เหรียญบิน หลวงพ่อทรง - แพโบสถ์น้ำ หลวงตา (เล็ก) น. ๑๒๖๕

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย พี เสาวภา, 7 เมษายน 2008.

  1. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,289
    พื้นเรื่องเดิม

    ก่อนจะต่อกันไปลึกๆ ขอบอกก่อนว่า ผมจะเขียนเรื่องตามความเชื่อถือของผม ที่เชื่อมานานตั้งแต่ก่อนพบหลวงปู่พระครูบุญศรี การเชื่อนี้เป็นความเชื่อส่วนตน แต่มีหลักฐานอ้างอิงตามคำบอกเล่าของหลวงปู่ ซึ่งในตอนนั้น ผมเรียนซักถามไว้เป็นความรู้ส่วนตน ไม่ได้คิดจะเขียนให้คนอื่นอ่าน

    หลังจากผมฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่จะเป็นอาจารย์องค์แรกในชีวิตของผมที่เป็นฆราวาส และ ฝากตัวด้าน ไสยศาสตร์ ซึ่งบอกตามตรงเรียนมาไม่มาก เพราะตอนนั้นก็เริ่มมีอายุ มีภาระมาก เรียนมาแค่ตัวสองตัว ส่วนอาจารย์องค์แรกตอนบวชเป็นพระ ก็คือ พระอาจารย์แม้น ตอนบวชเป็นพระครั้งแรก ก็บวชที่วัดหน้าต่างนอก มี หลวงปู่เมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระอาจารย์แม้น และ พระอาจารย์อีกท่านที่ผมลืมชื่อท่านไปซ่ะแล้ว เป็นคู่สวด คือพระกรรมวาจาและพระอนุสาสนาจารย์ เพราะนานหลายสิบปีเลยลืมๆ และ ผมบวชแค่ระยะสั้นๆ แค่สองอาทิตย์ ตามเวลาที่ลามาบวชได้

    ผมเชื่อเรื่องกรรม ว่ากรรมทั้งหลายจะดึงดูดคนที่เคยมีกรรมร่วมกัน ทั้งกรรมดี กรรมชั่ว อย่างเช่นเมื่อทำกรรมดีร่วมกัน เคยเป็นศิษย์อาจารย์กันมา ยังไม่เข้าพระนิพพาน ยังวนเวียนอยู่ใน วัฏสงสาร ก็มาเกิดร่วมกัน แบบ ศิษย์ อาจารย์ หรือ แม่ พ่อ ลูก ร่วมกันอีก

    ในทางอุปมาอุปมัย ถ้าเคยทำชั่วๆร่วมกันมา คือ ทำกรรมชั่วต่อกันมา ก็ต้องเกิดมาล้างตากันต่อในชาติต่อไป ตามแรงกรรม แรงอาฆาต อันนี้น่าจะเห็นตัวอย่างกันมาหลายครั้ง

    ผมเองก็ต้องน่าจะเคยทำกรรมด้านดีไว้กับวัดหน้าต่างนอก เคยร่วมสร้าง ร่วมทำบุญไว้ โอกาศนี้ก็เลยต้องมาวนเวียนเป็นลูกศิษย์วัดหน้าต่างนอก อยู่หลายสิบปี ไปๆมาๆ ก็ครูบาอาจารย์ เทพยดา ที่นับถือก็อยู่วัดนี้นี่เอง และวัดนี้ มีปรมาจารย์ใหญ่ ที่ชื่อเสียง คุณธรรม ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรอย่างยิ่ง อยู่ท่านหนึ่ง ท่านนี้คือพระเดชพระคุณท่านนี้ คือ หลวงพ่อ จง นั่นเอง

    IMG.jpg
    ถ้าเอาแบบเข้าข้างกัน...แหะๆ ถ้านับพระสงฆ์ ที่ระดับ top ten ในประเทศไทยแล้ว เอาทั้งแบบ ที่ไม่มีสังขารอยู่แล้ว และยังที่มีสังขารอยู่ เอามา rating กันแบบ ฝรั่งทำ ด้านคุณธรรม ชื่อเสียง ความสามารถด้านอภิญญา ความเมตตาต่อ เหล่าสรรพสัตว์ ฯลฯที่แน่ๆคือมีสององค์ อันดับแรกคือ


    ท่านแรก
    ๑) หลวงพ่อทวด วัด ช้างให้ มาเต็งๆหนึ่ง แน่นอน ทั้งชื่อเสียง คุณธรรม ด้านอาวุโส ประสบการณ์ ด้านวัตถุมงคล ด้านราคา อันนี้ คงไม่มีใครเถียง ถึงมีคงไม่มาก ว่า หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ท่านเกรียงไกรเป็นอย่างยิ่งโปรดไปกระทั่ง ต่างประเทศ คนต่างชาติ ต่างศาสนา ต่างได้รับ คุณธรรมของท่านมาโดยทั่วถ้วนหน้า


    ๒) ตามจี้มาแบบหายใจรดต้นคอ ไม่มีทางพลาด สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) พรหมรังสี แน่นอน องค์นี้ไม่ต้องโฆษณามาก เพราะดังสุดๆ พระเครื่องของท่าน อันดับหนึ่ง ด้าน อิทธิฤทธิ์ บุญญฤทธิ์ ด้านราคา ด้านบารมี จาระนัยไม่หมด ศิษย์มีทุกชาติ ทุกภาษา บารมีรอบโลก

    องค์ที่สาม ไปถึงสิบ อันนี้แหละ ต้องมาว่ากัน เช่น หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อ ศุข วัดมะขามเฒ่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ครูบาศรีวิชัย หลวงปู่แหวน หลวงปู่ฝั้น หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ หลวงปู่ บุญวัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางฯ อีกเหมือนกัน ท่านพ่อลี หลวงพ่อวัดปากน้ำ หลวงพ่อปาน ( ปานแรก วัดบางเหี้ย ) หลวงพ่อ ปาน วัดบางนมโค และน่าจะมีอีกหลายหลวงปู่หลวงพ่อ ฯลฯ ถ้าจะเอามาแสดงกันตจิงๆ

    แต่ถ้าถามผมแบบเชียร์กันเอง...แหะๆ อันดับสาม ต้องเป็น หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ครับไม่มีพลาด ไม่ได้เชียร์ครูบาอาจารย์ ตัวเอง แต่หลวงพ่อ จง ท่านมีครบคุณสมบัติครบถ้วน แบบสูงสุดคืนสู่สามัญ เมตตา แบบพระโพธิสัตว์ ทำให้และให้ทุกอย่างที่ญาติโยมขอ ขนาดตายไปแล้ว โยมมากัดนิ้วมือไปบูชาก็ให้ครับ ที่ให้ไม่ได้ก็ยกเว้นเดือนกับดาว ซึ่งเหาะไปเอามาไม่ได้เท่านั้น นอกนั้น อยากได้อะไรก็บอก ส่วนด้านอภิญญามีครบ ทำได้ แบบจิ้บๆ เป่า พ้วงเดียว เอาไปติดตัวได้มีครบ คงกระพัน มหาอุด ชาตรี แคล้วคลาด เมตตา ส่วนด้าน คุณธรรม ธรรมมะ ท่านเป็นพระอริยบุคคล ระดับใดระดับหนึ่งแน่นอน ( บำเพ็ญบารมีด้านพระ โพธิสัตว์ ) ช่วยเขาทุกอย่างขนาด นอนป่วยก็ช่วย กำลังสวดมนต์อยู่ ก็หยุดมาช่วยเขา ลูกศิษย์มีเพียบ พระดังๆ ยุคต่อมา มาสืบประวัติดูกัน ต่างเป็นลูกศิษย์ หลวงพ่อจงแทบทั้งสิ้น จะมีบุญวาสนาไปเรียนอะไรมาจากหลวงพ่อจงเท่านั้น ความรู้ด้านปรมาจารย์ คาถาอาคม พิธีกรรม มีเพียบ ใครไปเรียนด้วยไม่มีทางได้มาหมด เคยธุดงค์ ไปไกลถึงพม่า ช่วยทหารๆหาญยุคสงครามไว้จนนับไม่ถ้วน ได้โปรดถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ขนาดถูกนิมนต์เข้าไปวัง มีตราตั้ง มอบมาให้ติดรถ เรือ ว่าเข้าวังได้ทุกเวลา เครื่องรางของขลังมีเพียบ ประสบการณ์เพียบ ผ่านศึกสงครามหนักๆมาแล้วทั้งสิ้น


