ดอกบัวบานแล้วทางทิศตะวันตก โดย Mr.Terran

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 3 สิงหาคม 2010.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    “การเจริญสติ” กำลังเป็นแฟชั่นฮิตในอเมริกา

    ผู้สังเกตการณ์จากดัลลัส มลรัฐเทกซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับจิตวิญญาณ กล่าวไว้ว่า ในทศวรรษ 2000 ความเชื่อเกี่ยวกับคุณค่าของ “สติ” กลายเป็นความเชื่อที่กว้างขวาง เช่นเดียวกับความเชื่อเรื่องทูตสวรรค์ ในปีทศวรรษที่ 1990 หนังสือและเทปเป็นจำนวนมาก ที่เกี่ยวกับความมีสตินั้น บ่อยครั้งเป็นหนังสือที่ขายดี

    นอกจากนี้แล้วการเจริญสติกลายเป็นหัวข้อที่สำคัญยิ่งในงานสัมมนาต่างๆ หรือแม้กระทั่งในสปา ซึ่งในปัจจุบันนี้แม้แต่ในโรงพยาบาลและนักจิตวิทยาก็ยังมีการสอนให้ใช้สติ เป็นหนทางในการบรรเทาและรับมือกับการเจ็บป่วยเรื้อรัง ความเครียด และความเศร้า

    เมื่อสามเดือนที่ผ่านมา นิตยสาร Body & Soul ลงหัวข้อ The Natural Guide to Mindful Living (แนวทางธรรมชาติในการใช้ชีวิตอย่างมีสติ) ไว้หน้าปก Seth Bauer หัวหน้าบรรณาธิการหนังสือเล่มดังกล่าวได้กล่าวไว้ว่า การเจริญสติ คือ การใช้ชีวิตอย่างรู้ตัวในสถานการณ์ที่เป็นปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้ได้กลายเป็นสิ่งสำคัญในวัฒนธรรมอเมริกัน เขายังกล่าวอีกว่า ในชีวิตของเรา เราขาดการเชื่อมโยงในสิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราคิด ปฏิสัมพันธ์กับผู้คน และการดูแลตัวเอง การเจริญสติช่วยให้สิ่งเหล่านั้นมารวมอยู่ด้วยกันได้

    สติกับหน้าที่การงาน ปัจจุบันบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกาหลายแห่งมีการฝึกอบรมการฝึกจิต เพื่อที่จะพัฒนาการใช้สมาธิในการทำงาน รวมถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างพนักงานและจริยธรรม เมื่อปีที่แล้ว นิตยสาร “Spirituality & Health” ได้ลงข้อความชื่อ “Lessons from Mindful Corporations.”

    Michael Sauvante ประธานกรรมการบริหารของ Rolltronics กล่าวว่า “การ บริหารจิตเพื่อหน้าที่การงานนั้นจะมุ่งไปในเรื่องที่ว่าธุรกิจส่งผลกระทบ อย่างไรกับมนุษยชาติ แต่ในโลกความเป็นจริงของธุรกิจแล้วกลับมีความเห็นที่ว่า การเป็นมนุษย์ที่มีมนุษยธรรมนั้นจะบั่นทอนความสำเร็จทางด้านการเงิน”

    ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวว่า การฝึกจิตให้มีสตินั้นต้องอาศัยการฝึกฝน วิธีทั่วไปที่ปฏิบัติกันนั้นคือการนั่งสมาธิ และการสังเกตการหายใจ บางคนใช้วิธีการนับลมหายใจเข้าออก บางคนก็ใช้วิธีอื่นๆ แตกต่างกันไป

    Gary Stuard อดีตพระภิกษุผู้ซึ่งสอนการทำสมาธิ ที่ “The Episcopal Church of the Transfiguration” กล่าวว่า เวลาส่วนใหญ่แล้วเราดำเนินชีวิตไปอย่างอัตโนมัติ วัตถุประสงค์หลักของการทำสมาธิให้มีสตินั้นไม่ได้เป็นการฝึกจิตให้มุ่งความ สนใจไปข้างนอก หากแต่ให้มุ่งความสนใจไปในสิ่งที่อยู่ในตัว

    ไม่ว่าจะฝึกเพื่อพัฒนาจิตใจ สุขภาพ หรือเหตุผลอื่นๆ การฝึกจิตให้มีสติตั้งมั่นก็คือการใช้ชีวิตอยู่อย่างรู้ตัวทั่วพร้อม Bonnie Arkus กรรมการบริหารของมูลนิธิ the Women's Heart Foundation แห่ง West Trenton, NJ สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 10 ปอนด์ ในหนึ่งเดือน โดยผนวกการควบคุมโภชนาการแบบ The South Beach Diet กับการมีสติในการกิน เธอกล่าวว่า แล้วคุณจะรับรู้รสชาติอาหารมากขึ้น เพราะคุณให้เวลาในการรับรู้รสชาติมัน ไม่ใช่เพียงแค่ตักอาหารเข้าปากแล้วรีบกลืน วิธีนี้จะทำให้คุณมีแนวโน้มในการทานน้อยลง

    การฝึกจิตให้มีสติตั้งมั่นนั้น เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในพระพุทธศาสนา ในช่วงปีทศวรรษ 1960 มันมีอิทธิพลต่อนักเขียนหลายท่าน เช่น Allen Ginsberg, Robert Pirsig ช่วงปีทศวรรษที่ 1970 กับงานเขียน “Zen and the Art of Motorcycle Maintenance” และช่วงปีทศวรรษที่ 1990 มีภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดที่ได้รับอิทธิพลนี้คือ เรื่อง “Kundun” และ “Seven Years in Tibet”

    ทุกวันนี้ เมื่อไรก็ตามที่ ท่านทะไลลามะ เดินทาง ท่านจะมีผู้คนคอยทักทายเสมือนว่าท่านเป็นดาราชื่อดังคนหนึ่ง มีหลายคนกล่าวว่า เมล็ดพันธุ์ของการเจริญสติในปัจจุบันนั้น ได้ถูกปลูกฝังไปโดยทั่ว โดยเห็นได้จากหนังสือเมื่อปี 1975 ชื่อ “The Miracle of Mindfulness” โดยนักเขียนคือ Thich Nhat Hanh พระภิกษุชาวเวียดนาม ซึ่งครั้งหนึ่งท่านเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โดย Rev. Martin Luther King JR พระภิกษุผู้ซึ่งอาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน เขียนไว้ว่า ความมีสติเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ทำให้เราเป็นนายของตัวเองและฟื้นฟูตัวเราเองได้

    จริยธรรมและความเห็นอกเห็นใจ พุทธศาสนิกชนหลายคนเป็นกังวลว่า กระแสแห่งการเจริญสติ ซึ่งได้กลายเป็นที่นิยมของชาวอเมริกันนั้น บัดนี้ได้ถูกนำมาใช้หาผลประโยชน์ในทางด้านการค้า ชึ่งจะไม่ส่งผลใดๆ ทางด้านจิตใจเลย สำหรับชาวพุทธ การเจริญสติได้ถูกฝังลึกในจริยธรรมเสียแล้ว

    Sharon Salzberg อาจารย์ชาวพุทธชื่อดัง ผู้แต่งหนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณ และผู้ร่วมก่อตั้งสมาคม The Insight Meditation Society กล่าวว่า การทำจิตให้มีสตินั้นไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเราเองเท่านั้น แต่เป็นการทำเพื่อที่จะให้โลกเป็นที่ที่น่าอยู่มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการปลุกจิตภายในอีกด้วย ในวงการแพทย์ดูเหมือนว่ามันเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะทำให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น

    โรงพยาบาลและคลินิกมากกว่า 200 แห่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้การฝึกจิตส่งเสริมผู้ป่วยที่มีปัญหาทั้งทางจิตใจและร่างกาย Paul Keinarth แพทย์แห่ง Austin ได้เริ่มนั่งสมาธิฝึกจิตเมื่อสี่ปีแล้ว ในช่วงที่อยู่ในภาวะที่จิตใจย่ำแย่ ความคิดที่มีแต่การแข่งขัน ความกังวลและความเครียด ทำให้เขามีปัญหาในการนอนหลับ อีกทั้งยังห่างเหินกับครอบครัวอีกด้วย

    Keinarth ผู้ชึ่งปัจจุบันสอนคอร์สการฝึกสติ กล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างเหลือเชื่อ ปัจจุบันผมใช้ชีวิตอย่างสบายปลอดโปร่ง แทนที่จะใช้ชีวิตจมปลักอยู่กับเรื่องราวเก่าๆ มากมายที่ได้เกิดขึ้นกับผมและผู้อื่น มีความผูกพันมากขึ้นระหว่างผมกับครอบครัว และผมได้ปรับจิตใจให้มีขันติความอดทนมากยิ่งขึ้น”

    Dr.James Ruiz นักรังสีวิทยา จาก Baton Rouge, LA., กล่าวว่า ความสนใจของเขาในเรื่องการมีสติอยู่กับตัว เริ่มขึ้นสมัยที่ลูกชายวัยหกขวบของเขายังเป็นทารก เมื่อลูกร้องไห้กลางดึก เขาจะอุ้มลูกไว้ในขณะที่ตัวเองก็จะเดินไปทำสมาธิไป เขากล่าวว่า การเจริญสติให้ตั้งมั่นอยู่กับตัวนั้นได้ทำให้วิถีชีวิตของคนที่เป็นพ่อแม่ ได้เปลี่ยนแปลงไป

    สิ่งที่ทำให้คุณโกรธนั้นไม่ใช่เพราะการตื่นขึ้นมากลางดึกเมื่อได้ยินเสียง ลูกร้อง เขาว่า หากแต่สิ่งที่ทำให้คุณโมโหคือการที่คุณต้องการกลับไปยังที่นอนนั่นเอง การเจริญสติคือการปลดปล่อยความรู้สึกนั้นไป ยอมรับความเป็นจริงและสนใจกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้าคุณ

    ที่มา
    http://tumentalclinic.ไม่อนุญาตให้โฆษณา/reviews/item/152 <!--MsgFile=0-->

