ความเข้าใจพระธรรมเป็นสาระสำคัญที่สุดในชีวิต

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 1 เมษายน 2007.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    คำกล่าวของท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์


    ในโอกาสเข้ารับรางวัลสตรีดีเด่นในพระพุทธศาสนา

    ท่านประธานและท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ

    ดิฉันขอขอบคุณคณะกรรมการที่ได้มอบรางวัลสตรีดีเด่นในพระพุทธศาสนาแก่ดิฉัน
    เนื่องในวันสตรีสากลขององค์การสหประชาชาติ ดิฉันขอถือโอกาสนี้กล่าวถึงสตรีและพระพุทธศาสนา

    คนส่วนมากเมื่อคิดถึงพระพุทธศาสนาก็มักจะคิดถึงพระภิกษุ
    แต่พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น
    ผู้ที่ศึกษาและประพฤติปฏิบัติตามย่อมรู้แจ้งความจริงได้,
    ฉะนั้นพุทธบริษัทจึงมี ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
    ในสมัยที่พระสัมมาสัม พุทธเจ้ายังทรงดำรงพระชนม์ มีภิกษุณีจำนวนมาก และมีอุบาสิกาที่เป็นเลิศในทางต่าง ๆ กันหลายท่าน

    ดิฉันขอยกตัวอย่างชีวิตของท่านอุบาสิกาวิสาขาและท่านอุบาสิกาขุชชุตตรา

    ท่านวิสาขาเป็นธิดาของเศรษฐีผู้หนึ่ง เมื่อท่านมีอายุ ๗ ขวบ ท่านได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ท่านได้แต่งงานและมีบุตรหลานเป็นจำนวนมาก และดำรงอยู่ในเพศฆราวาสตลอดชีวิต

    ท่านอุบาสิกาวิสาขา ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ฟังพระธรรม และมีศรัทธาดูแลบำรุงพระภิกษุสงฆ์อยู่เป็นนิจ พระผู้มีพระภาคทรงยกย่องท่านว่า เป็นอุบาสิกาผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลายผู้ยินดียิ่งในการถวายทาน

    ท่านอุบาสิกาขุชชุตตรา ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ของอุบาสิกา ผู้เป็นเลิศในพระพุทธ
    ศาสนา ท่านเป็นทาสีของพระนางสามาวดี

    วันหนึ่งท่านได้ฟังพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมและได้บรรลุเป็นพระโสดาบันบุคคล ท่านได้แสดงธรรมตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคแก่พระนางสามาวดีและหญิงบริวาร ๕๐๐ ท่านขุชชุตตราได้ดำเนินชีวิตในเพศฆราวาสตลอดชีวิต

    พระผู้มีพระภาคทรงยกย่องท่านอุบาสิกาขุชชุตตรา เป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลาย ผู้เป็นพหุสูต

    ชีวิตของท่านอุบาสิกาวิสาขาและท่านอุบาสิกาขุชชุตตรา เป็นตัวอย่างของสตรีผู้เลิศในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น

    ไม่ว่าหญิงหรือชายก็สามารถศึกษาและประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมได้

    พระนาม “อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” มาจากคำที่มีความหมายว่า“ผู้ทรงตรัสรู้ (รู้แจ้งอริยสัจจธรรม)”

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม,

    ความจริงของสภาพธรรมนั้นเป็นอริยสัจจธรรม เมื่อทรงตรัสรู้แล้วก็ได้ทรงแสดงธรรมแก่สัตว์โลกทั้งหลายตลอดพระชนม์ชีพเป็นเวลา ๔๕ ปี


    ผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรมก็ย่อมไม่เข้าใจความจริงของสภาพธรรม ที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน จึงยึดถือทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ บุคคล


    พระผู้มีพระภาคทรงแสดงหนทางอบรมเจริญปัญญาอย่างละเอียด
    ทรงแสดงเหตุ และปัจจัยที่ทำให้การอบรมปัญญาเจริญขึ้น ซึ่งโดยย่อ
    ก็คือ การฟังธรรมและเห็นประโยชน์ของการศึกษาธรรม

    เมื่อปัจจัยทั้งสองนี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ เนือง ๆ ปัญญาก็ย่อมอบรมเจริญขึ้นได้

    การอบรมเจริญปัญญานั้นไม่จำกัดวัย การศึกษา อาชีพ ความเป็นอยู่ ความสามารถทางโลก สถานภาพ สุขภาพ บุคลิกภาพ หรือเพศแต่อย่างใด


    ข้อความในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค นิพเพธิกปัญญาสูตร พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการนี้ อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป

    เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเป็นเครื่องชำแรกกิเลส

    ธรรม ๔ ประการ เป็นไฉน
    คือ การคบสัตบุรุษ ๑
    การฟังสัทธรรม ๑
    การกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย ๑
    การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๑

    เราควรจะรู้จุดประสงค์ของการฟังธรรมว่า มิใช่เพื่อตนเอง มิใช่เพื่อลาภสักการะ ชื่อเสียง มิใช่เพื่อการยกย่องว่าเป็นคนฉลาดมีปัญญา
    จุดประสงค์ที่แท้จริงนั้นเพื่อรู้จักตนเอง
    รู้ความจริงว่ายังไม่เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง
    เช่น ไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรมอย่างหนึ่ง และเสียงที่ปรากฏทางหูก็เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง เป็นต้น

    ความเข้าใจพระธรรม การอนุเคราะห์ผู้อื่นให้เข้าใจ และเห็นประโยชน์ของพระธรรมนั้นเป็นสาระสำคัญที่สุดในชีวิต

    การสงเคราะห์ช่วยเหลือสังคมนั้นไม่มีวันจบสิ้น และไม่สามารถให้เกิดความสงบสุขได้ เมื่อไม่เข้าใจพระธรรม ความทุกข์ก็จะบรรเทาและหมดสิ้นไปไม่ได้

    เพราะไม่รู้เหตุที่แท้จริงของปัญหาต่าง ๆ เหตุที่แท้จริงของปัญหาและความทุกข์ทั้งหลายนั้นก็คือ โลภะ โทสะ โมหะ



    พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงทุกขอริยสัจจะ ทุกขอริยสัจจะนั้นเป็นทุกข์ของสัตว์โลกทั้งปวง ไม่ใช่ว่าทุกข์ของชายก็อย่างหนึ่ง และทุกข์ของหญิงก็อีกอย่างหนึ่ง

    เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ของสัตว์โลกนั้นคือ โลภะความอยาก ความติดข้องต้องการโลกที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ

    พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงว่า

    ตัณหาคือโลภะ ความติดข้องนั้น เป็นเหตุของทุกข์

    พระองค์ทรงตรัสรู้เหตุของปัญหาทั้งหลายในโลก
    จึงทรงแสดง หนทางที่จะพ้นจากปัญหาทั้งปวงได้ คือ ปัญญา ความเข้าใจความจริงของโลก ซึ่งจะทำให้โลกที่เราอาศัยอยู่นี้เป็นโลกที่สงบยิ่งขึ้น

    ขอให้ทุกท่านสนใจศึกษาพระธรรมโดยละเอียดและถูกต้องยิ่งขึ้น

    เพื่อโลกจะได้สงบสุขด้วยการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้แล้ว.
    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


     

แชร์หน้านี้

Loading...