    เหรียญ เงินลงยา ปี ๒๔๘๕ เซียนใหญ่ขายเหรียญล่ะ ล้านห้า เครื่องรางของขลัง คนก็ยังหากันอยู่จนวินาทีนี้ เก่งด้านน้ำมนต์ เก่งด้านคงกระพันชาตรี เก่งด้านเมตตา ค้าขาย ด้านพระศาสนา และด้านธรรมมะ พระในยุคนั้น ต่าง ยอม หลวงพ่อ จง ทั้งสิ้น เป็นคนนอบน้อมถ่อมตน ไม่อวดอภินิหาร ไม่โอ้อวดคุณธรรม พูดน้อย ( ต่อยหนัก อันนี้ผมว่าเอง หมายความว่า ทำของและวิชาขลังมาก ) โอ้ย จิปาถะ จาระไนไม่มีทางหมด ต้องว่ากันอีกเป็นสิบๆหน้า...แหะๆ ก็จะไม่ได้ครึ่งที่หลวงพ่อจงท่านมี

    แล้วหลวงพ่อจงมาเกี่ยวอะไรกับหลวงปู่พระครูบุญศรีครับ ....แหะๆ เกี่ยวครับ

    หลวงพ่อจงเป็นอาจารย์องค์หนึ่งของหลวงปู่บุญศรีครับ และเป็นองค์สำคัญ ต่อจาก หลวงพ่อปานและหลวงปู่สุ่น ด้วยครับ

    ตามประวัติหลวงปู่พระครูบุญศรี ท่านมาเรียนและโตที่อ่างทอง ถ้าความเชื่อของผมถูก น่าจะประมาณปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ถึง ๒๔๖๐ กว่า จนครบบวช หลวงปู่ท่าน เป็นคนมีกระตังค์ครับ ครอบครัวท่านเป็นเศรษฐี เป็นคนมีการศึกษามาตั้งแต่เด็ก เรียนจบ ถึง ม.๓ ตอนพ.ศ.นั้นมาเทียบยุคนี้ น่าจะใกล้ระดับ ปริญญา ตรี ออกมาเป็นครูเข้าได้ ชาติตระกูลมี คือ ตระกูล สังขะพานิช กริยามารยาท เป็นคนมีชาติตระกูล ไม่ใช่ตาสี ตาสา ครอบครัวท่าน ค้าขายทางเรือ ขนข้าวมาขาย กทม และ ขนของจาก กทม ไปขายที่ชัยนาท เศรษฐีน่ะแหละ เพราะฉนั้นที่ท่านมาบวชไม่ใช่ บวชตามประเพณี หรือ แก้บล แต่บวชเพราะอยากเรียน วิชาครับทางพระครับ เพราะทางโลกมีครบแล้ว และตามประวัติ ไม่มีเมียมาก่อนน่ะครับ บริสุทธิ์มาตั้งแต่ฆราวาส

    และถ้าท่านบวช ตามปี ที่ผมประมาณ คือ ๒๔๗๑ ในยุคนั้น ท่านก็ยังนั่งเรือของครอบครัวท่านเที่ยว ธุดงค์อยู่ครับ ท่านบอกผมว่า

    ท่านบอกว่า ท่านเกิดที่วัดสิงห์ และคุณยายอยู่สรรพยา เป็นผู้บวชให้ท่าน ท่านเคยค้าขายที่ตลาด บ้านหลวง จ. อ่างทอง หลัง พ.ศ. ๒๔๗๕ ( อายุ ๒๗ ปี ??? ) ค้าขายทางเรือมาประมาณ ๑๐ ปี เคยเอาข้าวมาขายที่ อยุธยา และ กรุงเทพฯ เคยนั่งเรือกลไฟมา กทม และเคยผูกเรือโยงที่บ้านแขก? ท่านบอกว่าที่ กทม ในยุคนั้น มีน้ำก็อก ทุกถนน และมีต้นไม้เยอะทุกถนน ท่านยังเคยมาวัดหน้าต่างนอก ( ทางเรือ ) และรู้จักหลวงพ่อสุ่นด้วย อันนี้อาจจะเป็นอีกทาง ที่รู้จักกันกับหลวงพ่อปาน หลวงพ่อจงและพระเดชพระคุณ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ผมหาข้อมูลหลวงปู่สุ่น ปฐมปรมาจารย์สายนี้ไม่ได้เลย พระเครื่องสักองค์ยังหาไม่ได้เพราะท่านเป็นพระยุคเก่ามาก ที่ยากทราบคือว่า ท่านล่ะสังขาร พ.ศ. อะไร จะได้ กำหนดจุดให้ชัดเข้าว่า หลวงปู่ บุญศรี ไปหาหลวงปู่สุ่น ท่าน พ.ศ. อะไร และในการไปนั้น ได้ไปหา หลวงพ่อ ปาน และ หลวงพ่อจงด้วยครับ และคงไม่ได้ไปแบบแวะเที่ยวเล่นธรรมดา ส่วนพระเดชพระคุณ หลวงพ่อปานนั้น ล่ะสังขารเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ ซึ่งหลวงปู่บุญศรี เกิดทัน และ โตทันแบบสบายๆ

    ตามประวัติของหลวงปู่ ท่านบวชกับหลวงปู่ บุญธรรม ( พระมอญ ) บวชด้วยกัน ๕ รูป สาเหตุที่บวชเพราะอยากจะเรียนวิชา หลวงปู่บุญธรรม ท่านบอกว่าต้องบวช ผมไม่ได้ถามว่า บวชแล้วต้องสึกหรือไม่ ลืมถามเพราะไม่คิดว่าจะต้องมาเขียนเรื่องใน พ.ศ.นี้ ใน ๕ รูปที่บวช เหลือ หลวงปู่ บุญศรี องค์ เดียวที่เหลือ ( อันนี้ อาจจะหมายความว่ายังมีชีวิตอยู่ในตอนที่เล่า หรือ เหลือรอดได้วิชา มาองค์เดียว ) หลวงปู่ท่านชอบเรียนวิชาครับ วิชาที่เรียนมา เป็นด้านน้ำมนต์ ( น้ำมนต์ เป็นวิชาเอกของหลวงปู่บุญศรี ) ด้าน หมอยา และ ด้านคงกระพัน สักเสก เลข ยันต์

    หลวงปู่ชอบเรียนวิชาครับ ชอบศึกษา ชอบอ่าน ชอบค้นคว้า ทดลอง และการที่ท่านไปหา หลวงปู่สุ่น และต่อไปหลวงพ่อ ปาน และ หลวงพ่อ จง ก็คงไปเรียนวิชาครับ ซึ่งต่อมา หลวงปู่บุญศรีก็เป็นหมอยาในยุคนั้นครับ เก่งด้านน้ำมนต์ ด้านหมอยา และ สักอักขระเลขยันต์ เหมือนตามสมัยนิยม ความนิยม สำหรับปรมาจารย์ในยุคนั้น