    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#204080 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#204080 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    <TABLE cellSpacing=1 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom width="10%">
    ชาวอเมริกันกว่า 10 ล้านคนนั่งสมาธิทุกวัน

    เมืองมิดเดิลทาวน์ รัฐโอไฮโอ (สหรัฐอเมริกา) - ในปี 1900 มีคนนับถือพุทธในสหรัฐอเมริกา 30,000 คน แม้ว่าจะมีการนับถือพุทธศาสนาในประเทศสหรัฐอเมริกามายาวนาน จำนวนของผู้ที่นับถือพุทธศาสนา ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ในช่วงกลางทศวรรษที่ 70 มีชาวพุทธอยู่ในสหรัฐอเมริกาถึง 200,000 คน และในปี 1995 ก็เพิ่มขึ้นเป็น 1.8 ล้านคน (อ้างตามสารานุกรมบริเตนนิกา) ) ซึ่งการเติบโตของพุทธศาสนาไม่ใช่อยู่แค่ในเมืองใหญ่ๆ ของทวีปเอเชีย และกลุ่มชาวอินเดียอย่างที่คนหลายๆ คนคิด และพุทธศาสนาก็ได้เติบโตขึ้นที่เมืองมิดเดิลทาวน์นี่เช่นกัน ทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย Wesleyan ซึ่งส่วนใหญ่แล้วต่างเป็นชาวตะวันตก ไม่มีชาวเอเชียหรือชาวอินเดียอยู่แถวนี้เลย ผู้ที่นับถือพุทธศาสนาในกลุ่มนี้คิดว่าความศรัทธานี้จะต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีสังคมที่เปิดกว้าง การไม่เชื่อความจริงของศาสนา และผู้ที่ยึดมั่นในพุทธศาสนา เกล็น ลิววิส ผู้ก่อตั้งของสมาคมศรัทธาพุทธ แห่งเมืองมิดเดิลทาวน์ กล่าวว่า "เนื่องจากประเทศของเราเปลี่ยนเป็นสังคม ที่ไม่เชื่อในศาสนามากขึ้น ดังนั้น จึงมีคนจำนวนมากขึ้นที่ถูกดึงดูดใจจากศาสนาอื่นๆ เช่นพุทธศาสนา เพราะพวกเขาไม่ได้ถูกสั่งสอน ให้ซึมซาบในลัทธิเหมือนกับเป็นเด็ก" เขายังกล่าวอีกว่า "พวกเขากำลังมองหาบางสิ่งบางอย่างที่ไปกันได้"

    บางคนอาจจะหันมาสนใจพุทธศาสนา ตั้งแต่แรกเพราะคิดว่าหลายศาสนาที่มีธรรมเนียมปฏิบัติแบบเดิมๆ และแง่มุมในการมองชีวิตอย่างทันสมัยเป็นสิ่งที่ใช้การไม่ได้อีกต่อไป การทำสมาธิสามารถดึงดูดใจพวกเขาตั้งแต่แรกเริ่มหันมานับถือศาสนานี้ ซึ่งนับว่าเป็นวิธีปฏิบัติแบบรวมศูนย์ของพุทธศาสนา
    ลิววิสเริ่มจัดตั้งสมาคมนี้ขึ้นโดยเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรและอุทิศตน ให้แก่การปฏิบัติธรรม สมาคมนี้ตั้งอยู่ในอพารต์เมนท์ที่มีคนบริจาคให้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ลิววิสกล่าวว่าสมาคมนี้มีคน 30 คนและมีรายชื่อที่จะต้องส่งไปรษณีย์ไปให้ถึง 300 คน

    ตามที่ลิววิสกล่าว การเติบโตของกลุ่มนี้ เกิดขึ้นมาจากคนในกลุ่มและความจริง ที่ว่าพุทธศาสนาสามารถปฏิบัติได้เองที่บ้าน เขากล่าวว่าพุทธศาสนาไม่เป็นลัทธิ และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ประจำวันได้

    "พุทธแบบชินเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน" ลิววิสกล่าว " มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของพระพุทธเจ้า"

    นักศึกษาของมหาวิทยาลัย Wesleyan ผู้ที่อาศัยอยู่ที่บ้านชาวพุทธในมหาวิทยาลัย พูดเช่นกันว่าพุทธศาสนานั้น สามารถนำมาใช้ได้กับชีวิตประจำวัน สำหรับพวกเขาแล้ว พุทธศาสนาเป็นเรื่องเกี่ยวกับการมองโลก ในแบบที่ไม่ได้รวมศูนย์ไว้ที่ใครคนใดคนหนึ่ง และพวกเขากล่าวว่าพุทธศาสนา เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างความแตกต่างทางบวกให้แก่โลกใบนี้

    พวกเขาย้ายไปที่บ้านพักในมหาวิทยาลัยในปี 2003 ภายหลังจากที่ศึกษาวิชาพุทธศาสนาและทำสมาธิในกลุ่มที่นำโดยโลโดร รินสเลอร์ เป็นเวลา 3 ปี ทุกวันนี้ มีนักศึกษา 18 คนอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ซึ่งเปิดกว้าง สำหรับใครก็ได้ที่ต้องการใช้เป็นที่สำหรับทำสมาธิและต้องการความสงบ

    รินสเลอร์ ผู้ถูกเลี้ยงดูมาในบ้านพุทธหลังนี้ กล่าวว่ามีคนอีกเป็นจำนวนมากจากมหาวิทยาลัย ที่มาทำสมาธิที่บ้านหลังนี้ แต่ไม่ได้ถือว่าตัวเองนับถือพุทธศาสนา คนทั่วไป เขาและนักศึกษาคนอื่นๆ กล่าวว่า พวกเขาสามารถเป็นส่วนหนึ่งของพุทธศาสนาได้โดยไม่ต้องตีตราว่าเป็นคนที่ นับถือพุทธศาสนา "เราเห็นคนจำนวนมากมาที่นี่เพื่อมาเรียนทำสมาธิ" รินสเลอร์ นักศึกษาปี 3 วัย 21 ปีกล่าว "จากนั้น เราก็อาจจะไม่ได้ยินเรื่องราวของพวกเขาเลยอีกสองสามปีหลังจากนั้น" นักศึกษาของมหาวิทยาลัย Wesleyan บางคนที่พักที่บ้านหลังนี้กล่าวว่า ถึงแม้จะมีหลายคนที่เริ่มหันมานับถือพุทธศาสนาเ นื่องมาจากคุณค่าทางธรรมเนียมดั้งเดิมของพวกเขา ใช้การไม่ได้อีกต่อไป แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่กับศาสนาเ พราะศาสนาสามารถช่วยพวกเขาได้

    "ผมไม่พอใจกับศาสนาที่ผมเติบโตขึ้นมา" ทิม ฮินเกล นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วัย 20 ปีกล่าว "แต่พุทธศาสนา เป็นเรื่องของพันธะทั้งหมดบนโลก"

    ฮินเกลกล่าวอีกว่าเขาเริ่มชื่นชอบการนำเอาไปใช้ได้จริงและวินัยของพุทธศาสนา เขากล่าวว่าการทำสมาธิเป็นตัวอย่างว่าวิทยาศาสตร์ ได้ทำให้ส่วนหนึ่งของพุทธศาสนามีเหตุมีผล สำหรับการที่มันมีประโยชน์แก่สุขภาพของคน

    เบน เฟร์ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 วัย 20 ปีกล่าวว่าเขาหันมานับถือพุทธศาสนาเพื่อค้นหาความสงบสุข ถึงแม้ว่าการนับถือพุทธก็คือการผูกพันโลก ด้วยความกรุณาและความเมตตา มันยังสอนคนให้เข้าถึงความคล้องจองภายใน เราสามารถเข้าถึงความคล้องจองภายใน ได้ด้วยการทำสมาธิและการเอาใจใส่ต่อโลก
    "มันไม่ใช่จุดเริ่มต้นหรือจุดจบ" เฟเยอร์กล่าว "มันเป็นการยกระดับของความเข้าใจมากกว่า"

    คนอเมริกันกว่าสิบล้านคนนั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ เป็นสองเท่าของสิบปีก่อน สถานที่หลายแห่งในสหรัฐอเมริกา เช่น ที่นิวยอร์กเปลี่ยนเป็นที่นั่งสมาธิหลายแห่ง จนคนเรียกแถบนั้นว่าเป็นแถบของชาวพุทธ นักเรียนนั่งสมาธิก่อนเข้าห้องเรียนทุกเช้า นักกฎหมาย นักธุรกิจ คนทำงานสาขาอาชีพต่าง ๆ นั่งสมาธิตามที่หน่วยงานของตนจัดให้นั่งอย่างสม่ำเสมอ ดาราภาพยนตร์ นักการเมือง นักเขียน ต่างก็นั่งสมาธิ แม้แต่นักโทษในคุกก็มีห้องนั่งสมาธิ ผู้พ้นโทษมาแล้วจะกลับเข้าคุกน้อยกว่าพวกที่ไม่ได้นั่ง คนไม่เชื่อเรื่องสมาธิกลายเป็นคนกลุ่มน้อยในสหรัฐอเมริกาไปเสียแล้ว คนเหล่านี้นั่งสมาธิ เพราะสมาธิทำให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย สุขภาพดีขึ้น ชีวิตดีขึ้น ทำให้สร้างความสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้น <!--MsgFile=1-->


    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    ชาวยิวนับแสนแห่นับถือ'พุทธ'

    นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในโลกของความเชื่อและการปฏิบัติ ‘ความเชื่อดั้งเดิม’ ถือเป็นเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นสิทธิส่วนบุคคล ส่วนการปฏิบัติก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเป็นการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและปลอดภัย ในโลกที่แต่ละคนจะต้อง ตัดสินใจวิถีชีวิตให้แก่ตนเอง

    ปรากฏการณ์ใหม่ที่ว่านี้ คือกระแสการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชุมชนชาวยิวหลายแสนคนในสหรัฐอเมริกา พวกเขาเป็นชาวยิว นับถือศาสนายิวโดยกำเนิด ซึ่งก็ยังมีพิธีกรรมของตนเอง มี ‘พระเจ้า’ อันสูงสุดอยู่ในใจ แต่ชาวยิวจำนวนมากเหล่านี้ หันมาศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้หันมาฝึก “สมาธิ” กันอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นการเปิดรับสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต โดยไม่มีความขัดแย้งต่อความเชื่อดั้งเดิมนับพันๆ ปีแต่อย่างใด

    ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีประชากรเกือบ 300 ล้านคน ซึ่งมีผู้นับถือศาสนายิว (หรือ ศาสนาจูดาย) ถึง 6 ล้านคน แต่ข้อมูลจากสำนักข่าว ABC รายงานว่า จากการสำรวจล่าสุดพบว่า มีชาวพุทธในอเมริกาอยู่ 3 ล้านคน และตัวเลขสำคัญ อยู่ที่ว่า ศาสนิกอื่นที่หันมานับถือพระพุทธศาสนานั้น ปรากฏว่า 1 ใน 3 เป็นชาวยิว!!!

