เดินแล้วหุ่นเพรียว

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 16 เมษายน 2007.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    เดินแล้วหุ่นเพรียว

    [​IMG]


    <!--lead-->
    "การเดินทุกวันช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ มะเร็ง กระดุกพรุน และเบาหวาน บางงานวิจัยยังบอกสรรพคุณของการเดินช่วยรักษาอาการผิดปกติตั้งแต่เซ็กซ์เสื่อมไปจนถึงความจำเสื่อม เพียงแค่ออกแรงเดินสักรอบ"

    เดือนที่แล้ว หนังสือพิมพ์ ลอสแองเจลิส ไทมส์ ทำนายว่า ปีนี้การเดินออกกำลังกายจะเป็นกระแสฮิตที่มาแรงมากในยุโรปและอเมริกา และจะเห็นคนเดินตามทางเท้ากันเป็นโขยง เหมือนกับช่วงทศวรรษที่ 70 ที่วิ่งจ๊อกกิ้งออกกำลังกายระบาดไปทั่ว
    ลูซี่ ไนจ ผู้เขียนหนังสือเรื่อง "เดินลดน้ำหนัก" บอกว่า การเดินมีประโยชน์มากมาย เพราะใช้กล้ามเนื้อชุดเดียวกับวิ่งออกกำลังกายไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อต้นขา เอ็นเข่า กล้ามเนื้อหน้าสะโพก น่อง และทุกครั้งที่ก้าวขาฉับๆ ช่วยให้กล้ามเนื้อกลูเทียส แมคซิมัส กระชับขึ้น ที่สำคัญไม่เป็นอันตรายต่อบรรดาข้อต่อทั้งหลายของร่างกาย
    "เดินเป็นการออกกำลังกายที่นุ่มนวล แต่เพิ่มความแข็งแกร่งและกระชับกล้ามเนื้อบริเวณข้อต่อที่สำคัญได้ดี และลดโอกาสได้รับบาดเจ็บบริเวณเนื้อเยื้อตามข้อต่างๆ ด้วย" ลูซี่ บอก
    ศาสตราจารย์ เจมส์ เลอวิน จากวิทยาลัยแพทย์มาโย คลินิก ในสหรัฐกล่าวว่า มนุษย์ถูกออกแบบมาให้เดิน เราใช้วิวัฒนาการเจ็ดล้านปีเพื่อการเดินสองขา แต่คนในยุคนี้กลับใช้ชีวิตนั่งแปะอยู่กับที่เป็นเวลานาน จนส่งผลเสียต่อสุขภาพ
    มีงานวิจัยมากมายที่ศึกษาประโยชน์ของการเดิน โดยพบว่า การเดินทุกวันช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ มะเร็ง กระดุกพรุน และเบาหวาน บางงานวิจัยยังบอกสรรพคุณของการเดินช่วยรักษาอาการผิดปกติตั้งแต่เซ็กซ์เสื่อมไปจนถึงความจำเสื่อม เพียงแค่ออกแรงเดินสักรอบ
    "ถ้ามียาที่กินแล้วช่วยรักษาโรคเรื้อรังได้เหมือนกับการเดินออกกำลังกาย คนก็คงแห่กันไปซื้อมากิน" ศาสตราจารย์ด้านเภสัชศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพูดเหน็บแนม
    แต่ไม่ใช่ว่าเดินเรื่อยเปื่อยอย่างเวลาเดินดูของในห้างสรรพสินค้าจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นมาได้ จะเดินให้หุ่นดี ร่างกายฟิตปั๋งมันต้องต้องเดินอย่างมีพลัง และต้องมีเทคนิค อันดับแรกต้องยืนตัวตรงทิ้งแขนไว้แนบลำตัว แขม่วท้องให้สะดือหดเข้าหากระดูกสันหลังเพื่อให้กล้ามเนื้อสำคัญพร้อมทำงาน
    จากนั้นเพ่งสายตาไปข้างหน้าระยะ 5-6 เมตร ทิ้งหัวไหล่ตามสบาย งอข้อศอกขึ้นทำมุม 90 องศา งอมือเล็กน้อย อย่ากำแน่น ให้เริ่มก้าวเท้าขวาเดินออกไปข้างหน้าแกว่งแขนสลับ เช่น เมื่อแขนซ้ายแกว่งไปข้างหน้า แขนขวาแกว่งไปข้างหลัง ทิ้งน้ำหนักไปที่ส้นเท้าขวา
    "ท่าเดินที่ไม่ถูกต้องที่เห็นทั่วไปเช่น เดินแกว่งแขนสองข้างไปทางเดียวกัน แทนที่แขนจะแกว่งสลับ บางคนก็เดินแขนเหยียดตรงแข็งทื่อราวกับเดินสวนสนาม การแกว่งแขนอย่างถูกต้องช่วยให้เดินได้คล่อง" นักเขียนบอก
    ไนจ แนะนำว่าไม่ควรเอารองเท้าวิ่งคู่เก่ามาสวมเดินออกกำลังกาย เพราะไม่ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไร "รองเท้าวิ่งส่วนมากทำส้นให้สูงขึ้นเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของเท้าหลัง แต่รูปแบบดังกล่าวไม่จำเป็นสำหรับการเดิน ตรงกันข้ามยิ่งทำให้กล้ามเนื้อหน้าแข้งทำงานหนักขึ้น สุดท้ายเกิดอาการอักเสบ และบวม"
    เธอแนะนำให้หารองเท้าสำหรับเดินโดยเฉพาะ หรือรองเท้าที่พื้นยืดหยุ่นดี โดยเฉพาะงอปลายเท้าได้มากกว่ารองเท้าวิ่ง แต่ควรมีส่วนรองรับส้นเท้าและระบายอากาศข้างบน