    การที่หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ เอ่ยถึง คุณแม่ประทุม ว่าให้มาหา หลวงปู่ พระครู บุญศรี ก็คงเป็นเพราะท่าน คงเคยรู้จักกัน และ เป็นศิษย์ อาจารย์เดียวกัน สายเดียวกัน และ รู้คุณธรรมของกันและกัน

    IMG_0689.JPG IMG_0692.JPG คู่กัน.JPG


    โบถส์เก่า.JPG

    โบถส์เก่าสมัยหลวงพ่อจง ที่ผมเคยบวช ตอนนี้กลายเป็นพระวิหาร เพราะมีโบถส์ใหม่ มีพระสำคัญ คือ หลวงพ่อ สัพพัญญู พระประธานศักสิทธิ์อยู่ และหลวงปู่บุญศรีต้องเคยมายังสถานที่แห่งนี้

    ยังมีต่อน่ะครับ กำลังจะเข้าเรื่อง ข้างในไปเรื่อยๆและมันส์อย่างยิ่ง ผมจะเขียนแบบหมดเปลือก ถวายหลวงปู่อาจารย์ผม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2020
  2. MooDam

    MooDam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,604
    ค่าพลัง:
    +4,845
    กราบ กราบ กราบ หลวงปู่ทรง หลวงปู่บุญศรี ครับ ...

    สวัสดีครับพี่พี รออ่านอยู่นะครับ :)
     
  3. nu_wa

    nu_wa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,740
    ค่าพลัง:
    +10,698
    กราบ กราบ กราบ หลวงพ่อทรง หลวงปู่บุญศรีครับ
     
  4. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,289
    หลวงปู่พระครูบุญศรี ( ต่อ )

    เอาประเด็นที่ผมค้นคว้ามาว่ากันต่อน่ะครับ

    ผมเองต้องออกตัวก่อนว่า ครอบครัวผม นับถือ หลวงพ่อปาน มาตั้งแต่ยังเด็ก และ ผมคงเคยเล่ามาบ้าง เรื่องคุณยาย ผมไปหาหลวงปู่ปานขอทำการรักษาคุณป้าของผม การไปในยุคนั้น นั่งเรือไปครับ นั่งไปตอนเช้าและ นั่งกลับในตอนเย็น ถ้ากลับไม่ทันต้องรอไปอีกวันครับ และเมื่อไปหาหลวงพ่อปาน ก็แวะไปกราบ อาจารย์ ซุ่ม ด้วย อาจารย์ซุ่มนี้คือ ฉายาของ หลวงพ่อจงครับ เพราะเก่ง แต่ไม่แสดงตน ซุ่มๆ เอา...แหะๆ

    หลวงพ่อจงมีอิทธิพลกับชีวิตมาตั้งแต่ยังเด็ก ครับ ในตอนเด็กๆ พอไปเที่ยวงานวัด จะมีงานปาหี่ขายยา แสดงกล และขายของ ขายยา เขามีรักยมหลวงพ่อ จงขายด้วยครับ ( เก็ แท้ ก็ไม่ทราบ ...แหะๆ แต่ยุคนั้น ทำมาแล้วเอาไปให้หลวงพ่อจงท่านเป่าพ้วงก็พอแล้ว เอาออกจำหน่ายได้ ยังไม่น่าจะมีปลอมครับ ยายผมไม่ยอมซื้อให้ครับ คงไม่อยากให้เลี้ยงผี ขอกี่ทีก็อด มาจนบัดนี้ยังไม่มีรักยม ของหลวงพ่อจงในครอบครองเลยครับ ...แหะๆ นอกจากนั้นมีแหวนหลวงพ่อจง ที่คุณยายจอมคาถาของผมบูชา แหวนนี้ก็ยังอยู่แต่ท้องแหวนหักไป

    ส่วนสาเหตุที่มีชื่อ อาจารย์ซุ่ม แบบนี้ คือ เก่งแต่ซุ่ม ไม่แสดงตัว มาตั้งแต่ยุคหลวงพ่อปานยังมีชื่อเสียงมาก ผมฟังคนเก่าแก่ แถวบ้านหน้าไม้เล่ากันมาน่ะครับ และคนที่เล่าต่อให้ผม ก็เป็นพระอาวุโสของวัดหน้าต่างนอก ซึ่งฟังต่อมาจากโยมพ่อ ญาติๆผู้ใหญ่ของท่านอีกที เรื่องมีว่า มีพระเกจิฯ องค์หนึ่ง คงมีความสามารถมากพอสมควร ย้ายมาอยู่วัดแถวๆ บางไทร /บางบาล ผมจำได้แว็บๆว่าเป็นวัดบางยี่โท วัดนี้เคยมีพระเก่งน่ะครับ ชื่อ หลวงพ่อห่วง วัดบางยี่โท แต่ตอนนี้ยังไม่เล่า เพราะเป็นพระยุคเก่ามาก

    พระองค์นี้พอท่านย้ายมา ก็บอกตามภาษาชาวบ้านก็แล้วน่ะครับ ว่าอยากดังน่ะครับ อยากแสดงออกและมีชื่อเสียง ความสามารถให้คนเห็น อาจจะด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม แต่ที่นี้ในยุคนั้น แถบนี้ ละแวกนี้ มีพระดังคับฟ้าอยู่แล้วสององค์คือ หลวงพ่อปาน และหลวงพ่อจง เมื่ออยากมาดังบ้าง ก็ตองหามุขล่ะครับ เพราะคนส่วนใหญ่ มาหาแต่หลวงพ่อ ปาน และ หลวงพ่อจง จะไปเน้นด้านการรักษาก็ไปหาหลวงพ่อปาน มาเน้นด้านเครื่องรางของขลังก็ไปหาหลวงพ่อจง

    จะมาแข่งบารมีกับพระสององค์ ถ้ายังรออยู่ที่วัดคงยาก เพราะคนคงไม่มา

    หลวงพ่อองค์นี้ ก็ต้องใช้วิธีลัด คือ นิมนต์ พระทั้งสององค์มาที่วัด ในงานของวัดตามข่าวกรองไม่แน่ใจ แต่ เป็นงานของวัด และ น่าจะเป็นงานพุทธาภิเศก เครื่องราง ของขลัง

    ทั้งหลวงพ่อปาน และ หลวงพ่อจงรับนิมนต์ และ ถ้าท่านอ่านประวัติของพระทั้งสองรูป ท่านเป็นพระที่เป็นพระง่ายๆน่ะครับ ใครมานิมนต์ ถ้าว่าง ไม่ชนกัน ก็ไปครับ จะเป็นใครนิมนต์ก็ตามรวย จน ไม่มีปฏิเสธ จะโปรดเขาเสมอ

    ตามกำหนด หลวงพ่อองค์นี้จะเอาเรือยนต์ไปรับหลวงพ่อปาน และ หลวงพ่อจง วัดหลวงพ่อปานไกลกว่า ท่านก็ไปรับมาก่อน พอมาถึงก็แวะรับหลวงพ่อจง วัดหลวงพ่อจงมีคนมามาก แขกเยอะน่ะแหละครับ หลวงพ่อจงท่านก็เลยบอกให้ไปก่อน หลวงพ่อจงท่านจะตามไปเองทีหลัง