    แม้ว่าการสำรวจตัวเลขเรื่องความ เชื่อ จะให้แน่ชัดนัก ก็เป็นไปได้ยาก แต่ทว่ากระแส “แนวโน้ม” ของ “จูบู” ก็แผ่ขยายไป อย่างรวดเร็ว บุคคลสำคัญๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ของจูบู ได้แก่

    Steven Seagal, actor

    Orlando Bloom, actor

    Jack Kornfield, writer

    Daniel Goleman,psychiatrist and author

    Eric Levine, gym CEO

    หนังสือพิมพ์ แอล. เอ. ไทมส์ (L.A. Times) แห่งลอส แอนเจลลิส ได้เขียนไว้ตอนหนึ่งว่า การนับถือควบสองศาสนานี้ ถือเป็นแนวโน้มข้ามไขว้ระหว่างสองศาสนา ซึ่งกำลังเฟื่องฟูเป็นอันมากในสังคมอเมริกัน โดยมีกลุ่มปัญญาชนชาวยิว เป็นผู้บุกเบิกแนวโน้มที่ว่านี้

    สำนักข่าว UPI ได้สัมภาษณ์ท่านแร็บไบ (นักบวชยิว) แห่ง Congregation Beth Shalom ในซาน ฟรานซิสโก ซึ่งได้จัดให้มี “โปรแกรมสมาธิ” ขึ้นในพื้นที่ติดกันกับสุเหร่า ท่านแร็บไบ บอกว่า “สมาธิ (Meditaion) เป็น กิจกรรมยอดนิยมในชุมชนชาวยิว” <!--MsgFile=2-->


    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    คนดังตะวันตกกล่าวว่า พบสุขปิ่มหัวใจเมื่อได้เป็นพุทธ

    ท่านเคยนึกสงสัยบ้างหรือไม่ว่า ทำไมปัจจุบันนี้ ปัญญาชนระดับแนวหน้าของโลก รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียง กำลังหันมาศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธศาสนากันเป็นจำนวนมาก ดร.แดเนียล โคลแมน (Dr. Daniel Coleman) นักเขียนเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์และเชาวน์ปัญญา เชื่อว่าการปฏิบัติสมาธิตามหลักพระพุทธศาสนา คือคำตอบที่เป็นทางออกของปัญหาทางอารมณ์ ที่กำลังนำมนุษยชาติไปสู่หายนะอยู่ทุกขณะจิตในปัจจุบัน และอีกท่านหนึ่ง คือ ศาสตราจารย์ แสตนฟอร์ด (Prof. Standford) ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกซ์ ประจำปี 1997 ร่วมกับ ดร.สตีเฟน จู (Dr. Steven Chu) ได้กล่าวว่า “ทุกแง่ทุกมุมของพระพุทธศาสนา ล้วนดึงดูดและสร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้ง” ให้แก่ผู้ที่ได้เข้าไปทำความรู้จัก นับตั้งแต่นักแต่งเพลงอย่างฟิลลิป กลาส (Philip Glass) จนถึงดาราภาพยนตร์อย่าง ริชาร์ด เกียร (Richard Gere), สตีเฟน ซีกัล (Steven Seagal) แฮริสัน ฟอร์ด (Harrison Ford) และโกลดี ฮอน (Goldie Hawn) ตลอดจนถึงนักร้องชื่อดัง อย่างเช่น ทีน่า เทอรเนอร (Tina Turner) และนักฟุตบอล อย่างเช่น โรเบอร์โต บั๊กโจ้ (Roberto Bugiou) บรรดาท่านที่กล่าวนามมานี้ ต่างก็ล้วนแต่ได้พบความเอิบอิ่มใจ และได้มีความสุข สงบเย็นในพระพุทธศาสนา อย่างที่เขาไม่เคยได้พบมาก่อนในชีวิต

    อีกอย่างหนึ่ง ท่านคงจะเคยนึกสงสัยว่า เหตุใดซอฟแวร์คอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยอย่าง IBM จึงเอาคำที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนามาตั้งชื่อโปรแกรม โดยให้ชื่อว่า “Lotus 1; Lotus 2; Lootus 3” คำว่า “Lotus” หรือ “ดอกบัว” ที่ชาวพุทธทั่วโลกถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา จะเห็นได้จากพระพุทธรูปที่เป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นปางประทับนั่งหรือยืนหรือไสยาสน์ ก็ต้องมีดอกบัวรองรับเสมอ แม้แต่เจ้าแม่กวนอิม พระโพธิสัตว์แห่งเมตตาธรรมในนิกายมหายาน ก็มีดอกบัวรองรับเช่นเดียวกัน นอกจากนั้น ยังมีพระคัมภีร์สำคัญสูตรหนึ่งในนิกายมหายาน ใช้คำ ๆ นี้เป็นชื่อพระสูตรคือ “Lotus Sutra” ซึ่งมีชื่อในภาษาไทยว่า “สัทธรรมปุณฑริกสูตร” หรือแม้แต่เจ้าชายสิทธัตถะที่ต่อมาได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะประสูติจากพระครรภ์ของพระราชินีสิริมหามายาพระมารดา ก็มีจารึกไว้ในพุทธประวัติว่าได้ทรงพระดำเนินไป ๗ ก้าว โดยมีดอกบัวมารองรับ ดังนั้น ถ้าเราจะพิจารณาให้ลึกซึ้ง ก็จะเห็นความเป็นผู้มีอัจฉริยภาพ ของบุคคลที่คิดนำเอาคำที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของพระพุทธศาสนา ซึ่งเคยเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ในประเทศอินเดียในอดีต กว่า 2,500 ปีมาแล้ว มาเชื่อมโยงกับสิ่งที่เป็นนวัตกรรมยุคใหม่หรือยุค IT คือซอฟแวร์คอมพิวเตอร์ ที่มีชื่อว่า “Lotus 1, Lotus 2, และLotus 3” บุคคลผู้นี้เป็นชาวพุทธอเมริกัน ที่เราขอปรบมือให้ คือคุณ Michell Kapor ผู้ก่อตั้งบริษัท Lotus Development Corporation และถือว่าเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดโปรแกรม Lotus 1-2-3 นับได้ว่าเป็นชาวพุทธตะวันตกที่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในหลักธรรมของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในแงที่คำสอนไม่เก่าและล้าสมัยสมดังคำสวดสรรเสริญพระธรรมบทว่า “อกาลิโก” หมายความว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีคำสอนที่ทันสมัยและเป็นจริงอยู่เสมอ เป็นจริงในอดีต เป็นจริงในปัจจุบัน และเป็นจริงในอนาคต จึงเป็นศาสนาที่เหมาะกับทุกยุคทุสมัย <!--MsgFile=4-->


    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    นอกจากจะไม่อิงกับกาลเวลาแล้ว พระพุทธศาสนายังถือได้เป็นศาสนาสากล (universal Religion) เหมาะสมกับประชาชนผู้ปฏิบัติทุกเชื้อชาติศาสนาในสากลจักรวาล ทั้งไม่จำกัดเพศและวัย พระพุทธศาสนาอธิบายให้เราทราบว่า ปัญหาของมนุษย์เราแทบจะทุกปัญหา เกิดขึ้นจากสภาพของจิตทีไม่มีสมาธิ ที่มีแต่ความฟุ้งซ่านสับสนวุ่นวาย ที่ขาดปัญญาไตร่ตรอง ที่ไม่รู้ความจริงตามที่มันเป็นจริง จึงต่อสู้ขัดขืนไม่ยอมรับความจริงนั้น ทำให้จิตตกอยู่ในสภาพต้องดิ้นรนกระวนกระวาย จนกลายเป็นทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงสั่งสอนเราให้ดำเนินตามพุทธสมาธิวิธี ที่จะขัดเกลาอบรมจิต หรือชำระจิตที่ถูกกิเลสครอบงำ อันนำไปสู่สภาพที่ก่อให้เกิดหายนะเสีย เพื่อทำจิตให้บริสุทธิ์สะอาดเข้าสู่ภาวะที่สงบสุขสมหวังอย่างแท้จริง สภาวะดังกล่าวนี้สามารถจะเกิดขึ้นได้ในบุคคลทุกเพศวัย ไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ในประเทศไหนในโลก ดังที่ได้เกิดขึ้นแล้วแก่คนดังทั้งตะวันออกที่จะกล่าวไว้ในที่นี้ก็คือ ดาราภาพยนตร์ชื่อก้องทั้งสอง คือ ริชาร์ด เกียร (Richard Gere) และ เจ๊ท ลี (Jet Li) และอื่น ๆ ที่มิอาจระบุไว้ ณ ที่นี้ <!--MsgFile=5-->


    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

    ๏ พระราชสุเมธาจารย์ (โรเบิร์ต สุเมโธ)