    มีข้อมูลสนับสนุนมากขึ้นบอกว่า ยิ่งก้าวเท้าบ่อยเท่าไร นอกจากช่วยให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้นแล้วยังช่วยให้สบายใจ และสมองโลดแล่นอีกด้วย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอ็กเซอเทอร์ในอังกฤษรายงานผลการศึกษาไม่นานมานี้ว่า หากเดินได้วันละ 5-10 นาที จะช่วยลดอาการอยากสูบบุหรี่ลงได้สำหรับคนที่ต้องการเลิกบุหรี่
    งานวิจัยอีกฉบับจากมหาวิทยลัยอิลลินอยส์ ได้ศึกษาเปรียบเทียบผลจากการเดินในกลุ่มผู้สูงวัยพบว่า กลุ่มที่เดินออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยอัตราเร็วตามที่กำหนดช่วยฝึกปรือให้สมองฉับไวขึ้นจากการทดสอบให้จดจำภาพ
    การเดินออกกำลังกายยังให้ประโยชน์เหมือนกับการออกกำลังกายแบบเต้นแอโรบิก กล่าวคือช่วยเพิ่มออกซิเจนไหลเวียนในร่างกาย และเลือดสูบฉีดสู่สมองดีขึ้น ช่วยให้กระฉับกระเฉง และทำงานได้มีประสิทธิภาพ
    ในญี่ปุ่นมีงานศึกษาเช่นกันว่า ผู้สูงอายุที่เดินน้อยกว่าวันละ 400 เมตร มีความเสี่ยงเป็นโรคความจำเสื่อม และหลงลืมเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับคนที่เดินมากกว่าวันละสามกิโลเมตร
    นักวิจัยได้โยงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างประโยชน์ของการเดินกับการป้องกันโรคต่างๆ ตั้งแต่มะเร็งไปจนถึงโรคเบาหวาน สมาคมโรคกระดูกพรุนแห่งอังกฤษ แนะนำว่า การเดินออกกำลังกายช่วยเสริมกระดูกให้แข็งแรง ขณะที่นิกกี้ คูเปอร์ จากมูลนิธิโรคหัวใจบอกว่า การเดินช่วยให้หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง ป้องกันโรคหัวใจ
    คนที่เดินเป็นประจำทุกวันมีโอกาสเป็นหวัดน้อยกว่าคนที่ไม่ค่อยอยากจะลุกเหิน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์พบว่า คนที่เดินเป็นประจำเป็นหวัดน้อยกว่าคนที่ใช้ชีวิตติดอยู่กับเก้าอี้
    เมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยพิตต์เบิร์ก ศึกษาพบว่า คนที่มีน้ำหนักมากกว่าปกติ หากได้เดินอย่างกระฉับกระเฉงเป็นเวลา 30 -60 นาที น้ำหนักจะลดลง 3 กิโลกรัมใน 18 เดือน โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตเลย
    ด้านศาสตราจารย์ จอห์น โพคารี จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน กล่าวว่า คนที่เดินโดยมีไม้เท้าช่วยยัน ช่วยลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น เพราะต้องออกแรงก้าวเท้ามากขึ้นโดยไม่รู้ตัว "โดยเฉลี่ยแล้ว คนที่เดินออกกำลังกายวันละ 4 กิโลเมตร สามารถเผาผลาญแคลอรีได้ 100 แคลอรีต่อหนึ่งกิโลเมตรครึ่ง และถ้าเดินด้วยไม้เท้าจะช่วยเผาผลาญแคลอรีเพิ่มอีกร้อยละ 20"
    มีข้อแนะนำส่งท้ายสำหรับนักเดินว่า ให้ฝึกเดินบนพื้นหลายรูปแบบ เช่น เดินย่ำโคลน เดินบนพื้นทราย พื้นหญ้า หรือเดินขึ้นเขา จะช่วยให้ใช้พลังงานเพิ่มขึ้น พื้นเดินข้างต้นต่างจากการเดินบาทวิถี ทุกครั้งที่เท้าเหยียบลงบนพื้นนุ่ม กล้ามเนื้อขาต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อยกขาขึ้นเพื่อก้าวไปข้างหน้า นอกจากนี้ ลองเดินบนพื้นตะปุ่มตะป่ำ หรือบนพื้นหินดูบ้าง ร่างกายจะได้รับประโยชน์มากขึ้น การเดินแบบนี้มีที่มาจากการรักษาแผนโบราณของจีน ช่วยลดแรงดันโลหิต ซึ่งมีผลศึกษายืนยันแล้ว การเดินบนพื้นที่ไม่สม่ำเสมอคล้ายกับการกดจุดที่ฝ่าเท้า ซึ่งช่วยควบคุมการไหลเวียนของเลือดได้ดีขึ้น

    ------------------------
    ที่มา:กายใจ
    [​IMG]
    http://www.bangkokbiznews.com/bodyheart/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2007

แชร์หน้านี้

Loading...