    ก็ตามนั้นครับ หลวงพ่อและหลวงพ่อปานก็ออกเรือมาจนมาถึงวัด พอขึ้นศาลา ก็เจอหลวงพ่อจงนั่งรออยู่บนศาลาแล้ว คงไม่ต้องเล่าว่าหลวงพ่อจงท่านเดินมา หรือนั่งรถมาน่ะครับ เพราะยุคนั้นยังไม่ถนนให้รถวิ่งเลย ส่วนเรื่องเดิน และว่ายข้ามแม่น้ำไปอีกฝังน่ะ ลืมไปได้เลย ตามเรื่องเล่า หลวงพ่อองค์นี้ท่านหน้าถอดสี ส่วนหลวงพ่อปานหัวเราะหึๆ

    และตั้งแต่วันนั้นมา หลวงพ่อองค์นี้ก็ย้ายตัวเองออกไปจาก บ่างไทรครับ เพราะอยู่ไปก็ไม่ดังครับ ไปหากินที่อื่น น่าจะง่ายกว่า

    ก็แสดงให้เห็นว่า หลวงพ่อจงน่ะ ทำแค่นี้เรื่องจิ้บๆ และทำได้และทำบ่อยซ่ะด้วย และท่านยิ่งรู้ลึกไปกว่านั่นซ่ะอีก ว่าหลวงพ่อองค์นี้น่ะ นิมนต์ท่านมาทำไม เลยทำให้ดูซ่ะเลย

    ผมขอเล่าไปพลางๆ ปูพื้นไปพลางๆ ให้ท่านเห็นภาพ และจะเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับหลวงปู่บุญศรีอย่างใดจะสรุปให้ทราบต่อไปว่า ศิษย์และอาจารย์ท่านนี้ คล้ายๆกันครับ

    IMG_0033.jpg
    จากรูป เป็นภาพหลวงปู่บุญศรี กำลังนั่งรับแขกครับ แจกแหลก ทั้งพระ เครื่องรางของขลังและน้ำมนต์ แจกฟรีครับ ไม่เคยตั้งราคา แจกแค่หมด หมดก็มีลูกศิษย์ทำมาให้แจกอีก ไม่มีวันหมดครับ

    มีตัวละครสำคัญๆ อยู่ในนั้น สองสามท่าน ผมจะเล่าไปเรื่อยๆน่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2011
  5. MooDam

    MooDam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,604
    ค่าพลัง:
    +4,845
    ยังตามอ่านอยู่ครับพี่ กำลังสนุกเลย :) เสาร์-อาทิตย์มีกำลังอ่านเยอะหน่อย เพราะไม่ต้องไปทำงานครับ...
     
  6. เอก รถไฟ

    เอก รถไฟ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +8
    ท่านพี่อย่ากั๊กข้อมูลไว้วัยรุ่นแก่ใจร้อนครับขออนุญาตเก็บข้อมูลและภาพครับหลังจากแอบอ่านมานานแล้ว
     
  7. noppornl

    noppornl เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,602
    ค่าพลัง:
    +8,010
    เข้ามาตามอ่านเก็บความรู้ครับ
    แต่ก็มีข้อสงสัยว่า เมื่อก่อนวัดหน้าต่างที่หลวงพ่อจงท่านจำพรรษา ยังเป็นวัดเดียวอยู่ แต่เดี๋ยวนี้(อาจจะนานมาแล้ว ผมไม่แน่ใจ)แยกเป็น นอก กับ ใน ไม่ทราบว่าพี่พีพอจะทราบที่มาไหมครับ
     
  8. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,289
    หลวงปู่พระครูบุญศรี ( ต่อ )

    ผมไปบวชครั้งแรกที่วัดหน้าต่างนอก น่าจะประมาณ ๒๐ ปีมาแล้ว น่าจะประมาณ ๒๕๓๓/๓๔ จำแน่ๆไม่ได้ แต่ก่อนพระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดท่าซุงมรณภาพ ล่ะสังขารไปในปี ๒๕๓๕ การบวชคราวนั้นสั้น เพราะยังทำงานบริษัทอยู่ ลามาได้แค่นั้น ไม่เหมือนครั้งสอง ลาออกเลย เลิก.....เลิก ทำงาน เลิกพูดมาก เลยบวชได้นานหลายเดือน แต่ยังมีกรรมรออยู่ ต้องกลับมาผจญภัยต่อ...แหะๆ

    ในการบวชครั้งแรก ผมซึ่งสัมผัสกับความเมตตาของหลวงพ่อจงมาตั้งแต่เด็กก็ยิ่งทราบซึ้งมากขึ้น และอธิษฐานว่า ถ้าในประเทศไทยยังมีพระแบบหลวงพ่อจงอยู่ ขอให้ผมได้มีบุญวาสนา และจะขอเป็นศิษย์ของท่าน สวดมนต์ไหว้พระ ทำกรรมฐานครั้งใดก็นึกขอให้เจอพระแบบหลวงพ่อจง สักครั้งในชีวิต ตอนนี้ก็ยังปราถนาอยู่ ถ้ายังมีพระแบบหลวงพ่อจงในส่วนใดของประเทศไทย จะไปทันที อยากเจอพระแบบหลวงพ่อจงอีกสักองค์ ก่อนจะตายไป เพราะพระแนวนี้ผมชอบมากถูกจริต เก่งทั้งบู้ และ บุ้น มีคาถา อาคม มีอภิญญา มีธรรมมะ ครบเครื่อง รอบรู้ ทั้งทางโลก ทางธรรม รู้รอบ แต่ไม่พูดมาก ไม่เทศมาก สมถะ ไม่ก่อสร้างให้เหนื่อยกันไปหมด การสร้างวัดนี่เหนื่อยน่ะครับ แบบพระเดชพระคุณ หลวงพ่อปาน หลวงพ่อเดิม มีบารมีสูง สร้างมาหลายวัด ไม่ค่อยได้พักผ่อนหลับนอนหรอกครับ อย่างเราๆท่านๆ อยู่เงียบๆ เจริญ สมถะ เจริญสติ ดีกว่า การสร้างก็สร้างบ้างตามสมควร ตามกำลัง

    ผมอธิษฐานแบบนี้ จวบจนมาเจอ หลวงปู่พระครูบุญศรี กว่าจะมาเจอท่าน ผมอายุก็สี่สิบเข้าไปแล้ว ส่วนหลวงปู่ น่ะ เกือบร้อย หรือ ร้อยกว่าไปเลย เรียกว่า แก่มากแล้ว ส่วนผมน่ะเริ่มแก่ มาเจอกันแค่ไม่กี่ปี น้อยนิด ก็จากกันอีกแล้ว เราอาจจะเจอกัน และ จากกันมาหลายชาติแล้ว แต่จากกันชาตินี้ ผมคงไม่ได้เจอท่านอีกแล้ว เพราะท่านคงไปไกลมาก มากจนผม ไม่มีทางได้พบท่านอีกด้วยกายเนื้ออีกแล้ว ...แหะๆ