    ในอดีตหลายสิบปีมาแล้วหลวงปู่ชากล่าวว่า “ดอกบัวกำลังบานทางทิศตะวันตก” หลวงปู่ชา ท่านมีความสามารถมากในการถ่ายทอดธรรม แม้แต่ต่างชาติต่างภาษาคุยกันไม่รู้เรื่องท่านก็ยังทำให้เมล็ดบัวในตัวท่าน เหล่านั้น แตกกอ ผลิดอกและเบ่งบานขึ้นมาได้(ชาวต่างชาติเหล่านี้มีนิสัยวาสนากับพุทธศาสนามา แล้ว ถึงได้มีศรัทธาในเบื้องต้น มีวาสนาได้พบครูบาอาจารย์ และมีวิริยะในการปฏิบัติ นั่นคือท่านมีเมล็ดบัวฝังอยู่แล้วในตัว)

    พระราชสุเมธาจารย์ (โรเบิร์ต สุเมโธ) เป็นศิษย์ต่างชาติรุ่นแรกๆ ที่กำลังเบ่งบานอยู่

    ดอกบัวบานแล้วทางทิศตะวันตกและนับวันก็จะแตกกอเป็นป่าบัวต่อไป แต่ป่าบัวดั้งเดิมทางทิศตะวันออกกำลังเสื่อมลงตามกาลเวลา ตามหลักอนิจจัง

    ขออวยพรให้ทุกท่านที่กำลังเป็นเมล็ดบัวอยู่ ขอให้แตกรากฝังศรัทธาให้มั่นคงงอกแล้วบำรุงด้วยรสแห่งธรรมให้เจริญยิ่งขึ้น ไป ดอกตูมก็ให้บาน บานแล้วก็ให้ส่งกลิ่นหอมให้กว้างขวาง เพื่อเร่งเร้า ปลุกผู้หลับอยู่ให้ตื่นขึ้น....เทอญ

    ต่อไปนี้คือตัวอย่างแนวคิดของชาวต่างชาติที่มีต่อพุทธศาสนา และหลวงปู่ชา

    เส้นทางชีวิตที่เปลี่ยนแปลงการค้นหาครั้งสำคัญ

    อเมริกันนาวิกโยธินหนุ่ม เมื่อราวครึ่งศตววรษก่อนเดินทางท่องโลก เพราะภารกิจของกองทัพ ได้คิดได้ค้นได้พบกับศาสนาของโลกตะวันออก และได้กำหนดเส้นทางชีวิตใหม่ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่กลายมาเป็น พระสุเมธาจารย์ที่ฝรั่งไทยเคารพศรัทธา เมื่อ ๕๐ ปีมาแล้ว ท่านเป็นทหารเรืออเมริกันสมัยสงครามเกาหลีได้ไปประเทศญี่ปุ่น มีความสนใจในศาสนาพุทธ แต่หนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษ ยังมีน้อยหายากเดินทางไปๆ มาๆ ญี่ปุ่น ซานฟรานซิสโกอยู่ ๒ ปี

    ออกจากกองทัพแล้ว ก็กลับไปเรียนปริญญาตรีที่อเมริกา จบปริญญาตรีสาขา ประวัติศาสตร์ของประเทศจีน เพื่อศึกษารากลึกของทวีปเอเชีย จากนั้นเรียนต่อที่แคลิฟอร์เนีย ๒ ปี ได้ปริญญาโท ประวัติศาสตร์ของอินเดีย

    เมื่อจบปริญญาโทแล้ว ก็ยังมีความสนใจมากที่อยากปฏิบัติ แสวงหาอาจารย์ที่จะสอนเรื่องของจิตใจเพื่อจะปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าได้ ตรัส ในประเทศอเมริกายังไม่พบอาจารย์สักคน เมื่อได้ปริญญาโทแล้ว ก็ได้สมัครเป็นอาสาสมัครสมัยนั้น เพื่อจะไปสอนภาษาอังกฤษที่ประเทศมาเลเซีย ไปอยู่ที่นั่น ๒ ปี ก็มีโอกาสมาเมืองไทย

    มาเที่ยวครั้งแรก ก็ได้ข่าวว่า มีอาจารย์ดีหลายองค์ที่กรุงเทพฯ ที่จะสอนวิปัสสนากรรมฐาน ไปหาท่านเจ้าคุณที่วัดมหาธาตุ ปี ๒๕๐๙ เราเป็นอาสาสมัครเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ สอนที่ธรรมศาสตร์ด้วย ตอนไปก็ข้ามถนนไปจากฝั่งวัดมหาธาตุ (หัวเราะ) ตอนเช้าจะนั่งสมาธิ เดินจงกลม ทำอย่างนั้นอยู่ประมาณ ๖ เดือน ก็มีความสนใจมากขึ้นทำให้เราอยากบวช

    ในปีนั้นก็บวชที่วัดหนองคาย เป็นสามเณร ฝึกกรรมฐานที่นั่นหนึ่งปี อยู่แต่ในห้อง อยู่ในกุฏิ มีระเบียบเคร่งครัดไม่ให้ออกจากกุฏิ ไม่ให้คลุกคลีกับใคร ต้องอยู่และปฏิบัติก็ได้ผลในการปฏิบัติ

    ตอนแรกก็มีความสงสัยว่า ปฏิบัติอย่างนี้แล้วจะได้ผลอย่างไร จนกระทั่งขอให้บวชเป็นพระ ท่านเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดหนองคาย ก็ส่งไปอยู่ที่วัดหนองป่าพงให้ปฏิบัติและศึกษาอยู่กับหลวงพ่อชา ที่จังหวัดอุบลฯ ๑๐ ปี ที่หนองป่าพง จากนั้นหลวงพ่อชาก็ส่งไปอยู่ตามสาขาต่างๆ อย่างที่อำเภออำนาจเจริญ ตั้งวัดนานาชาติ จากนั้นมีผู้นิมนต์ไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษจากวันนั้นถึงวันนี้ ๒๖ พรรษา

    1. ก่อนที่หลวงพ่อจะมาศรัทธาในพระพุทธศาสนา คงเคยนับถือคริสต์มาก่อน ตรงไหนที่ทำให้เลื่อมใสพระพุทธศาสนา ?

    พ่อแม่เราเป็นคริสต์ เรานับถือศาสนาแต่ไม่เอาจริงเอาจังด้วย อาตมาก็มีศรัทธาตั้งแต่เป็นเด็กก็ไม่ค่อยสงสัย บาทหลวง หรือพ่อแม่พูดอย่างไร ก็ไม่ค่อยสงสัย แต่พอตอนวัยรุ่นอายุ ๑๕-๑๖ ปีจึงเกิดความสงสัย มักจะถาม อยากจะรู้พระเจ้าเป็นอย่างไร มีหรือไม่มี แล้วมีประโยชน์อะไรที่จะทำอย่างนี้ต่อไป

    แล้วก็มาสมัครเป็นทหารเรือ ออกจากบ้านไปอยู่ห่างไกลจากพ่อแม่ ไปหาความสุขสนุกทางโลกไม่เคยคิดเรื่องของพระพุทธศาสนาเลย จนกระทั่งได้พบพุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่นแล้วก็อ่านหนังสือ ศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ท่านบอกว่าอย่าไปเชื่อ ต้องทดลอง ต้องค้นคว้าต้องเห็นเอง นี่ก็เป็นจุดที่ทำให้เราศรัทธา

    หลังจากนั้นอายุ ๒๑ ปี เราก็มีศรัทธามั่นคง ศาสนานี้ก็ถูกใจเรามันมีทั้งปฏิบัติ มีทั้งพิสูจน์ได้เห็นความจริงในใจเรา และเราไม่จำเป็นต้องเชื่อในสิ่งที่เราพิสูจน์ไม่ได้

    2. ตอนที่ไปเป็นทหาร มีเพื่อนที่นับถือพุทธศาสนาอยู่แล้วหรือเปล่า ?

    สมัยนั้นไม่มีใครนับถือพุทธศาสนาเลย เพราะเมื่อ ๕๐ ปีก่อน คนอเมริกันที่เป็นรุ่นเดียวกันส่วนมากก็ไม่เคยมีใครสนใจศาสนาไม่ว่าจะเป็น คริสต์ หรือศาสนาอะไรก็ไม่สนใจ เบื่อแล้ว และก็ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มอยู่ด้วย คิดกันว่าศาสนาเป็นเรื่องสมัยโบราณ เป็นคนล้าสมัย ส่วนมากจะเชื่อว่าวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งสูงสุดแล้ว แต่เราก็สงสัยหลายอย่าง ในวิทยาศาสตร์ด้วย (หัวเราะ) วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ลึกซึ้ง พอสงสัยว่าจิตใจของ เราเป็นอย่างไรเรื่องวิทยาศาสตร์ของตะวันตก ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องภายนอก <!--MsgFile=6-->

    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><CENTER> </CENTER>
    3. เหตุผลที่คนตะวันตก ให้ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา

    ส่วนมากชาวตะวันตกให้ความสนใจในด้านการปฏิบัติ เพราะเราหาในวัฒนธรรมในศาสนาของเราไม่เจอ แต่เดี๋ยวนี้โลกมันคับแคบแล้ว เอเชียกับยุโรปก็ไม่ห่างไกลกันเท่าไรนักเมื่อ ๕๐ ปี มาแล้ว เราสังเกตดูความคิดของชาวต่างประเทศกำลังจะเปลี่ยนไปบ้าง ศรัทธาในวิทยาศาสตร์มันกำลังจะเสื่อม ศรัทธาในพุทธศาสนาก็จะเสื่อมด้วย หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ วัฒนธรรมญี่ปุ่นกับวัฒนธรรมอเมริกา มีการแลกเปลี่ยนกันมาก สิ่งที่เราได้รับจากวัฒนธรรม ญี่ปุ่น คือ พุทธศาสนา

