เคยกล่าวตู่พระอรหันต์รูปหนึ่งชื่อนันทเถระ ว่าท่านเป็นพระแต่แอบไปหลับนอนกับหญิง ห่มผ้าเหลืองซึ่งเป็นธงชัยของพระอรหันต์ แต่ใจกลับยินดีในกามคุณเหมือนคฤหัสถ์ทั่วไป เพราะบาปกรรมนั้น ท่านได้พลัดตกไปบังเกิดเป็นสัตว์นรก เสวยทุกข์ทรมานเป็นเวลายาวนานถึงหนึ่งหมื่นปี เมื่อได้มาเป็นมนุษย์แล้วก็ถูกกล่าวตู่มากมาย แม้ภพชาตินี้กรรมยังตามส่งให้พระองค์ถูกนางจิญจมาณวิกากล่าวตู่ด้วยถ้อยคำที่ไม่เป็นจริงต่อหน้าสาธารณชนเช่นนั้น

    นี่ก็เป็นเพียงบุพกรรมส่วนหนึ่ง ที่พระพุทธองค์ทรงหลงไปทำผิดพลาดเอาไว้ในสมัยที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์สร้างบารมีอยู่ เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วให้ทุกคนพึงสังวร อย่าได้ประมาทในชีวิต เมื่อมีบุญได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ต้องเห็นคุณค่าของชีวิต เร่งสร้างบุญสร้างกุศลให้เต็มที่ อย่าประมาทไปทำบาปอกุศลกัน ควรใช้วันเวลาให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ เพื่อการสั่งสมบุญกุศลล้วนๆ จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ ขอให้ใช้เวลาทุกวินาทีให้มีคุณค่าด้วยการสร้างบารมีกันทุกๆ คน

    พระธรรมเทศนาโดย: พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

    ที่มา บุพกรรมของพระพุทธเจ้าตอนที่ ๑
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2013
  20. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ปุ่มเห็นด้วย กับปุุ่มไม่เห็นด้วย ไม่เป็นอันตรายขนาดนั้นหรอก
    ผมเคยพลาดมาเเล้วจะเห็นด้วยเเต่เผลอสติไปกดไม่เห็นด้วย
    หลายวันผ่านไปต่อมาเปิดกระทู้เดิมมาเจอก็กดยกเลิกไป เเล้วกดเห็นด้วยเเทนที่
    ตอนนี้ผมยังไม่ตายนะ เเต่อีกไม่กี่ปีก็ต้องตายเเต่ไม่ใช่เพราะปุ่มไม่เห็นด้วย

    อนึ่ง ขณะท่านขับรถในที่คับขันเเละท่านต้องการหยุดรถ เเต่่ท่านไม่เหยียนคันเบรก
    เเต่ไปเหยียบคันเร่งเเทน นั่นเเหละ"ตาย"เเน่หรือไม่ก็คางเหลือง!!
     

แชร์หน้านี้

Loading...