    เมื่อผมได้เจอสิ่งที่ผมหามาจนชั่วชีวิต ถ้าท่านรู้จักคนแบบผม ซึ่งไม่ใช่วีรบุรุษอะไรแค่วิศวกรแก่ๆคนหนึ่ง แต่สิ่งไหนหรือ อะไร ที่ผมหามานานแล้ว แล้วเมื่อมาเจอ ผมไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือ ให้เอาชีวิต ความลำบาก เข้าแลกก็ต้องเอา จากนั้นการเดินทางระยะไกลของผมก็เริ่มขึ้น ผมขับรถไป พยุหะคีรี ทุกอาทิตย์ ไปเป็นปีๆ ถ้ามีวันหยุดระหว่าง เสาร์อาทิตย์ก็ขับไปอีก ขับไปกลับ ห้า หก ร้อยกิโล บางทีถึงพันกิโล ถ้าไปธุระ ขับจนชิน ขับจนรู้ทุกโค้ง แทบจะรู้ทุกต้นไม้ข้างทาง รู้ทุกปั้มท์ที่จอดทานข้าว เติมน้ำมัน รู้ทุกจุดที่ตำรวจดัก ( จนซื้อเรดาร์มาติดรถอันหนึ่ง เอาไว้ ดักสัญญาณ ตำรวจ ตอนนี้ใช้ไม่ได้ เพราะตำรวจไปกล้องดิจิทัลแล้ว ไม่ส่งสัญญานมา...แหะๆ เราตรวจไม่ได้)และไม่เคยมีอุบัติเหตุ รถเสีย หรือ ถูกตรวจ ถูกค้น ราบรื่นมาก จนเข็มไมล์รถพุ่งพรวด จนต้องซื้อรถคันไหม่ เอาแบบที่ปลอดภัย ( รถฝรั่งอุปไม่บอกยี่ห้อ ) บางทีมีธุระ ตื่นแต่ตีสาม ตีสี่ ไปถึงสว่างที่วัด ใส่บาตรท่านเสร็จ ( ถวายอาหารเช้านั่นแหละ ) แล้วได้กราบท่านก็ต้องขับรถกลับมา กทม ทำธุระต่อ

    มีเพื่อนไปด้วยบ้าง จนไปบ่อยมาก เขาขี้เกียจไปเป็นเพื่อน ก็ไปคนเดียว และเอาศรัทธาเป็นเพื่อน ผมประเมิน ว่า สี่ ห้าปี ที่ไปหาท่าน เกินสองแสนกิโลสบายๆ แน่นอน แน่นอน ขับจนรถเก่าคามือไปหนึ่งคัน เป็นรถใหม่ของพ่อตาผมซื้อแบบมั่วนิ่มๆ เอามาครอบครองต่อ ขับจนเก่าจนเลยสองแสนกิโล เลยโล้ะกลับไปให้พ่อตา อีกคันที่ซื้อมาใหม่ก็ขับจนเก่าแล้วขายไป เพราะเริ่มจะซ่อมมากขึ้น

    พระแบบหลวงปู่ ยิ่งรู้จัก ยิ่งนับถือ ยิ่งใกล้ชิด ยิ่งรัก และก็ยิ่งรู้ว่า ที่รู้จักท่านนี้ รู้น้อยมาก ว่า ท่านรู้อะไร ไปทำอะไรมา เรายังไม่รู้อีกเยอะ

    ผมไปหาท่าน บางทีไปนอนค้างที่วัด พาท่านไปหาหมอ พาไปเที่ยว ท่านนอน ผมนวด ( ท่านชอบนวด...แหะๆ แบบคนแก่ทั้งหลาย ) ไปจนท่านชิน หน้า โผล่หน้าไป พอท่านเห็นก็แค่ทักว่า มาแล้วเหรอ หรือบางทีมองด้วยสายตา ส่วนคำถามที่ผมถามท่านก็คำถามเดิมๆ หลวงปู่ สบายดีไหมครับ จำวัดดีไหมครับ ฉันดีไหมครับ ถ่ายดีไหมครับ ( คนแก่จะท้องผูก ) คิดถึงน่ะครับ ท่านก็พยักหน้าหงึกหงัก ยิ้มๆ อือๆ ออๆ ไปตามอุปนิสัยของท่าน

    IMG_0015.jpg

    จากรูป เป็นรูปหลวงปู่ กับ พระบูชาต้นแบบ ( อยู่ที่ผม ) และแผ่นทองชนวนที่ท่านจารส่วนหนึ่ง ท่านลงหมึกให้ทุกแผ่น เสกซ้ำๆ ทุกครั้งที่ผมไปหาท่าน ทองแผ่นแรกๆ น่าจะถูกเสกเป็นร้อยกว่าครั้งขึ้นไป กว่าจะมาหลอมทำพระ

    และสังเกตุหลวงปู่หน่อยน่ะครับ คนอายุร่วมร้อย หรือ อาจจะร้อยกว่า ผมยังดำสนิท หาผมขาวยาก ผมน่ะ อายุแค่ครึ่งของหลวงปู่ ผมเริ่มขาว เข้าไปจะครึ่งบ้านแล้ว...เหอๆ

    ถ้าท่านว่าไม่แปลก หาคนที่สองมาให้ผมดูหน่อยน่ะครับ เอาแค่ อายุ เจ็ดสิบก็พอ และไม่เอาย้อมผมมาน่ะจ้ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2011
  9. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,289

    แหะๆ....ผมก็แก่เหมือนกัน กั้กไว้ตั้งสิบกว่าปีแล้ว ขอค่อยๆปล่อยน่ะท่าน ปล่อยเร็วเดี๋ยวหัวใจวาย
     
  10. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,289

    เป็นสองวัดแยกกันมานานแล้วครับ มาแต่โบราณก่อนเราเกิด

    หลวงพ่อจงท่านบวชที่วัดในครับ ตอนที่พระอุปัชฌาย์คือ หลวงพ่อสุ่น แล้วมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดนอก ในภายหลัง

    ส่วนวัดใน ต่อมาก็ได้ หลวงปู่นิล น้องชายแท้ๆ ของหลวงพ่อมา ครองวัดครับ ไม่เคยเป็นวัดเดียวกันครับ เป็นวัดสองวัดติดกันเลย แล้วถนนมาตัดที่หลัง ตัดเป็นคนล่ะฟาก แต่วัดนอก ยังมีที่ดินติดแม่น้ำ และติดวัดในอยู่ มีคำเรียกแบบไม่เป็นทางการ ของพวกศิษย์ ว่าวัดกลางครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2011
  11. puedpunon

    puedpunon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    7,130
    ค่าพลัง:
    +16,093
    มวลสารเหมือนกับที่อ.อนันต์นำไปบรรจุด้านหลังพระเลยครับ ซึ่งเป็นมวลสารที่สูงจริงๆ
     
  12. ญานธรรม

    ญานธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,936
    ค่าพลัง:
    +14,705
    ดีจริงๆครับ ข้อมูลที่อยากรู้มานานมาก
    รอฟังไปเรื่อยๆครับ ถ้าอ่านหมดเดี๋ยวไม่มันครับ
     
  13. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,289
    ฝากตัวเป็นศิษย์

    หลังจากผมพบหลวงปู่ น่าจะร่วมปี กว่าเกือบสองปี กับระยะทางการขับรถ หลายหมื่นกิโล ผมก็กราบขอความเมตตาให้ท่านรับไว้เป็นศิษย์ ท่านตกลงด้วยความยินดีและห้เตรียม ดอกไม้ธูปเทียนมา ให้มาในวันพฤห้ส และบอกตามตรงผมลืมวันที่ซ่ะแล้ว ...แหะๆ ผมต้องลางานแล้วขับรถมาเอง เนื่องจากเป็นวันธรรมดา มาคนเดียว ผมเตรียมดอกไม้ พวงมาลัย ธูปเทียน แพ และเงินค่าครู ลืมอีกเหมือนกันว่าเท่าไหร่ แต่ ประมาณ หก สลึง หรือ สิบ สลึง แค่นั้น ไปถึงก็เช้าแล้ว หลวงปู่ท่านฉันมื้อเดียว ยังไม่ได้ฉัน ผมเตรียมของไปถวาย ท่านบอกว่า เอาเลย เช้านี้ ฤถษ์ดี