    ส่วนมากเรามีความคิดสองอย่าง ดีชั่ว ถูกผิด เท่านั้นที่จะพิจารณาได้ และพระพุทธเจ้าสอนให้ใช้สติสัมปชัญญะ ที่จะเห็นสัจธรรม และทางวัฒนธรรมของเรา ในศาสนาคริสต์ไม่มีใครพูดถึงสติสัมปชัญญะด้วยนั่นเป็นเรื่องเชื่อถือ เรื่องเหตุผล เรื่องอุดมคติ ทำให้เรามีความยึดมั่นถือมั่นในอุดมคติสูง และที่จะเข้าใจการเป็นมนุษย์จริง ซึ่งไม่มีใครรู้นี่ก็เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องรู้การเป็นมนุษย์เป็นอย่าง ไร คบคิดว่าการเป็นมนุษย์ต้องรู้ตัวเอง ต้องรู้โลภ โกรธหลงเป็นอย่างไรว่ามันเกิดที่ไหนดับที่ไหน

    พุทธองค์บอกให้เราเห็นผลของการทำความดี ว่าจะได้ผลอย่างนี้ ถ้าทำไม่ดีก็ได้ผลอย่างนี้เราจะเปรียบเทียบกับอะไร ถ้าเราจะเพิ่มความสุขควรทำอย่างไร ถ้าเราอยากเพิ่มความทุกข์ควรทำอย่างไร แล้วก็เห็นทางพ้นทุกข์ด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นหลักธรรมที่เราไม่เห็นในวัฒนธรรม และศาสนาทางตะวันตก

    สังคมทางตะวันตกมีความเจริญทางเทคโนโลยีสูงจำเป็นขนาดไหนที่พวกเขาต้องหาที่ พึ่งทางจิตใจก็มีการปฏิบัติก็เป็นศาสนาคริสต์ อิสลาม ยิว ศาสนาสามอย่างนี้มันเป็นศาสนาที่นับถือพระเจ้า และก็เป็นศาสนาที่เรามีเรื่องพระเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าก็มีคำสอนเริ่มต้นที่อริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สิ่งที่เราเห็นได้ในปัจจุบันคือความทุกข์เราจะเห็นความทุกข์ของเราได้นี่ ต้องเชื่อโดยการพิสูจน์ และเราก็จะสามารถเห็นนิพพานได้

    นี่ก็เป็นที่มาของคริสต์กับพุทธซึ่งตรงกันข้าม คริสต์เริ่มต้นที่พระเจ้า จุดเริ่มต้นของพุทธศาสนาก็พระพุทธเจ้า มองเห็นความทุกข์ของมนุษย์ นี่เป็นวิธีที่จะพิจารณาในสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แล้วก็จะเห็นพระเจ้าได้ ถ้าคิดแบบคริสต์ก็เห็นทางพ้นทุกข์ได้ เราก็คิดว่าการปฏิบัติเกิดจากการเชื่อถือพระเจ้า แล้วก็ถ้ามีศรัทธาและเชื่อถือในคำสอนของพระเจ้าก็จะมีคนดีเหมือนกัน มันก็แล้วแต่บุคคลเป็นอย่างไร

    แม่ของอาตมาเป็นชาวคริสต์ ไม่สงสัยเรื่องศาสนา แม่สงสัยไม่ได้เลย และก็ได้ผลดีด้วย (หัวเราะ) แต่ท่านก็สามารถแก้ปัญญาได้ด้วยความศรัทธาในพระเจ้า แม่ก็เป็นคนอย่างนั้นแต่ลูกชายก็เป็นคนตรงกันข้ามเป็นชาวพุทธ (หัวเราะ)

    4. สังคมของคนตะวันตกเป็นคนขี้สงสัยช่างซักถาม แล้วยากไหมที่เราจะไปเผยแพร่ให้เขาเข้าใจ ?

    ก็ไม่ยากเท่าไร ก็มีคนสนใจมากในการปฏิบัติในทางพุทธศาสนา ปัจจุบันชาวตะวันกำลังสนใจวัตถุนิยมกันมาก ตอนนี้คนกำลังดูจิตพิจารณาตัวเองเป็นอย่างไร นี่ก็เป็นสิ่งที่ชาวต่างประเทศกำลังทำอยู่ที่อเมริกา ซึ่งมีประโยชน์มาก แล้วก็เราอยู่อังกฤษ ๒๖ ปีแล้ว เราก็สังเกตเห็นคนที่สนใจมากขึ้นคนที่ปฏิบัติแล้วได้ผลที่จะเห็นทางก็มีมาก ขึ้น

    คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ทำให้เราทึ่ง คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนที่จะพิจารณาให้เราเห็นจิตใจ ความสงสัยที่เกิดขึ้นในใจ ที่จะปล่อยวางไม่ให้เกิดความสงสัยได้ เมื่อมีความสงบแล้ว ก็จะเห็นถึงความ สงบในจิตใจของเรา อย่างแท้จริง และจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย ซึ่งสังคมในตะวันตกความสงบไม่ค่อยมี (หัวเราะ) เขาก็อยากได้สันติภาพมาเป็นความสงบ

    การปฏิบัติของเราที่หลวงพ่อชาสอนในสมัยก่อนที่วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลฯ เราก็นึกถึงแต่หลวงพ่อชานี่ ก็เป็นความจำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ตอนที่อยู่กับหลวงพ่อชา ก็ได้ผลในเรื่องของการปฏิบัติ เพราะท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญที่จะแนะนำทางที่จะปลดทุกข์ได้ แรกๆ เราก็อยู่กับหลวงพ่อชา ปี ๒๕๑๐ ตอนนั้นเราไม่รู้ภาษาไทย และภาษาอีสาน ท่านหลวงพ่อก็เทศน์เป็น

    ภาษาอุบลฯ แล้วเราก็ไม่รู้เรื่อง

    แรกๆ ก็นั่งฟังหลวงพ่อท่านเทศน์หลายชั่วโมง ด้วยความที่เราเป็นพระฝรั่ง เราจึงขอ ว่าช่วงที่หลวงพ่อเทศน์นั้นเราจะกลับกุฏิ ไปทำสมาธิในกุฏิดีกว่า แต่หลวงพ่อไม่อนุญาตบอกว่า ต้องอยู่ต้องอดทนฟังเทศน์ ท่านก็บังคับให้ให้อยู่

    อารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตของเราเอง แทนที่จะยอมเพราะเรื่องภาษา ก็เป็นอุปสรรค อาจารย์ชาก็พูดภาษาอังกฤษไม่เป็น พระสุเมโธก็พูดภาษาไทยไม่เป็น หลวงพ่อชาจะสอนพระฝรั่งอย่างไร แต่ท่านก็มีอุบาย มีความสามารถที่จะให้เราพิจารณาอารมณ์ที่เกิดขึ้น และท่านบอกว่าพระสุเมโธความอดทนมันน้อยไป เป็นคนอเมริกัน วัฒนธรรมอเมริกัน เป็นวัฒนธรรมที่ชอบทำอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่คนที่อดทนต่ออะไร และท่านก็บอกว่า พระสุเมโธไม่เข้าใจภาษาไทยก็ไม่เป็นไรแต่ให้อดทนกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น

    เบื่อแล้วก็เกิดอารมณ์โกรธ โมโหอย่างนี้ แล้วก็เราก็คิดแบบคนอเมริกันด้วย สงสารตัวเองว่าเราเป็นฝรั่งไม่รู้ภาษา หลวงพ่อชายังจะให้เราอยู่ไม่เห็นใจเราแล้ว ตอนนั้นนั่งพับเพียบไม่ค่อยได้ ด้วยความ ที่เราไม่เคยนั่งอย่างนี้ จึงทำให้เจ็บปวดอย่างแรงที่สุด จึงอยากเปลี่ยนท่านั่ง

    พิจารณาในอารมณ์ แล้วทราบความทุกข์กับชีวิตของเราได้ ที่กุฏิครั้งแรกกุฏิที่อยู่วัดหนองป่าพง พระไทยสมัยนั้นก็ไม่สูงเท่าไร นิยมสร้างเตี้ยๆ และไม่มีพระฝรั่ง เราต้องก้มตัวลง ยืนตรงไม่ค่อยได้ เวลาเข้าประตูก็ต้องก้ม เสร็จแล้วก็เกิด อารมณ์รังเกียจกุฏิหลังนั้น บ้างก็อยากได้กุฏิสูงกว่านี้ แล้วไปหาหลวงพ่อบอกว่ากุฏิมันเตี้ยเกินไป อยู่ยาก มันโดนศีรษะ มันอันตราย และเรารู้สึกไม่สบายใจ อยากอยู่กุฏิอื่น

    หลวงพ่อไม่ให้เรา พอพิจารณาแล้วว่ากุฏิ พอที่จะกันแดดกันฝนได้ กุฏิเตี้ยนั้นพออยู่ได้ก็ดีแล้ว ถ้าพิจารณาโดยปัญญาอย่างนี้ก็พอใช้ได้ ถ้าพิจารณาแบบคนอเมริกัน ตามวัฒนธรรมของคนอเมริกาว่าเตี้ยเกินไป เล็กเกินไป ไม่เหมาะไม่ชอบกุฏิหลังนี้ก็จะมีความทุกข์อยู่ ถ้าเราพิจารณาด้วยปัญญา ก็จะพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่

    เรื่องอาหารก็เหมือนกัน หลวงพ่อท่านชอบทรมานลูกศิษย์ เรื่องอาหารญาติโยมก็นำมาถวาย แล้วหลวงพ่อก็ให้เทใส่กะละมังใหญ่ เป็นปลา เป็นไก่เป็นหมูทุกอย่างแล้วก็ผสมกัน จะมีข้าวเหนียวมีอาหารอีสานมีรสแปลกๆ ที่เราไม่เคยชิม เราก็เลยเกิดอารมณ์รังเกียจอาหารด้วยมันไม่อร่อยมันไม่คุ้นเคย แล้วก็มีของ หวานที่โยมนำมาถวายผสมกันหมดเลย มันทำให้การ ทานอาหารลำบากแล้วก็มีความทุกข์เกิดขึ้น

    ความจริงพระพุทธเจ้า สร้างวินัยให้พระรับอะไรก็ได้ไม่ใช่แต่สิ่ง ที่ชอบ หรือเป็นอาหารของเศรษฐีที่เอร็ดอร่อย แต่ให้คิดว่าอาหารที่ให้ทานมานั้น เป็นอาหารที่บริสุทธิ์ ให้พิจารณาอย่างนี้ และอาหารที่มีอยู่ในบาตรนั้นก็ดีแล้ว พอที่จะรักษาสุขภาพร่างกายให้ดีด้วย

    เรื่องอาหารของอเมริกา เปรียบเทียบกับอาหารที่มีอยู่ในวัดหนองป่าพงนั้น เราก็คิดว่าอาหารของอเมริกาดีกว่าอร่อยกว่า อาหารที่วัดหนองป่าพงก็แย่ ไม่อร่อยเลย นั่นก็เป็นความคิดความเห็นที่เกิดขึ้น ทำให้เรามีความทุกข์ พิจารณาด้วยปัญญาเราก็จะเห็น และปล่อยความคิดแบบนี้ได้เราก็จะสามารถฉันอาหารได้ด้วยสติด้วยปัญญา

    เมื่อ ๒๖ ปีมาแล้วตอนนั้นโยมได้นิมนต์ไป อยู่ประเทศอังกฤษ แล้วเราก็อยู่จนเคยแล้ว อยู่วัดหนองป่าพง วัดป่านานาชาติมากว่า ๑๐ พรรษาแล้ว แล้วก็เปลี่ยนแปลงร่างกายใจ ให้เข้ากับพระไทยในสมัยนั้นตอนนั้นที่ไปอยู่อังกฤษกับหลวงพ่อเราก็สงสัยว่า เราจะรักษาวินัยได้ไหม ในอังกฤษไม่ค่อยมีใคร รู้เรื่องของพระพุทธศาสนา แล้วเราจะอยู่ในลอนดอนอย่างไร ถ้าไม่มีเงินจะใช้ แล้วคนอังกฤษจะเข้าใจอย่างไร เป็นคนแปลก ศีรษะอย่างนี้ (จับศีรษะ) มีจีวรอย่างนี้ เดินวิบากใน กรุงลอนดอน จะเข้าใจความประสงค์ของเราอย่างไร เราก็สงสัยอย่างนี้

    แล้วเราก็ถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อถ้าไม่มีใครจะใส่บาตร ไม่มีใครจะถวายปัจจัย ๔ เราจะอยู่ได้อย่างไร อาจารย์ก็ตอบอย่างดีว่า คนตะวันตกไม่มีเมตตา เราก็ว่ามีเมตตาเหมือนกันและอาจารย์บอกว่าเราต้องอยู่ได้ เพราะชาวพุทธมีอยู่ทั่วโลก และชาวพุทธเป็นคนดีเราต้องอาศัยความดี ท่านก็อยากให้เราพิจารณาในความเป็นมนุษย์ว่าเป็นอย่างไร

    ในประเทศอังกฤษ อเมริกาคนใจดีก็มีมาก คนมีเมตตาก็มี ท่านก็อบรมเราอย่างนี้ หลวงพ่อชาก็เก่งนะ ทั้งที่ท่านไม่เคยไปอเมริกา ไม่รู้ว่าอังกฤษเป็นอย่างไร อยู่เมืองไทยตลอด แต่ท่านก็รู้ในเรื่องของสัตว์มนุษย์ เราว่าเป็นอย่างไร เราก็ไปอยู่อังกฤษ ๒๖ ปี ก็ดีเหมือนกัน ไม่อดอาหาร ที่อยู่อาศัย ผ้าจีวรก็สมบูรณ์ดี เราไปอยู่ก็ไม่มีปัญหาเรื่องอาหาร เรื่องสิ่งจำเป็น <!--MsgFile=7-->

    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    ๏ พระอาจารย์เจฟฟรี ฐานิสฺสโร

    อีกหนึ่งดวงประทีปวัดป่าในอเมริกา

    ในโอกาสที่พระอาจารย์ "เจฟฟรี ฐานิสฺสโร" เจ้าอาวาสวัดเมตตาวนาราม ซึ่งเป็นวัดป่าตามแบบพระกัมมัฏฐานในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่เมืองแวลเลย์เซ็นเตอร์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ได้เดินทางมาร่วมงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ เมื่อเร็วๆ นี้ "มติชน" ได้สัมภาษณ์ท่านเพื่อให้ทราบถึงสภาพการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสหรัฐ โดยมีรายละเอียดดังนี้

    "ถึงไม่ได้คนแต่ก็ให้ได้เราคนเดียวก็ยังดี ให้ได้เป็นพยานหลักฐานว่า ผู้ปฏิบัติจริงก็ได้ผลดีจริง ปัญหาที่พระพุทธเจ้าแก้นั้นเป็นปัญหาสากลคือ ทุกข์ ซึ่งไม่ได้อยู่กับวัฒนธรรมใด ต่างก็มีทุกข์อยู่ด้วยกันทั้งสิ้น อยู่ที่โน่นก็มีหลายคนอยากให้เปลี่ยนแปลงอย่างโน้นอย่างนี้ เราก็บอกว่าอยู่ที่นี่ห่างไกล ทางร่างกายก็ห่างไกล อย่างเดียวที่ทำได้คือ ประพฤติปฏิบัติอย่างที่ท่านสอน ถ้าเราเปลี่ยนแปลงก็เท่ากับว่า เราตัดรากของตนเอง"

    ความนิยมในพระพุทธศาสนาของคนที่โน่นเป็นอย่างไรบ้างครับ

    ยังมีมากอยู่ และศาสนาพุทธเป็นที่นิยมมากในศตวรรษที่ผ่านมา แต่ส่วนมากจะออกไปในทางทิเบตมากกว่า เพราะเขามีการโฆษณามาก มีการติดต่อกับนักการเมือง ผู้มีอิทธิพล ดารา ต่างๆ แต่เราไม่ทำอย่างนั้น เราไม่ได้คิดว่า ธรรมะของพระพุทธองค์เป็นสินค้า พุทธฝ่ายไทยเรามีวัดอยู่ 100 กว่าวัด ทั้งธรรมยุตและมหานิกาย

    หลวงพ่อเป็นพระอุปัชฌาย์องค์เดียวของธรรมยุตที่นั่นใช่ไหมครับ

    เป็นองค์เดียวที่เป็นพระฝรั่ง พระไทยที่ท่านเป็นอุปัชฌาย์ฝ่ายธรรมยุตนั้นมีหลายองค์

    มีคนมาสนใจบวชมากไหมครับ

    วันก่อนเจอเจ้าอาวาสท่านหนึ่งที่เข้าอบรมอุปัชฌาย์รุ่นเดียวกัน อาตมาถามท่านว่า บวชพระไปกี่องค์แล้ว ของท่านเป็นพัน ของเรา 8 องค์ ตั้งแต่ปี 1995 (พ.ศ.2538) คนมาบวชส่วนใหญ่สนใจเรื่องการภาวนา โดยมากก็เป็นคนหนุ่ม

    หลวงพ่อกำหนดไว้อย่างไรครับถึงจะบวชให้

    ให้ถือศีล 8 เป็นเวลาหนึ่งปีที่วัด และดูนิสัยของเขาว่าจะไปได้ไหม มีความมั่นคงอย่างไร เพราะบางคนเดือนสองเดือนแรกก็ดูดี แต่พอ 3-4 ก็ออกอาการแล้วก็มี เลยได้แค่ 8 ไม่ได้เอาจำนวน เอาคุณภาพ คนเยอะก็ปัญหาเยอะ ถ้าคนไม่ตั้งใจปัญหาก็มาก ถ้าตั้งใจแล้วมันไม่มีปัญหา ไม่มีความขัดแย้งกัน ทิฐิตรงกัน ความเห็นตรงกันก็อยู่ด้วยกันได้

    มีความแตกต่างระหว่างตะวันออก ตะวันตก ในเรื่องการพัฒนาและเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจบ้างไหมครับ

    มีอยู่นะ แต่มีทุกข์ก็ต้องหาทางออกด้วยกันทั้งนั้น มีคนมาถามหลวงพ่อว่า ทำไมฝรั่งบวชได้ หลวงพ่อก็ว่า อ้าว ฝรั่งไม่มีจิตใจหรือ หัวใจก็มีทุกข์อยู่ด้วยกันทั้งนั้น ต่างก็หาทางออกกัน ทางโน้นก็มีวัฒนธรรมซึ่งเป็นเครื่องกีดขวางอยู่เยอะ โดยมากก็ใช้จิตวิทยาแก้ไข ส่วนมากก็เป็นการใช้สิ่งตรงกันข้ามมาแนะนำ ปัญหาสิ่งแวดล้อม แนะให้กลับไปสู่ทุนนิยม มีทุกข์ก็ไปหาจิตแพทย์ จิตแพทย์ก็บอกให้คลายอารมณ์ อย่าเครียดนัก หรือบอกให้ไปหาคู่รักสักคน อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) คนที่ผ่านแบบนั้นมาแล้วพบว่า มันไม่ได้ผลอะไร ถ้ามี "แวว"ก็หาทางออกที่ดีกว่านั้น เขาก็จะหันมาหาธรรมะ

    แล้วเขารู้จักเราได้อย่างไรครับ

    ทางวัดไม่มีอินเตอร์เน็ตแต่มีคนไทยเองลงเว็บให้ ก็มีเนื้อหาเกี่ยวกับธรรมะ มีการแปลพระสูตรของพระพุทธเจ้าเป็นภาษาอังกฤษลง ตอนนี้หลวงพ่อก็แปลไปกว่า 600 พระสูตรแล้ว กำลังจะรวบรวมพิมพ์เป็นเล่ม โดยแบ่งออกเป็น 4 เล่ม ไว้แจก adrees คือ Access to Insight บางทีก็มีนิตยสาร วารสารต่างๆ มาสัมภาษณ์ บางทีหลวงพ่อก็เขียนบทความไปลง ถ้าเป็นวารสาร นิตยสาร ทางบรรณาธิการเขาจะนำบทความไปดัดแปลง เพื่อที่จะให้ขายดี ซึ่งบางทีก็ขัดกับหลัก แต่ทางเว็บไซต์ เราอยากออกอะไรก็ออกได้ นี่จะดีกว่า พอมีคนเห็นก็จะติดต่อมา