    ผมประเคนดอกไม้ ธูปเทียน เงินค่าครูให้ท่าน แบบง่ายๆ ตามที่ผมเคยบันทึกไว้

    ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงปู่พระครูบุญศรี ได้เมตตา ครอบครูและรับผมเป็นศิษย์โดย เป็นวิธีแบบโบราณ รับดอกไม้ธูปเทียนแพแล้วท่านเอานิ้วลากเส้นยันต์ ตั้งแต่ศรีษะ คิ้ว หู ปาก คอ และลากเส้นสังวาลย์ ที่บ่าและคอ ทั่วร่างกาย ซึ่งผมเสียดายมากที่ไม่ได้อัดเทปไว้ และในวันนั้นผมได้สาบานกับท่านว่า จะนับถือท่านเหมือนกับนับถือคุณแม่คุณพ่อหรือ บุพการีของผม

    นอกจากนั้น ผมได้ถวายลูกของผมเป็นลูกของหลวงปู่พระครูบุญศรี ซึ่งท่านได้อุ้มรับไว้ แล้วมอบกลับมาให้ผมว่า ฝากเลี้ยงไว้ให้ด้วยน่ะ ซึ่งผมก็เลี้ยงเขาอย่างดีด้วยว่าเป็นสายเลือดผม และเป็นลูกบุญธรรมของพระอาจารย์ผม ที่ผมเอ่ยถึงหลวงปู่พระครูบุญศรีแล้วนี้ มาจากสาเหตุว่า เมื่อหลวงปู่พระครูบุญศรีล่ะสังขารไปแล้ว ผมคิดถึงท่านทุกวัน หาใครแบบนี้ไม่มีอีกแล้ว ในแผ่นดินนี้ สำหรับผม


    พอถวายดอกไม้ ธูปเทียน เงินค่าครู ท่านให้นั่งพนมมือ จากนั้นท่านก็ให้ผม ท่องนะโมสามจบ แล้วให้ท่อง คำนมัสการพระไตรสรณคมณ์ พอเสร็จท่านให้นั่งพนมมือไว้

    จากนั้น ท่านก็เริ่ม ท่องโองการ ปากเปล่า ยาวมาก บอกตามตรงผมกำลังตื่นเต้น และนานแล้วจำไม่ได้ ไม่ได้บันทึกเทปไว้ แต่จำได้รางๆ ในตอนที่ท่านท่องโองการ ท่านก็เอานิ้วชี้มือขวาของท่านลากยันต์ไปตามร่างกายของผม

    ในโองการนั้น มีการเชิญ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระสาวก พระครูฤาษี เทพยดามาเพียบ นอกนั้นยังมี ครูพักลักจำด้วย

    ตัวอย่างว่าตอนท่านเชิญ พระโมคคัลลาน์มที่คิ้ว ท่านก็เอานิ้วมาวนที่คิ้ว ตอนท่านเชิญพญานาค ( บอกชื่อด้วย ) มาเป็นสายสังวาลย์ ท่านเอานิ้วมาลากเป็นสายสังวาลย์ ที่หน้าอก และที่ผมจำได้แม่นตอนท่านเชิญพระพายมาสถิตย์ที่ปากให้เป็นลมปาก ท่านเอานิ้วชี้ท่านมาวนที่ปาก ผมเองกำลังตื่นเต้น และ หนาววูบวาบไปทั่วร่างกายที่ท่านเอานิ้วลากไป นอกนั้นยังเชิญ พระสาวกมาสถิตย์ที่ดวงตา ลืมชื่อซ่ะแล้ว เชิญมาสถิตย์ที่หู ซ้ายขวา ศรีษะ กระหม่อม หน้าผาก คาง ที่คิ้ว ที่ตา ที่จมูก เป็นชื่อ พระอัครสาวก เช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลาห์ พระ อานนท์ พระ อุบาลี พระอนุรุท พระสิวลี และยังมีพระพรหม พระนารายณ์ แม่ธรณี แม่คงคา พระกาฬ พระครูฤาษี ( บอกชื่อ ) นอกจากนั้น ยังมีครูพระสงฆ์ หลวงปู่ บุญธรรม และครู ฆราวาส แต่บอกตามตรงจำไม่ได้ว่ามีชื่อ หลวงพ่อ ปาน หรือ หลวงพ่อ จง และผมจำจากความจำ อาจจะเลือนๆ หลงๆรายละเอียดไปบ้าง แต่ใจความเป็นแบบนี้แหละครับ

    โองการนี้ยาวมากพอสมควร กว่าจะจบทั่วทั้งร่างกาย และลงท้าย ท่านให้กำมือขวาท่าเขียน แล้วเอามือขวาท่านมาจับ ลากยันต์ครูให้เป็นปฐม ตอนนั้ผมกำลังตื่นเต้น ลืมไปว่าอะไร แต่มาทบทวนที่หลังคงเป็นยันต์นะ ตัวปฐม ลงแบบ นะ หน้าทอง ของท่าน และน่าจะเป็นยันต์เดียวที่ผม เรียนจากหลวงปู่มาแบบเป็นทางการ...แหะๆ

    เรียกว่า กว่าจะเสร็จท่านก็เหนื่อยเหมือนกัน และผมกล่าววาจาว่าจะรักและนับถือท่านเหมือนบุพการี คนหนึ่ง ซึ่งท่านก็ทำท่าพอใจ จากนั้น ท่านก็เริ่มฉัน พอเสร็จให้พร ผมก็ลากลับ กทม ด้วยหัวใจที่พองโต ว่าอย่างน้อย เราก็ศิษย์มีครูแล้วน่ะ ครูดีซ่ะด้วย...เหอๆ

    ธูปเทียนแพ.JPG

    แต่ดอกไม้ที่เห็นเป็นชุดของลูกสาวของผม ตอนผมนำไปถวายเป็นลุกของท่าน เมื่อประมาณสัก เกือบสองขวบพอเดินทางได้ประมาณ พ.ศ ๒๕๔๐ ผมเอาไปถวายเป็นลูกท่าน ท่านรับดอกไม้ ธูปเทียน และอุ้มรับไว้ด้วยความยินดี แต่ผมจำได้ว่าพอเอาลูกสาววาง เขาร้องไห้โฮ คงตกใจ...แหะๆ แล้วท่านก็อุ้มเอาคืน บอกเอาฝากเลี้ยงไว้ให้ด้วยน่ะ และเอาดอกไม้ธูปเทียน และ พานให้กลับมา ซึ่งผมเก็บใส่ตู้ ไว้เป็นอย่างดี ดอกไม้ เหี่ยวร่วงหมดแล้ว แต่พาน ธูปเทียน ยังใหม่เหมือน สิบกว่าปี แล้วเป็นแค่เมื่อวาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2011
  14. ไม่เกิด

    ไม่เกิด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,916
    ค่าพลัง:
    +9,458
    กราบหลวงปู่บุญศรี หลวงพ่อทรง ... ครับ
    เข้ามาอ่านเรื่องของหลวงปู่บุญศรีต่อครับ...
     