    แล้วมีคนไทยเข้าวัดเยอะไหมครับ

    ก็พอสมควร วันอาทิตย์ธรรมดาก็ 20-30 คน วันหยุดเทศกาลก็พิเศษ 300-400 วัดเราอยู่ในป่า อยู่ในเขตภูเขา 350 ไร่ เดิมมีคนซื้อถวาย 350 ไร่ แล้วขยายเพิ่มเพราะเกรงกันว่าจะมีคนมาสร้างบ้านใกล้วัดแล้วจะไม่สงบ

    พระเยอะไหมครับ

    พระมี 6 ฝรั่ง 4 ไต้หวัน 1 ไทย 1 การปลูกสร้างก็ทำพออยู่ มีศาลา มีห้องพักให้โยม มีห้องน้ำสาธารณะ กุฏิพระก็สร้างในป่าซึ่งเป็นสวนอโวคาโด ตัววัดอยู่ในภูเขาลูกหนึ่งสองข้างเป็นเขตสงวนของอินเดียนแดง

    ถอดแบบวัดป่าสายพระกัมมัฏฐานใช่ไหมครับ

    ใช่ ถ้าการก่อสร้างเยอะก็เป็นภาระเยอะ

    อยู่โน่นภาวนาดีไหมครับ

    ที่โน่นภาวนาดีมาก ไม่มีโยม ไม่มีไข้ป่า คนก็รบกวนน้อย สองข้างเขตสงวนอินเดียนแดงก็เป็นป่า ตอนที่หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ ไปอยู่ใหม่ๆ ท่านว่า เพิ่งได้ที่ภาวนาดีๆ อย่างนี้ พอท่านเดินไปอีกสองสามก้าวก็บอกอีกว่า "ที่เมืองไทยก็ไม่มีอย่างนี้" เพราะมันสงบจริงๆ

    เห็นว่าเย็นๆ หลวงพ่อจะเทศน์

    กิจกรรมที่วัด ตอนเช้าก็บิณฑบาต โยมที่มาพักภาวนาซึ่งจะมีอยู่ไม่ขาดสายจะเป็นคนทำอาหารถวาย ฉันในบาตร แล้วยกย้ายกันไปภาวนา แล้วก็ปัดกวาดวัด ทุ่มสองทุ่มก็ไหว้พระสวดมนต์ภาวนาแล้วก็เทศน์

    หลวงพ่อเทศน์ภาษาอะไรครับ

    ก็แล้วแต่คนที่มา ไปอยู่ใหม่ๆ ก็มีแต่ภาษาไทย ขณะนี้ก็มีภาษาอังกฤษ ถ้ามีทั้งสองกลุ่มก็เทศน์สองภาษา ก็ไม่ยากหรอก แต่มันก็มีความต่างกันอยู่นะอย่างถ้าคนไทยเรา หากพูดถึงเรื่อง "ขันธ์" ขึ้นมาเขาก็รู้อยู่แล้วว่าหมายถึงอะไร แต่ถ้าเป็นฝรั่งเราก็ต้องอธิบายยาว บางทีก็ยกปัญหาที่เขาซักถามมาอธิบาย

    ลักษณะของปัญหาต่างกันไปแต่ละกลุ่มไหมครับ

    หลักธรรมมีหลากหลายแต่ช่วงที่หลวงปู่สุวัจน์ไปอยู่ท่านก็บอกว่า วงศ์ของพระพุทธเจ้าเป็นอริยะวาส อริยวงศ์ ไม่ขึ้นกับสังคมไหน อริยวาส อริยวงศ์อยู่ตรงนี้ (ท่านทำมือหันเข้าหากันมีช่องว่างห่างกันประมาณหนึ่งคืบ เหยียดออกมากลางลำตัว) วัฒนธรรมประเพณีประเทศหนึ่งอยู่ตรงนี้ (ท่านหันมือในลักษณะเดิมแต่เอียงไปด้านซ้าย) วัฒนธรรมประเพณีอีกประเทศอยู่ทางนี้ (หันมือเยื้องไปทางขวา) เราตรงไป เมื่อเขาจะเคลื่อนเข้ามาสู่ความจริง เขาจะค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาเอง (ท่านขยับมือข้างซ้ายและขวาซึ่งกางอยู่นั้นขยับเข้ามาตรงกลาง)

    ความเข้าใจผิดของคนไทยเราก็อย่างหนึ่ง ของฝรั่งก็อย่างหนึ่ง สำหรับฝรั่งแล้วส่วนมากก็เอาปัญหาที่จะไปหาจิตแพทย์นั่นล่ะมาหาเรา มาหาพระไม่ต้องเสียเงิน หาแพทย์แล้วเสียเงิน (หัวเราะ)

    หลวงพ่อดูแนวโน้มการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในโลกตะวันตกเป็นอย่างไรบ้างครับ

    มันมีปัญหาหลายอย่าง เดี๋ยวนี้มีการดัดแปลงธรรมะเพื่อให้เป็นที่นิยม อย่างนี้มีมากต่อมาก โดยเฉพาะพวกฆราวาสที่ไปสอนพุทธศาสนา ก็จะเอาเฉพาะวิปัสสนาที่ช่วยแก้ไขปัญหาชีวิต ทำแบบจิตวิทยาแพทย์ ซึ่งมันจะค่อยๆ กลืนตัวไปเรื่อยๆ

    คนไทยที่โน่นก็รู้สึกว่าเกิดแต่ละรุ่นก็ไม่เหมือนกัน เกิดยุคหลังสงครามโลก ยุค Baby Boom ก็อย่างหนึ่ง พวกเกิดทีหลังก็อีกอย่างหนึ่ง บางรุ่นที่ใหม่ๆ เขาก็เห็นว่า อีกรุ่นเอาศาสนาพุทธไปดัดแปลง จนเป็นตะวันตกไปหมดแล้ว ก็มีปฏิกิริยาขึ้นมา อยากจะหาธรรมะแบบเดิม

    อีกข้อหนึ่งวัดไทยที่ไปตั้งที่นั่น ส่วนมากจะเอาวัดเป็นศูนย์รวมของท้องถิ่น พวกนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหนก็ไม่ทราบ เพราะตามประวัติศาสตร์แล้ว พวกที่อพยพเข้ามาครั้งแรกจะยึดวัฒนธรรมเดิมของตัวเองอยู่ ส่วนรุ่นลุกนั้นไม่เอา จะเป็นอเมริกันเต็มตัว เข้าใจว่า ถึงอีกรุ่นก็คงจะไม่เอาอะไรเท่าไหร่ คงมีหลายแห่งที่อาจต้องสลายไป

    หลวงพ่อคิดว่า ถ้าเราเดินตามสายเดิมแท้ๆ และให้เกิดความเข้าใจในธรรมะแล้วจะอยู่ยังยืนกว่าใช่ไหมครับ

    ครับ หลวงปู่สุวัจน์ท่านจึงว่า ถึงไม่ได้คนแต่ก็ให้ได้เราคนเดียวก็ยังดี ให้ได้เป็นพยานหลักฐานว่า ผู้ปฏิบัติจริงก็ได้ผลดีจริง ปัญหาที่พระพุทธเจ้าแก้นั้นเป็นปัญหาสากลคือ ทุกข์ ซึ่งไม่ได้อยู่กับวัฒนธรรมใด ต่างก็มีทุกข์อยู่ด้วยกันทั้งสิ้น อยู่ที่โน่นก็มีหลายคนอยากให้เปลี่ยนแปลงอย่างโน้นอย่างนี้ เราก็บอกว่าอยู่ที่นี่ห่างไกล ทางร่างกายก็ห่างไกล อย่างเดียวที่ทำได้คือ ประพฤติปฏิบัติอย่างที่ท่านสอน ถ้าเราเปลี่ยนแปลงก็เท่ากับว่า เราตัดรากของตนเอง

    แล้วธุดงค์กันอย่างไรครับ

    ที่วัดพยายามออกป่าเดือนหนึ่งสองสามครั้ง ออไปที่ป่าก็มีทะเลทรายก็มี ก็จะมีคนกลุ่มน้อยๆ ที่รู้ว่าพอเราจะเข้าไปในเขตเขาๆ ก็จะเอาอาหารมาถวาย แต่ก็ยังกลุ่มน้อยอยู่



    ภาพจาก suthat.spaces.live.com <!--MsgFile=9-->

    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
    การธุดงค์ในลักษณะนี้ในแง่ของจิตใจแล้วได้ประโยชน์มากไหมครับ

    ได้ประโยชน์มาก เมื่อเราออกจากที่เดิม เปลี่ยนสภาพแวดล้อม สภาพสังคมเดิมก็จางลงไป เราก็อยู่กับธรรมชาติซึ่งมีธรรมะแสดงอยู่ตลอดเวลา มีแก่ มีเกิด มีเจ็บ อยู่รอบตัวเรา ที่ทะเลทรายก็ไม่ลำบากหรอกเพียงแต่ต้องหาที่หลบแดดและเรื่องน้ำ ที่แคลิฟอร์เนียมีทะเลทรายเยอะ เฉพาะที่ติดทะเลจะมีต้นไม้แต่เลยเข้าไปแล้วก็จะแล้ง แต่ถ้าจะหาความวิเวกก็ต้องออก ที่ไหนๆ ก็มีอันตราย เราต้องรู้จักอันตราย เราก็ต้องไม่ประมาท

    หลวงพ่อมีความเห็นต่อเรื่องการปรับปรุง พ.ร.บ.คณะสงฆ์อย่างไรบ้างครับ

    ไม่ขอพูดดีกว่า หลวงพ่อเป็นห่วงอยู่อย่างเดียวว่า ป่าไม้เมืองไทยมันหายไป หายไป ป่าเป็นที่เกิดของพระนะ ในประวัติศาสตร์ก็บอกไว้ว่า เมื่อเกิดวิกฤตกับพระพุทธศาสนา เราก็ต้องหันไปหาพระป่า แต่ถ้าป่าน้อยลง ไม่มีป่าแล้วจะไม่มีผู้รักษาอริยธรรม