  15. noiptt

    noiptt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +478
    กราบ ๆ ๆ หลวงพ่อทรง หลวงปู่บุญศรีครับ
    ติดตามอ่านด้วยคน ขอบคุณครับ
     
  16. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    กราบ กราบ กราบ หลวงพ่อทรง หลวงปู่บุญศรี หลวงปู่อั๊บ ครับ
     
  17. nu_wa

    nu_wa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,740
    ค่าพลัง:
    +10,698
    กราบ กราบ กราบ หลวงพ่อทรง หลวงปู่บุญศรีครับ
     
  18. Maestro

    Maestro เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    676
    ค่าพลัง:
    +2,411
    กราบ กราบ กราบ หลวงพ่อทรง หลวงปู่บุญศรี หลวงปู่อั๊บ ครับ
     
  19. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,289
    หลวงปู่พระครูบุญศรี ( ต่อ )

    ผมพยายามผูกเรื่องที่ตัวเองเข้าไปผูกพันกับ หลวงปู่พระครูบุญศรีได้อย่างไร ซึ่งน่าจะเรียกว่าบุญกรรมพาไป ไม่ได้เจตนาไปหาเครื่องรางของขลัง หรือ ไปหาหวย...แหะๆ แต่ถ้าแถมมาก็เอา เพราะชอบ..อิอิ

    ที่จริงเรื่องราวยังมีอีกหลายแง่มุม กว่าจะเริ่มไปรวมตัวกันเป็นศิษย์หลวงปู่ กว่าจะเริ่มสร้างแพโบถส์น้ำกัน แต่ผมพอทราบอารมณ์คนดีว่า กระทู้นี้ จะเน้นด้านเครื่องรางของขลัง และที่คนมาอ่านกันอยากจะทราบประวัติด้านเครื่องรางของขลังของหลวงปู่ และอยากจะบอกย้ำอีก ของหลวงปู่ เป็นของดี แจกฟรี ๙๙% มีแต่พวกผมที่ทำขาย เพราะจะเอาเงินไปก่อสร้างวัด และไม่ได้โฆษณาใดๆ เพราะหนึ่งไม่ใช่มืออาชีพ และหลวงปู่ก็ไม่ใช่พระดังอะไร แต่ก็แปลกน่ะครับ ว่าขายกันเองในสายลูกศิษย์ แต่เงินน่ะ หากันมาได้ เป็นสิบล้าน ใน พ.ศ. นั้นครับ

    ผมกราบเรียนหลวงปู่ว่า หลวงปู่บารมีสูงจะ จะเอา จะทำแล้ว เดี๋ยวไปได้เองซึ่งก็จริงตามนั้น สำหรับท่าน พระหลวงตาแก่ๆ แต่อุดมด้วยโภคทรัพย์จริงๆ ที่จริงท่านจะสร้างวัดราคาเป็นสิบๆล้านทำได้สบาย แต่ผมอยากจะบอกว่า ถ้าทำ คนจะลงนรกเยอะ ...แหะๆ

    ถ้าท่านไปอ่านประวัติของ พระเดชพระคุณ หลวงพ่อจง ปรมาจารย์ใหญ่วัดหน้าต่างนอก จะทราบว่า ในสมัยท่าน คนขึ้นยังกับมีงานวัดทุกวัน ถ้าท่านอยู่วัด นั่งรับแขกคนก็เอาเงินมาถวาย ท่านก็รับซ่ะด้วย แต่กองๆ ไว้แถวนั้น พอลุกขึ้น ทุกอย่างก็เป็นอดีต เงินก็ทิ้งไว้ตรงนัน ใครจะทำอะไร ท่านไม่สนใจ และที่จริงท่านไม่ไปห่วง กังวลกับ อดีตและอนาคต วัดของท่านสมัยท่านเล็กกระจิ้ดเดียว มีโบถส์เล็กๆ มี วิหารเก่าๆ มีศาลา มีหอสวดมนต์ มีกุฏิ กุฏิที่ใครมาขอ ก็ให้มารื้อไปได้จริงๆครับ แม้ในยุค พ.ศ. ๒๕๓๐ ที่ผมเริ่มต้นไป วัดหน้าต่างนอก ก็ยังเป็นวัดเล็กๆ อยู่ ที่ใหญ่ขึ้นมา มามีในยุค พระอาจารย์แม้นทั้งสิ้น

    หลวงพ่อจงท่านไม่ชอบก่อสร้างครับ ถ้าไปอ่านประวัติของท่าน เป็นหนังคนล่ะม้วนกับ หลวงพ่อปาน หรือ หลวงพ่อ เดิม ทีเดียว มีอะไรก็อยู่ไปแบบนั้น และถ้าตั้งใจจะสร้าง เอาว่าใน พ.ศ. นั้น จะเอาโบถส์เป็นสิบๆล้านก็ทำได้สบายๆ แต่ไม่ทำครับ สาเหตุ พวกท่านคาดเดากันเองน่ะครับ เพราะพูดไปแล้ว ผมก็คาดเดาเหมือนกัน

    ส่วนหลวงปู่พระครูบุญศรีก็เหมือนกัน ของที่มียุคท่านก็มีกุฏิ ไม้ กับกำแพงอยู่หน่อยด้านติดแม่น้ำ และ เมรุ เผาศพ ก็มีแค่นั้น ที่มาสร้างก็ยุคหลังๆทั้งสิ้นด้วยลูกศิษย์ร่วมใจกันสร้างให้ มีการก่อสร้างใดๆ ท่านไม่สนใจมาดูด้วยครับ แบบหลวงปู่จะเอาโบถส์สักหลายสิบล้านก็ทำได้สบาย แต่ไม่เอาครับ

    ส่วนยศถาบรรดาศักดิ์น่ะ อย่างหลวงพ่อจงถ้าจะเอาเป็นเจ้าคุณ อย่าว่าแต่พระครูเลย ตอนเข้าไปในวัง เอ่ยปากทีเดียว ผมว่าพัดยศคงแห่มาที่วัดเองน่ะครับ แต่ไม่ได้สนใจ เป็นพระหลวงตา ที่ท่านเจ้าคุณทั้งหลายไปกราบ ไม่มีประวัติว่าท่านเป็น พระครู หรือ เจ้าคณะอะไร ขนาด พระอุปัชฌาย์ยังไม่เอา เล่าเรื่องพระอุปัชฌาย์นี้ เผอิญ ผมอ่านเจอมาที่หนึ่งว่า

    หลวงพ่อจงเป็นสหธรรมมิกกับหลวงพ่อสังข์ วัดน้ำเต้า น่ะครับ หลวงพ่อสังข์เป็นพระที่เก่งด้านพระธรรมวินัย พระไตรปิฎกมาก เป็นพระดังท้องถิ่น เป็นพระที่มีคนนับถือในท้องถิ่นมาก และ ยังเก่งด้านกรรมฐานอีกด้วย ชอบนั่งกรรมฐานในป่าช้า ในยุคนั่น คงมืดสนิท เปลี่ยวน่าดู

    แต่ที่จริง หลวงพ่อจงเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อสังข์ ครับ ไม่ได้เป็นเพื่อนกัน คนล่ะรุ่นครับ ขอแก้ข้อมูลตรงนี้ ไม่ให้รุ่นหลังเข้าใจผิด

    หลวงพ่อจง เป็นคู่สวดให้หลวงพ่อสังข์ ตอนหลวงพ่อสังข์บวชครับ ส่วนจะเป็น พระกรรมวาจา หรือ พระอนุสาสนาจารย์ อันนี้แหล่งข่าวไม่ได้บอก แต่เหตุการณ์คือว่า ในงานบวช หลวงพ่อสังข์ พระคู่สวด ตรงข้ามหลวงพ่อจง คือว่า พระคู่สวด ต้องสวด ในการญัติ พระภิกษุ เข้ามาเป็นพระในพระพุทธศาสนา ผมไม่เล่าละเอียด ในขั้นตอน เพราะเป็นเรื่องของพระ และ พระคู่สวด ( ไม่บอกชื่อน่ะครับ ) ท่านสวดผิดครับ หลวงพ่อสังข์ที่ตอนนั้น น่าจะเป็น นาค หรือ ยังเป็น สามเณรอยู่ ผมไม่ทราบว่า ในตอนนั้นท่านบวชแบบไหน แต่ถ้าเป็น แบบ เอสาหัง จะบวชเป็นสามเณร เสร็จแล้วจะขอบรรพชาเป็น พระภิกษุ ในทีเดียวเลย เพราะฉนั้น หลวงพ่อสังข์ อาจจะเป็นสามเณรแล้วในตอนนั้น

    เอาว่าพระคู่สวด สวดผิดครับ พอสวดผิด หลวงพ่อสังข์ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้เป็นพระก็ทักเลยครับ ว่า อาจารย์ สวดผิดครับ เอาสิครับ แล้วทักถูกซ่ะด้วย ...แหะๆ ตกลงสวดใหม่

    พระคู่สวด ทั้งสององค์ถือว่า เป็นอาจารย์น่ะครับ เพราะเป็นเรื่องธรรมดามาก ที่พระใหม่ พอบวชแล้วไม่ได้อยู่กับพระอุปัชฌาย์ แต่อยู่ในวัดของพระคู่สวดเอง ถือเป็นอาจารย์ เพราะบวชให้ สั่งสอนให้เป็นคนดี พระดี แทนพระอุปัชฌาย์

    ตกลง พอบวชเสร็จ หลวงพ่อจง ท่านปลดผ้าพระสังฆาฏิบนบ่าของท่านถวายหลวงพ่อสังข์เป็นรางวัลครับ เพราะชอบใจ พร้อมกับบอกว่า ช้างเผือกมาเกิดแล้ว ซึ่งจริงก็ดังที่ หลวงพ่อจง ท่านพยากรณ์ เพราะต่อมา หลวงพ่อสังข์ ท่านเชี่ยวชาญในด้านพระธรรมวินัยมาก พระวินัยเป็นเรื่องยากน่ะครับ คนที่เก่งด้านพระวินัยจริงๆ ต้องศึกษามามากครับ เพราะเหตุการณ์ต่อมา เป็นจริงตามนั้น หลวงพ่อสังข์ ท่านเหมือนกันเป็นตู้พระไตรปิฎกเคลื่อนที่ และ เก่งแม่นยำ ด้านพระวินัยมาก เป็นพระที่เป็นที่นับถือของคนทั่วไป

    และยังมีเรื่องเล่าอีกเรื่อง มีงานหนึ่งเขานิมนต์หลวงพ่อจงไปเทศน่ะครับ รับประกันได้ว่า ท่านต้องไม่เคยฟังใครพูดว่าได้ฟัง หลวงพ่อจงเทศนาธรรมมะ ไม่มีธรรมมะเล่มยาวๆมาสั่งสอนกัน สอนกันสั้นๆได้ใจความ ทำให้ดูซ่ะมาก ในงานนี้ มีหลวงพ่อสังข์ที่เป็นพระไปด้วย หลวงพ่อสังข์ ท่านก็ดีใจ ว่าขนาดหลวงพ่อจงมาเทศให้ฟัง ก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างยิ่ง พอได้เวลา หลวงพ่อจงท่านถือ คัมภีร์ ใบลานขึ้นธรรมมาสแล้วเริ่มเทศ ตามแบบท่าน คือหงุงหงิงๆ ไปตาม สไตล์ของท่าน หลวงพ่อสังข์พยายามเงี่ยหูฟัง ก็ฟังไม่รู้เรื่องครับ พอเทศได้สักพักเดียวก็ จบ เอวังก็มีด้วยประการล่ะฉะนี้แล แล้วลงจากธรรมมาสครับ

    หลวงพ่อสังข์ก็เข้าไปกราบแล้วเรียนถาม หลวงพ่อจงว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อ เทศ เรื่องอะไรครับ กระผมฟังไม่รู้เรื่องเลย หลวงพ่อจงตอบว่า

    จ้ะ ฉันก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกันจ้ะ


    เอากับหลวงพ่อจงครับ...แหะๆ ตกลง คงต่างคนต่างกลับวัด แต่หลวงพ่อสังข์ เคยพูดกับหลวงพ่อจงว่า เรื่อง พระวินัย หลวงพ่อสู้ผมไม่ได้ แต่เรื่องธรรมะน่ะ ผมสู้หลวงพ่อไม่มีทางได้เลย คำพูดนี้ เดากันเองน่ะครับ ว่าหมายความว่าอะไร

    เอาว่าเล่าแค่นี้ที่จริงยังมีอีก แต่เดี๋ยวนอกเรื่องไปเยอะ ผู้เล่าให้ผมฟังคือ พระอาจารย์ แม้น และ พระอาจารย์สมมาตร ลูกศิษย์หลวงพ่อสังข์ที่อยู่ที่วัดสีกุก ท่านเล่าให้ฟัง ต่างกรรม ต่างวาระกัน ผมเอามาผสมกัน และขอบันทึกไว้ เอาเขียนสำนวนผมเองให้เป็น ดราม่าหน่อย ไม่ให้แข็งไป...แหะๆ

    ที่เล่ามานี่ อยากจะเปรียบเทียบว่า เหมือนกับหลวงปู่บุญศรี เปี้ยบ หลวงปู่บุญศรีท่านก็ไม่มียศ นอกจากพระครูอะไร ที่ได้พระครูชั้นตรีก็เขาเอามาให้ไม่ได้ไปขอใคร เพราะอาวุโสมากแล้ว เป็นยศเดียวที่ท่านได้ และ หลวงปู่ท่านไม่ค่อยเทศครับ จะไม่มีลูกศิย์เห็นท่านขึ้นเทศเลย หายากมาก จะพูดสั้นๆและทำให้ดูมากกว่า ซึ่งก็ไปเหมือนกับหลวงพ่อจงยังกับ แกะกล่องกันมา หลวงพ่อจงท่านเป็นพระอภิญญาแนว ฉฬภิญโญ ใช้ฤทธิ์โปรคคน ไม่พูดมาก ไม่เทศยาวมาก และชอบอยู่เงียบๆ อุปนิสัยแบบนี้ คือ อุปนิสัย ของหลวงปู่พระครูบุญศรี โดยตรงเลยครับ

    มีครั้งหนึ่งผมนั่งคุยกับท่านอยู่ เป็นเวลาบ่ายแก่มากใกล้เย็น มีงานสวดศพที่วัด พอได้เวลาโยมเขามานิมนต์ท่านขึ้นเทศ ท่านบอกให้ไปนิมนต์พระอีกองค์ขึ้นเทศแทน เป็นพระลูกวัด ส่วนตัวท่านนั่งคุยกับผมต่อ ผมกราบเรียนถามว่าหลวงปู่ไม่ขึ้นเทศหรือครับ (ซึ่งที่จริงถ้าเทศ ผมจะไปนั่งฟัง เพราะไม่เคยฟังท่านขึ้นเทศแบบเป็นทางการเลย ) ท่านตอบว่า ขี้เกียจ แล้วยิ้มๆ...แหะๆ ตกลงอดฟังครับ

    IMG_0004.jpg

    ตามรูปเป็นรูปถ่ายหน้าศาลาการเปรียญ คนถ่ายก็เข้าใจถ่าย เพราะมีป้ายยินดีต้อนรับติดอยู่พอดี สำหรับหลวงปู่ เขาคงนิมนต์ถ่ายรูป ท่านก็ยืนให้ถ่ายอย่างเท่ห์ ผมดำสนิทเลยครับ ....กราบ ๆๆ หลวงปู่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2011
  20. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,289
    เดี๋ยวสายๆ มาต่อน่ะครับ ถ้าว่าง ...แหะๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...