    นานๆ กลับมาหลวงพ่อมองเมืองไทยเปลี่ยนไปบ้างไหมครับ

    กลับมาคราวนี้สังคมไทยเปลี่ยนไปมาก เมื่อปี พ.ศ.2515 ตอนมาเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่นั้น ประเทศไทยยังเป็นประเทศด้อยพัฒนา แต่ด้านจิตใจ น้ำใจนี่ ไปที่ไหนคนต้อนรับดี แต่ขณะนี้ดูเหมือนใจยิ่งแคบเข้า แคบเข้า

    หลวงพ่อ จะมีคำแนะนำให้กับผู้คนที่จะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม โลกที่กำลังเกิดขึ้นอย่างมากมายอยู่ในขณะนี้บ้างครับ

    อยู่ที่การพัฒนาใจ การพัฒนาใจจะเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด ไม่ว่าปัญหาของตนเองแล้วขยายไปยังโลก ต้องมีความรู้มากๆ ต้องศึกษา รักษาคุณธรรม มีสัจจะเป็นตัวตั้ง ถ้าเศรษฐกิจดีใจก็ดี ถ้าเศรษฐกิจโต ใจก็โต อย่างนี้ก็แย่ เพราะฉะนั้นเราต้องมีหลักภายใน สถานการณ์โลกมันก็มีขั้นมีลง ถ้าใจของเราขึ้นลงกับเขามันก็แย่ เวลาโลกหมุนมันไม่ได้หมุนธรรมดานะ มันหมุนแบบเฟือง ถ้าเสียหลักมันก็ดึงเข้าไป ดึงเข้าไป กินเสื้อ ดึงแขน ดึงขาเข้าไป แขนก็ขาด ขาก็ขาด โลกาภิวัตน์นั้นมันมิใช่โลกาภิวัตน์หรอก มันเป็น โลกกาวินาศมากกว่า ตอนนี้อะไรๆ ก็เป็นสินค้าไปหมด ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ถูกทำให้เป็นสินค้าแล้ว มีการเอามาดัดแปลง เอามาขาย มาโฆษณากันแล้ว เนื้อในก็จะค่อยๆ หายไป

    พอเกิดเหตุการณ์ 11 กันยายน สหรัฐถูกโจมตี สภาพจิตใจของคนที่นั่นเป็นอย่างไรบ้างครับ

    ตามศูนย์ฝึกสมาธิอะไรต่างๆ นี้ไม่มีคนมาเลยเพราะหลับตาก็เห็นแต่ภาพเหตุการณ์นั้น แต่หลังจากนั้นไม่นานก็หลั่งไหลมาจนที่ไม่พอ คนแสวงหาที่พึ่งทางใจ แต่คนที่นิวยอร์กเขาเข้าใจนะเพราะเขาเป็นทุกข์ เขาเข้าใจคนอื่น ไม่อยากให้คนอื่นเป็นเช่นที่เขาประสบ แต่คนที่ดูโทรทัศน์ คนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นจะต่อสู้อย่างเดียว อยากไปสู้กับเขา พวกนี้ไม่รู้เรื่อง ถึงขนาดมีคนบอกว่า พุทธต้องปรับตัวให้เข้ากับเขา ถึงขนาดนั้น

    ทุกปีอาตมาจะได้รับนิมนต์ไปเทศนาอบรมจิตตามศูนย์ภาวนาที่เขาสร้างขึ้น เมืองต่างๆ 4-5 แห่งเป็นประจำ มีที่บอสตัน นิว เม็กซิโก ซีแอตเติ้ล นิวยอร์ก ซานฟรานซิสโก ก็ไปดูอาการของคนที่นั่นว่าเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้คนหันมาสนใจค้นหาหลักเดิมของศาสนามากขึ้นเพราะที่ดัดแปลงของเดิม เพื่อให้เข้ากับสังคมนั้นมันแก้ทุกข์ไม่ได้

    ‘ลมไม่ได้เป็นของพุทธของคริสต์ ลมเป็นของกลาง ให้ใจอยู่กับลม’

    ไปมาอย่างไรครับหลวงพ่อถึงได้มาบวช

    ไปรู้จักหลวงพ่อเฟื่อง โชติโก (วัดธรรมสถิตย์ จ.ระยอง ปัจจุบันมรณภาพแล้ว) ก่อน พักปฏิบัติกับท่าน 3 เดือนแล้วกลับไปอเมริกาปีกว่า ช่วงนั้นจิตใจก็ต่อสู้กันว่าจะบวชหรือไม่บวชดี โยมพ่อไม่อยากจะให้บวช โยมแม่นั้นท่านเสียชีวิตไปแล้ว เพื่อนฝูงก็ไม่มีใครสนับสนุน แต่ก็คิดว่า เรามีโอกาสพบครูบาอาจารย์ที่ดีแล้ว ถ้าไม่ปฏิบัติตอนนี้จะปฏิบัติตอนไหน ก็เลยตัดสินใจบวช มาอยู่กับหลวงพ่อเฟื่อง ตั้งแต่ปี 2519-2529 ท่านมรณะปี 2529 ก็อยู่ต่อมาอีก 5 พรรษา แล้วหลวงปู่สุวัจน์ ก็ได้นิมนต์ไปช่วยสร้างวัดเมตตาฯ ที่สหรัฐอเมริกา

    ทุกวันนี่โยมพ่อและโยมเพื่อนว่าอย่างไรบ้างครับ

    ทุกวันนี้ปรับได้แล้ว โยมพ่อก็ภาวนาอยู่ที่บ้าน อยู่ห่างกันไกลเพราะบ้านอยู่ที่เวอร์จิเนีย พ่ออายุ 85 แล้ว ตอนอยู่กับหลวงพ่อเฟื่อง ปีกว่าๆ ท่านมาหาก็พาไปกราบหลวงพ่อเฟื่อง พาไปดู เสร็จแล้วท่านก็ว่าพอแล้ว อาตมาบอกว่าว่า ยังไม่พอ ยังเรียนวิชานี้ไม่จบ ต้องลองนั่งภาวนา ท่านถามหลวงฟ่อเฟื่องว่า ท่านเป็นคริสต์มีอะไรขัดข้องไหม หลวงพ่อเฟื่องก็บอกว่า ให้ดูลม ลมไม่ได้เป็นของพุทธของคริสต์ ลมเป็นของกลาง ให้ใจอยู่กับลม โยมพ่อปฏิบัติก็สงบลง ทุกวันนี้ท่านก็ยังปฏิบัติอยู่

    ภาพจาก www2.thaitownusa.com <!--MsgFile=10-->

    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><!-- End Message Box--></TD><TD></TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width="10%"></TD><TD vAlign=bottom><!--MsgTime=0--><!--MsgIP=0--></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  2. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=yQ1TvdEtfn8&feature=related"]YouTube - พร้อมรู้แจ้ง_0001.wmv[/ame]
     
  3. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์

    อเมริกาเกิดทุกข์กันทั่วหน้าไม่ว่าจะจากสภาวะเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่สูงและนโยบายเก็บภาษีต่างๆ ทุกคนดิ้นรนเพื่อจะหลีกเลี่ยงเหตุแห่งทุกข์ด้วยการทำงานหนักเพื่อให้แลกมาด้วยเงินทอง แต่ในที่สุดมันไม่เป็นอย่างที่คิด เมืองไทยจะเอาอย่างเขาแต่ล้าหลังกว่า 20-50 ปี แล้วทำไมเราจะต้องไปเดินตามรอยเท้าในเมื่อคนที่เดินอยู่ข้างหน้ากำลังหยุดยืนอยู่ปากเหว ไม่ว่าวัฒนธรรม อารยธรรม ของเราก็ใช่ว่าจะเชยเฉิ่มและล้าสมัยนะ
    ฉนั้นเราควรอนุรักษ์ไว้ซึ่งสิ่งดีงามที่มีมาแต่ก่อนไว้ให้ลูกหลานสืบต่อๆกันไป
     
  4. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    เอ คุณบอยคะ ตามที่อ่านนี้คือ น่าจะอเมริกานะ ที่มาทำแบบอย่างเรา
    นะการเจริญสติปัฐฐาน นี้เขามาเอาแบบเรานะ แสดงว่า เขาเริ่มรู้ว่าอะไรคือทุกข์
    พยายามแสวงหาความสงบทางใจเหมือนกัน นับว่าเป็นสิ่งที่ดี การทำสิ่งที่ดีให้เป็นค่านิยม ถือว่าน่าส่งเสริม ยิ่งทำทั้งโลกได้ยิ่งดี ถือว่าเราช่วยกันดับไฟโลก
    เย็น มั๊กๆๆ ไม่เกี่ยวกับวัฒธรรม ใครทำจริง ได้จริง
     
  5. ธัมปฏิบัติ

    ธัมปฏิบัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +1,019
    ธรรมะ คือธรรมชาติ ผู้ปฏิบัติย่อยรู้ได้เฉพาะตน ไม่แยกชนชั้นวรรณะ
    ช่วยกันสร้างสาสนาพุทธให้เจริญรุ่งเรือง
    ยิ่งๆขึ้นไปคับ อนุโมทนา สาธุคับ

    ________________________________________________________________________
     
  6. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    เขาเหล่านั้นจะได้ประโยชน์
     
  7. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676

    การปฏิบัติธรรมเขาทำแบบเราครับ ทำให้มันเย็นลง

    แต่เราทำให้ร้อนขึ้นด้วยการลอกนโยบายเศรษฐกิจเขามา

    ยิ่งไปกว่านั้นไปเอาวัฒนธรรมในทางที่ส่อไปในความรุนแรงมาด้วย :'(
     
  8. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ที่นี้ไม่วุ่นวายหนอ ที่นี่สงบหนอ เลือกแล้วหนอ:boo:
     

แชร์หน้านี้

Loading...